คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2019
เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”
ตอน 14 “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 14 มีชื่อตอนว่า “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด” เมื่อพูดถึงการลงทุน เราต้องนึกถึงประโยคนี้ก่อนเลย เคยได้ยินไหม?
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจก่อนการลงทุน”
เป็นประโยคเด็ด ที่ถูกบังคับให้ใส่ไว้ในการโฆษณาเกี่ยวกับการลงทุนทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้น เรื่องกองทุนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเรียนรู้ รับรู้ และเข้าใจก่อนการเอาเงินไปลงทุนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง และอะไรที่ได้รับผลตอบแทนสูงๆ ก็ยิ่งต้องเสี่ยงมาก โอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยๆ ก็เสี่ยงน้อย เป็นเรื่องธรรมดา
ความเสี่ยง ก็คือการผันผวนที่เป็นไปได้ ทั้งกำไรและขาดทุน เช่น การลงทุนทำการค้าหรือธุรกิจ อะไรก็ตามที่ทำลงไป แล้วได้เยอะแยะ อันนั้นเสี่ยงมาก แต่ถ้าลงทุนอะไรตั้งนาน กว่าจะได้ ได้มาทีหนึ่งไม่เยอะ ค่อยๆ ได้ทีละนิดทีละหน่อย อย่างนี้เสี่ยงไม่สูง หรือคนไม่อยากเสี่ยง เอาเงินไปฝากแบงค์ อย่างนั้นไม่เรียกว่าลงทุนนะ เรียกว่าเอาเงินไปฝาก กินดอก เงินอยู่ ยกเว้นแบงค์เจ๊ง อันนั้นเป็นอุบัติเหตุ
สิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ เป็นอุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เปรียบให้เห็นถึงทางเลือกในการลงทุน ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่การลงทุนในเรื่องทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ แต่เป็นการลงทุนด้วยชีวิตของเรา และผลตอบแทนที่จะได้รับ จะเป็นอะไรน๊า คำอุปมาของพระเยซู เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ การไปสวรรค์ เกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูสอนจะไปสวรรค์ ต้องลงทุนอย่างไร?
เริ่มต้นคำอุปมา เรื่องเงินตะลันต์ ในมัทธิว 25:14-18 บันทึกไว้อย่างนี้
มัทธิว 25:14-18 “14 อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งจะออกเดินทาง จึงเรียกคนรับใช้มามอบหมายทรัพย์สินให้ดูแล 15 เขาให้เงินคนหนึ่งห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วเขาก็ไป 16 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ นำเงินไปลงทุนทันที และได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ 17 คนที่รับสองตะลันต์ ก็เช่นกัน ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์ 18 ส่วนคนที่ได้รับตะลันต์เดียว ไปขุดหลุมเอาเงินของนายซ่อนไว้”
เจ้านายคนหนึ่ง มีเงินทองเยอะแยะมากมาย กำลังจะออกเดินทางไปต่างเมือง ก็เลยเรียกคนรับใช้มา 3 คน เพื่อมอบหมายให้ดูแลเงินของตัวเอง ในนี้บอกว่ามอบหมายให้ตามความสามารถของแต่ละคน มองดูแล้วว่าใครควรจะเป็นอย่างไร? คนแรกให้ดูแลเงิน 5 ตะลันต์ คนที่สอง 2 ตะลันต์ คนที่สาม 1 ตะลันต์ เพื่อให้เห็นภาพว่าเงินตะลันต์ในสมัยนั้น มันมีค่าประมาณไหน?
มีบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเงินจำนวน 1 ตะลันต์ จะมีค่าเท่ากับค่าจ้างแรงงาน 1 คน เป็นเวลาประมาณ 15 – 20 ปี ถ้าเทียบเงินปัจจุบันนะ เอาวันนี้นะ ค่าแรงขั้นต่ำต่อปี คร่าวๆ ก็ประมาณ 100,000 บาทต่อปี ประมาณนะ เพราะฉะนั้น 1 ตะลันต์ในยุคนั้น ก็น่าจะประมาณ 1,500,000 – 2,000,000 ในยุคนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นภาพว่าเงินที่เจ้านายฝากให้คนรับใช้ดูแล มันไม่ใช่น้อยๆ นะ มันเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร พอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินของเจ้านาย
คนรับใช้คนที่หนึ่ง ได้มา 5 ตะลันต์ปุ๊บ ได้มา 10 ล้าน คนรับใช้คนนี้ ก็นำไปลงทุน และได้กำไรเท่าตัว ในนี้เขียนไว้ใช่ไหม? คือได้เพิ่มมาอีก 5 ตะลันต์ ได้เพิ่มมาอีก 10 ล้าน = 20 ล้าน
คนรับใช้คนที่สอง ก็ทำเหมือนกัน คือได้มา 2 ตะลันต์ ก็เอา 2 ตะลันต์ไปลงทุน ก็ได้มาอีก 2 ตะลันต์ ก็เท่ากับ 8 ล้าน
ส่วนคนที่สาม ได้รับมอบหมายให้ดูแล 1 ตะลันต์ ประมาณ 2 ล้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนเลย แต่ไปขุดหลุมซ่อนไว้ ซ่อนเงินเจ้านายไว้ … มาดูต่อว่าพอเจ้านายกลับมา อะไรเกิดขึ้นบ้าง
มัทธิว 25:19-30 “19 อีกนาน หลังจากนั้น นายก็กลับมา และสะสางบัญชีกับคนรับใช้ 20 คนที่ได้รับห้าตะลันต์ นำอีกห้าตะลันต์ มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้ห้าตะลันต์ ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์’ 21 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด’ 22 “คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้สองตะลันต์ ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’ 23 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด!’ 24 “แล้วคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง ซึ่งเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน 25 ข้าพเจ้ากลัว จึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน ดูเถิด นี่คือเงินของท่าน 26 “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ไอ้บ่าวเลวแสนขี้เกียจ เจ้าก็รู้ว่าเราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่เราไม่ได้หว่าน 27 เช่นนั้นแล้ว ก็น่าจะเอาเงินของเราไปฝากธนาคารไว้ เพื่อเวลาที่เรากลับมา เราจะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยด้วย 28 “ ‘จงริบเงินหนึ่งตะลันต์นี้ ไปให้คนที่มีสิบตะลันต์ 29 เพราะทุกคนที่มี จะได้รับเพิ่ม และเขาจะมีเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ที่เขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา 30 โยนไอ้บ่าวไร้ค่าคนนั้นออกไปที่มืดข้างนอก ที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
“อีกนาน” เจ้านายไปนาน พิสูจน์ว่าคนรับใช้เอาเงินไปทำอะไร? ในนี้บอกว่าคนที่ได้ 5 ตะลันต์ เจ้านายกลับมาบอกว่า “ดีมาก” เพราะเขาได้กำไรมาอีก 5 ตะลันต์ คนที่ได้มา 2 ก็ได้กำไรมาอีก 2 เจ้านายก็บอกว่า “ดีมาก” ไม่มีใครได้มากกว่ากัน ในทางรางวัลที่เจ้านายบอก “ดีมากๆ” ทั้งๆ ที่ตามตาเรามองเห็น คนแรกได้ตั้ง 5 ตะลันต์ เยอะกว่าตั้งเยอะ คนที่สองได้ 2 เอง แต่เจ้านายบอก “ดีมาก” ฟังตรงนี้ไว้ก่อน
หลายคนเวลาศึกษาเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู แล้วก็ตีความว่าพระเยซูกำลังพูดถึงคริสเตียนผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนผู้คน พระองค์ไม่ได้สอนเฉพาะผู้ที่ติดตามพระองค์เท่านั้น ส่วนใหญ่พระองค์จะพูดถึงมนุษย์ทั้งหมดเลย บนโลกใบนี้ว่าจะมีผลตอบสนองต่อการไปสวรรค์อย่างไร? เขามีความคิดอย่างไร? ในข้อมูลที่พระเยซูสอน ข่าวดีที่พระเยซูบอกว่าเข้าสวรรค์ต้องเป็นอย่างนี้ เขาเข้าใจได้อย่างไร แล้วเขาปฏิบัติต่อ หรือฟังและเชื่อขนาดไหน? มากกว่า
ตัวอย่างในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ความเข้าใจส่วนใหญ่ไปตีความว่าพระเยซูกำลังพูดถึงผู้ที่เชื่อแล้ว หรือเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วก็บอกว่าเป็นคริสเตียน จะต้องพยายามใช้ของประทานที่พระเจ้าให้มา ไม่ว่า 5 ตะลันต์ก็ตาม 2 ตะลันต์ก็ตาม 1 ตะลันต์ก็ตาม เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในอาณาจักรพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้าให้มากที่สุด เกิดผลในกิจการของพระเจ้ามากที่สุด ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเลย ดูรายการหน้าโบสถ์สิ มีอะไรให้เราทำบ้าง? ตั้งแต่กวาดโบสถ์ ถวายทรัพย์ จนออกไปประกาศข่าวดี ต้องพยายามผลักดันให้ผู้คนออกไปทำ เพื่อที่จะเอาข้อนี้มาอ้าง
ซึ่งถ้าเราตีความถ้อยคำตรงนี้ ในลักษณะอย่างนี้ แล้วตอนท้ายของอุปมานี้ ที่บอกว่าคนรับใช้ที่ได้รับเงินมา 1 ตะลันต์ แต่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดผลงอกงามขึ้นมา คนรับใช้คนนี้ถูกลงโทษอย่างหนัก คือถูกโยนออกไปในที่มืดข้างนอก ที่ซึ่งมีการร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งหมายถึงนรกนั่นเอง แล้วมันแย้งกันไหมล่ะ ลูกพระเจ้าถูกจับโยนออกมาจากบ้านพระเจ้า กลับมาอยู่ในนรก มันไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอก เมื่อใครมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เราจดชื่อเขาอยู่ในฝ่ามือของเรา ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากคอกของเราได้อีกแล้ว พระเยซูบอก
ถ้าเราตีความว่าตรงนี้ หมายถึงคริสเตียน หรือคนที่เป็นลูกพระเจ้า แล้วที่พระคัมภีร์สอนมาทั้งหมด ที่เราได้เรียนมา ข้ออื่นๆ ที่บอกว่าพระเยซูตาย เพื่อไถ่บาปเรา ชดใช้ความผิดบาปของเราแล้ว เราเป็นไทแล้วจริงๆ เราได้รับอิสรภาพแล้ว เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว โดยพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเอง แล้วมันคืออะไร? มันแย้งกันใหญ่เลย โดยเฉพาะที่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ยิ่งแย้งใหญ่เลย มันก็ไปไม่รอด
เปาโลบอกว่าดังนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการลงโทษเขาอีกแล้ว ถ้าเขาเชื่อในพระเยซู แต่ตรงนี้บอกว่าคนรับใช้นี้ ดูแลเงินเจ้านายไม่ดี จึงถูกลงโทษ อย่างหนัก และยังแถมในข้อตะกี้ เจ้านายเรียกคนนี้ว่าชาติชั่ว คือผมจะบอกให้ทำไมเรียกชาติชั่ว พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ชั่วหมด คนที่ไม่ชั่ว คือคนที่พระเยซูไถ่บาปให้เขาแล้ว เขามารับสิทธิของพระเยซู ที่ไถ่บาปให้เขาแล้ว มารับสิทธิของเขาจากความชั่วกลายเป็นความดี ไม่ใช่เขา พระเยซูเป็นผู้ทำ แต่ถ้าเขาไม่มารับสิทธิ เขายังเป็นคนชั่วเหมือนเดิม ยอห์น 3:16-17 พระเยซู คือผู้ที่พระเจ้าประทานให้ ใครที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ แต่พระบุตรไม่ได้มาตัดสิน พิพากษาคนบนโลกใบนี้ แต่เขาถูกตัดสินอยู่แล้ว ไม่เชื่อพระเยซู ก็เป็นคนบาปอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเพิ่มกว่านั้น คนบาป ก็คือคนชั่วนั่นเอง แต่ถ้ามาเชื่อพระเยซูบาปนั้น พระเยซูเอาไปแล้ว เขาก็หลุดพ้นจากบาป ก็แค่นั้นเอง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเรียนรู้กันต่อไปว่าคำอุปมาพระเยซูตรงนี้ หมายความว่าอะไร? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพระองค์พูดถึงมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่เชื่อในข่าวดี ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังเป็นคนที่ชั่วอยู่ รู้แล้วนะ
ตัวอย่างอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง การหว่านเมล็ดพืช ที่เราได้เรียนแล้ว ที่บอกว่าพืชผลที่จะได้รับนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่หว่านออกไป ไปตกที่ไหน? ดินเป็นอย่างไร? เปรียบได้กับการประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้าเรื่องสวรรค์ ว่าประกาศไปให้กับมนุษย์บนโลกนี้ทั้งหมดเลย และมนุษย์บนโลกนี้ ก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
(1) เมล็ดที่ตกตามทางนกจิกกินไปหมด เปรียบได้กับคนที่ได้ยินการประกาศแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ไม่เกิดความเชื่อ แล้วมารมาฉวยเอาไป
นี่คือหนึ่งในจำนวนผู้ที่ไม่เชื่อ ได้ยินข่าวดีเรื่องสวรรค์ พระเยซูมาประกาศให้ได้ยิน เขามีการตอบรับอย่างนี้
(2) ประเภทที่สอง เมล็ดพืชที่ตกบนพื้นกรวดหิน คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ได้รับไว้ทันที ด้วยความตื่นเต้น แต่เพราะไม่ได้หยั่งรากลึก จึงอยู่ได้แค่ชั่วคราว ยังไม่ใช่ของจริง ในที่สุด ก็ทิ้งไป จบ
นี่ก็อีกพวกหนึ่งที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวดี
(3) พวกที่สาม เมล็ดที่ตกกลางพงหนาม มีแต่หนามปกคลุม ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ คือได้ยินถ้อยคำข่าวดี เรื่องของพระเจ้า ได้ยินเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับอุปมาที่พระเยซูพูด แต่ไม่ผ่านการล่อลวงของโลก ความเชื่อไม่สามารถดิ่งลงไปในจิตใจเขาได้ เพราะเขาไม่ลงทุน ไม่เอา ไปทำอย่างอื่นดีกว่า คิดว่ามันได้กำไรมาก รอพระเจ้าไม่ไหว ก็ทิ้งไป
(4) ประเภทสุดท้าย เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ หรือได้ยินถ้อยคำพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และมีความเข้าใจ และเก็บรักษาไว้ด้วยความเชื่อ ก็คือลงทุน จนกระทั่งความเชื่อนั้นมันหยั่งรากลึกเข้าไปในใจเรื่อยๆ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า
ดินทั้งสี่ประเภทนี้ ก็หมายถึงคนที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า คนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน คนที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า คนทั่วไปบนโลกใบนี้แหละ เมื่อได้รับฟังเรื่องราวของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับข่าวดีของสวรรค์ มาถึงแล้ว เมื่อได้รับการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว มีผลในการดำเนินชีวิต โต้ตอบ เขาสนใจขนาดไหน ลงทุนขนาดไหน? ทำหรือไม่ทำ? นี่มันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาเรียนรู้คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์นี้ ในมุมมองใหม่ เป็นมุมมองของผู้ที่ได้เข้าใจถ้อยคำพระเจ้าอย่างถ่องแท้ และลึกซึ้งในความหมายของคำว่า “พระคุณพระเจ้า” คือข่าวดี หรือสลับกัน ก็คือข่าวดี คือพระคุณพระเจ้ามาถึงเรา
ในคำอุปมาเรื่องตะลันต์ตรงนี้ พระเยซูกำลังเปรียบเทียบมูลค่าเงินตะลันต์กับข่าวประเสริฐ ที่ตะกี้เราคุยกันว่าเงิน 5 ล้าน 10 ล้าน พระเยซูยกขึ้นมา เป็นจำนวนเงินที่มีค่า เปรียบเทียบจากเรื่องที่พระองค์พูด จากสวรรค์ ก็คือข่าวดี เรื่องของสวรรค์ ก็คล้ายๆ เรื่องการหว่านเมล็ดพืชที่เราได้ยกตัวอย่างมา คือบางคนได้ยิน ได้ฟังเรื่องข่าวดี ของพระเยซู เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ บางคนได้ฟังมานิดเดียว เปรียบเหมือนเงิน 1 ตะลันต์เท่านั้นเอง บางคนได้ฟังมาเยอะหน่อย ได้ 2 ตะลันต์ บางคนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงรักมาก ไปหาทุกวัน ไปพูดข่าวประเสริฐ ตัวเองก็รำคาญ ตัวเองก็ได้ยินได้ฟังไป เปรียบเหมือนคนที่ได้รับ 5 ตะลันต์ ฟังเยอะๆ พอเชื่อปั๊บ ไปเร็วเลย เพราะมีคนไปบอก ไปสอนอยู่เรื่อย ท่านพอมองเห็นไหม?
อย่างผมเป็นคนที่ได้ 5 ตะลันต์ ผมรู้ เพราะมีคนมาพูดกับผมเยอะมากเลย แล้วผมก็ฟังไปอย่างนั้นแหละ ฟังไป เถียงไป พอคนใหม่มา เถียงเขาๆ เหมือนสนทนาธรรมตลอดๆ ก็เหมือนได้ 5 ตะลันต์ได้ฟังเยอะ บางคนได้ฟังข่าวประเสริฐจากการประกาศแป๊บเดียว หรือได้ยินจากเพื่อนนิดเดียว หายไปแล้ว แต่ในที่สุด เขาก็มาเชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ได้เกิดใหม่จริงๆ ก็มีนะ นี่เป็นประสบการณ์
แต่ไม่ว่าจะได้รับมาเท่าไร? ได้ยินข่าวดีของพระเยซูเกี่ยวกับสวรรค์เยอะแค่ไหนก็ตาม ผลที่จะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น นำไปลงทุนต่อหรือเปล่า? พูดง่ายๆ ว่าเชื่อไหม? เชื่อก็คือลงทุน ไม่เชื่อ ก็คือไม่เอา ไม่ลงทุน ไม่เสี่ยง ซึ่งการลงทุนในที่นี้ ก็คือลงทุนด้วยชีวิตของตนเอง หลังจากที่เราได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซู มีใครมาเล่าเรื่องข่าวดีของพระเยซูให้เราฟัง เราพร้อมไหมที่จะลงชีวิตให้กับข่าวดีของพระเยซูที่เราได้ยินได้ฟัง หลายครั้งเราจะตัดสินใจ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ท่านเองอาจจะมีประสบการณ์อย่างนี้ คือไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านได้ฟังข่าวประเสริฐ แล้วท่านกล้าลงทุน อาจเป็นครั้งที่ 40 ครั้งที่ 50 ครั้งที่ 100 ครั้งที่พัน ครั้งที่หมื่น ก็ได้ ใหม่ๆ ท่านฟัง ก็ดีนะ แต่อาจจะฟังครั้งที่ 20 มันดีมากขึ้น แต่ เยอะเลย เอาน่าลงทุน เอาสิ มันเป็นอย่างนี้ คือหมายความว่าเรากล้าเสี่ยงไหม เวลาเราตัดสินใจ เพื่อพระเยซู ถามว่าเชื่อพระเยซูต้องเสี่ยงไหม? เสี่ยง … เสี่ยงหลายอย่าง ยิ่งเราอยู่ในประเทศนี้ ยิ่งเสี่ยงเยอะ ในขณะที่ข่าวประเสริฐของพระเยซูบอกว่าเวลาเราจะเข้าไปอยู่สวรรค์ เข้าไปได้วิธีใด ด้วยความเชื่อ เชื่อข่าวดี เชื่อพระเยซู เชื่อด้วยใจ พูดด้วยปาก ก็นำมาสู่ความรอดแล้ว มันง่ายไหม? ง่าย
รับด้วยปาก เชื่อด้วยใจ เชื่ออะไร? เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระเจ้าที่ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา เชื่อยากมากเลย แต่ถ้าคนนั้น รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจอย่างนี้ คนนั้นก็สามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้ แต่ความเชื่อก่อนหน้านี้ ความเชื่อเดิมบอกว่าอยากไปสวรรค์ใช่ไหม? ต้องทำอย่างไร? ต้องทำดี ทำบุญเยอะๆ สะสมบารมีไว้ ถ้าท่านสะสมเยอะๆ อาจจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดีขึ้น ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ถูกไหม? อย่างนี้แหละ ท่านว่าเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง? ของพระเยซูเหมือนง่ายเกินไป เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย เชื่อพระเยซูอย่างเดียว ไม่มีอะไรให้ทำเลยเหรอ แล้วจะเชื่อได้อย่างไร? อีกอันหนึ่ง ดูเหมือนดีนะ เดินไปไหน รู้สึก …
“ฉันเป็นคนดี สมควรไปสวรรค์”
อันนี้เรามาเชื่อพระเยซู “ฉันสมควรไปสวรรค์ เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
มันรู้สึกเชื่อยาก นี่แหละ คือความลำบากในการลงทุน เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู คือความเสี่ยงที่เห็นชัดๆ เหมือนแชร์ลูกโซ่ ลงทุนไปพันหนึ่ง สิ้นเดือนนี้ ได้มา 1,200 เลย ได้ทั้งเงินต้นคืนและได้กำไรอีก 200 ไม่พอถือต่อไปอีก ลงทุนเยอะขึ้น ได้กำไรเยอะขึ้น ทำมา 6 เดือนเป็นเศรษฐีแล้ว ลงทุนไปอีก 2 ปี กลายเป็นยาจก และแถมติดคุกอีก ถูกหรือไม่ถูก? เสี่ยงไหม? แต่ได้เยอะไหม? ได้เยอะ แต่อีกคนหนึ่ง
“ลูกโซ่ ฉันไม่เอา ฝากธนาคาร ได้ดอกเบี้ยนิดหนึ่งๆ”
10 ปีผ่านไป ก็ยัง ได้นิดหนึ่งไปเรื่อยๆ ก็ยังได้อยู่ใช่ไหม? แต่อีกคนหนึ่งติดคุกไปแล้ว นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ว่าความเสี่ยงในการลงทุนมันคืออะไร? พระเยซูกำลังสอนเรื่องนี้ว่าอันหนึ่ง คือความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย อีกอันหนึ่งต้องทำเยอะๆ ทำมากๆ ทำด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังบอกว่า …
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนตัดสินใจให้ดีๆ ก่อนที่จะลงทุน เพราะนี่เป็นการลงทุนชีวิตของท่าน คิดให้ดีๆ”
ย้อนกลับไปดูที่ถ้อยคำเมื่อตะกี้ ที่คนรับใช้ คนสุดท้ายนำเงิน 1 ตะลันต์ไปขุดหลุมฝัง ตอนทีเจ้านายกลับมา คนรับใช้รายงานว่า …
“นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง (แข็งกระด้าง) ซึ่งเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน”
ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร? คนที่ได้ 1 ตะลันต์ ในความคิดของเขา เหตุผลของคนๆ นี้ คือไม่อยากเอาเงินนี้ไปลงทุน เพราะลักษณะของเจ้านาย พระลักษณะของพระเจ้า ในความคิดของเขานะ คือเป็นคนใจแข็งกระด้าง โหดร้าย ใครทำผิด ทำไม่ถูกต้อง ต้องถูกลงโทษ คนรับใช้คนนี้ ก็เลยกลัว ไม่กล้าทำอะไรกับเงินที่ได้รับมา ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าเสี่ยงอะไรทั้งนั้น เพราะกลัวถูกลงโทษ
ตรงนี้ ก็เปรียบเทียบให้เห็นคนบางประเภทที่มองพระลักษณะของพระเจ้าผิด คือคิดว่าพระเจ้าคงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มีฤทธิ์อำนาจมากจริงๆ แล้วก็คงเป็นพระเจ้าที่เข้มงวด โหดร้าย สั่งฆ่า ก็ฆ่าทั้งหมู่บ้านเลย น่ากลัวมาก ผมคิดเล่นๆ นะ คนที่คิดถึงพระเจ้าหน้าตาแบบนี้ ก็คือคนที่ในอดีตตอนเด็กๆ มีคนสอนมา ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก คิดมาตลอดว่าถ้าไปสวรรค์ทั้งที มันคงจะเจอกฎระเบียบร้ายแรง ไม่ได้คิดถึงแม้แต่นิดเดียวว่าพระเจ้าเป็นความรัก มีพระคุณมหาศาล มีพระเมตตา นี่คือนิสัยจริงๆ ของพระเจ้า พระลักษณะจริงๆ ของพระเจ้า ไม่เห็นตรงนี้เลย เห็นพระเจ้าลักษณะแบบคนรับใช้คนสุดท้ายคนนี้ ก็เลยเกิดความกลัว ไม่เสี่ยงดีกว่า เพราะว่ามองไม่เห็นความเมตตา มองไม่เห็นพระลักษณะที่เป็นพระคุณของพระเจ้า เห็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เพราะฉะนั้น เขากลับไปทำเหมือนเดิมดีกว่า คือทำผิดทำถูกบ้าง อย่างน้อยมีทำดีบ้างล่ะ แต่จะมาบอกว่าพึ่งพระเยซูคนนี้ ไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง ไม่กล้า เลยไม่เอาไปลงทุน ซึ่งในความจริงแล้ว เราได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เกิดบนโลกใบนี้ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระบุตรมา ไม่ได้มาเพื่อพิพากษามนุษย์ทั้งโลก แต่มนุษย์ทั้งโลก กำลังถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะบาปของเขา พระองค์มาเพื่อช่วย เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่มาเพื่อตัดสิน เพราะมนุษย์ถูกตัดสินก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ยังไงเขาก็อยู่นรกอยู่แล้ว แต่พระเยซูมาช่วยให้เขาไปสู่สวรรค์อย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ การกระทำทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำผ่านทางพระเยซู เราเรียกว่าข่าวดีแห่งพระคุณไง พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้หมดทุกอย่าง
คนรับใช้คนสุดท้าย ก้าวไม่ถึงตรงนี้ ไม่ได้เชื่อในพระลักษณะของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เจ้านายเราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น เจ้านายเราเป็นคนมีเมตตา เต็มไปด้วยความรัก ไว้ใจได้
เรามาดูคำอุปมา เรื่องถัดไป ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกัน ต่อๆ กัน มัทธิว 13:31-32 นี่ลักษณะเดียวกันว่าพระเยซูกำลังอุปมาถึงถ้าเราจะลงทุนในลักษณะลงทุนในข่าวดี มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าจะลงทุนเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ในแบบข่าวดีของพระเยซู มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้
มัทธิว 13:31-32 “31 พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน 32 แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้น ก็ใหญ่ที่สุดในสวน และกลายเป็นต้น ให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง”
พูดถึงเมล็ดมัสตาร์ดบ้านเราไม่ค่อยคุ้นนะ แต่ทางตะวันออกกลางมีปลูกกันเยอะมาก ทุกคนจะรู้จักเมล็ดมัสตาร์ดว่ามีขนาดเล็กมาก คล้ายๆ เมล็ดงา นิดเดียว แต่เห็นเล็กๆ อย่างนี้ เวลาเอาไปเพาะปลูก เวลามันงอกขึ้นมา มันโตเต็มที่แล้ว มันเต็มทุ่งเลย ใหญ่มาก ให้ผลเยอะมาก อุปมาตรงนี้ พระเยซูกำลังเปรียบกับความเชื่อ ให้เห็นภาพว่าความเชื่อแม้เพียงนิดเดียว เล็กๆ เท่าเมล็ดมัสตาร์ด แต่ถ้าเรายอมลงทุนกับความเชื่อนี้ ลงไปในข่าวดีของพระเยซู ผลที่ได้รับมันยิ่งใหญ่มากมายมหาศาล คือมองไม่เห็นผลที่จะได้รับตอนที่ลงทุนเลย
ยกตัวอย่าง คนหนึ่งเอาไปลงทุนบิตคอยด์ คล้ายๆ แชร์ลูกโซ่ มันได้ผลๆ เราอยู่ที่บ้าน เข้ามาฟังทุกวันๆ ทำไมมันได้ เราเอาเงินจำนวนเดียวกันไปฝากแบงค์ ได้ดอกเบี้ย 1% รัฐบาลประกาศลดดอกเบี้ยอีก ตอนนี้เหลือ 0.75 ตอนนี้ได้น้อยกว่าเดิมอีก แต่เงินเรายังอยู่เหมือนเดิม เมื่อไรมันจะได้ รอไป 15 ปี มันจึงได้อีก 1 เท่า สมมตินะ เอาไปฝากหนึ่งล้าน รอไปอีก 15 ปีได้มาเท่าหนึ่ง … เดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ก่อนนี้ได้ เอาแต่ก่อนสิ รอไปอีก 15 ปีได้อีก 1 ล้าน รอนานมาก คนที่เล่นแชร์น้ำมัน แป๊บเดียวได้เป็นล้านแล้ว เห็นไหม? แล้วเราอยากลงทุนแบบไหนมากกว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนการลงทุน มิฉะนั้น จะเจ๊ง ไม่ใช่เจ๊งอย่างเดียว แต่ติดคุกอีกต่างหาก คนติดคุกเหล่านี้ เขาไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันไปเรื่อยๆ พอลงทุนไปเรื่อยๆ มันได้ มันล่อเราไปเรื่อยๆ อีกฝั่งหนึ่งที่จริงๆ หลับแล้ว ตื่นแล้ว วันๆ หนึ่ง คอยนั่งแต่ฟังข่าวดีว่าดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อไร? แต่เงินมันอยู่จริงๆ มันเป็นการสะสมทรัพย์ แบบถาวร แบบหยั่งยืน การฝากเงินแบงค์ ไม่ได้พูดถึงปัจจุบัน แนะนำให้ไปฝากแบงค์ อันนี้ให้ไปคิดเอง นี่เปรียบเทียบให้เห็นถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูว่ามัสตาร์ดคืออะไร? มันเล็กๆ มองไม่เห็น แต่เวลาเก็บเกี่ยวผล มันโอ้โห อาจจะดูเหมือนใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ดเล็กๆ ลงไปจนถึงว่ามันจะออกผล แต่เมื่อถึงวันที่มันเริ่มออกผล มันจะออกผลยิ่งใหญ่ทวีคูณมากมาย มันก็คือสวรรค์นั่นเอง ก็เหมือนเราลงทุนในความเชื่อ ในข่าวดีตอนนี้ ทุกวันก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลย ก็เชื่อพระเยซู แต่วันหนึ่งเกิดท่านตายไป ท่านป่วยตาย ถ้าป่วยตาย แสดงว่าอายุยืน ถ้าไม่ป่วยตาย เกิดอุบัติเหตุตาย ท่านจะโอ้โห คุ้มค่าอ่ะ ชีวิตบนโลกใบนี้มันสั้นเหลือเกิน แค่ 60 ปี 70 ปี 80 ปี ให้ร้อยหนึ่งด้วยกับชีวิตนิรันดร์ มาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่นแหละ พระเยซูกำลังยกตัวอย่างเมล็ดมัสตาร์ดที่ท่านหว่านลงไป ไม่เห็นอะไรหรอก แต่เมื่อมันโตเต็มไร่แล้ว มันเยอะเก็บเกี่ยวไม่หมดเลย ลักษณะอย่างนั้น
ถ้าผมเปรียบเทียบปลูกเมล็ดมัสตาร์ดขึ้นมา กว่าจะได้ต้นใหญ่ อีกนาน อีกหลายปี คนข้างบ้านเขาปลูกกล้วย แป๊บเดียว ยังไม่ออกลูกเลย มันขึ้นต้นแล้ว ยังพอเห็นภาพว่ามันออกลูกแน่ แต่เมล็ดมัสตาร์ด ปลูกไปปีหนึ่ง ยังไม่เห็นผลเลย แต่สุดท้ายผลมันเหมือนกัน กล้วยเก็บกินไม่กี่หวี แต่ไม่นาน มันก็ตาย ในสวรรค์มันจะขนาดไหน?
อุปมาเรื่องสุดท้าย เกี่ยวเนื่องกัน ลักษณะเดียวกัน อันนี้ก็ชัดเจน ลงทุนน้อยๆ แต่มันได้เยอะ ไม่ใช่ทางพระเจ้าแน่ ของพระเจ้าต้องใช้ความอดทน ใช้ความเชื่อ วางใจ ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้มัน โตขึ้นเอง เกี่ยวเนื่องกันในมัทธิว บทที่ 13 ข้อ 33-35 อันนี้ ผู้หญิงรู้จักดี
มัทธิว 13:33-35 “33 แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนม ซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่ จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” 34 ทั้งหมดนี้ พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลย นอกจากคำอุปมา 35 ทั้งนี้ เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก”
เผยสิ่งที่ทรงซ่อนเร้นไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าจะประทานพระบุตรมาช่วยมนุษย์อย่างไร? ทุกอย่างเปิดเผยทั้งหมด โดยคำสอนของพระเยซูในอุปมา บอกแล้วไง อุปมาคำสอนของพระเยซูทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ มนุษย์จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? มนุษย์จะได้รับการช่วยเหลืออย่างไร?
เชื้อขนม ก็คือผงฟู หรือเรียกว่ายีสต์ ทับศัพท์ มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ คล้ายกับเมล็ดมัสตาร์ด คล้ายกันในเชิงยกตัวอย่างเปรียบเทียบ มันเล็กๆ เอง ซึ่งพอผมอ่านตรงนี้ ผมก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยทำขนม ไม่เคยรับจ้างไปเป็นคนทำขนมปัง สมัยก่อนอ่านก็ไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่ามันมีอะไรประมาณนี้ ตอนนี้เห็นชัดเลย ไปเปิดดูเองก็ได้ เขาเรียกว่าโดรน คือก้อนแป้ง แล้วเขาก็ใส่ยีสต์ลงไปนิดหนึ่ง เสร็จแล้ว สุดท้าย จบ ก็คือมันพองขึ้นมาเต็มไปหมด เขาใส่ยีสต์เพียงช้อนเดียว ลงไปในก้อนแป้ง พอพักไว้ 1-2 ชั่วโมง มันพองขึ้นมาเป็นก้อนเบ่อเริ่ม ใหญ่โตเลย
พระเยซูกำลังยกตัวอย่าง มันเล็กๆ ด้วย แต่เพิ่มเติมจากมัสตาร์ด มันเล็กๆ แล้วมันทำงานจากข้างในออกมาข้างนอก เหมือนคนที่เขาฟังข่าวดี เขาลงทุนชีวิตเขาไป ใช้ความเชื่อเล็กๆ ลงไปในโลกวิญญาณ แล้วมันก็เกิดพอกออกมา เป็นวิญญาณ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเลยทีเดียว ใหญ่ไหมล่ะ ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าไปข้างใน อย่างที่ผมบอกเสมอ มันต้องจากข้างในไปข้างนอก เพราะมนุษย์บาป และเป็นคนชั่วทั้งโลก พระเยซูบอกว่าเขาชั่วที่วิญญาณของเขา ข้างในเขา พระเยซูบอกว่าเหมือนหลุมศพฉาบปูนขาว ข้างนอกเราจะทำดีอย่างไร มันก็แค่ฉาบปูนขาว แต่ข้างในมันคือหลุดศพ ข้างในมันตายอยู่ เต็มไปด้วยความบาป จากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปแล้ว
นี่พระคัมภีร์ล้วนๆ มันตายข้างในแล้ว ฉะนั้น การแก้ มันต้องแก้ที่ข้างใน เข้าไปแก้ตรงหลุมศพนั่นให้มันมีชีวิตขึ้นมา พระเยซูประทานชีวิตให้ พระเจ้าชุบเราให้เป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู ชุบที่วิญญาณของเราเกิดใหม่ นั่นแหละคือสวรรค์ บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ที่ข้างใน มันเริ่มจากความเชื่อเล็กๆ ที่เราหว่านลงไป ในข่าวดีของพระเยซูที่ประกาศเรื่องสวรรค์ ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ และบันทึกเอาไว้ ไม่กี่หน้า สอนแค่ 3 ปีเอง ถ้าพระองค์มาสอนเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม ความดีงาม สอนทั้งชีวิตก็ไม่จบหรอก แต่พระองค์ไม่ได้มาสอนตรงนั้น พระองค์มาสอนวิธีการเปลี่ยนข้างใน จากชั่วเป็นดี เปลี่ยนข้างใน จากหลุมศพ เป็นชีวิต เปลี่ยนข้างในจากความมืด มาเป็นความสว่าง เปลี่ยนข้างในจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้า พระเยซูสอนอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้สอนอะไรเลย แต่ถ้าเราลงทุนกับพระเยซู มันก็มีแค่นี้ให้เรียน แต่ถ้าเราบอกเราจะเรียนเอง เราจะทำเอง เราจะมีเรื่องเรียนอีกเยอะมากเลย นี่ผมไม่ได้ต่อต้านนะ ผมก็เรียนมาเยอะเหมือนกัน เราต้องไปเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์ เราต้องอ่านพระคัมภีร์ เราต้องอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะศึกษา ต้องทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ต้องรับใช้พระเจ้าเยอะๆ อีก แต่มันไม่ใช่ … ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่มันไม่ใช่ที่ดีที่สุด ที่ดีที่สุด คือง่ายๆ ลงทุนความเชื่อนิดเดียว แต่ก็บอกยากมากที่จะตัดสินใจ เพราะฉะนั้น ควรไปศึกษาก่อนการลงทุน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง
เพราะฉะนั้น สรุปในสิ่งที่เราเรียนทั้ง 3 อุปมานี้ และอุปมาอื่นๆ ที่เราเรียนกันมา 14 ตอนนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ … สวรรค์กำลังมา พระเยซูพูดอยู่นี้ ตั้งแต่ยังไม่ถูกตรึงกางเขน สวรรค์ยังไม่มา ตอนสวรรค์มา คือตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ และวันที่สามเป็นขึ้นมาใหม่ นั่นแหละ สถาปนาสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ตอนพูดอยู่นี้ สวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ เลยบอกไว้ก่อน ถ้ามาเมื่อไร ท่านจะลงทุนไหม? อุปมาเป็นเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด อุปมาวันนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ …
(1) การลงทุนกับข่าวดีของพระเยซู ตอนเริ่มต้น มันจะเล็กๆ แต่ท้ายๆ มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมากขึ้นเรื่อยๆ
(2) มันจะเกิดผล ไม่ใช่จากข้างนอก มันจะเกิดผลจากข้างในเรา ในร่างกายเรา เห็นชัดๆ คือในวิญญาณเรา เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น
อ่านพระคัมภีร์ พยายามเน้นให้ฟังโดยใช้หูทางฝ่ายวิญญาณฟัง เหมือนที่พระเยซูบอกใครมีหูจงฟังเถิด หมายถึงมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ใครมีตาจงดูเถิด หมายถึงตาทางฝ่ายวิญญาณ อ่านให้รู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะมันทำงานจากข้างในออกมาข้างนอก เริ่มต้นเล็กๆ แต่สุดท้ายมันใหญ่เกินกว่าที่เราสามารถรับได้ เราต้องบอกว่าโอ้โห บางคนบอกโอ้โหตั้งแต่ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่เลย พูดง่ายๆ ตั้งแต่ยังไม่ตาย คนที่เชื่อพระเจ้ามาหลายๆ ปี 30, 40 ปี แม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกใบนี้ ดูเหมือนว่ากระท่อนกระแท่น ตามสายตาของคนอื่น ไม่ได้รวยเหมือนคนอื่น แต่เกือบทุกคนถามว่าเชื่อพระเยซูเป็นไง เขาจะบอกมันมีความสุขจริงๆ เลย โอ้โห บางคนโอ้โหก่อนที่จะจากโลกนี้ไป แล้วถามเผื่อคนนั้น วิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ออกจากร่างไปปุ๊บ เขาก็ไปอยู่ที่เดิม เขาอยู่ในวิญญาณอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ติดขัดอยู่กับเนื้อหนังบนโลกใบนี้ เพราะเนื้อหนังบนโลกใบนี้ มันหยุดทำงาน ไปรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า จากพระเจ้าในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเขาจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตาต่อตา เห็นจริงๆ เลย ไม่มีการลางๆ อีกแล้ว ท่านจะตะโกนว่าอย่างไร? ถ้าตอนที่มีชีวิตอยู่ ท่านบอกเชื่อพระเยซู มีความสุขที่สุดแล้ว ดีแล้ว ถึงวันนั้น ถ้าออกไปแล้วเห็นอย่างนี้ ท่านจะคิดว่าอย่างไร? ท่านจะบอกว่าอย่างไร?
บางทีเจอความทุกข์บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดา เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องการกินการอยู่ พระเจ้าก็พาเราไปทีละวันๆ หลายเรื่องเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุกข์ พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป มันเละไปแล้ว รอจนกว่าพระเจ้าจะฟื้นฟูโลกใบนี้ใหม่ แล้วให้เรากลับมาครอบครอง ซึ่งครอบครองด้วยร่างกายใหม่ ร่างกายที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบาป ไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ยากอีกต่อไป ไม่มีใครมาทวงหนี้อีกต่อไป ไม่ต้องไปฝากเงินแบงค์อีกต่อไป ไม่ต้องขอเงินแม่อีกต่อไป แล้วยังอีกหลายๆ อย่าง ที่อยู่กับพระเจ้าหน้าต่อหน้า แม้กระทั่งพื้นยังเป็นทองเลย สมัยก่อนเขาไม่รู้จะยกว่าอย่างไร? ก็เลยบอกขนาดพื้นบ้านในสวรรค์ของเรายังเป็นทองเลย ท่านลองคิดดู แค่กรวดหน้าบ้านก้อนนิดหนึ่ง ยังใหญ่เลย ไม่รู้กี่บาท ท่านจะร้องว่าอย่างไร?
เพราะฉะนั้น บางทีเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ จงมองให้เห็น มองข้ามไปตรงโลกวิญญาณ ความเชื่อนี้มันอยู่ที่เกิดขึ้นจากข้างในวิญญาณออกมา ไม่ใช่จากข้างนอกเข้าไป อย่าไปมองหาจากข้างนอก มันไม่มีหรอก ข้างนอกถูกหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าบางครั้งถูกหลอกโดนการแอบอ้างชื่อพระเจ้าด้วย อย่าไปเชื่อ ต้องจากข้างในออกมา ไม่ใช่ มาเชื่อพระเจ้าแล้วจะร่ำรวย จะแข็งแรง จะประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ทุกอย่าง อย่าไปเชื่อๆ ไม่มีจริง ถ้ามีจริงอย่างนั้น โลกใบนี้มันก็ไม่ได้เสียหายสิ แล้วถ้ามีจริงอย่างนั้น พวกท่านไม่มีโอกาสได้นั่งที่นี่นะ เพราะท่านต้องเข้าคิวอยู่โน้น อยู่ปากทาง เพราะคนแห่กันมาหมด ผมต้องบอก …
“ให้คนใหม่เข้ามาก่อน คุณเคยมาแล้ว เขาอยากรวย ให้เขามา เขาอยากแข็งแรงเข้ามา”
อย่าไปถูกหลอก เขาบอกแล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนลงทุน มิฉะนั้นจะเสียใจ นี่มันเรื่องจริง เราไม่เข้าใจ บางที ก็ไม่อยากได้ อยากได้จริงๆ แต่มันไม่ใช่ แล้วจะถูกเขาหลอกทำไมต่อไป ก็อยากได้ มันเป๊ะเลยนะ ที่พูดมา
เราต้องฝึกไว้ว่าไม่มองสิ่งที่มองเห็นได้ ไม่มองสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้ มองไปทางฝ่ายวิญญาณ เพราะว่าเรื่องผลที่เกิดขึ้นต่างๆ ในโลกวิญญาณนั้น มันเกิดขึ้นจากข้างใน ในวิญญาณของเราออกมา ซึ่งวิญญาณของเราอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้า
สรุปแล้ว คือตอนนี้ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้า ลงทุนกับพระเยซูแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ วิญญาณของเราข้างในเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว วิญญาณเราพร้อมกับความคิดจิตใจของวิญญาณ เป็นตัวจริงของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป อยู่ที่ไหน? อยู่ที่นี่แหละ อยู่เหมือนเดิม เพราะขณะที่พระคัมภีร์พูดตอนนี้ เราเชื่อในพระเจ้า วิญญาณได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ที่เป็นทาสของมาร เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรวิญญาณที่เป็นสวรรค์ ชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ร่วมกับพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนี้ ความคิด จิตใจ เราถูกชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซู สะอาดหมดจด ไม่มีโทษใดๆ ติดเลยแม้แต่นิดเดียว และเรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ยังหายใจได้ ตามองเห็นได้ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราต่อไปในการไปประกาศข่าวประเสริฐ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายาม เดี๋ยวพระเจ้าพาไปเอง ตามทางของพระองค์ ตามวิถีการของพระองค์ จะประกาศด้วยคำพูด หรือการกระทำ หรือทำอะไรไม่รู้ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการท่านเอง ให้พระองค์นำไป อย่าพยายามไปนำพระเจ้า อย่าไปคิดจะทำอันโน้นอันนี้ เดี๋ยวถึงเวลา พระเจ้าจะพาท่านไปเอง แล้วพอทำจนกระทั่งท่านเสร็จงาน พระองค์ก็นำท่านกลับบ้าน จะนำท่านกลับบ้าน จากการเป็นมะเร็ง จะนำท่านกลับบ้าน จากการเป็นโรคอะไร หรือไม่เป็นโรคเลย หรือเป็นอุบัติเหตุ ไม่รู้ ไม่มีสิทธิ์รู้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของโลก ที่ตามองเห็น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เราไม่สนใจ เพราะเรารู้ว่าโลกที่ตามองเห็นนี้ มันวิปริต มันเสียหาย มันอยู่ใต้อำนาจของมาร ซึ่งสามารถจะบิดอะไรต่างๆ แล้วมันหลอกเราได้ ถ้าเราขืนไปมองตรงนั้น มันจะถูกหลอกไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น หลอกเราไม่ได้ เมื่อเราไม่มอง ไม่สนใจ เอเมน
นี่คือความจริง เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ตรงนี้ไปแล้ว เราก็จะไม่เหมือนทาสคนสุดท้าย ที่ไม่รู้จักเจ้านายของเขา เราก็จะเหมือนคนบนโลกใบนี้ ที่รู้จักพระเจ้า เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? ไม่ได้โหดร้าย ไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้น แต่พระเจ้าเป็นความอ่อนน้อม เป็นความนุ่มนวล เป็นความดีงาม ตลอดเวลา 100% ไม่มีสีดำเลย พระเจ้าไม่ได้เป็นคนขี้โกรธ ไม่ได้เป็นคนขี้อาฆาตใคร พระเจ้าเป็นความรักจริงๆ แล้วพระองค์ใส่ความรักของพระองค์เข้ามาในเรา ทำให้เรารักคนอื่นได้ ทำให้เรารักพระเจ้าได้ ไม่ใช่เราพยายามที่จะรัก แต่พระเจ้าใส่ความรักเข้ามาในวิญญาณเรา แล้วเราก็กลายเป็นวิญญาณแห่งความรัก แม้ข้างนอกเราจะชินกับความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา แต่ No อันนั้น วันหนึ่งมันต้องตายไป แต่วิญญาณเราที่เกิดใหม่ทุกวันๆ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก ซึ่งมีลักษณะ คืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่อะไรต่างๆ เยอะแยะ เอเมน มาหว่านตรงนี้กันดีกว่า นี่คือพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าคือพระคุณ ข่าวดีของพระองค์ คือพระคุณ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
**************************