คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 5 “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 5 “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 5  “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่” อุปมาคำสอนของพระเยซู เราฟังกันมา 4 ตอนแล้ว …

เรื่องผ้าทอใหม่กับเสื้อเก่า ที่บอกว่า “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า” เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น จะหดตัว ทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไป  ไม่มีประโยชน์และทำให้เสียหายด้วย

เป็นอุปมาเปรียบเทียบว่าการที่มนุษย์ จะสามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้นั้น หรือการที่มนุษย์จะทำให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา ในวิญญาณของเขา ในร่างกายของเขาได้นั้น มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีสภาพเข้ากันได้

เรื่องไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะจะทำถุงหนังขาด น้ำองุ่นรั่วและถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่

เหล้าองุ่นใหม่ หมายถึงพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ไม่สามารถอยู่กับวิญญาณของมนุษย์ที่เก่าๆ สกปรก เป็นบาปได้นั่นเอง เพราะความสะอาดบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะไปอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ ไม่ได้ ต้องทำให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเสียก่อน พระเจ้าจึงจะเข้ามาอยู่ได้

ทุกอุปมาที่พระเยซูสอน เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ การเข้าไปในสวรรค์ได้อย่างไร?  สวรรค์เป็นอย่างไร? บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? ทั้งหมดเลย

เรื่องท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน  และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูนั่นเอง พระเยซูบอกว่าคนไหนที่เชื่อพระเยซูจริงๆ จังๆ แล้ว เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ กลายเป็นเหมือนพระเจ้า … พระเจ้าเป็นแสงสว่าง เขาก็เป็นแสงสว่างด้วย ในวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่งว่า “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่า “จงรับรู้ และปล่อยให้แสงสว่างในชีวิตของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉายแสงไปทั่ว ไม่ต้องพยายาม เพราะมันสว่างของมันเอง เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ตามการทรงนำของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ซึ่งพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ไปก็ไปด้วยกัน”

ให้พระเยซูคริสต์ดำรงชีวิตอยู่ในเรานั่นเอง แปลว่าอย่างนี้ พระเยซูบอกว่า “จงให้แสงสว่างฉายแสงออกไป” ก็คือปล่อยให้พระเยซูนำทางเรา เป็นชีวิตของเรา ให้เรารับรู้เสมอๆ ตลอดเวลาว่าพระเยซูเป็นแสงสว่าง พระเยซูอยู่กับเรา แค่นี้เอง ไม่ต้องพยายามไปจุดให้มันสว่างขึ้น มันสว่างพอแล้ว เอเมน

ก็เหมือนพระเจ้า ไม่พอได้อย่างไร? เพียงแต่เปลี่ยนความคิดจิตใจเสียใหม่ เปลี่ยนการมองเสียใหม่ ให้มันเป็นไปตามวิญญาณข้างใน ซึ่งเป็นความจริง … ความจริงทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทว่า …

“ฉันเป็นแสงสว่าง ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรก็ตาม ให้มันสว่างขึ้น”

ปล่อยให้มันสว่างไปเรื่อยๆ ตามการทรงนำของพระเจ้า

เรื่องต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี แน่นอน พระเยซูกำลังเปรียบเทียบ เป็นธรรมชาติง่ายๆ ถ้าต้นไม้เลว มันเลวแน่ๆ ต้นไม้เป็นพงหนาม มันเป็นพงหนามแน่ ต้นไม้เป็นทุเรียน มันออกมาเป็นทุเรียนแน่ ต้นไม้เป็นมะม่วง มันออกมาเป็นมะม่วงแน่ อยู่ที่รากของมัน

พระเยซูบอกว่าเราจะรู้จักต้นไม้ดีหรือไม่ดี  ได้ด้วยการดูที่ผลของมัน ผลของต้นไม้ขึ้นอยู่กับรากของมัน รากมันเป็นอย่างไร? เดี๋ยวผลมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ถ้ารากดี ย่อมให้ผลดี ถ้ารากเลว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นผลดีได้เลย แม้แต่นิดเดียว แม้มองตอนนี้ ดูเหมือนดี แต่ในที่สุด มันเลว เพราะข้างล่างมันเลว แต่ถ้าข้างล่างมันดี ตอนนี้ดูมันอาจจะหงิกๆ งอๆ แต่เดี๋ยวมันต้องดี เพราะมันอยู่ที่รากของมัน มนุษย์มองไม่เห็น แต่พระเจ้า พระเยซูกำลังสอนเราว่าอยู่ที่รากมัน

“ลูกดูที่รากมันนะ อย่าไปดูข้างนอก อาจจะถูกหลอกได้”

เดี๋ยวนี้เขายิ่งหลอกกันง่ายๆ ทำได้หมดทุกอย่าง แต่รากไม่ใช่ของมัน ในที่สุด มันไม่ใช่

พระเยซูกำลังเปรียบเทียบวิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงของมนุษย์ จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดและบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ ก็ต้องเกิดมาจากรากที่ดี ก็คือต้องบังเกิดจากพระเจ้า หรือเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น มันถึงจะออกมาดี ซึ่งตอนนี้ อาจจะดูเหมือนไม่ดี แต่ข้างในมันดี พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณง่ายๆ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ อุปมาเหล่านี้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

จากที่เรียนมา 4 ตอนแล้ว เราพอจะเห็นภาพชัดเจน … พระเยซูกำลังบอกว่าพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่มันเข้ากันไม่ได้ ไปด้วยกันไม่ได้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือพันธสัญญาเดิม แต่พันธสัญญาใหม่ คือยุคพระคุณ เอามารวมกันไม่ได้ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง ของเก่ากับของใหม่ ไปด้วยกันไม่ได้ สกปรกกับสะอาดเข้ากันไม่ได้ ความมืดกับความสว่างไปด้วยกันไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้นไม้เลวกับต้นไม้ดี ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

จะพึ่งตัวเองกับพึ่งพระเจ้า ก็เข้ากันไม่ได้ จะพึ่งตัวเองก็พึ่งไปเลย ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า จะบอกว่าพึ่งพระเจ้า และพึ่งตัวเองด้วย ไม่จริง ถ้าพึ่งพระเจ้าจริง ต้องจริง 100% ไม่ใช่พึ่งพระเจ้า 99 แล้วพึ่งตัวเอง 1 ก็เท่ากับไม่พึ่ง เชื่อ ก็คือเชื่อ 100% ไม่มีเชื่อพระเจ้าแล้ว มาผสมอย่างอื่น ไม่มีทาง

พันธสัญญาเดิม ยุคตาต่อตา ฟันต่อฟันของเก่า ความสกปรก ความมืด ผลของต้นไม้เลว การพึ่งตนเอง ก็คือสภาพทางวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นคนบาป ทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงมนุษย์สกปรก เป็นบาป ตั้งแต่เกิด มนุษย์ทุกคนเริ่มต้น เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็ยังไม่บาปนะ แต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็ตายทางวิญญาณแล้ว เพราะว่าความตายเป็นผลของความบาป เพราะบรรพบุรุษของเราทำบาป ผลของความบาป ทำให้ความตายมาสู่มวลมนุษยชาติ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เราก็คือมวลมนุษยชาติที่เกิดมาภายหลัง เลยเกิดมาปุ๊บ ยังไม่ได้ทำบาปเลย แต่ตายในวิญญาณ พอตายในวิญญาณปุ๊บ ก็เริ่มทำบาป เพราะมันตาย ก็คือผลไม้เลว มันก็ออกผลเลว

ฟังไปเรื่อยๆ เดี๋ยววิญญาณก็ค่อยๆ สอนเรา ในที่สุด จะมีวันหนึ่งเราจะบอก

“มันแปลว่าอย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว”

นั่นแหละ เข้าใจที่สอง เกิดขึ้นในวิญญาณ เป็นผลออกมา

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน ใช้เวรใช้กรรมที่บรรพบุรุษเราทำไว้ คือเราตายในวิญญาณ พอตายในวิญญาณปุ๊บ เกิดมาก็เริ่มทำบาป เราจะเห็นเด็กๆ ตีพ่อตีแม่  โกหกบ้าง? อิจฉาริษยาบ้าง? ไม่ได้มีใครสอนเลย เพราะว่าความตายในวิญญาณ มันเกิดเป็นผลเหล่านี้ ไม่ต้องสอน ที่ต้องสอน คือสอนฝั่งตรงข้าม สอนให้เขาเป็นคนแบ่งปัน อย่าเห็นแก่ตัว ยากๆ เด็กๆ เราจะเห็น พัฒนาการมันเป็นไปตามนี้ เพราะพระคัมภีร์เป็นจริง วิญญาณมนุษย์ที่เกิดมาชดใช้บาป ก็คือความตาย แล้วความตายนั้น จะทำให้มนุษย์ที่เกิดมาวิญญาณไม่รู้จักพระเจ้า วิญญาณอยู่ในความมืด วิญญาณสกปรก มีแต่ผลเลวออกมาทั้งสิ้น ก็เลยจะทำแต่สิ่งที่ไม่ดี จึงต้องพยายามใช้กฎระเบียบอะไรมาบีบมนุษย์ มาคั้นมนุษย์ มาสอนมนุษย์ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับในใจ ก็คือทำดีๆ ถ้าเผลอก็ทำบาปเป็นธรรมชาติของเขา เพราะธรรมชาติมันสกปรก ธรรมชาติมันตาย ไม่รู้จักพระเจ้า มันก็จะผลิตแต่ผลไม่ดี

ซึ่งมนุษย์เกิดมา มีวิญญาณที่ตาย ไม่รู้จักพระเจ้า สกปรก อยู่ในความมืด ถ้าเผื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์คนนั้นเลย  เขาก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไป จนกระทั่งจากโลกนี้ไป เขาก็จะไปอยู่ในที่ๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความทุกข์นั้นเอง ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่าง เป็นความมืดนั่นเอง เรารู้แล้วความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครช่วยได้เลย จึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนสภาพนี้ได้ สภาพธรรมชาติที่เป็นความตายในวิญญาณ คือไปเกิดใหม่

ทุกครั้งที่ท่านทำอะไรลงไป จงมองให้เห็นเถิดว่ามีกาฝากนี้แอบๆ อยู่ด้วย … แล้วเรามีอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราได้คุยกันไป วันนี้มาทบทวน แล้วตอนท้ายๆ จะมีแถมอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนอีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูทรงสอนว่า …

          “แม้ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าเจ้านาย อาจารย์ แต่เราจะบอกท่านว่าเราไม่รู้จักเจ้า”

มาดูมัทธิว 7:21-23 “21 ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า 22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น”

 

คำพูดตรงนี้ พระเยซูกำลังหมายถึงพวกที่ติดตามพระองค์ หรือพวกที่นับถือพระองค์ เพียงเพราะว่าเชื่อในการกระทำ อัศจรรย์ของพระองค์ อยากเห็นการรักษาคนป่วยให้หาย การทำคนตายให้ฟื้น การรักษาคนง่อยให้เดินได้ แต่คนเหล่านี้ ไม่ได้มีการบังเกิดใหม่ จึงไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ไม่รู้จักเขาจริงๆ และเมื่อยังไม่ได้บังเกิดใหม่  ต่อให้เรียกพระเยซูว่าพระเจ้า พระอาจารย์หรือเจ้านาย  ก็ยังคงเป็นได้แค่ผลของต้นไม้เลว ข้างในมันไม่เกิดใหม่ มันเลวอีกแล้ว พูดใหม่ก็เลว เพราะว่ายังไม่ได้เข้ามาติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกัน ยังไม่ได้บัพติศมา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของพระองค์ในพระเยซูคริสต์เลย ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ยังไม่ได้เป็นแสงสว่างเลย ยังไม่ได้รับความรอดจากบาป จากความตายทางวิญญาณเลย ยังอยู่ในสภาพตายในวิญญาณ เหมือนที่เกิดมาใหม่ๆ ตั้งแต่คลอด ยังไม่ได้รับการชำระให้สะอาดหมดจด พ้นจากความสกปรกในวิญญาณเลย พระคัมภีร์ใช้คำว่ายังเป็นคนบาป คนตายในวิญญาณ คนชั่วอยู่เลย จึงทำแต่สิ่งที่ไม่ดีแน่นอน แม้บางครั้งดูภายนอก เหมือนทำสิ่งที่ไม่ดีบ้าง? แต่มันมาจากข้างใน ที่เป็นต้นกำเนิดของที่ไม่ดีทั้งหลาย ในวิญญาณ เพราะวิญญาณยังไม่ได้บังเกิดใหม่

พระเยซูจึงบอกว่า “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น”

ไม่ใช่พระเยซูไม่มีเมตตา พระเยซูกำลังยกอุปมา ก็จะไปรู้จักได้อย่างไร? เจ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าเป็นดำ เราเป็นขาว เจ้าเป็นความมืด เราเป็นแสงสว่าง แล้วจะมารู้จักกันได้อย่างไร? นี่ยกอุปมาให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ฟังไปเรื่อยๆ จะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? ถ้าไม่บังเกิดใหม่ พระเยซูกำลังจะบอกว่าถ้าเราอยู่ในสวรรค์เมื่อไร?

พระเยซูก็จะบอกว่า “เรารู้จักเจ้า เจอเจ้าทุกวันทุกเช้า เจ้านอน เราก็อยู่กับเจ้า เจ้านั่งเราก็อยู่กับเจ้า เจ้าบ่นนินทาเราก็อยู่กับเจ้า เจ้าไม่เชื่อฟังเรา เจ้าไปทำเละเทะ เราก็อยู่กับเจ้า วันนั้นเจ้าด่าคน เราก็อยู่กับเจ้า ปากเจ้าพูดไม่ดี เราก็อยู่กับเจ้า” ถูกหรือไม่ถูก?

“เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า … เจ้าบัพติศมาอยู่ในเราแล้ว เราอยู่ในเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สามพระภาค มาทำบ้านอยู่กับเจ้า ในตัวของเจ้าแล้ว เอเมน”

อย่างนี้เรียกว่ารู้จัก ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ได้เกิดใหม่ แล้วจะไปรู้จักได้อย่างไร?

พระเยซูจึงบอกว่า … “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว เพราะวิญญาณชั่ว จงไปให้พ้น”

พระเยซูพูดต่อว่า … “แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์”

“คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา” ก็คือน้ำพระทัยของพระเจ้า คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตั้งแต่อาดัมทำบาปใหม่ๆ หล่นปุ๊บ พระเจ้าก็พูดมาตั้งแต่วันนั้นเลยว่า …

“จะส่งพระมาซีฮาห์มาช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากโทษของความบาปนี้”

พูดมาตลอดๆ จนหลายพันปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์พระองค์ตะโกนบอกว่าสำเร็จแล้ว จบแล้ว การไถ่บาปจบแล้ว  คนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อแผนการนี้  คือเชื่อในน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูบอกคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เชื่อในฉัน  เชื่อในพระเยซู จึงสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ เพราะเขาจะได้บังเกิดใหม่ และความเชื่อที่จะนำไปสู่การบังเกิดใหม่ ก็คือการพูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ยอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้

สารภาพว่า “พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระฉันให้พ้นจากความบาป และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ช่วยฉันให้เป็นอิสระแล้ว เอเมน” อย่างนี้เขาเรียกว่าสารภาพ

คนที่สารภาพอย่างนี้ ออกจากใจจริงๆ อย่างนี้ ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อบังเกิดใหม่ คราวนี้ พระเยซูบอกว่า …

“ฉันรู้จักเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว”

พระเยซูจึงบอกว่าคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้

ตอนที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน มันยังไม่สำเร็จ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ การบังเกิดใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้น พันธสัญญาใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้น คนเหล่านั้น ไม่มีโอกาสที่จะมานั่งอยู่อย่างนี้เหมือนเรา คนเหล่านั้น เมื่อฟังอย่างนี้ เขาต้องเกิดการสงสัยแน่นอน งง และนี่คือเรื่องราวของคนหนึ่งที่เขางง พระเยซูพูดเรื่องบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ มันคืออะไร?  ไม่ใช่ไม่เชื่อ เขาเริ่มต้นเชื่อแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เขาก็เลยแอบไปหาพระเยซู ในหนังสือยอห์น 3:1-4 มาดูสิว่าคนนี้ เขาสงสัยตรงไหน สำคัญตรงที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟังอย่างไร?

ยอห์น 3:1-4 “1 มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว 2 เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา 3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่”

 

พระเยซูสอนไปทั่ว มีคนแอบฟังบ้าง? ไม่ต่อต้านบ้าง? เชื่อบ้าง? แล้วแต่ … แต่มีคนหนึ่งแอบฟังอยู่ ชื่อนิโคเดมัส เป็นฟาริสี และเป็นสมาชิกของสภาการปกครองของชาวยิว ก็แสดงว่าเป็นหนึ่งในพวกผู้นำทางศาสนายิว ซึ่งพวกฟาริสีตอนนั้น ส่วนใหญ่ยังต่อต้านพระเยซู รับไม่ได้กับสิ่งที่พระเยซูพูด แต่ด้วยความที่นิโคเดมัส ซึ่งได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ อยากเริ่มต้น อยากรู้จักพระเยซูมากขึ้น แต่จะมาคุยกลางวัน ในที่สาธารณะ ก็กลัวเพื่อนๆ ต่อต้าน เลยแอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน

สิ่งที่นิโคเดมันสงสัย ก็คือสิ่งที่พระเยซูสอนว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ หรือเข้าสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ ทุกคนก็มุ่งไปที่สวรรค์ทั้งนั้น  ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว ทุกๆ ศาสนาก็อยากไปสวรรค์ เขารู้เหรอ สวรรค์ แปลว่าอะไร? ทุกศาสนาก็มีคำว่าสวรรค์ รู้ว่าหลังความตายจะไปไหน?  ก็อยากไปอยู่สวรรค์ทั้งนั้น  นิโคเดมัสเป็นชาวยิวที่เคร่งในศานา ก็เป็นอย่างนั้น พอบอกวิธีเข้าสู่สวรรค์ ต้องบังเกิดใหม่

“ฉันอยากเข้าสู่สวรรค์อยู่แล้ว ต้องบังเกิดใหม่ ฉันก็เชื่อคนๆ นี้ว่าเขาพูดจริง เพราะเขาทำอัศจรรย์ ให้ฉันเห็นเยอะแยะ แต่บังเกิดใหม่อย่างไร? งง”

พวกเราไม่งง เพราะเรามาเรียนตอนพระเยซูมา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว แต่พอนึกถึงคนที่ไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่ตอนนี้ที่ท่านไปคุยให้เพื่อนท่านฟัง เขาไม่ได้เป็นคริสเตียน อยากไปสวรรค์ ต้องไปบังเกิดใหม่? เขาก็จะบอกว่าบ้า ไปไกลๆ เขาจึงงงมากเลย  จะบ้าหรือไง? บังเกิดใหม่อะไร? แต่ทำไมเราไม่เห็นบ้า เรายิ้มแย้มแจ่มใส พอผมบอกทุกคนบังเกิดใหม่ ยิ้ม นี่เห็นความแตกต่างไหม?

นิโคเดมัสเขาอยากจะรู้ว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? มันหมายความว่าอย่างไร?  ก็เลยไปถามพระเยซู คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่ได้ เขาคิดถึงขนาดนี้ เลยมาถามพระเยซู คือคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ พอฟังอะไรในพระคัมภีร์ ก็จะเอาสติปัญญามนุษย์ คิดแต่เฉพาะสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น แต่คนที่บังเกิดใหม่ เมื่อเล่าถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เขาจะมองไปที่โลกวิญญาณ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด ที่เราพูดถึงนี้เป็นโลกวิญญาณทั้งสิ้น และใครมีตา ใครมีหู จงฟังเถิด จงเห็นเถิด ถ้าบังเกิดใหม่ก็มีตาที่เห็น ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ก็ไม่เห็น ท่านเห็นแล้ว ท่านเลยไม่รู้สึกงง

การบังเกิดใหม่ หมายความว่าการบังเกิดทางวิญญาณ  แต่นิโคเดมัสเข้าใจว่าเป็นการกำเนิดของมนุษย์ แบบเนื้อหนัง แบบสิ่งที่ตามองเห็น ต่างกันเยอะไหม? แต่ผมบอกคุณบังเกิดใหม่ เราทุกคนในนี้รู้แล้ว มันเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ทางวิญญาณ แต่นิโคเดมัสไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อนิโคเดมัสถามอย่างนี้แล้ว พระเยซูก็ตอบให้ เป็นแบบอุปมาเปรียบเทียบอีกแล้ว ในยอห์น 3:5-9

ยอห์น 3:5-9 “5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” 9 นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

 

พระองค์ตรัสบอกว่า “ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ”

ก่อนพระเยซูจะตายที่ไม้กางเขน มีผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่ง ชื่อยอห์น บัพติศโต มีหน้าที่ให้คนได้บัพติศมาในน้ำ จุ่มลงไปในน้ำ เพื่อแสดงการกลับใจใหม่จริงๆ เชื่อพระเจ้าจริงๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น  การกลับใจใหม่ คือการถ่อมใจ ถ้าไม่ถ่อมใจ ไม่มีวันที่จะได้พบความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ขนาดถ่อมใจยังต้องค่อยๆ ก้าวไปที่ละนิดๆ เดี๋ยวจะรู้ความจริงเอง เดี๋ยวความเชื่อจะค่อยๆ เจริญเติบโต จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในใจ ในวิญญาณ มันถึงจะบังเกิดใหม่ อันนี้ กลับใจก็ไม่กลับใจ เย่อหยิ่ง ไม่มีทาง พระเยซูบอกเขาต้องกลับใจใหม่จริงๆ ยอมถ่อมใจ พอถ่อมใจแล้ว เขาจะมีโอกาสได้เกิดใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และทำให้มนุษย์สะอาด พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมา เขาเรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือการที่มนุษย์ได้ชุบให้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มลงไปใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์นั่นเอง นี่หมายถึงตรงนั้น ชัดเลย แล้วพระองค์ยกตัวอย่างให้ฟังว่าท่านไม่ควรแปลกใจ

ที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหน? ก็ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงของลม แต่ท่านไม่รู้ว่าลมาจากที่ไหน?”

พระเยซูกำลังสอนนิโคเดมัสว่าที่ท่านคิด ท่านคิดแต่เรื่องของสิ่งที่ตามองเห็น ท่านไม่รู้จักลมเหรอ นิโคเดมัสบอกรู้จักลม มีไหมลม? มี ท่านเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำไมท่านเชื่อว่ามีลม เห็นไหม พระเยซูกำลังบอกนิโคเดมัส … นิโคเดมัสบอกต้องตามองเห็นถึงจะเชื่อ …

ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน ท่านเห็นพระวิญญาณไหม? ไม่เห็น แต่ท่านเชื่อ พระเยซูบอกว่าคนที่บังเกิดใหม่ เขาต้องเชื่อ ในขณะที่สัมผัสก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น แตะต้องก็ไม่โดน แต่เชื่อในพระคำของพระเจ้า แล้วจึงเกิดใหม่ คราวนี้แหละ มันจะรู้อยู่ข้างในวิญญาณของเขา ไม่ใช่ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ด้วยใจของเขา แต่นิโคเดมัสกำลังใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดม หา จึงบอกว่ามีลมจริงๆ ทั้งๆ ที่ตามองไม่เห็น แต่พระเยซูบอกว่าคนที่จะบังเกิดใหม่จะต้องไม่ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ต้องใช้ใจเชื่อ … เชื่อด้วยใจ แล้วพอได้ผลปุ๊บ ใจมันรู้ ไม่รู้จะตอบคนว่าอย่างไร? รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา รู้สิ ทำไมรู้ “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เห็นไหม?

พอเรียนรู้แล้ว เราตื่นเต้นนะ แล้วเราดูว่าพระองค์พูดอะไรต่อ ท่านจะเห็นชัดว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร? แล้วท่านอ่านต่อไปในพระเยซู ท่านจะเห็นภาพรวมหมดเลย ขอบคุณพระเจ้า ในยอห์น 3:10-15 บอกว่า …

ยอห์น 3:10-15   “10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์”

 

ถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า ถ้าเราอยากจะอยู่ในสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่าเราต้องใช้ใจ เราต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียว เราไม่สามารถใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไรต่างๆ ไม่ได้เลย มันเกิดขึ้นข้างในวิญญาณเท่านั้น เรื่องพระเจ้าทั้งเล่มเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับใจ เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น เรื่องที่เล่าทั้งหมดว่าจะมีโมเสส มีอาโรน มีเรื่องกษัตริย์ดาวิดทั้งหมด กำลังเล็งไปถึงภาพเบื้องหลัง คือโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงแค่เงา ให้เราเห็นว่าพระองค์กำลังทำอะไร พาท่านเข้าไปสู่โลกวิญญาณแล้ว คือบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะรู้หมดเลย หมายถึงอะไร? งู หมายถึงอะไร? งูที่มาพูดกับเอวา อาดัม หมายถึงอะไร? ทำไมตกลงไปในความบาป เพราะอะไร? มันจะรู้ในวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เลิกใช้สติปัญญาและความคิดแบบมนุษย์ ในการอ่านพระคัมภีร์เสียที  พยายามนึกไปถึงข้างหลังว่าพระองค์กำลังทำอะไร? ในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป แม้เริ่มต้นแล้วอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่อดทนหน่อย ค่อยๆ ไปทีละนิดๆ ท่านจะรู้ความจริง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************