คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2019
เรื่อง “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก
(ความจริงเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีวันอาทิตย์สุดท้ายของปีนี้ ปี 2019 แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันสุดท้ายของโลกใบนี้ เราไม่รู้ รอวันนั้นอยู่ รอพระเยซูกลับมา ถือโอกาสสวัสดีส่งท้ายปีเก่า และเตรียมต้อนรับปีใหม่ เวลาจะมาบรรยายวันสุดท้ายของปี มันต้องเข้ากับบรรยากาศนิดหนึ่ง จึงตั้งใจชื่อเข้ากับบรรยากาศมากเลย ถ้าท่านฟัง ท่านจะใช่ เข้าจริงๆ เพราะว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ควรจะพูดอะไรที่ดีๆ เป็นสิริมงคลนะ ทุกคนรู้เลย ชื่อเรื่องมา ถ้าไม่รักจริงจากพระเจ้า ก็จะไม่สวัสดีปีใหม่ด้วยข้อความที่จะบรรยายในวันนี้ “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก (ความจริงเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)”
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ได้นำพาชีวิตของพวกเราทุกคน มาอีก 1 ปี ผ่านทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ อันไหนมากกว่า หลายคนก็ต้องผ่านปัญหา ผ่านความทุกข์ยากลำบาก ก็มากบ้าง น้อยบ้าง ก็แล้วแต่สายตาของคนๆ นั้นว่าเขาจะมองอะไรมากกว่า ลองนึกย้อนกลับไป ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาว่าแต่ละปีต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาความวุ่นวายในประเทศ ปัญหาความวุ่นวายในโลกตอนนี้ สมัยก่อนคิดแต่เรื่องประเทศไทยว่ามีเรื่องยุ่งตรงนั้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้โซเซียลมีเดีย อยู่ที่ไหนก็ได้ยินหมด รู้หมดเลยว่าเป็นข่าวของความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้น มันวุ่นวายขึ้นทุกวัน
แล้วทุกปี พอปีเก่าจะผ่านไป แบบวันนี้ เตรียมตัวเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนก็มักจะตั้งความหวังกันว่าปีใหม่นี้ ทุกอย่างน่าจะเลวลง ไม่มีใครตั้งอย่างนี้แน่นอน ไม่เป็นสิริมงคล ก็จะตั้งกันว่าทุกอย่างต้องดีขึ้นปีนี้ เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ฟื้นตัวใหญ่ ปัญหาหลายอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลายคนก็อธิษฐานขอพระเจ้าอย่างนี้แน่นอน เอเมนไหม? คงไม่มีใครอธิษฐาน … “พระเจ้าขอให้ปีนี้ไม่ค่อยดีนะ สำหรับลูก”
ไม่มีแน่นอน ถามว่าอธิษฐานขออย่างนี้ทุกปี แล้วนึกย้อนกลับไปว่าแล้วที่ผ่านมาทุกปี ทุกอย่างดีขึ้น อย่างที่ขอหรือเปล่า? ลองคิดดูสิ ปีที่แล้วเราก็อธิษฐาน แล้วปีนี้มันดีขึ้นไหม? อย่างน้อยปีที่แล้ว เราต้องมีอธิษฐานเรื่องนี้แน่นอน …
“พระเจ้าอวยพรสุขภาพของลูกให้ดีขึ้น”
แล้วปีนี้ มันดีขึ้นไหม? ถามจริง
“ดีไม่ดีขึ้นไม่รู้ แต่ฉันเข้มแข็งขึ้น” เข้มแข็งขึ้นข้างในนะ ในวิญญาณ
บ่อยครั้งที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเราเอง หรือกับคนที่เรารัก กับคนใกล้ชิด อาจจะเป็นเจ็บป่วยอย่างมาก อาจจะเป็นความขาดแคลนอย่างหนักสาหัส อาจจะเป็นการทะเลาะวิวาทกับคนใกล้ชิด หรือความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง แบบต่อกันไม่ติดแล้ว หรืออาจจะเกิดความรู้สึกทางอารมณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ เช่น ความกังวล ความกลัว ความโกรธ ความซึมเศร้า และเราก็หวังจากพระเจ้าว่าพระเจ้าช่วยได้ แน่นอนทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละ ซึ่งสมควรจะคิดอย่างนี้ด้วย อันนี้ ไม่ว่าใครนะ ก็เลยอธิษฐานอย่างหนัก เพราะอยากจะได้ตรงนั้น อยากจะได้สุขภาพแข็งแรง อยากให้การงานเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง อยากให้ที่มีปัญหาต่างๆ มันเคลียร์ไปสักทีหนึ่ง ไม่มีปัญหาเลย ไม่ได้เหรอ ก็อธิษฐานอย่างหนักๆ แล้วไปขอให้คนอื่นช่วยอธิษฐาน ขอให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานให้ ก็ทำแล้ว พยายามทำทุกอย่าง ที่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และยิ่งทำมากเท่าไร? ตะเกียกตะกายมากเท่าไร? เราก็จะรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้มากขึ้นเท่านั้น เพราะมันไม่สำเร็จ เป็นไปตามที่เราอยากได้ นี่เรื่องจริงเลยนะ
เมื่อพบว่าสถานการณ์ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามที่เราคาดหวังเลย บางครั้งแม้แต่นิดเดียวเลย ไม่เปลี่ยนเลย แถมแย่ลงด้วย มันก็เลยทำให้อาจเกิดความสับสน ความกังวล กลัวมากขึ้น แล้วก็เกิดการตั้งคำถามขึ้น คริสเตียนหลายคน พอชีวิตประสบปัญหา หรือความทุกข์ยากลำบาก อธิษฐานขอพระเจ้าเท่าไร? ปัญหาก็ไม่หมดไปจากชีวิตสักที ก็จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่ช่วย ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน อันนี้อยู่ในใจเราทุกคน อยู่แล้ว แน่นอน ถ้าเผื่อเราไม่มีคำตอบ มันก็จะอยู่คาใจเราไปตลอด แต่วันนี้ มีคำตอบมา เพื่อจะได้ไม่คาใจ
– ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน
– ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ได้ ไหนบอกว่ารักเราไง?
พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และพระเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่ตอนนี้ ไหนบอกสถิตอยู่ด้วย แล้วทำไมปล่อยให้ลูกๆ ของพระองค์ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ อย่างนี้นะ
พอพยายามจะหาคำตอบ หลายคนก็ไปได้คำตอบมาถึงตัวเองจริงๆ ซึ่งเป็นคำตอบที่ท๊อปฮิตมาก สำหรับคริสเตียน ลองนึกในใจทำไมปัญหา ไม่หมดสักที ปัญหาโน้นปัญหานี้ ทำไมสุขภาพไม่เห็นดีสักที รับรองพอผมบอกเขาตอบมาอย่างนี้ ใช่ ได้ยิน ทุกคนจะคุ้นๆ เลยว่าคำตอบแบบนี้ได้เจอกันมาทุกคน เปิดไปยูทูปได้เจอแน่ …
“ทำไมเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก”
… คำตอบที่เราคุ้นๆ กันจะมี 2 แบบดังต่อไปนี้แน่นอน …
(1) พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ลูกๆ ของพระองค์ต้องเจอกับปัญหา หรือความทุกข์ลำบากใดๆ เลยนะ เพียงแต่ว่าเรา หรือคุณต้องเชื่อให้เต็มที่ ต้องเพิ่มความเชื่อให้มาก และต้องไม่ทำอะไรที่ขัดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือต้องไม่ทำบาป เท่านั้นเอง แก้ปัญหาได้
เพราะฉะนั้น ถ้าปัญหาของเราที่ตะกี้นี้ที่บอกไป มันยังอยู่ มันยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าตามนี้นะ ตามที่เขาตอบว่ามันเป็นอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเรายังไม่มากพอ ต้องพยายามมากว่านี้ เราต้องทำให้ความเชื่อเราเพิ่มพูนมากขึ้น จนถึงที่สุด จะทำให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตามเราได้ ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์เยอะแยะ มาใส่ใหญ่ ยกตัวอย่างว่าเราต้องอัดมากยิ่งขึ้น เคาะ เอาให้พระเจ้ารำคาญ จะได้ตอบเรา อะไรประมาณนั้น คุ้นๆ นะ เช่น เขาก็จะแนะนำเราว่า …
“คุณต้องอธิษฐานด้วยความเชื่อเยอะๆ ยังไม่ได้ใช่ไหม? ต้องอดอาหาร อธิษฐาน ต้องท่องถ้อยคำด้วย ให้เกิดความเชื่อเยอะๆ ขึ้นในใจของท่าน เฝ้าเดี๋ยวน้อยไปหรือเปล่า? วันหนึ่งถึง 3 ชั่วโมงไหม? เขาปัญหาน้อยยังตั้ง 3 ชั่วโมง อันนี้ปัญหาเยอะ ต้อง 6 ชั่วโมงแล้ว”
เราก็แบกจนลิ้นห้อยเรื่อยๆ ต้องแสวงหาพระเจ้าและการช่วยกู้ของพระองค์ คุ้นๆ ใช่ไหม? อะไรประมาณนี้ เขาก็จะแนะนำเราอย่างนี้ หรือไม่อีกที อาจเป็นเพราะตัวเรา หรือคนในครอบครัวของเรา ไปทำอะไรผิดบาปหรือเปล่า ที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ไปหาสำรวจสิ ในบ้านมีอะไรไหม? มีรูปเคารพอยู่หรือเปล่า? เยอะแยะไปหมด นี่คือคำตอบฮิตอันหนึ่ง
(2) มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำไมยังเผชิญปัญหาแบบนี้ ทุกข์ยากลำบากอย่างนี้ คำตอบที่สอง ก็คือติดอันดับท๊อปฮิต ตรวจสอบ สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก ที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น มาจากพระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้น พูดง่ายๆ พระเจ้าโยนปัญหาเหล่านั้นมาใส่คุณ มาใส่ในชีวิตของคุณ เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้ปัญหาและความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ อันนี้คุ้นๆ ใหญ่เลย มันมีบ่อย เพื่อที่พระองค์จะได้ฝึกฝน ให้เราแข็งแกร่ง อดทน เราจะต้องผ่านความเจ็บปวด ความทุกข์แทบตาย สำหรับบางรายนะ ทรมาน เพื่อพระองค์จะได้ดัดนิสัยเรา และในยามที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด พระเจ้าก็จะตีสอนเรา และบางครั้งพระเจ้าก็จะนำเราไปยังสถานที่ที่ทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะทดสอบความเชื่อของเรา ฟังดูคุ้นๆ แล้วมัน ใช่นะ
คุ้นๆ ไหมครับสำหรับ 2 คำตอบนี้ เจอแน่ แล้วหลังจากที่เราได้เรียนรู้ จากถ้อยคำพระเจ้า จากคำบรรยายเมื่อครู่นี้ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่ตลอดทั้งปีก็ได้ ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เรียนกันมาเยอะขนาดนี้แล้ว ท่านที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเมื่อตะกี้นี้ว่าคำตอบทั้งสองข้อนี้ เป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่? ท่านคิดในใจ เป็นตัวยืนยันว่าท่านได้เรียนรู้คำบรรยายเมื่อปีที่ผ่านมาชัดเจนไหม? เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะรู้ทันทีว่า 2 คำตอบเมื่อตะกี้นี้ มันถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ไหม?
ทั้งสองคำตอบเป็นความเชื่อและคำสอนที่ถูกหรือผิด? ผิดแน่นอน ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากใครก็ไม่รู้ มาจากตำนาน มาจากคนก่อนเรา ไม่รู้ใคร? คำกล่าวที่ว่าพระเจ้าทดสอบความเชื่อเรา ด้วยการใช้ความทุกข์ยากลำบาก เพื่อที่จะฝึกฝนเราให้เข้มแข็งนั้น คือเท็จทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วการทดสอบความเชื่อ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ มาจากระบบของโลกนี้ ที่มันเสียหายไปแล้ว ผมย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ชัดๆ ความคิด ข้อมูลผิดๆ เหล่านี้ ถูกส่งเข้ามาล่อลวงเรา โดยมารใช้ระบบของโลกนี้ ล่อลวง หลอกลวง และใส่ร้ายพระเจ้า ใส่ร้ายพระเยซูว่าพระเจ้าเป็นผู้เอาความชั่วร้าย เอาความลำบากเข้ามา เพื่อทดสอบเรา ในขณะที่เราเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเราภายใน ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บอก ท่านไม่รู้เหรอ แสดงว่ามันเป็นจริงตามนั้นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะเป็นผู้คอยช่วยนำพาเรา เป็นผู้ปลอบโยน และให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้ต่างหาก เห็นไหมนี่คนละเรื่องเลย นี่คือข้อมูลความจริง และเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง มีพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดี พระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความเมตตา แต่มารเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย
“พระเจ้าดี มารชั่วร้าย”
ไม่ต้องมีต่อเติมอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีแต่ ไม่มีแม้ พระเจ้าดี ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไรต่างๆ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ คือสรุปแล้ว พระเจ้าดี เป็นความรัก เป็นความเมตตา เป็นแสงสว่าง ทำชั่วไม่เป็น โหดร้ายไม่เป็น ตรงกันข้ามกัน มาร ไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตา ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีความดีงาม อะไรทั้งสิ้น เป็นความชั่วร้ายเพียวๆ 100% เช่นเดียวกัน ต้องฝังความจริงนี้ใส่ตัวไว้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้น มันหลอกเรา แล้วเราก็เลย มีศัตรูที่เป็นมิตร แต่มีมิตรเหมือนมีศัตรู มันยุ่งไปหมด มันก็ยิ่งทุกข์หนัก
พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าที่ดี เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา เป็นพระเจ้าผู้ปลอบโยน พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ตลอดเลย จะไม่ติดต่อกับลูกๆ ของพระองค์ พูดกับลูกๆ ของพระองค์ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก หรือผ่านทางโศกนาฎกรรมเด็ดขาด ลูกเรา ขนาดเราเป็นคนบาป เราไม่ใช่พระเจ้า เรายังรักลูกของเราขนาดไหน? นี่พระเจ้า พระคัมภีร์บอกมากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้า จะรักเรามากยิ่งกว่านั้นอีก
ข้อมูลความจริงที่เราต้องใส่เข้าไปในสมองเรา เพื่อไปทำลายล้างข้อมูลเท็จ ข้อมูลโกหกที่เคยรับมาในอดีต …
“พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรม หรือเป็นผู้ต้องการให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นในชีวิตเรา มนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าดี”
พระองค์ดี พระองค์ร้ายไม่เป็นเลย และถ้าอย่างนั้น คำตอบที่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ คืออะไร?
– ทำไมเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงต้องเผชิญปัญหา ความทุกข์ยากลำบากนั้น
กลับมาที่เดิม ความทุกข์ยากลำบาก ตอบสิ ถ้าไม่ใช่มาจากพระเจ้า แล้วทำไมมันยังต้องมีอยู่ ในเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือข้อมูลที่ตั้งใจมาบรรยายให้ท่าน แล้วมันก็จะเป็นพรให้ท่านไป ไม่ใช่พรสำหรับปีหน้าอย่างเดียว ตลอดไปเลย แต่พรนี้มันต้องมาโดยรับรู้ความจริง พระเยซูพูดตลอดว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงทำให้เราเป็นอิสระ ไม่เป็นทาส
ความจริง ก็คือตอนที่พระเจ้าสร้างโลก ธรรมชาติของชีวิตบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย สวยและดี แต่เนื่องจากความบาป คำสาปแช่งที่เกิดขึ้น จากการที่มนุษย์ คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ถูกล่อลวงโดยมาร ได้ทำให้โลกใบนี้ มันชั่วร้าย เอาความชั่วร้ายเข้ามา เอาความดีออกไป พูดง่ายๆ ก็คือเอามารเข้ามา เอาพระเจ้าออกไป พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะออกไป แต่มนุษย์ไม่เอาพระองค์ โดยถูกล่อลวง และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โลกใบนี้ ก็มีแต่ความชั่วร้าย ไม่สวยงาม ไม่ราบรื่นอีกต่อไป
ตอนที่พระเจ้าสร้างสวนเอเดน สร้างมนุษย์ใหม่ๆ ดีงามหมดเลย พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วพระเจ้า สั่งอาดัมและเอวาว่า …
“อย่ากินผลไม้นี้ ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะฆ่าเจ้า” ถูกหรือเปล่า? ไม่ใช่
“ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะลงโทษเจ้า” ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่
“ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะตีสอนเจ้า” ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่
แต่บันทึกไว้อย่างนี้ “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”
ใครทำให้ตาย พระเจ้าทำให้ตายเหรอ ไม่ใช่ พระเจ้าว่า “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะได้รับผลของมัน” คือความบาป ทำให้เกิดความตาย
อย่างที่ผมพยายามยกตัวอย่าง บ่อยๆ เด็กๆ ลูกเรา อย่าเอามือแหย่ลงไปในปลั๊กไฟนะลูก ถ้าวันใดเจ้าแหย่เข้าไป ฉันจะฆ่าแก อย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ ไปแหย่ไฟมันจะช๊อตเอา มันตายนะ ลูกเอ๋ย อันนี้จะเห็นชัด เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว เริ่มโลกใหม่ๆ ว่าใครคือดี ใครคือเลว ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้มีบุคลิกอย่างนั้น นี่คือความจริง ที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งเราจะต้องยอมรับความจริงนี้ เพื่อจะได้เป็นอิสระ เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงนี้ และมีทุกข์ให้มันน้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และมีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความสงบสุขกับพระเจ้ามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการ
ความหวังที่คิดว่าพระเจ้าจะให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบาย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีนะ ฉันหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรฉันให้มีชีวิตที่สุขสบาย
“สุขสบาย”
ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นความหวังที่เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ ในเมื่อเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โลกเดิมอยู่เลย มันจะเป็นไปได้ได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ความบาป ความสาปแช่งมันเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้ว สุขสบายกาย มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ตรงกับความเป็นจริงกับโลกที่เสียหายไป เพราะความจริงโลกใบนี้มันกำลังไปสู่ความเสื่อมโทรม เสียหายอย่างหนัก และจะสิ้นสุดในวันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากพระบิดาเท่านั้น เห็นไหม? เมื่อมันยังไม่สิ้นสุด มันก็ยังอยู่ในความชั่วร้าย ท่านอยู่ในแตงโมเน่า ท่านก็จะได้รับความเน่าของแตงโมด้วย ท่านอยู่ในแตงโมเน่า ท่านอย่าหวังว่า …
“ฉันจะหาตรงที่มันดีๆ”
มันไม่มีดีหรอก เราต้องยอมรับความจริงอย่างนี้ ถ้าเราไม่ยอมรับ เราก็ฝืนกับความจริง มันไม่ได้ เราก็จะมีทุกข์มากขึ้น กังวลมากขึ้น แทนที่จะมีสุข และรอดไปสวรรค์ แบบมีสันติสุข กลายเป็นรอดไปสวรรค์ แบบรอดในไฟ กังวลอยู่ตลอด แล้ววันที่สิ้นสุดของความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่
พระเยซูถูกรับลอยขึ้นไปต่อหน้าต่อตา เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ประมาณ 2,000 กว่าปี ตอนนี้พระเยซูอยู่ตรงนี้ รูปร่างแบบมนุษย์นะ รอวันนั้น วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ เมื่อพระเยซูยังไม่กลับในเวลานี้ ก็อย่าหวังว่า …
“แม้ฉันจะเชื่อในพระเยซูแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์จะช่วยให้ฉันมีความสุขสบาย บนโลกใบนี้ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีความทุกข์เลย สบาย”
วิธีเดียวที่จะทำให้เราได้พบกับสันติสุข ความสงบ คือมองและยอมรับ ไปที่ความจริงที่มันเกิดขึ้นว่าโลกมันเสียหายไปแล้ว แต่เรารับเชื่อพระเจ้า เราเชื่อในพระเยซู เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตอนนี้สถิตอยู่ในเรา เราเป็นวิหารของพระเจ้า นี่คือความจริง อะไรที่มันไม่จริง มันไม่ได้ อย่าพยายามไปฝืน ไปหวังมัน แต่อะไรที่มันเป็นจริง พระเจ้าจะพาเราเข้ามาสู่ความเป็นจริงและสงบ เพื่อมีความสุขบ้าง มากกว่าที่เราถูกหลอก
วิธีการ คือให้เราจดจ่อเหมือนเดิมที่บอกไว้เสมอ จดจ่อตาฝ่ายวิญญาณของเรา และโฟกัส หมายถึงพุ่งไปที่โลกวิญญาณ ที่เบื้องบนว่าตอนนี้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้านะ พระเจ้าอยู่กับเรานะ ทุกวันนี้ จะรู้หรือไม่รู้ ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจเข้าออกของท่าน พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แสงสว่างของพระเยซูคริสต์ฉายออกจากตัวเราตลอดเวลา ไม่ต้องถึงกระดูก แค่ผิวหนัง ก็มีแสงสว่างกระจายออกมาตลอดเวลาในกายของเรา แต่เรามองไม่เห็น ในพระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าพระองค์จูงมือเราตลอดเวลา ขณะที่เราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจเข้าออก อยู่กับเราตลอดเวลา และข้อสำคัญ สิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก โดยมาร และอยู่บนโลกใบนี้ และมีสันติสุขได้ ก็คือต้องแก้ข้อกล่าวหาที่สอนกันมาผิดๆ กล่าวหาพระเจ้า
สิ่งที่สอนกันมาผิดๆ เช่น สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นต่างๆ นั้น เกิดจากความเชื่อของเรามันน้อยนิด มารมันใส่ร้ายตัวเรา ให้เรารู้สึกฟ้องผิดว่าที่มันเป็นคนใส่ความชั่วร้ายเข้ามาในชีวิตเรา เอาความทุกข์ยากเข้ามา มันบอกเราว่าเป็นคนทำเอง เพราะเรามีความเชื่อน้อย หรือเกิดจากการที่เราไปทำผิดบาป หรือเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะเราไปทำผิด ทำบาป นี่มันเยอะมากเป็นอย่างนี้ ต้องแก้ไขตรงนี้ก่อนว่าความคิดนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะถ้าท่านไปคิดอย่างนี้อีก มันก็เลอะอีก มันไม่ได้เป็นความจริง เพราะความจริง ความทุกข์ลำบาก เกิดจากโลกใบนี้ ที่มันเสียหาย มันถูกสาปแช่ง เหมือนแตงโมเน่า ความจริงต้องดึงตรงนี้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้น มันผลักให้เรารับผิดชอบ เราก็รับ เราเองแหละเป็นคนทำ ไม่ใช่ แกต่างหากมาร ชัดเจนเลย นี่คือความจริง ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นก็ตาม คนทำดี ก็เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอปัญหาวิกฤต เจอปัญหาในชีวิต เจอโศกนาฎกรรม เช่นเดียวกันกับคนที่ชั่ว เหมือนกัน นี่แสดงว่าเรามีความเชื่อน้อย ไม่ใช่เลย เหมือนกันหมด ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอย่างนี้หมด เพราะโลกใบนี้มันเน่าไปแล้ว มันวิปริตไปแล้ว ต้องรับตรงนี้ให้ได้ คิดตรงนี้ให้ได้ นี่คือส่วนหนึ่งของข่าวดี ข่าวประเสริฐ ให้ชัดๆ เลยว่าอย่าไปหวังเอาอะไรแน่นอนกับโลกใบนี้ และระบบของโลกใบนี้ ถ้าขืนไปฟิค ติดสนิทอยู่กับมัน หวังในมัน คุณก็จะเสียใจ เพราะมันหลอกลวงคุณไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์ใช้คำว่ามันกินลม กินแล้ง มันไร้สาระ มันไม่มีประโยชน์ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ในระหว่างที่เรากำลังเผชิญปัญหา พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา คอยนำทางเรา และพาเราก้าวผ่านความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ และแน่นอนพระเจ้าไม่ใช่เป็น ผู้ที่เอาความชั่วร้ายมายัดเหยียดใส่เรา แต่กำลังพาเรา จูงมือเรา ดำเนินชีวิตให้มันทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อคืนนี้ผมได้คิด เหมือนโลกใบนี้มันเสียหายหมดแล้ว นึกถึงภาพสงคราม ทำไมสงครามกลางเมืองในประเทศต่างๆ อยู่ใกล้ๆ เรา ที่ในยุคเราก็เห็นชัด ก็คือสงครามที่อยู่ในเวียดนาม หรือเขมรก็ตาม ปรากฏว่ามีการสู้รบกัน แล้วเขาก็เอาระเบิดไปฝังไว้ในดิน ประชาชนไม่รู้เรื่อง เดินไปเหยียบระเบิด ขาขาด แขนขาด เสียชีวิต พิการเยอะแยะไปหมดเลย ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนบ้าง มันอยู่ใต้ดิน ฝังไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แถบๆ ชายแดน ผมเห็นภาพเหมือนกันอย่างนั้นแหละว่าบนโลกใบนี้ มันมีหลุมระเบิดเต็มไปหมดเลย แล้วเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะไม่โดนระเบิดเหรอ มันโดนแน่ๆ แหละ แต่ถ้าเรามีผู้นำทางดีๆ เราก็อาจจะโดน เพราะมันเยอะ เพราะบางครั้งเราไม่เชื่อเขา เราขอเดินอย่างนี้อีกทีหนึ่ง เขาบอกให้มาทางซ้าย เราก็บอก เราอยากจะไปทางขวา เพราะเพื่อนชวน แล้วเราเหยียบทางขวาไป เราก็นิ้วขาดไปนิ้วหนึ่ง แต่ไม่ถึงตาย เขาก็บอกต่อไปให้เชื่อเขา เดินตาม เราก็เจ็บน้อยหน่อย ไม่ใช่ไม่เจ็บ
สมมติ โลกใบนี้หลุมระเบิดเต็มไปหมดเลย แล้วพระเจ้าพาเราเดิน ขวา เราเดินไปขวา เดินชนกำแพง พยายามให้มา เขาดื้อ จะไปทางนั้น เสร็จแล้วก็จำได้แล้วว่าถ้าเดินไปอย่างนั้น จะไปไม่ได้ เห็นไหม? ครั้งที่แล้ว ฉันจำได้ ฉันเจ็บแล้ว เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ พระเจ้าพามาทางนี้ เราก็เดินตามไป ดีแล้ว รอด เดินไปถึงตรงนี้พระเจ้าบอก ลงไปเป็นเหว อย่าลงๆ ไม่ลง แต่บางครั้ง อาจจะลงไปก่อน แล้วก็จำได้ ไม่ใช่ๆ
เพราะฉะนั้น เราก็เหมือนกัน พระเจ้าพาเรา เราก็เดิน ขวานิดหนึ่ง ขวา 45 องศา แล้วเราคุ้นๆ ใครๆ ก็บอกสติปัญญาของมนุษย์แบบนี้ แก้ไขอย่างนี้ดี เจ็บ เขาบอกแล้วอย่าโลภๆ โอเคๆ วันหลังเจอเรื่องนี้อีก ฉันจำได้แล้ว ครั้งที่แล้วหลอกลวงให้ฉันโลภ ฉันเสร็จเลย ฉันเชื่อพระเจ้าดีกว่า ทั้งชีวิตมันเป็นอย่างนี้ และถ้าเราไม่เชื่อในพระเจ้า เราเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกเหมือนคนตาบอด ไม่รู้เรื่องเลย ท่านลองคิดดู ถ้าเผื่อคริสเตียนมีพระเจ้าสถิตอยู่นำพาชีวิต ไปสวรรค์ยังพิการเยอะแยะเลย นิ้วขาดบ้าง ขาขาดบ้าง ไปเหยียบกับระเบิด แล้วถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียน คงไม่เหลืออะไรเลย เพราะเหยียบทั้งวัน โดนอันนั้น โดนอันนี้ตลอด
สรุป ก็คือต้องแก้ไขความคิด และความเข้าใจของเรา ใน 2 ประเด็นนี้ คือ …
(1) ความทุกข์ลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากพระเจ้านำเข้ามา ต้องพยายามใส่เข้าไปให้ได้ 100%
(2) ปัญหาความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญ ในระหว่างการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดจากความบาป ความสาปแช่ง หรือเกิดจากการกระทำต่อพระเจ้าแต่อย่างใดเลย แม้แต่นิดเดียว คือเราไม่ต้องรับผิดชอบ มันไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระคัมภีร์บอกแล้วว่าเพราะบาปของเรา ถูกยกออกไปหมดแล้ว ถูกชำระจนขาวสะอาดหมดจดแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระองค์อยู่ที่ไม้กางเขน บอกว่าสำเร็จแล้ว เท็จเทเรสสไตด์ จ่ายหมดแล้ว จ่ายหนี้บาป ไม่เกี่ยวแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราไม่เป็นหนี้ใคร ไม่ต้องชดใช้หนี้ให้ใครอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น จำไว้เลย มันไม่ใช่ตัวเราแน่นอน เราไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งสิ้น นี่คือความจริงที่จะทำให้เราเป็นอิสระ
(1) ไม่ใช่มาจากพระเจ้า
(2) ไม่ใช่มาจากตัวเรา
เราไม่ต้องรับผิดชอบ นี่คือการเป็นอิสระ
เอเฟซัส 1:3-6 ยืนยันให้กับเราว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่บาป ชั่วนิรันดร์ ทันทีทันใดนั้น เราได้รับพระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณนานัปการเต็มที่ ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะเป็นคนดี และได้ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และในสวรรคสถานตลอดไปเป็นนิตย์ นี่ตัวยืนยันว่าเราไม่ต้องไปรับผิดชอบสิ่งที่เขาบอก แต่เหตุมาจากโลกใบนี้ที่เน่ามากกว่า
เอเฟซัส 1:3-6 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ด้วยความรัก 5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6 เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า”
ชัดเจนมาก พระเจ้าได้ประทานพระพรนานัปการ แปลว่าหมดทุกอย่าง ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ คือในโลกวิญญาณ ก็คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ เราได้รับมาหมดเรียบร้อยแล้ว แต่พระพรทางฝ่ายเนื้อหนังที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ยังเป็นไปตาม ระเบียบกฎเกณฑ์ และเป็นไปตามคำสาปแช่งเดิมอยู่ พระเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น มันเป็นไปตามคำสาปแช่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะชำระให้ จะจัดการให้เรียบร้อย สัญญาไว้
เพราะฉะนั้น แทนที่จะใส่ร้ายพระเจ้าว่าพระเจ้านำความชั่วร้ายมาให้ พระเจ้าทรมานลูกของตัวเอง เพื่อฝึกฝนอะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็ควรเข้าใจให้ถูกต้องใหม่ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้นำเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก ที่ถูกล่อลวง โดยระบบของโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ที่กำลังถูกควบคุมโดยมารต่างหาก ไม่ใช่เป็นคนทำ แถมเป็นคนช่วยเราออกมาด้วยซ้ำไป
พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ god of this world ก็คือมาร ได้ปิดบังตาผู้คนเหล่านั้น ที่ยังไม่เชื่อ ให้ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อที่จะได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นพวกของมันต่อไป เพื่อทำสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ให้มันเกิดความยุ่งเหยิง วุ่นวาย ทำให้คนที่เชื่อพระเจ้า หรือคริสเตียนสับสนมากขึ้น ท่านจะเห็นภาพว่าอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าควบคุมอย่างเดียว คำว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างอยู่ อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า มิได้หมายถึงพระเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่ มันมีกฎ มีระเบียบ พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ ยุติธรรม ทำตามระบบระเบียบของพระองค์ พระองค์ไม่ละเมิดสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งไว้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นชัดเจนว่ามารพยายามที่จะให้เราเข้าใจพระเจ้าผิด พยายามยัดเยียดความชั่วร้ายไปที่พระเจ้า ซึ่งอย่างที่ตะกี้บอก ถ้าเราฝังอยู่ในหัวตลอดเวลา พระเจ้าเป็นพระเจ้าดี ไม่มีความชั่วร้าย ไม่ว่าเราจะคิดได้หรือไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้นอย่างไรก็ตาม? แต่เราสรุปเลยว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าดี
“อันนี้ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่เข้าใจ ลึกซึ้งมาก”
สรุปแล้วว่าถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี มาจากมารแน่นอน แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดี มาจากพระเจ้าแน่นอน สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา ท่ามกลางความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มีบันทึกไว้ในหนังสือสดุดี ท่านลองดูนะ สดุดีบอกว่าพระองค์ทรงนำเรา เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ผมยกสดุดีมาให้ท่านเห็นชัดเจนแจ่มใส ได้ว่าทุกวันนี้ บนโลกใบนี้ เกิดอะไรขึ้น แล้วคริสเตียนอยู่ตรงไหน? ดำเนินชีวิตกันอย่างไรในโลกวิญญาณ นี่คือสดุดี บทที่ 23 พระองค์ทรงเตรียมสำรับ คือเตรียมโต๊ะอาหารให้กับเราต่อหน้าต่อตาศัตรู พระองค์ทรงเจิมศีรษะเราด้วยน้ำมัน ลองอ่านดู สดุดี 23:1-6
ก่อนอ่าน ผมจะอธิบายให้ฟังในสดุดี บทที่ 22 และบทที่ 23 เขาเรียกว่าเป็นการบอกล่วงหน้าของพระเจ้า เวลาพระเจ้าบอกล่วงหน้า พระเจ้าบอก 2 อย่าง คือไม่ด้วยภาพ ก็ด้วยถ้อยคำ ถ้าด้วยถ้อยคำ เขาเรียกว่าเผยพระวจนะ แต่ถ้าด้วยภาพ เขาเรียกว่าด้วยนิมิต แต่นิมิตนี้ก็กำลังจะบอกว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น โดยให้นิมิตกับกษัตริย์ดาวิดบันทึกเอาไว้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่กษัตริย์ดาวิดได้นิมิตนี้อีก 1,000 ปี เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และไปยอมตาย ด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน หลั่งโลหิต เพื่อชำระบาป ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน เพื่อให้มนุษย์ทุกคนกลับมาสู่ครอบครัวพระเจ้าเหมือนเดิมได้ เพื่อพระเจ้ากับมนุษย์จะได้คืนดีกันได้
เพราะฉะนั้น เรามาอยู่ในยุคนี้ เราหันกลับไปดูสิว่าในการบอกล่วงหน้าของพระเจ้า ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไม้กางเขน มันเป็นอย่างไร? ก็คืออยู่ในสดุดี บทที่ 22 ท่านไปอ่านเอง สดุดี บทที่ 22 คือเหตุการณ์ทั้งหมด ที่อยู่ที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูคริสต์กำลังไถ่บาปให้เรา จนกระทั่งจบ สำเร็จแล้ว พอสำเร็จแล้วปุ๊บ นิมิตต่อมา ก็คือสดุดี 23 คือ เฮ้ๆ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ต่อไปนี้มนุษย์กับพระเจ้ากลับคืนดีกันแล้ว มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรคสถานได้แล้ว แล้วพระเจ้าก็เข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ และดำเนินไปด้วยกัน แล้วมันเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างที่เขียน สดุดีนี้ เป็นนิมิตที่กษัตริย์ดาวิดบันทึกเอาไว้
สดุดี 23 ก็คือความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในขณะนี้ ที่พวกเราทั้งหลาย เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว ขณะที่ทุกวันนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ มันเกิดสดุดี บทที่ 23 ในชีวิตของพวกเราทุกคน อ่านไป ท่านจะได้เข้าใจ
สดุดี 23:1-6 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดั่งเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังริมน้ำอันสงบ 3 พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 แม้ข้าพระองค์เดินผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ 5 พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับข้าพระองค์ ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน จอกของข้าพระองค์เปี่ยมล้นอยู่ 6 แน่ทีเดียว ความดีและความรักอันยั่งยืนจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”
นี่คือท่านกำลังอยู่ตรงนี้ ที่เราอ่าน คือคำเผยพระวจนะบอกล่วงหน้าสิ่งที่เกิดขึ้น ในอีก 1,000 ปีข้างหน้า เมื่อพระเยซูมา และตอนนี้พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วตามนี้ เลยมา 2,000 ปีแล้ว และเราทั้งหลายเชื่อในพระเยซู เรากำลังอยู่ตรงนี้เลย ทั้งหมด “บัดนี้ พระเจ้ากับมนุษย์สามารถเข้ากันได้แล้ว” ก็คือเราทั้งหลายเป็นคริสเตียน กำลังเป็นอย่างนี้ ตามที่บรรยายไว้ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 ชัดเจน และเมื่อเราหมดหน้าที่บนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าก็จะมารับเรากลับบ้าน
ผมจะบอกให้ท่านฟัง พอเราได้เชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว พอรับเชื่อปั๊บ เราได้บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มาเป็นวิญญาณ พระเจ้ามาสถิต และนำพาเราเดิน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยตั้งใจที่จะใช้เรา คือใช้เราที่เป็นมนุษย์ คือเรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ร่างกายเดิมที่ยังไปไหนมาไหนได้บนโลกใบนี้ เพื่อประกาศพระสิริ เพื่อให้แสงสว่างของพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา และเราก็เป็นลูกของพระองค์ เป็นแสงสว่างเดียวกันนั่นแหละ ฉายแสงออกไปยังโลกใบนี้ ที่มันมืด เพื่อข่าวดีของพระเจ้า เพื่อผู้คนอีกมากหลาย เพื่อแผนการของพระองค์จะได้สำเร็จ เราไม่รู้แผนการคืออะไร? แต่พระองค์ทรงใช้อย่างนี้แหละ และถ้าเผื่อสมมติว่ามันไม่ได้ต้องการเราแล้ว ภาระนี้ไม่ต้องการเราแล้ว ก็มีคนอื่นทำ พระองค์ก็จะรับเรากลับบ้านไง อยู่ทำไม เหนื่อยเปล่าๆ มันไม่ได้ดีอยู่แล้ว มันทุกข์ ก็รับกลับไป เหมือนเกิดขึ้นกับเปาโล … เปาโลทั้งติดคุก ทั้งถูกเฆี่ยน เรือแตก จิปาถะ ไม่ตาย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา มันยังไม่หมดภาระ ที่พระเจ้าให้เปาโลในการประกาศข่าว เปาโลก็พูดเอง ถ้าเราอยู่ ก็เป็นประโยชน์ สำหรับพวกท่าน แต่ถ้าเราไป มันดีกว่าเยอะ ให้ไปดีกว่า ตายก็ได้กำไร และเปาโลมีทุกข์มาก เปาโลมีความเชื่อ มีความทุกข์ได้อย่างไร? เปาโล ในกิจการบอกว่าคนเอาผ้าเช็ดหน้าไปให้เปาโลวางมือ เอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนป่วย คนป่วยหายโรค เปาโลมีความเชื่อเยอะมากนะ ไม่กลัวอะไรเลย แต่เปาโลมีทุกข์ทรมานมาก มีหนามในเนื้อ ไปขอพระเจ้า 3 ครั้ง พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ถ้าเปาโลอธิษฐานถึง 3 ครั้งในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แสดงว่ามันทุกข์ยากลำบากจริงๆ และพระเจ้าบอกว่า …
“พระคุณของเรา ในพระเยซูคริสต์ มันมากเพียงพอสำหรับเจ้าในการทำงานอยู่บนโลกใบนี้ และฤทธิ์เดชอำนาจเราจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ทำงานอย่างเต็มที่ในชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอ ลำบาก”
พระเจ้ากำลังจะบอกว่าอย่างนั้นแหละดีแล้ว เพราะโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เราก็เหมือนกัน ถ้าพระเจ้าเสร็จงานกับเรา พระเจ้าก็เอาเรากลับแล้ว เพราะฉะนั้น เราอยู่ทุกวันนี้ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นำพาเราเดินแต่ละวัน ก็เพื่อใช้เรา ใช้ร่างกายเราให้เป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการของพระองค์ ที่เราไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร? แต่ใช้เราแน่นอน ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ พระเจ้าใช้เรา และถ้าเสร็จการงานเมื่อไร พระเจ้าก็รับกลับไป ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ในพระคัมภีร์บอกท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่เป็นสวรรค์ระดับหนึ่งที่เรียกว่าพาราไดซ์ ภาษาไทยแปลว่าเมืองบรมสุขเกษม ตอนนี้ท่านอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม อยู่ในสวรรค์แล้ว ในวิญญาณท่าน พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านรู้ไหม? รู้ แต่บางครั้งลืม ตอนมีความทุกข์มากๆ มันลืม มันเรื่องธรรมดา แต่ต้องรับรู้บ่อยๆ จดจ่อบ่อยๆ ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน อยู่เดี๋ยวนี้ ได้รับพระพรนานัปการเรียบร้อยไปแล้ว ที่ตะกี้เราอ่านกัน ท่านอยู่ที่นี่แล้ว เพียงแต่มันถูกฟิค ถูกบังคับ โดยการยังอยู่ในร่างกายของมนุษย์อยู่นี้ มันก็เลย ถูกเบียดบัง มองอะไรไม่เห็นชัด แต่พระเจ้ากำลังใช้ร่างกายนี้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ และเมื่อวันข้างหน้า
อย่างที่บอก เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา เมื่อหมดยุคของโลกใบนี้ ที่มันเสียหายนี้ เมื่อพระเจ้าล้างโลกใบนี้ มันก็จะมีสวรรค์ใหม่ลงมา อันนี้เรียกว่าสวรรค์จริงๆ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “นครเยรูซาเล็มใหม่” ก็คือโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ เพราะโลกเก่า ฟ้าเก่าได้ล่วงไป ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว และพระเจ้าก็ให้เราเห็นลางๆ ว่าโลกใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร? นิดหนึ่ง เพื่อเป็นยาหอมให้กับท่าน ในการดำเนินชีวิตปีใหม่นี้ต่อไป จนกระทั่งถึงสุดท้าย ชีวิตเรา เราจะได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้อย่างมั่นคงขึ้น มีสันติสุข (ไม่เอาแล้วสุขสบายกาย ไม่หวังตรงนั้นแล้ว ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มีสันติสุข) ถ้าอย่างนี้มันเป็นไปได้แน่นอน เพราะว่าเป็นไปตามธรรมชาติความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น ไม่ฝืน อย่างนี้ได้แน่นอน คือหวังให้มีสันติสุขมากที่สุด
พระคัมภีร์เวลาเขาอธิษฐานกัน เขาให้พรกัน เขาจึงบอกว่าสันตุสุขจงมีแด่ท่าน ไม่ได้บอกความสุขจงมีแด่ท่าน สันติสุข เวลาบอกพระพร คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายร่างกาย เจริญรุ่งเรืองแข็งแรง ร่ำรวย อะไรไม่ใช่เลย อันนั้นเป็นส่วนประกอบ มีไม่มีไม่เป็นไร เอเมน
วิวรณ์ 2:1-4 คือความหวังใจของเรา
วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
ระบบเก่า ก็คือโลกใบนี้ คำสาปแช่ง มันจบแล้ว สวนเอเดนใหม่ สวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าสร้างให้ มันดีกว่าเก่ามากสักไม่รู้เท่าไร? มากกว่าตอนโลกนี้ไม่เสียหายด้วยซ้ำ ดีกว่าสมัยที่อาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับอาดัมและเอวา พระเจ้าเดินอยู่ข้างๆ จูงมือเขาเดิน แค่นี้เขาก็มีความสุขเหลือหลายแล้ว แต่ในโลกใหม่นี้ บอกว่า …
“พระเจ้าทรงอยู่ในเขาเลย ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ยืนข้างๆ ให้ถูกมารหลอกลูกฉันอีกแล้ว ฉันจะไปเดินอยู่ในตัวเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีใครมาหลอกเขาได้อีกแล้ว ไม่มีใครมาเอาเขาออกไปจากมือฉันได้อีกแล้ว ไม่มีใครเอาแกะออกจากคอกของฉันได้อีกแล้ว ฉันไม่ยอมอีกแล้ว และจะอยู่ที่นั่นนิรันดร์กาล”
ผมอยากให้ท่านมองสดุดี บทที่ 23 ให้ท่านค่อยๆ อ่านไป แล้วให้พระวิญญาณเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ท่านเห็นว่าในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้ ในเดี๋ยวนี้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านอยู่อย่างนี้แล้ว ท่านเป็นอย่างนี้แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ให้ท่านใส่ชื่อท่านไปเลยว่าพระเจ้าเลี้ยงนครดุจเลี้ยงแกะ ใส่ชื่อท่านเข้าไปเลย มันเป็นเดี๋ยวนี้ มันอยู่เดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วท่านจะไปกลัวความทุกข์ยากลำบากอะไรล่ะ ที่ท่านกลัวมาตลอด ที่ท่านวิตกกังวลมาตลอด เรื่องสุขภาพเอย การเงิน การงาน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องปัญหาต่างๆ ของโลกใบนี้ เรื่องความวุ่นวายต่างๆ ของโลกใบนี้ ท่านกลัวอะไรตอนนี้ พระเจ้าอยู่กับท่านตอนนี้แล้ว
ท่านหลับตาลงก็ได้ เดี๋ยวผมอ่านให้ฟัง จะได้มีสมาธิ
“พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงฉันเหมือนกับเลี้ยงแกะ ฉันไม่มีวันที่ขัดสนในพระพรต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงให้ฉันนอนที่ทุ่งหญ้าเขียวสด และนำฉันไปยังริมน้ำแดนสงบ เต็มไปด้วยสันติสุข พระองค์ให้ฉันบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเยซู และพระองค์ทรงทำให้ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นผู้ชอบธรรม โดยพระเยซูคริสต์ แม้ว่าฉันยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เงาแห่งความตาย ความชั่ว ฉันก็จะไม่กลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายฉันขณะนี้ พระองค์จะทรงปกป้องฉันและนำทางฉัน ฉันสามารถวางใจและสบายใจได้ในพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมทุกสิ่งไว้ให้ ในการดำเนินชีวิตอยู่ ต่อหน้าต่อตาศัตรูรอบข้างบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเจิมศีรษะของฉันด้วยน้ำมัน ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู ด้วยความเมตตา ด้วยความปลอบโยนจิตใจฉันตลอดเวลา ขันน้ำก็ล้นอยู่ ความปลื้มปิติยินดีในความรักของพระเจ้า ก็ล้นอยู่ในใจของฉันตลอดเวลา ตลอดวันคืน ซึ่งแน่นอนทีเดียว ที่ความดี ความรัก อันมั่นคงของพระเจ้านี้ จะอยู่กับฉัน ในชีวิตของฉันนี้ตลอดไป ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดชีวิตของฉัน และฉันจะอยู่อาศัยในพระนิเวศน์ของพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งไปถึงสวรรค์ใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ จะไม่มีความทุกข์ยากลำบากที่นั่นอีกต่อไป จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความขาดแคลน ไม่มีการทะเลาะวิวาท ไม่มีปัญหาใดๆ ในสวรรค์ที่นั่นอีกต่อไป”
แล้วให้ท่านใช้เวลานี้อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************