คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021
เรื่อง “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นแต่เชื่อ”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรายังคงฟังกันอยู่ที่บ้านนะ เชื่อฟังรัฐบาล แล้วดูสถานการณ์กันต่อไป ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …
“พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นเรา แต่ก็ยังเชื่อและวางใจ และพึ่งในเรา”
นี่เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ และเป็นหัวข้อในการบรรยายในวันนี้ “พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เห็นเรา แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจ และพึ่งในเรา” หมายถึงพระเยซูคริสต์
พระเจ้าสร้างให้มนุษย์มีความรู้สึก มีอารมณ์ รู้จักคิด ซึ่งหลายครั้ง เราก็มีความรู้สึกทางอารมณ์ในทางที่ดี ที่ชื่นชมยินดี จนน้ำตาไหล ด้วยความซาบซึ้งใจ เกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า แต่หลายครั้ง ที่เรารู้สึกหดหู่ กลัว ท้อแท้ มนุษย์ทุกคน มีประสบการณ์ ความรู้สึกอารมณ์แบบนี้ อยู่เสมอๆ คือขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เขาเรียกว่าคุ้มดี คุ้มร้าย
พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เข้าร่วมลักษณะชีวิต ร่างกายแบบมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพราะฉะนั้น มีอารมณ์ ความรู้สึก เช่นเดียวกันกับเราที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และมีอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน พระองค์จึงทราบดีว่าอารมณ์นั้น เป็นอย่างไร? พระเยซูจึงไม่ต้องการให้เราดำเนินชีวิต ด้วยอารมณ์ และความรู้สึกนั้น ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกนั้น จากสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย มีตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ไม่ใช่ใจนะ ใจในพระคัมภีร์ หมายถึงวิญญาณของเรา วันนี้ไม่ใช่วิญญาณ แต่หมายถึงสัมผัสทางร่างกาย คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ที่เราเรียกกันว่าความคิด แบบมนุษย์นั่นแหละ พระองค์ไม่อยากให้เราดำเนินชีวิต โดยพึ่งพาอารมณ์ ความรู้สึก และสัมผัสทั้ง 6 ของร่างกายนี้ แต่ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา บนพื้นฐานของถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกไว้เท่านั้น
ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์เองให้กับบรรดาเหล่าสาวกในกลุ่ม 12 คน มีคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในนั้น ก็คือโทมัส ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่เหลืออยู่ พอเจอโทมัสเข้ามา เพื่อนๆ ที่เหลืออยู่บอก …
“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เราเห็นพระเยซู”
โทมัสบอกว่าไม่เชื่อหรอก นอกจากจะได้เอามือสัมผัสรอยตะปูที่ตอกตรึงพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และได้เอามือแยงเข้าไปในรูนั้น และเอามือแยงเข้าไปในที่สีข้าง ที่ถูกหอกแทงนั้น จึงจะเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย
พูดจบไปไม่นาน พระเยซูก็ปรากฏมาให้เห็นเลย แล้วก็พูดคำเมื่อสักครู่นี้ ที่เราได้อ่านไปตอนแรกว่าผู้ที่ไม่เห็น แต่เชื่อเรา วางใจในเรา พึ่งพาในเรา ก็มีความสุข หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูก็ปรากฏพระองค์เองให้เหล่าสาวก อีกหลายคนได้เห็น ใน 40 วันเท่านั้น เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เพื่อหยั่งรากลึกให้เขาได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพียง 40 วันเท่านั้นที่ปรากฏ แล้วพระองค์ก็ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปี พระองค์อยู่ในนั้น ไม่เห็นอีกต่อไป
ในยอห์น 20:29 พระองค์พูดกับโทมัสและสาวกตอนนั้น ซึ่งเล็งมาถึงพวกเรา สาวกผู้เชื่อตอนนี้ด้วยว่าอย่างนี้ครับ …
ยอห์น 20:29 “เพราะท่านได้เห็นเรา ท่านจึงเชื่อ พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยเห็นเรา แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจ และพึ่งพิงในเรา”
ถามตัวเองหรือฉัน เป็นผู้ที่เชื่อชนิดไหน? คือธรรมชาติทางวิสัยเนื้อหนังร่างกายมนุษย์ ทั่วไป เรามักจะเชื่อในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือรู้สึกได้ และมันทำให้รู้สึกว่าที่เชื่อนั้น มันมีอยู่จริงๆ เพราะมันเห็น มันจับได้ มันรู้สึกได้ เป็นการเพิ่มพูนความเชื่อนั้น นี่คือปกติมนุษย์ทั่วๆ ไป แม้กระทั่งในเรื่องโลกวิญญาณ เราก็ยังอยากที่จะมั่นใจมากขึ้น โดยการได้สัมผัสสักนิดหนึ่ง ได้เห็นสักนิดหนึ่ง เราจึงคุ้นเคยกับการอธิษฐานขอพระเจ้าใช่ไหม? เราก็ยังคงขอพระเจ้า ให้พระองค์ทรงช่วยเรา ให้เราได้เห็นมากขึ้น สัมผัสพระองค์มากขึ้น มีความรู้สึกในพระองค์มากขึ้น รับรู้ทางอารมณ์มากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณมากขึ้น อยากได้มากขึ้น เราจึงอธิษฐานขออย่างนี้ แต่พอเราได้รับบ้างบางครั้ง เราเริ่มรู้สึกได้ สัมผัสบ้าง ได้เห็นบ้าง แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ความรู้สึก การเห็น การสัมผัสแบบนั้น มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันลดน้อยลง หรือหายไป เราก็จะรู้สึกทุกข์ใจ
เราอาจจะนึกว่าเราสูญเสียความรอดไปแล้วมั้ง ก็พยายามไปหาใหญ่ว่ามันเป็นเพราะอะไรถึงหายไปแล้ว ไม่รู้สึกอีกต่อไปแล้ว หรือว่าเพราะเราไปทำบาปอะไรมา คิดหาเหตุผลใหญ่เลยว่าเป็นเพราะอะไรถึงหายไป ความรู้สึกอย่างนั้น เราอาจรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนพระเจ้าทอดทิ้งไปแล้ว แต่ก่อนนี้ ยังรู้สึกพระองค์กอดเราอยู่ ตอนนี้พระองค์หายไปไหน? เราทำอะไรผิดไปมั้ง พระองค์จึงจากเราไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? มันก็เกิดความสงสัย และเกิดความทุกข์ใจ เพราะเชื่อ โดยพึ่งการกระทำของตัวเราเอง ความรู้สึกของตัวเราเอง ไม่ได้พึ่งในถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเยซูที่บอก ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการให้เราตกอยู่ในสภาพอย่างนั้น แต่อยากให้ลูกๆ ของพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระองค์นั้น หยั่งรากลึกลงไปในถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่บนความรู้สึกหรืออารมณ์เพียงชั่วครู่ ชั่วยามเท่านั้น ไม่ใช่พึ่งพาในการกระทำความรู้สึกของตนเอง แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่บอกเราเท่านั้น ต้องบอกว่าเท่านั้นเลย ยอห์น 8:32 พระเยซูบอกว่าอย่างไร? …
ยอห์น 8:32 “แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
ท่านจะรู้ความจริง แล้วความจริงในถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้ท่านเป็นไท ก็คือเป็นอิสระ จากการหลอกลวง ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่สัมผัสได้ ไม่ใช่ความรู้สึกหรืออารมณ์ ไม่ใช่ความคิด ที่มีเหตุผลแบบมนุษย์ ที่ทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ใช่การกระทำของเรา ที่ทำให้เราเป็นอิสระ แต่เป็นความจริง ก็คือถ้อยคำพระเจ้า จากที่พระเยซูบอกเรา เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับความรอด นั่นแหละ ทำให้เราเป็นอิสระ เพราะพระองค์บอกแล้ว พระองค์เป็นความจริง พระองค์พูด ก็พูดจากความจริง เพราะตัวพระองค์เป็นความจริง
ถ้อยคำของพระเจ้าในยอห์น 4:24 ได้บอกว่าพระเจ้าเป็นความจริง เป็นวิญญาณ ผู้ที่จะเข้าไปหาพระเจ้าได้ ต้องเข้าไปหาพระองค์ “นมัสการ” แปลว่าการเข้าไปหาพระเจ้า แสวงหาพระองค์ ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ไม่ใช่ด้วยการกระทำ จะหาพระองค์ไม่ใช่ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความคิดของตนเอง แต่ด้วยความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า และเข้าไปหา โดยสัมผัสทางวิญญาณเท่านั้น ต้องบอกว่าเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ความจริงที่บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ล้อมรอบเรา และอยู่เพื่อเราด้วย พระเยซูคริสต์ มีพระนามว่า “อิมนานูเอล” แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา ก็คืออยู่ล้อมรอบเรา และอยู่ในเรา คืออยู่ภายในตัวเราเลย เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา และแปลว่าอยู่เพื่อเราด้วย God is for you คือพระเจ้าเป็นอยู่ เพื่อเรา นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พอเราเปิดใจ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นทันที
นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งในบางครั้ง เราก็อาจสัมผัสได้ ผ่านทางความรู้สึก ผ่านทางความคิด ผ่านทางอารมณ์ ร่วมไปด้วยกับถ้อยคำพระเจ้า เช่นรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังโอบกอดเราอยู่ รู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน ถึงความรักของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา รู้สึกน้ำตาไหล เมื่อฟังเพลงนมัสการ พระเจ้าอยู่กับเรา เป็นจริงๆ
แต่นั่นเป็นเพียงน้อยครั้งมาก เทียบกับตลอดชีวิตของเรา เพราะว่ามีหลายครั้ง มากครั้ง เป็นส่วนมากในการดำเนินชีวิตของเรา ที่เรามีความรู้สึกสัมผัสไม่ได้อย่างนี้ คิดก็ไม่ออกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ล้อมรอบตัวเรา อยู่เพื่อเรา กอดเราอยู่ ใช่หรือไม่?
หรือว่าท่านคิดอย่างนี้ ตลอดเวลาเลย ทั้ง 24 ชั่วโมง อย่างที่บอก พระเจ้าไม่ต้องการให้ติดยึดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ดีๆ เหล่านั้น ที่ซาบซึ้งเหล่านั้น ซึ่งในที่สุด ถ้าเราไปติดยึด มันจะเหมือนคนติดยาเสพติด ถ้าเราไปติดยึด เราก็อยากจะเพิ่มขนาดให้มันมากขึ้น อยากจะสัมผัสให้มันมากขึ้นอีก ให้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะยืนยันในความรู้สึกว่าถ้อยคำพระเจ้า เป็นจริง ตามที่ความคิด ในร่างกายของเรา อยากให้มันเป็นอย่างนั้น เหมือนคนติดยาก็จะเพิ่มโดสไปเรื่อยๆ เพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ เพื่อต้องการความรู้สึกเหมือนตอนแรกๆ เพราะไปๆ มันหายไป ก็ต้องเพิ่มยาเข้าไปอีก เพิ่มจนกระทั่งเสียสติไป
ในทางพระเจ้า ตรงนี้คล้ายๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปติดยึดอยู่ตรงนั้น เพราะว่าจะเพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ อยากให้มันมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็เกิดความทุกข์ใจ ถ้าเราเดินตามความรู้สึก เนื้อหนัง ทางร่างกาย สัมผัสอย่างที่ตะกี้นี้บอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด แบบมนุษย์ถ้าเรายึดติด และเดินตามความรู้สึกอย่างนั้น พระเจ้าไม่อยากให้เราเข้าไป เพราะเรามีโอกาส ถูกหลอกมากเลย ซึ่งมันอันตราย ถึงขนาดฆ่าคนตายได้ ถูกครอบงำด้วยการโกหกของมารซาตานได้อย่างง่ายดายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
ยกตัวอย่าง คนติดยาเสพติด เป็นโรคทางประสาท เห็นภาพหลอน อันนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้น ในธรรมชาติของมนุษย์บนโลกใบนี้ เห็นภาพหลอน แล้วก็เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เคยเรียนรู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็เกิดการอ้างชื่อพระเยซูว่าเขาเห็นคนอื่นเป็นศัตรู คิดว่าคนอื่นกำลังมาทำร้าย ทำลายเขา นึกว่าศัตรูนั้น คือผีร้าย ต้องฆ่ามันให้ตาย เป็นต้น
มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งภาพหลอนพวกนี้ มันดูเหมือนจริงมาก อย่างที่พูดกันติดปากอยู่เสมอๆ ทั่วๆ ไป ที่เราบอกว่าคนที่ถูกภาพหลอนเหล่านั้น คนนั้นเขาเห็นภาพนั้น เห็นจริงๆ แต่ภาพที่เห็นในสมอง มันไม่จริง มันถูกสร้างขึ้นมา โดยร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด มันถูกสร้างขึ้นมา ถูกหลอก ที่เขาเห็น มันไม่จริง
ผู้เชื่อบางคนถูกหลอกให้เห็นภาพหลอนว่าตัวเองยังสกปรก มีผีอยู่ เป็นทาสมารอยู่ จึงพยายามดิ้นรน หาทางเป็นอิสระ เที่ยวไปหาคนโน้นให้อธิษฐานให้ ไล่ผีออก เที่ยวไปหาคนนี้ให้ชำระให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่? ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?
แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเราเลย ไม่มีผี หรืออะไรอีกแล้ว ทำอันตรายเราได้ หรือจะมาอาศัยในร่างกายเราก็ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว นี่คือถ้อยคำพระเจ้า
บางคนก็มีความคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ด้วยว่าบาปที่ทำมา ในอดีต ก่อนที่จะรับเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซู เยอะกว่าคนอื่นเยอะเลย ซึ่งบาปเหล่านั้น พอมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ยังสลัดออกไปไม่หมดเลย ยังเหลืออยู่ ยังทำอยู่ทุกวันนี้เลย ก็ยังมีความรู้สึกว่าเป็นคนบาป สกปรกอยู่ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูได้แบกรับเอาความบาปทั้งสิ้นของเขาไปหมดแล้ว ไม่ว่ามันมากเท่าไร ก็เอาไปหมดแล้ว มากเท่าเปาโลไหมล่ะ
เปาโลทั้งข่มเหงคนที่เป็นคริสเตียน ทั้งฆ่าคนที่เป็นคริสเตียนมากมาย แต่เปาโลบอกว่าพระเยซูเอาความบาปผิดของเขาออกไปหมดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
นี่เรื่องจริงเหมือนกัน บางคนได้กลิ่นหอมของพระเยซู เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นเหมือนกลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้กลิ่นพระเยซู หอมจริงๆ แล้วบางครั้ง หลายครั้ง ความหอมนั้น มันก็หายไป มันหายไปแค่นั้นไม่พอ มันกลับกลายเป็นความเหม็น เข้ามาแทนที่ นี่เรื่องจริงอีก มันกลับกลายเป็นรู้สึกว่าได้กลิ่นความเหม็นคาว สกปรกของผีมาร ซึ่งมารบกวนชีวิต ความคิด และวิญญาณของเขาอยู่ เขาจึงต้องขับมันออกไป ไล่ผีตัวนี้ออกไป ไล่วันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็เข้ามา ไล่ไปมะรืนนี้ มะเรื่องนี้เข้ามา ไปหาคนนั้นให้ไล่ คนนี้ให้ไล่ ท่านเป็นเช่นนั้นหรือไม่?
อย่างที่บอก ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วผีจะเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? เราอาจจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ แต่ถ้อยคำแห่งความจริงบอกว่าพระองค์สถิตอยู่ และพระเจ้าต้องการให้เราวางใจในถ้อยคำของพระองค์ ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด หรือความรู้สึกอารมณ์ ที่สัมผัสได้ด้วยร่างกาย อันนี้ก็เหมือนกัน บางคนบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาสู่ร่างกาย ขนลุกไปหมดเลย เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเยี่ยมเยือน เคยได้ยินคุ้นๆ นะ ไม่ได้ยินอย่างเดียว เคยได้รับประสบการณ์นี้ด้วยซ้ำ คุ้นๆ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่เราเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วินาทีนั้นแล้ว และจะอยู่กับเรา ในร่างกายของเรานี้ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะขนลุกหรือไม่ลุก ลมจะพัดเย็นหรือไม่เย็น พระองค์ก็อยู่ที่นั่นแหละ อยู่กับเรา อยู่ในร่างกายของเรานี้ ไม่ได้มาเยี่ยมเยือน มาตั้งบ้านอยู่ในร่างกายเราเลย ถูกหรือไม่? นี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ
บางคนบอกว่า … “ฉันสามารถสัมผัส รู้สึกได้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่”
แต่พระคัมภีร์บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน”
ท่านไม่รู้หรือ? ต้องรอให้สัมผัสได้ ถึงจะรู้ว่าอยู่หรือ? ต่อให้คนที่นั่งข้างล่าง ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พระเจ้าก็อยู่กับเขา เขาเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง ไม่ใช่พระเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น ถึงสัมผัสได้ เขาไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พระเจ้าก็อยู่กับเขาเท่าๆ กับอยู่กับท่านเหมือนกัน
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายถึงผมต่อต้าน หรือไม่เชื่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือเราเรียกกันว่าอัศจรรย์ ไม่ธรรมดาเหล่านี้ ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ ถ้ามันเกิดขึ้น แล้วตรงตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ขอบคุณพระเจ้า เช่นบางคนมาเชื่อในพระเยซู เพราะได้เห็นพระเยซูเดินเข้ามาในห้องเลย เพื่อนเล่าให้ฟัง เคยได้ยินเขาประกาศพระเยซูตั้งนาน ไม่เคยเปิดใจต้อนรับพระเยซู ไม่เคยเชื่อเลย มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ในห้องนอน พระเยซูเดินเข้ามาเลย แล้วก็บอกว่าให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูซะ ก็เลยเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์ ดีใจมากเลย ที่ได้รับความรอด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพระเยซูเข้ามาจริงๆ หรือเป็นการเห็นภาพไปเอง ในความคิดที่สร้างขึ้นมาเอง ก็ตาม ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่รู้ๆ คือมารมันคงไม่มาหลอกแบบนี้ จริงไหม? เพราะมันตรงตามถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูมาเคาะที่ประตูใจ แล้วเราก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามา แล้วพระองค์ก็ให้เราบังเกิดใหม่ นี่คือตรงตามถ้อยคำพระเจ้า
เพราะฉะนั้น สมควรสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า และปิติยินดี และก็กลับมาเชื่อและวางใจในพระสัญญา หรือถ้อยคำของพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ต่อไป ไม่ต้องไปติดยึด ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาติ มันตรงตามพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเคาะประตูใจของมนุษย์ทุกคน และรักมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เคาะประตูใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะเคาะด้วยวิธีใด ด้วยการมาปรากฏตัวหรือไม่? หรือไม่ปรากฏตัว หรือไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะพระองค์ก็กำลังเคาะอยู่ แม้กระทั่งคนที่กำลังปฏิเสธพระเยซู กำลังข่มเหงคริสเตียน กำลังเป็นปฏิปักษ์ต่อคริสเตียน ซึ่งเท่ากับเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็กำลังเคาะที่ประตูใจเขาอยู่ แต่เขาไม่ได้ยิน ถูกหรือไม่ถูก? ถูก พระองค์รักทุกคนเท่ากัน และทุกคนก็มีสิทธิที่จะเปิดประตูใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เท่ากัน ไม่มีใครดีกว่ากันเลย
นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราควรจะยืนหยัดไว้ ซึ่งถ้าเรายังคงติดยึดอยู่กับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ ไม่ธรรมดาในความรู้สึกและการสัมผัส แบบเหมือนเหนือธรรมดา ซึ่งเราเรียกว่าอัศจรรย์เหล่านี้ ติดยึดอยู่ และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ตลอด และไม่ได้เกิดกับเราได้อย่างเดียว สามารถเกิดกับคนอื่นได้อีกด้วย ไปหนุนใจคนอื่น บอกแสวงหาให้มันเกิดขึ้นอย่างนี้สิ มันก็จะเป็นอันตราย และถูกหลอกได้อย่างที่บอก โดยเราไม่รู้ว่าเราไปฆ่าเขาตายโดยทางอ้อมก็ได้
อันตรายอย่างไร? ยกตัวอย่าง นี่ก็เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน สมมติ มีคนกำลังป่วย กำลังเครียด แล้วเห็นภาพว่าพระเยซูมาหา แล้วบอกเขาว่า …
“มาอยู่กับเราสิ (เรา หมายถึงพระเยซู) มาอยู่กับเราในโลกวิญญาณดีกว่า เปาโลยังบอกเลยว่าตายดีกว่าอยู่ สบายกว่ามาก”
ซึ่งถ้าเชื่อในความรู้สึกแบบนั้น ว่ามันเป็นจริง ตามที่เราได้เห็นภาพ ได้ยินเสียงเหล่านั้น แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ท่านลองคิดดู คนที่กำลังเครียด ท้อแท้ กำลังซึมเศร้า ในตอนนั้น ข่าวที่มีคนทำร้ายตัวเอง จากเรื่องแบบนี้ เราก็เคยได้ยิน ได้เห็นมาแล้ว เยอะมาก อย่างเช่นคนที่บอกว่า …
“ตอนที่ผมอธิษฐานอยู่ พระเยซูมาบอกตอนนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ สิ้นเดือนนี้ มะรืนนี้ วันนี้ พระเยซูจะมารับแล้ว ตามที่สัญญาไว้ เตรียมให้พร้อม ใส่ชุดขาวให้หมด แล้วไปรวมกันที่ที่หนึ่ง”
แล้วก็ทำลายชีวิตตัวเอง เพราะพระเยซูมารับเรา เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เพราะตอนนี้ยุคสุดท้ายแล้ว มองไปเห็นทุกแห่ง มีแต่ความลำบากลำบนหมด เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ก็เป็นอย่างนี้แหละ พระเยซูจึงไม่ต้องการให้เราไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอาจถูกหลอก เกิดอันตรายต่อชีวิตเราได้ ผมลองคิดไปเรื่อยๆ ขนาดยารักษาโรคบางชนิด มีผลต่อความรู้สึกต่ออารมณ์และความคิด และการสร้างภาพในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกยาเสพติด เห็นชัดที่สุด แม้กระทั่งสารเคมีในร่างกาย ในสมอง ฮอร์โมน และอาหารการกิน ก็ยังมีผลต่อความรู้สึก ความคิด อารมณ์ สัมผัสในร่างกายนี้ได้เลย ท่านลองคิดดู แล้วท่านจะไปพึ่งพามันได้อย่างไร? เกิดอารมณ์ปรวนแปร เพราะฮอร์โมนเปลี่ยน ความรู้สึกต่างๆ มันก็เปลี่ยนไป เกิดป่วย ไปกินยาอะไร? ยาบางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้เห็นภาพหลอน มันก็เปลี่ยนไปแล้ว ท่านก็จะเขวไปเขวมา หวั่นไหวตลอดเวลา
ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งง่ายๆ อาหารการกิน อาหารบางอย่าง กินเข้าไปปวดท้อง พระเจ้าหนีไปแล้ว ตะกี้ยังรู้สึก พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา กินอาหารเผ็ดๆ มากเกินไป สมมติท้องเสียขึ้นมา ความรู้สึกนั้นมันหายไปแล้ว
“พระเจ้าอยู่ไหน? ช่วยลูกด้วย ลูกท้องเสียไม่หยุดเลย” เพราะอาหาร
ท่านจะไปยึดอยู่บนความรู้สึกท่านได้อย่างไร? หรือท่านอยากจะมีความรู้สึก วันนี้อธิษฐานไม่อินกับพระเจ้าเลย พระเจ้าคงไม่ฟัง ไม่พอ ต้องอธิษฐานมากกว่านี้ พออธิษฐานไป ง่วงนอน พระเจ้าไม่พอใจเลย เราอธิษฐานแล้วหลับ แสดงว่าไม่รัก พระเจ้าไม่อยู่ด้วย
เพราะฉะนั้น วิธีรักพระเจ้า ผมจะบอกให้นะ ถ้าใครเชื่อแบบนี้ ไม่ยากเลย ดื่มกาแฟเข้าไปเยอะๆ พระเจ้าจะรักท่านมากเลย เพราะท่านจะรู้สึกอินมากเลย ยิ้มแย้ม เพราะฤทธิ์ของกาแฟ มันทำให้ท่านตื่น ท่านอดนอนมาทั้งคืน ท่านอธิษฐาน แล้วง่วงนอน พระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้ว ไม่ได้ฟังคำอธิษฐานของเรา พระคัมภีร์บอกพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ฟังคำอธิษฐานของท่านตลอดเวลา ไม่อธิษฐานก็ฟังอยู่ เอเมนไหม? แล้วจะไปวางความไว้วางใจที่ไหน? ที่พระเจ้า หรือความรู้สึกของเราดี แค่กาแฟแก้วหนึ่ง ก็รู้สึกเปลี่ยนเลย คิดดูสิ
มันก็มีโอกาสถูกมารหลอกเต็มไปหมดเลย พระเจ้าจึงไม่ต้องการให้เรา เชื่อและวางใจในความรู้สึก ความนึกคิดแบบนี้ ไม่เชื่อและวางใจในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้อย่างนี้ ในสถานการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะดีหรือจะร้ายก็ตาม พระเจ้าไม่ต้องการให้เราไปพึ่งพา หรือวางใจในสถานการณ์เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว โลกนี้มันเสียหายไปแล้ว มันวิปริตไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไป มันไม่แน่ไม่นอนเลย ท่านไปวางใจในนั้นเสร็จ แล้วมารทำงานอยู่บนโลกใบนี้อยู่ สามารถครอบงำ ทำให้เกิดการหลอกลวงได้เยอะแยะ อย่างที่ยกตัวอย่างไปเมื่อสักครู่นี้ แล้วท่านจะอยู่อย่างไร?
พระเยซูคริสต์จึงตรัสตรงนี้ไว้ว่าให้เราเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ให้เราเชื่อด้วยวิญญาณของเรา ในถ้อยคำของพระองค์ คือความจริงของพระองค์ที่ทรงพูดให้เราฟังบนนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่หวั่นไหวเลย ถ้าเชื่อในวิญญาณ ในถ้อยคำของพระองค์เท่านั้น เชื่อในถ้อยคำของพระเยซูที่พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวกับเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะมีความรู้สึกดีอย่างไร? หรือชื่นชมยินดีอย่างไร? หรือไม่ชื่นชมยินดีเลย ก็ตาม ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย เราก็วางใจในถ้อยคำ ความเชื่อและวางใจในพระเจ้า จะไม่มีวันถดถอยลงเลย ถ้าเราวางใจและเชื่อแบบนี้ สถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไร? จะดีหรือร้าย เราจะกระทำดีได้มากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ไม่วางใจในมัน นี่แหละ เรียกว่าวางใจในพระเจ้า ไม่วางใจในการกระทำของตนเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม ถ้าวางใจในการทำดี …
“วันนี้ทำดีมากเลย พระเจ้าคงจะพอใจในฉันมาก”
แล้วก็เตรียมตัวไว้เถอะ เพราะพรุ่งนี้ต้องทำดีมากขึ้นกว่านี้อีก และต้องทำดีมากขึ้นไปอีกทุกวันๆ เพราะจะให้พระเจ้าพอใจ แต่เมื่อวันหนึ่ง ทำไม่ได้ถึงตรงนั้น ก็จะมีความรู้สึก พระเจ้าไม่พอใจ และไม่พอใจไปเรื่อยๆ เพราะว่าทำดีไม่ได้ถึงขั้นโน้น ที่เราคิดเอง เออเอง ในที่สุดกลับมาพึ่งพาตนเองอีกเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่มาพึ่งพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้วก็ตาม
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? เราจะทำได้ดีมากหรือน้อยเพียงไร การกระทำของเราจะเป็นเช่นไร? ความรู้สึกจะเป็นเช่นไร?
“ไม่รู้ล่ะ ฉันคงยึดมั่น เชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ ไม่หวั่นไหว”
ข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้กับมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากโทษของความบาป และเป็นทางที่มนุษย์จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ พระองค์แบกรับเอาความบาปของมนุษย์ทั้งหมด ด้วยการตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อยืนยันการตาย และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 … นี่พูดอย่างสรุปชัดๆ ง่ายๆ สั้นๆ … และใครที่ต้อนรับพระองค์ จะได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ใดที่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์จะให้เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในวิญญาณ พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเขา จะไปที่ไหนก็ตามไปกัน 4 วิญญาณนี่เลยแหละ
นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดเอาไว้ เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า พระองค์คือของขวัญ คือทางไปสู่สวรรค์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง
ข่าวดีเรื่องของความรอดของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ ไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้เลย แม้แต่นิดเดียว แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริง รับรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่สามารถจับต้องได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของมนุษย์ ไม่มีทาง นี่คือข่าวดีของพระเยซู
ข่าวดีเรื่องของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้สัญญา รวมไปถึงเรื่องของความรู้สึก เรื่องอารมณ์และสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ แต่สัญญาเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ในโลกวิญญาณ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นวิญญาณ เข้าไปหาพระองค์ ก็ต้องเข้าไปหาทางวิญญาณ เชื่อด้วยวิญญาณ แล้วรู้ได้อย่างไร? รู้ด้วยความจริงจากในวิญญาณ ก็เพราะว่าพระองค์ พระเยซูเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้เราฟัง ก็เชื่อตามนั้น แค่นั้น ไม่ใช่ความรู้สึก
อาจารย์เปาโลอธิษฐานให้กับผู้เชื่อใหม่ ก็อธิษฐานตามแนวที่พระเยซูคริสต์บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าให้เชื่อในวิญญาณ ให้วางใจในพระองค์ แม้มองไม่เห็น ก็ตาม อาจารย์เปาโลอธิษฐานให้ผู้เชื่อใหม่ให้มีตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดออกกว้างขึ้น เพื่อจะได้รับรู้ เรียนรู้ และเข้าใจ ถึงสิ่งที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนหนึ่ง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเยซู รับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร? เปาโลอยากให้เขาได้รู้สิ่งเหล่านี้ และให้เขาวางรากฐานของความเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยความรู้เรื่อง ความจริงเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ ลองมาฟังดูสิว่าอาจารย์เปาโลอธิษฐานว่าอย่างไร? เอเฟซัส 1:18 …
เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”
เปาโลไม่ได้อธิษฐานว่า … “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ท่านได้สัมผัสพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับท่าน ให้ท่านได้เห็นพระเยซูคริสต์มาเยี่ยมเยือนท่าน ให้ท่านมีความรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกันกับท่าน” เปล่าเลย …
“เพื่อว่าจะได้ให้ท่านมีความเชื่อในพระองค์มากขึ้น จากประสบการณ์ ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเหล่านั้น” เปล่าเลย …
“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานให้ท่านได้รับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ เพื่อท่านจะได้เชื่อในพระองค์มากขึ้น” เปล่าเลย …
“ข้าพเจ้าอธิษฐานให้พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านทุกครั้ง อย่างอัศจรรย์ เพื่อท่านจะได้มีความเชื่อมากขึ้น”
เปล่า ตลอดทุกครั้ง ที่เปาโลอธิษฐาน และพูดถึง
เปาโลจะพูดถึงเรื่องนี้ตลอด ซึ่งเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์พูด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซู เป็นเรื่องของโลกวิญญาณเท่านั้น
“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่านนั่นแหละ ซึ่งอยู่ภายในของท่าน มันสว่างออกมา ไม่ใช่ตาเนื้อ ตาร่างกายอย่างนี้ แต่ตาข้างใน ตาวิญญาณ เพื่อจะได้รับรู้ และการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งสถิตอยู่กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวท่าน สวรรค์อยู่ในตัวท่านแล้ว สวรรค์ล้อมรอบตัวท่านแล้ว สวรรค์มีไว้ เพื่อท่านจะอยู่อาศัยตลอดไป”
นี่คือความจริง เปาโลอยากให้รู้ วิธีรู้ คือให้ตาวิญญาณเปิดออกกว้างขึ้น โดยรับสติปัญญาจากพระเจ้า ให้รู้ว่าสง่าราศีของการเป็นลูกของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มันเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ให้ท่านรู้ว่าท่านเป็นประชากรของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด ไม่มีบาป หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ทางวิญญาณ มาอ่านข้อ 19 และ 20 อธิษฐานอีกว่า …
เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึง ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”
อธิษฐานเพื่อท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย จะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งไม่สามารถใช้แตะต้อง หรือรับรู้ได้ด้วยความคิดจิตใจของมนุษย์ แบบธรรมดา หรือจากตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความคิดที่จะสัมผัสได้ ไม่มีทางเข้าใจตรงนั้นได้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เป็นฝ่ายความรู้สึกทางร่างกายนี้ ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจทางฝ่ายวิญญาณนี้ กำลังกระทำการงานอยู่ในวิญญาณของท่าน ผู้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ตอนนี้กระทำการงานอยู่ในตัวท่าน กำลังทำอยู่ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สนใจหรือไม่สนใจ ตระหนักหรือไม่ตระหนัก ก็อยู่ในตัวผู้เชื่อทุกคนอยู่แล้ว
เปาโลบอกอยากให้ท่านเรียนรู้ จะได้รู้ว่าตรงนี้มันอยู่ในตัวท่านอยู่ “ท่าน” คือผู้เชื่อ ผู้ที่ใช้สิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูทำให้ตายที่ไม้กางเขน ผู้ที่ใช้สิทธิ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เปิดใจให้พระเยซูเข้ามาสถิต เปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู คือต้อนรับว่าพระเยซูทำที่ไม้กางเขนนั้น สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ไถ่บาป และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3 ทำให้เราพ้นจากความตาย ทำให้มนุษย์ ทุกคนพ้นจากความบาป และมีโอกาสเป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ ร่วมกับพระองค์ เชื่อว่าเป็นจริง ได้รับสิทธิของเขาว่ามันเป็นฉันด้วย ให้เขารับรู้สิ่งเหล่านี้
รับรู้ และเชื่อ ในความจริงเหล่านี้ คือถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อย่างนี้ ที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง แล้วก็เชื่อฟัง ไม่ว่าจะสัมผัสอะไรได้หรือไม่ได้ ทางเนื้อหนังก็ตาม รับและเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก อารมณ์ หรือต้องมีหลักฐาน คำพยานที่จับต้องมองเห็นได้ หรือเหตุผลแบบมนุษย์ว่าพระเยซูได้ทำให้เราแล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่นี้กระทำการงานอยู่ในเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ตอนนี้พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ทั้ง 3 พระภาค ไม่ต้องคำพยาน ไม่ต้องมีการจับต้องมองเห็นได้ เป็นต้น
นี่คือสาระสำคัญในการเชื่ออย่างที่ตาไม่เห็น บางครั้ง หลายท่านที่เป็นผู้เชื่อทั้งหลาย ผมก็เคยคิดอย่างนั้น การเป็นพยานในฝ่ายพระเยซูคริสต์ มันดี เป็นพยาน เพื่อให้มีคนมาเชื่อ แต่คิดให้ลึกๆ อีกครั้งหนึ่ง การเป็นพยาน ก็คือกำลังจะบอกว่าการมาเชื่อพระเยซู ต้องอาศัยความคิด สติปัญญา แบบมนุษย์จับต้องมองเห็น
ยกตัวอย่างเช่น เรามาเป็นพยาน เพราะพระเจ้ารักษาเราหายโรค เราจึงเชื่อในพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซู แล้วคนที่พระเจ้าไม่ได้รักษาเขาหายโรค แล้วเขาจะเปิดใจต้อนรับอย่างไร? แล้วทำไมถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ไม่เห็นประกาศ ไม่เห็นบอกเลยว่าเปาโลออกไปประกาศว่า …
“จงมาเชื่อในพระองค์เถิด เพราะพระองค์ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย จากตาบอด”
ทำไมเปาโลไม่ประกาศว่า … “ข้าพเจ้ามาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ในชีวิตข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าออกจากคุกได้”
หรืออะไรประมาณนั้น ท่านเข้าใจใช่ไหมว่าบางครั้งเราไปนึกถึงคำพยานมากจนเกินไป ไม่ใช่ต่อต้านคำพยาน ถ้าคำพยานตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ มันก็โอเค แต่ต้องระมัดระวังคำพยานที่ไปอ้างถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และความคิดของมนุษย์ที่สามารถรู้สึกและสัมผัสได้ ให้เราเอียงไปตรงโน้น
แล้วบางครั้งพระเจ้า ก็สามารถใช้ตรงนั้น ให้คนนั้นมาเชื่อพระเจ้าได้เหมือนกัน แต่มิได้หมายถึงมันถูกหลักตามข้อพระคัมภีร์ ประกาศข่าวดีของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งถ้อยคำพระเจ้าเพียวๆ เท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3
นี่คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐ ที่เปาโลบอกไว้ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่มาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ถูกฝังไว้จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ หัวใจของข่าวประเสริฐอยู่ตรงนี้ หัวใจของข่าวประเสริฐไม่ได้อยู่ตรงที่ท่านจะร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง ท่านจะหายจากอาการเจ็บป่วย ปัญหาต่างๆ ที่ท่านเผชิญอยู่ จะอันตรธานหายไป พระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ เมื่อท่านต้อนรับข่าวดี ไม่ใช่ตรงนั้น
ตัวอย่างเช่น สถานการณ์รอบข้างที่เห็นอยู่จะเป็นเช่นไร? สถานการณ์โควิด-19 หนึ่งปีมาแล้ว และไม่รู้ว่าจะอีกกี่ปี กระทบถึงชีวิตของเราเยอะแยะมากมาย บางคนมาก บางคนน้อยก็ตาม แต่ไม่ว่าสถานการณ์นี้ จะเป็นเช่นไร? จะดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้น จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม ความรู้สึกและอารมณ์ จากผลกระทบของโควิดนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะหงุดหงิด จะเครียด จะกลัว จะหดหู่ ท้อแท้ก็ตาม ฉันรับรู้ และเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับฉัน อยู่ในฉัน ล้อมรอบฉัน อยู่เพื่อฉัน โอบกอดฉัน ทรงรักฉันอยู่ตลอดเวลา
อยู่เพื่อฉัน แล้วทำไมเหตุการณ์ของฉัน มันไม่ดีขึ้นเลย งานการของฉัน ปีหนึ่งแล้ว ไม่เห็นดีขึ้น ไม่รู้ อันนั้นไม่เกี่ยวกัน คนละเรื่องกัน เดี๋ยวพระเจ้าพาเราผ่านเอง
พอเข้าใจใช่ไหมครับ … การทรงสถิตของพระเจ้า การบังเกิดใหม่ ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มีพยานยืนยัน โดยสิ่งที่เกิดขึ้น ในสถานการณ์รอบข้างที่มันดีขึ้น ไม่ใช่ ถ้ามันดีขึ้น ตามถ้อยคำพระเจ้า เราก็ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่ดีขึ้น เราก็เศร้า ธรรมดา แล้วก็คร่ำครวญกับพระเจ้าต่อไป ลูกทุกข์ใจ แต่คร่ำครวญเหล่านั้น อยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ และเชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน ก็อยู่กับเราตลอดเวลา กำลังนำพาเราเดินผ่านความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอเมน มันต้องเป็นอย่างนี้
แล้วลองคิดดูนะครับ ถ้าเราเชื่อแบบนี้ บนพื้นฐานของความจริง ในข่าวประเสริฐของพระเยซู ตามถ้อยคำพระเจ้าเป๊ะอย่างนี้เลย ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เราก็เชื่ออย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา ต่อให้เราทำสิ่งที่ดูเหมือนไม่ดี ในขณะนี้ ต่อให้เราเกลียดคนนี้ ทนไม่ไหว ไปด่าว่าคนนี้ อย่างรุนแรง หรือทนไม่ไหว ไปโลภ เพราะว่าทนสถานการณ์ไม่ไหว เราก็รับรู้ เราก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราตอนนี้เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย
ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ เราก็จะไม่อธิษฐาน ขอการทรงสถิตของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต เข้ามาในการกระทำการงานต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละครั้ง เราก็จะไม่หวั่นไหว ถามพระเจ้าว่า …
“พระองค์ยังรักข้าพระองค์อยู่หรือเปล่า? ข้าพระองค์ทำตัวอย่างนี้ พระองค์อยู่ที่นี่หรือเปล่า? ทอดทิ้งลูกหรือไม่? หรือว่าลูกทำอะไรไม่ดี สงสัยเลยทอดทิ้งลูกไป”
เราจะไม่อธิษฐานแบบนี้ ในขณะที่เราเผชิญกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องสัจจะธรรมของโลกใบนี้ ซึ่งมันทุกข์ยากลำบาก เราก็ไม่มาระแวงพระเจ้าว่าพระเจ้าหายไปแล้ว เราทำอะไรผิดมั้ง เราก็ไม่ระแวงถึงสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่หวั่นไหว เราก็จะไม่อธิษฐานขอการทรงสถิตของพระเจ้า เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แทนที่จะอธิษฐานขอการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า เราขอบคุณพระเจ้า เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว อยู่กับเราตลอดเวลา สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่พระเจ้าก็อยู่กับเรา ไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้ พระเจ้าอาจจะไม่อยู่กับเรา เราต้องขอพระเจ้าอย่าหนีเราไป กลับมาอยู่กับเรา มันไม่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ความเชื่อของเรา เราจะไม่มีสันติสุข ไม่มีความสุข ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นนั่นเอง
แต่ถ้าเราเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เราก็จะมีความมั่นคงในความเชื่อ ในความรอดในพระเยซูคริสต์ ในการอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาอยู่กับเรา เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า และจะอยู่ที่นี่ อย่างนี้ไปจนถึงนิรันดร์ หลังความตายเลยทีเดียว เราก็จะเชื่ออย่างนี้ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น ไม่ว่าความคิดเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในใจเราเชื่อบนฐานของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เราก็จะดำเนินชีวิตหลังการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือหลังการเป็นคริสเตียน ด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข หยุดแสวงหาสิ่งอื่นใดทั้งปวงเลย ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม เพราะรู้แล้วว่ามีอยู่แล้ว ไม่ต้องแสวงหาความรู้สึก อารมณ์ การทรงสถิตของพระเจ้าอีกต่อไป เพราะพบแล้ว เจอแล้ว จะไปแสวงหาอยู่อีกทำไมเล่า
บางคนเขาก็เอาถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูยังบอกให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า นั่นมันพูดตอนที่พระองค์ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่เป็นขึ้นจากความตาย สวรรค์ยังไม่ลงมา พระองค์บอกว่ากำลังจะลงมา ให้เราเตรียมแสวงหาไว้ แล้วเราจะพบเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ ผู้เชื่อ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาแสวงหา เขาได้พบพระเยซูแล้ว รับพระเยซู ก็จบการแสวงหา เพราะพบแล้ว จะไปแสวงหาอีกทำไมเล่า เจอแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ดีใจจัง มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถูกหรือไม่?
ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง และอยู่กับเราตลอดไป นิรันดร์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ควรจะยืนบนฐานนี้ และหน้าที่ของเรา มีนิดเดียวเอง คือรับรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า และเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ไม่พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระองค์ ในทางของพระองค์ คือทางของพระเยซูเพียงอย่างเดียว นำข้อมูลใหม่นี้ บนพื้นฐานความจริงของถ้อยคำพระเจ้านี้ เข้าไปในวิญญาณ ในความคิดของเรา เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ด้วยการตาดู หูฟัง ปากพูดถึงเรื่องความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา คือถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ตลอดเวลา เท่าที่ทำได้
อะไรที่มันไม่ใช่ มันขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อย่าไปฟัง อย่าไปดู อย่าไปพูด อย่าไปคิดคร่ำครวญ อย่าไปแสวงหาให้มันรกสมองเปล่าๆ อะไรที่เป็นถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ถึงแม้สถานการณ์ หรือความรู้สึกมันจะแย้ง แต่มันเป็นถ้อยคำพระเจ้า ตาดู หูฟัง ปากพูดไปเรื่อยๆ ให้มันล้างสมองตัวเอง จากความคิดเก่าๆ ซะ
นี่คือหน้าที่ของเรา รับรู้ความจริงนี้ แล้วก็ใส่ลงไปในความคิดของเรา ให้มันมีระบบใหม่เข้าไป แทนที่จะอธิษฐานแสวงหาสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หรือแสวงหาสิ่งที่เป็นความรู้สึก อารมณ์ สัมผัสได้ แต่เปาโลอธิษฐานให้กับผู้เชื่อ มีความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับการทรงสถิตของพระเจ้า ให้รู้จักมากขึ้น และให้รู้ลึกซึ้งขึ้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตภายในท่าน และท่านอยู่กับพระเยซู ท่านกับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เราควรที่จะอยากรู้ตรงนี้มากๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น
หยุดการแสวงหาอะไรก็ตาม เพิ่มเติมในโลกวัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ หยุดการแสวงหา แล้วเราเจอสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องไปแสวงหาสวรรค์อีกต่อไปแล้ว แต่จงแสวงหาที่จะรับรู้ความจริง ในเรื่องโลกวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในชีวิต ในวิญญาณของเรา ไม่ได้แสวงหา เราควรจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ มันเจอแล้ว เราควรจะรับรู้ว่าเรามีแล้ว เราควรจะมีความพึงพอใจ มีความปิติยินดีในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ จะไปหาอะไรกับสิ่งที่เราไม่มี พระองค์ไม่ได้สัญญาสิ่งเหล่านั้น วัตถุ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็อย่าไปหามัน อย่าไปรับรู้มัน มารับรู้สิ่งที่พระองค์ทรงให้แล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ พระพรนานับประการในฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น
พระองค์บอกว่าพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพราะมันจบแล้ว มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จงเชื่อฟัง วางใจ และพักสงบเถิดพี่น้อง ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้พระองค์ทรงนำเราไป
พระเยซูบอกว่า … “พระพร และความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยเห็นพระองค์ แต่ก็ยังเชื่อ และวางใจในพระองค์”
“พระพรและความสุข จงมีแด่ผู้ที่ไม่เคยสัมผัส ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิด เรื่องข่าวดีของพระเยซูเลย แต่ก็ยังคงเชื่อและวางใจในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ ที่พระองค์บอกพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย และฉันเชื่อว่าฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในฉัน พระองค์ทรงเป็นอิมมานูเอลในชีวิตของฉัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว พระเยซูมาอยู่กับฉัน พระเยซูล้อมรอบตัวฉัน พระเยซูอยู่ในฉัน เป็นวิญญาณเดียวกันกับฉัน พระเยซูอยู่เพื่อฉัน และฉันอยู่เพื่อพระเยซู และฉันอยู่ในพระเยซู และฉันรักพระเยซู และพระเยซูรักฉัน พระเยซูโอบกอดฉัน และฉันโอบกอดพระเยซู ไม่มีวันไปไหนเลย เป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าสถานการณ์ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ หรือความคิดของฉันจะคิดอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับตรงนี้ ฉันไม่เชื่อทั้งสิ้น ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด เอเมน”
พระเจ้าอวยพรครับ
*************************