คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2019 เรื่อง “จงมีใจถ่อม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  สิงหาคม  2019

เรื่อง “จงมีใจถ่อม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เมื่อเช้าตอนแต่งตัวมาโบสถ์มีใครดูกระจกบ้าง? ที่ไม่ได้ยก ไม่ได้ดูเหรอ แล้วมีใครดูกระจก แล้วพูดกับตัวเองว่า …

“ทำไมเราดูดีจัง?”

มีใครคิดอย่างนั้นไหม?  มีใครมองกระจก แล้วบอกตัวเองว่า …

“เรายังไม่แก่เลยนะเนี้ย?  ดูอ่อนกว่าอายุจริงตั้งเยอะ?”

เคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ ที่เวลามองคนอื่น ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเรา แล้วรู้สึกว่า …

“เอ๊ะ! ทำไมคนนี้ดูแก่จัง ดูโทรมจัง เราว่าเราดูหนุ่ม ดูสาวกว่าเยอะเลยเนอะ”

เคยคิดอย่างนั้นไหม? ไม่ต้องตะโกนดังๆ ก็ได้ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่าคุ้นๆ บ้างไหม?

ชัยมีนัดครั้งแรกกับหมอฟันคนใหม่ ระหว่างนั่งรอ ก็มองเห็นใบปริญญาที่ติดอยู่ เห็นชื่อกับนามสกุล ก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนที่เคยเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกัน ยังจำถึงภาพเพื่อนคนนี้ เป็นหนุ่มหล่อ เป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย นึกดีใจว่าจะได้พบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันตั้ง 40 ปีแล้ว

ปรากฏว่าพอถึงคิวเข้าห้องทำฟัน หน้าของหมอฟันที่เห็น กลายเป็นชายสูงอายุ ศีรษะเกือบล้าน ผมที่เหลืออยู่น้อยนิด ก็กลายเป็นสีขาวโพลน ชัยทำฟันไป ก็คิดในใจว่า …

“ไม่น่าจะใช่เพื่อนเรา คงชื่อซ้ำกันมั้ง เพื่อนเราไม่น่าจะดูแก่กว่าเราเยอะขนาดนี้เลยนะ”

และหลังจากที่ทำฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังสงสัยในใจ ก็ถามหมอว่า …

“หมอ หมอเรียนม.6 ที่โรงเรียนบางแสนหรือเปล่าครับ?”

หมอก็ตอบว่า “ใช่ครับ”

ชัยก็ถามต่อว่า “หมอจบปีไหนครับ?”

หมอก็ตอบว่า “ปี 2508” หมอก็ตอบแบบงง ถามทำไม?

แล้วหมอก็ถามต่อว่า “ทำไมหรือครับ ถามทำไม?”

ชัยก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็เรียนห้องเดียวกับผมสิ ผมจำชื่อหมอได้”

คราวนี้ หมอก็เริ่มค่อยๆ จ้องหน้าชัย แบบพยายามทบทวนความจำ แล้วหมอก็ถามออกมาว่า … “ขอประทานโทษเถอะครับ ผมยังไงก็ยังนึกไม่ออกจริงๆ อาจารย์สอนวิชาอะไรครับ?”

สรุปว่านิทานเรื่องนี้ ใครดูแก่กว่า หมอหรือชัย? หมอดูหัวล้าน ผมขาว รูปร่างเปลี่ยนไปเยอะจากนักกีฬา แต่หมอมาดูชัยใกล้ๆ

“สวัสดีครับ อาจารย์”

อาจารย์กับศิษย์ ท่านลองคิดดูใครแก่กว่า เพราะฉะนั้น ใครที่ดูกระจก เมื่อเช้านี้ ลองถามคนข้างๆ สิว่าดูเป็นอย่างไร? เป็นไปตามที่เราดูในกระจกเมื่อเช้าหรือเปล่า? เราอาจจะดูตัวเอง แล้วหลงตัวเองหรือเปล่า?  คนข้างๆ เขาจะเป็นคนบอกเราเองว่าเราเหมือนหมอหรือเหมือนชัย

หัวข้อในการบรรยายวันนี้ ก็จะมีชื่อว่า “จงมีใจถ่อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่ง ความโอ้อวด ความอวดดีนั่นเอง การมีใจถ่อม ซึ่งมันยาก เรารู้ว่ามันยาก ยอมรับความจริงว่ามันยาก เราจะได้รู้ จะได้เตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าสิ่งนี้มันมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ ซึ่งอย่างที่เราได้เรียนรู้กันมาตลอด ย้ำกันไปย้ำกันมา ในซีรี่ย์ต่างๆ แล้วว่าหลังจากที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณข้างในของเรา ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ตัวตนจริงๆ ของเรา ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิญญาณและใจของเรา พระเจ้าให้ใหม่เอี่ยมเลย หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เหมือนพระเยซูเลย เราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรในสวรรค์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติ หรือเนเจอร์ หรือสันดานของเรา ตัวจริงของเรามันเปลี่ยนไปแล้ว บริสุทธิ์สะอาดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตัวตนใหม่ของเรา เป็นวิญญาณที่สะอาด เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  เพราะฉะนั้น เราจึงสมควรที่จะประพฤติตน ให้เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า ทำอะไรก็ตามให้เป็นไปตามวิญญาณข้างในของเรา

ซึ่งในตัววิญญาณของเรา รักพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา และพยายามฝึกฝนตัวเองให้ประพฤติตามที่พ่อพอใจ พ่อสบายใจ หรือที่พ่ออยากให้เราทำ ก็คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่อยากจะทำอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เนเจอร์ของเราอีกต่อไป ไม่ใช่ธรรมชาติของเราอีกต่อไป ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น ที่บังเกิดใหม่ ที่เป็นเนเจอร์ หรือเป็นธรรมชาติ หรือเป็นสันดานที่เกิดใหม่ในวิญญาณของเรา คือการมีใจถ่อมเหมือนพระเจ้าเลย เราต้องทำบุคลิกลักษณะข้างนอก ในโลกใบนี้ ให้มันเหมือนกันกับ หรือสอดคล้องไปกับวิญญาณที่อยู่ข้างในเรา ใจที่อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นใจถ่อม แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น มันยากไง ที่จะประพฤติปฏิบัติตามให้เป็นเหมือนใจ ซึ่งตัวนี้ เดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไป เราร้องเพลงกันก่อน

พระเจ้า มันยาก  ที่จะให้ถ่อม                     เมื่อข้า  ดูดี  ในทุกทาง

ข้าชอบ  ดูตัวเอง ในกระจก                        เพราะข้านั้น  ดูดีขึ้น  ทุกวัน

ใครได้ พบข้า ต้องชื่นชม                            เพราะข้ามี  ราศี  สุดสง่า

พระเจ้า  มันยาก ที่จะให้ถ่อม                     แต่ข้า จะทำให้ ดีที่สุด

เอาไปร้องเป็นประจำเลยนะครับ เพราะในเนื้อ มันก็เป็นการยาก เพราะวิญญาณข้างในของเรา อันนี้เป็นความรักแล้ว เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้ามีใจถ่อมมากๆ พระเจ้าไม่อวดดี วิญญาณใหม่ของเรา ใจใหม่ของเรา เป็นความรัก เหมือนพระเจ้าเลย ความรักอดทนนาน ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความถ่อมใจทั้งสิ้น

ฉะนั้น การดำเนินชีวิตในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราพยายามจะควบคุม ต้องฝึกฝน และดูแลความประพฤติของตัวเอง ให้อยู่ในเส้นทางที่เป็นเหมือนในวิญญาณของเรา บางคนได้มาก บางคนได้น้อย ก็แล้วแต่จะฝึกฝน แต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่มีหน้าที่ที่จะไปเปรียบเทียบกัน ที่ผมยกตัวอย่างอยู่เสมอๆ ก็คือเหมือนเรื่องทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของเขา เป็นลูกมนุษย์ แต่หลงพลัดไปอยู่กับลิงนาน ทำตัวเหมือนลิงมานาน พอกลับมาอยู่บ้านพ่อ ก็ต้องฝึกฝน ควบคุม ปฏิบัติตัวใหม่ ให้สมกับที่เป็นลูกมนุษย์ ไม่ใช่ลูกลิงอีกต่อไป ผมพยายามยกตัวอย่างนี้ เพราะตัวอย่างนี้ทำให้เราได้เห็นชัดมากเลย เขาต้องมาฝึกจริงๆ เพราะมันชิน

พวกเราเมื่อมาเป็นลูกของพระเจ้า ถึงแม้ตัวตนที่แท้จริงจะเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่ความประพฤติข้างนอก ก็ควรที่จะฝึกฝน พยายามที่จะควบคุมให้เป็นไปตามวิญญาณเราด้วย  พยายามควบคุมตัวเอง  ไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าเกลียด ก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติ หรือเนเจอร์ชีวิตของพระเจ้า แล้วเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าเกลียด ก็คือสิ่งที่เราเกลียดด้วยนั่นเอง  สิ่งที่ไม่ตรงกับในวิญญาณของเรา เราต้องควบคุมการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้เป็นไปด้วยกันกับเนเจอร์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นเนเจอร์ เป็นธรรมชาติของเราด้วยนั่นเอง

คนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ และได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณได้เปลี่ยนใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีใครอยากจะทำอะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับวิญญาณที่อยู่ข้างใน หรือใจใหม่ที่อยู่ข้างใน ที่พระเจ้าให้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจทำหรอก ไม่อยากโกหก แต่มันเผลอ เผลอมาก เผลอน้อย บางคนบอกเขาตั้งใจโกหก ใช่เขาอาจจะดูเหมือนตั้งใจโกหก แต่พอเขาโกหกไปแล้ว เขาจะรู้สึกไม่น่าเลย คือหลงไปเชื่อหรือหลงไปกระทำตามกิเลสตัณหาของมารที่ส่งเข้ามา ผ่านทางเนื้อหนังร่างกายเรา ผ่านทางความคิด ให้เราเชื่อมัน ไม่อยากอิจฉาเลย แต่มันก็เผลอ ไม่อยากจะคิดร้าย แต่มันก็เผลอ เมื่อวานผมขับรถไปธุระแล้วผมเผลอไปฆ่าคนตาย จริง ขับไปอยู่ดีๆ รถบรรทุกใหญ่ เขาแซง เบียดมา เกือบชน ผมหันไป ทำท่าเอาปืนยิง ยิ้มๆ นะ เหมือนจะอภัย ยิ้ม

“ฉันอภัยให้”

ผมทำท่าเอาปืนยิง ผมกำลังฆ่าคนตายในสายพระเนตรพระเจ้านะ พระเยซูบอกแค่คิด ก็เท่ากับทำ ผมฆ่าคนตายนะเมื่อวานนี้ เขาเรียกว่าเผลอ เพราะฉะนั้น อาการเผลอ มันฝึกฝนได้ ครั้งต่อไป เวลาเขาเบียดเรา เราก็จะไม่ยิง เพราะเรานึกขึ้นได้ นึกขึ้นได้เมื่อไร? ทันทีทันใดที่ยิงไปแล้ว ทันทีทันใดที่หันไปยิ้ม อุตส่าห์ เขาเรียกอะไรนะ Holy Angry คือความโกรธ ความเกลียดแบบบริสุทธิ์ ทั้งที่หน้ายังยิ้มๆ อยู่ มันโมโห มันตกใจ หันมายิ้มๆ ยิงไปเลย ปืนยิงเขาไปแล้ว ความรู้สึกข้างใน อย่างนี้เรียกว่าเผลอ

ซึ่งในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ตัวที่เผลอง่ายที่สุด ก็คือความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ความอวดดี ก็คือความไม่ถ่อมใจ อันนี้เผลอง่ายที่สุด ซึ่งเรื่องอื่นๆ ที่เผลอทำไปแล้ว ยังรู้ตัวทีหลัง อย่างเช่นเมื่อตะกี้นี้ ผมได้ฆ่าคนตาย เมื่อวานนี้ ยังรู้ตัวทีหลัง จะเร็วหรือช้า ก็รู้ตัวได้ง่าย เช่นเผลอไปด่าเขา ไปโกรธใคร ก็ยังรู้ตัว ไปนั่งนึกเสียใจทีหลัง แล้วพยายามฝึกฝน ควบคุม พยายามสู้ใหม่ วันหลังเราจะอภัยได้มากขึ้นกว่านี้ เราจะไม่เผลอ หรือเผลอไปอิจฉาใคร เผลอไปทะเลาะกับใคร ก็รู้ตัว เผลอไปโลภ ไปโกง ไปเอาเปรียบ ใครก็รู้ตัวเหมือนกันว่าทำอะไรลงไป แต่ความเย่อหยิ่ง ความอวดดี ความไม่ถ่อมใจ เป็นสิ่งที่เราอาจเผลอ โดยไม่รู้ตัวเลย เมื่อวานที่ผมเผลอไปฆ่าคน รู้ตัวทันทีเลย ภายในเสี้ยววินาที แต่เมื่อวานนี้ ผมอาจจะทำอะไรเย่อหยิ่งเยอะแยะ ทั้งความคิด ทั้งคำพูด ไม่รู้  ทำไปเมื่อไร วันไหน? น่าสงสาร อะไรที่มันสังเกตยาก

ตัวอย่างเรื่องหมอฟันเมื่อตะกี้นี้ เขาก็คิดแบบบริสุทธิ์ใจว่าหมอดูหน้าแก่กว่า ก็คือเขาไม่รู้เลย เขาคิดแบบธรรมชาติ นึกว่าจะเจอหมอเหมือนที่เขาคิดในจินตนาการ  ตอน ม.6 เป็นอย่างไร? พอเจอหมอ หมอแก่ลงไปเยอะ ความคิดเขาสบายเลย แล้วอิสระแบบธรรมชาติ หลงตัวเอง แบบธรรมชาติเลย หมอดูแก่กว่าเยอะ ลืมชะโงกดูเงาตัวเองว่าเราเป็นเช่นไร? เขาไม่รู้เรื่องเลย อย่างนี้เป็นต้น เหมือนเนื้อเพลงที่เราร้องว่า “ข้าชอบดูตัวเองในกระจก เพราะข้านั้นดูดีขึ้นทุกวัน ใครได้พบข้า ต้องชื่นชม เพราะข้ามีราศีสุดสง่า” แม้กระทั่งเอาความจริง ในเรื่องโลกวิญญาณ เราได้รับสง่าราศีจากพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็อดไม่ได้ ที่จะมาใช้ในทางติดลบว่าเราเหนือกว่าคนอื่นเขา เรามีสง่าราศีมากกว่าคนอื่นเขา ท่านพอมองออกไหม?

พอบังเกิดใหม่แล้ว มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว มองกระจกทีไร รู้สึกตัวเองมีสง่าราศี มีราศีเหมือนพระเจ้า  ก็หลงตัวเอง เผลอคิดว่าดีกว่าคนอื่น หนักๆ เขาก็ติดเป็นนิสัย ยกตนข่มท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวว่าเรากำลังยกตนข่มท่าน พระเจ้าจึงมาเตือนเราอยู่บ่อยๆ สำหรับพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียบกันหมด ทุกคนเป็นคนบาป เหมือนกันหมด ไม่มีใครหนักกว่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากัน พระเยซูยอมเสียสละ ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร? ไม่ใช่ว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่ ไปดูถูกคนอื่น ไปดูหมิ่นคนอื่น โดยเฉพาะกับพี่น้องคริสเตียนที่เชื่อด้วยกันแล้ว ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ไม่มีใครมีศักดิ์ศรีสูงกว่ากัน ไม่ใช่ว่าคนนี้มีความเชื่อเยอะ เชื่อนานแล้ว  เขาจะมีศักดิ์ศรีมากกว่าคนที่เชื่อเมื่อวาน เท่ากัน ไม่ใช่ว่าคนนี้ เขารับใช้พระเจ้าด้วย พระเจ้าจึงรักเขามากกว่า ไม่มี มันเท่ากันหมด ไม่ใช่ว่าคนนี้ อดอาหารอธิษฐานเยอะ อ่านพระคัมภีร์เยอะ เขาจะมีสง่าราศีมากกว่า ไม่มี เท่ากันหมด ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันหมด ได้รับสิทธิการเป็นบุตรพระเจ้าเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครดีกว่ากัน

ถ้าตามหลักการในพระคัมภีร์แล้ว มี 100% กับมี 0% มารจะพยายามทำให้เรามัวๆ กลายเป็นว่าคนนี้เป็นคนชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ ทำได้ 90% คนนี้ดีกว่าได้ 100% ไม่มี ถ้าทำความชอบธรรมได้ 90% คนนั้นก็ยังอยู่ในความพินาศอยู่ ถ้าเชื่อพระเยซูจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูไถ่บาปที่ไม้กางเขน เขาจะเป็นผู้ชอบธรรม 100% ไม่มี 99.99 ไม่ว่าเขาจะเป็นโจร หรือทำผิดอะไรก็ตาม เขาเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ 100%

สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเยซูเลย ไม่รับพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็ตาม ไม่มีวันที่จะได้ครบ 100% มันแยกกันอย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดใหม่วันนี้ ในพระเยซู หรือเกิดใหม่มาแล้ว 30 ปี ทั้งสองท่านนี้  เป็นผู้ชอบธรรม 100% เท่ากัน

เรากลับมาดูคำว่า “เย่อหยิ่ง, จองหอง, อวดดี” ในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “PRIDE” ซึ่งเรามักจะแปลเป็นภาษาไทยว่า “ความภาคภูมิใจ” ก็กลายเป็นสิ่งดี มันตรงกันข้ามกับความหมายจริง พอภาษาไทยบอกภาคภูมิใจปุ๊บ ในความรู้สึก มันก็ดีนะ แต่พระคัมภีร์ Pride หรือความรู้สึกภาคภูมิใจ ก็คือความรู้สึกเย่อหยิ่ง อวดดี ผยองนั่นเอง  ภาษาไทยเราต้องคิดให้ดีๆ น่าจะใช้คำว่า Pride นี้ แปลเป็นภาษาไทยว่าอวดดี ผยอง เย่อหยิ่ง มากกว่า โดยเฉพาะข้อความในพระคัมภีร์ เอาเรื่องเล็กๆ เช่น แม่ครัวทำอาหารอร่อย ดูว่า Pride ตัวนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร? คือคำไทยที่บอกว่าภูมิใจ มันติดลบได้อย่างไร? เอาเรื่องเล็กๆ ก่อน เช่นแม่ครัวทำอาหารอร่อย มีแต่คนชม ก็รู้สึกภูมิใจในฝีมือทำอาหารของตัวเอง พอคนชมเยอะๆ ใครจะติ ใครจะวิจารณ์ จะแนะนำ ก็ไม่ยอมฟังแล้ว  นี่ก็คือความเย่อหยิ่ง ซึ่งแม่ครัวก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเย่อหยิ่ง แต่นึกว่ากำลังภูมิใจ

หรืออย่างนักธุรกิจที่ทำงานเก่งๆ เป็นผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ตอนอายุน้อยๆ มีคนชื่นชมเยอะๆ เป็นอย่างไรครับ? ภูมิใจทุกคน ภูมิใจในความสำเร็จ พอภูมิใจแล้วเป็นอย่างไร? เหมือนกัน ใครจะว่า ใครจะเตือน ไม่ฟัง คราวนี้รั้น เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ในสังคม

สังเกตไหมคำว่า “ภูมิใจ” “เย่อหยิ่ง” หลายครั้งมันแยกกันไม่ออกจริงๆ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเรากำลังภูมิใจ แบบถ่อมใจ หรือภูมิใจ แบบเย่อหยิ่งจองหองกันแน่ ซึ่งส่วนใหญ่มันออกมาทางเย่อหยิ่งมากกว่า เดี๋ยวเรียนต่อไป ก็จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

ทราบไหมครับว่าบาป เรื่องความเย่อหยิ่ง โผล่ขึ้นมาครั้งแรกจากไหน? ที่มาของความเย่อหยิ่งบนโลกใบนี้ ที่มาของความอวดดี ที่มาของความผยอง ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน มาจากมาร มันเป็นบาปแรกเลย ที่เกิดขึ้น ที่มารหรือซาตาน สร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างนะ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น มันสร้างขึ้นมาเป็นธรรมชาติในตัวของมันเอง คืออยู่ดีๆ มันเกิดขึ้นมาในตัวของมาร ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ หรือซาตาน แล้วมารก็เอาบาปชนิดนี้ ความเย่อหยิ่ง ความผยอง ความไม่ถ่อมใจ มาให้กับมนุษย์คู่แรก ก็คืออาดัมกับเอวา

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามีทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ชื่อลูซีเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ชั้นสูง มีรูปลักษณ์สง่างามมาก และเพราะลูซีเฟอร์ลำพองว่าตัวเองเก่ง มีอำนาจเหนือทูตสวรรค์อื่นๆ เพราะเป็น 1 ในหัวหน้าทูตสวรรค์ ที่เก่งมาก และสวยงามมาก รูปร่างดี อะไรทุกอย่าง มันก็รู้ตัวมันเอง มันก็เริ่มจากภูมิใจ พระเจ้าก็ชม พระเยซูก็ชม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ชม ทูตสวรรค์ทุกตนก็ชม ลูซีเฟอร์ยอดเยี่ยม เก่ง ก็เกิดความหยิ่งยโส ภูมิใจเกินเหตุ เกิดความ Pride ก็คือความเย่อหยิ่งจองหอง และพยายามที่จะครอบครอง ควบคุมอำนาจความยิ่งใหญ่นั้น ด้วยตัวเอง แทนพระเจ้า คิดยกตนเองขึ้นมาเทียบพระบุตร คือเทียบพระเยซูเลย เป็นพระเจ้าเองเลย ก็เลยกบฎต่อพระเจ้า คือทำบาป เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า แล้วก็ชักชวน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด ร่วมก่อการกบฏ เกิดสงครามในสวรรค์สถาน เพราะตอนเป็นทูตสวรรค์มันสง่างาม และเก่งมาก ใครๆ ก็ชื่นชม ใครๆ ก็ยกย่องสรรเสริญ พอได้รับความชื่นชมเยอะๆ ได้รับการสรรเสริญมากๆ ความลำพองใจ ความเย่อหยิ่งก็ตามมา ก็เลยเกิดความคิดที่อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ในที่สุด ลูซีเฟอร์กับเหล่าสมุนของมันที่คิดกบฏต่อพระเจ้า ก็ถูกปราบลง และถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ลงมาอยู่ในแผ่นดินโลก เปลี่ยนสถานะจากทูตสวรรค์ มาเป็นมารซาตาน ซึ่งแปลว่าเจ้าแห่งความชั่วร้าย

เมื่อความเย่อหยิ่งเกิดขึ้น มันก็ทำบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้าทันที และเจ้าซาตาน ก็ได้ถ่ายทอดเชื้อบาป ความเย่อหยิ่งนี้ มาสู่มนุษย์ โดยผ่านทางอาดัมกับเอวาที่สวนเอเดน  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก และสั่งว่า …

“เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นไม้ในสวนนี้ใดๆ ก็ได้ แต่ต้องไม่กินผลจากต้นแห่งความรู้ดี รู้ชั่ว”

สั่งไว้อย่างนั้นใช่ไหม? ทำได้ทั้งหมด ยกเว้นอันเดียว แล้วเกิดอะไรขึ้น  เจ้าซาตานที่มาในร่างของงู ก็มาล่อลวงเอวา ให้ขัดคำสั่งพระเจ้า และกินผลไม้นั้น ปฐมกาล 3:4-5 บันทึกไว้อย่างนี้

ปฐมกาล 3:4-5 “4 งูบอกหญิงนั้นว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่นอน 5 เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าเมื่อใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะตาสว่างขึ้น และจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ผิดชอบชั่วดี”

 

เพราะความเย่อหยิ่งที่ต้องการจะเทียมพระเจ้า มนุษย์คู่แรกจึงกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าด้วย ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปเชื่อมารแทน ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าตกลงไปในการล่อลวงให้ทำบาป คือเป็นศัตรูกันกับพระเจ้า แล้วเชื้อบาปนี้ ก็ถูกส่งต่อมายังมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนก็เลยมีเชื้อบาปแห่งความเย่อหยิ่งจองหองติดตัวมาตลอด จะเห็นว่าบาป หรือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับความเย่อหยิ่ง มันแยกกันไม่ออกว่าอะไรเกิดก่อน มันใกล้กันมากเลย ไม่ใช่ เพราะมีบาป จึงเย่อหยิ่งนะ แต่เพราะเย่อหยิ่งก่อน แล้วจึงตกลงไปในความบาปทันที เย่อหยิ่ง ก็คือบาปอันหนึ่ง ก็คือไม่ตรงตามธรรมชาติของพระเจ้า แล้วก็ทำอะไรบางอย่างที่กบฏต่อพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้า และมีเชื้อแห่งความเย่อหยิ่ง ความไม่ถ่อมใจอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป

คนบาป ก็คือคนที่กบฏต่อพระเจ้า คือคนที่เป็นศัตรูต่อพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  คนที่มีเนเจอร์ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ก็จะมีความเย่อหยิ่งจองหอง คือไม่มีความถ่อมใจ ใครที่กำลังคิดว่าตัวเองไม่มีความเย่อหยิ่งเลย ฟังให้ดีๆ นะ ยิ่งเป็นความคิดที่น่ากลัวมากๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าศัตรูอยู่ในตัวเรา มันก็คือหยิ่งเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองหยิ่ง

“ฉันถ่อมใจแล้ว” แต่อาจจะไม่ถ่อมใจ ไม่มีคนใดทำได้ 100% หมายถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ

เบนจามิน แฟรงคลิน  บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศอเมริกา นักปราชญ์และ นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดประดิษฐ์สายล่อฟ้า เขาเป็นคริสเตียนและเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งมาก ได้กล่าวไว้ว่า …

“คงไม่มีเชื้อธรรมชาติอะไรอีกแล้วในตัวเรา ที่จะเข้มแข็งได้มากเท่ากับเชื้อแห่งความเย่อหยิ่ง  เราไม่มีทางที่จะต่อสู้กับมันได้เลย  ล้มมันลง  กำจัดมันออกไป  ไม่ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไรก็ตาม  เจ้าเชื้อนี้ก็จะคงอยู่กับเรา  ถ้าเราจะพูดว่าเราสามารถเอาชนะความเย่อหยิ่งได้แล้ว นั่นคงเป็นเพราะว่าเรากำลังภาคภูมิใจ หยิ่งผยอง อวดดีในความถ่อมใจของเรานั่นเอง”

น่ากลัวๆ การไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยทุกคนให้รอด และรวมทั้งฉันด้วย นั่นคือความเย่อหยิ่ง ความอวดดีของมนุษย์ที่อยากจะทำด้วยตัวเอง อยากจะชดใช้บาปด้วยตัวเอง คิดว่าตัวเองทำได้ ไม่เชื่อพระเจ้า พระผู้สร้าง และในทางกลับกัน ผู้ที่มาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีใจถ่อมเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลย ถ้าเราไม่ถ่อมใจว่าเราเป็นคนบาป ถ้าเราไม่ยอมลดตัวเราเองลงว่าเราเป็นคนบาป เราเป็นคนไม่ดี เราต้องการความช่วยเหลือ เราก็จะไม่มีโอกาสได้พบพระเจ้าจริงๆ เลย ไม่ได้โอกาสที่จะได้รับความรอดในพระเยซูเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณไปเรียนพระคัมภีร์ขนาดไหน มีสติปัญญาขนาดไหน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น

ถามว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความภูมิใจไหม ไม่ควร เพราะบอกแล้วไงว่าความภูมิใจ มันออกมาทางลบ มันออกมาทางความเสียหาย ไม่ใช่ศัพท์ที่ดี แต่เนื่องจากภาษาไทยมันเป็นอย่างนี้ เราควรจะมีความชื่นชมยินดี ในฐานะเป็นลูกพระเจ้า มันควรจะเป็นอย่างนี้มากกว่า เราควรจะมีความชื่นชมยินดี ในการมีสง่าราศีของพระเจ้า อยู่ในวิญญาณของเรา ชื่นชมยินดีกับภูมิใจมันต่างกันเยอะนะ แต่เรามักจะพูดกันเสมอ

เราควรภูมิใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เลยเละเลย ซึ่งแน่นอน เราควรจะมีความชื่นชมยินดี มีความปิติยินดี ในธรรมชาติใหม่ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งเราก็ควรจะใช้ความปิติยินดี ความชื่นชมยินดีนี้ในลักษณะ การขอบพระคุณ กตัญญูต่อพระเจ้า ที่ทำให้เรา และฝึกฝนตัวเองไป พยายามปฏิบัติตัวเองให้สอดคล้องกับวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เหมือนที่ยกตัวอย่าง เรื่องทาร์ซานนั่นแหละ ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในบ้านพระเจ้าแล้ว ปฏิบัติตัวใหม่ให้มันสมเกียรติ สมศักดิ์ศรีลูกของพระเจ้า

ไม่ใช่ภูมิใจ ซึ่งมันจะกลายเป็นอย่างอื่นไปในที่สุด  ตัวตน แท้จริงของเรา เป็นความรัก เป็นเหมือนพระเจ้า ปิติยินดีในพระคริสต์ เราระลึกถึงพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอ ก็คือถ่อมใจอยู่เสมอ ในพระคัมภีร์บอกให้ขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ การขอบคุณพระเจ้า คือการถ่อมใจ ถ้าเราขอบคุณพระเจ้าอยู่บ่อยๆ โอกาสที่เราจะเย่อหยิ่งจองหองแทบจะไม่มีเลย ทุกเรื่องมาขอบคุณพระเจ้า ใครจะมาชม ขอบคุณพระเจ้า เอเมน โอกาสที่เราจะถูกล่อลวง ไม่ใช่ไม่มี มันมีน้อยลง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มันก็เกิดตาละปัด แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณแห่งความรักอยู่ในตัวเรา แทนที่เราจะปิติยินดี ชื่นชมยินดีในฐานะเป็นลูกพระเจ้า เรากลับไปภูมิใจ (แบบไม่ดีนะ) ตะกี้นี้บอกแล้ว เรากลับไปหยิ่งผยอง โอ้อวดว่าเราเป็นใคร ฉันเป็นใครรู้ไหม? เพราะฉะนั้น ฉันเลยยกตนเองขึ้นข่มท่านทั้งหลาย ใครก็ตาม มนุษย์หน้าไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราก็เริ่มยกตนเองสูงกว่าเขา เริ่มรังเกียจคนอื่น ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าให้เราหนีออกจากโลกไป อย่าไปคบคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าให้เราออกไปประกาศหาเขา ด้วยความรัก และถ้าเผื่อเชื่อพระเจ้าด้วยกันแล้ว ยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเยอะๆ บางครั้งเราตัด เราไม่คบ เพราะเดี๋ยวทำให้สถาบันผู้ที่เชื่อพระเจ้าเข้าใจผิด อย่างนี้มันคนละเรื่องกับความเย่อหยิ่ง เข้าใจใช่ไหมครับ หลายคนก็ทำอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลังเย่อหยิ่งในความเป็นคริสเตียนของเรา

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันเป็นใคร ฉันสะอาดหมดจดแล้ว ฉัน …”

คิดเหมือนฟาริสีเลย คนอื่นเขาตีอกชกหัว

“ลูกแย่ ลูกไม่เชื่อพระเจ้า ทำไมลูกบาปอย่างนี้”

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้าล้างชำระฉันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ คนละรุ่นกัน คนละชั้นกัน”

ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้อง ก็คือ …

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกก็เป็นอย่างนั้นแหละ สกปรกเหมือนเขาเลย แต่พระองค์เมตตาชำระบาปให้ลูก ลูกไม่มีอะไรดีเลย แล้วลูกขอพระองค์ทรงช่วยเขา เหมือนที่พระองค์ทรงช่วยลูก ลูกเห็นใจ ลูกเข้าใจเขา เหมือนที่ครั้งหนึ่ง มีคนอื่นเขาเห็นใจลูก”

อย่างนี้ เป็นต้น นี่คือท่าทีที่ถูกต้องของความถ่อมใจ ของความไม่เย่อหยิ่ง เมื่อความภาคภูมิใจแบบมนุษย์ ก็คือความเย่อหยิ่งผยองเกิดขึ้น มันก็ล้นออกมา จนกลายเป็นความอาฆาต ความทุกข์ใจ เมื่อไรก็ตาม ที่เรารู้สึกว่าเราภูมิใจอะไรเป็นพิเศษ เกินกว่าปกติ ให้ระวังตัวให้ดีๆ เพราะว่าเรื่องเล็กๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในอันตราย ให้รู้ตัวเลยว่าเมื่อไร เรารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เตรียมตัวไว้เลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ พูดในใจไว้เลยว่า …

“อันตรายๆ”

มีใครมาชมเราเยอะๆ อันตรายๆ  วันนี้รู้สึกเชิดหน้าชูตา ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อันตรายๆ ส่วนใหญ่เราจะพูดอย่างนี้เสมอ เราจะแก้ตัว เรากำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้า  แต่มันอดไม่ได้หรอก รับมันไว้จริงๆ ลองไปคิดดูให้ดีๆ เดี๋ยวมันก็โผล่ออกมาอีก ต้องไม่รับมันเลย มันอันตรายที่จะก้าวจากความภูมิใจ และกลายเป็นความเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นบาปที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน และจะทำลายผู้นั้น ที่ไม่ระวังตน ถ้าเราปล่อยมันไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นแผลลึกขึ้น เป็นเชื้อมากขึ้น

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรที่ความเย่อหยิ่งจองหอง คือความไม่ถ่อมใจเกิดขึ้น ความพินาศก็จะตามมาทันที ยกตัวอย่างให้ 2 ข้อ สุภาษิต บทที่ 11 และบทที่ 16

สุภาษิต 11:2 “เมื่อความเย่อหยิ่งมา ความอัปยศก็ตามมา ส่วนปัญญามากับความถ่อมสุภาพ”

สุภาษิต 16:18 “ความยโสโอหัง จะทำให้พินาศ และใจหยิ่งผยอง จะทำให้ล้มคว่ำ”

 

จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ตาม ปกติแล้ว พอพระเจ้าอวยพรอะไรให้ หรือประทานความสามารถพิเศษอะไรให้ แรกๆ …

“ขอบคุณพระเจ้าทุกสิ่งที่ลูกมี ที่ลูกเป็น ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้ประทานทุกอย่าง ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เดียว”

อันนี้แทบจะท่องได้ แต่พอนานๆ เข้า ความสำเร็จมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ความคิด มันก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ที่เคยบอกว่าทุกอย่างมาจากพระเจ้า คราวนี้เริ่มคิดว่าตัวเองเก่ง เริ่มเปรียบเทียบกับผู้อื่น ลองเช็ดดูว่าเราเป็นอย่างนั้นไหม? เริ่มโอ้อวด เย่อหยิ่ง กลายเป็น …

“ตัวเราแน่ ตัวเราดีกว่าคนอื่น”

ความหยิ่งผยองมักเกิดขึ้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนอื่น จากที่เคยเชื่อฟังคำสอน คำแนะนำของผู้อื่น ก็กลายเป็นไม่ฟังใครๆ ทั้งสิ้น สอนไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำไม่ได้  ตรงนี้อันตรายที่สุด

ในพระคัมภีร์มีตัวอย่างเยอะ และตัวอย่างที่น่าประพฤติ ปฏิบัติตาม คืออาจารย์เปาโลเก่งขนาดไหน? อาจารย์เปาโลถ้าทางโลก เป็นนักปราชญ์ ทางพระคัมภีร์เป็นนักปราชญ์เหมือนกัน เรียนสูง รู้เรื่องเยอะในพระคัมภีร์ รู้เรื่องพระเจ้าเยอะ รู้เรื่องประวัติศาสตร์เยอะ อาจารย์เปาโลบอกทั้งหมดนั้น เป็นหยากเยื่อ ไร้สาระ แล้วอาจารย์เปาโลเป็นอัครทูต เขียนไปหาผู้เชื่อใหม่ที่กรุงโรม ตอนหนึ่งในนั้นบอกว่า …

“ข้าพเจ้าวิงวอนพระเจ้า ข้าพเจ้าเตรียมตัวที่จะไปหาท่านอยู่เสมอๆ คิดถึงท่านอยู่หลายครั้งเลย เตรียมตัว แพ็คของแล้ว จะไปหาท่าน วันหนึ่งไปพบท่านแน่นอน”

ไปพบ เพื่อ …  “เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในการแบ่งปันคำพยานชีวิตดีๆ ส่งเสริมให้ท่านดีขึ้น และท่านก็จะได้เป็นพยานเล่าเหตุการณ์ ประสบการณ์ให้กับข้าพเจ้า หนุนใจข้าพเจ้าโตขึ้นเช่นเดียวกัน เท่ากันเลย”

อาจารย์เปาโลไม่ได้ตั้งใจจะไปสอนอย่างเดียว แต่ตั้งใจจะไปแบ่งปัน อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “แบ่งปัน” เราจะไปแบ่งปันสิ่งที่เราได้ของประทานจากพระเจ้ามา เรื่องอะไรที่พระเจ้าประทานให้ ให้เห็นถึงความจริง เป็นการเล่าเรื่องพระคริสต์ให้ฟัง ในประสบการณ์ของฉัน และฉันก็จะได้รับอย่างนี้เหมือนกันจากพวกคุณ … พวกคุณ คือผู้เชื่อใหม่ เขาก็มีคำพยาน ที่พระเจ้าใช้ผ่านชีวิตของเขา เอามาเล่าสู่กันฟัง เอามาเสริมกำลัง เสริมจิตวิญญาณของเปาโลให้สูงขึ้น เช่นเดียวกัน นี่คือถ่อมไหม? ไม่ใช่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ฉันเป็นใคร? ฉันจะเอาไปให้อย่างเดียว ใครไม่มีกำลังมาเลย เดี๋ยวฉันจะวางมือให้ กำลังมาทันทีเลย”

ทุกคนก็ต้องวิ่งเข้าไปหาคนๆ นี้ พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้เหรอ หรือมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ท่านคิดว่าอะไร? ท่านลองไปคิดเองแล้วกันว่าพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เราทุกคนเท่ากันใช่ไหม? พระเจ้าไม่มีลำเอียง โดยเฉพาะอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้กับผู้นำเยอะ ผู้นำในทางโลก ที่เห็นๆ อย่างเช่น ผู้มีอำนาจ ผู้นำ นักแสดง ศิลปิน ที่มีของประทานที่ได้รับจากพระเจ้า หรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า ที่รับใช้ ที่เรียกว่าศิษยาภิบาล หรืออะไรก็ตาม ผู้สอน ผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ของประทานโดดเด่นมากๆ โดดเด่นในสายตามนุษย์ ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนมีของประทานเท่ากันหมดแหละ แต่บางครั้ง บางคนอาจจะมีบางส่วนที่โดดเด่นกว่าคนอื่นเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากจะได้ เห็นชัดๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้แหละ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็พินาศในที่สุด ก็คือตามพระคัมภีร์แล้ว ทุกคนบาปและหยิ่งอยู่ในกมลสันดานทั้งนั้น และทุกคนที่หยิ่ง ก็จะได้รับความพินาศกันหมด เพียงแต่ว่าพวกที่โดดเด่นมากๆ ในสังคมมนุษย์ที่ตามองเห็น เวลาพินาศก็จะเห็นได้ชัดกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเอง เป็นคนธรรมดา เป็นแม่บ้าน เป็นนักเรียน เป็นพนักงาน เป็นลูกจ้าง ถ้าเมื่อใดหยิ่งผยอง ก็เจอความพินาศเหมือนกันหมด เพียงแต่ความเสียหายไม่เท่ากัน และไม่มีใครเขาสนใจ ความเย่อหยิ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ที่สามารถทำลายชีวิตของเรา อย่างเงียบๆ

เคยได้ยินไหมครับ มีคำพูดที่บอกว่า “ความสำเร็จ สามารถฆ่าคนได้”

หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จ มักถูกฆ่าตายด้วยความเย่อหยิ่ง ด้วยความภูมิใจตนเองจนเกินไป เพราะโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกภูมิใจเกินกว่าเหตุ มันเยอะ มีคนเชียร์เยอะ มีคนคอยชื่นชมสรรเสริญ ยกย่องเยอะ จึงมีโอกาสที่จะขโมยจากพระเจ้าไปนิดหนึ่ง ในความชื่นชมยินดีในการที่เขาชมนั้น แทนที่จะส่งไปให้พระเจ้าเลย

เขาว่าเคล็ดลับอันหนึ่งที่ดี คือไม่ว่าคนจะนินทาหรือสรรเสริญ ส่งไปให้พระเจ้าหมดเลย ไม่รับอะไรทั้งสิ้น อันนี้มีความสุขและปลอดภัย แต่มันทำยาก ทำได้หรือเปล่า? ไม่ว่าดีหรือร้าย ส่งไปให้พระเจ้าหมด เขาด่ามา โดนใคร โดนพระเจ้า เขาชมมาล่ะ รับเอง ไม่ใช่ เขาด่ามารับไหม? ไม่รับ เขาชมมารับไหม? อย่ารับเหมือนกันสิ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ไม่รับทั้งสิ้น ส่งต่อให้พระเจ้าหมดเลย ถ้าเขาชมมา ส่งต่อให้พระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเขาว่ามา ก็โยนให้พระเจ้า แล้ว …

“พระเจ้า ลูกเป็นอย่างนั้น จริงไหม? ขอทรงช่วยลูกด้วยเถิด” ก็ว่าไป ไม่รับอะไรทั้งสิ้นเลย ก็ปลอดภัย

ความภาคภูมิใจเยอะ โอกาสที่จะกลายเป็นความเย่อหยิ่งก็เยอะ ซึ่งพอมันเยอะ โอกาสที่จะพินาศตามพระคัมภีร์ มันก็เยอะ โอกาสพัง ไม่เป็นท่า มันก็มีเยอะ ลองฟังเรื่องนี้ดู …

มีกบตัวหนึ่ง  อาศัยอยู่ในหนองน้ำแห่งหนึ่ง  ร่วมกับห่านอีก 2 ตัว … สัตว์ทั้ง 3 ตัว  เป็นเพื่อนรัก  เพื่อนเล่น  ที่คอยดูแลกันและกันเป็นอย่างดี … จนกระทั่ง ฤดูร้อนมาถึง … อากาศที่อบอ้าว  และแสงแดดที่ร้อนจัด  ได้แผดเผาหนองน้ำแห่งนั้น จนกลายเป็นดินแห้งแตกระแหง … ทำให้สัตว์ทั้ง 3 ตัว  ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ต่อไป ต้องอพยพ … สำหรับห่านทั้ง 2 ตัว  มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะมันสามารถบินไปหาที่อยู่ใหม่ ได้อย่างง่ายดาย … แต่เจ้ากบ ไม่มีหนทางที่จะไป

หลังจากช่วยกันคิดหาทางออก ประชุมกัน … แผนการอพยพก็เริ่มขึ้น โดยเจ้ากบได้ไปหาเศษไม้เล็กๆ มาให้ห่านทั้ง 2  ตัว คาบไว้ที่ปลายข้างละตัว แล้วเจ้ากบก็ใช้ปากของมันคาบไม้ตรงกลางเอาไว้ เพื่อให้ห่านทั้ง 2 ตัว ช่วยกันบินพามันไปด้วย เพื่อนรักกัน ห่าน 2 ตัวมันทำให้อยู่แล้วล่ะ มันเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนนะ คงพูดในใจว่าให้เพื่อนคาบดีๆ เดี๋ยวเราไปด้วยกัน ทนอีกสักนิดหนึ่ง แต่กบตรงกลางตา มันมองข้างหน้าอย่างเดียว

ระหว่างที่กำลังบินอยู่บนฟ้า ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ก็พากันชื่นชมในความคิดที่ฉลาด แหลมคม มีชาวนาคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า …

“โอ้!  มันยอดมากเลย  ใครกันนะ  ที่เป็นเจ้าของความคิดที่วิเศษเช่นนี้”

เจ้ากบ ซึ่งกำลังคาบไม้อยู่บนท้องฟ้า  ก็ตะโกนขึ้นมาว่า  … “มันเป็นความคิดของข้าเอง”

ท่านลองคิดดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น คิดเอาเองก็แล้วกัน

สรุปว่าที่กบต้องตาย เพราะการโอ้อวด ความคิด ความสามารถของตัวเอง จริงๆ แล้วตอนแรก มันแค่คิดหาวิธีที่จะอพยพ ให้ห่านช่วยเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย แรกๆ มันไม่ได้คิดว่ามันเก่งนะ มันก็แค่คิดออกแค่นี้เอง แต่พอมีคนเห็น และชื่นชมในความคิด มีคนชม คราวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ อดไม่ได้ที่จะโอ้อวดตัวเอง พอเริ่มโอ้อวดตัวเอง หยิ่งผยอง ก็พบกับความพินาศ ในนิทานใช้กบกับห่าน เราก็เลยรู้สึกไม่ใกล้ตัวเท่าไร แต่ในชีวิตจริง คนที่เป็นเหมือนกบ มีเยอะมาก บางทีเราทำอะไร หรือคิดอะไรขึ้นมา แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรในสิ่งที่เราคิดหรอก แต่อย่าให้มีคนชมนะ พอมีคนชื่นชม ได้รับคำชมมากๆ ก็เริ่มเขวจากความคิดธรรมดา กลายเป็นเราก็หนึ่งในตองอู จากที่ให้คนอื่นชม คราวนี้ก็เริ่มชมตัวเอง โอ้อวดตัวเอง

พระเจ้า มันยาก  ที่จะให้ถ่อม                     เมื่อข้า  ดูดี  ในทุกทาง

ข้าชอบ  ดูตัวเอง ในกระจก                        เพราะข้านั้น  ดูดีขึ้น  ทุกวัน

ใครได้ พบข้า ต้องชื่นชม                            เพราะข้ามี  ราศี  สุดสง่า

พระเจ้า  มันยาก ที่จะให้ถ่อม                     แต่ข้า จะทำให้ ดีที่สุด

ดูเหมือนมันไม่มีอะไร? แต่มันมีอะไรอยู่ในตัว มันคือความจริงในชีวิตคริสเตียนว่าจะเป็นอย่างนี้ อย่าไปล้อเล่นกับมัน จงยอมรับว่าเราเป็นอย่างนั้น และเตือนตัวเอง และบอกพระเจ้าว่า …

“มันยากจริงๆ เลยพระเจ้า (คือพูดง่ายๆ) พระเจ้า สิ้นชีวิตนี้ไป คงไม่ได้หมดหรอก แต่ขอให้ลูกทำให้มันดีที่สุด  ให้ลูกทำได้มากที่สุด”

พระคัมภีร์จึงเตือนเราว่าให้คนอื่นเป็นคนยกย่องเราก็พอ อย่าโอ้อวดตัวเอง สุภาษิต 27:2 ท่องจำไว้เลย

สุภาษิต 27:2 “อย่ายกย่องตัวเอง ด้วยปากของเจ้าเอง ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง”

 

อันนี้ไม่ต้องแปลเลย “อย่ายกย่องตัวเอง ด้วยปากของเจ้าเอง ให้คนอื่นเป็นผู้ยกย่อง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปากของเจ้าเอง”

แต่มันยากนะ ยิ่งมีคนชมมากๆ ปิดปากเงียบไปเลย พระเจ้ายากมาก แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุด

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการถ่อมใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่งจองหอง วิธีเดียวที่จะหลีกพ้นจากความพินาศ ที่เกิดขึ้น จากความเย่อหยิ่งจองหอง การยกตนข่มท่าน ก็คือการมีใจถ่อม พระคัมภีร์เตือนสติเราอยู่เสมอ การเดินกับพระเจ้า ต้องมีความถ่อมใจและเชื่อฟัง สุภาษิต 3:5-6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ อ่านชัดเลยนะ

สุภาษิต 3:5-6 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

ในทางพระเจ้า ผู้ที่มีใจถ่อมต่อพระเจ้า ก็คือผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง คือไม่พึ่งพาความคิด สติปัญญาของเราเอง คือแปลว่า …

“ต่อให้ตามองเห็นมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าพูด ฉันก็จะเชื่อพระเจ้า ตามองเห็นเป็นสีดำ พระเจ้าบอกว่าเป็นสีขาว ฉันก็จะเชื่อพระเจ้าว่าเป็นสีขาว” เอเมน

ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง จะฉลาด จะเรียนอะไรมา เราเก่งขนาดไหน ก็ตาม เราก็ไม่สามารถช่วยตัวเราเองได้ เราพึ่งพระเจ้าดีกว่า และเรียนรู้ว่าทุกสิ่งในชีวิตนั้น มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น วางใจในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้

ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้บอกว่า “จงวางใจในพระเจ้า อย่างหมดใจ” หมดใจ คือเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเจ้าพอใจที่สุด คือการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตร ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย อันนี้เป็นความถ่อมใจอย่างสุดๆ เป็นการเชื่อพระเจ้าอย่างหมดใจจริงๆ สำคัญมากอันนี้ ซึ่งเราทำไปแล้ว อย่าพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง ไม่พึ่งพาสติปัญญามนุษย์

จงยอมรับพระองค์ในทุกทาง ยอมรับว่าพระองค์ถูก จงยอมรับว่าใช่ แม้ลูกจะมองไม่เห็น ลูกก็ว่าใช่ เพราะสิ่งที่ตามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้กับผู้ที่รักพระองค์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วพระองค์จะทำทางของเจ้าให้ราบรื่น เห็นไหม?

อันใหญ่ราบรื่นไปแล้ว คือเราเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นใคร? เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าส่งมาให้มนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย อันนี้เราได้รับความรอด ไม่พินาศแล้ว  ตายจากโลกนี้ไป วิญญาณออกจากร่างนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลแล้ว ขอบคุณพระเจ้า อันนี้สำคัญที่สุด แต่นอกเหนือจากนั้น ยังมี คือตอนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่วิญญาณยังไม่ออกจากร่างกาย ที่จะต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเจ้า ในหนทางที่พระองค์บอกทั้งหมด โดยไม่คิดว่าตนเองฉลาด พระเจ้าก็จะทำทางของเราให้ราบรื่นเหมือนกัน ชีวิตเราก็จะไม่ทุกข์มากเกินกว่าเหตุ เราก็จะไม่ต้องไปสวรรค์แบบคนวิ่งผ่านไฟ เราก็จะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสงบ มีสันติสุข และมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พอมองเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น จงวางใจในพระเจ้าในทุกสิ่ง ถ้าพระเจ้าบอกอะไร จงเชื่อฟังอย่างนั้นแหละ และอดทนฝึกฝน ปฏิบัติตามในความถ่อมใจ เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนปฏิบัติตาม มันถึงจะได้รับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************