คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2020 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มีนาคม  2020

 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ในฟีลิปปี 4:6-7  อ่านทบทวนด้วยกันอีกครั้งนะครับ

ฟิลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

ข้อก่อนหน้านี้บอกว่าจงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ เพราะพระเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว และเมื่อเราชื่นชมยินดีในทุกสถานการณ์ได้ มาข้อนี้ เลยบอกว่าอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ คืออย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ แต่จงทูลขอทุกสิ่งจากพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ หมายถึงว่าเพราะพระเจ้าอยู่ในท่านแล้ว ท่านไม่รู้เหรอว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ไม่ใช่อยู่กับท่าน

ในสมัยก่อนหน้านี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถอยู่กับพระเจ้า ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายได้เลย เพราะว่าวิญญาณบาปอยู่สกปรก ได้แค่เพียงกลุ่มเดียว ก็คืออิสราเอลที่พระเจ้าเลือกเอาไว้ แต่ไม่ใช่หมายถึงว่าพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวเขา ถ้าเขาเชื่อฟัง วางใจตามกฎของพระเจ้า พระเจ้าแค่อวยพรเขา บางครั้งแค่เลือกบางคน หรือบางกลุ่มเท่านั้น มาสถิตด้วยกันกับเขา คือเดินข้างเขา เดินข้างๆ ก็ดีใจแล้ว แต่พอเขาทำพลาด ทำผิดจากกฎระเบียบ พระเจ้าก็จะละห่างไป เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต้องเดินตามกฎบัญญัติ ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ เนื่องจากบาป  แต่พอพระเยซูไถ่บาปให้มนุษย์แล้ว ร่างกายของมนุษย์สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าสามารถเข้ามาอยู่ใน (ไม่ใช่กับนะ) อยู่ในได้แล้ว ร่างกายมนุษย์จึงกลายเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของเขาได้เลย ที่ต้อนรับพระเยซู ที่เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าร่างกายนั้น เป็นวิหารของพระเจ้าทันที และพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเขา ซึ่งได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า

และคำว่า “พระเจ้าเข้ามาอาศัย เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในร่างกายของเรานี้” ไม่ใช่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราเท่านั้น แต่พระคัมภีร์บอกแต่เรา ซึ่งหมายถึงวิญญาณนะ  แต่วิญญาณของเราก็เข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ไม่ใช่เข้าไปสถิตอยู่เฉยๆ แต่แนบสนิท เป็นเนื้อเดียวกันเลย ในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น  ซึ่งเป็นพระพรมหาศาล มากกว่าคนสมัยก่อนที่เป็นยิว แล้วก็ดำเนินตามบัญญัติของพระเจ้า และพระเจ้าอวยพร พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา “อยู่กับเขา” ไม่ได้อยู่ในเขา เหมือนตอนนี้ที่อาดัมและเอวา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วยังไม่ทันทำบาป พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเขานะ ไม่ใช่อยู่ในเขา แบบทุกวันนี้ พระเจ้าอยู่ในเรา เพราะเราเชื่อพระเยซูแล้ว พระเจ้าอยู่ในเรา ต่างกันเยอะ มากมายมหาศาล เมื่อพูดถึงพระคุณพระเจ้า ก็อดไม่ได้ที่จะพูดให้ฟังว่ามันลึกซึ้งอย่างไร? อยากให้ทุกท่านได้ศึกษาเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศาสนาเลย มันเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เหมือนเรื่องกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่ามนุษย์มาอย่างไร? เป็นอย่างไร? มนุษย์มีส่วนประกอบอะไรบ้าง? มีวิญญาณ ความคิดจิตใจ มีร่างกาย และเป็นอย่างไรบ้าง? ในโลกวิญญาณ มนุษย์มองไม่เห็น มีอะไรอยู่บ้าง? มีโลกวิญญาณจริงๆ นะ อะไรประมาณนั้น ให้ศึกษาและยืนยันได้จากพระคัมภีร์ ยืนยันและเห็นได้จากสติปัญญาที่พระเจ้าให้ทุกวันนี้ และทุกวันมองไปยังโลกใบนี้ มันใช่จริงๆ ก็เลยอดไม่ได้ พอเฉี่ยวเรื่องนี้ ก็แถเรื่องนั้นที

โอเค กลับมาที่ข้อนี้ว่า “อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนและการขอบพระคุณ” ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า “ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน” ตรงนี้ ก็หมายถึงว่าเมื่อเรามีพระเจ้าอยู่ข้างใน อยู่ในวิญญาณเราแล้ว ก็ให้เราวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกระวนกระวายมากนัก เพราะความคิดบางทีมันเจอระบบของโลกนี้ เจอสถานการณ์โควิดอย่างนี้ ร่างกายข้างนอก ความคิดการอยู่บนโลกนี้ มันเกิดความกลัว ความวิตกกังวล รับข้อมูลตกใจมา มันก็ตกใจเป็นธรรมดา เหมือนกับเราเอามือไปโดนไฟ มันก็ร้อนเป็นธรรมดา เหมือนกับเราเอามือไปโดนน้ำแข็ง มันก็เย็น ชา มันเป็นเซ้นต์ หรือสัมผัสปกติของร่างกายมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ มันมีความคิด พอได้ข้อมูลนี้ หูมันได้ยิน ถ้าหูไม่ได้ยิน มันก็ไม่คิดหรอก แต่หูมันได้ยิน ตาก็ยังเห็นอยู่ มือก็สัมผัสได้ แล้วจะทำอย่างไร?

ท่านลองคิดดูสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่าที่เขาพูดมามันน่ากลัว มันก็รับความคิดเข้ามา ความคิดจะเป็นศูนย์ที่รับข้อมูลเหล่านี้มา พอข้อมูลร้ายๆ เข้ามา ความคิดก็เริ่มคิดไปตามข้อมูลนั้น ข้อมูลทำให้เราตกใจ เราก็ตกใจ อย่างที่ตะกี้ที่ผมบอก ถ้าเราจับของร้อน ข้อมูลก็บอกว่าร้อนมากเลย ความคิดก็ร้อนๆ เหมือนกัน ข้อมูลบอกตายแน่ๆ แล้ว ไม่มีจะกินแล้ว ลำบากแล้ว มันจะเป็นถึงเมื่อไร? อีกปีหนึ่งจะหมดไหม? สามปีจะหมดไหม? เราจะอดตายกันแล้ว มันก็เกิดความคิดเรื่องธรรมดาว่าต้องกลัว แต่ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา ไม่ใช่ร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันอยู่แค่ชั่วคราว ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณที่อยู่ข้างใน ซึ่งเกิดใหม่นั้น เรามีพระเจ้าอยู่ข้างใน พระเจ้าจะช่วยเรา จะนำพาเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี มันก็เกิดข้อมูลใหม่เข้ามาว่าพระเจ้าอยู่ในเรา ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราผ่านได้ เหมือนที่พาเราผ่านมาทุกๆ เรื่อง อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น การอธิษฐาน การวิงวอน ก็คือการบอก การเข้าไปคุยกับพระเจ้า คือการเบนเอาความคิดของเรา เกี่ยวกับสถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่ทำให้เกิดความกลัว หันมาหาพระเจ้าซะ หันมาหาโลกวิญญาณซะ Set our mind คือจดจ่อ เบนความคิดของเรามาที่พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระองค์ใหญ่กว่าโควิดขนาดไหน? พระองค์ใหญ่กว่าปัญหาที่เราเผชิญอยู่มากมาย พระองค์สามารถช่วยเราได้อย่างแน่นอน และพระองค์ไม่เคยละทิ้งเรา พระองค์อยู่กับเรา พระองค์สถิตอยู่กับเรา ในเรา 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา อยู่ด้วยกันกับเราเสมอ และสามารถช่วยเราได้อย่างแน่นอน 100% เลย

ข้อมูลเหล่านี้ พอเข้ามามากๆ มันก็ผลักเอาข้อมูลทางโลกออกไป ทำให้เกิดความมั่นใจว่าพระเจ้าช่วยเรา อยู่กับเรา และทรงสถิตอยู่ในเรา นี่แหละคือความจริงที่ทำให้เราเป็นไท พระเจ้าก็อยากให้เรามีชีวิตอยู่ที่เป็นสันติสุขอย่างนี้เกิดขึ้น  ก็สอนเราให้เราทำตามนี้  ก็คือเจอปัญหา เจออะไรต่างๆ ชื่นชมยินดีได้ ในการเข้าไปหาพระเจ้า ที่เราอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นั่นแหละ แล้วอธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ ก็คือเล่าให้ฟัง …

“พระเจ้ามันเกิดปัญหาเหล่านี้  ลูกก็มีปัญหา ลูกก็ต้องตกงาน รายได้ก็ไม่มี แต่ลูกก็ยังมั่นใจในพระองค์ พระองค์สามารถพาลูกผ่านได้”

พูดไปเรื่อยๆ พูดอะไรก็พูด “ลูกจะไม่กลัว  พรุ่งนี้ลูกจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้ เป็นค่าเล่าเรียนลูก เป็นค่าอาหาร เป็นค่าอะไรก็แล้วแต่ที่จำเป็นต้องใช้ ลูกจะทำอย่างไรดี ลูกกลัวเหลือเกิน นำพาลูกผ่านด้วยเถิด” อะไรอย่างนี้

การวิงวอนมันก็ควบคู่ไปกับอารมณ์ กลัวก็ร้องไห้ เสียใจ หวั่นวิตก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อจะโปรดปลอบใจเรา อย่างที่เราคิดไม่ถึงว่าเป็นอย่างไร? เราไม่เข้าใจว่ามันจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร? เราเพียงแต่รู้อย่างเดียวว่าพระเจ้าของเราสามารถพาเราผ่านได้ ตรงนี้แหละคือเคล็ดลับ

และในข้อต่อไป ข้อสุดท้ายของฟิลิปปี 4:6-7 นี้ ข้อสุดท้ายบอกเมื่อเราทำตามที่พระเจ้าบอกแล้ว ในฟิลิปปี 4:8 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อท่านอธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ในท่านตลอดเวลา รักท่านตลอดเวลา เมื่อทำอย่างนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น

ฟิลิปปี 4:8 “สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศหรือสิ่งที่ควรสรรเสริญคือ สิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

ก็คือเมื่อทำได้อย่างนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง หมายถึงพี่น้องก็รู้อย่างนี้แล้ว จากนี้ต่อไป ก็เอาความคิดของเราที่จะไปเกาะข่าวโน้นเกาะข่าวนี้ นินทาชาวบ้านเขา  เกาะอะไรที่ตื่นตระหนกตกใจ แทนที่จะไปเกาะตรงนั้น  ก็เบนความคิดมาใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ ก็คือถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้าในสวรรค์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ อยู่กับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่เราเชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า  ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ มาไถ่บาป ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม  เราเชื่อแค่นี้ ตอนนี้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้าที่มีความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระเยซูเลย  พระเจ้ารักเรามากเท่าพระเยซู แล้วพระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราเลย ในร่างกายนี้  วิญญาณเรากับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเจ้าหวงแหนเรามาก ปกปักคุ้มครองดูแลเรา ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้เลย  พระเจ้าอยู่ข้างเราแล้ว ไม่ละเรา ไม่ทอดทิ้งเราเลย ใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา สมองมันก็สั่งการ ไปที่ความชื่นชมยินดี ก็มีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เห็นไหม? เปาโลกำลังจะบอกว่าให้เอาความคิดนี้ มาคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเยซู แล้วท่านเป็นใครในพระเยซู เพราะโลกใบนี้จะพยายามโกหกท่าน บอกว่าท่านไม่ได้เป็นตามนั้น แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกเอาไว้ ตั้งสองพันปีแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งต่างๆ เหล่านี้ หลุดพ้นจากความกลัวเหล่านี้ หลุดพ้นออกจากนรก หลุดพ้นออกจากการต้องชดใช้เวรกรรม โดยพระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แค่ท่านเชื่อ แค่นี้เอง ท่านก็ได้การชำระพ้นจากบาปเวรกรรมเหล่านั้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที

ระบบของโลกนี้ มันถูกควบคุมโดยมาร เหตุเนื่องจากโลกมันล่มสลายไปตั้งแต่อาดัมและเอวาได้กบฏกับพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า  มันเข้ามาแล้ว และความเสียหายนี้ ความชั่วร้ายนี้ ที่มาจากมาร ก็ยังคงอยู่ทุกวันนี้ ทำร้าย ทำลายมวลมนุษยชาติ ทำร้ายและทำลายบ้านหลังนี้  ก็คือโลกใบนี้ ที่พระเจ้าสร้าง และพยายามที่จะยัดเยียดว่าพระเจ้าเป็นคนทำ พี่น้องมันไม่ใช่เลย พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความดีงาม ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากความดีและความรักจากพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้าย จะออกมาจากสิ่งที่ดีๆ ไม่ได้เลย สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้ายจะออกมาจากผู้ที่เป็นความดีได้เหรอ สิ่งเลวร้าย สิ่งชั่วร้าย  สิ่งไม่ดีนั้น จะออกมาจากผู้ที่มีนามว่าพระเจ้าแห่งความดีงามได้หรือ? ไม่มี แต่มารซาตาน มีชื่อว่าเจ้าแห่งความชั่วร้าย  มาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลายอย่างเดียว ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับขโมย ฆ่าและทำลาย ก็มาจากมารเท่านั้น  ทุกสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความชั่ว มาจากมารเท่านั้น  คิดแค่นี้ ต้องสรุปแค่นี้ เอาในใจเรา เอาสมองเราคิด วิเคราะห์อยู่แค่นี้ เราจะเห็นภาพทันทีเลยว่าพระเจ้าต้องการดูแลพวกเราทุกคนอย่างไร? คนที่เชื่อแล้ว ก็ดูแลง่ายหน่อย  เพราะว่าพระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว ถ้าพูดตามภาษาเล่นๆ ตามภาษาไทย ตอนเด็กๆ ผมก็ได้ยินบ่อยๆ ว่า …

“คนนี้มีองค์”

ตอนนี้ มาเชื่อพระเจ้า แค่รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แค่นี้นะ เป็นรหัสที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าแค่เชื่อแค่นี้ ท่านสามารถกลายเป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย ก็แปลว่า ณ วินาทีนั้น นี่คือพาสเวิร์คที่ทำให้ท่านกลายเป็นผู้มีองค์ในตัวเลย ไม่ใช่องค์เดียวนะ มี 3 พระภาคเลย มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ในวิญญาณท่าน ไม่ใช่อยู่กับท่านนะ อยู่ในร่างกายของท่าน และเข้าไปเป็นหนึ่งเดียว เป็นเนื้อเดียวกันกับวิญญาณของท่านเลย แก้กันไม่ออก ถอดกันไม่ออก ไม่มีวันพรากจากกันเลยนิรันดร์กาล มีองค์อยู่ตลอดเวลา และองค์นี้ ในพระคัมภีร์บอกไว้ และใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว องค์นี้มีนามรวมกันว่า “องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” ไม่ว่าใครๆ บนโลกใบนี้ก็รู้จักดี แต่อาจจะเรียกตามภาษาของแต่ละประเทศ แต่รวมกันแล้ว ก็หมายถึงผู้นี้แหละ หมายถึงผู้ที่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่เรารู้ว่ามีชีวิตอยู่ และยิ่งใหญ่มหาศาลมากเลย  เราเรียกผู้นี้ว่า “พระเจ้า” หรือ “God” ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลางพูดว่า “เสิง”

ตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเป็นเจ้าเหนือทุกอย่าง ผู้นี้สถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเป็นลูกของพระองค์

คิดดูสิ สิ่งเหล่านี้ เราควรที่จะรับรู้ และเข้ามาอยู่ในความคิดที่ฟิลิปปี 4:8 ตรงนี้บอกไว้ จงใคร่ครวญสิ่งที่เลอเลิศ สิ่งที่น่าสรรเสริญ นี่แหละที่น่าสรรเสริญ น่าคิด คิดอยู่ตลอดเวลา  พูดอยู่ตลอดเวลา คุยกับลูก คุยกับสามีภรรยา คุยกับคนในครอบครัว คุยกับพี่น้อง คุยเรื่องเหล่านี้ เรื่องโควิดปัจจุบันนี้ คุยให้น้อยหน่อย เอาเฉพาะเนื้อๆ ว่าทางการเขาว่าอย่างไร? ข่าวคราวเขาว่าอย่างไร? มันจะไปถึงไหนอย่างไร? ไม่ต้องไปเจาะทะลุ ติดตามมันตลอดเวลา  กลายเป็นเครียด กลายเป็นตกใจ และทำให้เกิดความกลัว  ซึ่งวันนี้เลยตั้งใจจะมาพูดถึงมารพยายามจะยัดเยียด ใส่วิญญาณแห่งความกลัวมาให้เรา

ความกลัวตรงนี้  มันอันตรายมาก เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “อย่าไปกลัว อย่ากลัวเลย พระเจ้าบอกเราอย่ากลัวเลย” ในสถานการณ์รอบด้าน ที่ดูเหมือนน่ากลัว น่าวิตกอย่างนี้ มารมันอัดเต็มที่ส่งข้อมูลต่างๆ เข้ามา เพื่อให้เราเกิดความกลัว  อย่างเช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คนทั้งโลกหวาดกลัวอยู่ขณะนี้ จะสิ้นสุดลงเมื่อไร? จะทำอย่างไร? สิ่งสำคัญที่สุด คือเราต้องยึดมั่นให้ดี ด้วยถ้อยคำและข้อมูลจากพระเจ้า ผู้สถิตอยู่ในเราว่าพระเจ้าว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ในหนังสือฮีบรู 13:5 ได้บอกไว้ว่า … “อย่ากลัวเลย เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้าเลย” นี่พระเจ้าคุยกับเรา

ฮีบรู 13:5 “ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย”

 

เห็นไหม?ข้อมูลจากข้างในวิญญาณพูดอย่างนี้ เรากำลังกลัวโควิดใช่ไหม? เราได้ยินข่าวคราว เราได้ยินไม่ธรรมดาใช่ไหม? ข้างในวิญญาณเรา พระเจ้าบอกเราว่า …

“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้ง เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

และทุกๆ ครั้งที่มีเหตุการณ์เลวร้าย หรือวิกฤตร้ายแรงต่างๆ ก็มักจะมีคนเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ โทษพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้าคงเอาเชื้อโควิด ในสมัยอดีตผมจำได้ พระเจ้าเอาเชื้อไวรัสเอดส์เข้ามา เพื่อลงโทษคนที่ทำบาป รักร่วมเพศ หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้  โควิดมาก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ห่างเหินพระเจ้า ทำบาปชั่วร้ายอะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่างที่ตะกี้ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่าพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าร้าย จะไม่มีสิ่งร้ายมาจากพระเจ้า แล้วถามว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ก็เกิดขึ้นจากผลของความบาป ที่มารเป็นผู้ก่อกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่แรก แล้วก็ตกกระป๋องจากสวรรค์ลงมา บาปคือการต่อต้านกับพระเจ้า ชั่วร้าย แล้วก็เอาวิญญาณบาป วิญญาณแห่งความชั่วร้าย มาล่อลวงมนุษย์คู่แรก คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา  ล่อลวงให้มนุษย์คู่แรกทำบาป   ทำสิ่งที่ชั่วร้าย  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และกบฏกับพระเจ้า แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปในความบาป

ใน DNA ของมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในอาดัมและเอวา ก็ติดเชื้อบาปนี้กันไปหมดทุกคน ก็ต้องรับโทษของความบาป  ความสาปแช่ง หรือผลของความบาป ความตายและคำสาปแช่งลงมาสู่บ้านของอาดัมและเอวา คือโลกใบนี้ ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มาจากอาดัมถูกมารหลอก มารเกิดความชั่วร้ายในตัวของมันเอง  โดยธรรมชาติของตัวมันเอง พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ให้มันเป็นโรบอท ไม่ใช่สร้างมนุษย์ให้เป็นโรบอท เขาคิดจะเชื่อฟัง ก็เชื่อฟัง แต่ถ้าเขาคิดไม่เชื่อฟัง เขาก็จะได้รับโทษของมัน ซึ่งมันเป็นกฎกติกา ไม่ใช่เป็นความชั่วร้ายของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า มาจากมาร เราต้องรู้เขารู้เรา พออาดัมและเอวาทำบาป  พระเจ้าบอก …

“ดีแล้วเพราะแกทำบาป ฉันเอาสิ่งชั่วร้ายใส่แก แต่ไม่ใช่ แกทำบาป แกก็ต้องได้รับผลของมัน ตามกฎกติกา แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะช่วยเจ้าเอง”

นี่คือท่าทีของพระเจ้า ช่วยด้วยนำพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป คำสาปแช่ง ในวันข้างหน้า และพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเยซูก็เสด็จมาจริงๆ

อย่าไปบอกว่าพระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่ พระเจ้าเป็นผู้เข้ามาเคลียร์ เพื่อจะให้มันกลับคืน  และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ รอวันที่พระเจ้านำโลกใหม่มาให้พวกเรา รอวันนั้นมาถึง ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่บอก คิดในสมองสิ่งชั่วร้ายมาจากมาร  สิ่งดีมาจากพระเจ้า  ท่องไว้เลยตลอด ถ้ามีสิ่งชั่วร้าย ที่คิด มองแล้วชั่วร้าย มาจากมาร ถ้ามีสิ่งดีงามทั้งหมด มาจากพระเจ้า จบเลย

เมื่อมารทำร้าย ทำลายมวลมนุษยชาติ ทำให้พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์บาป พระเจ้าก็เตรียมไว้ ต้องการที่จะกลับมาช่วยมนุษย์ใหม่ให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ให้พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ ในร่างกายได้ พระองค์ก็ทรงเตรียมไว้ อิสยาห์ 7:14 นี่คือคำเผยพระวจนะที่บันทึกไว้ล่วงหน้าเป็นพันๆ ปี ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว  คือการที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายมนุษย์ได้แล้ว แต่ที่เราจะอ่าน คือการพยากรณ์ล่วงหน้า เป็นการบอกล่วงหน้าของแผนการของพระเจ้าว่าในวันหนึ่งข้างหน้า  พระเจ้าจะทำอย่างไร?  จะแก้ไขสถานการณ์ที่มนุษย์ตกลงไปเป็นทาสมารได้อย่างไร? บอกไว้ในหนังสืออิสยาห์ 7:14 ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้น  คือประมาณสัก 700 ปีได้ คือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

อิสยาห์ 7:14 “ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล

 

นี่เขาเรียกว่าคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกล่วงหน้าถึงแผนการของพระเจ้า ที่พูดถึงการมาช่วยมนุษย์หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง และความบาปที่ได้กระทำไป โดยการหลอกลวงของมาร ซึ่งในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เป็นเงาของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าพระเยซูจะมาทำอะไร? บอกล่วงหน้า ในนี้บอกถึงเรื่องกำเนิดของพระเยซู ที่พระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เน้นคำนี้ว่า “และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เห็นหรือยัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ นี่พูดก่อนแล้ว 700 ปี ก่อนที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขน พระเจ้าจะอยู่กับมนุษย์ อยู่ในมนุษย์

มัทธิว 1:23 พูดถึงเรื่องนี้  นี่ช่วงพระเยซูมาเกิดจริงๆ แหละ คือ 700 ปีผ่านมาปุ๊บ มัทธิว 1:23 บันทึกไว้ว่า …

มัทธิว 1:23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และเขาจะเรียกท่านว่า อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

 

นี่จากมัทธิวนำข้อความนี้มาบอกว่าเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว พระเยซูคือผู้นี้แหละ ผู้ที่เรียกว่าอิมมานูเอล พระเยซูจะทำให้มนุษย์กับพระเจ้าคืนดี และพระเจ้าจะเสด็จเข้ามาอยู่ในมนุษย์ได้แล้ว พระเจ้าทรงอยู่กับเรา

ในอิสยาห์ 41:10  ได้บอกอย่างนี้ นี่ก็เป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น สามารถเอามาใช้เดี๋ยวนี้ได้

อิสยาห์ 41:10 “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือคำบอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน ก่อน 700 ปี พอพระเยซูมากระทำให้สำเร็จแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ผมจะบอกอย่างนี้นะ อิสยาห์ 41:10 ตั้งแต่วันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีมาแล้ว  มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วว่าแผนการล่วงหน้านี้สำเร็จแล้ว  เพราะฉะนั้น ข้อความที่บอกล่วงหน้าตรงนี้ ก็ต้องแก้เป็นอย่างนี้ว่าอิสยาห์ 41:10 สำเร็จแล้ว

“ดังนั้น อย่ากลัวเลย ในขณะนี้ เพราะเราพระเจ้าอยู่ในเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพ่อของเจ้า ที่สถิตอยู่กับเจ้า เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเจ้า เราได้ทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น  และจะช่วยเจ้า และได้ชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา ก็คือได้ชูเจ้าไว้ด้วยพระบุตรของเรา คือพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเจ้า  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

พูดง่ายๆ คือ “เราได้อยู่กับเจ้า และทำให้เจ้าได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของเรา ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของเรา เจ้านั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเรา ร่วมกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้” มันต้องเป็นอย่างนี้

พระเจ้ากำลังบอกอย่างนี้กับทุกคนว่า “อย่ากลัวเลย” เพราะความกลัวมันอันตรายมาก ความกลัวทำให้เกิดสิ่งชั่วร้ายมากมายมหาศาล ความกลัวทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความกลัวทำให้เกิดความโลภ ความกลัวทำให้เกิดการฆ่า ทำลาย ความกลัวเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทุกชนิด เพราะฉะนั้น  พระเจ้าไม่อยากให้เรากลัว พระเจ้าจึงบอก “อย่ากลัวเลย” ถามว่าเรากลัวอะไร? พระเยซูทราบดี พระเยซูก็เตือนเรา ในมัทธิว 6:25-34 พระเยซูพูดชัดเจนเลยว่าถ้าเรากลัว วิตกกังวลในเรื่องโน้นเรื่องนี้  ทำให้ชีวิตเราเสียไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเยซูบอกว่าพระเจ้าดูแลเราได้ทุกอย่าง ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะว่าพระเยซูพูดคำนี้ สามารถมาใช้ในเหตุการณ์ทุกอย่างได้ บางคนประสบวิกฤตตอนนี้ โควิดอย่างนี้ ไม่รู้จะพึ่งใคร? อย่างที่บอกไป ตกงาน ไม่มีงานทำ ก็ไม่รู้ว่าจะไม่มีงานทำไปถึงเมื่อไหร่?  คนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องทัวร์ คนที่ทำงานเกี่ยวกับที่ต้องใช้ชุมชนเยอะๆ แม้กระทั่งศูนย์การค้าก็ตาม แล้วจะอยู่ได้อย่างไร? หรือคนที่กำลังติดเชื้อโรคนี้อยู่จะหาย แล้วจะทำอย่างไร?  หรือคนที่ยังไม่ติด กลัวว่าจะติด แล้วจะออกไปอย่างไร? อะไรอย่างนี้ หรือคนที่บอกว่าไปซื้อของคนอื่นเขาตระหนกตกใจ ไปกว้านซื้อของจะหมดชั้นแล้ว ไม่มีน้ำกิน ไม่มีข้าวจะอยู่อย่างไร? อะไรอย่างนี้ ฟังพระเยซูปลอบใจเรา แล้วจะอธิบายให้เราฟังสั้นๆ ง่ายๆ ชัดเจนดี มัทธิว 6:25-34

มัทธิว 6:25-34 “25 “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ? 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ? 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้? 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม? จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? 31 ฉะนั้นอย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว”

 

เอาข้อความเหล่านี้ไปอ่าน ไปท่อง ไปดูเยอะๆ ในช่วงนี้มากๆ แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้า เห็นความจริงของพระเจ้าดูแลเราได้อย่างไร?  รักเรามากขนาดไหน?  ถ้าเรากังวลในความคิด ก็จะไม่มีความหวัง ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งในความคิดของเรา  จะกลัวหรือวางใจ จะกังวลหรือไว้ใจในพระเจ้า ในหนังสือ 1 เปโตร 5:7 ได้บอกอย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 5:7 “จงละความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”

 

ในวันนี้จะทิ้งท้ายไว้แค่นี้ ในเหตุการณ์ต่างๆ เช่นนี้ จงละความกังวลของท่านไว้กับพระเจ้า มันแปลได้อีกอันหนึ่งว่าจงโยนเอาความกังวลนั้นไปไว้ที่พระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกว่าจงโยนมันมาที่เรา เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน ห่วงใยมาก มากถึงมากที่สุด เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมาก รักมากขนาดที่ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เพราะพระเจ้ารักเรามาก และต้องการช่วยเราทุกคน ย้ำอีกทีว่าต้องการช่วยเราทุกคน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูมาตายบนไม้กางเขน ชำระบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามให้กับมนุษย์ทุกคน พูดอีกครั้งหนึ่ง ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ใช่ให้กับผู้เชื่อเท่านั้น แต่ให้กับมนุษย์ทุกคน แต่ผู้เชื่อ คือผู้ไปรับสิทธิ์ของเขา ผู้ที่ไม่ไปรับสิทธิ์ของเขาก็ยังมี ถามว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายเพื่อเขาไหม?  ชำระบาปให้กับเขาไหม? ชำระบาปให้กับเขา ถามว่าพระเจ้ารักเขาไหม? รักเขา ถามว่าพระเจ้าตามหาเขาไหม? ตามหา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าตามหาคนที่จะใช้สิทธิ์เหล่านี้ ให้ความสนใจกับเขามากกว่าคนที่เชื่อแล้วเสียอีก ถ้าคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้ายังรักมากขนาดนี้  เป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ มากกว่านั้นสักเท่าใด? มนุษย์คนที่ยังไม่มารับเชื่อ ยังไม่ใช้สิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะห่วงใยเขาคนนั้นมากสักเท่าใด พระเยซูได้ยกตัวอย่างว่าเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่ยังไม่เชื่อ สมมติว่ามีมนุษย์ 100 คน มี 99 คนเชื่อแล้ว มีคนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อ พระเจ้าจะละ 99 คนที่เชื่อแล้วไว้ “ละ” หมายถึงเอาไว้ก่อน แล้วใจจดใจจ่อวิ่งไป พยายามหา แล้วก็กระวนกระวายที่จะหา ช่วยเหลือคนๆ เดียวที่หลงหายไป ยังไม่ได้เชื่อ

เพราะฉะนั้น พี่น้อง มนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน ในขณะที่เหตุการณ์เป็นอย่างนี้  เราไม่รู้มันจะอีกนานเท่าไร? สำหรับบางคนเหมือนโลกแตกนะ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร? มันดูทะมึน มันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนี้ มาเป็นเวลาหลายปี ในชีวิตผมก็ไม่เคยเห็นร้ายแรงขนาดนี้ และไม่รู้ว่ามันจะจบลงได้ด้วยวิธีใด แล้วถ้าเราไม่มีพระเจ้าอยู่ เราจะดูแลตัวเราเองไหวเหรอ ได้เหรอ แต่ถ้าเราใช้สิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ เราได้รับทันที เดี๋ยวนี้เลย  เราไม่ต้องเสียอะไรเลย  ไม่ต้องมีอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง พระคัมภีร์บอกเป็นพระคุณ เป็นของฟรี เป็นของขวัญ ความรอดนี้ พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว

เพียงแต่ท่านเข้ามารับไว้เท่านั้นเอง อยากจะบอกท่านว่าให้ท่านถ่อมใจลง และยอมรับความจริงเรื่องนี้ และต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้า ผู้ไถ่บาปท่าน และพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองว่าพระเจ้าทำตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ เมื่อท่านเชื่อแค่นี้ เท่าเมล็ดมัสตาร์ดแค่นี้  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านจะรู้เองว่าท่านมีองค์แล้วตอนนี้  เป็นองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด 3 พระภาคมาอยู่ในวิญญาณของท่าน มาอยู่กับท่าน และวิญญาณของท่านกับพระเจ้า ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระวิญญาณก็จะนำท่าน สอนท่านเรื่องพระเจ้าต่อไป ท่านก็จะเหมือนกับผมและคนในโลกนี้ ค่อนโลกนี้ที่รู้อยู่แล้ว เพราะเขารับสิทธิของเขาแล้ว และท่านจะไม่วิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุอีกต่อไป ท่านจะไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  พระเจ้าจะนำพาท่านช่วยท่าน เหมือนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************