คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2016 เรื่อง “พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว … พระองค์ทรงอยู่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย ซึ่งเป็นวันที่ 3 นับจากวันศุกร์ ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน ถามว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ทำไมเราถึงดีใจ? ทำไมเราต้องมาฉลองกัน เกือบ 2,000 ปีแล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราเรียกว่าวันอีสเตอร์ คือวันฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์  กิจการ 13:32-33 จะบอกว่าทำไมมนุษย์ถึงดีใจมากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย

กิจการ 13:32-33 “32 “สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษของเรา 33 พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อพวกเรา ผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น โดยทรงให้พระเยซูเป็นขึ้น ตามที่เขียนไว้ในสดุดี บทที่สองว่า ‘เจ้าเป็นบุตรของเรา  วันนี้  เราได้เป็นบิดาของเจ้า’”

 

เอเมน เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่อาดัมและอีฟล้มลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า เมื่อกบฏต่อพระเจ้า ก็ได้รับการลงโทษ เรียกว่าการสาปแช่ง

กบฏ ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรู เรียกกันว่าบาป

บาป คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

โทษ ก็คือคำสาปแช่ง อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า เห็นไหมครับ? แต่สัญญานี้บอกว่าวันหนึ่ง เราจะกลับมาดีกันใหม่ วันหนึ่งเราจะอภัยในบาปเหล่านี้ให้ แล้ววันนั้น มาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

 

“ฮาเลลูยา”

ทั้งโลกร้องกันอย่างนี้ ร้องมาแล้ว 2,000 ปี เขาดีใจไง เพราะวันอีสเตอร์ เป็นวันที่เราทั้งหลายมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้สามารถกลับมาเป็นลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จ คือวันคริสตมาส วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ 3 วันนี้รวมกันเป็นข่าวประเสริฐ คือสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา บรรพบุรุษของเรา พระองค์ได้ทำให้สำเร็จแล้ว ในวันนี้ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว คือวันอีสเตอร์ คือวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย จบ … จบเลยนะครับ

เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นแผนการที่ได้ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า  ผ่านทางการเผยพระวจนะ คือพระคัมภีร์เดิมเขียนบอกไว้ก่อนล่วงหน้า เป็นเวลานับพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และพระเยซูเองก็ทรงทราบถึงเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง เพราะเขียนมาหมดแล้วเรียบร้อย ก่อนพระองค์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป แล้วถูกสาปแช่ง พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะช่วยมนุษย์อย่างไร? บรรทัดหนึ่งที่เขียนไว้บอกว่าพระเยซูจะมาเกิด และจะมาเหยียบหัวมาร บอกเสร็จเลย  คือบอกเลยว่าพระเยซูจะมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหยียบหัวมาร

ทำไมผมถึงบอกว่าพระเยซูทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างล่วงหน้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงบอกเอง ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า ‘บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสสหนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี ที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตาย ในวันที่สาม”

 

ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ หนังสือสดุดี พูดง่ายๆ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา (พระเยซู) คือแผนการลับของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ มันจะต้องสำเร็จตามที่พระเจ้าสั่งไว้ล่วงหน้าทุกประการ บันทึกไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พูดมาตลอด และการที่พระคัมภีร์เก่าหรือพระคัมภีร์เดิมบอกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เป็นการตอกย้ำว่าทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เรียบร้อยแล้ว ที่จะประทานความรอดจากบาปให้กับมนุษยชาติ พูดง่ายๆ เป็นแผนการที่พระเจ้าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษ ที่เขากระทำผิด ที่เขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อฟัง เขาหลงเชื่อมารไป ตอนนั้น เขาจำเป็นจะต้องได้รับคำพิพากษาลงโทษ แต่เนื่องจากเรารักเขา เขาเป็นลูกเรา เราจะช่วยเขา แต่ช่วยให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน จึงวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา (“เรา” นี่หมายถึงพระเยซู)

“ที่พูดถึงเรา ที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น  ก็จะต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามนั้นแน่นอน”

และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เขียนมาตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ซึ่งไม่รู้ว่ามันกี่ปี? เพราะตอนนั้นยังไม่ได้นับปี แต่ได้เขียนลงไปในนั้นแล้ว  แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เป็นไปตามที่เขียนทั้งหมด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจาก 2,000 ปีนั้น เราก็ได้ศึกษากันมาอยู่เรื่อยๆ แล้วมันก็เกิดขึ้น มากขึ้นกว่านั้นอีก ในสิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้

เรามาย้อนดูสักนิดว่าในพระคัมภีร์เดิมบันทึกไว้อย่างไร? ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในสดุดี 22:1-2 ได้บันทึกไว้ประมาณ 1,000 ปีก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นเหตุการณ์ที่บอกล่วงหน้าเป็นพันปี

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือ 1,000 ปีก่อนที่เกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า โดยให้กษัตริย์ดาวิด ได้เห็นภาพล่วงหน้าก่อนพันปีว่าพระเยซูจะมาเป็นอย่างไร?  และให้เขียนออกมา แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เขียนสิ่งนี้ขึ้นมา เห็นภาพเข้าไปในโลกวิญญาณ แล้วก็เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา สดุดี 22:19-21

สดุดี 22:19-21 “19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

สมมติวันนี้เป็นวันอีสเตอร์ของ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ คือวันศุกร์ พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น    พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง?    มองทุกวินาที   รู้ว่าช็อตต่อไปจะเป็นภาพอะไร?  พระองค์ทรงรู้ว่าตะปูนั้น มันยาวเท่าไร? และจะตอกลงไปที่มือและเท้าของพระองค์อย่างไร? พระองค์ทรงมองเห็นหอก รู้ว่าจะมาแทงที่สีข้างพระองค์ตอนไหน? พระองค์ทรงรู้ว่าเขาจะยกไม้กางเขนขึ้นตั้ง เป็นช่วงที่ทรมานมาก เพราะว่าน้ำหนักตัวจะห้อยลงมา พระองค์ทรงรู้หมดเลย ตั้งแต่ 3 โมงเช้า จนถึงบ่าย 3 โมง มันทรมานขนาดไหน? หายใจแต่ละครั้งเหนื่อยขนาดไหน? และพระองค์ทรงทราบดีว่าตอนที่พระองค์อยู่บนไม้กางเขน 6 ชั่วโมง พระองค์ต้องแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์เอง บาปทุกชนิด ไว้ที่ตัวพระองค์เอง รับแทนเขาไปหมดเลย  เอาง่ายๆ คนเป็นโรคเรื้อน หรือคนเป็นมะเร็งก็ตาม

ท่านรู้ไหมว่ามะเร็ง คืออะไร? มะเร็ง ก็คือโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเรื้อนก็เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเหล่านี้ มันมาได้อย่างไร? มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นโรค มนุษย์ถูกสร้างมาให้แข็งแรง พระเจ้าสร้างมนุษย์มา ไม่ให้มีการเจ็บป่วยเลย แต่เพราะมนุษย์ทำบาป เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับการลงโทษ มนุษย์ก็เลยต้องป่วย เพราะว่าอ่อนแอลง นี่คือบาปทั้งนั้น และบาปร้ายแรงที่สุด ก็คือเมื่อมนุษย์ถูกลงโทษ วิญญาณมนุษย์ที่สะอาดเหมือนพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์นั้น ได้กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป วิญญาณก็เรียกว่าวิญญาณบาป รับโทษของความบาป คือความตาย

“ความตาย” ในที่นี้ หมายถึงตายจากพระสิริของพระเจ้า ไม่ใช่ตายแบบสูญสิ้นไปเลย ไม่ใช่ ถ้าตายแบบสูญสิ้นไปเลย ก็ดีนะ แต่นี่มันไม่ได้สูญสิ้น เพราะวิญญาณเรามาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ อยู่อย่างไรนิรันดร์ อยู่แบบตายนิรันดร์ คือเหี่ยวเฉานิรันดร์ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้นิรันดร์ อยู่ในนรกนิรันดร์ เขาเรียกว่าอยู่ในความพินาศนิรันดร์ นั่นทารุณที่สุด

นี่คือผลของความบาป และพระเยซูอยู่บนนั้น รับเอาความบาปทั้งหมด ที่ผมพูดมา ยกตัวอย่างให้นิดหน่อย พระองค์ทรงแบกไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน  นอกจากความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกาย เพราะพระองค์เกิด โดยการอุ้มบุญของมารีย์ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทั้งร่างกายและเจ็บปวดทั้งวิญญาณ พระเจ้าจึงต้องเสด็จออกจากพระเยซูไป  พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์ทรงทอดทิ้ง

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ เฉพาะที่อ่านสดุดีนี้ 1,000 ปี ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ว่าพระองค์จะต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้  คือความรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า

นี่บันทึกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม คือหนังสือสดุดี แล้วมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันศุกร์ประเสริฐ พอเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มัทธิวก็ได้บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้ประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ดูว่ามันตรงกันขนาดไหน? มัทธิวได้บันทึกไว้ในมัทธิว 27:46

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ยกมาให้ท่านดู เป็นอันเดียวกัน พระองค์ทรงรู้แล้วว่ามันทรมานมาก พระองค์ต้องพูดคำนี้แน่นอน แล้วพระองค์ก็หลุดคำนี้ออกมาจริงๆ ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปีที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเลย เพราะช่วงเวลานั้น พระองค์บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปเลย  เพราะว่าเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่วิญญาณของพระองค์มาจากพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด แต่ตอนที่อยู่บนไม้กางเขนนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซู ที่พระองค์รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน

พระองค์เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่อยู่ในร่างกายที่เป็นแบบมนุษย์ พระองค์จึงบริสุทธิ์ ไม่มีบาป ไม่มีความด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด ทรงรับรู้การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆ คุยกับพระเจ้าตลอดเวลาเลย พระเยซูบอกว่า …

“สิ่งที่เราพูดกับท่านทั้งหลาย คือสิ่งที่เราได้ยินจากพระเจ้าพระบิดา เราจึงพูด”

จนกระทั่งมาถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติทั้งหมดไว้ที่พระองค์ ทั้งร่างกายและวิญญาณ จากที่เคยบริสุทธิ์ สามารถติดต่อกับพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นคนบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูบาป บาปกับบริสุทธิ์อยู่กันไม่ได้ ถึงอยากอยู่ ก็อยู่ไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องละทิ้งพระเยซูไป  จึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างเหลือเกิน กษัตริย์ดาวิดเห็นสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เห็นแต่ศุกร์ประเสริฐอย่างเดียว แต่เห็นทั้งวันอีสเตอร์ด้วย สดุดี 22:22-31

สดุดี 22:22-31 “22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์ แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์ ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ 24 พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์ ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ให้สำเร็จ ต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ 26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลาย มีชีวิตอยู่ตลอดกาล 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลก จะเลี้ยงฉลองและนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์ แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”

 

หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ด้วยความทุกข์ทรมานแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น คือคนยากไร้จะได้อิ่มหนำสำราญ คือยากไร้ในวิญญาณ เหี่ยวแห้งหัวโต ทรมานจริงๆ ชีวิตนี้ เมื่อไรจะพบกับสัจธรรมสักทีหนึ่ง หามาตั้งนาน

ก่อนมารู้จักพระเยซู ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองยากไร้ แต่เมื่อท่านมาพบพระเยซูท่านจะรู้ทันทีว่าจิตวิญญาณมันเหี่ยวแห้งเหลือเกินตอนนั้น หาอะไรก็ไม่เจอ ไม่มีอะไรอิ่มใจสักอย่าง เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่มาพบพระเยซูเหมือนหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ยากไร้อีกต่อไป เอเมน ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แล้วเป็นตามนี้เลยทั้งโลกมาหาพระองค์  นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้าไว้ 1,000 ปี

ทุกวันนี้ พระเจ้าจะฟังเสียงเขา เมื่อเขาร้องทูลพระองค์ สมัยก่อนพระองค์ฟังไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ฟังได้ เพราะเขาอธิษฐานผ่านพระเยซูคริสต์ เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ในนามพระเยซู”

ใส่นามพระเยซู หมายถึงเรากำลังประกาศว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ย้ำให้คนข้างๆ มีความมั่นใจ ย้ำให้มารซาตานได้รู้ว่าเราเชื่อจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า

ทำไม? ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตแบบคนละเรื่องขนาดนี้ จากการว้าเหว่ คร่ำครวญกับพระเจ้า ตัดพ้อ เปลี่ยนมาเป็นความชื่นชมยินดี โห่ร้องประกาศ สรรเสริญยกย่องพระเจ้า แบบล้นไปหมดเลย เพราะพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บัดนี้ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ในวันที่สามตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้จริงๆ ซึ่งถ้อยคำในสดุดี ก็ตรงกับที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ในฮีบรู 2:9-13

ฮีบรู 2:9-13 “9 แต่เราเห็นพระเยซู ผู้ทรงถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย บัดนี้ ได้ทรงมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติแล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์ เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสความตาย เพื่อทุกคน 10 ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่ เพื่อพระองค์ และโดยทางพระองค์  จะทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ 11 ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์ กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง 12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์จะประกาศพระนามพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะร้องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าที่ประชุม” 13 และตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะไว้วางใจในพระองค์” และพระองค์ตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่แล้ว”

 

ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ก็ฮาเลลูยา ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ ทั่วโลก เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็ค่อยๆ ลืม แล้วปีหน้าก็มาว่ากันใหม่ ธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ แต่นี่คือเหตุที่ทำไม เราจึงต้องมารวมกันอยู่ ณ สถานที่ที่เรียกว่าโบสถ์ในวันอาทิตย์ หรือทำไมเราจึงจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ เพราะว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่เขาทำหนังสือแล้ว เพิ่งจะมี 500 – 600 ปีนี่เอง ก่อนหน้านี้ไม่มี เขาเล่าสู่กันฟัง บอกกัน ต้องไปฟังที่โบสถ์อย่างเดียว ตอนนี้ยังมีให้อ่าน และมาล่าสุด ไม่ใช่อ่านอย่างเดียว แถมเปิดฟังได้อีก มีทั้งยูทูป เต็มไปหมด เราก็ยังไม่ฟังเหมือนเดิม นี่คือมนุษย์ แต่ไม่เป็นไร อย่างที่บอก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ฟัง ฟังแล้วมันก็ดีกับเรา ถ้าไม่ฟัง มันก็ทุกข์มากขึ้นหน่อยหนึ่ง มันใช้ความเชื่อ มันก็เชื่อน้อยบ้าง? มันก็หดหู่  แต่ถ้ามีความเชื่อมาก ก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เพราะตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ตราบใดที่วิญญาณเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่  ตราบนั้นพระเจ้ายังใช้เราอยู่บนโลกใบนี้  เราจำเป็นจะต้องใช้ความเชื่อ ซึ่งมันเหนื่อยเหมือนกัน นิดๆ แต่พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราติดสนิทอยู่กับถ้อยคำของพระองค์จริงๆ เอเมน อยากหายเหนื่อยไหม? อยาก อ่านพระคัมภีร์สิ ฟังเรื่องราวของพระคัมภีร์ ตอนนี้ไม่อยากบอกอ่านอย่างเดียว เพราะเทคโนโลยีไปไกลนะ อ่านพระคัมภีร์ ฟังพระคัมภีร์บ้าง สูดพระคัมภีร์บ้าง ผมไม่รู้นะ ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมา อาจจะมีเทคโนโลยีใช้เทกลิ่นของมัทธิวลงไปในโถนี้ แล้วดมกลิ่นมัน จะได้รู้เรื่องถ้อยคำหมด อาจจะเป็นไปได้นะ วันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้เป็นไปได้ไหม? วันนี้ เอาเทคโนโลยีแค่นี้  พยายามทำ เขาพยายามยกให้เราทั้งหมดเลย อยากจะทำข้ออะไร? กด เอาข้อนี้ข้อเดียว ออกมา ทั้งเล่มรู้หมดเลย  และความรู้ในนั้นเต็มไปหมดเลย ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งการค้นคว้าต่างๆ เยอะแยะมากมายตลอด 2,000 ปี อ่านบ้างหรือเปล่า?  ติดตามบ้างไหม? พูดแถมให้ พยายามว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ชีวิตเรามีความมั่นคง

ในฮีบรู 2:9-13 เป็นใครก็อยากอ่าน เพราะเป็นเรื่องราวของการสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แห่งการไถ่บาป เป็นเวลาแห่งชัยชนะ ไม่ใช่เวลาแห่งการทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน

ในนี้บอกว่าอย่างไร? “เพราะพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์”

ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐตอนบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมาก

ถามว่าตายเพื่ออะไร? เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสของความตาย เพื่อทุกคน

รู้ไหมว่า “ลิ้มรสของความตาย” แปลว่าอะไร? เพื่อจะได้เป็นผู้แรกที่รู้ว่าตายมันเป็นอย่างไร? และเป็นขึ้นมาใหม่ มันเป็นฉันท์ใด เพื่อจะได้รู้รส เพื่อว่าจะได้มาช่วยเราทั้งหลาย ผู้กลัวความตาย จะได้ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป และเพื่อว่าพระองค์จะมารับเรา เมื่อวันที่เราจะจากโลกนี้ไป เพราะรู้ว่าลึกๆ ของเรา แม้เราจะเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็ยังกลัวเหมือนเดิม แต่พระเยซูบอก …

“ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่าเราผ่านมาแล้ว เรารู้ว่าเธอกลัวเหมือนเราเลย เพราะฉะนั้น เราจะมารับเธอเอง”

ตอนที่ท่านนอนทุกข์ทรมาน เมื่อไรจะตายสักที ท่านก็นึกในใจ พระเยซูมาแล้ว พี่น้อง ญาติพี่น้องที่รักท่าน เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านพึ่งเขาไม่ได้หรอก เขามาให้กำลังใจท่าน  ท่านก็ได้แต่ยิ้ม เพราะว่าพอถึงเวลานั้น เวลาแห่งความตาย  ภาษาไทยเขาเรียกตัวใครตัวมัน รักเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เรารักเขาอย่างไร? เราก็ไปกับเขาไม่ได้ เขาอยากจะช่วยเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เราต้องไปคนเดียวแน่ๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูรู้ พระเยซูบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมารับเอง  เอเมน

 

นี่หมายถึงพร้อมไปนะ  เราคริสเตียน เราพร้อมไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พระเยซูจะมารับเราด้วยตัวเอง พระองค์ทรงลิ้มรสของความตาย พวกเราจะไม่ต้องลิ้มรส

ถามว่าพระองค์ทรงตาย เพราะอะไร? แล้วทุกข์ทรมาน เพราะอะไร? ในนี้บอกว่าในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้า ผู้ซึ่งสรรพสิ่ง มีอยู่เพื่อพระองค์ จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น  สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ก็หมายถึงสมควรแล้ว ที่พระเยซูทนทุกข์ทรมาน แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้เรียบร้อยแล้วนั้น  จะทำให้มนุษย์ทั้งหลาย มาเป็นบุตรมากมายของพระเจ้า เต็มไปหมดเลย มาถึงทุกวันนี้ ไม่รู้กี่ล้านคนแล้ว

สมควรแล้ว และต่อไปนี้ บอกไว้อย่างนี้ว่า “โดยทางพระองค์จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์”

คือการทุกข์ทรมานของพระองค์บนไม้กางเขน ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ

ใส่ชื่อท่าน “การทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนของพระเยซูทำให้ …. (ใส่ชื่อท่าน) บริสุทธิ์”

นั่นแหละ ทำให้ท่านเป็นสุข กับบรรดาผู้ได้ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น  เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่บริสุทธิ์อย่างเดียว นครไม่ได้บริสุทธิ์ เพราะความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์อย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเราทุกคน กับพระเยซูด้วย

พระเยซูไม่อายเลยที่จะเรียก … (ใส่ชื่อท่าน) ว่าพี่น้อง

ท่านคิดดูสิ นี่คือพระคุณขนาดไหน? เราเป็นใคร? พอพูดถึงพระเจ้า ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง แต่เรียกเราว่าพี่น้อง เพราะอยากจะอยู่กับเรา เป็นครอบครัว บรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

“ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพระเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

หมายถึงอยู่ในครอบครัวพระเจ้า  นึกถึงภาพตรงนี้ไหม? พระเยซูกำลังเข้าไปหาพระเจ้าในวันหนึ่ง และพระเยซูก็บอกว่า …

“พระบิดา ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระองค์ทรงประทานให้ ผ่านทางการตายของข้าพระองค์บนไม้กางเขนนั้นอยู่ที่นี่แล้ว กำลังสรรเสริญพระองค์อยู่”

ลองใส่ชื่อท่านสิ “ข้าพเจ้าและนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ที่พระองค์ทรงประทานให้ อยู่ที่นี่แล้ว”

บุตรทั้งหลาย ก็คือตัวท่านเอง นี่คือบทสรุปของแผนการ และความประสงค์ของพระเจ้า ที่ทรงให้มี วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ การตายบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามของพระเยซู เป็นการทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงบริสุทธิ์และได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ กับพระบิดา ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกใครก็ตาม ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ที่ไม้กางเขนว่าพี่น้อง เขาเหล่านั้น ก็คือทุกคนที่ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว รวมทั้งพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเราเชื่อไง? พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเราไม่เชื่อ มันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เราก็ยังสกปรกอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เราบริสุทธิ์แล้วเปล่าๆ แค่นี้เอง พระเยซูจึงบอกให้เราออกไปประกาศๆ ข่าวดีนี้ … ข่าวดีนี้ หมายถึงเขาสามารถบริสุทธิ์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แค่เชื่อพระเยซู

 

“เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตายเพื่อฉัน วันอีสเตอร์ เป็นขึ้นมาใหม่ ก็เพื่อฉัน ฉันนะ ไม่ใช่บ้านฉัน ครอบครัวฉัน ฉันคนเดียว คนนั้นก็จะได้รับสิทธินี้ไปทั้งหมด”

ไม่มีอะไรเลย ฟรี และฟรี และฟรี ฟรีหมด ง่ายมากเลย  พระองค์จึงบอกแค่นี้  ไม่ต้องให้เราทำอะไร? ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย พระองค์เคยสั่งไหม?  ไปสอนนะ สอนศีลธรรม ไม่มีเลย มีแต่ออกไปประกาศสิ ประกาศข่าวดี  ตรงนี้มันสำคัญที่สุด  พระเยซูเขาเรียกว่าไพโอเนีย หรือเป็นผู้นำที่ชนะความตายแล้ว เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วจากนั้น ก็จะมีคนจำนวนเยอะแยะมากมาย ที่เป็นขึ้นจากความตายด้วย ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกันกับพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าว่าเมื่อทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนให้กับเรา พูดง่ายๆ  เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับอย่างนั้น  เราก็จะเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน เหมือนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิตอยู่ ในหลุมของคริสเตียนทั้งหลาย ตั้งนานมาแล้ว จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ยอห์น 11:25 นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย” เอเมน

 

ไม่ใช่เขียนไว้ที่หลุมศพเฉยๆ เท่ห์ๆ มันเป็นความจริง เรารู้เพราะอะไร? “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราคริสเตียนจะไม่กลัวตายเลย เพราะว่าพระเยซูมารับเราด้วย ขอบคุณพระเจ้า

ผู้ที่ตายไป แต่เขายังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เป็นมนุษย์ ถึงเวลาก็ต้องตาย จากโลกนี้ไป  แต่เขาจะมีชีวิตอยู่นิรันดร์ในพระนิเวศของพระเจ้ากับเรา พูดง่ายๆ คือกำลังจะตาย เป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เรารู้ว่าผู้คนรอบข้างเรา ที่เราพึ่งพาบนโลกใบนี้ ไม่มีใครเลย ที่สามารถจะไปกับเราได้ เรากำลังไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? เราไม่รู้ ทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่มีพระเยซู เราก็จะไม่มีความหวัง เราจะว้าเหว่มากเลย เพราะในใจเราทุกคน จิตใต้สำนึกของเรา  เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ มนุษย์ทุกคนรู้ นิ่งๆ ก็รู้ทันที ก่อนตายจะนิ่งที่สุด และเวลาเรากำลังจะจากไป จิตใต้สำนึกของเรา จะต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาวที่แม้จะมีจุดดำเล็กๆ เพียงจุดเดียว มันก็จะเด่นชัดตรงจุดดำนั่นแหละ และถือว่าผ้านั้นมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ครบถ้วน มันมีรอย

มนุษย์ทุกคนเป็นบาป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และเราก็รู้ตัวเอง จริงๆ มนุษย์ส่วนใหญ่จะรู้ตัวเอง เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้เลย ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว และว้าเหว่ที่สุด พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้นว่ามันเป็นช่วงที่น่ากลัวมาก เหมือนที่พระเยซูเผชิญในวันศุกร์บนไม้กางเขน รับบาป เป็นคนบาปจริงๆ แล้วตายให้เราเห็นจริงๆ แล้วก็เขียนบันทึกให้เราเห็นว่าตอนตาย มันทรมานอย่างไร? เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่ และอะไรอยู่ล่ะ ความตายไง มารไง มารซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือความตาย มันรออยู่ มันมารับเรา รับพระเยซูไปด้วย พระเยซูต้องไป เพราะพระองค์แบกรับบาปของเราทั้งหลายไว้ ไม่ใช่บาปของพระองค์ แต่เราทั้งหลายสมควร เพราะเราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราไม่ดีพร้อมอะไร? มีใครบ้างที่ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำอะไรผิดเลย  ตั้งแต่เกิดมา  ตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป เราจะต้องคิดถึงอะไรบางอย่างที่เราทำ และตรงนั้นแหละ เป็นตัวยืนยันให้เราเห็นว่าเราว้าเหว่ พระเจ้าอยู่กับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป พระเจ้าอยากจะช่วยเหลือเราเต็มแก่เลย ช่วยไม่ได้ เหมือนพระเยซูเรียกพระเจ้า … พระเจ้าอยากจะลงมาช่วยพระเยซู ทุกข์ทรมานเหลือเกิน พระเจ้าก็ลงมาไม่ได้ เพราะพระเยซูเป็นคนบาปไปแล้วตอนนั้น เพราะรับเอาบาปแทนเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา แต่ตัวเราเป็นคนบาป และถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา เราก็ยังติดอยู่ที่บาปตรงนั้น แล้วพระเจ้าก็อยากจะลองเข้าไปช่วยเราในวินาทีสุดท้ายในความว้าเหว่นั้น ถ้าเรายังไม่มีพระเยซู ถ้าเรายังไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ใครมารับเราไป จะไปไหน? เราไม่รู้เราจะไปไหน?  แต่เรารู้ว่าใครมารับเราไป ไม่ใช่พระเจ้า สถานที่อยู่นั้น ก็ไม่ใช่สวรรค์แน่นอน ถ้าไม่ใช่พระเจ้า ก็ไม่ใช่สวรรค์ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ อันนี้ใครๆ ก็รู้

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็เลยฝากไว้ว่าแม้ขณะที่เราชื่นชมยินดี ก็จำไว้อย่างหนึ่งว่าเราขอบคุณพระเจ้า แต่สำหรับพี่น้องเราบางคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา ในวันศุกร์ประเสริฐบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย เอาชนะเหนือความตายมาให้กับเขา เขายังไม่ได้ใช้สิทธินี้ อธิษฐานให้กับเขา วิงวอนขอพระเจ้าให้กับเขา ขอพระเมตตาให้กับเขา ให้เขารู้และใช้สิทธิของเขาก่อนวันที่เขาจะหมดลม ด้วยความว้าเหว่บนโลกใบนี้ ส่วนเรานั้น เราขอบคุณพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราวางไว้ที่พระองค์ทั้งสิ้น ที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เราก็จะอยู่เหมือนกับพระองค์  ขอพระเจ้าอวยพรครับ