คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2020
เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว” ตอน 1 “RIP”
โดย นคร เวชสุภาพ
สวัสดีครับ พบกันอีกสัปดาห์หนึ่ง สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าหลังจากที่ท่านถ่อมใจ ยอมรับว่าไปไม่รอดแล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ขอพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยประจำตัวนั้น เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะความรอดที่เราได้รับมานั้น เรารอดโดยพระคุณ เป็นของประทาน จากพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำของเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับทันที เมื่อเราถ่อมใจยอมรับ ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ความรอดทางฝ่ายจิตวิญญาณ มันเกิดขึ้นทันทีกับเราเลย เมื่อเรารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ รวมทั้งฉันด้วย และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย นี่แหละเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ เมื่อเข้าใจตรงนี้ แล้วยอมรับว่า …
“ขอต้อนรับสิทธิ ที่พระเยซูทำให้กับฉัน”
แค่นั้นเอง เราก็จะได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้รับฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า (ทันที) เลย
ได้รับความรอดเปล่าๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เรารอดจากบาป รอดจากการเป็นทาสของมาร รอดจากอาณาจักรของความมืด หรือเราเรียกกันว่านรก รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ ในสิ่งที่เราทำไม่ดี บาปเยอะแยะมากมาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตอีก นี่เรารอดหมดเลย หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า ย้ำอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ
แต่พระคัมภีร์ก็มีสอนไว้ แนะนำไว้ว่าหลังจากเชื่อแล้ว ได้รับความรอดอย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้แล้ว พ่อซึ่งเป็นพระเจ้าก็บอก …
“ลูกๆ เอ๋ย เมื่อเป็นลูกแล้ว ควรจะทำอะไรบ้าง? เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หลังจากได้รับความรอด โดยเปล่าๆ ฟรีๆ ควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง”
เบอร์หนึ่งเลยนะ และเมื่อเกิดประโยชน์กับตัวเองแล้ว มันก็จะเกิดประโยชน์กับผู้คนรอบข้าง ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ ซึ่งพระเยซูใช้คำว่าให้แสงสว่างฉายแสงออกไป ก็คือโลกใบนี้ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ แล้วเราก็ควรทำ เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
และสิ่งที่เราควรทำ ก็คือหัวข้อในการบรรยายสัปดาห์ที่แล้ว จำได้ใช่ไหมครับ มี 3 ควรกับ 1 ต้อง ก็คือต้องเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเราเชื่อแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 3 ควร ก็คือรับรู้ วางใจ และอธิษฐาน ทั้งหมดมี 4 ขั้นตอน สำหรับชีวิตผู้เชื่อ ขั้นตอนแรก คือเชื่อแล้ว เป็นผู้เชื่อในข่าวดี เสร็จแล้ว ควรจะรับรู้ ควรจะวางใจ และควรจะอธิษฐาน ควรจะเป็นอย่างนั้น
ต้องเชื่อแล้ว ก็คือรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจแล้วว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าทันทีในวิญญาณ
ควรจะรับรู้ ก็คือจดจ่อไปที่ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ พระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้ารักเรามากเลย เราเป็นลูกแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว
ควรวางใจ พอรับรู้เสร็จ ก็ให้เราวางใจ วางภาระลงที่พระเจ้า ให้พระเจ้านำไปตลอด เพราะพระเจ้ารู้มากกว่าเยอะ ไม่ต้องกลัวอะไร? คือพักสงบ พักผ่อนได้แล้ว ทำมาเยอะแล้ว กังวลมาเยอะแล้ว
และสุดท้าย ก็คือควรอธิษฐาน ควรจะเริ่มต้นอธิษฐาน อธิษฐาน คือการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นใครในสวรรค์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร? เขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร? นี่เขาเรียกว่าอธิษฐานทั้งสิ้น
เมื่อเราทำตาม ทั้ง 4 ขั้นตอนนี้ แล้ว แล้วจะมีอะไรเป็นผลประโยชน์เกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง อย่างแรกเลย เพียงแค่เบอร์หนึ่งที่เราทำ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดได้ แค่เชื่อตรงนี้ ก็เกิดประโยชน์แล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย นี่คือผลประโยชน์ที่ได้เกิดขึ้น และเมื่อเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลอีกแล้วว่าหลังจากเราจากโลกนี้ไป เราจะไปอยู่ไหน? ก็เราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วทันที จากโลกนี้ไป เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ชีวิตหลังความตายของเราจะเป็นอย่างไร? เราก็ไม่ต้องกลัว ไม่กังวลอีกแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้
เชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ อธิษฐาน
จากโลกนี้ นิรันดร์ บนโลกนี้
วิญญาณพักสงบ กายใหม่ (อมตะ) สันติสุขที่เกินกว่าความเข้าใจ
นี่เพียงแค่เราเชื่อนะ เริ่มต้น เราก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา วิญญาณของเรา ก็จะได้พักสงบ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้วทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก แล้วทำอะไรต่อ เพียงแต่รอวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ จะปรากฏอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา แบบชั่วนิรันดร์ ก็คือเราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นอมตะ ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องมีความตายอีกแล้ว เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอีสเตอร์นั่นแหละ เหมือนเลย เราจะมีร่างกายใหม่ เป็นอย่างนั้นแหละ
นี่คือสิ่งที่เราจะได้รับ แค่ทำข้อแรก คือเชื่อในข่าวดี ทางฝ่ายวิญญาณได้รับเรียบร้อยแล้วทันที หมดแล้ว แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ นึกออกใช่ไหม? เชื่อแล้วก็จริง ในขณะนี้ เรายังอยู่ในร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้อยู่นี้ ถ้าเราทำตาม 3 ขั้นตอนที่ควรทำ คือรับรู้ วางใจ และอธิษฐานตามที่พระเจ้าแนะนำ สิ่งที่เราจะได้รับในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผล ประโยชน์ที่จะได้รับ พระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เลย
สันติสุขนี้สำคัญนะ ไม่ใช่สันติสุขได้รับอย่างเดียว แต่ถ้าท่านปฏิบัติ 3 สิ่งนี้ คือรับรู จดจ่อในเรื่องโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ท่านเป็นลูกพระเจ้า
เริ่มต้นฝึกฝนวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่างไร ก็เชื่อตามนั้น พระเจ้าบอกไม่กลัว ก็ไม่กลัว พระเจ้าบอกให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน วางใจ แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับ คือความสุขมากขึ้นในชีวิต ปัญหาต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แก้ได้ พระเจ้านำพาเรา สามารถ ถ้าตามภาษาไทยเรา เขาเรียกกันว่าพระเจ้าสามารถดลบันดาลช่วยเราได้ แทนที่เราจะทำคนเดียว แทนที่เราจะทำมาหากินตัวคนเดียว แก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ถึง 3 องค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าผู้เป็นพ่อ พระเจ้าพระบุตรผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่เลี้ยงเรา 3 พระภาค สถิตอยู่กับเรา ในตัวเรา ในวิญญาณของเรา นำพาเราเดิน แล้วท่านจะกลัวอะไรตอนนี้ ท่านก็จะมีความสุขมากกว่าเดิม พระเยซูบอกเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาต่างๆ เลย เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วว่าท่านต้องการอะไร? สิ่งใดจำเป็นในชีวิตของท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงรู้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แล้วพระองค์จะให้กับท่านแน่นอน เหมือนที่ท่านดูทุกวัน เคยเห็นนกกระจอกมันอดตายไหม? พระเยซูยกตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วบอกว่าดูตัวอย่างนกกระจอกสิ นกตัวเล็กๆ มันยังไม่อดตายเลย พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย แล้วท่านเป็นลูกพระเจ้า มีค่ากับพระเจ้ามากขนาดไหน? พระเจ้ารักท่านมากขนาดไหน? พระเจ้าจะไม่เลี้ยงดูท่านมากกว่านั้นอีกหรือ? ใช่จริงๆ
นี่แหละคือประโยชน์ที่จะได้รับ เมื่อเชื่อแล้ว ได้รับของประทาน ของขวัญต่างๆ ในโลกวิญญาณแล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้อยู่ ควรจะทำในสิ่งที่พระเจ้าแนะนำ 3 สิ่งนี้ จะได้ความสุขมากขึ้น แก้ปัญหาได้ ไม่อดอยาก มีความสุขไหม? ไม่โลภมีความสุขไหม? ท่านจะแก้ปัญหาความโลภด้วยตัวเอง มันลำบากลำบนนะ แต่ถ้าท่านใช้วิธีอธิษฐานกับพระเจ้า บอกพระเจ้าอย่างโน้นอย่างนี้ ความโลภท่านก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยพลัง ด้วยสติปัญญาและความจริงจากพระเจ้าที่สถิตอยู่ในตัวท่าน ท่านก็จะโลภน้อย ความทุกข์ทรมานมันก็น้อย การไปหาเรื่องใส่ตัวมันก็น้อย นี่แหละการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง คนเดียว มีทั้งกิเลสตัณหา มีทั้งความอยาก มีทั้งการล่อลวงต่างๆ ให้ทำชั่ว ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ปกติโลกใบนี้มันทุกข์อยู่แล้ว ท่านก็ไปทำให้มันทุกข์มากขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่าง ตะกี้ที่บอกโลภ ปกติไม่โลภ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่ท่านไปโลภ มันยิ่งทุกข์มากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าแนะนำให้ทำ เชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ อธิษฐาน
และสำหรับหัวข้อบรรยายในวันนี้ มีชื่อว่า “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว R.I.P.” RIP เป็นตัวย่อมาจากคำว่า “Rest in peace” ซึ่งส่วนใหญ่ เขาจะเขียนคำนี้ไว้ที่ป้ายหน้าหลุมศพ หรือไม่ก็เขียนไว้ในหรีดไว้อาลัยในงานพิธีศพ Rest in peace หรือตัวย่อว่า RIP ก็คือ “จงพักสงบชั่วนิรันดร์” นี่ความหมายจริงๆ ของการที่ตั้งใจจะเขียน แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แบบที่เขาทำกันเป็นพิธีตอนนี้ว่ารอให้ตายก่อน แล้วค่อยมาเขียน RIP ตอนอยู่ในหลุมศพ ไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว เราสามารถใช้คำว่า RIP กันได้วันนี้เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย ได้เลยทันที เมื่อเชื่อแล้วปุ๊บ ทำได้เลย เมื่อเชื่อแล้ว ก็เขียนให้ตัวเองได้เลยว่า …
“คุณนคร RIP”
ไม่ใช่แช่งตัวเอง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เดี๋ยวเรามาดูว่าที่เขาใช้คำว่า RIP สำหรับคนที่ตายแล้ว บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ตามประเพณีอะไรต่างๆ เหล่านี้ คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ที่เขาใช้คำว่า RIP เพราะความหมายของคำว่า RIP คือเขาหวังว่า เป็นความหวังแบบมนุษย์ธรรมดา คนจากไป เราก็ระลึกถึงเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี แสดงความเสียใจ แล้วบอกว่า RIP นะ คือหวังว่าจะได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์อย่างสงบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ถูกไหมครับ ที่เขาตั้งใจเขียนอย่างนั้น เพราะเขาหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่จากที่เราเรียนรู้ด้วยกันมาแล้วหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว สวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็น Now คือเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ไม่ต้องรอ สามารถเข้าสวรรค์ได้เลย เข้าด้วยวิธีเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ได้เข้าสวรรค์ทันที คนที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ ก็คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว
แล้วคำที่บอกว่า RIP มักจะใช้กับคนที่ตายแล้ว คนที่จากไปแล้ว ตอนนี้เราจะใช้คำว่า RIP ถามท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่มาแบกกางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน เอาบาปของท่านออกไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นตัวอย่างให้กับท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย เมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถามว่าท่านตายหรือยัง? ก็ต้องตายก่อนสิ แล้วจึงจะบังเกิดใหม่ได้
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
เห็นไหมครับ? ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย ก็คือผู้ที่เชื่อแล้ว ฟังทางนี้ว่านี่เป็นข้อความที่มาถึงท่าน บอกว่าสถานะในโลกวิญญาณของท่านตอนนี้เป็นอย่างไร เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ ก็ฟังไว้ว่าถ้าเชื่อแล้ว มันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น
“ในเมื่อให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” เมื่อท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าก็ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน หมายถึงโลกวิญญาณตรงนี้ ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ตรงสถานะของท่านตรงนี้ ไม่ใช่ฝ่ายโลก ไม่ใช่ท่านมาจดจ่ออยู่บนโลกใบนี้ว่าท่านเป็นผู้จัดการบริษัทนี้ เป็นคนงานบริษัทนี้ มีตำแหน่งอะไรในบริษัทนี้ มียศอะไรบริษัทนี้ ไม่ใช่อะไรตรงนี้
และในข้อที่ 3 เป็นคำตอบ เพราะท่าน (ท่านคือผู้ที่เชื่อแล้ว) ตายแล้ว ตายอะไร ยังเดินอยู่เลย เขาพูดถึงโลกวิญญาณ วิญญาณเก่าของท่าน วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่าน มันตายไปแล้ว
ฟังอีกทีวิญญาณเก่าของท่าน ก่อนที่จะรับเชื่อ เป็นวิญญาณมืดบอด เป็นวิญญาณที่เป็นทาสของมารซาตาน เป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรก มันตายไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อในข่าวดี และบัดนี้ เดี๋ยวนี้ หรือขณะนี้ Now ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า วิญญาณท่านตายแล้ว และมันได้เกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ในข้อ 1 แล้ววิญญาณที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้านั้น ตอนนี้ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า คือถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ท่านก็อยู่ที่สวรรค์นั่นแหละ ทันที เดี๋ยวนี้เลย
สรุปว่าเราใช้ RIP ได้หรือยัง? ได้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำข้อ 1 ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ยังไม่สามารถใช้ RIP ได้นะ เขาจะใช้ให้คุณต่อเมื่อคุณหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว เขาถึงจะใช้ให้คุณ แต่ถ้าคุณเชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดี ทันทีปุ๊บ คุณใช้ได้ทันทีเลยว่า …
“ฉันกำลัง RIP เรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ”
ลองฝึกพูดกับตัวเองดูว่า … “RIP”
“คุณนคร RIP”
เห็นเลยนะว่าตัวเก่าเราตายไปแล้ว ตอนนี้ตัวใหม่เป็นขึ้นจากความตาย พักสงบในพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้วทันที
นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ อย่างที่ผมบอกเสมอใช่ไหมครับว่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น 100% ถ้ามีเกินร้อย อยากจะบอกเกินร้อย ไม่ใช่เรื่องราวของการสอนศีลธรรม หรือมาพูดถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ เหตุและผล ไม่ใช่เลย แต่กำลังจะพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ ที่จะเห็น ที่จะฟัง และเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ พระเจ้าบอกสิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านทั้งหลายที่รักพระองค์ ที่แสวงหาพระองค์ พระองค์บอกพระองค์พอใจมาก สำหรับคนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม เขาเริ่มต้นเรียนรู้จักโลกวิญญาณแล้ว
เพราะฉะนั้น เรากำลังศึกษาเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะพูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น เวลาท่านจะตีความ เวลาท่านจะเข้าใจในเรื่องพระเจ้า ในเรื่องพระคัมภีร์ ไม่ว่าข้อใดตรงไหนก็ตาม สับสวิทช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณทันที ตรงนี้ทางฝ่ายวิญญาณมันแปลว่าอะไร? มันหมายความว่าอะไร? อย่าเอาความคิดสติปัญญา แบบโลกนี้ไปพยายามตีความ แล้วมันจะเละตุ้มเป๊ะ มันจะถูกหลอกและไปผิดทาง เรากำลังเรียนรู้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ เจริญเติบโต ร่างกายของมนุษย์ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปเรียน มันไม่ได้สำคัญเลย เพราะในที่สุด มันก็ต้องเป็นศูนย์ ดับสูญไปแน่นอน แต่พระเจ้ากำลังให้เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นจริงมากกว่าโลกวัตถุ สำคัญกว่าโลกวัตถุ มันคืออะไร? มันเป็นอย่างไร? เขามีอะไรบ้างอยู่ในนั้น กำลังศึกษาเรื่องนี้ นี่คือที่พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้เรื่องนี้ ต้องจำเอาไว้เลยนะ
อย่างเช่น ในโลกฝ่ายวิญญาณประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก็คือในตอนเริ่มต้น โลกฝ่ายวัตถุ มันเป็นอย่างไร? ในนี้ก็จะบอกเลยว่าพระคัมภีร์ก็เริ่มต้น เดี๋ยวผมจะสรุปให้ท่านฟังสั้นๆ เพื่อท่านจะได้พอมองเห็นว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องอะไร? แล้วผมเอาพระคัมภีร์ทั้งเล่มมาเล่าให้ท่านฟังสั้นๆ สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งท่านค่อยๆ ไปฝึกฝนในการเรียนรู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันเกิดขึ้นโดยโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นตัวกำหนดโลกวัตถุอีกทีหนึ่ง
ในตอนเริ่มต้นสร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง รวมทั้งโลกวิญญาณด้วย โลกวัตถุที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และอยู่ตลอดไปนิรันดร์ นี่ตอนเริ่มต้นเลย ที่พระเจ้าสร้างใหม่ๆ แต่เพราะเหตุที่มนุษย์ไปเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน จึงดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่าทำ อย่างนี้นะ ถ้าทำมันจะเกิดโทษ เหมือนกำลังจะบอกอย่าไปแหย่ปลั๊กไฟนะ เดี๋ยวไฟมันจะดูด ให้เชื่อฟัง แต่บรรพบุรุษของมนุษย์คู่แรกเชื่อมาร ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผลของการไม่เชื่อฟัง คือความตาย มันก็เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ทั้งใบ ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ ทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายวิญญาณ
จากโลกวัตถุที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะอยู่ตลอดไป เมื่อมนุษย์ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ถูกหลอก ผลก็คือความตาย มันก็เลย กลายเป็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทุกสิ่งที่บนโลกนี้ที่เป็นวัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้ เรียกว่าโลกวัตถุ รวมทั้งร่างกายภายนอกของมนุษย์ด้วย อยู่ในขบวนการ การมุ่งไปสู่การดับสูญทั้งสิ้น ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ที่มนุษย์คู่แรกได้ทำการปฏิเสธพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำให้เป็นผลอย่างนี้ขึ้น ทางฝ่ายโลกวัตถุ
ส่วนฝ่ายวิญญาณ อย่างที่บอกไป วิญญาณสำคัญกว่า มนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย วัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้ ถูกสร้างมาจากธาตุของโลกใบนี้ คือถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟนั่นเอง ส่วนฝ่ายวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าให้กำเนิดกับมนุษย์คู่แรก และพวกเราทุกคน ถ้าเผื่อไม่ตกลงไปในความบาป คือส่วนฝ่ายวิญญาณ ผลของความบาปที่เกิดขึ้นกับวิญญาณของมนุษย์ ก็คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และอยู่ตลอดไป เพราะวิญญาณของมนุษย์ได้รับมาจากพระเจ้า ไม่สามารถที่จะดับสูญได้ เป็นวิญญาณที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ฟังอีกที วิญญาณของมนุษย์ คือตัวจริงๆ ของเรา มนุษยชาติทุกคน เป็นวิญญาณที่ถูกสร้าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และจะอยู่ไปนิรันดร์ แต่ผลของความบาป ของความไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความตายฝ่ายวิญญาณด้วย เพราะฉะนั้น เกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และอยู่ตลอดไป แต่อยู่แบบตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตายจากธรรมชาติของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าพระสิริของพระเจ้า
ตายจากธรรมชาติของพระเจ้า ก็คือวิญญาณที่เคยเป็นลูกของพระเจ้า มีเนเจอร์ มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า เป็นความดีงาม เป็นความน่ารัก เป็นความไร้เดียงสา หลุดไป หายไป เรียกว่าพระสิริพระเจ้าหายไปเลย ความเป็นเหมือนพ่อ เหมือนพระเจ้าหายไป กลายเป็นความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่
ขบวนการชั่วร้าย ทำลายล้างมนุษยชาติ และสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ทั้งสิ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวัตถุ หรือฝ่ายโลกวิญญาณก็ตาม พระคัมภีร์เรียกขบวนการนี้ว่าคำสาปแช่ง หรือถูกพิพากษาลงโทษ หรือถูกพิพากษาให้รับโทษนั่นเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์ตกอยู่ใต้คำพิพากษาได้รับโทษ ตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง เพราะเหตุจากบาปที่ตนเองก่อขึ้น เนื่องจากถูกล่อลวง โดยมารนั่นเอง
นี่คือสรุปสั้นๆ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถึง เมื่อปี ค.ศ.33 มันแป๊บเดี๋ยวนะ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมจบเลย ค.ศ.33 ได้เกิดเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ขึ้น ที่โลกวิญญาณ ที่ผมบอก โลกวิญญาณเป็นจริงและสำคัญมากกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นได้ทั้งสิ้น เพราะโลกวิญญาณจะอยู่ตลอดไป แต่โลกวัตถุสิ่งของมันจะดับสูญไป ตามที่ตะกี้เราได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์มนุษยชาติแล้ว โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ วันหนึ่งมันต้องดับสูญไปแน่นอน พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น แต่โลกวิญญาณมันต้องอยู่แน่นอน แต่มันอยู่ที่ไหน อยู่ในสภาพอะไรเท่านั้นเอง
เมื่อปี ค.ศ.33 คือประมาณ 1,900 กว่าปีมาแล้ว ได้เกิดเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้น ในกาลาเทีย 3:13 เกิดอะไรขึ้น ตะกี้นี้บอกแล้วว่ามนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาได้รับโทษ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คืออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า พอมาถึง ค.ศ.33 เกิดอะไรขึ้น
กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”
พระคริสต์ก็คือ … “พระเยซูคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”
พระเยซูคริสต์เอาคำสาปแช่งออกไป วิธีการง่ายๆ ก็คือสลับเปลี่ยนที่กัน พระเยซูเอาคำสาปแช่งของเราไปไว้ที่พระองค์ แล้วก็ให้พวกเราพ้นจากคำสาปแช่ง ชัดไหม? ค.ศ.33 ที่ไม้กางเขนนั้น พวกเราหลุดพ้นจากคำสาปแช่งแล้ว ค.ศ.33 พวกเราหลุดพ้นจากคำพิพากษาลงโทษแล้ว ผลที่ได้ อยู่ในโรม 8:2
โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”
พูดง่ายๆ ก็คือโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ให้ชีวิตกับท่านใหม่ ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีนี้ ให้ท่านเป็นอิสระจากกฎเดิมที่ท่านอยู่สมัยอาดัม ก็คือกฎของความบาป และความตาย เมื่อทำบาป ก็ต้องตาย เหมือนกฎของแรงดึงดูดของโลก เมื่อโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา เมื่อทำบาป ก็ได้รับโทษของความบาป ทำครั้งหนึ่ง ก็ได้รับโทษของความบาป ทำ 100 ครั้ง ก็ได้รับโทษของความบาป โยนของไป 100 ครั้งก็ต้องหล่นลงมาแน่นอน เพราะแรงดึงดูดของโลกมันมีอยู่จริงๆ
เพราะฉะนั้น กฎของความบาปและความตายดั้งเดิม ที่มาตั้งแต่สมัยอาดัม ทุกวันนี้ ก็ยังอยู่ ทำบาปครั้งหนึ่ง ก็ต้องรับโทษ เท่าๆ กับคนทำกี่ครั้งก็แล้วแต่ มันเป็นกฎอยู่ เห็นภาพไหมครับ? และพระเยซูคริสต์มาทำให้เขาหรือเราที่เชื่อในพระองค์ เริ่มต้นกฎใหม่ให้กับมนุษยชาติแล้ว กฎนั้นเรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต คือกฎที่พระเจ้าได้ให้ชีวิตกับเรา บังเกิดใหม่เลย ไม่ตายอยู่ในบาปอีกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น และใน 2 เปโตร 1:4 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”
ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พระสิริของพระเจ้าที่หายไป ที่เสียไป เนเจอร์ หรือธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่หลุดหายไป ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาปนั้น ผลของความบาปนั้น คือความตายทางฝ่ายวิญญาณตรงนี้ บัดนี้พระเยซูมาแก้ไขให้ใหม่แล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หายกลับคืนมาใหม่ กลับคืนสู่เนเจอร์ ธรรมชาติของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าและกลับคืนสู่พระสิริ ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ เป็นธรรมชาติ เป็นตัวตนแท้ๆ ของวิญญาณของเรา เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อเราเชื่อแล้ว นี่พูดถึงผู้เชื่อแล้วทั้งสิ้น
เห็นไหมพระเยซูมาทำให้สิ่งเหล่านี้กลับคืนดีหมดเลย ทั้งโลกวัตถุและโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 33 มัทธิว 24:35 พระเยซูประกาศอย่างนี้เลยนะครับ
มัทธิว 24:35 “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราไม่มีวันสูญสิ้น”
ตะกี้ที่ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป ก็หมายถึงโลกวัตถุมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันจะต้องดับไป เพราะมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญเสีย ก็คือถ้อยคำของพระองค์ คือเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ ทั้งหมด มันจะอยู่อย่างนั้น ตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบาย และสอนเราในโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดไป สวรรค์จะอยู่ตลอดไป วิญญาณเราจะอยู่ตลอดไป แต่มันอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง มันสำคัญมากถึงมากที่สุด ที่เราทั้งหลายจำเป็นจะต้องมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณ มากจริงๆ มากกว่าอะไรทั้งปวง อยากจะเน้นคำว่า “มากๆ” เพราะมันสำคัญมาก เพราะมันจะต้องอยู่ตลอดไป โลกใบนี้มันไม่ได้อยู่ตลอด เราอาจจะทุกข์หรือทำอะไรผิดๆ ถูกๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มันก็ไม่กี่ปี เทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นนิรันดร์ไม่ได้เลย
สมมติว่าคุณจะมีอายุยืนสัก 100 ปี 120 หรือ 200 ปี … 200 ปีเทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณที่บอกว่าอยู่ตลอดไป มันนับไม่ถ้วนเลย 200 ปีกับล้านๆ ปี นั่นก็เยอะแล้วนะ แต่นี่ 200 ปีกับนับไม่ถ้วนปี อะไรสำคัญกว่า โลกฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่า เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น
เมื่อพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้แล้ว อยากจะบอกว่าทุกวันนี้ พระเยซูพูดกับคนที่เชื่อในข่าวดีของพระองค์ ที่ประกาศว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์ได้เอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว พระองค์เป็นทางที่มนุษย์จะสามารถบังเกิดใหม่ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมามีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้าได้แล้ว มนุษย์สามารถทำตรงนั้นได้แล้ว พระองค์ประกาศและอยากจะบอกกับมนุษย์ทุกคนว่าคนไหนที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว พระเยซูก็เป็นเหมือนพี่ชายคนโตของเขา เป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ครอบครัวใหม่นี้ สถาปนาขึ้นเมื่อค.ศ.33 เป็นครอบครัวสายพันธุ์ที่สองของมนุษยชาติ สายพันธุ์หนึ่ง คืออาดัมของเก่า ตกลงไปในความบาป แย่อยู่ในนรก แต่พระเยซูมาสถาปนาสวรรค์ว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อค.ศ.33 ตั้งอยู่เลย ไม่ใช่รอให้เราตายไปแล้ว สวรรค์จึงมา ไม่ใช่ สวรรค์มาตั้งแต่ ค.ศ.33 แล้ว พระเยซูกำลังจะบอกว่าใครที่เชื่อข่าวดีตรงนี้ พระองค์เป็นทางนั้น เป็นทางที่เราจะไปหาพระบิดา เป็นทางที่เราจะเข้าสู่สวรรค์ได้ คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เราก็จะได้พักสงบอยู่ในสวรรค์ทันที นี่พระเยซูประกาศเช่นนี้แหละ และสิ่งหนึ่งที่พระเยซูอยากจะบอกพวกเราในขณะนี้ คือสำหรับข่าวสารที่จะไปถึงบรรดาน้องๆ ทั้งหลาย มนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระองค์แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นน้องคนหนึ่งของพระองค์แล้ว พระองค์กำลังให้ข้อความนี้ไปถึงท่านว่าอย่างนี้ นี่คือข้อความไปยังบรรดาผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเยซูกำลังส่งข่าวสารไปให้กับท่านอย่างนี้ว่า …
“ขอต้อนรับลูกๆ ทุกคนในพระคริสต์ เที่ยวบินสายสวรรค์สู่โลกใหม่ Rest in peace พักผ่อนวางใจในพระเจ้า หลับให้สบาย ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางให้สนุกสนาน อย่าเครียด อย่ากังวล บางครั้งอาจมีมืดมนบ้าง อากาศแปรปรวนบ้าง ตกหลุมอากาศบ้าง รัดเข็มขัดไว้ แล้วจงนิ่ง และรับรู้ว่านักบินผู้ควบคุมการบินอยู่ คือพระเจ้า พ่อผู้ให้กำเนิดท่านนั่นเอง”
นี่คือสารที่มาจากพี่ชายคนโตของเรา หัวหน้าครอบครัวใหญ่ของเรา คือพระเยซูคริสต์ กำลังบอกพวกเรา น้องๆ เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ เราอยู่ในหนทางสวรรค์แล้ว ย้ำอีกที เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ รอจนกว่าโลกใบนี้มันจะดับสูญไปทั้งสิ้น สลายไป เราอยู่ในโลกใหม่แล้ว เราจึง Rest in peace ได้แล้ว สำหรับข่าวสารที่พระเยซูจะส่งไปถึงมนุษยชาติ บรรดาผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังไม่ได้สิทธินี้ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ตัดสินใจ พระเยซูก็ส่งสารนี้ไปให้เขาหรือท่านว่า …
“โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดท้าย โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดพิเศษ เที่ยวบินสายสวรรค์ บินสู่โลกใหม่ นักบิน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู และผู้ดูแลบริการ ตลอดระยะทาง คือพระวิญญาณและเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง จอดรับผู้โดยสารทุกสถานที่บนโลกนี้ และทุกเวลา ข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะค่าตั๋วเครื่องบินฟรี จ่ายเพียงความถ่อมตนเท่านั้น คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้หมดบาป พ้นบาปได้ จึงยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดจากบาป เต็มใจจ่ายความถ่อมตนนี้ แล้วขึ้นเครื่องได้ทันที ไม่จำกัดจำนวน หมดเขตโปรโมชั่นเมื่อมนุษย์คนนั้นตาย วิญญาณออกจากร่าง หรือโลกนี้ถึงการดับสูญไป ตัดสินใจโดยด่วนนะครับ ก่อนหมดโปรฯ ลงชื่อ พระเยซูคริสต์ ผู้อำนวยการสายการบิน I am the way” เอเมน
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*********************