คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2021
เรื่อง “ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับพี่น้องวันนี้เราพบกันแบบตื่นเต้นนิดหนึ่ง ครบรอบ 28 ปี คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ หรือคริสตจักรที่มีชื่อว่าอภิสุทธิสถาน ตอนที่ตั้งชื่อ ก็ไม่รู้หรอกว่าหมายความลึกซึ้งถึงขนาดนี้ แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับ 28 ปีนี้
ขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันเพ็นเตคอส ที่เขามีการฉลองกัน จริงๆ เพ็นเตคอส เป็นเรื่องราวการฉลองเกี่ยวกับพระคัมภีร์เดิม คือสมัยโมเสส จริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับพวกเราผู้เป็นผู้เชื่อพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่ เพราะว่าเพ็นเตคอสเดิมเป็นเงาของเรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิด และพระองค์มาเกิดแล้ว และทำไปเรียบร้อยแล้ว ฉลองเพ็นเตคอสเก่ากลายเป็นอดีตไป
วันนี้เราก็มาพูดถึงพันธสัญญาใหม่ดีกว่า วันนี้เป็นวันอะไร? ผมจึงให้ชื่อเรื่องว่า “ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน” ก็หมายถึงมาฉลองวันสถาปนาร่างกายของมนุษย์ให้เป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าได้มาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์นั่นเอง เรียกว่าฉลองวันสถาปนาอภิสุทธิสถานทางฝ่ายวิญญาณ
อย่างที่ผมบอกอยู่เสมอ เรียนรู้เรื่องพระเจ้า ต้องเรียนรู้เรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เพราะพระเจ้าเป็นวิญญาณ ความรู้เรื่องวิญญาณเท่านั้นที่เป็นจริง พระเจ้าบอก เพราะฉะนั้น เรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ฉลองการสถาปนาอภิสุทธิสถานฝ่ายวิญญาณ ก็คือฉลองการสถาปนาวิหารของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงร่างกายของมนุษย์ทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง ฉลองที่พระเยซูบอก “สวรรค์ได้มาตั้งอยู่บนโลกแล้ว” ฉลองครบรอบ 1991 ปี พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ 1991 ปี สวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ 1991 ปีมาแล้ว นับตามเวลาของทางฝ่ายวัตถุ บนโลกใบนี้ ซึ่งมีเวลากำกับ แต่ซึ่งเป็นนิรันดร์นั้น ไม่มีเวลากำหนด ไม่มีเวลากำกับ ฉลองการทรงสถิตของพระเจ้า ในผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันนี้ที่ผ่านมา 1991 ปีแล้ว
เป็นวันที่เราเฉลิมฉลองวันที่พระเยซูทำให้มนุษย์เป็นบ้านพักอาศัย เป็นที่อยู่ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จเรียบร้อยมา 1991 ปีแล้ว สำหรับโลกใบนี้ แต่สำหรับโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มันเกิดขึ้นและยังเป็นอยู่วันนี้ วานนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ บัดนาวเลยนะ ไม่มีปีกำหนด มนุษย์สามารถเป็นอภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าได้นั่นเอง ซึ่งพระเยซูจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และทางเดียวที่พระองค์ทรงกระทำ และบอกว่าทำได้อย่างไร? พระเยซูกำลังบอกว่าวิธีทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานที่ประทับของพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือบังเกิดใหม่ พระเยซูบอกว่ามาบังเกิดใหม่ซะ เชื่อในคำของพระองค์ เชื่อในตัวพระองค์ พอเชื่อปุ๊บ ก็ได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในวิญญาณที่มาบังเกิดใหม่ได้ ซึ่งสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่เราก็รู้อยู่แล้ว เราเรียกกันว่าสวรรค์ เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ ก็คือสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกแล้วนั่นเอง อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เป็นอย่างนี้มาแล้ว บนโลก 1991 ปี และยังคงเป็นอยู่อย่างนี้ในโลกฝ่ายวิญญาณ
ท่านก็คงถามว่า … “แล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?”
นี่เรากำลังพูดถึงทางฝ่ายวิญญาณ คนสมัยก่อนเขาไม่เข้าใจ เขาก็งง พระเยซูบอกมาเกิดใหม่ จึงจะเข้าสวรรค์ได้ เขาก็ถามพระเยซู …
“จะให้ไปเกิดในครรภ์มารดาใหม่เหรอ กลับเข้ามาอยู่ในมดลูกใหม่หรืออย่างไร?”
พระเยซูบอก “ไม่ใช่ นี่กำลังพูดถึงทางวิญญาณ เกิดใหม่ทางวิญญาณ”
เพราะวิญญาณ คือตัวจริงๆ ของเรา มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณ และเป็นวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกายเท่านั้น เพราะฉะนั้น วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของเรานั่นเอง เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูที่บอกว่าให้มาพึ่งพระองค์ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าได้ส่งมาช่วยมนุษย์ทุกคน ให้รอดพ้นจากบาปเวรกรรมนั้น ถ้าใครเชื่อตรงนี้ พอเชื่อปุ๊บ จะเกิดขบวนการ การบังเกิดใหม่ ซึ่งเรียกว่าขบวนการการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ เขาคนนั้นจะได้รับการจัดการเข้าสู่ขบวนการบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ทันที ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้น วันนี้ เมื่อ 1991 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันเทศกาลเพ็นเตคอสของชาวยิว
ขบวนการการบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรงนี้ ผมอยากจะอธิบายสั้นๆ ง่ายๆ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับการเข้าสู่การผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ ใครที่เชื่อในข่าวดี เชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามา เข็นเราเข้าสู่ห้องผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ อะไรประมาณนั้น จะได้ง่ายๆ โรม 6:3-6 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ชัดเจน ครบขบวนการการผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ …
โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็ได้ถูกรับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาป ในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”
ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ เมื่อเชื่อแล้ว ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซู เชื่อแล้ว พระวิญญาณ ก็บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง มุดลง ใส่ลงไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำเรา ใส่ลงไป มุดเข้าไป มีส่วนเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผ่าตัดแล้วนะ เอาวิญญาณของเรา เข้าไปในตัวของพระเยซูคริสต์ ผมถึงเปรียบเทียบเหมือนผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ เอาวิญญาณเราออก เข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ เข้าไปในพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ตายไปด้วย
ในข้อที่ 4 จึงบอกว่าฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้พร้อมพระองค์ คือวิญญาณเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกฝังไว้พร้อมพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็เป็นเช่นเดียวกัน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระองค์ โดยการเข้าส่วนร่วมในความตาย เพราะเราตายพร้อมพระองค์ อยู่ในพระองค์ตอนพระองค์ตาย แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิต บังเกิดใหม่ เห็นไหม? เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา
พูดง่ายๆ ว่าพอพระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยสง่าราศี ฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม มากมายมหาศาล เป็นนิรันดร์ เราที่อยู่ในพระเยซู ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู โดยการผ่าตัดนั้น เราก็ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ได้รับส่วนวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูเลย พร้อมกับพระเยซูเลยทันที
ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ผ่าตัดแล้ว ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน คือบังเกิดใหม่เหมือนพระองค์เช่นเดียวกัน นี่แหละคือเราได้บังเกิดใหม่ วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเหมือนพระเยซูเลย เห็นชัดไหมครับ?
อย่างที่ผมบอกโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีกำหนดเวลาว่ากี่ปีมาแล้ว แต่โลกฝ่ายวิญญาณมีแต่เดี๋ยวนี้ วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คือ ณ เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น ณ เดี๋ยวนี้ เราได้เป็นวิญญาณที่บังเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย เต็มด้วยสง่าราศี วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ ก่อนที่จะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตายจากพระเจ้า ตายจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า อยู่ในความพินาศนั้น ได้รับการบังเกิดใหม่ โดยความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่มาเป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิญญาณที่พร้อมที่จะให้พระเจ้ามาสถิตอยู่ พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาบัพติศมาผู้ที่เชื่อในพระเยซู ก็คือมาผ่าตัดผู้ที่เชื่อในพระเยซู เพื่อให้ผู้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชำระทั้งความคิดจิตใจ และทั้งวิญญาณ ให้ได้เกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมที่จะเป็นบ้าน ที่ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาอาศัยอยู่ได้ ซึ่งวิญญาณของมนุษย์ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น เรียกกันว่าอภิสุทธิสถาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่สถิตอยู่ของพระเจ้านั่นเอง
ซึ่งเรื่องนี้ ในสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิด พระเจ้าได้ทำรูปแบบบอกถึงเงาของเรื่องนี้ บอกเรื่องราวเรื่องนี้ก่อนล่วงหน้าแล้ว โดยให้มนุษย์สร้างพลับพลา ที่จำลองพลับพลาในสวรรค์ ก็คือพลับพลาวิหารในสมัยโมเสส ซึ่งแบ่งออกเป็นลานชั้นนอก สถานที่บริสุทธิ์ และสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด อภิสุทธิสถาน ข้างในสุด เป็นที่ประทับของพระเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาอยู่ เรียกว่า Holy of Holies คืออภิสุทธิสถาน สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่
แล้วคนจะเข้าไปในวิหารนี้ ไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดได้ เพราะมนุษย์สกปรก จะเข้าไปได้เพียงคนเดียวที่เรียกว่ามหาปุโรหิต ซึ่งเข้าไปได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เพื่อนำเลือดสัตว์เข้าไปไถ่บาปชั่วคราวให้กับมนุษย์ ให้กับประชากรชาวอิสราเอลของพระเจ้า ใครก็ตามที่เชื่อ
และก่อนเข้าไป ต้องเตรียมตัว นี่ขนาดมหาปุโรหิต ต้องดำเนินชีวิตอย่างละเอียดถี่ยิ๊บ สะอาดหมดจดทางด้านปฏิบัติ กฎระเบียบเยอะแยะมากมาย และก่อนที่จะเข้าไป ก่อนวันชำระบาปชั่วคราว ก่อนวันนั้นจะต้องทำละเอียดมากยิ่งขึ้น ต้องอาบน้ำ ผ้าป่านต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ที่สุด เล็บก็ต้องสะอาด พลาดไม่ได้นะ พลาดนิดเดียว ตาย มหาปุโรหิตที่ต้องเข้าไป ในห้องชั้นใน อภิสุทธิสถาน ต้องเอาเชือกมัดที่ขาไว้ แล้วจะมีกระดิ่งห้อยอยู่ ถ้าเผื่อกระดิ่งเงียบไปเมื่อไร ก็กระตุกดูขา ถ้าไม่มีการโต้ตอบอะไร? เสียงกระดิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่ง ก็ลากออกมา เพราะว่าตายแล้ว เพราะว่ามนุษย์สกปรก ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเข้ากับความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์ เป็นอำนาจของพระเจ้าได้ คิดดูสิว่าสถานที่ที่สถิตของพระเจ้านั้น บริสุทธิ์ สะอาดอย่างไร? บริสุทธิ์แค่ไหน? นี่ขนาดสมัยโมเสสที่เขียนเอาไว้นะ
เพราะฉะนั้น เมื่อบอกว่ามนุษย์ได้สามารถเป็นอภิสุทธิสถานได้แล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่ได้แล้ว คนสมัยนั้น โดยเฉพาะชาวยิวที่รู้เรื่องราวเหล่านี้ ตกใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้อย่างไร? มันเป็นอัศจรรย์มากยิ่งใหญ่เลย สำหรับผู้คนในสมัยนั้น ในฮีบรู 10:14 ได้พูดถึงเรื่องนี้ เทียบกันกับเรื่องของโมเสส แล้วกับเรื่องของพระเยซูคริสต์ มาเพื่อเป็นมหาปุโรหิตทางฝ่ายวิญญาณเข้าไปทำการไถ่บาปนิรันดร์ให้กับเราอย่างไร? …
ฮีบรู 10:14 “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”
“บูชาเพียงครั้งเดียว พระเยซูก็ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ชำระแบบสมบูรณ์ครบถ้วน ตลอดไป”
ตลอดกาล สมัยโมเสสเขาไถ่ปีต่อปี นี่เอาบาปออกไปเลย ให้เขาบริสุทธิ์ สะอาดตลอดไป ความหมายเดิมของการชำระสะอาดบริสุทธิ์ คือการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินใดๆ ก็คือปราศจากบาปใดๆ เลย ขาวมาก พูดง่ายๆ และยังหมายถึงอะไรอีก คำนี้ คำที่บอกว่าชำระให้บริสุทธิ์ หมายถึงการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นของที่แยกส่วนออกมา สำหรับพระเจ้าใช้ เป็นส่วนพระองค์โดยเฉพาะ แยกส่วนออกมาต่างหาก และในนี้บอก ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดไป พูดง่ายๆ มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ มาเป็นของพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์จะสามารถใช้ได้ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด นั่นหมายถึงอย่างนั้น และเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะในนี้บอกว่าโดยการบูชาเพียงครั้งเดียว คือการถวายบูชาของพระเยซูคริสต์ คือการตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดอย่างนี้แหละ
การถวายบูชาตรงนี้ คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงถวายพระกายของพระองค์ เป็นตัวแทน รับโทษบาป และหลั่งพระโลหิตชำระล้างบาป ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญในข้อนี้ ก็คือถวายบูชาเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนทั้งหลายถึงความสมบูรณ์พร้อมตลอดไป ก็คือสะอาดหมดจดตลอดไปเลย
การถวายบูชาของพระเยซูเพียงครั้งเดียว ทำให้เราได้รับการชำระ ได้ถูกแยกส่วน ทำให้เราบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป ปราศจากตำหนิ ปราศจากมลทินใดๆ ตลอดไป คือตลอดกาลเลย
นี่เรากำลังพูดถึงทางวิญญาณ บางคนอาจเคยได้ยินคำว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะคอยชำระล้างเรา คอยขัดเกลาเราไปเรื่อยๆ ให้สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ เคยได้ยินใช่ไหมที่บางคนบอกว่าเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ ชำระล้างเรา ขัดเกลาเราให้สะอาดขึ้น เรื่อยๆ ให้มีชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ ที่บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เราอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ เราจึงเข้าใจว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ไม่มีคำว่าค่อยๆ ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้แล้ว ได้ทำการชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยการตายเพียงครั้งเดียวของพระเยซูคริสต์
“ได้” แปลว่าทำไปแล้ว ได้ชำระล้างมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้วให้บริสุทธิ์สะอาดตลอดไป เพราะฉะนั้น พระเยซูกระทำเพียงครั้งเดียว เราก็ได้รับการชำระให้สะอาดหมดจด และสะอาดอย่างนั้นตลอดไป ถาวรนิรันดร์ เพราะฉะนั้น ไม่มีการค่อยๆ ชำระล้างเราให้สะอาดหมดจด ไม่มีการมาค่อยๆ ทำทีละนิดทีละหน่อย เพราะพระเยซูทำเพียงครั้งเดียว
แต่ที่บอกว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ บริสุทธิ์ขึ้นนั้น หมายถึงการเจริญเติบโตของชีวิต คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว หมายถึงความรู้ในเรื่องพระเจ้า ในเรื่องวิญญาณ ที่จะต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป หลังจากที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว มันคนละเรื่องกัน นั่นหมายถึงค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หมายถึงชีวิตที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับการบังเกิดใหม่
การบังเกิดใหม่ ณ วินาทีนั้น เมื่อบังเกิดใหม่ สะอาดหมดจดครั้งเดียวเป็นพอ วันที่เราได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณของเราได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์สะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว ณ วินาทีนั้นจริงๆ เลย ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สติปัญญาและความรู้ในทางพระเจ้า เราอาจจะยังมีไม่มากพอ เพิ่งอุแว้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เพิ่งบังเกิดทางโลกฝ่ายวิญญาณ ความรู้ สติปัญญาทางฝ่ายวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ายังน้อยอยู่ นี่คือสิ่งที่บอกว่าค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ฝึกฝน ไม่ใช่ค่อยๆ ทำ ให้เราสะอาดบริสุทธิ์ เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ค่อยๆ ฝึกฝนดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความบริสุทธิ์สะอาด ที่เราเป็นอยู่แล้วนั้น นั่นหมายถึงอย่างนี้ เหมือนเด็กเล็กๆ เราพึ่งเกิดใหม่ ยังเล็กๆ อยู่ ค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป
ฉะนั้น สถานที่หนึ่งในร่างกายที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ถามว่าที่นั่นคือที่ไหน? อ่านข้อความนี้จะรู้เลยว่าในร่างกายของเรา เป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่ ศักดิ์สิทธิ์มาก และที่นั่น ก็คือที่ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณของเรานั่นเอง 1 โครินธ์ 3:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตอยู่ในพวกท่าน”
“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ!” คือบอกมาแล้ว ประกาศให้ฟังแล้ว “ท่านรู้แล้วว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”
ร่างกายเป็นวิหาร แล้วตรงไหนที่เรียกว่าบริสุทธิ์ที่สุด ก็ตรงที่ “วิญญาณของท่าน” นั่นเอง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เกิดขึ้นแล้ว สำเร็จแล้วในโลกวิญญาณ เป็นอยู่แล้วตอนนี้จริงๆ ไม่ใช่ขบวนการการเป็นขึ้น แต่มันเป็นขึ้นทันทีเลย เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับความจริงนี้ ข่าวดีในโลกวิญญาณว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาทำทางไปสู่สวรรค์ ทำทางให้ท่านสามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้าได้ และที่อยู่อาศัยของพระเจ้า ก็คือสวรรค์นั่นเอง และพระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ทันที ณ บัดนาว และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป
เน้นอยู่คำเดียว คือคำว่า “สำเร็จ” แล้ว เมื่อสำเร็จแล้ว มันก็เป็นอยู่แล้ว ชีวิตคริสเตียน หรือชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือชีวิตที่ดำเนินอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือชีวิตที่ดำเนินอยู่ในความสำเร็จของพระเจ้า ที่กระทำงานสำเร็จ ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อ ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง เข้าไปตอนที่เขาเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับสวรรค์นั่นเอง ต้อนรับพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวเขา ก็คือต้อนรับสวรรค์ นั่นแหละ เขาเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนั้นเลยทันที และจะอยู่ที่นั่นตลอดไป วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีเวลากำหนด เขาเรียกว่า โลกวิญญาณนิรันดร์ เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์คนนั้นได้บังเกิดใหม่ ใครก็ตามที่บังเกิดใหม่ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ชำระเรา ให้เราได้มีโอกาสบังเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณได้ เกิดขึ้นเมื่อเราบังเกิดใหม่ในปัจจุบัน ในขณะนี้ ทันทีเลย ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันในขณะนี้ เราก็จะได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์
ถามว่าบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร? ที่พระเจ้าสามารถเข้ามาอยู่กับเราได้ เรามาอ่านในพระคัมภีร์ที่บอกเราดีกว่าว่าคำว่า “สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ แยกส่วนมาเป็นของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ได้บอกเราว่าอย่างไรว่าตอนที่เราบังเกิดใหม่ วิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่ มีลักษณะเป็นอย่างไร? ในหนังสือยอห์น 17:22-23
ยอห์น 17:22-23 “22 เกียรติสิริซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน 23 คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”
บริสุทธิ์สะอาดขนาดไหน? พูดง่ายๆ ก็คือบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระองค์ เป็นอยู่นานเท่าไร? ตลอดไป วิญญาณเกิดใหม่บริสุทธิ์สะอาดอย่างนี้แหละ
และต้นของข้อ 22 บอกว่า “เกียรติและสิริ” หมายถึงพระสิริ ความสง่างาม รัศมีอันเจิดจ้า ความงดงาม คุณลักษณะของพระเยซู ซึ่งพระเจ้าประทานให้ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พระเยซูตรัสว่าเกียรติสิริ ที่พระบิดาประทานให้กับข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบ แบ่งให้พวกเขาแล้ว พวกเขาผู้ที่เชื่อในข่าวดี เชื่อในข้าพระองค์ เชื่อในความรอด ในทางพระเยซูคริสต์ โดยที่พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ เมื่อเชื่อตรงนี้ปุ๊บ เขาผู้นั้น ได้บังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ของเขานั้น เกิดโดยวิญญาณ ที่เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ๆ พูดง่ายๆ เหมือนพระเยซูแบ่งวิญญาณของพระองค์ ให้เป็นวิญญาณที่เกิดขึ้นใหม่ของผู้เชื่อนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านลองคิดดูว่าบริสุทธิ์ขนาดไหน? บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยพระสิริเหมือนพระเยซูเลย
ใน 1 ยอห์น 4:17 ได้อธิบายตรงนี้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง … “แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้า ถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”
“แบบนี้สิ” ก็คือการเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนี้แหละ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ตายร่วมกัน ฝังไว้ร่วมกัน เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซู การเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนี้ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นในในวันพิพากษา ที่เรามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ ก็คือวิญญาณของเราที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์ เหมือนกับพระเยซูไม่มีผิด เป็นเหมือนพระองค์เดี๋ยวนี้ ที่นี่ แบบนี้เลยตลอดไป ไม่ใช่รอให้เราทิ้งร่างโลกนี้ก่อน แล้วจากโลกนี้ไป ถึงเป็นเหมือนพระเยซู เป็นเดี๋ยวนี้เลย ณ บัดนาว ทันทีเลย เพียงแต่ว่าเมื่อจากโลกนี้ไป ทิ้งร่างนี้ไป พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับเรา เพื่อวิญญาณของเราจะได้สวมร่างใหม่ มันเป็นอย่างนั้น และเราเป็นอยู่ ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้เลย เหมือนพระเยซู คือ พระเยซูเป็นอย่างไร? ก็เป็นความชอบธรรม เป็นคนดี เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเจ้า เราก็เหมือนพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไป เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในวันพิพากษา วันพิพากษา คือวันสิ้นโลกนี้ วันที่จะตัดสินทุกคนว่าจะอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์นิรันดร์ หรืออยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง เรามั่นใจ เราอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ มั่นใจ เพราะเดี๋ยวนี้ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้
คุณลักษณะของพระเยซู ก็เป็นคุณลักษณะวิญญาณของเราข้างใน คือเต็มไปด้วยสันติสุข ชื่นชมยินดี ความดีงาม ความรัก ความอดทนนาน เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ อยู่เหนือวิญญาณชั่ว วิญญาณต่างๆ ทั้งหมดที่มีฤทธิ์อะไรต่างๆ ที่พระคัมภีร์บอก ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ อยู่ในตัวเรา เป็นคุณลักษณะของเรา และอื่นๆ อีกมากมาย ก็เป็นลักษณะธรรมชาติของเรา ที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูแล้วเดี๋ยวนี้ ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ทีเดียว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่อาศัยในวิญญาณของเรา โดยความเชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด จากบาป ผู้ที่จะมาชำระเราให้สะอาดหมดจดได้ ตามที่พระเจ้าได้ทรงส่งมา เมื่อเชื่อ พระเยซูก็เข้ามาชำระล้างเราให้สะอาดหมดจด พร้อมกับเคลียร์ให้เรียบร้อย สะอาด เช็ด ปัด กวาด ถูทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อที่จะให้พระเจ้า เสด็จเข้ามาสถิตอยู่ ซึ่งเมื่อพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ ทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ 3 พระภาคก็เข้ามาอยู่ด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น
1 ยอห์น 3:2 ได้บันทึกอย่างนี้เช่นเดียวกัน … “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร? แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ร่างกายที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”
นี่แหละเรื่องความจริง สติปัญญาที่เรากำลังเล่าเรียนกันอยู่ ในเรื่องทางพระคัมภีร์ ทางพระเจ้า พระเยซูนั้น คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณจริงๆ เท่านั้น ใน 1 ยอห์น 3:2 ที่ตะกี้เราอ่าน “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ” แต่เรายังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร? คือเรายังไม่เห็นชัดเจนว่าการเป็นลูกพระเจ้ามันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร? มันเป็นลักษณะอย่างไร? ได้แต่ฟังและเชื่อจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา แต่มันเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่ตาเราไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น ไม่สามารถที่จะเข้าใจถ่องแท้ได้ว่าเป็นลูกพระเจ้าเป็นอย่างไร?
แต่ในนี้บอกว่า “แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมา” ก็คือวันสิ้นโลก เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ ก็คือร่างกายเราจะเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนร่างกายของพระองค์ที่เป็นขึ้นจากความตาย เพราะเราจะเห็นพระองค์จริงๆ อย่างพระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น พูดง่ายๆ วันนั้นมาถึงปุ๊บ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราจะเห็นตัวเราเองชัดเจนว่าเราเป็นลูกพระเจ้า หน้าตาเรา ลักษณะเราจริงๆ เป็นอย่างไร? ตอนนี้เรายังไม่เห็นชัด เพียงแต่รู้ตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราเท่านั้นเอง ใน 1 โครินธ์ 13:12 ก็พูดในลักษณะนี้ว่า …
1 โครินธ์ 13:12 “เพราะว่าเวลานี้ เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้ง เหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”
เวลานี้ เวลาที่อยู่บนโลกใบนี้ ตาทางฝ่ายวิญญาณจะมองไม่เห็น ได้แต่ฟังและเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราที่เกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดหมดจด เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี บริสุทธิ์ มันไม่เห็น
ในนี้ยกตัวอย่างว่าในขณะนี้ ตอนที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในโลกใบนี้อยู่ เราจะเห็นความจริงเหล่านี้เพียงแค่สลัวๆ เป็นเงาเท่านั้นเอง เพราะว่าได้ยินได้ฟัง ได้จินตนาการจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเท่านั้น “แต่ในเวลานั้น เราจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า” ก็คือเวลาเราจากโลกนี้ไป ทิ้งร่างไปแล้ว ไม่มีอะไรมาบังตาเราอีกแล้ว เราไม่ต้องมองดูในกระจกอีกแล้ว เพราะมองดูกระจกเห็นแต่ตัวเอง คราวนี้เราสามารถเห็นความเป็นจริงได้แล้ว “เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน” ก็เหมือนมองในกระจกจะเห็นทางฝ่ายวิญญาณไหมว่าตัวเรา วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเยซู สง่าราศีที่เต็มไปหมด มองดูในกระจกเงา ก็เห็นแต่ภาพร่างกายตัวเองที่ทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ กระขึ้นมาทุกวันๆ ผิวหนังเหี่ยวลงไปทุกวันๆ ผมร่วงลงไปทุกวันๆ มันหมายถึงอย่างนั้น แต่เราไม่เห็นวิญญาณของเราที่เจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ เรารู้เพียงบางส่วน ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ในเวลานั้น คือเวลาที่เราออกจากร่างไปเมื่อไร เราจะเห็นแจ้งชัดเจนเลย เราจะรู้ตัวเราเองเป็นอย่างไร? เหมือนที่พระเจ้าเห็นเราทุกวันนี้เป็นอย่างไร? ก็เป็นอย่างนั้นล่ะ เห็นชัดเจนเลย ไม่มีอะไรมาปิดบังแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่อาศัยอยู่ของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้าเลย ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้ ขณะที่อยู่ในร่างกายนี้อยู่ เพราะพระคัมภีร์บอกร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา วิญญาณตัวของเราจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไปนั้น สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู
หลายท่านฟังอย่างนี้ ก็จะคิดว่า … “อ้าว! ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว ยังทำบาปอยู่ แล้วจะบริสุทธิ์ สะอาดอยู่ได้อย่างไร?”
ท่านต้องคิดในใจใช่ไหม? รู้อย่างนี้ ก็อยากตอบว่าก็เพราะว่าท่านต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ กระทำตามการล่อลวงให้ดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่อยู่ข้างใน เพราะว่าท่านยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตหลังการบังเกิดใหม่แล้วนั่นเอง ไม่คุ้นเคย เพิ่งจะเกิด ต้องใช้เวลาเรียนรู้ โดยพี่เลี้ยง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ นำเรา สอนเราด้วยความรัก ให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับตัวจริงๆ ของเรา ในวิญญาณของเราข้างในที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีนั้น พูดง่ายๆ เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่บังเกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้วในโลกวิญญาณ บอก …
“เป็นลูกคนแล้วทำไมยังเล่นอึ เล่นฉี่ ยังคลานอยู่ ไม่เห็นแสดงออกเป็นเหมือนคนตามธรรมชาติที่เกิดเลยล่ะ”
ถ้าถามอย่างนี้ ท่านจะบอกว่าอย่างไร? อ๋อ! เล่นอึ เล่นฉี่ ยังคลานอยู่ เดินก็ยังไม่ได้ ยังไม่แสดงออกถึงการเป็นคน ตามธรรมชาติที่เขาเกิดได้เต็มที่ เพราะต้องรอการเจริญเติบโตใช่ไหม? ค่อยๆ เรียนรู้ ในการเป็นคน ในการดำเนินชีวิตแบบคน ตามธรรมชาติที่เกิดเป็นคน ท่านจะสังเกตเห็น
ฉันใดก็ฉันนั้น เกิดทางวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยข้างใน ก็เช่นเดียวกัน ที่ทำบาปเหล่านั้น พระคัมภีร์ใช้คำว่า … “เราทุกคนล้มลงได้หลายทาง” หนังสือยากอบบอกไว้ พูดง่ายๆ เราทุกคนสามารถทำบาป แล้วก็ดื้อกับพระเจ้าได้หลายทาง ถูกล่อลวงได้หลายทาง ตลอดชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยระบบของความบาป ซึ่งครอบงำโดยมาร ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วยังมีความคิด ความเคยชินในการกระทำเดิมๆ เป็นอัตโนมัติเก่าๆ ในร่างกายนี้อยู่ ในความคิดนี้อยู่ ซึ่งเป็นความคิดเก่าๆ ที่มีอยู่ ดำเนินอยู่ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ ก่อนที่จะรับเชื่อพระเยซู ศัตรูของพระเจ้าเหล่านี้ ทั้งระบบของโลกและความคิดเก่าๆ ของเรา จะคอยยุแยง นำเสนอให้เราตัดสินใจ หลงไปเชื่อมัน ก็ไม่เชื่อแม่ ไม่เชื่อพ่อ ก็กลายเป็นดื้อต่อพระเจ้า เรียกว่าบาป เหมือนกับเราเป็นพ่อแม่ ส่งลูกเราไปโรงเรียน คล้ายๆ อย่างนั้น เราก็สั่งลูกของเราว่า …
“ลูกเอ่ย ระวังนะ ไปโรงเรียนระหว่างทาง อย่าไปให้ความสนิทสนม อย่าไปคบ อย่าไปฟัง พวกมิจฉาชีพที่คอยหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราดื้อและไม่เชื่อฟัง มันไม่ดี มันหวังร้ายต่อเรา เชื่อพ่อเชื่อแม่นะ เดินตรงกลับบ้านเลย”
คล้ายๆ อย่างนี้ มิจฉาชีพก็มาล่อลวงอันโน้นอันนี้ทุกวันๆ บางครั้งเราก็เผลอไปฟังมัน แล้วเราก็ทำตาม บางครั้งเราก็เผลอไปติดยาเสพติด ยกตัวอย่างอย่างนี้ชัด พ่อแม่เตือนระวังๆ อย่าไปฟังเขานะ เขาบอกให้ลอง ก็อย่าไปยุ่งกับเขา ลองสักนิดหนึ่ง ดื้อเห็นไหม? พ่อบอกไม่ให้ลอง ขอลองสักนิดหนึ่ง ลองไปลองมาคราวนี้ติด ชีวิตเสียหาย ยับเยินมากมาย แต่ถึงจะยับเยิบมากมายอย่างไร? เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ใช่หรือไม่? จะติดยาเสพติดขนาดไหน? ดื้อขนาดไหน? ก็ยังเป็นลูกของเราอยู่ ซึ่งการกระทำ ดื้อ ไม่ทำตาม ไม่เชื่อฟัง มันไม่มีผลกระทบอะไรต่อธรรมชาติที่เราหรือเขาได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าเลย ถูกไหม? พูดง่ายๆ คือความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระเยซูได้รับมา โดยการเกิดใหม่ คือบังเกิดขึ้น แล้วเป็นเลย
พูดง่ายๆ เกิดแล้ว เป็นแล้ว ก็เป็นเลย เป็นลูกแล้ว ก็เป็นเลย ไม่ว่าจะดื้อกี่ครั้ง จะล้มลงกี่ครั้งก็ตาม เหมือนพระคัมภีร์ที่บอกว่าจะล้มกี่ครั้ง ดื้อกี่ครั้ง พระเจ้าก็จะเขี่ยเรากระเด็นออกจากการเป็นลูก ไม่ใช่ พระเจ้าก็จะอุ้มชูเราขึ้นมา ด้วยความรัก และไม่มีวันทอดทิ้งเราเลย จำได้ไหม? พระคัมภีร์เดิมก็เขียนไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์ใหม่ก็เขียนไว้อย่างนั้น
“แม้ล้มลง แม้ล้มลง ฉันจะไม่ถูกทอดทิ้ง
เพราะพระคริสต์ทรงค้ำชูฉันด้วยพระหัตถ์
ด้วยพระหัตถ์ ด้วยพระหัตถ์”
แม้ล้มลงกี่ครั้งก็ตาม เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่นั่นแหละ พระเจ้าก็จะอุ้มเราขึ้นมา …
“บอกแล้วไงว่าอย่าดื้อ”
นี่คือความหมายที่แท้จริงของการบังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มาเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สะอาด หมดจด เข้ากันได้ สำหรับที่จะให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในร่างกายนี้ ตรงที่วิญญาณที่บังเกิดใหม่นั้นแล้ว ซึ่งได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ และโดยสามัญสำนึกไม่มีมนุษย์คนไหน หรือเด็กคนไหนที่อยากจะดื้อ ล้มลงไป สักนิดหนึ่ง มีแต่ถูกล่อลวง ถูกหลอก เพราะโดยสามัญสำนึกมันเจ็บใช่ไหมล่ะ ล้มลง
คริสเตียนก็เหมือนกันไม่มีผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ยังอยากจะดื้อ หรืออยากจะทำบาป ไม่มีหรอก เพราะธรรมชาติได้ถูกเปลี่ยนไป เป็นธรรมชาติของความบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากจะล้มลง เพราะล้มลงมันเจ็บ และมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาอีกต่อไปแล้ว ข้างในไม่สบายใจ ถ้าขืนดื้อและไปทำบาปกับพระเจ้า แล้วจะทำบาปไปได้นานไหมเนี้ย ถ้าเป็นอย่างนั้น มันเหมือนถูกล่อลวงให้หลงไปชั่วขณะ เหมือนกับปลาที่ถูกล่อให้ขึ้นมากินมด พอน้ำลดลงไป ลงไม่ทัน อยู่บนบก ดิ้นพรวดๆ จะตายให้ได้ เพราะว่าไม่มีน้ำ
เหมือนปลา ปลาอยากอยู่ในน้ำฉันใด ผู้ที่เชื่อและบังเกิดใหม่ในพระเยซู ที่สะอาดหมดจดแล้ว ตามธรรมชาตินั้น ก็อยากจะอยู่ในความดีงาม อยากจะเชื่อฟังต่อพระเจ้าอย่างนั้นแหละ เพียงแต่บางครั้งมันถูกล่อลวงเท่านั้นเอง ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกข้อนี้ และผมก็มั่นใจตามข้อพระคัมภีร์ คือข้อพระคัมภีร์ที่อยู่ในฟีลิปปี 1:6 ที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า …
ฟีลิปปี 1:6 “ผมมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”
พูดง่ายๆ พระเจ้าผู้เริ่มต้นการงานดี คือทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด หมดจด วิญญาณของท่านเนี๊ยบ วิญญาณของท่านเหมือนพระเยซูเลย ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าจะสานต่อในวิถีชีวิตของท่านจนเสร็จสมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ในวันของพระเยซูคริสต์
เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้ ก็คือเรามาฉลอง รำลึกถึงวันสถาปนาอภิสุทธิสถาน ถามว่าใช้คำว่ารำลึกถึง ก็แสดงว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องทำแล้ว เราถึงมารำลึก เราไม่ได้ทำให้เกิดขึ้น พระเยซูทำให้เกิดขึ้น เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว รำลึกถึงสวรรค์ที่ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขณะนี้ตั้งอยู่หรือเปล่า? ตั้งอยู่ และตั้งอยู่ขณะนี้ ถึงเมื่อไร? วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ชั่วนิรันดร์นั่นเอง
และข้อสำคัญ ก็คือเราผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว เราก็ได้อยู่ในสวรรค์นี้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เลย เราจึงมาฉลองในความเสร็จสิ้น เรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นแล้ว ฉลองในความสำเร็จ ที่ถูกกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 1991 ปีในทางโลก แต่ในทางวิญญาณได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ Now
“พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เดี๋ยวนี้ๆ”
เราก็อยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ แต่ในวิญญาณเราอยู่ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้วเดี๋ยวนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในโลกวิญญาณเราจึงจำเป็นต้องมองให้เห็นตามที่พระเจ้าได้อธิบาย ได้สอนเราทางโลกวิญญาณ เพราะตาเรามองไม่เห็นในโลกมนุษย์ ความคิดก็ไม่สามารถเข้าใจได้ สติปัญญามนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ เราต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์จึงชอบใช้คำนี้ว่า …
“จงมองให้เห็นเถิด”
ไม่เห็นใช่ไหม? จงมองให้เห็น ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า มองในกระจกเห็นไหม? ไม่เห็น มองในกระจก เห็นตัวเอง เห็นร่างกายตัวเองทรุดโทรมไป ไม่เห็นวิญญาณ แต่พระคัมภีร์บอกมองในกระจก จงมองให้เห็น ทะลุกระจกออกไปให้ได้ ด้วยความเชื่อ ไปดูในโลกฝ่ายวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นอย่างนี้ พระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว รำลึกถึง คือมาย้ำ มารับรู้ เพื่อจะได้ไม่ลืมความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้ว ด้วยความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความเสียสละ ด้วยความรักอันมากมายมหาศาล เพื่อต้องการให้มนุษย์ทุกๆ คนได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไปด้วย เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญที่เป็นอภิมหาอมตะ ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคนด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจ
ของขวัญนี้ คือมนุษย์ทุกคนสามารถเกิดใหม่ได้ และมาเป็นอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ ที่สถิตของพระเจ้าได้ ก็คือสามารถเข้ามาอยู่ในสวรรค์ และพระเจ้าสามารถเข้าไปอยู่ในเขาได้ทันที ขณะนี้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดนิรันดร์ เพียงแต่ว่าเมื่อวันหนึ่งมาถึง วันที่ออกจากร่าง วิญญาณของเราที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น ก็จะได้รับร่างกายใหม่ สวมแทนร่างกายเดิมนี้ที่ตายไปแล้ว ร่างกายใหม่ ก็จะเหมือนร่างกายที่พระเยซูคริสต์ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราก็จะเข้าไปอยู่ สวมร่างกายใหม่นี้ และอยู่ในสวรรค์ที่เป็นวัตถุ โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ ให้กับเราได้อยู่อาศัยต่อไปนิรันดร์
เพราะฉะนั้น ให้เรารำลึกถึงวันนี้และขอบคุณพระเจ้าในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรามองทะลุไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ก็เหมือนกับที่บอกมองทะลุกระจก ตื่นขึ้นมา หรือเมื่อไรก็ตามที่ดูในกระจกเงา เห็นตัวเองที่ทรุดโทรมลงไปทุกวัน ต่อไปนี้มองดูในกระจกเงาแล้วบวกด้วยความเชื่อ มองทะลุกระจกเงานั้นไป เห็นร่างกายฝ่ายวิญญาณของเรา เห็นวิญญาณของเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นอยู่แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลย แล้วเห็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคสถิตอยู่ด้วย ล้อมรอบวิญญาณของเราอยู่ในร่างกายนี้
นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น มันเป็นจริงอยู่อย่างนี้ และมันจะเป็นจริงอยู่อย่างนี้วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เพราะมันเป็นของจริง เพียงแต่ตาเรามองไม่เห็นตอนนี้ เหมือนกับถามว่าตอนนี้ผมเห็นกล้องไหม? ผมไม่เห็นกล้อง กล้องยังมีอยู่ไหม? กล้องยังมีอยู่ แต่ผมไม่เห็น เพราะมือผมไปบัง พอผมเอามือออก กล้องมันก็อยู่ที่เดิม มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นจริงๆ เช่นเดียวกันทางโลกฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเป็นเหมือนพระเยซู แต่เนื้อหนังร่างกายนี้ ที่เราอยู่อาศัยบนโลกใบนี้บังเราอยู่ ไม่ให้เราเห็นชัดเจน แต่วันหนึ่งเมื่อร่างกายนี้สูญสิ้นไป เราก็เห็นตัวตนแท้จริงของเรา มีสง่าราศีครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูเลยทันที ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
การเสียสละของพระเยซูคริสต์ โดยการยอมทนทุกข์ทรมาน ยอมถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกเฆี่ยนตี ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นการไถ่เราทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า …
“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” (กาลาเทีย 3:13)
พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอมเสียสละมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมถ่อมใจ ทนทุกข์ทรมาน ยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อพวกเราทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป เราอาจเคยได้ยินว่ามีบางคนที่อาจยอมเสียสละชีวิตตัวเอง เพื่อคนที่รัก หรือเพื่อคนดี แต่ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ มีเพียงพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยอมตายเพื่อคนบาป เพื่อคนผิด …
“เมื่อเรายังไร้กำลัง พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาป ในเวลาอันเหมาะ น้อยนักที่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม แม้ว่าอาจจะมีบางคน กล้าที่จะตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:6-8)
พระคัมภีร์บอกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นการมารับเอาคำสาปแช่งจากเรา ไปไว้ที่พระองค์ และผลของการหลุดพ้นจากคำแช่งสาป ก็คือไม่มีการลงโทษอีกแล้ว เพราะพระเยซูมารับโทษแทนไปแล้ว มาปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากโทษของความบาปแล้ว
“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย” (โรม 8:1-2)
พระเจ้าอวยพรครับ