คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2020
เรื่อง “จงขอบคุณพระเจ้าให้เป็นนิสัย”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ เป็นที่ทราบกันดีว่าการมองโลกในแง่ดี มันเป็นผลดีต่อชีวิตมาก เขาเรียกว่าเป็นพลังบวกอย่างมาก ใครๆ ก็รู้ ทั่วโลกเขารู้หมดว่าการมองอะไรต่างๆ ทางแง่บวก มองในแง่ดี มีประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ร่างกาย จิตใจ บางรายหนักถึงขนาดมองโลกในแง่ดี ทำให้เกิดความร่ำรวยได้ด้วย เขาเรียกว่าเป็นพลังจิตอันหนึ่ง ก็ว่ากันไปโลกใบนี้ ที่จะพยายามคิดตามสิ่งที่เขาว่าดีที่สุด ในการดำเนินชีวิตอยู่ เขาจะมองโลกในแง่ดี จะพยายามพูดในสิ่งที่ดีๆ ที่เป็นบวก แต่อย่างที่บอก มันไม่ใช่ง่ายเลยนะ ที่จะมองโลกในแง่ดีได้อย่างไร? โดยที่ไม่มีพื้นฐานว่าทำไมถึงสามารถมองโลกในแง่บวกอย่างนั้นได้ ไม่มีพื้นฐาน เหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เขาคนนั้น มีนิสัย สามารถมองโลกในแง่ดีตลอดเวลาได้ ต้องบอกว่าตลอดเวลา บางคนทำได้นะ เมื่อสถานการณ์ที่เผชิญยังดีอยู่ ยังไม่เลวร้ายมากนักเท่าที่คิด หรือยังพอทนได้ ยังสามารถมองโลกในแง่ดีได้ แต่บางรายเจอของหนักๆ เข้าไป มันมองไม่ออก หาเหตุผลไม่เจอ เหมือนอย่างที่บางคนบอก …
“มองโลกในแง่ดีเถอะ อภัยให้เขา เราไปโกรธเขาทำไม? โกรธเขา ทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย เสียเวลา เสียสติปัญญา เราเสียหายไป อภัยให้เขาสิ”
บางครั้ง ก็อภัยให้ได้นะ เพราะเหตุที่ทำให้เราโกรธไม่มาก ไม่เยอะเท่าไร? แต่ถ้าเผื่อไปเจอเอาเหตุหนักๆ เข้า พอบอกอภัยให้เขา อยากมองโลกใบแง่ดีเหมือนกัน อยากจะมีสุขภาพดีเหมือนกัน อยากมีสติปัญญาให้สงบเหมือนกัน แต่เหตุผลมันไม่พอทำไม่ได้ ที่จะอภัยให้ ถ้าเขาทำกับฉันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เรารู้ว่าการมองโลกในแง่ดี เป็นสิ่งดี เราจึงมาหาพระเจ้าว่าอะไรคือพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถมองโลกในแง่ดีได้ โดยที่มีพื้นฐานเข้มแข็ง
หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงเป็นเรื่องต่อเนื่องจากที่เราได้เรียนกันใน 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในเรื่องเกี่ยวกับการมองโลกในแง่ดี ซึ่งเราเรียกกันว่า “นับพระพร” พอนับพระพร ทุกคนก็รู้แล้วว่ามองโลกในแง่ดีในลักษณะตามความคิด ในทางพระเจ้า เพราะเราใส่คำว่า “พระพร” ไม่ใช่นับพรเฉยๆ แต่นับพระพร เรารู้ว่าอ๋อ นี่เป็นทางที่พระเจ้าบอกเราว่าทำไมเราสามารถมองโลกในแง่ดี เราสามารถมองสิ่งต่างๆ เป็นบวกได้ โดยพื้นฐานเหล่านี้ โดยพระเจ้าจะบอกเรา เราจึงมาเรียนรู้
ตอนนี้เราเรียนรู้แล้วว่าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจกันได้แล้ว จากที่เรียนมาทั้งหมด การที่นับพระพร ตามที่พระเจ้าให้เรานับนั้น การนับพระพรที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ได้พบกันสันติสุขที่แท้จริง ก็คือความดีงามที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา การนับพระพร ที่พระเจ้าสอนเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็คือการนับพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เราแล้วในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว หรือคำหนึ่งที่เราจำกันชัดเจน สำเร็จแล้ว คุ้นๆ นะ ท่านแรกที่พูด ก็คือพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์บอกว่าสำเร็จแล้ว มันหมายถึงตรงนี้แหละ
และในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้อย่างละเอียดเลยว่าพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น มีอะไรบ้าง สรุปจากหนังสือพระคัมภีร์เอเฟซัส ที่เราได้เรียนสัปดาห์ที่แล้ว ผมสรุปให้ฟังคร่าวๆ ตอนนี้นิดหนึ่ง
– ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก
– เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
– ชำระเราให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก
– ทรงรับเราเป็นบุตรของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่การกระทำของเรา
– ให้เราได้รู้ความรักของพระองค์ และความล้ำลึกแห่งฤทธิ์เดชอำนาจที่พระองค์ทรงทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และฤทธิ์เดชอำนาจนั้น กระทำการงานอยู่ในเราผู้เชื่อศรัทธาทั้งหลาย ก็คือข่าวประเสริฐของพระเยซู ให้เราได้รับรู้ข่าวประเสริฐ ให้เราสามารถเข้าใจข่าวประเสริฐ
นี่คือคร่าวๆ เมื่อครั้งที่แล้ว
พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำเรา ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ และจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการ ที่พระเจ้าประทานให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ให้เป็นปกติวิสัย ให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ และถ้าเราจดจ่อได้ตามพระวิญญาณนำ เราก็จะสามารถร้องเพลงนี้ได้ว่า …
นับพระพรของฉันดูทีละอัน นับพระพร ซึ่งพระเยซูประทาน
นับพระพรนั้น นับดูทีละอัน นับพระพรของฉัน ซึ่งพระเยซูได้ทำให้แล้ว
ที่ไม้กางเขน สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว เอเมน
เห็นไหม? พอเราร้องได้แล้ว เราจำได้แล้ว มันก็จะมีความสดชื่น มีความปิติยินดีได้ ในสิ่งที่เราได้รับแล้ว ก็จะร้องเพลงนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ก็จะใส่อะไรเยอะแยะมากมาย ตามอารมณ์ที่อยากจะใส่ (ส่วนตัวนะ) และเป้าหมายของเรา ก็คือเมื่อเรานับพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการได้แล้ว เราก็จะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ท่ามกลางทุกสถานการณ์ และเมื่อนั้น สันติสุขที่แท้จริงที่เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา จะปกคลุม ปกครองจิตใจของเราด้วยสันติสุขนี้ ที่พระเจ้าบอกว่ามันจะเกิดขึ้น ถ้าเรานับพระพรของพระเจ้าในโลกวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานให้แล้ว อย่างชัดเจน อย่างเป็นปกตินิสัย
วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อในเรื่องของการขอบคุณพระเจ้า หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงใช้ชื่อว่า “จงขอบคุณพระเจ้าให้เป็นนิสัย” ชื่อเรื่องนี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เตือนเรา ได้แนะนำเราว่าถ้าเราอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเต็มไปด้วยชัยชนะ ให้เราทำอย่างนี้ จงขอบพระคุณพระเจ้าให้เป็นนิสัย ถ้าเรามองดูสถานการณ์ เหตุการณ์บนโลก แบบโลกวัตถุ แบบผู้คนทั่วไปบนโลกนี้ ซึ่งโลกวัตถุนี้ เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ความวิปริต ความทุกข์ยากลำบาก เพราะมันล้มลงในความบาป ไปทั้งโลกแล้ว ถ้าเรามองตามวัตถุอย่างนี้ หลายครั้ง เราจะไม่สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ แต่ถ้าเรามองไปที่โลกวิญญาณ จดจ่อไปที่โลกวิญญาณ คืออาณาจักรสวรรค์ที่ปกคลุมอยู่ ซ้อนอยู่กับโลกวัตถุนี้ และรับรู้ว่าเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราก็จะเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตจริงๆ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้าในโลกวิญญาณ เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว …
“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”
นี่เป็นความรู้ เป็นสติปัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ
“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”
เพราะฉะนั้น ถ้ามองโลกวิญญาณอย่างนี้ จึงมีเรื่องดีๆ มากมาย ให้เราขอบคุณพระเจ้าได้ไม่มีสิ้นสุดเลย จริงไหม? แต่ถ้าเรามองที่โลกวัตถุ สถานการณ์อย่างนี้ไม่ไหวมั้ง ขอบคุณไม่ไหว? แต่ถ้าเรามองโลกวิญญาณ ที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณไม่มีที่สิ้นสุด และที่สำคัญ คือสิ่งเหล่านี้ มันได้เกิดขึ้นแล้ว ในโลกวิญญาณ และมันเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เอเมน
พระคัมภีร์บอกสิ่งที่ตามองไม่เห็น มันอยู่นิรันดร์ แต่สิ่งที่ตามองเห็น คือวัตถุบนโลกใบนี้ มันจะอยู่แค่ชั่วคราว สิ่งที่ทุกวันเรามองเห็นบนโลกวัตถุนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว และมันตั้งอยู่ และมันจะดับไป แต่สิ่งที่ตามองไม่เห็น คือโลกฝ่ายวิญญาณ มันได้เกิดขึ้นแล้ว และมันได้ตั้งอยู่ และมันจะตั้งอยู่ตลอดไปถาวรนิรันดร์ เอเมน เพราะฉะนั้น จะดูอันไหน? พระคัมภีร์จึงแนะนำให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น อย่ามองไปในสิ่งที่มองเห็น
คนที่เป็นโรคตา มันจะเกิดการพัฒนาโรคค่อยๆ ทีละนิด ก็คือค่อยๆ ด้อยการมองเห็นลง ตาเริ่มมัว เริ่มมองไม่เห็นชัด มองเห็นได้น้อยลงเรื่อยๆ ความสามารถในการมองเห็นก็น้อยลง จนในที่สุด ตาบอด ไม่เห็นอะไรเลย ความบาปที่เริ่มต้น เกิดขึ้นครั้งแรกในเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ก็ลักษณะเดียวกัน โรคบาปของบรรพบุรุษของเรา ทำให้ตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เริ่มบอด ไม่เห็นพระเจ้าชัดๆ เหมือนเดิม เห็นไหม? เห็น แต่มันไม่ชัดแล้ว จนในที่สุด พัฒนาโรคบาปนี้ ไปจนกระทั่งถึงตาบอดฝ่ายวิญญาณ พอตาบอดฝ่ายวิญญาณ แล้วเกิดอะไรขึ้น ถ้าเทียบกับฝ่ายร่างกาย ก็ต้องใช้มือคลำ ต้องใช้สัมผัสทั้ง 5 ของร่างกายนี้ จึงจะสามารถเชื่อได้ว่ามีพระเจ้า นึกให้ดีๆ นึกตาม เพราะมันมองไม่เห็นแล้ว แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีพระเจ้า ก็คลำเอา โดยใช้สัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย พยายามคิด ถ้าคลำไม่เจอ ก็ใช้ความรู้สึกว่าไม่มี แล้วท่านคิดดู พอนานๆ เข้า พระเจ้าหายไปเลย ไม่มีเลย เพราะตาบอดทางฝ่ายวิญญาณเสียแล้ว
ถามว่าการใช้สัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย เพื่อหาพระเจ้า มันเป็นลักษณะอย่างไร? ก็คือที่มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ กำลังแสวงหาพระเจ้า โดยหาหมายสำคัญ การอัศจรรย์ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยกาย เพื่อที่จะยืนยันว่ามีพระเจ้าจริงๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกหลอกลวงได้ เพราะมารมันสามารถปลอมตัวเป็นพระเจ้า มันสามารถทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่มนุษย์นึกว่าเป็นพระเจ้า มันสามารถทำได้ มันจึงสามารถหลอกลวงมนุษย์ได้ว่านี่แหละ พระเจ้าแน่แล้ว เจอแล้ว แต่ในโลกวิญญาณอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ เห็นไหมครับ?
พระเยซูจึงตรัสว่าพระพรเป็นของคนที่มองไม่เห็น แต่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อ เพราะว่ามองเห็น จับต้อง พระเยซูบอกมาสิ มาจับมือฉันสิ ไปจับ แล้วมองเห็น พระเยซูบอกว่าคนที่มองไม่เห็น และเชื่อในถ้อยคำของเราว่าเราเป็นใคร? ได้พรมากกว่าอีก เพราะโอกาสถูกหลอกไม่มีแล้ว เพราะเขาใช้ความเชื่อ เขาไม่ได้ใช้ตามองเห็น ไม่ว่าจะมีอัศจรรย์หรือไม่มี ไม่ว่าจะมีหมายสำคัญ หรือไม่มี ฉันเชื่อถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ มาช่วยฉันให้รอด นี่ไง พระเยซูหมายถึงอย่างนั้น เชื่อในถ้อยคำของพระองค์
และถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกอยู่เสมอ เพื่อว่าเราจะได้ใช้ความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร? และเราเป็นใคร? ให้เราเชื่อตรงนี้ ไม่ใช่มีหมายสำคัญมาบอกว่าเราเป็นลูก แล้วเราก็หาตัวเองใหญ่เลย ให้ฉันเป็นลูก แล้วทำอย่างไรถึงจะจับตัวให้ดูในกระจกบ้าง เพื่อให้ตามองเห็น แล้วก็ยืนยันว่าฉันเป็นลูก ไม่ต้อง ยืนยันว่าฉันเป็นลูกพระเจ้า โดยถ้อยคำของพระองค์ที่บอกว่าเราเป็นลูก เพราะอะไร? เอเมน
ถ้อยคำพระเจ้าที่พระเจ้าบอกเราอยู่เสมอว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่เราควรจะแสวงหา รับรู้ ยอมรับ ไม่ใช่คอยแสวงหาหมายสำคัญ และอัศจรรย์ใดๆ เลย ถูกไหม? แสวงหาถ้อยคำของพระองค์ที่บอกว่าพระองค์เป็นใคร? เราเป็นใคร? ได้ทำอะไรให้เราเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้สำคัญกว่า ต้องแสวงหาตรงนี้ ไม่ใช่แสวงหาหมายสำคัญ อัศจรรย์ ถ้าไม่มีอัศจรรย์ แสดงว่าพระเยซูไม่มีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีอัศจรรย์ ไม่มีหมายสำคัญ แสดงว่าที่พระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่ในพระองค์แล้ว ฉันปลอดภัยแล้ว ไม่จริง และวิธีการที่จะยอมรับ รับรู้ในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราเป็นใคร? ก็คือจดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน ที่พระวิญญาณสอนเรา นี่คือวิธีการ สรุปรวม 3 อัน ก็คือตาดู หูฟัง ปากพูดเรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าว่าฉันเป็นใคร? พระองค์เป็นใคร? พระองค์ทำอะไรให้ฉันสำเร็จแล้วบ้าง นับพระพรเหล่านี้ด้วยการตาดู หูฟัง ปากพูด ใส่เข้ามาในชีวิตของฉัน ใส่เข้ามาในความคิดของฉัน ใส่เข้ามาในจิตวิญญาณของฉัน
ทำตามตัวอย่างอาจารย์เปาโลที่บอกไว้ว่ายอมรับ รับรู้ ด้วยการขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ให้เป็นปกติวิสัย 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 ที่เราได้เรียนรู้กันสัปดาห์ที่แล้ว
1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่แหละ คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์”
จงมีความสุข และความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอเป็นปกติวิสัย เห็นไหมแง่บวกเลย เป็นปกติวิสัย เป็นธรรมชาติในชีวิตของเรา ที่เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์
จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าเป็นปกติวิสัย จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เป็นปกติวิสัย ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้าให้เป็นนิสัย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะเมื่อเรารับรู้แล้ว และยอมรับแล้ว เชื่อว่าเราได้รับแล้ว เป็นจริงแล้ว ทุกอย่างนี้ ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเราแล้ว เราจึงมีพื้นฐานตรงนี้ ที่จะสามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีพลังบวก มีพลังมองโลกในแง่ดีได้ตลอดเวลา ความจริงตรงนี้ เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่เราควรจะมี และได้รับพระพร
จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ และพระเจ้าประทานอะไรให้เราแล้วบ้างในพระคริสต์ รับรู้ ยอมรับ เชื่อฟัง วางใจและขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกเวลา เป็นปกติวิสัย เป็นธรรมชาติ ทำให้เราอยู่ในความจริง ในโลกวิญญาณตลอดเวลา และความจริงนี้ จะทำให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง ไม่มีมาร และใครที่ไหนมาหลอกลวงเราได้อีกแล้ว เอเมน
เรามาดูตัวอย่างการนับพระพรต่างๆ นานัปการทางฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้รับมาแล้วนั้น ทำให้เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ในเรื่องอะไรบ้าง? ผมพยายามที่จะรวบรวมมาจำนวนหนึ่ง เพื่อท่านสามารถเอาไป เริ่มต้นปฏิบัติได้เลย แล้วก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะทราบไปเรื่อยๆ ว่าจะมีมากกว่านี้ ท่านก็เติมลงไปเองได้ วันนี้มาสอนเรื่องปฏิบัติว่านับพระพรอย่างไร? ขอบคุณพระเจ้าอย่างไร? ที่บอกขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ขอบคุณที่มองไปในโลกวิญญาณ ขอบคุณอย่างไร? เริ่มอย่างไร? ง่ายนิดเดียว เริ่มจากการลืมตาตอนเช้า ตื่นมาบนเตียง ความคิดมาแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เป็นปกติวิสัย แล้วก็ไปขอบคุณอีกครั้งหนึ่งตอนก่อนหลับตา ก็คือก่อนนอน นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนี้ ทำได้ไหม? ได้ ฝึกฝนได้ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราอธิษฐานอย่าหยุดหย่อน มันหมายถึงตรงนี้แหละ
ตอนขับรถอธิษฐานได้ไหม? ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปพูด นึกถึงก็ได้ แต่ถ้าฝึกฝน เอาง่ายๆ ก่อน คือตื่นนอนปุ๊บ คิด ไม่ได้คิดอย่างเดียว พูดด้วย ก่อนนอนก็พูดจนหลับไป พูดได้มากน้อยเพียงไร ก็พูดไป ผมเอามาให้ท่านทีละข้อ อันดับแรก พอลืมตาปุ๊บ …
“ขอบคุณพระเจ้าในข่าวดี ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน และเมื่อลูกได้ยอมรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจแล้ว ลูกจึงได้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ และได้รับชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์”
ขอบคุณพระเจ้า ลืมตาปุ๊บ ตอนเช้า คิดตรงนี้เลย เพราะตรงนี้สำคัญมาก ลืมตา ขอบคุณพระเจ้าในข่าวดีก่อน ให้ข่าวดีมันอยู่ในตัวของเราตลอดเวลา ไม่ต้องเข้าไปเรียนจบปริญญาเอก ทางด้านศาสนศาสตร์ ข่าวดีมีอยู่แค่นี้เอง
สมัยก่อนไม่มีพระคัมภีร์ คนอ่านหนังสือไม่ได้ 70, 80% พระคัมภีร์ก็ไม่ได้พิมพ์ไว้ แล้วเขาเชื่ออะไรกัน เชื่อในข่าวดี แค่นี้ ตลอดเวลาเลย เขารู้ในข่าวดี พอพูดถึงพระเยซูปุ๊บ เขานึกถึงข่าวดีนี้เลย เขาถึงเรียกข่าวดี ข่าวดีมีอยู่แค่นี้ ต่อไป …
“ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงย้ายลูกออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างในพระคริสต์ ได้ออกจากความบาป ความสกปรกในอาดัม มาอยู่ในความชอบธรรมบริสุทธิ์ ในพระคริสต์ ได้ออกจากการเป็นทาสมารที่ชั่วร้าย มาเป็นลูกพระเจ้าที่แสนดี ได้ออกจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว”
ใส่คำนี้ลงไปด้วย “เรียบร้อยแล้ว” เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าทุกอย่างมันจบแล้ว ไม่ใช่มารอรับ ตอนนี้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ขอบคุณที่ตอนนี้เราได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืดในโลกวิญญาณ มาสู่อาณาจักรโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์แล้ว แต่ก่อนนี้เราอยู่ในอาดัม มืดสนิท เต็มไปด้วยบาป สกปรก ตอนนี้ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจด เหมือนพระเยซูเลย แต่ก่อนเหมือนอาดัมไม่มีผิด อย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้ว สำเร็จแล้ว พระเจ้าทำให้แล้ว เมื่อเรารับเชื่อ
เพราะฉะนั้นทำอะไร? ขอบคุณสิ ให้มันจำให้ได้เลย ทั้งวันเดินไปที่ไหน ก็จะรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่โลกแห่งความสว่าง อยู่ในโลกวิญญาณ อยู่อีกมิติหนึ่ง เดินไปไหน ฉันมี 2 มิติ สามารถสัมผัส 2 มิติได้ มิติหนึ่งฉันอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ มิติทางวัตถุ ฉันกำลังเดินอยู่ในประเทศไทย เดินช้อปปิ้งอยู่ กำลังเดินอยู่ที่ตลาดนัด ก็ว่ากันไป ข้อต่อไป …
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้บัพติสมาลูก เข้าไปในการตายของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระองค์ และได้เป็นขึ้นจากตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ให้ลูกนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถาน”
นี่มันเกิดขึ้นแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าบัพติศมาหมายถึงอะไร? ก็ไปฟังคำบรรยายเก่าๆ จะรู้ ผมอธิบายไว้แล้วว่าบัพติศมา คือการจุ่มลง การเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้านำวิญญาณของเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตอนที่เราเปิดปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เชื่อในข่าวดี มันเกิดขึ้นแล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ทรงให้ลูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ และทรงประทานความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ให้กับลูกแล้ว”
วิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ เป็นวิญญาณที่เกิดใหม่ มีใจใหม่ที่ทรงประทานให้ เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย ขอบคุณพระเจ้า นี่ตัวแท้ๆ ของฉัน
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ทรงชำระล้างร่างกายลูกนี้ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อเป็นพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์”
หลับตาหรือลืมตาก็ได้ เห็นร่างกายของเราสะอาดบริสุทธิ์ สมกับเป็นวิหารที่พระเจ้าสถิตอยู่ ร่างกายของเราพระเจ้าชำระจนบริสุทธิ์สะอาด ตลอดทั้งวันนี้ จึงไม่อยากทำอะไรให้มันสกปรกเลย เพราะว่ามันสะอาดบริสุทธิ์แล้ว นี่แหละ มันคือเหตุ นี่แหละ มันคือหลักฐานที่ไม่อยากให้เราทำอะไรสกปรก เพราะว่าตรงนี้มันสะอาด ไม่อยากจะทำแล้ว นี่แหละ คือการเรียนรู้ว่าเมื่อเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท
มีคนยกตัวอย่างว่าความสะอาดตรงนี้ เมื่อเรารู้มากเท่าไร? ทำให้เราไม่อยากทำให้ตัวเองสกปรกอีกแล้ว สมมติว่าท่านเดินทางไปที่บ้านผม แล้วก็ไปตรวจดูห้องต่างๆ ท่านไปดูห้องนอนของผม ห้องนอนทำความสะอาดเรียบร้อย สะอาดหมดจดเลย ท่านก็เข้าไปมองดู เสร็จแล้วผมก็พาท่านไปดูห้องรับแขก ก็สะอาด ไม่มีเปื้อนแม้แต่นิดเดียว ท่านก็มองดู เสร็จแล้วก็ไปเปิดดูห้องเก็บของ ผมก็ทิ้งเละเลย มีขยะเยอะแยะอยู่ในนั้น สมมติว่าท่านมีกระดาษทิชชู่อยู่อันหนึ่งในมือ ท่านจำเป็นต้องทิ้ง ถามว่าท่านจะทิ้งในห้องนอนผม ห้องรับแขกของผม หรือว่าจะทิ้งในห้องเก็บของ ทุกคนก็ต้องตอบเหมือนกันหมดแหละว่าทิ้งในห้องเก็บของ เพราะมันสกปรกแล้ว เพิ่มไปอีกชิ้นหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร?
นี่แหละ เมื่อเรารู้ว่าร่างกายเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เราจะไปโกรธ ไปด่าคนนี้ ไปนินทาชาวบ้านเขา มันสะอาดแล้ว ไม่อยากทำ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าร่างกายนี้มันสกปรกอยู่แล้ว เมื่อวานก็นินทาชาวบ้านเขา เมื่อวานก็โกงเขา ไปโลภเขา ไม่เห็นมีอะไรดีเลย วันนี้จะโกหกอีกสักครั้งหนึ่ง ก็อีกชิ้นหนึ่งเติมลงไป ก็ไม่เห็นมีอะไร? มันถึงต่างกันอย่างนี้ รอดโดยพระคุณ ดีงามด้วยพระคุณพระเจ้าที่สอนจากข้างใน มันเป็นอย่างนี้ มันมาจากฐานที่อยู่ข้างใน ไม่ได้มาจากข้างนอกเข้าไป ไม่ใช่ถูกศาสนาบังคับว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ มันทำไม่ได้หรอก เพราะมันไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่เห็นความจริงของตนเองว่ามันสะอาดอย่างไร? มันยังเห็นตัวเองเป็นห้องเก็บของ ขยะเต็มหมดเลย เห็นตัวเองเป็นคนบาป ขยะเยอะแยะ ใส่เข้าไปอีกชิ้นหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร? แต่ถ้าเราเห็นตัวเองสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ แล้วพระเจ้าทำให้เราจริงๆ อย่างนั้นด้วย เราก็เลย เห็นแก่พระคุณพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปยุ่งกับมันเลย ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นดีกว่า
“ขอบคุณพระเจ้า ลูกเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ตัวเก่าทั้งหมดได้ตายไปแล้ว และทุกสิ่งในชีวิตขณะนี้ เป็นใหม่ทั้งสิ้น”
2 โครินธ์ 5:17
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ทรงเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ในร่างกายของลูกนี้ ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของลูก”
ตอนนี้ยิ่งกว่าผู้พิชิต มองทะลุในกระจกเข้าไป พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของฉัน ไปไหนไปด้วยทั้งวัน ท่านลองคิดดูแล้วกันว่าพลังบวกขนาดไหน? นี่เกิดขึ้นแล้วทั้งนั้นนะ
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ทรงรับลูกเป็นลูกของพระองค์ ที่ทรงรักมาก เท่าเท่ากันกับที่พระองค์ทรงรัก พระบุตร คือพระเยซูคริสต์”
หัวใจพองโตมาก หลายคนถามว่าพระเจ้ารักฉันเท่าไร? เขาตอบว่าจงมองไปที่กางเขน พระเยซูอ้าแขนอย่างนี้ รักมากเท่านี้ แต่จริงๆ แล้ว หมายถึงให้มองไปที่กางเขน พระเจ้ารักเรามากเท่าๆ กับพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้นเลย
เราจะเห็นคุณค่าเราขนาดไหน? เราขอบคุณพระเจ้าทุกวัน พระเจ้ารักเรามากเท่ากับพระเยซู เรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามากขนาดนี้เชียวหรือ?
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงอภัยเสมอ เมื่อลูกผิดพลาด หลงทาง ยอมให้อิทธิพลของความบาป ที่อยู่ในความคิดนำให้ทำบาป นำให้ประพฤติตัวในสิ่งที่ไม่สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่านั่นเป็นเพียงความประพฤติ ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวตนที่แท้จริงของลูก ที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว”
ตลอดทั้งวัน ไม่ต้องอธิษฐานขอโทษต่อพระเจ้าเลย อาจจะเสียใจบ้าง หรือแทบจะไม่เสียใจเลย เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ข้างในต่างหาก วิญญาณต่างหากที่สำคัญที่สุด แล้วมันจะนำออกมาซึ่งความประพฤติดีงามภายหลัง
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ช่วยลูกรอดจากโทษของความบาป ด้วยพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ การพยายามกระทำของตัวลูกเอง”
ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า ถ้าขืนรอดด้วยความพยายาม และความประพฤติของลูกเอง ลูกตกนรกแน่นอน ลูกทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็ถูกล่อลวง ไม่ได้หรอก แต่นี่ไม่ใช่ นี่ลูกรอดทั้งหมด โดยพระคุณ ก็คือฟรีๆ เป็นพระคุณ เป็นของประทาน
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงประทานพระวิญญาณมาเป็นพี่เลี้ยง คอยฝึกฝน คอยนำพาด้วยความรัก เมตตา ให้ลูกประพฤติตน ให้เหมาะสมกับการเป็นลูก เป็นทายาทของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”
ไม่ต้องห่วงเลย ที่เราทำไม่เหมาะสมกับการเป็นลูก ไม่เป็นไร พระวิญญาณกำลังนำเราอยู่ กำลังสอนอยู่ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
“ขอบคุณพระเจ้า ด้วยการบังเกิดใหม่แล้ว ทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ลูกได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป และได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดนิรันดร์”
บริสุทธิ์สะอาด ตลอดนิรันดร์ บริสุทธิ์ สะอาด ไม่ใช่เพราะด้วยการกระทำ แต่เพราะบังเกิดใหม่ เกิดเป็นลูกแล้ว มันไปไหนไม่ได้แล้ว มันอยู่ที่นี่แล้ว เพราะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว จะทำอะไรต่างๆ อย่างไร? ต่อให้ไม่สมกับเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกไปแล้ว มันเกิดใหม่แล้ว มันได้มาด้วยการเกิดใหม่แล้ว นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ทุกสิ่งที่ได้รับพระพรมานั้น เป็นการได้รับด้วยการบังเกิดใหม่ เกิดแล้วเกิดเลย ไม่มีการเกิดแล้วไปตาย ตายไปเกิด ท่านก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่มารจะมาหลอกเรา ให้เราไปคิดว่าได้รับ เพราะเราทำอันนั้นดี อันนี้ดีมั้ง ไม่ใช่ เพราะเราเกิดใหม่ เพราะพระเจ้ารักเรา แต่ไม่ใช่เพราะรักเฉยๆ รักเรา แล้วทำให้เราเกิดใหม่เลย เกิดใหม่ในวิญญาณ จึงเป็นหัวใจ เป็นพื้นฐาน สำคัญมากๆ ที่เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นแล้ว เกิดแล้วเกิดเลย
ไม่ว่าคุณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าหรือยังไม่เกิด เป็นลูกมารก็ตาม อยู่ที่นั่น ก็อยู่ที่นั่นเลย ถ้าอยากจะเป็นลูกพระเจ้า ก็ต้องยอมย้ายเข้ามาสู่พระเยซูคริสต์ วิธียอมย้าย ก็กลับไปที่ตอนต้น คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านนั่นเอง
“ขอบคุณพระเจ้า แม้ว่ากายภายนอกของลูกนี้ กำลังเสื่อมโทรมไปสู่ความตาย แต่วิญญาณข้างในของลูก ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เข้าไปสู่ความไพบูลย์ ในสง่าราศีของพระคริสต์”
หลับสบายเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในร่างกายนี้ มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เกิด แก่ แล้วเจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่เรื่องไม่ธรรมดา คือวิญญาณของฉัน ตัวตนของฉันจริงๆ ที่จะอยู่นิรันดร์ มันเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน มันเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปสู่สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นไปทุกวันๆ ยิ่งใกล้ตายเท่าไร ยิ่งเหมือนพระองค์ ในวิญญาณโตขึ้นทุกวัน เอเมน เห็นไหม?
“ขอบคุณพระองค์ สำหรับร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้กับลูกแล้ว ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่มีความเสื่อมโทรม ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ ไม่มีน้ำตา และไม่มีความตายอีกต่อไป และวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณลูกออกจากร่าง ลูกจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า ชัดเจนกว่านี้ และพระองค์สัญญาว่าเตรียมโลกใหม่ไว้ให้แล้ว”
โลกทุกวันที่มันวุ่นวายไปหมด เดี๋ยวน้ำท่วม ทะเลวน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เกิดความวุ่นวายมากมาย ทั้งมารซาตานทำงานผ่านทางคน ผ่านทางธรรมชาติต่างๆ วิปริตไปหมดเหล่านี้ อาหารที่กินได้ ก็เป็นพิษ ต้นไม้ที่เป็นพิษ ที่ไม่ดี ก็ขึ้นงอกใหญ่เลย ต้นไม้ที่กินได้ ก็ปลูกแทบตาย วันหนึ่ง โลกใหม่พระเจ้าเตรียมให้กับฉัน ไปอ่านดูในหนังสือวิวรณ์ และเมืองใหม่ สวรรค์ใหม่ เยรูซาเล็มใหม่ ที่ถนนเป็นทองคำ ที่ฉันจะอยู่อาศัยกับพระเจ้าตลอดนิรันดร์นั้น มันเป็นอย่างไร? ไปคัดตรงนั้นมาอ่านก็ได้ แล้วก็ท่องตามความคิดของเราก็ได้ ก็เพิ่มพูนขึ้น เตรียมไว้แล้วนะ จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณของพระองค์ ที่เพียงพอเสมอสำหรับลูก ในการเผชิญกับความทุกข์ลำบาก ความเจ็บปวด ความอ่อนแอในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้”
ขอบคุณในพระคุณ
“ขอบคุณพระเจ้า ที่จูงมือลูกเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ความชั่วร้าย ความทุกข์ยาก ลำบาก บนโลกใบนี้ และสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งลูกเลย”
พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้ว่าจะเจอความทุกข์ยากลำบาก เจอปัญหาต่างๆ ในวันนี้ ก็ตาม
“ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์สัญญาว่าความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั้น จะไม่มากเกินกว่า ที่ลูกจะสามารถรับและทนได้”
มั่นใจขึ้นนะ
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ประทานความอดทน สันติสุข การปลอบโยน เมื่อลูกต้องเผชิญ ความทุกข์ยากลำบาก และความอ่อนแอในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้”
เพราะฉะนั้น บางครั้งเกิดความท้อแท้บ้าง ไม่เป็นไร พระคัมภีร์รู้แล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น ขณะที่เราท้อแท้ พระเจ้าอยู่ด้วย ปลอบโยนเราอยู่ และประทานกำลังให้กับเรา อดทนอยู่ ไม่ใช่ตัวเราเอง ต้องพยายาม แต่พระเจ้าอยู่ข้างใน คอยเสริมกำลังให้กับเรา สามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ โดยพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเรา ผู้เป็นชีวิตของเรา
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ จะแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ในยามที่ลูกอ่อนแอนั้น”
ขณะที่เราไม่ไหว ท้อแท้ ทำอะไรไม่ได้ นั่นแหละเป็นเวลาที่ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ความรักของพระเจ้าจะฉายแสงออกจากชีวิตของเรา คนจะเห็นพระเจ้าผ่านความอ่อนแอของเรา มากกว่าคนจะเห็นพระเจ้าผ่านทางความเข้มแข็งของเรา
“ขอบคุณพระเจ้า ที่เป็นพ่อที่แสนดีและรักลูก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์”
พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพ่อของฉัน ซึ่งรักฉันดั่งแก้วตาดวงใจ
พูดกับตัวเองในความคิด พูดกับตัวเอง จากวิญญาณของเรา ซึ่งพระเจ้าสถิตอยู่ …
“ไป ไปด้วยกัน” พระเจ้าบอก
จะไปไหนก็เชิญเถิด เดี๋ยวพระวิญญาณนำท่านเอง
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ใส่ความรักอมตะเหมือนพระองค์ เข้ามาในวิญญาณของลูก ทำให้ลูกเป็นความรัก สามารถรักพระองค์และรักผู้อื่นได้ เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”
ไม่ต้องพยายามไปรักคนอื่น ให้ความรักที่มันอยู่ข้างใน ที่พระเจ้าเทลงมา อยู่ในวิญญาณของเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่นั้น สำแดงออกมาว่าเรารักคนอื่นได้ จากข้างใน ข้างนอกเราทำไม่ได้หรอก อย่างที่บอกไว้ เราอภัยอย่างสุดๆ ไม่ได้หรอก
ถามว่าเราอภัยให้คนอื่นเหมือนที่พระเจ้าอภัยให้เรา ถามว่าอะไรมาก่อน พระเจ้าอภัยให้เราก่อนถูกไหม? ประทานความรักให้เราก่อน เราจึงเอาความรักนี้ เอาไปให้คนอื่นได้ ถ้าไม่มีความรักจากพระเจ้า เอาตัวไปเผาไฟ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร?
ทั้งหมดนี้มาจากพระคัมภีร์ทั้งนั้น ผมเอามาสรุปให้ท่านเอาไปใช้ได้เลย เอาตรงนี้ไปฟังบ่อยๆ เพราะนี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เราสามารถเอาไปฝึกฝน ให้การขอบพระคุณพระเจ้า เป็นธรรมชาติ เป็นปกตินิสัยของเรา ซึ่งจริงๆ แล้วในชีวิตแต่ละวันของพวกเรานั้น ยังมีเรื่องให้เราขอบคุณพระเจ้าเพิ่มเติมได้อีกเยอะตลอดเวลา เจอเรื่องอะไร ก็ขอบคุณพระเจ้าได้ตลอดเวลา เพราะว่ามันติดปกตินิสัยแล้ว มันก็จะมองโลกในแง่ดีได้ง่ายๆ เพราะฐานมันเข้มแข็ง มาจากบ้านแล้ว บ้านในวิญญาณ ก็คือในร่างกายของเรานี้ มันมาจากข้างในแล้ว ตื่นมา อยู่บนเตียงนอน ก็นึกถึงตรงนี้แล้ว อยู่ข้างในแล้วความจริงนี้ ออกไปทั้งวัน มันสบายแล้ว ถ้ามันติดอยู่ข้างในใจของเรา เจ็บป่วยรักษาไม่หาย หมอบอก ก็ขอบคุณพระเจ้า ก็รักษากันไป ไม่หาย ก็ไม่หาย นึกในใจ รอแป๊บเดี๋ยวก็ได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กับพระเจ้า ดีกว่าเยอะ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร
พระคัมภีร์ทั้งนั้น เห็นไหม? แล้วมันออกมาจากใจจริง เพราะว่าความจริงอยู่ในใจเราตลอดเวลาแล้ว เพราะเราเฝ้านับพระพรอย่างนี้ตลอดเวลามา ตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ไปทำธุรกิจ กิจการงานขาดทุน โควิดทำให้ตกงาน บริษัทที่อยู่เจ๊งระเนระนาด ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าอยู่กับเราด้วยเสมอ พระเจ้าสัญญาว่าทรงจัดเตรียมสิ่งที่เราต้องการใช้สอยไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง อะไรที่จำเป็น พระเจ้าจัดการให้เอง เอเมน ว่ากันไป เราไม่มีทางขาดแคลนอะไรเลย เพราะพระเจ้าบอกอย่างนั้น พระเจ้าอยู่กับเรา มั่นคงอยู่ข้างใน เราขอบคุณพระเจ้า สามารถเผชิญได้ไหม? ได้ เดี๋ยวพระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา อดทนได้ รับรองได้ มันไม่เจ๊งเกินขนาด จนกระทั่งลูกทนไม่ได้หรอก เพราะพระเจ้าสัญญาไว้ เห็นไหม? เราขอบคุณพระเจ้าในใจตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น จงนับพระพรและขอบคุณพระเจ้าให้เป็นนิสัย เป็นปกติ ธรรมชาติ ติดปาก ติดใจเลย แล้วท่านจะได้พบกับสันติสุขในชีวิตอย่างแท้จริง อย่างแน่นอน ตามที่ถ้อยคำพระเจ้าได้บอกไว้ว่าจงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ จงอธิษฐานอยู่เสมอเป็นนิสัย จงขอบคุณพระองค์ในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************