วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”
พูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”
สัปดาห์ที่แล้วตอนที่ 4 มีชื่อตอนว่าอะไร? ใครจำได้บ้าง? ครั้งที่แล้ว “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”
ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงถ้อยคำพระเจ้าในเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece”
เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”
ความหมาย คือเราเป็นงานศิลปะ เป็นบทกวี เป็นงานฝีมือ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ซึ่งเราควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นฝีมือ เป็นการฝีมือ เป็นบทกวี เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สร้างด้วยความบรรจงอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงตั้งใจที่จะสร้างเราขึ้นมา ให้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระองค์ เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาโด้ ดาวินชี เรามีค่ามากกว่านั้นอีก ซึ่งรูปนี้เขามีค่าขนาดไหน? สูงขนาดที่ขายไม่รู้จะบอกว่าเท่าไร มันเยอะมาก เขาจึงเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์
โมนาลิซ่าในรูป ถ้าพูดได้ เธอคงพูดว่า …
“ฉันเป็นภาพที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”
มองภาพ แล้วนึกว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้ และมันเป็นจริง แล้วเราล่ะ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่าขนาดไหน? เปรียบกันไม่ได้เลยนะครับ
แล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวทิ้งท้ายกันไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรามั่นใจเสมอว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ให้เรามั่นใจอย่างนี้ มากเท่ากับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทย เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบพร้อมกัน มั่นใจ? มั่นใจ ไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลยใช่ไหม? ไม่ต้องเลย เหมือนกัน ต้องดูพระคัมภีร์ไหมว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าตอนนี้ ต้องดูพระคัมภีร์ไหม? ไม่ต้องแล้ว
“ฉันมั่นใจ ข้างในบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับฉัน ในหัวใจของฉันตั้งแต่วันที่ฉันรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ยืนยันกับฉันข้างในว่าฉันเป็นผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าจริงๆ” เอเมน
“ใครจะมาดูถูกว่าฉันไม่สวย ไม่หล่อ ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีความภาคภูมิใจ เพราะฉันเป็นฝีพระหัตถ์ เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ฉันสวย และหล่อที่สุดแล้ว” เอเมน
ลุกขึ้นยืนนิดหนึ่ง พูดตามผมนะครับ ให้มั่นใจ เท่ากับท่านเป็นคนไทยนะ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? เป็น เดี๋ยวพูดตามนะครับ ดังขนาดนี้นะครับ พูดตามผมนะครับ
“ฉันเป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็น Masterpiece ของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีแล้ว ฉันสวย / หล่อที่สุดแล้ว สวย / หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฉันงดงามที่สุดแล้ว งามกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะครับ / นะคะ”
แล้วยังจำได้ไหมครับว่าครั้งที่แล้วได้ โปรยเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอก เราได้พูดกันตรงนี้ขึ้นมา ให้ลุกขึ้นมายืนพูดด้วยความกล้าหาญ ฮึกเหิมเลยใช่ไหมครับ? ก็มีคนมาถาม มีสมาชิกมาถาม โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ ข้องใจมาก ก็มาถามผมว่า …
“ในเมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว งั้นแสดงว่าต่อไปนี้ ไม่ต้องแต่งตัวให้สวย ไม่ต้องแต่งหน้าทำผมแล้วใช่ไหม? ปล่อยตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างเลย สวยที่สุดแล้วไง”
โอไหม? ไม่โอ … โอหรือไม่โอ? แค่นึกภาพก็น่ากลัว สยองแล้วนะ ถ้าคนในนี้มาบอกว่าไม่มีใครแต่งตัวมาเลย ผมเดินเข้ามา คงสยองขวัญแน่ ไม่หวีผม ตื่นเช้า มาเลย ไม่ไหวนะ และโดยเฉพาะคนข้างๆ ที่บ้าน ทำอย่างนี้ แบบสยอง ขนลุกเลย ตื่นขึ้นมาตายแน่ ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ?
วันนี้เลยต้องมาขยายความกันต่อหน่อยนะครับ ถ้าไม่ขยายความ เผื่อว่าถ้าเกิดสัปดาห์หน้า จบเทศนานี้ สมาชิกที่มาที่นี่ มาแบบธรรมชาติๆ มาสวยธรรมชาติเลย เราคงผวากัน เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องมาคุยกันนิดหนึ่ง คุยกันนิดหนึ่ง เพื่อเราจะไม่ได้ธรรมชาติเกินไป ดีไหม? บอกคนข้างๆ สิ อย่าธรรมชาติมาก มันน่ากลัว บอกสิ ไม่กล้าพูดเหรอ มันน่ากลัว เวลาตื่นขึ้นมา ไม่แปรงฟัน ไม่หวีผม นี่ธรรมชาติแล้วนะเนี้ย
การรู้ตัวตนของเราเองว่าเราเป็นใคร? และพระเจ้าสร้างเราให้มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อย่างไร? สวยงามที่สุด หล่อที่สุด มีคุณค่ามากที่สุด เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และได้บรรจงสร้างเราให้เป็นอย่างนี้ ถ้าเรารักษาความเชื่อของเราแบบนี้ ให้มีความมั่นใจแบบนี้ แบบสักครู่นี้ที่เราพูดพร้อมกัน มั่นใจเหมือนที่เราบอกว่าเราเป็นคนไทย โดยไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลย หลับๆ ตื่นขึ้นมา
เขาถาม “คนไทยหรือเปล่า?”
เราก็บอก “คนไทย”
ถ้าเรารักษาความมั่นใจอย่างนั้นได้ ในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นบทกวี เป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร พระคัมภีร์บอกเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อแบบที่เราเชื่อว่าเราเป็นคนไทยอย่างนั้น
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ ในลักษณะใดรู้ไหมครับ? ในลักษณะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? จะอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานะใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะกล้ายืนหยัด ยืดอก และมีความมั่นใจในการแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นว่า …
“ฉันเป็นใคร?”
พูดสิ “ฉันเป็นใคร?”
ยืดอกหน่อยสิ ยืดอกหน่อย นี่ยังห่อเหี่ยวอยู่เลย ยืดอกหน่อยเร็ว แล้วบอกสิ
“ฉันเป็นใคร? หือ!”
“ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ”
ไม่กล้าพูดเหรอ ฉันไม่ธรรมดานะ
“ฉันเป็นคนมีชาติตระกูล”
มีชาติตระกูล ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรรู้ไหม? เวลาคนมีชาติตระกูล มีความภูมิใจตัวเอง เขาเรียกว่า Somebody
“I am somebody.” แปลว่า “ฉันมีคุณค่า”
เขาเรียกว่า I am somebody ถ้า I am no body. แปลว่าฉันแย่เหลือเกิน คนก็ไม่เอาฉันแล้ว อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าเรารู้ เรามั่นใจ เราต้องบอกว่าอะไร? I am somebody.
ลองพูดสิ “I am somebody.”
ยืดอกแล้วบอกว่า “I am somebody.”
ยืดอกแล้วบอกว่า “ฉันมีคุณค่า ฉันเป็นใครรู้หรือเปล่า?” อะไรประมาณนี้
“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ” อะไรประมาณนั้น
เพราะฉะนั้น เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจได้ ถ้าเรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในพระเจ้าแบบนี้ ในชีวิตของเรา … เราจะยืดอกได้อย่างสง่าเผย แต่ยืดอกแบบถ่อมใจ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไปยืดอกไปทับถมคนอื่น ไม่ใช่ ยืดอกเฉพาะตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง
“ฉันไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”
แต่ไม่ใช่เอาไปทับถมเขา ยืดอกแบบถ่อมใจ
ให้เราพูดพร้อมกัน “แบบถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง”
นี่คือหนทางที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลาย ที่มาเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตแบบนี้ ยืดอก และเมื่อเรามีความมั่นใจ ยืดอกได้แล้ว อาการ ท่าทางของเราที่แสดงออกมา ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสง่างาม การจะไปไหน? จะทำอะไร? จะแต่งตัวอย่างไร? จะพูดอย่างไร? ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม
ให้พูดพร้อมกัน “สง่างาม”
ลองนึกถึงภาพ ในอดีตมา เราสง่างามพอหรือยัง? สมกับที่มีคุณค่ามากกว่า มีมูลค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า กล้าไหม? สง่างามไหม? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราไปคิดเอาเอง แต่ ณ วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องเปลี่ยนท่าทีเรา สง่างามเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้มากขึ้น ถูกไหม? เอเมน ปรบมือให้พระเจ้า ขอบคุณพระองค์
พอเรารู้สถานะของเราว่าเราเป็นใคร? รู้ความจริง ความจริงก็จะทำให้เราภูมิใจ เมื่อภูมิใจแล้ว เราจะดูแลตัวเอง เมื่อภูมิใจ แล้วทำไม? มีความมั่นใจ แล้วทำไม? ดูแลตัวเอง ให้ดูสง่างาม สมฐานะ
พูดพร้อมกันสิ “สมฐานะ”
ตอนนี้งาม สมฐานะหรือยัง? ให้ดูสง่างาม ตามสถานะ หรือสมฐานะของเรา ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรก หน้าตาผมเผ้า ก็จะทำให้มันดูดีขึ้น ให้สมกับสถานะที่พระเจ้าสร้างเรา เป็นผลงานชิ้นเอก (นะโว๊ย) ถ้าในปัจจุบันเขาจะพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราก็จะต้องดูแลระมัดระวังทุกอย่างในตัวของเรา พยายามทำให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะแค่ทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางการประพฤติเท่านั้น แต่รวมถึงการแต่งตัวทุกอย่างด้วย ทุกอย่างในชีวิต เพราะเราเป็นการฝีมือ เป็นศิลปะ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ทำให้สมกับเป็นอย่างนั้นหน่อย เหมือนอย่างภาพโมนาลิซ่าตะกี้นี้ ที่บอกว่ามีค่ามหาศาล มันสวยของมันอยู่แล้ว ถูกไหม? มีค่าของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเสริมด้วยการทำสปอร์ตไลต์ ทำกรอบ ทำอะไรให้มันสวยขึ้น อยู่ในตำแหน่งที่สวยๆ คือมันสวยอยู่แล้ว แต่ทำให้มันทำไม? สวยขึ้นสมฐานะของมัน สมราคา ไม่ใช่รูปไร้ค่า รูปอะไรก็ไม่รู้ รูปละบาทสองบาท แล้วเรามาใส่กรอบทอง อย่างนั้นมันไม่ใช่ นี่มันสมฐานะ เป็นภาพโมนาลิซ่าของแท้
การแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ทำเล็บ ศัลยกรรม การเสริมความงามก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ได้ส่องประกายออกมาอย่างเหมาะสมและพอเหมาะ ไม่ดีใจเลยเหรอ? ดีใจไหม? ดีใจ แต่งได้ แต่เดี๋ยวฟังต่อไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อเสริมให้ความงาม มันงามขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเมื่อเรารู้ว่าเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าแล้ว สวย ไม่มีใครเหมือนแล้ว เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไป เราปล่อยมันตามธรรมชาติเลย เหมือนต้นไม้ นี่ชัดที่สุด ผมคิดตั้งนานว่าอะไรจะเหมือนตรงนี้ได้ เหมือนต้นไม้
ถามว่าพระเจ้าสร้างต้นไม้สวยไหม? ตามธรรมชาติสวยไหม? สวย เราก็ยังสามารถที่จะไปแต่งเติมให้มันสวยขึ้น ดูเหมาะสมได้อีกไหม? ได้ แล้วทำหรือไม่ทำ? ทำ ถ้าสนามหญ้าของท่าน … ท่านคิดดู ถ้าท่านปล่อยมันธรรมชาติเลย สวยหรือไม่สวย? สวยนะ เขียวๆ แต่ถ้าท่านไปตกแต่งมันอย่างดี ไปตัดแต่งมันทุกเดือนๆ สวยกว่าหรือเปล่า? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย เห็นไหม? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย
หรือบางท่านยิ่งชัดใหญ่เลย ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอะไรดี? ต้นไม้บางต้นสวยอยู่แล้วนะ แต่เขาเอาลวดใส่เข้าไปดัดๆ กลายเป็นลิง กลายเป็นตัวสัตว์ต่างๆ เป็นกวาง สวยกว่าเก่าไหม? สวยกว่าเก่า ต้องแต่งไหม? หรือทิ้งธรรมชาติ มันจะเป็นเอง
นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมพยายามจะมาเล่าสู่ท่านฟัง ให้ท่านเห็นว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง มันสวยจริง แต่ว่าพระเจ้าทิ้งงานที่เหลือไว้ให้มนุษย์ตกแต่งมัน รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราจะต้องตกแต่ง ดูแลในทุกส่วนในชีวิตของเรา ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ชีวิต จิตใจ ความคิด ต้องดูแลทุกอย่าง ให้สมกับคุณค่าที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของเรา สร้างเรา ให้เราดูสวย อย่างงดงามขนาดนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้มันโทรม เห็นสนามหญ้าโทรม คนเรามันก็โทรมได้ ถ้าเราไม่แต่งตัว ไม่ดูแลเลย
ยกตัวอย่าง ไม่แปรงฟัน โทรมไหมเนี้ย ยิ้มออกมา ดำปี๋ หินปูนก็ไม่ขัด ปล่อยมันธรรมชาติเลย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทั้งเหลือง ทั้งดำ มันก็ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก นี่บทกวีของพระเจ้านะ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน
แต่ทั้งนี้ การเสริมแต่งทุกอย่าง ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบของความเหมาะสม หรือทำตามสมควรที่จำเป็น ให้มีสมดุล ให้มันความพอเหมาะ พอดี ไม่ใช่ทำจนเว่อร์ จนเกินไป หรือน้อยเกินไป
ถามว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ใช่มาเทียบกัน คนนี้กับคนนี้มาเทียบกันไม่ได้ ต้นไม้อย่างนี้กับต้นไม้อย่างนี้ ก็มาเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนจะมีความเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน
คราวนี้มีคนถามว่า “และแค่ไหนคือความพอดี? ความเหมาะสม? ความสมดุลอยู่ตรงจุดไหน? เราจะทราบได้อย่างไรว่าเนี้ยตกแต่งขนาดนี้มันดีแล้วในชีวิตของเรา?”
แน่นอนทุกคนต้องถามตรงนี้แน่นอน แล้วเราจะทราบได้อย่างไร? นึกในใจไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตอบให้ท่าน
วิธีไม่ยากเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้เปรียบเยอะมากเลย เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา … เราอาจจะเริ่มปรึกษา โดยอธิษฐาน เสร็จแล้วอย่างไร? พระเจ้ายังบอกในพระคัมภีร์ สอนเราอีกว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างนี้ คือนอกจากมีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษายิ่งใหญ่สูงสุด อธิษฐานแล้ว เรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์ด้วย ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น
พูดพร้อมกัน “ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย”
เราก็ควรที่จะไปปรึกษา มีสติในการที่จะไปปรึกษา ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ เราก็ไปปรึกษาคนที่รู้เรื่องสุขภาพ อย่างเช่นหมอที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ที่เขาดูแลเรื่องสุขภาพ ถูกไหม? ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องการตกแต่ง หรือการทำอะไรก็ตาม เราก็ปรึกษาคนที่เขารู้เรื่องนี้ ก็ไปถามคนโน่น คนนี่ พูดง่ายๆ หาความรู้ นี่คือการปรึกษา
ยิ่งทุกวันนี้ หนึ่งในจำนวนผู้ปรึกษาที่ดี ที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้เรามีสติ นั่นคือใครรู้ไหม? คือใครรู้ไหม? ไม่หยาบนะ คือกูเองนะ จริง กูเกิลๆ จริงๆ กูเกิลนี่หมดเลย วิกิพีเดียมีเยอะแยะเลย ข้อมูลเยอะแยะ ข้อมูลเหล่านี้ คือที่ปรึกษาของเรา ก่อนเราจะทำอะไร? เราคิดดูต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคน … คนที่พูดได้ ไปหาศิษยาภิบาลที่บ้านบ้าง ไปหาคนนั้น เพื่อปรึกษาสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการแต่งหน้า แต่งตัวอย่างเดียว แต่มันคือชีวิตทั้งหมดเลย ถ้าเราได้รับความรู้และก่อนจะตัดสินใจทำอะไร? ให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ชีวิตเราจะราบรื่นที่สุด ทุกข์น้อยกว่าควรจะเป็น ทุกข์น้อยลง พูดง่ายๆ ถูกไหม? ถ้าเราบอกว่าเราใช้กูเกิลไม่เป็น เราก็ให้ลูก ให้ใครเขาช่วยได้ ถามเขาก็ได้ ช่วยค้นให้หน่อย เขาว่าอย่างไร? ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขาว่าอย่างไร? คนที่ใช้มาแล้วว่าอย่างไร? เอเมน จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยนะครับ
อย่างนี้เขาเรียกว่าที่ปรึกษา นอกจากปรึกษาแล้ว ตะกี้อย่างที่บอกปรึกษาหาพระเจ้า แล้วพอปรึกษาอะไรต่างๆ แล้ว สมมติว่าเรามั่นใจว่าพระเจ้าให้เราทำ เราก็ทำเลย ถ้าพระเจ้าไม่ให้ทำ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราอธิษฐาน เอเมน ถูกไหม? เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่ ถ้าเราปรึกษาทั้งหมดแล้ว เราก็อธิษฐานด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าอธิษฐานแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมาหลักจากนั้น ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมน ถูกไหม? เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงควบคุมดูแลทุกอย่าง ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงาม การแต่งตัว การทำศัลยกรรม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อะไรทุกอย่าง พระเจ้าอยู่กับเราตลอด
คืออยากจะตอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าเรานั้น สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ซึ่งเราคิดไม่ถึง หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ ที่อยู่ในกรอบของประเพณีเก่าๆ ของเรา ทำให้เราไม่กล้าที่จะโผล่มาทำอะไร? เรารู้สึกว่าทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้นตลอด ต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มันดี พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีเหตุผล เรากลัว ไม่มีเหตุผล พอมาพูดถึงเหตุผลอย่างนี้ชัดๆ มันก็ใช่ (นี่หว่า) ใช่ๆ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน สอนท่านต่อไป
เช่น ถ้ารู้สึกว่าอายุมากแล้ว สมมติ มีผมขาวขึ้นมาทำอย่างไร? มีหลายคนกำลังคิด เมื่อไรถึงเรื่องนี้สักที ถ้าอายุมากแล้ว มีผมขาว รู้สึกว่าอยากจะย้อมผม หรือโกรกผม หรือทำสีผม รู้สึกว่าการโกรกผมนั้น มันเหมาะสำหรับเรา คำว่า “เหมาะ” อย่างที่ผมบอก มาเทียบกันไม่ได้นะครับ คนนี้อยู่ในสังคมนี้ คนนี้อยู่ในกลุ่มนี้ เดี๋ยวต่อไป ผมจะอธิบายให้ท่านอย่างละเอียดกว่านี้ เพื่อให้ท่านเป็นอิสระ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นว่ามันเหมาะสำหรับท่าน … ท่านก็ทำอะไร? อธิษฐาน ถ้าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าอนุญาตให้ท่านทำ ก็ทำไปเลย แล้วถ้าท่านรู้สึกว่าอยากจะไว้ผมขาว พระเจ้าบอกว่าไว้ผมขาวดีกว่า พระเจ้าอนุญาตให้ท่านไว้ผมขาว ท่านก็ไว้ผมขาว ต้องอาบน้ำด้วยนะ ให้ท่านเห็น เข้าใจไหมครับ ท่านก็ถามคนโน่นคนนี่ ท่านอธิษฐาน ก็อธิษฐานไป ท่านจึงจะได้รับคำตอบ
ให้ลองสังเกตดู แล้วก็สรุปว่าน้ำพระทัยพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่ามีที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย ถามคนรอบข้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปด้วย เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว ปรึกษากับคนรอบข้างแล้ว ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัยแล้ว จงทำไปตามความเชื่อ ตามที่เคยเรียนไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความเชื่อ มันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว อะไรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ … เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราทำ เราดีที่สุด แล้วเราก็อธิษฐาน เชื่อว่านี่พระเจ้านำเราทำอย่างนี้ เราก็ทำเลย เอเมน
นอกจากปรึกษาพระเจ้าแล้ว ลองปรึกษาคนอื่นด้วย อย่างที่บอกนะครับ จะแต่งตัวอย่างไร? จะเข้าไปในสถานที่แบบไหน? จะแต่งตัวอย่างไรในการเข้าไปดูคอนเสิร์ต สมมติอย่างนี้ จะแต่งตัวอย่างไรมาโบสถ์ดี บางครั้ง เราคิดของเราไปเอง คิดของเราคนเดียว
“อย่างนี้ดีแล้ว ฉันเป็นตัวฉันเอง”
อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกให้เรามีที่ปรึกษา ไม่ใช่ดูในกระจก แล้ว
“นี่ สวย ฉันจะไปอย่างนี้”
ใครว่าอะไรก็ไม่ฟัง
“วันนี้ ฉันจะไปโบสถ์ ฉันจะแต่งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”
ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเชื่อมั่นอย่างนี้ ความเชื่อมั่นในทางพระเจ้า มันมีสติปัญญา อย่างที่บอก มันมีที่ปรึกษา ถามใครหรือยัง? ยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไร ไม่ได้ถามใคร มั่นใจ คือคุณถาม ตามพระคัมภีร์บอก คุณมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ เขาว่าอย่างไร? ทุกคนเขาว่าอย่างไร? ส่วนใหญ่ถามไหม? คุณอธิษฐานไหม? คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มาโบสถ์ มีคนบอกน่าเกลียด แล้วคุณอธิษฐาน บอกว่าพระเจ้ามันน่าเกลียดไหม? คุณเคยถามคนโน่นคนนี่ไหมว่ามันพร้อมหรือไม่? อย่างนี้เป็นต้นใช่ไหมครับ?
นี่คือหน้าที่ของเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่ต้องทำ เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้วางตัวได้ถูกต้องว่าจะวางตัวอย่างไร ที่จะเข้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ ฟังให้ดีๆ นะ เราจะอยู่กับอย่างนี้อย่างไร? กับสังคมนี้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ถ้าเราไม่ทำในลักษณะเดียวกับเขา เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ พระเจ้าจะใช้งานเราในกลุ่มนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงเฉพาะอย่างที่เขาเรียกว่ารสนิยมต่างกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?
คุณจะทำหน้าตาอย่างไร? ทำผมอย่างไร? แต่งแบบไหน? มันมีสติปัญญาอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเล่นๆ นี่เรื่องจริงๆ มันมีสติปัญญา มันเป็นวิชาการ เหมือนกับเราไปตกแต่งสนามหญ้า มันมีวิชาการของมันว่าต้องแต่งอย่างนี้ๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง ไม่ใช่เพ้อฝันเอาเอง ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานอยู่ในห้องคนเดียว แล้วออกมา
“พระเจ้าบอกฉันแต่งอย่างนี้”
ทรงผมแบบ อะไรก็ไม่รู้ สมมติแบบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? เราก็ต้องมีสติปัญญา มีความคิด มีสามัญสำนึก มีเขาเรียกคอมมอนเซน เซนธรรมชาติว่าใส่อย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ต โอเค ใส่อย่างนี้งานแต่งงาน โอเค ใส่อย่างนี้ไปงานศพ โอเค ใส่อย่างนี้ไปโบสถ์ โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?
“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันไม่สนใจเลย ฉันจะใส่สีสดๆ ไปงานศพ อย่างนี้”
ต้องดูสิงานนั้น เป็นงานใคร? งานอย่างไร? สมควรทำไหม? อย่างนี้เป็นต้น
สรุป ก็คือก่อนที่จะตัดสินใจเสริมแต่ง ทำอะไรก็ตาม ที่คิดว่าจะเป็นการทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น ในร่างกายนี้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ … สรุปให้นะครับ
- พิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ถูกต้องตามกาลเทศะ เหมาะสม พอเหมาะ พอควรหรือไม่?
- ถ้าคิดว่าข้อ 1 ผ่าน ลองปรึกษาคนรอบข้าง หาความรู้ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย
- ถ้า 2 ข้อนั้นผ่านเรียบร้อยแล้ว อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้า
เคล็ดลับ คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า
พูดพร้อมกัน “ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”
“รีบไปทำเลย เดี๋ยวมันหมดเขตลดราคาแล้วนะ”
“ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”
“ถ้าไม่ทำตอนนี้ เขาเลิกเลยนะ ต่อไปนี้ไม่มีขายแล้วนะ นี่ขวดสุดท้าย”
“ใจเย็นๆ อย่าซื้อเลยนะ รอคอยพระเจ้า”
ตรงนี้แหละสำคัญ ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันถูกต้องเอง เดี๋ยวพระเจ้าจะบอกผ่านตรงโน่น ผ่านตรงนี้ แล้วท่านจะมีความมั่นใจว่า …
“ใช่แล้ว ฉันจะไว้ผมขาว … ใช่แล้ว ฉันจะทำผมบ้าง?”
เข้าใจใช่ไหมครับ? อะไรที่เหมาะกับเรา ผู้ที่รู้ คือพระเจ้า แล้วก็ผ่านทางวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา อย่างนี้แหละ ถ้าผ่านทาง 3 ข้ออย่างนี้แล้ว ก็ตัดสินใจทำด้วยความเชื่อเลย ไม่ต้องไปห่วงใคร สบาย รับรองได้
เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว พอใจไหมครับ? โอเคเนอะ ทำตามความเหมาะสมแล้วกัน ทำอะไรทุกครั้งฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วพระองค์จะบอกท่านเองว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร? ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมพูดมาตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม ให้สมกับค่าที่พระเจ้าสร้างเรามาให้เป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งถามว่าสำคัญไหม? เป็นสิ่งสำคัญ
ให้พูดพร้อมกัน “สำคัญ”
ไม่อย่างนั้น ผมกระเซิงมา คนตกใจกลัว นึกว่าผีมา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือลักษณะท่าทางการพูดจา การสำแดงความรักให้กับรอบข้าง สำคัญทั้งสองอย่าง การไม่อิจฉาใคร ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เปรียบเทียบกับใคร เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เป็นบทกวีของพระเจ้า ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญอย่างมาก กระทำตัวให้เป็นผลงานชิ้นเอก สมกับที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เอเมน ไม่มีใครเอเมนเลยตรงนี้ ตอนแต่งตัว เอเมนกันใหญ่ เอเมน อย่าทำให้พระเจ้าขายหน้า ไปเห็นแก่ตัว พระเจ้าขายหน้า ไปอิจฉาเขา พระเจ้าขายหน้า
“ฉันทำตัวเธอมีค่าขนาดนี้ เธอยังไปอิจฉาชาวบ้านเขา”
ขายหน้าไหม? ขายหน้า ทำฮึดฮัดๆ กับชาวบ้านเขา ออกอาการเหมือนที่เขาชอบลงคลิปกันทุกวันนี้ ขายหน้าไหม? พระเจ้าอาย
“ลูกฉันเอ่ย” เข้าใจใช่ไหมครับ?
นี่คือหน้าที่หลัก สำคัญมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ก็คือทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็คือความประพฤติของเรา มันต้องดี ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
อย่างที่ผมบอก เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นใคร? เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ราคา ที่พระเจ้าไว้ในชีวิต ใส่ไว้ในชีวิตของเรา เหมือนดังที่พระคัมภีร์บอกว่า …
“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเป็นลูกของพระเจ้านะ เพราะฉะนั้น ทำตัวให้มันดีหน่อย เดินไปข้างนอก เอะอะโวยวาย ยกมือด่าผู้คนชาวบ้านเขา พระเยซูอยู่ไหม? อยู่กับเราด้วย ถูกไหม? ไปถึง ไปช่วยเหลือชาวบ้านเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ช่วยเขา พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อันไหนที่พระเยซูมีความสุข อันนั้นแหละ คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรที่จะต้องตั้งใจ และคุยกันให้ลึกซึ้งนะครับว่ามันต้องทำทั้งสองอย่าง สำคัญทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางฝ่ายร่างกาย สำคัญทั้งสองว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น จริงๆ มันเชื่อมกัน ผมจะบอกให้ฟัง
ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้ แต่มันเชื่อมกัน ถ้าท่านรู้ละเอียดอย่างนั้น เข้าใจลึกซึ้งในถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะทำ 2 อย่าง เพราะท่านอยากให้มันเพอร์เฟค ให้มันดี เพราะว่าท่านจะถวายเกียรติพระเจ้า ข้างในท่านเชื่อมั่นใจเลย ท่านไม่ได้ทำ เพราะกิเลสตัณหา เพราะอยาก อันนั้นไม่ใช่
“ฉันทำ เพราะฉันถวายเกียรติพระเจ้า”
พระเจ้าจะไม่ใช้เขาแล้ว ก็โอเค เข้าใจใช่ไหมครับ?
มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมั่นใจในคุณค่าของตัวท่านเองหรือยังตอนนี้ มั่นใจแล้วนะว่าท่านมีคุณค่ามากมายขนาดไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า บางคนนะครับยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ? เพราะบางครั้ง พูดในโบสถ์อย่างนี้ บรรยายอย่างนี้ มั่นใจๆ มาก พอเข้าไปหาเพื่อนในกลุ่ม ที่ไม่ใช่โบสถ์ ออกจากโบสถ์ไป ต่างคนก็ต่างอยู่ในสังคมไม่เหมือนกันใช่ไหม?
บางคนเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสู่ในกลุ่มของนักเรียน … เรียนหนังสือ เป็นเพื่อนๆ กัน ปรากฏว่าเพื่อนในกลุ่มบางคนได้เกรดที่ดีกว่าเราตั้งเยอะ เรียนเก่งกว่า บางคนในกลุ่มนั้น มีฐานะดีกว่า รวยกว่า ใช่ไหม?
หรือบางคนเข้าไปในกลุ่มของคนทำงานแล้ว ไม่ใช่เรียน กลับไปที่ทำงาน ในที่ทำงานบางคนก็มีฐานะดีกว่า ขับรถมา รถหรูกว่า แถมมีตำแหน่งสูงอีกต่างหาก เป็นหัวเราอีกต่างหาก ทำงานเก่งกว่าเราอีกด้วย ก็เลยรู้สึกทำไม? มีความรู้สึกด้อย … ด้อยกว่าชาวบ้านเขา
อยากบอกว่าขอให้วันนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดแบบนี้ ขอให้เป็นวันสุดท้ายที่เราคิดแบบนี้ เพราะอะไร? ผมจะบอกให้ท่าน เพราะคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้เขาวัดกันว่าคุณเรียนหนังสือได้ขนาดไหน? เกรดอะไร? คุณมีฐานะมั่งมีขนาดไหน? ขับรถอะไร? นั่นคือมาตรฐานของโลก ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพหลอกลวงทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า คืออยู่ที่ไหนรู้ไหม? อยู่ที่คุณอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? พระคัมภีร์พูดชัดเจนนะครับ มาตรฐานของพระเจ้า
“คุณอยู่ในพระคริสต์หรือเปล่า?”
“คุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่?”
“คุณเป็นการฝีมือ เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?”
ถ้าใช่ คุณเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จงมั่นใจและมีความภูมิใจเถิด เอเมน
ขอให้วันนี้ เป็นวันที่จบเรื่องนี้สักทีหนึ่ง ไม่ต้องกลัวใครเลย ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเทียบท่านได้ พูดง่าย เพราะว่าเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรรู้ไหมครับ? เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือหมายถึงท่านเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้ากลับมาอยู่ที่ตัวของท่าน ในชีวิตของท่าน ในวิญญาณของท่าน ปกคลุมอยู่ในร่างกายของท่าน ไม่มีใครเอเมน ไม่ตื่นเต้น เอเมนไหม? เพราะมันมองไม่เห็น ไม่ใช่กำลังเพลินหรืออะไร? แซวเล่นๆ เพื่อให้ท่านตื่น ท่านกำลังงง
“โอโห้! ฉันมีค่ามากมายมหาศาล”
ท่านเป็นการฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ เป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
ฟังให้ดีอีกที ให้พูดพร้อมกัน “ในพระเยซูคริสต์”
หมายถึงท่านเชื่อไง มันจึงเกิด ท่านเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เกิดอะไร? เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมาใหม่เลย เป็นผลงานชิ้นเอก
มาถึงตรงนี้ ได้เรียนรู้ขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะเดินไปไหน ไม่ต้องทำตัวหงออีกแล้วครับท่าน ได้ไหม? เราหงอจนเคยเลย ยืดอกเลย ไปที่ไหนเราก็ยืดอก ท่านสามารถเดินยืดอก ไปไหนมาไหน อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว อย่าลืมนะครับ อย่างที่ผมบอกยืดอกในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์มีแต่คนถ่อมตัว มีแต่คนอยากจะให้เขา ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ยืดอก ไม่ด้อยกว่าใครเลย เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา
ขอให้รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้ จบสักทีหนึ่ง เรื่องกลัวนั้น กลัวนี้ กลัวไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ไปเลย เอเมน ผมก็ชอบอย่างนี้ เวลาไปไหน? ตั้งแต่รู้จักพระเจ้ามา ไปไหน มีความรู้สึกนับวันมันยิ่ง ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ แต่มีความมั่นใจ จะรวยขนาดไหน?
“ทำไมฉันต้องไปแคร์เขาล่ะ ใครไม่รู้ (แถมเขายังไม่เชื่อพระเจ้าอีก) แต่ฉันเป็นใครรู้ไหม?”
นี่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขานะ พูดกับตัวเอง
“ฉันเป็นใครรู้ไหม?” พูดจากข้างใน
“ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์นะ ทำไมถึงไปกลัวคนนั้น คนนี้ แค่ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตกว่า หรือเป็นเศรษฐีร่ำรวยเหรอ ทำไมล่ะ”
นี่แหละ คือสิ่งที่แฝงไว้ตรงนี้แหละ คือถ้าท่านมั่นใจในความรอดของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเปลี่ยนแปลงท่าที่ของท่านแบบนี้ ท่านจะยืดอก และถ้าจะให้ดี ก็คือแขม่วท้อง ยืดอก สุขภาพจะแข็งแรง
มาทบทวนข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันอยู่ในพระคัมภีร์ นี่เอาข้อเดียวมาให้อ่าน เอเฟซัส 2:10 อ่านอีกทีหนึ่งนะครับ อ่านดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เลย
เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”
พูดตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำ ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”
ฝึกไว้ พูดกับตัวเอง
“ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”
ถามตัวเองนะ ไม่ไปถามคนอื่นเขา เย่อหยิ่งนะ ถ่อมใจรู้ไหม?
“ฉันเป็นใคร? รู้ไหมเนี้ย”
ไม่ต้องไปกลัวใคร? เราทั้งหลายเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์
คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” เราก็ได้เรียนกันไปเยอะแล้ว จบไปหลายตอนแล้ว 10 กว่าตอนแล้ว ยังจำได้ไหมครับที่เราเรียนกันว่า “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” เราเป็นคนที่ได้รับการไถ่บาป … บาปเวรกรรมไม่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว เราเป็นคนที่พระเยซูเอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว เราเป็นคนที่บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ปราศจากบาปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่เอี่ยม วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ดองกับพระเยซูคริสต์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลยในพระเยซูคริสต์ จำได้ไหม?
เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ ก็สามารถอธิบายความหมายได้อย่างนี้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากบาป และให้เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน
ใครที่ตะกี้ บอกว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แล้วยังไม่ยอมยืด ยังยืดไม่สุด ยังไม่มีความมั่นใจ ถึงตอนนี้ ก็ควรมีความมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะครับว่าเป็น Masterpiece แล้ว นอกจากนั้นอีก เห็นชัดๆ คือฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นผลงานนะ เป็นผลงานใช่ แต่ไม่ใช่เป็นงานที่เป็นชิ้นๆ นะ เป็นลูกของพระองค์ เป็นลูกไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป สวยที่สุด หล่อที่สุด ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ยึดได้เยอะหรือยัง? เยอะหรือยัง?
พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”
“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันไม่เหมือนใคร?”
นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ จบการศึกษา อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ตาม จบไปสัมภาษณ์งาน ผมจะบอกให้ท่านดู ท่านจะเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี จบอะไรก็ตาม หรือไม่จบเลย กำลังไปสัมภาษณ์งาน ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์นี้ วันหนึ่งข้างหน้า หรือไม่เดี๋ยวนี้ ก็มีประสบการณ์แล้ว ไปสมัครงาน แล้วเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมการ (นั่งสัมภาษณ์เรา) บางทีเราเดินเข้าไป นั่งเรียง หน้าตาดุยังกับอะไร? มาทำไม? นึกในใจ เขาไม่พูดอย่างนี้ นึกในใจ เขาคงจะขู่เราน่าดู นั่งแต่ละคนแก่ๆ ทั้งนั้น แล้วก็ดูอาวุโส ดูมีฐานะ ดูเก่งๆ เราเดินเพิ่งจบมา ได้งานหรือไม่ได้งาน แล้วก็เดินหงอๆ เข้าไป ยิ่งกว่านั้น พูดผิดพูดถูก ชื่ออะไร? บอกซอยบ้าน เขาถามชื่อ ดันไปบอกซอยบ้าน นามสกุล ดันบอกชื่อพ่อแม่ มันกลัวไปหมดเลย มีไหม? เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม? มีแน่นอน แล้วมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้จริงๆ วิธีแก้ จากนี้ต่อไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว ให้ท่านมีความมั่นใจในตัวท่านว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เดินเข้าไปถึง บอก
“ผมเป็นใคร?” ไม่ใช่
คุณต้องมั่นใจในตัวคุณก่อนเข้าไป แล้วก็เข้าไปด้วยความมั่นใจนะ แล้วคุณคิดในใจว่า …
“เราจะเลือกบริษัทนี้ทำงานดีไหมเนี้ย?”
ไม่ใช่เขาเลือกเรานะ เราจะเลือกเขาว่าเราจะทำงานบริษัทนี้ดีไหม? เราจะอวยพรเขาไหม? พระเจ้าจะอวยพรผ่านทางเราให้กับบริษัทนี้ไหม? ถ้าเขารับเรา เขาจะได้รับการอวยพรตรงนี้ ไม่ใช่เราไปของานเขาทำ เอเมน เปลี่ยนสิ เปลี่ยนความคิดซะ เดินเข้าไป เขาด้อยกว่าเรามากเลย กรรมการ 4-5 คนนั่งอยู่ ด้อยกว่าเราเลย เพราะว่าในใจเราใหญ่กว่าเขาอีก เขาคิดว่าเราไปของานเขา เราฮึดใหญ่กว่าเขาอีก
“ฉันจะมาอวยพรคุณนะเนี้ย ถ้าคุณไม่เอาฉัน ก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจ”
แต่ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหอง เห็นไหม? คุณเข้าไป ก็คุยกับเขา ระดับมันเริ่มเท่าแล้ว มั่นใจในการพูด เห็นไหม? คนที่พูดตะกุกตะกัก เป็นพวกเขามากกว่าแล้ว เพราะบางทีคุณอาจจะถามเขาได้ เอ๊ะ! ถามทำไม? คุณมั่นใจ เพราะคุณไม่กลัวนิ แทนที่คุณจะหงอ นี่พูดถึงว่าถ้าเรามีสติปัญญา แล้วเราทำด้วยความถ่อมใจ ถามว่าอะไรดีกว่ากัน เครียดก็ไม่เครียด ถ้าเขาไม่เอาเรา ก็แสดงว่าพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ไปที่อื่น เอเมน พระเจ้ากำลังนำพาเราไปอวยพรบริษัทไหนไม่รู้ ที่เรากำลังจะไปให้พรเขา ถ้าเขาต้อนรับพรจากพระเจ้า
แตกต่างไหม? เดินเข้าไปผึ่งผายขึ้นไหม? แต่หลายคนที่นี่ คงไม่ได้สมัครงานใหม่ เพราะอายุมากแล้ว มันจะเกินไปแล้วเนอะ เอาไปสอนลูกสอนหลานได้ 70, 80 อาจารย์ยังมาสอนเรื่องสมัครงาน ไม่ใช่ เอาไปสอนลูกสอนหลานว่า …
“ลูกเอ่ย ไปในนามพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวอธิษฐานกัน ไม่ต้องห่วง ไปเลย จะงานใหญ่ขนาดไหน? หรือจะตกลงงานใหญ่ขนาดไหน? ถ้าพระเจ้าให้ ก็คือให้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็แสดงว่าเราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พระเจ้าพาเราไปอยู่แล้ว เอเมน”
เห็นไหม? ท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาง้อเรานะ เราไม่ได้ไปง้อเขา มันต่างกันเยอะ แค่คิดเปลี่ยนแค่นี้ ท่าทีท่านจะเปลี่ยนไปทันที ออกมา เพื่อนถาม
“บริษัทนี้เขาจะรับเธอเปล่า?”
“เธอพูดผิดไปแล้ว นี่ฉันคิดว่าฉันจะไปอวยพรเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้ทำที่นี่หรือเปล่า?”
ต่างกันเยอะ เห็นไหม? เอเมน เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้พูดคุยตอนนี้หรือไม่? คิดให้ดีๆ
ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกหรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพูดในนี้ ในโบสถ์ บอกว่าทุกคนเป็น Masterpiece ใช่ไหม? และถามว่าทุกคนนอกโบสถ์นี้ไป คิดให้ดีๆ ตะกี้เราพูดในโบสถ์นี้ ทุกคนเป็นผลงานชิ้นพิเศษของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์
คราวนี้ถามว่าแล้วข้างนอก มองไปที่ข้างนอก มนุษย์ทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบ ก็คือไม่ใช่ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? เราเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เงื่อนไขของการสร้าง Masterpiece หรือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คืออะไร? คือการทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ และคนนั้น ต้องยอมให้พระองค์สร้าง ก็คือยอมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์
วิธีการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือต้องยอมถ่อมใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา คือรับข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง เอเมน ซึ่งเราได้ทำไปแล้ว เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว
สรุป ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด มนุษย์ทุกคนข้างนอก ที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็น Masterpiece ยังไม่ได้เป็นบทวี ยังไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แต่เขามีสิทธิ์ … สิทธิ์เขาง่ายนิดเดียว เหมือนเราทั้งหลาย ที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น โอเคนะครับ
คราวนี้กลับมาดูพระคัมภีร์ต่อเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านพร้อมกัน เอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทางสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เรา
ให้พูดพร้อมกันตรงนี้นะครับ “ที่พระเจ้าทำไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ”
ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ ตอนนี้นะครับ “เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ หรือให้เราทำ”
คำว่า “จัดเตรียมล่วงหน้าให้เราทำ” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม คือคำว่า “เทลอส” แปลว่าเป้าหมายหลัก หรือพระประสงค์ของพระเจ้า
พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา มีพระประสงค์ มีเป้าหมายหลักในชีวิตของท่าน คำว่า “เทลอส” หรือ “พระประสงค์ของพระเจ้า” ตรงนี้ เป็นการย้ำถึงคุณค่าของผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่บอกว่าเป็น Masterpiece ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เป็นการสำแดงตรงนี้ชัดๆ ว่าไม่มีใครเหมือนเลย ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างผลงานแต่ละชิ้น ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีพระประสงค์ที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคนๆ ทุกคน เอเมน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตามที่พระคัมภีร์ได้พูดใน 1 โครินธ์ 12:4-6 เอาไว้อย่างนี้นะครับ อ่านดูพร้อมกัน
1 โครินธ์ 12:4-6 “4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกัน เป็นผู้ประทาน 5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงกระทำการทั้งหมด ในคนทั้งปวง”
เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร และพระองค์มีพระประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละคนๆ
“สำหรับฉัน สำหรับฉันทีละคน”
เพราะฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเทียบกับใคร? เพราะว่าท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนท่าน พระเจ้าต้องใช้ท่านทำงานนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มาทำไม่ได้ เอเมน สำคัญไหมอย่างนี้ สำคัญที่สุดเลย ใครทำแทนไม่ได้ ต้องเป็นท่านทำ นี่พระเจ้าเจาะจงถึงขนาดนี้ ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อทำงานของพระองค์อย่างนี้
และในลักษณ์เฉพาะของท่าน … ท่านดีที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วในทุกด้าน ในความสามารถตามมาตรฐานของพระเจ้า สวยงามที่สุด ดีที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีใครจะมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดได้ จงมั่นใจเถิด สำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยแม้แต่นิดเดียว ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้ด้อยเลย แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ในบ้านคนเดียว อายุก็มากแล้ว แต่พระเจ้าเลือกท่านทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ต้องเป็นท่าน เอเมน ให้รู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร? อย่าไปเทียบกับคนอื่น
มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งนะครับ ชื่อ Judy Atcheson เป็นชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็กมาก สูงแค่ประมาณ 140 เซ็นต์ ใครในนี้ 140 เซ็นต์บ้าง? ไม่มีเนอะ ไม่ใช่เด็กนะ หมายถึงโตแล้ว 140 เซ็นต์เท่านั้น แล้วตั้งแต่เล็กๆ ก็โดนเพื่อนล้ออยู่เสมอๆ ใครๆ เรียกเธอว่าอะไร? ไอ้เตี้ย (หยาบคาย) อย่างนี้เขาเรียกอีเตี้ย เขาเป็นผู้หญิง ไปเรียกไอ้เตี้ยได้อย่างไร? มันก็อย่างนี้ แสดงว่าทั้งโลกเป็นหมด ไม่ใช่เป็นประเทศไทยอย่างเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่าเตี้ย (… เตี้ย) จนเธอรู้สึกมีปมด้อยมาตลอด และอยากจะสูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากสูง
พอโตขึ้นจูดี้ ก็ไปเรียนพระคัมภีร์ และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันเรื่องพระเจ้า มีพระประสงค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จูดี้ก็มักจะคิดถึงตัวเองว่าแล้วพระองค์ทรงสร้างให้เราตัวเตี้ย ขนาดนี้ นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไรในการเป็นคนตัวเตี้ยอย่างนี้ ถูกเขาล้อตลอด คิดเสมอ สงสัย ปรากฏว่าหลังจากที่จบการศึกษา จากโรงเรียนพระคัมภีร์แล้ว พร้อมที่จะออกไปรับใช้ เธอก็ได้รับการทรงเรียกให้ไปเป็นมิชชันนารี … มิชชันนารี คือคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ออกไปประกาศข่าวดี ให้ไปเป็นมิชชันนารี ที่ชนเผ่าแห่งหนึ่งในแถบแอฟาริกา คือมีชื่อเผ่าว่าเผ่าปิ๊กมี้ นี่เรื่องจริงนะครับ มาหัวเราะ เผ่าปิ๊กมี้ ทุกคนรู้จักดี
ท่านทราบไหมครับว่าชาวปิ๊กมี้ มีลักษณะเด่น คือใครๆ ก็รู้จัก ปิ๊กมี้เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างเตี้ย และในสมัยก่อนโน่น มิชชันนารีที่พยายามจะไปประกาศในเผ่านี้ ก่อนหน้านี้นั้น ตัวสูงๆ ทั้งนั้น เข้าไป ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปิ๊กมี้ เพราะชาวปิ๊กมี้กลัว แค่สีผิวต่างกัน ก็กลัวแย่อยู่แล้ว นี่เหมือนกับยักษ์โตเข้ามาในท่ามกลางพวกเขา ไม่รับๆ นึกภาพนะครับ พวกชาวเผ่าจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมใกล้ชิดด้วย สำหรับคนผิวขาวตัวใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เป็นการประกาศยากมาก ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร? เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ พูดง่ายๆ
จนกระทั่งจูดี้ มีโอกาสเข้าไปรับใช้ที่นี่ เป็นไงครับ? จูดี้ไปรับใช้ พอไปถึง ปรากฏว่าตัวเท่ากันเลย ตัวเท่ากับพวกเขา ง่ายเลยที่นี่ พวกปิ๊กมี้ คิดว่านี่คือบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเรียนพระคัมภีร์มา นี่คือพวกเดียวกันทั้งนั้น ใช่แน่นอน ก็เลยให้ความสนิทสนมกับจูดี้ ก็เลยกลายเป็นว่าจูดี้ได้ชื่อว่ามิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จมาก ในการประกาศที่ชนเผ่านแห่งนี้ และเธอใช้ชีวิตอยู่กับชาวปิ๊กมี้ รับใช้ชาวปิ๊กมี้ อยู่ที่แถบแอฟาริกา เป็นเวลา 35 ปี จึงกลับประเทศอังกฤษ และได้รับเหรียญรางวัลจากพระราชินีอลิสเบธด้วย ที่เธอทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า
เห็นหรือยัง? เห็นไหมครับ? นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะถูกสร้างมาแบบไหนก็ตาม มีบุคลิกลักษณะอย่างไร? พระเจ้าใช้เราได้ทั้งนั้น เพราะเตรียมไว้แล้วด้วย และจะใช้ด้วย และพระองค์ก็มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับเราแต่ละคนไม่ต้องเปรียบเทียบกัน เอเมนไหม?
นึกถึงเรื่องนี้ แล้วนึกถึงนี่ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวนะครับ เต๋เขามีเพื่อนคนหนึ่งสูงๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นี่เขาเตี้ย เพื่อนเต๋ก็สูง เป็นคนสูงมาก ซื้อรองเท้าก็ลำบาก ซื้อเสื้อผ้าก็ลำบาก เพราะสูงมาก เป็นคนไทย แต่ตัวสูงมาก ทำอะไรก็ลำบาก ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถเมล์ เครื่องบินที่แบบยาวๆ เพราะเขายาว สูงมาก ปรากฏว่าไปกินข้าวอยู่วันหนึ่ง ไปกินโต๊ะยาวมาก คนหัวโต๊ะเขาก็บอกว่า …
“ช่วยส่งพริกไทยให้หน่อย”
ทุกคนเงื้อมไม่ถึง ปรากฏแป๊บเดี๋ยวมีอะไรบ้างอย่างผ่านไป มันมาได้อย่างไร? พริกไทยมาได้อย่างไรเนี้ย เพราะว่าแขนยาว สามารถทำได้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาหรือเปล่า? เห็นไหม? บางวันหลอดไฟเสีย คนต้องไปลากเก้าอี้มาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนได้เลย เสร็จ ใครจะไปรู้ วันข้างหน้า อะตอมคนนี้อาจจะไปเป็นมิชชันนารีก็ได้ ไปหาเผ่าอะไรที่เขาสูงๆ พวกเราเข้าไป เขาไม่รับเรา มองไม่เห็น พวกท่านไป เขาอาจจะบอก เผ่านี้อาจจะบอก ใครมา เพราะสูงหมด เขาต้องไปหาคนที่สูงเหมือนกันกับเขา ยกตัวอย่างเป็นต้น
ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นแหละ พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นแหละ เอเมน ใช้ท่านไปหาหมู่คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ว่าเขาจะได้ข่าวประเสริฐหรืออะไรแล้วแต่ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เอเมน
เพราะฉะนั้นท่านสวยที่สุด ท่านหล่อที่สุด ท่านยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตอนนี้ พอใจหรือยัง? ครั้งต่อไปไม่เทศน์ตรงนี้แล้วนะ ต้องมั่นใจเลยนะว่าเราสวยที่สุด คือผมกำลังอยากจะบอกท่านว่าต่อให้ท่านมีลักษณะอะไรก็ตาม สถานะอะไรก็ตาม ที่ตามมาตรฐานโลก อาจจะบอกว่ามันบกพร่อง หรือดูด้อยกว่าคนอื่น หรือดูแปลกกว่าคนอื่น แต่จงเชื่อและภูมิใจเถิดว่าพระเจ้าทรงตั้งใจ สร้างท่านแบบนั้น ให้มีเอกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อให้ท่านทำงานอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร?
ลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะครับ “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันสมบูรณ์ครบถ้วน งดงามที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักที่สุด และทรงภูมิใจที่สุด ฉันมีงานที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ให้ฉันทำ คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ แทนฉันได้เลย ฉันจึงมีค่าที่สุด ในสายพระเนตรพระเจ้า เอเมน”