วารสาร Holy News ฉบับที่ 1318

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “พระเจ้าอยู่ที่ไหน  ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้าย?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกประสบความทุกข์ยากลำบากเหมือนๆ กันหมด ทุกข์ยากมากบ้าง? น้อยบ้าง? เพียงแต่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบากคนละรูปแบบกัน ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เรียนรู้กันไปแล้ว เมื่อครั้งที่แล้ว  บางคนก็ทุกข์ยากลำบากจากเรื่องปัญหาสุขภาพ บางคนก็เรื่องปากท้อง การกิน การอยู่ การทำมาหากิน พูดง่ายๆ บางคนก็ทุกข์เรื่องปัญหาครอบครัว  เรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในสังคมอะไรต่างๆ  ทะเลาะเบาะแว้ง แม้ในสังคมบ้าน  ในครอบครัว ในบ้านเดียวกัน  พ่อ แม่ ลูก ทะเลาะกันรุนแรงก็มี ปัญหาแก้ไม่ได้ ที่ผมเน้นย้ำไปครั้งที่แล้ว  ก็คือความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ทั้งหมดทั้งปวง พุ่งตรงมาทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกใบนี้  เหมือนกันทุกคน โดนหมดทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม นี่คือพื้นฐานความจริง

และสำหรับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราก็ได้รับการสอน ได้รับการยืนยันมาตลอด จากถ้อยคำพระเจ้าว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา  ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วย  พระองค์กำลังดูแล กำลังนำทางเราเดิน และพระองค์จะสามารถนำพาเราผ่านในทุกสถานการณ์ได้  ทุกสิ่งจะเป็นผลดีสำหรับผู้ที่รัก ผู้ที่เชื่อวางในพระองค์ เพราะฉะนั้น ก็จะมีคนถาม ตามที่เราได้เรียนรู้กันครั้งที่แล้วว่าถ้าอย่างนั้น เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว ทำไมถึงยังต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากอีก ทำไมต้องเกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิตของเราด้วย  ทั้งๆ ที่เราเชื่อแล้ว 2 คำถามที่มักจะเกิดขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย ก็คือ …

(1) ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นกับมนุษย์    ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักดั่งแก้วตาดวงใจ? อันนี้เป็นข้อแรกเลย

(2) พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่เราตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น

นี่คือ 2 คำถามที่เราตั้งกันไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเราก็ได้คุย ได้ตอบคำถามข้อแรกไปแล้วว่า “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่พระองค์บอกว่ารักมากมาย ดั่งแก้วตาดวงใจ”  ซึ่งคำถาม สรุปความจริงในข้อนี้  ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์ตัดสินใจด้วยตนเองตั้งแต่แรกแล้ว คือให้เป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นทาส เป็นลูก มีอิสระในการตัดสินใจได้ สรุป คือพระเจ้าอนุญาตให้เราดื้อ ไม่เชื่อฟัง ตัดสินใจที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราดื้อ

เพราะเมื่อเราดื้อ เกิดสิ่งเลวร้ายเข้ามาในชีวิต พระองค์อนุญาตให้เรารับสิ่งเลวร้ายนั้น แต่พระองค์ไม่ได้ประสงค์ที่จะให้สิ่งเลวร้ายนั้น เกิดขึ้นกับเรา สรุปครั้งที่แล้วเป็นอย่างนั้น

ความจริง คือมนุษย์เองต่างหากที่นำความบาปเข้ามา  จากการถูกหลอก โดยมาร จึงทำให้มนุษย์ติดเชื้อบาป และเอาความตาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ยากลำบาก คำสาปแช่งลงมาสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และบ้าน คือที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ วิปริต เสียหายใหญ่โต กระทบกระเทือนกันไปหมดทั้งสังคมโลกใบนี้เลย ซึ่งหลักใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้สำคัญที่สุด ก็คือมนุษย์

มนุษย์จึงถูกทำลายด้วยความเสื่อมเสีย ความเสียหาย  เหตุจากบาปเข้ามาในโลก เราได้เรียนรู้แล้ว เพราะมนุษย์คนเดียว บรรพบุรุษของเรา เผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะดื้อ พูดง่ายๆ  พระเจ้าเตือน แล้วไม่ฟัง เราได้เรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแล้วนะ

เราได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าประสงค์ให้เป็นอย่างนั้น ถูกไหม? ตรงกันข้าม พระองค์กลับเสียใจ เศร้าใจอย่างมากมาย ฐานะเป็นพ่อ ลูกไม่เชื่อฟัง ได้รับบาดเจ็บ  ได้รับความเสียหาย มีพ่อที่ไหนจะดีใจ พ่อก็เสียใจ เศร้าใจ คอยวันเวลาที่จะเยียวยารักษาให้หาย ซึ่งพระองค์ก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว อันนี้สำคัญมาก นี่คือข่าวดี  พระองค์ทรงเยียวยารักษาให้หายแล้ว โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่มาตายบนไม้กางเขน และพระองค์ทรงตรัสที่ไม้กางเขน บอกว่า “สำเร็จเรียบร้อยแล้ว”

“สำเร็จ” คือรักษามนุษย์ให้หายจากเชื้อบาปเรียบร้อยแล้ว

ท่านอาจจะถามว่า “เรียบร้อยแล้ว แล้วทำไมโลกนี้ ไม่เห็นกลับมาดีเหมือนเดิมเลย  ก็ยังมีโรคภัยไข้เจ็บ มีความเสียหาย มีคำสาปแช่ง มีความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นเหมือนเดิม มนุษย์ทุกคนยังเจ็บป่วยเหมือนเดิมเลย ไหนล่ะ”

ก็อยากจะบอกว่าคำว่า “พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว” คือสำเร็จในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งมันเป็นนิรันดร์กาล  สำเร็จทางวิญญาณ ในทุกอย่าง ที่พระองค์ทรงกระทำ หายจากการติดเชื้อบาป แต่โลกใบนี้  และร่างกายของเราที่ถูกสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้ที่ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นของโลกวัตถุ ที่ต้องคำสาปและรับผลไปเรียบร้อยแล้ว คือต้องสิ้นสุดลง ต้องจบ ต้องตาย พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว คือวิญญาณของเรา  ได้เกิดใหม่ ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  แล้วก็รอวันที่พระองค์จะทำให้โลกนี้ เป็นโลกใหม่ สร้างโลกใหม่ให้กับลูกๆ ของพระองค์ได้อยู่อาศัย รอคอยวันที่พระองค์ทำอีกนิดหนึ่งให้สำเร็จ คือวันที่โลกใบนี้มันจะสิ้นสุดลง เราไม่รู้ว่าเมื่อไร?

วันที่โลกใบนี้และทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ถูกสำเร็จโทษพร้อมทั้งมารซาตาน  ต้นเหตุของการหลอกลวงมนุษย์ให้ตกลงไปในความบาป ไม่เชื่อฟังต่อพ่อ พระเจ้า มารและสมุนของมัน รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด และรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ มีวันที่จะจบ สิ้นสุดลง สลาย มารก็ถูกขังไว้ในบึงไฟนรกนิรันดร์ โลกใบนี้ ก็ดับสูญ ธาตุในโลกใบนี้ก็ดับสูญ รวมทั้งร่างกายมนุษย์ก็ดับสูญ แต่พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และเตรียมโลกใหม่ ฟ้าใหม่  ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ ในที่นั่นร่างกายของเรา ก็จะเป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ในโลกใหม่ ฟ้าใหม่ และร่างกายใหม่ ที่เราจะได้รับนั้น  เราจะอยู่ในโลกใบนั้น โดยไม่มีเชื้อบาปอยู่เลย ไม่มีผลของเชื้อบาป ไม่มีผลของคำสาปแช่ง  ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป  ไชโย เอเมน นี่คือความหวังใจ นี่คือความจริง  ฉะนั้น นี่คือความต้องการตามพระประสงค์ของพระเจ้า แผนการของพระเจ้าที่ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย เพียงแต่รออีกนิดเดียว

และวันนี้เราจะมาดูคำตอบสำหรับคำถามข้อที่ 2 ที่ผู้เชื่อมักจะถามพระเจ้าว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น”

“โอ้! พระเจ้าอยู่ที่ไหน ขณะนี้ผลกระทบจากโควิดทั้งโลก” คนที่เชื่อพระเจ้าส่วนใหญ่ก็จะถามว่า “โอ้! พระเจ้าอยู่ที่ไหน?” วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องคำถามข้อที่ 2 นี้ ซึ่งในข้อที่ 2 นี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ต้องตอบแยกกัน คือ …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ฉันกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น” นี่หมายถึงมนุษย์กลุ่มแรก คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในพระเจ้า คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ประทานให้ คือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อใช่ไหม? ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เป็นกลุ่มแรก ถ้ากลุ่มแรกถามว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ฉันกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายอย่างนี้”

คำตอบจากพระคัมภีร์ “พระเจ้าอยู่ที่ไหน?” พระเจ้าอยู่ข้างๆ ท่าน  พระเจ้าอยู่ล้อมรอบท่าน คอยตามท่านตลอดเวลาเลย  แม้ท่านจะนอน ท่านจะตื่น ท่านจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะทำดีขนาดไหน? หรือทำชั่วขนาดไหน? พระเจ้าก็อยู่ข้างๆ ท่านอยู่ เรียกว่าโอบล้อมร่างกายของท่านอยู่ รอวันเวลาที่ท่านจะพบความจริง ในพระเยซูคริสต์ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ยอมรับว่าช่วยตัวเองไม่ได้ ขอพระเจ้าเข้ามาช่วยด้วย พระองค์มาเคาะประตูใจ เคาะตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที เพื่อให้ท่านเปิดใจ ตัดสินใจ ยอมให้พระองค์เข้ามาช่วยในการดำเนินชีวิตของท่าน  เมื่อท่านไม่ไหวแล้ว ท่านไปไม่ได้แล้ว  ท่านยอมสยบ

“ด้วยกำลังของฉันเอง ฉันไปไม่ได้แล้ว” แสวงหาอะไร ก็ช่วยท่านไม่ได้แล้ว เหลือแค่พระเจ้าเท่านั้น เหลือแค่พระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านยังไม่เคยลองดู ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร? นั่นแหละ พระเจ้าก็จะเข้าไปในร่างกายของท่าน  ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ และท่านก็จะสามารถมาฟังคำตอบ ข้อ 2 ของกลุ่มที่ 2 นี้ได้

สรุปว่ากลุ่มแรก คือพระเจ้าเคาะประตูใจท่านตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ขณะที่ท่านทนทุกข์ลำบาก อยู่ในความวุ่นวาย บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอะไรก็ตามที่ตะกี้เราพูดกันมา  พระเจ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านนั่นแหละ รอให้ท่านตัดสินใจ เปิดใจ บังคับท่านก็ไม่ได้

สำหรับกลุ่มที่ 2 ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เรียกว่าคริสเตียนแล้ว  ความจริง ก็คือเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว  สถิตอยู่ในเรา คอยดูแล ช่วยเหลือ ในการที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ความทุกข์ยากต่างๆ  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้  และในขณะที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั้น พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกนี้แล้ว ชนะเชื้อบาปบนโลกใบนี้แล้ว เมื่อพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อนั้น หมายถึงว่าในตัวเรา ในวิญญาณของเรา  ที่เป็นคนบาป  มีจิตใจชั่วร้าย โดยกำเนิดนั้น ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการชำระล้าง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด จนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป ปราศจากความชั่วร้ายใดๆ นั่นคือตัวจริงๆ ของเราเลย มันเป็นอย่างนั้น  และพระองค์กำลังนำพาวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระจนสะอาด ในพระคัมภีร์บอกเหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น คำตอบของข้อ 2 ในกลุ่มที่ 2 คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของท่าน ทำให้ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  และทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน วิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่  ด้วย DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยวิญญาณชนิดเดียวกันกับของพระเยซูคริสต์

ย้ำอีกทีหนึ่ง ผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ ถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ เรียกว่ามีพระสิริ พระเกียรติ บารมี ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ ความดีงาม ท่านก็ได้รับวิญญาณอย่างนั้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น วิญญาณของท่านที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  นี่คือความจริง แล้วเราจะเห็นได้อย่างไร?  เห็นไม่ยาก ที่เคยบอกไว้ มองไปที่กระจก อ้าว! มองกระจก แล้วจะเห็นได้อย่างไรล่ะ มองกระจกเงา เห็นตัวท่านเอง  ถ้ามองกระจกเงา เห็นตัวเอง  ท่านหลับตาต่อหน้ากระจกเงา  พอท่านหลับตาปุ๊บ แล้วก็นึกถึงถ้อยคำพระเจ้า  ที่พระเจ้าบอกความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้กับเราได้รู้ว่าท่านเป็นใครในโลกวิญญาณ

หลับตา ท่านก็จะเห็นวิญญาณของท่าน ที่อยู่ภายในร่างกาย ที่เห็นด้วยกระจกเงาเมื่อตะกี้ ตอนลืมตานั่นแหละ พอหลับตาปุ๊บ ไม่เห็นกระจกเงาแล้ว แต่เห็นถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง ก็คือวิญญาณที่อยู่ข้างใน  พร้อมทั้งความคิดจิตใจ  สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณก็เหมือนพระคริสต์ ความคิดจิตใจ ก็เหมือนพระคริสต์ และตัวตนที่แท้จริงตรงนี้  คือวิญญาณและความคิดจิตใจนี้  จะไปอยู่กับพระเจ้าในวันหนึ่ง  ในโลกใหม่ที่ตะกี้นี้ เราพูดถึง

และในขณะนี้  ที่เราหลับตา แล้วเราเห็นความเป็นจริงโลกวิญญาณนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว มันเป็นอย่างนั้นอยู่จริงๆ  ก็คือขณะที่เราหลับตา เราจะเห็นวิญญาณของเรา ความคิดจิตใจของเราที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นน้องพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว  เพียงแต่รอคอยวันเวลา ที่ครบกำหนด สำเร็จโทษบนโลกใบนี้  สำหรับมารซาตาน และความบาป รวมทั้งโลกเก่านี้ ที่ถูกปกคลุมไปด้วย ความบาป ความเสียหาย สูญสิ้นไปหมดเมื่อไร? โลกใบนี้ จบเมื่อไร? วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็จะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย และท่านจะได้อาศัยอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย  ไม่มีสิ่งเสียหายอีกแล้ว  ดีกว่าสวนเอเดนเก่าอีก นี่คือความเป็นจริง … 1 2 3 ลืมตาได้ … หลับตาจึงเห็น ลืมตาไม่เห็น

เพราะฉะนั้น นี่คือเริ่มต้นตอบคำถามข้อที่ 2 “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านี้ เหล่านั้น ขณะนี้ ขณะนั้น”  เราจะมาเรียนรู้กันต่อในเรื่องนี้  เรียนรู้จากประสบการณ์ของอาจารย์เปาโล เรื่องหนามในเนื้อ ซึ่งเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ได้อย่างดี

พูดถึงอาจารย์เปาโล ก็การันตีได้ว่าท่านได้เรียนรู้เรื่องพระเจ้าลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ โดยการเรียนรู้จากพระเยซูโดยตรง แล้วพระเยซูเคยพาอาจารย์เปาโลไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 ได้เห็นมากับตา แล้วกลับมาอยู่บนโลกใบนี้  มาประกาศเรื่องข่าวประเสริฐต่อ เพราะฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด มันจึงลึกซึ้ง และชัดเจนในเรื่องโลกวิญญาณอย่างมาก

เปาโลก็จะใช้คำว่า “หนามในเนื้อ” หรือใช้คำว่า “ความอ่อนแอ” ที่อาจารย์เปาโลบอกความอ่อนแอ  มันหมายถึงอาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าตั้งแต่ความท้อแท้  ความเครียด ความกังวล ความกลัวในการถูกสบประมาณ กลัวความทุกข์ยากลำบาก ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก ลำบากทั้งใจและกาย คือเจ็บป่วยทั้งกายและใจ อาจารย์เปาโลเป็นอย่างนั้นจริงๆ ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลเผชิญสิ่งเหล่านี้หมด แล้วก็เปิดเผยให้ฟังได้เลยว่านี่คือความอ่อนแอของท่าน ที่ดำเนินอยู่บนโลก ทั้งๆ ที่มองไปที่โลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่ภายในอย่างไร?  ที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ทั้งๆ ที่รู้ แต่ยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก มันเกิดความรู้สึกเมื่อตะกี้นี้ ที่พูด มันยังทุกข์ยากลำบากอยู่

อาจารย์เปาโลเจ็บป่วยนะ เจ็บทางกาย ถึงขนาดตาบอด แต่เราไม่รู้ว่าคำว่าหนามในเนื้อ อาจารย์เปาโลพูดตรงนี้ เน้นไปที่ความเจ็บป่วยทางกาย หรือความเจ็บป่วยทางจิตใจ หรือความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด อะไรต่างๆ แต่ที่เรารู้แน่ๆ  ก็คือหนามในเนื้อ  คือความทุกข์ยากลำบากขนาดหนักเลย หนักมากขนาดอาจารย์เปาโลไม่ได้พูดว่าหนามในเนื้อ ถูกเอาหินขว้างให้ตาย แล้วก็ไม่ตาย เป็นขึ้นมาใหม่ ถูกเฆี่ยนไม่รู้กี่ครั้ง  เรือแตก ถูกเขาตามล่า จะฆ่า จะทำลายให้ตาย  แต่ละวันๆ เป็นอย่างนั้น  ความทุกข์ยากลำบากที่เรียกว่าหนามในเนื้อของเปาโลหนักมาก หนักถึงขนาดขอพระเจ้าให้ช่วย เอามันออกไป  แสดงว่าต้องหนักมากทีเดียว

ถ้าเทียบกับพวกเราในปัจจุบัน หนามในเนื้อของเรา คือผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนติดคุกติดตาราง ไปไหนก็ไม่ได้ กลัวจะติดเชื้อ กลัวฉีดวัคซีน แล้วเป็นอะไรผลข้างเคียง กลัวโน่น กลัวนี่ ผลกระทบ การทำมาหากินก็ลำบาก นี่พูดถึงเฉพาะแค่ในปัจจุบัน ก่อนโควิดมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว  คือความทุกข์ยากลำบากมันปกคลุมอยู่ในโลกใบนี้ตลอดเวลา

ฉะนั้น คำถามนี้ที่บอกว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกตกอยู่ในความเลวร้ายนี้” ไม่ใช่มาถามเฉพาะตอนที่มีโควิดระบาด แต่มีก่อนหน้านี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่สมัยอาดัมตกลงไปในบาปใหม่ๆ  จนกระทั่งถึงเปาโล จนกระทั่งมาถึงเราทุกวันนี้  จนกระทั่งถึงพี่น้องบางคนที่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะมีโควิดอีก เป็นมะเร็ง เจ็บป่วย ประสบกับปัญหา ทุกข์ยากลำบาก นอนเป็นอัมพาตอยู่ จะให้เขาคิดอย่างไรในชีวิต ทั้งๆ ที่เขาเชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องตะโกนถามเลยว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกกำลังลำบากถึงขนาดนี้?”

เพราะฉะนั้น คำถามนี้ไม่ได้มานึกถึง เฉพาะโควิดเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มี และเราทุกคนก็รู้ดีว่าต่างฝ่าย ต่างก็ประสบกับความอ่อนแอ หนามในเนื้อ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เท่าๆ กันทุกคน เป็นทุกคน โดนทุกคน เพราะว่าโลกใบนี้มันเสียหาย มันทุกข์ยากลำบากจริงๆ ตามนั้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการป่วยทางกาย ทางใจ ทางความคิดอะไรต่าง ทางความสัมพันธ์ ความหวาดกลัว ความวิตก กังวล ความซึมเศร้า ความเครียด สิ่งเหล่านี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น ซึ่งความจริง ก็คือพระเจ้าต้องการเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่พึ่ง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้เล้าโลม เป็นผู้นำทางสู่ความสำเร็จ สู่ชัยชนะอย่างแท้จริงของเราทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักเรามากที่สุด เกินกว่าใครในมหาจักรวาลนี้แล้ว

พระองค์ต้องการแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นใคร? ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ  พระองค์อยากให้เรารู้จักพระองค์ อยากให้เราสนิทกับพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา มีชีวิตอยู่กับเราตลอดเวลา  ทุกลมหายใจเข้าออก เราเดินไปที่ไหน? พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอย่างไร? พระเจ้าก็ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เรามักบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยเอาหนามในเนื้อนี้ออกไปที”

ก็เหมือนเปาโลอย่างนี้แหละ … “พระเจ้าไม่ไหวแล้ว ช่วยเอาหนามในเนื้อนี้ออกไปเถิด ขอโปรดทรงช่วยเหลือให้หลุดรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้  ไปด้วย เอามันออกไปจากลูกเถิด สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ลูกไม่ไหวแล้ว”

เหมือนที่เปาโลกำลังอธิษฐาน แต่พระเจ้าบอกเปาโล … “ไม่” ไม่เอาออกไป ทั้งๆ ที่รัก ทำไมไม่เอาออกไป เพราะว่าพระเจ้าบอกว่า … “ไม่ เพราะเราต้องการให้เจ้าเห็นว่าเราเป็นใคร? เราสามารถทำอะไรให้เจ้าท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งอธิบายยาก พระเจ้าคงจะอธิบายให้เราฟังยากมาก เพราะเราเป็นมนุษย์ เราจะเข้าใจไหม? พระองค์จึงให้เราเชื่อในพระองค์ วางใจในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา รักมาก ถึงขนาดประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อเรา ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ สำแดงความรักกับเราอย่างนี้แล้ว เชื่อมั่นในพระองค์ว่าพระองค์พาไปในสิ่งที่ดีได้  ที่ไม่ได้เอาความทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้เอาหนามในเนื้อออกไปให้กับลูกนั้น  ไม่ได้ไม่อยากเอาออกไป อยากเอาออกไปแทบขาดใจ  แต่มันมีส่วนประกอบ มีเหตุผลอะไรอีกหลายอย่างที่ลูกไม่เข้าใจเลย”

ยกตัวอย่างเช่น บนโลกใบนี้ มันมีแต่ความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น ถ้าอยากให้เอาหนามในเนื้อออกไป มีทางเดียว คือเอาลูกออกไปจากโลกใบนี้  ก็คือลูกต้องตาย เอาวิญญาณออกไปจากโลกใบนี้  ก็จบกัน เพราะว่าวิญญาณของลูกก็เกิดใหม่แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว  อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอธิบายให้เราฟังยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากมากขณะที่เรากำลังประสบกับปัญหาเหล่านั้น กำลังทุกข์ใจ ทุกข์กาย

เปาโลเช่นเดียวกัน เปาโลถาม 3 ครั้ง แสดงว่ามันหินมากนะ  ขนาดเปาโลยังอธิษฐาน 3 ครั้ง คุ้นๆ ไหม?  คำว่าอธิษฐาน 3 ครั้ง พระเจ้าก็ยังตอบยืนยัน ซึ่งเดี๋ยวจะเรียนรู้ต่อไป  จำคำว่า “3 ครั้ง” ได้ไหม?  ใครในพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ พระเยซูเอง ก่อนที่จะยอมให้เขามาจับพระองค์ไปตรึงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์อยู่ที่สวนเกเสมนี อธิษฐานด้วยความทุรนทุราย ด้วยความหวาดกลัว วิตกกังวล กลัวมาก  ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือด อธิษฐานว่า

“ไม่ถูกตรึงได้ไหม? (พูดง่ายๆ)  มีวิธีอื่นไหม? พ่อจ๋า พระเจ้า ไม่ไหวนะ เห็นภาพล่วงหน้าแล้ว ท่าทางจะรับไม่ไหว”

มันหนักมาก อธิษฐาน 3 ครั้ง ได้รับคำตอบเหมือนกันกับที่เปาโลได้รับ ก็คือพระเจ้าปฏิเสธ ไม่ทำตาม

พระเยซูเลยบอกว่า … “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

เห็นไหม? พระเยซูยังอธิษฐาน 3 ครั้ง เมื่อจะพบกับภาระหน้าที่ที่หนักหนา เสร็จแล้ว ยอมทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เกิดเป็นผลดีมากมาย ก็คือยอมตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติให้กลับคืนสู่พระเจ้า  ได้สามารถบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า สามารถนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ นั่นไงแผนการของพระเจ้า จึงได้สำเร็จ

เรามาดูเปาโลถาม 3 ครั้งที่จะให้พระเจ้าเอาหนามในเนื้อนี้ออกไป แต่พระเจ้าบอกว่าให้หนามในเนื้อนั้นอยู่อย่างนั้นแหละดีแล้ว แต่บอกว่าพระคุณและฤทธิ์อำนาจของเราจะมีเพียงพอ และมีพอที่จะนำพาเจ้าผ่านพ้นไปได้ และได้ดีด้วย  เป็นผลดีสำหรับแผนการของพระองค์ด้วย …

2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

 

ข้อ 8 “ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง” วิงวอนไม่ใช่ครั้งละสั้นๆ แล้วก็ไปนะ ถึง 3 ครั้ง เอาใจใส่ อุตสาหะ ทูลขอ จริงจัง  3  ครั้ง ช่วยเอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่รู้อะไร ความทุกข์หนักแน่นอน หนามในเนื้อ  เหมือนที่พระเยซูบอกเอาจอกนี้ออกไป เลื่อนออกไปได้ไหม? ไม่ทำได้ไหม จอกนี้ ก็คือหน้าที่ นี่คือหนามในเนื้อ คือความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันคือความเจ็บปวด มันคือความทุกข์ทรมาน อย่างต่อเนื่อง จึงใช้คำว่าหนาม ทิ่มอยู่ตลอด ให้เอาออกไปได้ไหม?

ข้อ 9 บอกว่า “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า” ก็คือ “ไม่” นั่นเอง แต่บอกว่าพระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า

“พระคุณ” หมายถึงการบังเกิดใหม่  การได้รับการชำระ เป็นลูกของพระเจ้าที่ได้บังเกิดใหม่  เต็มด้วยสง่าราศี มีวิญญาณที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตัวตนแท้ๆ ของเปาโลและพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อ ในวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรานั่นแหละ และเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว  พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น ตรงนี้เพียงพอแล้วสำหรับเปาโล ในการเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น

แล้วบอกต่อไปว่า “เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ตรงนี้สำคัญ ไม่เอาออกไปหรอก แต่ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวของเปาโล เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวของท่านนั่นแหละ ที่ท่านหลับตามองที่กระจกเงา แล้วท่านเห็นว่าตัวของท่านจริงๆ เป็นเหมือนพระเยซู เป็นน้องพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจเหมือนพระเยซูเลย  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซู ด้วยสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงให้ท่าน ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน  ตัวนี้คือตัววิญญาณและความคิดจิตใจของท่าน ที่เหมือนพระเยซูเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในท่านเดี๋ยวนี้แล้ว ในตัวของเปาโลนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น

และความอ่อนแอเหล่านี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เป็นเหตุทำให้ฤทธิ์อำนาจตรงนี้ สำแดงออกมาอย่างเต็มที่ เอเมน ขณะที่ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นนั้น  ผู้เชื่อทั้งหลาย จงรับทราบเถิด หลับตาเห็นฤทธิ์เดชอำนาจของการบังเกิดใหม่ของเราในวิญญาณ ที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  และพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ในร่างกายนี้ ในขณะนั้น ในฤทธิ์เดชอำนาจนี้กำลังปรากฎออกมาเต็มที่ในความอ่อนแอนั้น

เปาโลจึงตอบว่า “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวด” … “อวด” ก็คือยินดีนั่นเอง มีอะไรดีๆ เราก็อยากอวด ภูมิใจ “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจ  (ใช้คำนี้ก็ได้) จึงอวดด้วยความภูมิใจว่าฉันเป็นคนดี  ฉันเป็นคนเข้มแข็ง ฉันเป็นคนเชื่อฟัง ฉันเป็นคนอธิษฐานเยอะ ไม่ใช่  … ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวด ภูมิใจในความอ่อนแอของตน” เราเรียนรู้ไปเมื่อตะกี้ ความอ่อนแอ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด ความวิตกกังวล  ความท้อแท้ … “ข้าพเจ้าจึงอวดด้วยความภูมิใจในความท้อแท้ของข้าพเจ้า” มีใครอยากอวดบ้างตรงนี้  เพราะฉะนั้น อวดได้นะ อวดว่าตัวเราเองท้อแท้ แต่ข้างในเราเข้มแข็ง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา … “ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน  อวด ชื่นชม ภูมิใจ ด้วยความยินดี” เห็นไหม? ยินดี เพราะรู้แล้วว่าเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์” เห็นไหม? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ก็คือเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ ซึ่งสถิตอยู่ในข้าพเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับข้าพเจ้า  เป็นศีรษะ ข้าพเจ้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น จะได้ฉายแสงออกมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มที่

ข้อ 10 “ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชม ในความอ่อนแอ” ตรงนี้ ภาษาเดิมจะมีคำเพิ่มเติมมา คือ “ข้าพเจ้าจึงชื่นชม และมีความยินดีในความอ่อนแอนั้น  ในการถูกสบประมาท”

ใครสบประมาทมา เรายินดีเลย  ยิ้ม ขณะที่ยิ้มไป เจ็บปวดไหมล่ะ อ่อนแอ เจ็บปวด บางครั้งทนไม่ไหว อาจจะเครียด หงุดหงิด ลองอ่านดูในนี้ชัดเจนเลย

“ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ และยินดีในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง  เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ภายใน ซึ่งพลังมหาศาลจะโผล่ออกมาชัดเจนขึ้น”

เห็นไหมครับ? ชัดเจนแจ่มใสเลย  เราสามารถใส่ตรงนี้ เป็นตัวเราได้เลย ถึงบอกว่าประสบการณ์ของเปาโล เรื่องหนามในเนื้อ เป็นตัวอย่างอย่างดีสำหรับพวกเราทุกคน  ผู้เชื่อ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก อย่างนี้เหมือนกัน เราสามารถนะ แต่จะทำหรือยัง ยังไม่รู้นะ แล้วแต่พระวิญญาณจะนำเรา เจริญเติบโตมากขึ้นเท่าไร? เราอาจจะใส่คำนี้ว่า …

“ฉันชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของตัวของฉันเอง ในร่างกายนี้ ในการถูกสบประมาท (ต้องเป็นตอนนี้นะ)  คนนั้นก็ว่าฉันไม่ได้เรื่อง คนนี้ก็ว่า ฉันมีความอ่อนแอตรงนั้น ฉันรู้สึกฟ้องผิด ในความทุกข์ยากลำบากในขณะนี้ ถูกผลกระทบของโควิด-19 ตกงาน รายได้ ก็ไม่มี  แถมยังติดเชื้ออีก แถมยังติดเชื้อมากด้วย  คนก็สบประมาทฉันว่า … ‘เชื่อพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนไม่เห็นมาช่วยเลย  ไหนบอกเชื่อพระเจ้า พระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ไหน ทำไมเป็นอย่างนี้’  นี่แหละ คือลักษณะเดียวกันอย่างนี้   ไหนล่ะๆ  นี่คือความยุ่งยากและลำบากในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ของคริสเตียน ของคนที่เชื่อแล้ว

แต่ชัยชนะของเราอยู่ที่ภายในร่างกายนี้ คือในวิญญาณของเรา ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า กระทำการงานอยู่ในตัวของเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ หลับตาลงก็จะเห็นฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  พระพรอันนับไม่ถ้วนในสวรรค์สถาน  ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า จนถึงวินาทีนี้  เราก็ได้รับพระพรนั้น และเราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป  จนถึงนิรันดร์กาล  เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง มีโลกใหม่เข้ามาแทนที่ เราก็จะอยู่ในสวรรค์นี้เหมือนเดิม แต่มีลักษณะที่เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นร่างกายที่ไม่มีความเจ็บปวด  เจ็บป่วย ทุกข์กาย ทุกข์ใจ  ไม่มีบาปอีกต่อไป  และอยู่ในโลกใหม่ที่ไม่มีมาร  ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีบาปอีกต่อไป  เราจะอยู่ในความสุขจริงๆ อย่างถาวรนิรันดร์ ร่วมกับพระเจ้าของเรา  เป็นครอบครัวของพระเยซูคริสต์ เอเมน

นี่คือวิธีเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ความอ่อนแอของเรากับวิถีทางที่พระเจ้าจะช่วยเรา ไม่เหมือนที่เราคิด

มีคำสอน มีทฤษฏีมากมาย ที่บอกว่า … “ถ้าท่านมีความเชื่อมากพอ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้”

ท่านคิดอย่างไรกับทฤษฏีเหล่านี้ “ถ้าท่านมีความเชื่อมากพอนะ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้” แต่ความจริง ก็คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ สิ่งที่พระเจ้าสัญญาและได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ก็คือพระองค์ได้ประทานความคิด จิตใจใหม่ที่เหมือนพระคริสต์ ตามพันธสัญญาใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว พระองค์ทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ ก็คือในพระคริสต์ เรามีวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระคริสต์อยู่ สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยน หรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือความคิด เปลี่ยนความต้องการของเรา ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ ให้เป็นไปตามความคิด จิตใจ ที่เหมือนพระคริสต์ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ตอนที่เราบังเกิดใหม่ และอยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนโปรแกรมความคิดเดิมๆ ของเรา ที่อยู่ในสมองของเรา  ตอนก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  จากความคิดเดิมๆ ที่เรามักต้องการให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ เปลี่ยนมาเป็นเชื่อวางใจที่จะมอบสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ให้พระเจ้าเป็นผู้นำพาเราผ่าน  แค่เรามั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วย  พระองค์นำหน้าอยู่ในชีวิตเรา และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา แค่นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ และควรที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ  เป็นความคิดใหม่อย่างนี้ แล้วเราก็จะรับรู้ และเข้าใจอย่างนี้ ลึกซึ้งถึงพระคุณและฤทธิ์เดชอำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลาแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มเปิดใจเชื่อในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นไร เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเราอย่างนี้  ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างนี้  เราก็จะเกิดความอดทน รอคอย มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือต้องหลับตา ไม่สนใจในสิ่งที่มองเห็นในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

สถานการณ์ติดเชื้อโควิด เราก็มองเห็น  สถานการณ์ที่เงินเดือนไม่มี เราก็มองเห็น  สถานการณ์ที่อดๆ อยากๆ เงินไม่พอใช้ เราก็มองเห็น สถานการณ์ที่ทะเลาะกัน วิวาทกัน เห็นแก่ตัว แย่งกัน เราก็เห็น สถานการณ์ที่เราเครียดอยู่ เราวิตกกังวล ท้อแท้ใจ ไม่มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตอยู่ เราก็เห็น

เพราะฉะนั้น หลับตาสิ เราจึงจะเห็นในสิ่งที่ตามองไม่เห็น หลับตาปุ๊บ เราเห็นถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราไว้  เราเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้า เรามีวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ และความคิดจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระองค์ พระองค์สถิตอยู่กับเรา คอยนำพาชีวิตตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็เป็นพระคริสต์ หายใจออกก็เป็นพระคริสต์ ไปไหนก็อยู่กับพระคริสต์ เดินไปไหน ก็เป็นพระคริสต์ เผชิญกับโควิด-19 หรือผลกระทบจากโควิด-19 ก็เผชิญกับพระคริสต์ ว่ากันตามจริง ไม่ได้เผชิญกับพระคริสต์ คือพระคริสต์นำหน้า เราเดินตาม

ต้องใช้วิธีหลับตาลง แล้วดูในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร? ก็ตามพระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่งของเรา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะพระองค์สถิตอยู่ในเรา และพระองค์ทรงรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะพระองค์ชนะโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ให้เรารับรู้ ให้พระองค์เป็นหนึ่งอยู่ในใจตลอดเวลา พระองค์อยากจะเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้นำทางในชีวิต ทุกเสี้ยววินาทีของเรา พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอาพระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงพระคุณความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ที่พระองค์ทรงเทใส่เข้ามาในเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้รู้ถึงความรักที่อยู่ภายในเรา  เป็นฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว

เพราะฉะนั้น เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิม โปรแกรมเดิมๆ เสียใหม่ ที่จะพึ่งพาตนเอง ที่จะคิดด้วยตนเองว่าสถานการณ์นี้มันน่าจะเปลี่ยนอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ด้วยเหตุผลของมนุษย์อะไรต่างๆ น่าจะเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น ตัดสินใจมอบให้พระเจ้า นึกถึงที่เปาโลอธิษฐาน 3 ครั้ง  นึกถึงที่พระเยซูอธิษฐาน 3 ครั้ง เราจะอธิษฐานกี่ครั้งไม่รู้ ก็ว่าไป แต่สุดท้ายแล้ว ขึ้นอยู่กับพระองค์ มอบให้พระองค์ตัดสิน ในโรม 5:1-5 ก็ได้บันทึกอย่างนี้เช่นเดียวกันว่า …

โรม 5:1-5 “1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณ ที่เรายืนอยู่ โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดี ในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกัน ที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้   แต่ให้เราชื่นชมยินดี    ในความทุกข์ยากลำบากด้วย   เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว (ตั้งแต่เริ่มเชื่อ และได้บังเกิดใหม่)”

 

อาจารย์เปาโลเขียนตรงนี้  เพื่อให้เราได้เห็นชัดเจนว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร และตอบสนองอย่างไรต่อความทุกข์ยากลำบาก? บนโลกใบนี้ที่เราเจอแน่ๆ 100% ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเจอ เราควรจะมีท่าทีอย่างไร?

ข้อ 1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม”  … “คนชอบธรรม” ก็คือคนที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เชื่อแล้วได้บังเกิดใหม่ ได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ข้อ 2 “โดยทางของพระเยซูคริสต์ โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่ยืนอยู่ โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวัง” … “ในความหวังใจ” นี้ เป็นความหวังใจที่มันเกิดขึ้นแล้วนะ ไม่ใช่ความหวังใจแบบมนุษย์ที่หวังใจ หวังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  ไม่ใช่ มันมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว  เรียบร้อยแล้ว มีหลักประกันมั่นคงแน่ใจแล้ว เรามีความหวังใจตรงนั้น

เหมือนที่เราบอกว่าเรามีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง เราไม่ไปเห็น แต่เรามีความมั่นใจ เพราะว่าเราถือโฉนดไว้ในมือแล้ว  เพราะฉะนั้น เราก็มีความหวังใจว่าวันหนึ่งเราจะไปสร้างบ้านที่ที่ดินนั้น เห็นหรือยัง? ไม่เห็นที่ดิน แต่รู้ได้อย่างไร? เป็นความหวังใจที่โฉนดอยู่ในมือแล้ว  ความหวังใจตรงนี้ หมายถึงความหวังใจลักษณะนี้ มีร่องรอย หลักฐานที่แน่ใจมั่นคง

ในนี้บอกว่าในความหวังใจ มีหลักฐานอันมั่นคง แน่ใจว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี ก็คือมีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ ก็เหมือนตะกี้ที่บอก หลับตาต่อหน้ากระจกเงา ท่านลืมตาต่อหน้ากระจกเงา ก็จะเห็นร่างกายตัวเองที่ทรุดโทรมไปทุกวัน ที่เสื่อมโทรมไปสู่ความตายขึ้นทุกวัน สิว ฝ้าขึ้นทุกวัน กระขึ้นทุกวัน เริ่มแก่ไปทุกวันๆ แต่หลับตา เราจะเห็นภายในร่างกายของเรานั่น เป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์ มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือวิญญาณของเรา พร้อมด้วยความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูทันที เมื่อหลับตาเห็น

ข้อที่ 3 จึงบอกว่าและไม่ใช่เพียงเท่านี้ ดีใจ ยินดีว่าตัวจริงๆ ของเราบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นเหมือนพระเยซู ทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูเลย เต็มด้วยสง่าราศี  ไม่ใช่ยินดี เฉพาะแค่นั้น แต่ให้เราชื่นชมยินดี

“ให้เรา” ชวนพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว  ไม่ใช่ชื่นชมยินดีตอนที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  ให้เราชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของเราด้วย ให้เราชื่นชมยินดีในหนามในเนื้อของเราด้วย  หนามในเนื้อของแต่ละท่าน ก็ไม่เหมือนกันนะ ไม่จำเป็นต้องมาก๊อปปี้กัน ใครรับได้เท่าไร พระเจ้าทรงทราบ เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก  ความกดดัน ความท้อแท้ ความลำบาก ความเครียดนั้น ทำให้เกิดเป็นผลดี คือเกิดความอดทน พอเรามีความหวังใจ หลับตา เราเห็นอะไรที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราเห็นตัวเราเองเป็นใครจริงๆ ในโลกวิญญาณ พอเกิดความทุกข์ยากลำบาก เกิดความท้อแท้ เครียด มันทำให้เราเกิดความอดทนได้  และความอดทนนี้ ทำให้เกิดความทรหด เริ่มจากอดทน อดทนได้มากขึ้น เขาเรียกว่าทรหด ลำบากเท่าไร ก็ไปได้

ข้อ 4 บอกว่าความทรหด ผ่านประสบการณ์มากๆ ประสบการณ์ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว  ไม่ใช่โตแต่ความรู้พระเจ้าอย่างเดียว  แต่ไม่เคยผ่านประสบการณ์จริงๆ เลย  ประสบการณ์จริงๆ คือ ประสบกับความทุกข์ยากจริงๆ  นี่แหละ เขาเรียกประสบการณ์แห่งหนามในเนื้อ ไม่ใช่แค่เรียนเท่านั้นเอง  แต่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เมื่อเรียนรู้ผ่านของจริงแล้ว ได้ถูกทดสอบแล้ว นั่นแหละเป็นผู้ใหญ่ของแท้ๆ  อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังชัดมาก

เมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ผ่านการทดสอบแล้วนั้น ทำให้ความหวังใจที่มีอยู่ เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่ตะกี้นี้ ที่บอกเราเป็นวิญญาณที่ได้รับส่วนชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ นั่งอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว เราอยู่กับพระเจ้าในสรรค์แล้วนั้น ความหวังใจที่มันเป็นอย่างนี้แล้วนั้น  เห็นชัดเจนแล้ว มันชัดเจนยิ่งขึ้น  ทำให้ความหวังในใจความรอดนิรันดร์ในพระคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจมากขึ้น แสดงว่าความอ่อนแอ หนามในเนื้อ ความทุกข์ยากลำบาก ทำให้ความชัดเจน  ในการหลับตาและมองเห็นตัวเองเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มันชัดเจนยิ่งขึ้นนั่นเอง

ข้อ 5 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่า “และความหวังใจนี้ ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย” ความหวังนี้ คือหลับตา แล้วเห็นอะไร? เห็นว่าตัวเราเองเป็นเหมือนพระเยซู เห็นว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซูในสวรรค์สถานแล้ว  และความหวังใจ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย  เพราะว่าเราได้รับความรักจากพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว

พูดง่ายๆ ว่าเราได้รับมัดจำไปเรียบร้อยแล้ว  คือเราได้รับแล้ว ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักจากพระเจ้า ที่พระองค์ใส่เข้ามาตอนที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ ตอนที่ให้เรารับเชื่อในพระเจ้า  พอเรารับเชื่อในพระเจ้า ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราบังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซู และวิญญาณนี้ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า ประทานให้พระเยซู และพระเยซูแบ่งให้กับเรา เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราที่บังเกิดใหม่ และวิญญาณตัวนี้ เป็นวิญญาณความรัก เหมือนแหล่งที่มา เหมือนพระเจ้านั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นความรักนั่นเอง  อยู่ที่วิญญาณและจิตใจเราเรียบร้อยไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ที่วิญญาณและจิตใจของเรา  มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คอยย้ำยืนยันให้กับเรา เป็นมัดจำในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระองค์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นจริงอย่างนั้น  คอยกระตุ้นเตือนเราอยู่ตลอดเวลา  ทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน ที่เราเผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร?  วันนี้ หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้สิ่งที่เราเรียนรู้วันนี้  ฝังรากลึกลงไปที่ความคิดจิตใจของเรา  อันเดิมของเรา เปลี่ยนแปลงมันซะว่าพระเจ้าเป็นที่พึ่ง  ที่ปรึกษา และผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านทุกๆ สถานการณ์ ทุกๆ ปัญหา ทุกๆ ความทุกข์ยากลำบาก ได้อย่างดี เกินกว่าที่เราจะสามารถคิดหรือเข้าใจได้ พระองค์จะคอยเป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นกำลัง คอยปลอบโยน จูงมือเราเดิน พระองค์ต้องการสำแดงให้เราได้เห็นว่าพระองค์ทรงรักเราขนาดไหน? และความรักที่พระองค์ใส่ลงมาอยู่ในวิญญาณของเรานั้นเป็นอย่างไร? เยอะขนาดไหน? ใหญ่ขนาดไหน? และพระองค์เป็นใคร? เราเป็นใคร?  พระองค์ทรงอยู่ในเราท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายของโลกใบนี้นั้น  พระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา  และพระองค์ต้องการให้ ไม่ใช่เรารับรู้อย่างเดียว  แต่พระองค์ต้องการให้โลกได้เห็นความยิ่งใหญ่ การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ในเราด้วย  โดยผ่านทางการดำเนินชีวิตของเรา นี่มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือเชื่อ วางใจในพระเจ้า หลับตาเดิน หลับตาแล้วเห็นพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ที่พระองค์บอก … “สำเร็จแล้ว” … อะไรสำเร็จบ้างในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับชีวิตของเราที่ได้บังเกิดใหม่  ในพระเยซูคริสต์

ยกตัวอย่างเช่นว่าวางไว้บนความเชื่อ หลับตาให้เห็นว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  วิญญาณเรากับวิญญาณพระเยซูเป็นวิญญาณเดียวกัน  เราได้นั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เรารู้ว่าพระเจ้านำพาเราผ่านไปได้  เรารู้อนาคตของเราว่าเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ ในสวรรค์สถานนิรันดร์  ด้วยร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด เจ็บป่วย  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย

แล้วก็มอบสถานการณ์ต่างๆ บนโลกนี้  ทุกอย่างที่ตามองเห็นทั้งหลาย  ที่พอลืมตา มันมองเห็น สถานการณ์ต่างๆ ความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด ความเบื่อหน่าย ความเจ็บป่วย ความยากจน ความขัดสน ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นโควิด หรือเป็นความทุกข์ยากลำบากอื่นๆ ที่จะเข้ามาอีก อะไรต่างๆ เหล่านั้น  สงคราม เป็นอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด  มอบให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจ  ไม่ใช่หน้าที่เราแล้ว  พระองค์ไม่ได้สัญญาสิ่งเหล่านั้นไว้  แต่ที่หลับตามองเห็นในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสัญญา และพระองค์ทรงทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราไปรับเอาได้เลย พระพรนานับประการ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถานต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ ไปรับได้เลย พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราไปรับได้เลย  พระองค์ทรงเป็นความรัก ไปรับได้เลย

แต่สถานการณ์บนโลกใบนี้จะเป็นเช่นไร จะเปลี่ยนแปลงไปตามที่เราต้องการหรือไม่? ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้า  แต่เราสามารถอธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ ปรึกษาพระเจ้า อยากให้ตรงนี้เปลี่ยน อยากให้ตรงนั้นเปลี่ยน อยากให้ตรงนี้เป็นอย่างนั้น  พูดได้หมดเลย  คุยกับพ่อของเรา สนิทสนมกันเลย  ลูกไม่ไหวแล้ว ก็เหมือนอาจารย์เปาโล เหมือนพระเยซูยังพูดเลย เราอาจจะพูดไม่ใช่ 3 ครั้ง อาจจะพูดเกิน 3 ครั้ง เป็น 30 ครั้ง เป็น 300 ครั้งก็ได้ แต่จบสุดท้าย ก็คือ …

“แล้วแต่พระเจ้า ลูกรู้ว่าพระองค์ทรงมีหนทางที่ดีกว่า”

ไม่ใช่ปรึกษาไม่ได้ ไม่ใช่พูดไม่ได้ พูดได้ … “ขอให้ตรงนี้เปลี่ยนไปเลย ขอให้ตรงนั้นเปลี่ยนไป ลูกไม่ไหวแล้ว  ถ้าจะตกงานขนาดนี้ ไม่มีเงินใช้  จะทำอย่างไร? ช่วยลูกด้วยเถิด ขายของตรงนี้ ต้องขายให้ได้ ถ้าขายไม่ได้อดตายแน่ๆ อย่างไรต้องขายให้ได้”

สรุปสุดท้ายก็คือ … “จะขายได้ไม่ได้  ลูกฝากไว้ที่พระองค์ แล้วแต่พระองค์” อย่างนี้เป็นต้น

ไม่ใช่ … “ออกไปไหน พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแล อย่าให้ติดเชื้อโควิด” แล้วก็ออกไป แล้วก็อธิษฐานตลอดเวลา  “ฉันต้องไม่ติดโควิด พระเจ้าไม่ให้ฉันติดโควิดหรอก”

พระเจ้าไม่ให้ท่านติดโควิดได้อย่างไร? ก็ทั้งโลก คนที่เป็นคริสเตียนก็ติดโควิดกันตั้งเยอะแยะมากมาย แล้วท่านเป็นใคร? มันมีแฟคเตอร์อีกหลายอย่างที่ทำให้ท่านติดหรือไม่ติดอะไรต่างๆ เหล่านั้น เยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พระองค์ทรงควบคุมดูแลได้ว่าอะไรมันออกมาเป็นผลดีที่สุด สำหรับใครแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น มอบให้กับพระองค์ไปเถิด อย่าไปวิตกกังวล มัวแต่ไปจดจ่อที่มองเห็นนั้น  พยายามจะเปลี่ยน พยายามจะแก้ พระองค์อาจจะมีวิธี ไม่ใช่อาจ มีวิธีแน่นอน พระองค์มีวิธีที่ดีกว่านี้อีก ดีกว่าที่ท่านคิดเยอะ เพราะฉะนั้น สามารถที่จะคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อตลอดเวลา แต่มอบการตัดสินใจไว้ที่พระองค์ ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจดีกว่าพูดง่ายๆ

เราอาจถามพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ตอนนี้ ขณะนี้ได้ เมื่อเราเรียนมาถึงตรงนี้แล้วว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ลูกกำลังประสบกับความทุกข์ยากลำบากมากเหลือเกินในขณะนี้”

เราถามได้ เรามีสิทธิ์ถาม  และเพระเจ้าก็อยากให้ถาม ให้เราสนิทกับพระองค์ …

“พ่อลูกกำลังทุกข์ลำบากมากเลย กำลังวิตกกังวลมาก  กำลังท้อแท้เหลือเกิน ความเชื่อถดถอยมาก ช่วยลูกด้วยเถิด ขณะที่ลูกกำลังท้อแท้ ถดถอยด้วย พ่ออยู่ที่ไหน? พระเจ้าของลูกอยู่ที่ไหน?”

พระเจ้าก็จะตอบเราเหมือนในอิสยาห์ 41:10 ว่า …

อิสยาห์ 41:10  “อย่ากลัวเลย เพราะพ่ออยู่กับลูก อย่าท้อแท้ เพราะพ่อเป็นพระเจ้าของลูก พ่อจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยลูก พ่อจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของพ่อ (คือพระเยซูคริสต์)

 

เราอาจจะวิงวอนต่อพระเจ้า พ่อของเรา … “พ่อ เงินเดือนๆ นี้ก็ไม่มีเลย แล้วจะอยู่อย่างไร? ลูกไม่พอใช้ ต้องจ่ายค่าโน่น ค่านี่”

หรืออาจจะบอกกับพ่อว่า … “ลูกไม่มีแรงจะไปทำงานแล้ว หมดแรง เพราะลูกเจ็บป่วยตรงนี้อยู่ตั้งนานแล้ว รักษาไม่หายสักที”

หรือ … “พ่อ ลูกนอนไม่หลับมาหลายเดือนแล้ว ลูกก็พยายามเต็มที่ ทั้งอธิษฐาน ปรึกษาพ่อตลอด พ่ออยู่ที่ไหน?”

พระเจ้าก็ตอบเรา  เหมือนในหนังสือฮีบรู 13:5 พระเจ้าก็ตอบว่า …

ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในสิ่งที่ลูกมี ลูกเป็นอยู่ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้า พ่อจะไม่มีวันละทิ้งลูกให้อยู่ตามลำพัง”

 

และเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า พ่อของเราอย่างนี้แล้ว เราที่เป็นลูก ก็สามารถตอบได้อย่างมั่นใจ ฮีบรู  13:6  ว่าอย่างนี้ …

ฮีบรู 13:6 “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูก ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ใครจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

 

สรรเสริญพระเจ้า และขอบคุณพระบิดา ผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์สถาน พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ตรัสไว้ว่าพระองค์ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้ หมายถึงพระองค์ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ และพระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย ลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว และจะโอบกอดเรา อุ้มเรา ยกเรา แบกเราไว้บนบ่าของพระองค์ ไปจนถึงนิรันดร์ ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้เลย  แม้แต่นิดเดียว  ไม่มีสถานการณ์ใด ความทุกข์ยากลำบากใดๆ มารซาตาน หรือสิ่งใดสามารถทำอันตรายเราได้เลย  หรือจะมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้ ออกจากฝ่ามือของพระองค์ไปได้ ไม่มีสิ่งใดมาแยกหรือพรากเราออกจากความรักของพระเจ้า ที่ทรงเทลงมาอยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยแล้วในพระคริสต์ได้เลย พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว และพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ ให้เรามีความมั่นใจเถิด ขอบคุณพระเจ้า   พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

บางครั้งพระเจ้าทำให้พายุสงบ แล้วจูงมือเราเดินผ่านอย่างอัศจรรย์ แต่หลายครั้ง พระเจ้าทำให้เราสงบ แล้ว “แบกเราขึ้นบ่า” ผ่านพายุที่โหมกระหน่ำ อย่างอัศจรรย์มากยิ่งกว่า

 

พระเจ้าตรัสว่า … “อย่ากลัวเลย! เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราอยู่กับเจ้าในยามทุกข์ยากลำบาก จงมองให้เห็นเถิด! เราโอบกอดเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรทำอันตรายทำร้ายเจ้าได้  แม้ว่าความเชื่อของเจ้าจะสั่นคลอน เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ความรักของเราที่มีต่อเจ้าไม่มีวันสั่นคลอนเปลี่ยนแปลงเลย ฉะนั้น อย่ากลัวเลยลูก! เรารักเจ้า”

 

“จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเรา คือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางบรรดาประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก” พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของเรา เส-ลาห์”   (สดุดี 46:10-11)

 

เมื่อเราต้อนรับพระเยซูแล้ว เราได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาปทันทีเช่นเดียวกัน

 

“พระองค์​ได้​ช่วย​ให้​เรา​รอด ไม่​ใช่​ เพราะ​เรา​ทำดี  แต่​เป็น ​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระองค์​ต่างหาก พระองค์​ได้​ชำระ​ล้าง​เรา ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​เกิด​ใหม่ และ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา​ใหม่ ​ด้วย​ฤทธิ์เดช​ของ​พระวิญญาณ​บริสุทธิ์”  (ทิตัส 3:5 THA-ERV)

 

พระเจ้าอวยพรครับ