คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 6 “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  ตุลาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 6 “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะเรียนถ้อยคำพระเจ้าต่อจากครั้งที่แล้ว อยู่ในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” วันนี้เป็นตอนที่ 6 ใช้ชื่อเรื่องว่า “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?”

เมื่อครั้งที่แล้ว เราค้างกันไว้ที่เรื่องของนิโคเดมัส ฟาริสีคนยิวคนหนึ่ง ในสมัยที่พระเยซูกำลังตระเวนประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า กำลังสอนเรื่องความจริงที่ว่าคนที่จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ หรือเข้าในอาณาจักรพระเจ้าได้นั้น จะต้องบังเกิดใหม่ นิโคเดมัส ก็เชื่อ แต่ไม่เข้าใจ ก็เลยแอบมาถามพระเยซูตอนดึกๆ ว่า …

“คนเราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาหรือ?”

เราจะมาอ่านทบทวนถ้อยคำตรงนี้กันก่อนว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ยอห์น 3:1-15

ยอห์น 3:1-15 “1 มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว 2 เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา 3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่”

5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” 9 นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูก็เลยยกคำอุปมา หรือการเปรียบเทียบว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร?

พระเยซูบอกว่า … “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่”

แล้วก็ยกว่า “ลมพัดไปที่ไหนได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม ท่านใช้หูได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน? หรือจะไปที่ไหน? ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นนั้น”

พระเยซูยกตัวอย่าง หมายความว่าถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า เราอยากจะไปอยู่ในสวรรค์ เราต้องใช้ใจ ใช้วิญญาณ เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย มองไม่เห็น เหมือนลมมองไม่เห็น แต่รู้ว่ามี เชื่อเอา พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น ต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้หู ตา จมูก ลิ้น กาย พิสูจน์พระเจ้ามีจริงไหม? สวรรค์เป็นจริงไหม? ไม่สามารถใช้สัมผัสใดๆ เลย มันต้องสัมผัสด้วยวิญญาณ หรือใจเท่านั้น

การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นที่วิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาอัศจรรย์  แบบให้เห็นว่าเกิดใหม่เป็นอย่างไร? สัมผัสได้ทางเดียว คือวิญญาณเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นเช่นไร?

เรื่องของพระเจ้าในพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโมเสส เรื่องปฐมกาล เรื่องตั้งแต่สมัยอาดัม เอวา อับราฮัม กษัตริย์ดาวิด ซาโลมอน เรื่องทั้งหมดนี้ กำลังเล็งไปถึงเบื้องหลัง คือเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์เดิมที่เราอ่านกัน บนโลกใบนี้ ที่เกิดเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น ที่เรารู้เรื่องรู้ราวต่างๆ เหล่านั้น เป็นเพียงแค่เงา ให้เราเห็นว่าพระเจ้ากำลังจะทำอะไร? พระเจ้าสัญญาว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ นี่คือเคล็ดลับในการอ่านพระคัมภีร์อย่างหนึ่งที่สำคัญ

ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่ท่านได้เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ท่านจึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด ถ้าท่านไม่เข้าในโลกวิญญาณ ต่อให้ท่านอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ไม่ว่าเป็นพระคัมภีร์ใหม่หรือเก่า หน้าไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ตาม จำประวัติศาสตร์ได้หมดก็ตาม อ่านเยอะขนาดไหนก็ตาม ศึกษามากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีวันเข้าใจ ถ้าท่านไม่เล็งไปถึงเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร?  ตอนที่โมเสสแยกทะเลแดง พระเจ้ากำลังทำอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งหมดเลย ไม่อย่างนั้นเราจะหลงทาง เพราะเราอ่าน เราก็จะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา คิดไปคิดมา เละ

ก็กลายเป็นที่เขาเรียกกันว่าตาบอดคลำช้าง เราก็นึกว่าช้างต้องเป็นยาวๆ อย่างนี้นะ เพราะเราไปจับที่งามัน ยาวๆ งอนๆ แข็งแรง นี่แหละคือช้าง พอเราไปเจอช้างทั้งตัว เราตกใจ คนละเรื่องกับที่เราคิดว่าช้างเป็น พอเราไปจับที่ขามัน ช้างต้องเป็นดุ้นๆ แท่งๆ แล้วแถมข้างใต้เป็นรู เท้าช้างมีรู ต้องเป็นอย่างนี้ โผล่มาจริงๆ ตกใจ

ในข้อที่ 14 ที่บอกว่า “โมเสสยกงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารอย่างไร? บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น”

จะอธิบายความหมายตรงนี้ให้ฟังสั้นๆ วันนี้เราไม่ได้มาเน้นตรงนี้ ต้องเล่าย้อนหลังถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือกันดารวิถี เป็นช่วงที่ชาวยิวเริ่มบ่นและต่อว่าพระเจ้า คือไม่เชื่อพระเจ้า เชื่อมาได้ส่วนหนึ่ง มีอัศจรรย์เกิดขึ้นก็จริง เกิดความลำบาก ก็เริ่มบ่น ไม่เชื่อพระเจ้า ก็เริ่มต่อต้านผู้นำของพระเจ้า คือโมเสส ที่นำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์และต้องผจญกับความทุกข์ทรมาน เบื่อจะตาย บ่น  พระเจ้าก็เลยรำคาญ จำไว้นะ พระเจ้าไม่ได้โหดร้าย แต่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อย่าตัดสินตามที่ตาเราอ่านดู แล้วเราก็บอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ อย่านะ พระเจ้าก็เลยลงโทษพวกนี้ โดยส่งงูพิษ ในนั้นเขียนไว้เลย ส่งงูพิษมากัดคนเหล่านั้น กัดตาย ชาวอิสราเอลก็สารภาพผิด ไปหาพระเจ้า ยกโทษให้ ไม่บ่นแล้วๆ พระเจ้าก็บอกโอเค จะยกโทษให้ โดยสั่งโมเสส

โมเสสไปเอาไม้เท้าของเจ้ามา แล้วก็ทำสัญลักษณ์เป็นรูปงู ผู้ใดที่ถูกงูกัด พระเจ้ายกโทษให้โดยการใช้ความเชื่อของตัวเองว่าพระเจ้าบอกว่าให้ไปหาโมเสส แล้วพระเจ้าให้โมเสสยกไม้เท้ารูปงูนั้น ปักไว้กลางค่าย ใครที่เชื่อ เดินไปมองที่รูปงูนั้น พระเจ้าจะอภัยให้ ไม่ตาย แค่นั่นเอง จบ

พระเยซูบอกว่าโมเสสยกงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารอย่างไร? บุตรมนุษย์ ก็คือพระเยซูก็จะถูกยกขึ้นอย่างนั้น

ความหมาย ก็คือสมัยโมเสส ยกงูขึ้น แล้วคนป่วย ก็ได้รับการรักษาให้หาย ไม่ต้องตาย

บุตรมนุษย์ คือพระเยซูก็ถูกยกขึ้น ตอนที่พระเยซูพูดยังไม่ถูกยกขึ้น เพราะยังไม่ถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน แต่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน จะถูกยกขึ้นเช่นนั้น เหมือนกัน คือผู้ที่ไปมองที่ไม้กางเขน เมื่อพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเชื่อในพระเจ้าว่านี่คือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อไถ่เขาหลุดพ้นจากความบาปและความตาย เขาจะไม่ต้องตาย เขาจะเป็นขึ้นมาใหม่ เขาจะบังเกิดใหม่ทันที เอเมน พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร? ไปอยู่ด้วยการบังเกิดใหม่ ใครมองพระเยซูที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และเชื่อในพระเจ้าว่าผู้นี้แหละพระเจ้าส่งมา เขาจะได้รับการรักษาให้หายทางวิญญาณ พระโลหิตพระเยซูเท่านั้นที่รักษาได้ คือโรคบาป

เกิดมาก็ติดเชื้อบาปแล้ว ไม่มีใครรักษาได้ นอกจากความเชื่อ ในพระโลหิตพระเยซูที่ยกขึ้นที่ไม้กางเขน เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะได้รับการรักษาให้หาย เห็นไหม? รักษาให้หายทางวิญญาณ พระเยซูอุปมาเหล่านี้ทั้งหมด เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์กับเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ

กิจการ 26:14-18 ฟังพระเยซูพูดเองเลยว่าเป็นอย่างไร? ก่อนจะอ่าน ผมจะเล่าเรื่องให้ฟังก่อนว่าเบื้องหลังคืออะไร? เป็นประสบการณ์ของเปาโล ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เปาโลเป็นนักศาสนาตัวยงเลย เรียนสูงมาก และรักพระเจ้ามากด้วย นับถือศาสนายิว แบบเคร่งครัดมาก แล้วก็ต่อต้านพระเยซูมากเช่นเดียวกัน เพราะยังไม่เข้าใจ ทุกอย่างทำตามตา หู จมูก ลิ้น กายเท่านั้น ใจไม่มีเลย ก็เห็นว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้า อะไรประมาณนั้น ถือว่าตัวเองเคร่ง ยิ่งเคร่ง ยิ่งต่อต้าน เขาต่อต้านพระเยซูสุดขีด แม้กระทั่งพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วก็เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว เปาโลก็ไม่หยุดแค่นั้น คนที่เชื่อพระเยซู คือคริสเตียน สมัยนั้น ถูกเปาโลข่มเหงรังแกเยอะแยะมากมายไปหมด ถึงขนาด ขอใบอนุญาตจากสภาศาสนาของชาวยิว เพราะยิวสมัยนั้น ปกครองด้วยระบบสูงสุด คือระบบศาสนา  … ศาสนาอยู่เหนือกฎหมาย เอาศาสนาเป็นตัวสำคัญ เอาใบอนุญาตมา เพื่อไปข่มเหงรังแกชาวยิวทั้งหลาย ที่กลับตัวมาเป็นคริสเตียน จับมาขังคุก เฆี่ยนตีบ้าง บังคับให้เลิกเชื่อ บังคับให้ปฏิเสธพระเยซู นี่คือประสบการณ์หนึ่งของเขา เขาเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ในละแวกที่ยิวอยู่ในสมัยนั้น ในอิสราเอล

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังเดินทางไปดามัสกัส พร้อมทหารของสภาชาวยิว เพื่อจะไปจับคนที่เป็นคริสเตียน ในขณะที่เขาเดินทางไป พระเยซู ซึ่งตอนนั้น เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว อยู่กับเหล่าสาวก 40 วันแล้ว ลอยเข้าไป ได้รับเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว มองด้วยตาไม่เห็นแล้ว แต่สัมผัสด้วยวิญญาณรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ เพราะว่าคริสเตียนเกิดขึ้นมากมาย เกิดเป็นดอกเห็ดเลย คนโน้นก็เป็นคริสเตียน คนนี้ก็เป็น คริสเตียน เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ทำการงานในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในโลกวิญญาณ เปาโลมองไม่เห็น เปาโลก็ควบม้าไป ทันทีทันใดนั้น พระเยซูที่อยู่ในโลกวิญญาณ ปรากฏพระองค์เองให้เปาโลเห็น (คนเดียว) ไปกันหลายๆ คน แต่เปาโลเห็นคนเดียว เพราะพระเยซูต้องการเรียกคนๆ นี้ นี่คือสิทธิ์ขาดของคำว่าพระเจ้าจะทำอะไรก็ได้ พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจ เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงเรียกเปาโลคนเดียว ให้รู้ความจริง มาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างทาง

กิจการ 26:14-18 “14 พวกข้าพระบาททั้งหมด ล้มลงกับพื้น  และข้าพระบาทได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับข้าพระบาทเป็นภาษาอารเมคว่า  ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม  เป็นการยากที่เจ้าจะขัดขืนความประสงค์ของเรา  15  “แล้วข้าพระบาทถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด  “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า  ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง 16 บัดนี้ จงลุกขึ้นยืนเถิด  เราได้ปรากฏแก่เจ้า ก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้รับใช้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเรา และสิ่งที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 17 เราจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเองและจากชาวต่างชาติ เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา 18 เพื่อเปิดตาของพวกเขา และหันพวกเขาจากความมืด มาสู่ความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาป และได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยความเชื่อในเรา”

 

พระเยซูกำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พระเยซูได้บอกกับเปาโลถึงวัตถุประสงค์ของพระองค์ว่า ..

“เราได้ปรากฏแก่เจ้า ก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเรา (ได้เห็นนะ) และสิ่งที่เราจะสำแดงกับเจ้า (คือจะบอกในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ) ต่อไป”

แสดงว่าพระเจ้า พระเยซูได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณของเปาโล แต่ตาทางเนื้อหนังของเปาโลตอนนั้นบอดเลย บอดทางตาเนื้อหนัง แต่ตาวิญญาณได้ถูกเปิดออก พูดง่ายๆ เหมือนบังเกิดใหม่ พระเยซูเรียกเปาโลมาเป็นผู้รับใช้ เพื่ออะไร? อ่านดีๆ พระเยซูพูดเอง

“เราจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเอง”

คือพวกยิวด้วยกัน เพราะเมื่อเปาโลมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็จะถูกข่มเหงด้วยพวกยิวนั่นแหละ เธอจะถูกล่าบ้างล่ะ แต่ฉันจะเป็นคนช่วยเธอให้รอดพ้นเอง นี่คืออนาคต

“และจากชาวต่างชาติ” คือใครก็ตามที่ไม่ใช่คนยิว

“เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา” คือพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว รวมทั้งคนไทยด้วย เปิดตาวิญญาณพวกเขา รวมทั้งพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย คนไทย คนจีน คนอะไรแล้วแต่

“และหันพวกเขาจากความมืด มาสู่ความสว่าง” คำว่า “หัน” ภาษาเดิมแปลว่า “และย้ายพวกเขา นำพวกเขาออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง”

“และจากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาป (ที่อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในชีวิตของเขา) และได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยความเชื่อในเรา” ก็คือเขาจะได้เข้ามาอยู่ในหมู่ของคนที่อยู่ในสวรรค์ ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในเรา คือพระเยซู ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต

พระเยซูบอกว่าเราส่งเจ้าไป เพื่อเปิดตาคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เปิดตาฝ่ายวิญญาณของพวกเขาให้ออก และนำเขาให้ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง จากอำนาจของซาตานมาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการยกโทษจากความผิดบาป เพื่อเขาจะได้มาเป็นธรรมิกชน เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เรียกว่าผู้บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีการลงโทษใดๆ ไม่มีติดภาระโทษใดๆ ในตัวเขาเลย ได้รับการชำระด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าเกิดใหม่นั่นเอง

นี่คือรูปภาพของมนุษย์ จากพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 5:23 บอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ซึ่งเราเรียกว่าความคิด จิตใจ จิตใต้สำนึก แล้วก็มีร่างกาย สัมพันธ์กันโดยคำพูดประโยคนี้ว่า …

“มนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีความคิดจิตใจ มีจิตใต้สำนึก อาศัยอยู่ในร่างกาย”

อันนี้เห็นชัดขึ้น ท่านเดินไปที่ไหน? ท่านเห็นตัวท่านเองในกระจก หรือท่านเดินไปที่ไหน? ท่านรู้ว่าคนนั้นเป็นมนุษย์ ท่านมองทะลุเข้าไป ท่านจะเห็นเป็นอย่างนี้ทุกคน ในโลกวิญญาณเป็นเช่นนี้ พระคัมภีร์บอกเป็นเช่นนี้ ตื่นขึ้นมามีหน้าที่เตือนตัวเองว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณ ฉันมีความคิดจิตใจ ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ชั่วคราวเท่านั้น”

คำว่า “ชั่วคราว” หมายถึงร่างกายนี้นะ เอเมน สิ่งที่อยู่ตลอดไป คือความคิดจิตใจ และวิญญาณแต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็ไปแล้ว เราจะได้ไม่มาติดยึดอยู่กับโลกนี้มากนัก ตื่นขึ้นมาเห็นหมดเลย เห็นชื่อเสียง เห็นเงินทอง เห็นร่างกายแข็งแรง เห็นความดีงามของโลกใบนี้หมด ลืมไปว่าของพวกนี้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เดี๋ยวมันก็สิ้นสุด เดี๋ยวมันจบไป เปลี่ยนแปลงทุกวัน มีวันสิ้นสุด ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน แก่ขึ้นทุกวัน ไปสู่ความตาย วันสิ้นสุดทุกวัน แต่วิญญาณอยู่ตลอด ความคิดจิตใจอยู่ตลอด เรามีหน้าที่จัดการวิญญาณให้มันดีๆ แล้วกัน เอเมน ถ้ายังไม่เกิดใหม่ ก็พยายามหาทางให้เกิดใหม่สิ พอเกิดใหม่แล้ว วิญญาณที่มีอยู่ปรับปรุงให้มันสมกับที่มันเกิดใหม่หน่อย สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย อะไรอย่างนี้

ตอนที่พระเยซูยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนตกลงไปอยู่ในความบาป ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณเป็นทาสของความบาปและความตาย เรียกว่าความมืด อยู่ใต้อำนาจของมารซาตาน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ตอนที่พระเยซูบอกว่าสวรรค์มาแล้ว ใครที่เชื่อพระเยซูจะได้เกิดใหม่ จะได้เข้าไปในสวรรค์ บังเกิดใหม่ที่ตาเรามองไม่เห็น คือทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจและอาศัยอยู่ในร่างกายที่เกิดใหม่ เขาเรียกว่าเกิดใหม่ชั่วคราว เกิดใหม่ระดับหนึ่ง เพราะวันหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงร่างกายนี้ ก็คือปรับปรุงร่างกายนี้ ให้สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ แต่ก่อนนี้ติดต่อไม่ได้เลย ร่างกายเรา ที่อาศัยอยู่นี้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ระดับหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่อาศัยของพระเจ้าได้ เรียกว่าพระวิหารของพระเจ้า

“ท่านไม่รู้หรือ ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า”

วิญญาณของท่าน ที่เป็นตัวจริง มันบังเกิดใหม่จริงๆ 100% นิวคลีเอชั่น สะอาดหมดจด ปิ๊ง มาพร้อมกับความคิดจิตใจเลย แต่ความคิดจิตใจท่านยังสามารถสะอาดก็จริง บริสุทธิ์เกิดใหม่ก็จริง แต่มันอาจจะกินฉี่ กินอึของตัวเองอยู่ เพราะว่ามันยังเล็กอยู่ รอให้เติบโตขึ้น ก็จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่เกิดใหม่แล้ว เหมือนเราอยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นคนแล้ว เป็นมนุษย์แล้ว ทำนองเดียวกัน ถ้าบังเกิดใหม่ วิญญาณก็ใหม่เอี่ยมเลย ตอนเด็กๆ ก็ทำเหมือนเด็กๆ ไปก่อน แต่พอโตแล้ว เขาก็จะรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ แล้ววิธีเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจทำอย่างไร?  พระคัมภีร์บอกเอาถ้อยคำพระเจ้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว  การเป็นขึ้นจากตาย  ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์  คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น”

ความตายฝ่ายวิญญาณ คือถูกตัดขาดออกจากสวรรค์ ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า เพราะในเมื่อความตาย ได้สืบเนื่อง ได้ตกทอดมาจากมนุษย์คนเดียว คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ก่อนที่เราจะเกิด เราก็อยู่ในพ่อและแม่ของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในปู่ย่าของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิดเราก็อยู่ในตาทวดของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในซุปเปอร์อากง ซุปเปอร์อาม่าของเรานี่แหละ ไปไม่รู้กี่ทอด จนกระทั่งก่อนเราจะเกิด ไล่ไปจนกระทั่งก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในอาดัมนี่แหละ เราจึงได้รับการตาย เป็นทาสของความตาย เป็นทาสของมาร ตกทอด จากบรรพบุรุษของเรา มาถึงตัวเรา

ข้อพระคัมภีร์บอกว่า “การเป็นขึ้นจากตาย” ก็คือการหลุดพ้นจากอำนาจของความตายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรของพระเจ้า การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน มนุษย์คนนั้น ก็คือพระเยซู เพราะฉะนั้น การที่จะย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ เราต้องเชื่อในพระเยซู ให้พระองค์เป็นผู้ช่วยเรา ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในพระเยซู

เพราะว่าในอาดัม ในมืดๆ กลมๆ นั้น มนุษย์ทั้งปวง ตายฉันใด อยู่ใต้อำนาจของความบาป อยู่ใต้อำนาจของความมืดและมารฉันใด ในพระคริสต์ตรงขาวๆ คือสวรรค์ แสงสว่าง พระเจ้า ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น

“ชีวิต” หมายถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่มีบาป  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์

ถ้าแปลให้ชัดๆ ภาษาเดิม ง่ายนิดเดียว “เพราะว่าความตายทั้งหมด ที่ได้เข้ามาในโลกนี้ เกิดจากมนุษย์ เพียงคนเดียว ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เพียงคนเดียว ก็ทำให้มีการเป็นขึ้นจากตาย และเพราะว่าในอาดัมทำให้มนุษย์ทุกคนต้องตาย ฉันใดก็ฉันนั้น ในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นขึ้นมาใหม่ ได้รับชีวิตใหม่ในพระเจ้า เอเมน”

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

ที่พระเยซูพูด และที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ มนุษย์ทุกคนอยู่ในความมืด อยู่ในความบาป อยู่ในความตาย หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ตายอยู่ในความชั่วร้ายต่างๆ ทางวิญญาณและออกมาทางความคิดจิตใจ และทางร่างกาย อยู่ในอำนาจมืด อยู่ในกำมือ อยู่ในการบีบบังคับ กดขี่ข่มเหง โดยมารซาตาน อยู่ในทางวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกมันเป็นเช่นนั้น

ตอนพระเยซูมาเกิด เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์บอกสวรรค์กำลังมา และวันที่พระองค์ทรงถูกตรึงแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว พระองค์บอกสวรรค์มาถึงแล้ว เรียบร้อยแล้ว จบ เราทำสำเร็จแล้ว คือเอาสวรรค์มา ที่ไม้กางเขน พระองค์ตรัสตอนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

แปลว่าเราทำให้สวรรค์มาถึงที่นี่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีที่ย้ายแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่มีที่ไป ตอนนี้พระเจ้ามาแล้ว มาช่วยปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากอำนาจของความมืด และอำนาจของผีมารซาตาน และนำพาพวกเขามนุษย์ทุกคน เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระองค์เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดี

พระองค์ทรงรักและห่วงใย และต้องการให้เขากลับมา ที่พระเยซูส่งเปาโลออกไป ก็เพื่อสิ่งนี้เหมือนกัน เพื่อนำเอาข่าวดีนี้ ให้มนุษย์ทุกคนได้ยินได้ฟัง และเปิดตาวิญญาณเขา ให้เขาได้เห็น และให้เขาเข้ามารับเอาสิทธินี้เท่านั้นเอง  ที่พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ในโลกฝ่ายวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว

โคโลสี 1:12-13 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พอใครตาสว่างแบบนี้แล้ว และได้บังเกิดใหม่อย่างนี้แล้ว จะบอกว่า … ขอบพระคุณพระบิดา ขอบพระคุณพระเจ้ามากเลย ไม่ใช่แค่พูด แต่ในใจลึกๆ ขอบคุณจริงๆ ไม่มีใครสามารถช่วยมนุษย์ได้เลย ขอบคุณในสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขอบคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกเราเหมาะสม คือมีคุณสมบัติพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะมีส่วนอยู่ในสวรรค์ มีกรรมสิทธิ์ เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่สวรรค์ได้ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระองค์ได้นั่นเอง

ในข้อ 13 บอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

คือพระองค์ได้ย้ายเราออกจากความมืด ในอาดัม  มาอยู่ในพระคริสต์ มาอยู่ในครอบครัวใหม่ ครอบครัวของสวรรค์ ครอบครัวของพระเจ้า ครอบครัวแห่งแสงสว่าง

โคโลสี 1:21-22 “21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่าน ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์”

กลับไปที่รูป … ครั้นหนึ่ง เราเคยถูกแยกออกจากพระเจ้า แยกออกจากแสงสว่าง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าในวิญญาณของเรา เพราะพฤติการณ์ชั่ว หมายถึงในวิญญาณมันสกปรก เหมือนที่พระเยซูบอกว่าถ้าข้างในสกปรก ข้างนอกผลมันก็ต้องสกปรกแน่นอน ต่อให้ทำดีอย่างไร? มันก็สกปรก มันเหมือนหลุมศพ ฉาบปูนขาว ต้นไม้จะต้องให้ผลดีเสมอ ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลเลว รากของท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในวงกลมๆ ที่เป็นดำนี้ ท่านไม่มีวันที่จะมีอะไรดีเลย ในนี้ถึงบอกว่าชั่วร้าย บางท่านบอกว่า …

“ฉันก็เป็นคนดีนะ  พระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ในวิญญาณของท่านเป็นอะไร?”

มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ  มันไม่ได้มาวัดตรงข้างนอกว่าทำอะไร? ข้างในวิญญาณของท่านเป็นตัวกำหนด นี่คือหนึ่งในอุปมาที่เราเรียนไปแล้ว

ข้อ 22 ได้บอกว่าแต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ แต่ก่อนท่านอยู่ในความมืด แต่บัดนี้ ทำให้ท่านคืนดี คือสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ตรงสีขาวๆ นั้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายท่าน ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ ทั้ง 3 ด้านของท่าน ถวายให้เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ และพ้นจากผู้กล่าวหา ต่อหน้าพระองค์ จะได้เป็นวิหารของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านได้ เพราะพระองค์อยู่สกปรกไม่ได้  วิหารไม่ได้หมายถึงต้องสะอาดตลอด ไม่ได้หรอก เพราะท่านอยู่บนโลกนี้ อาจจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนบ้าง มันไม่ได้สำคัญ มันอยู่ที่ข้างในของท่านสำคัญกว่าเยอะ

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์  ในการจุ่มลง ดองลงไปกับพระองค์ ประโยคแรกแปลแค่นี้เอง บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ดองกัน พระเยซูถูกฝังไว้ ท่านก็ถูกฝังด้วย

และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตาย พร้อมกับพระเยซู … พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากตายในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นมาด้วย แค่นี้เอง ทั้งหมดนี้ผ่านทางความเชื่อของท่าน เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ต้องเข้าใจ ผ่านทางความเชื่อ เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกพระเยซูเป็นขึ้นมา ฉันก็เป็นขึ้นมาด้วย จบแล้ว เราจุ่มลงไปกับพระเยซู ไม่ใช่เพิ่งมาจุ่มตอนเราเชื่อ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 6 ปีที่แล้ว จุ่มตั้งแต่โน้น ตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน ฉันก็อยู่ด้วยแล้ว พระเยซูถูกเฆี่ยน ฉันก็ถูกเฆี่ยนด้วย พระเยซูถูกตรึง ฉันก็ถูกตรึงด้วย พอพระเยซูบอกตาย ฉันเลยตายไปด้วย แปลว่าอย่างนั้น พอพระเยซู 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ ฉันก็เลย เป็นขึ้นด้วย

ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา ถ้อยคำเหล่านี้เป็นอาหารทางวิญญาณ เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของท่าน ความคิดของท่าน ที่เป็นตัวตนของท่าน  ที่จะติดวิญญาณของท่าน เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ร่างกายไม่ได้ ติดไป ทิ้งไป  แต่ความคิดจิตใจท่านติดไปด้วย จะได้เรียนรู้มากขึ้นว่าคืออะไร? ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข  มีชีวิตที่ดีกว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดินอยู่บนโลกใบนี้ สะเปะสะปะ ได้รับความรอดเหมือนกัน น่าจะได้รับความรอดแบบผ่านไฟ ถ้ารอดอย่างนี้มันสงบกว่า จะเอาอย่างไหน? ก็แล้วแต่เลือก

โคโลสี 3:1-3 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“ในเมื่อได้ทรงทำให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นพร้อมกับพระคริสต์แล้ว” รู้แล้วเป็นขึ้น เป็นอย่างไร? ลอยขึ้นมาด้วยกัน เราอยู่ในพระคริสต์

“ก็จงให้ใจของท่าน” ใจตัวนี้ไม่ได้แปลว่าวิญญาณ  แต่ใจตัวนี้ แปลว่าจงให้ความคิดจิตใจของท่าน กลับมาที่รูป จะได้รู้ว่าตรงไหนควรจะทำ ตรงไหนไม่ควรทำ มองไปที่วิญญาณข้างในลึกๆ ตัวของท่าน วิญญาณข้างในของท่าน ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เพราะอยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ความคิด มันจดจ่อไปกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน

สิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ เข้ามาที่ตัวตรงกลาง ตรงวิญญาณของท่าน ความคิด จิตใจของท่านพยายามสื่อมาที่ตัววิญญาณของท่าน ทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลาเลย รับข่าวสารจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในวิญญาณของท่าน จดจ่อ แปลว่าต่อเนื่องกันอยู่เรื่อยๆ มันมาได้ 2 ทาง ตัวท่านอยู่ตรงกลาง วิญญาณของท่าน เสร็จแล้วมาความคิดจิตใจของท่าน แล้วมาเนื้อหนังร่างกาย เนื้อหนังร่างกายนี้ ที่ผมบอกว่ามันได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ อยู่ระดับเดียว มันยังเป็นสื่อรับกระแสความบาป ส่งผ่านทางปรสิต ตัวกาฝาก มันยังสามารถมาแปะติดอยู่กับเนื้อหนังร่างกายเก่าเราได้ ซึ่งตัวนี้ มันเป็นตัวต่อต้านที่อยู่ข้างใน ดังนั้น ความคิดจิตใจท่านต้องพยายามสื่อกับตัวที่อยู่ข้างในให้ดีๆ แค่นั้นเอง

ให้จดจ่อความคิดจิตใจของท่านไปที่เบื้องบน คือด้านในของท่าน คำว่า “เบื้องบน” หมายถึงที่ดีกว่า ไม่ได้หมายถึงเบื้องบนขึ้นไปบนสวรรค์ ตรงนี้ก็สวรรค์แล้ว สวรรค์มันไม่มีระดับว่าต้องขึ้นไปข้างบน สวรรค์อยู่ตรงนี้ อยู่บนโลกใบนี้แหละ อยู่ในตัวท่าน เอาความคิดจิตใจของท่านจดจ่อไปวิญญาณของท่าน ที่อยู่ด้านใน

ในนี้บอกว่า “ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” ที่ตรงนี้ ที่ท่านกำลังจดจ่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ตรงนี้ แล้วท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูด้วย เพราะท่านอยู่กับพระคริสต์ไง พระคริสต์นั่งอยู่ที่นั้น ท่านก็เลยนั่งอยู่ด้วย เห็นไหม? นี่คือความจริง ในถ้อยคำพระเจ้า มันต้องใช้วิธีนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

“จงให้ความคิดของท่าน” อันนี้ชัดเลย จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก สิ่งฝ่ายโลก ร่างกายของท่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ฝ่ายโลกทั้งนั้น มันติดต่อกับฝ่ายโลก มันติดต่อกับผู้คน ติดต่อกับอากาศ ติดต่ออาหาร  ติดต่อกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ความโมโห ความโกรธ ความใคร่ เยอะแยะไปหมดเลย ให้ความคิดจิตใจท่านจดจ่อไปที่พระเจ้าข้างใน อย่าไปจดจ่อกับตัวร้อน เป็นไข้ ทำให้ฉันโมโห อยากได้อย่างนั้นบ้าง อิจฉาริษยาเขาจังเลย อยากได้เหมือนเขา  นี่แหละคือฝ่ายโลก ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง แล้วนี่ก็คือสงครามของคริสเตียนทุกคน ความคิดจิตใจเลยจะไปทางไหนดี จะไปทางโลก หรือจะไปทางพระเจ้าดี ก็ไปๆ มาๆ ก็เต้นรำถวายพระเจ้าไปก็แล้วกัน ก็คือให้พระเจ้านำไปทีละวันๆ พลาดบ้าง? ก็ไม่เป็นไร? กลับมา

“โอ้! พระเจ้าลูกไม่อยากทำเลย แต่ลูกก็รู้ว่าพระองค์ทรงให้อภัยลูกอยู่แล้ว ลูกเสียใจ ให้กำลังใจลูกใหม่”

แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกิดหรือไม่เกิด? เกิดก็คือเกิดไปแล้ว  ถ้าไม่เกิด ก็คือไม่เกิดเลย พระคัมภีร์บอกว่าถ้าอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระองค์ได้ พระองค์พูดไว้อย่างนี้ ในหนังสือโรม 8:38-39 ไม่มีใครลึกขนาดไหน? ใหญ่ขนาดไหน? กว้างขนาดไหน? หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ที่จะเอาเจ้าออกไปจากเราได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูช่วยให้เจ้ารอด และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเจ้าแล้ว และเจ้าเชื่อจริงๆ แล้ว เจ้ารอดแล้วไม่ต้องห่วง เอเมน

สุดท้าย “จดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก” เพราะตัวเก่าที่เป็นทาสของมารซาตาน มันตายไปแล้ว แต่ก่อนเป็นทาสมัน สลัดมันไม่พ้น แต่บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า อย่างที่ผมบอกแล้ว เพราะชีวิตของเราตอนนี้ ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ บัพติศมา ดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ไปไหนก็แอบอยู่ในนี้ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ ตัวเราเองยังทำอะไรตัวเราเองไม่ได้ เพราะเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ เห็นภาพตรงนี้เถิด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************