คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 18 “เป็นไปตามแผนการพระเจ้าทุกอย่าง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  พฤษภาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 18 “เป็นไปตามแผนการพระเจ้าทุกอย่าง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ตอนที่ 18 วันนี้อยากจะให้ท่านได้เห็นภาพ และมั่นใจว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า ทรงบอกไว้ล่วงหน้า เผยพระวจนะไว้ มันก็จะเกิดขึ้นเป็นไปตามนั้นจริงๆ คำเผยพระวจนะ หรือคำบอกล่วงหน้า ที่มีมาตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิม ตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ บันทึกไว้เป็นหลักฐาน เป็นร้อย เป็นพันปี มาถึงวันนี้ สิ่งที่เผยพระวจนะล่วงหน้า ตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย มันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ แล้ว ตามประวัติศาสตร์ที่เราได้เห็น ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ 80 – 90% ชี้ให้ท่านเห็น เพราะฉะนั้น อีกหลายๆ อย่าง ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ อีกประมาณ 20% มันก็ต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามนั้น เช่นเดียวกัน เอเมน

การบรรยายในวันนี้ มีชื่อตอนว่า “เป็นไปตามแผนการพระเจ้าทุกอย่าง” วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจให้ละเอียด ในความหมายของถ้อยคำพระเจ้า ที่มีมาถึงดาเนียล หลังจากที่ดาเนียลอธิษฐาน ทูลขอ การช่วยกู้จากพระเจ้า  ในการนำอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน ในบทที่ 9

ที่มีคำว่า “70 ของ 7”   “62 ของ 7”  “1 ของ 7” จริงๆ ในพระคัมภีร์ไม่มีคำว่า “ของ” เหมือนเราพูด 7  11  เลข 7 แปลว่า “ครบถ้วนบริบูรณ์”

สมมติใครถามท่านว่า “คริสตจักรของเราจะมีที่ใหม่ แล้วก็สร้างสถานนมัสการให้ใหญ่กว่านี้ นั่งสบาย มีที่จอดรถ จอดได้ง่ายๆ เห็นบอกจะสร้าง สร้างเมื่อไร?”

ท่านตอบว่า “ไม่รู้”

ก็ได้หมด 7 วันก็ได้ 7 ปีก็ได้ … 7 แปลว่าเมื่อถึงเวลานั้น เวลาครบถ้วนบริบูรณ์ เวลาสมบูรณ์ เวลาสมควร มันก็จะเกิดขึ้น เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

ก่อนที่จะเข้าเรื่อง 70 ของ 7 ย้อนกลับไปเริ่มต้น ราวๆ ปี 605 ก่อนพระเยซูเกิด คำเผยพระวจนะ คำบอกล่วงหน้าของเยเรมีย์ ผู้รับใช้ บอกว่า …

“อาณาจักรยูดาจะล่มสลาย และชาวยิวจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองบาบิโลน”

ตัวเอก คืออิสราเอล สถานที่เอก คือเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวง

มาดูว่าเยเรมีย์ พูดเผยพระวจนะนี้อย่างไร? เยเรมีย์ 20:4-5

เยเรมีย์ 20:4-5 “4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะทำให้เจ้าเป็นที่สยดสยอง ทั้งแก่ตัวเจ้าเอง และแก่เพื่อนฝูงทั้งปวงของเจ้า ตาของเจ้าเอง จะเห็นพวกเขาล้มตายด้วยคมดาบของเหล่าศัตรู เราจะมอบยูดาห์ไว้ในเงื้อมมือกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งจะกวาดต้อนพวกเขาไปยังบาบิโลน หรือฆ่าทิ้ง 5 เราจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงของกรุงนี้ แก่ศัตรูของพวกเขา ได้แก่ผลิตผลทั้งปวง ทรัพย์สินมีค่า และสมบัติทั้งสิ้นของบรรดากษัตริย์ยูดาห์ ศัตรูจะปล้นและริบไปยังบาบิโลน”

 

ประมาณเกือบ 20 ปี หลังคำเผยพระวจนะ คือประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล กรุงเยรูซาเล็ม ก็ถูกรุกราน โดยกองทัพกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน และชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจริงๆ พวกบาบิโลนได้เผาทำลายกรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งวิหารในกรุงเยรูซาเล็มก็ถูกเผาทำลายหมดด้วย เป๊ะเลย และในพระคัมภีร์อิสยาห์ก็มีคำเผยพระวจนะอย่างนี้ เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบาบิโลน หลังจากนี้ หลังจากที่เยเรมีย์เผยพระวจนะไว้ อิสยาห์มาเผยพระวจนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในอิสยาห์ 13:17-19

อิสยาห์ 13:17-19 “17 ดูเถิด เราจะเร่งเร้าชาวมีเดีย ผู้ไม่แยแสเงินและไม่ใส่ใจทอง มาต่อสู้กับพวกเขา 18 ธนูของเขาจะสังหารพวกคนหนุ่ม เขาจะไม่ปรานีเด็กอ่อน หรือเวทนาสงสารผู้เยาว์ 19 บาบิโลน มณีแห่งอาณาจักรทั้งหลาย ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของชาวบาบิโลน จะถูกพระเจ้าล้มล้าง เหมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์”

 

คำเผยพระวจนะบอกว่าบาบิโลนจะถูกลบล้างโดยชาวมีเดีย เปอร์เซีย และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ตามประวัติศาสตร์ ก็คือในปี 539 ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์ไซรัสได้นำทัพ บุกยึดกรุงบาบิโลนสำเร็จ บอกล่วงหน้าแล้ว และระหว่างที่ชาวยิวยังเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลนอยู่นั้น ก็ยังมีคำเผยพระวจนะมายังเยเรมีย์ ซึ่งอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งในจำนวนเชลย เยเรมีย์เปิดเผยอีกว่าพระเจ้าจะทรงปลดปล่อยให้ชาวยิวเป็นอิสระ หลังจากที่เป็นเชลยครบ 70 ปี ในเยเรมีย์ 9:10 บันทึกเอาไว้

เยเรมีย์ 9:10 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เมื่อเป็นเชลยในบาบิโลนจนครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะมาเยือนเจ้า และทำตามสัญญาแห่งพระคุณ ที่จะนำเจ้ากลับคืนมาที่นี่”

 

นี่เป็นหนึ่งในจำนวนคำสัญญาที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า จริงๆ บอกล่วงหน้าเรื่อยๆ เยอะแยะ พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะให้ไปเป็นเชลย 70 ปี จากนั้น ก็จะทรงปลดปล่อยให้เป็นไท และให้กลับบ้านเกิด เยรูซาเล็ม เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น มันก็ต้องเกิดขึ้นตามนั้นเป๊ะ ทั้งเวลา ทุกอย่างเป๊ะหมดเลย 2 พงศาวดาร 36:22-23

2 พงศาวดาร 36:22-23 “22 ในปีที่หนึ่งของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลพระทัยกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ให้ออกประกาศทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรความว่า 23 กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า “‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานราชอาณาจักรทั้งสิ้นของโลกนี้แก่ข้าพเจ้า และได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า สร้างพระวิหารถวายแด่พระองค์ที่เยรูซาเล็ม ในเขตยูดาห์ ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระเจ้า ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา สถิตกับเขา และให้เขากลับไปเถิด”

 

“ในปีที่ 1 ของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ”

ก็คือพระองค์ทรงบอกล่วงหน้าไว้แล้ว และพระองค์ทรงทำให้สำเร็จ พระองค์ควบคุมทุกอย่าง พูดคำไหน ก็เป็นอย่างนั้น ใครจะมาขวางพระองค์ได้

“โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลพระทัยกษัตริย์ไซรัส”

เห็นไหม? เพราะฉะนั้น  มีใครไม่ชอบท่านตอนนี้ไหม? คิดในใจ แสดงว่าพระเจ้าดลใจให้เขาไม่ชอบหน้าเรา พระเจ้าควบคุมทุกอย่างจริง กษัตริย์ยังควบคุมได้เลย แล้วประสาอะไรกับคนธรรมดาจะควบคุมเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปโกรธเลย

กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียมีความโปรดปรานชาวยิว ปล่อยให้ชาวยิวไปเป็นอิสระ พระเจ้าทรงดลใจ พระเจ้าสามารถทำอะไรกับเราก็ได้ ตอนนี้ ท่านก็รู้วิธีแก้ไขปัญหาแล้วว่าต้องทำอย่างไร? ก็เข้าไปหาพระเจ้าผู้ทรงควบคุม บังคับ บัญชาการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ท่านอยากจะได้อะไร?  ที่คิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วอธิษฐานฝากสิ่งนั้นไว้กับพระองค์ แล้วพระองค์จะทำสิ่งนั้นให้กับท่านดีที่สุด เกินกว่าที่ท่านจะตั้งใจไว้ว่าอยากจะได้อย่างนี้ พระเจ้าอาจจะให้ท่านเยอะ และดีกว่านั้นอีกมากมาย เอเมน

ในปีที่ 1 แห่งรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ตอนที่กษัตริย์ไซรัสออกพระราชกฤษฎีกานี้ อยู่ในระหว่างปี 538 ก่อนคริสตศักราช และตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของคำตอบของดาเนียล จากพระเจ้า ในบทที่ 9 ตอนที่ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่นั้น เป็นตอนที่กำลังอ่านพบในพระคัมภีร์เดิม คำเผยพระวจนะของเยเรมีย์ว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน 70 ปี แล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ 66 ปี อีกไม่กี่ปีก็จะครบ 70 แล้ว ดาเนียลก็เลยเร่งรีบอธิษฐานกับพระเจ้าใหญ่เลย   และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานเขา    ผ่านทางทูตสวรรค์กาเบรียล   ดาเนียล 9:24-27

ดาเนียล 9:24-27 “24 เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้น จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

 

ข้อที่ 24 “70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด”

ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าว่าจะครบกำหนด 70 ปีแล้ว ตามสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้า  ขอทรงเมตตาด้วยเถิด ให้อิสราเอลได้กลับไปเยรูซาเล็ม ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ด้วยเถิด  แต่พระเจ้าตอบว่าแผนการของพระองค์ ตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้นั้น คือแผนการสำหรับมวลมนุษยชาติ ที่พระองค์ทรงกระทำ ดีกว่าที่ดาเนียลขอ ก็คือพระองค์กำลังทำการลบล้างความบาป เอาความชั่วร้ายออกไปจากมวลมนุษย์ ออกไปจาก DNA ของมนุษย์ DNA ทางวิญญาณนะ ให้มันจบสิ้นไปสักทีหนึ่ง เอาความบาป คำสาปแช่งออกไปจากมนุษย์ มนุษย์ไม่ต้องรับโทษของความบาป อีกต่อไป และจะได้กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมถาวรนิรันดร์ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกคร่าวๆ กับดาเนียลว่าพระองค์เตรียมอย่างนั้นไว้ ถ้อยคำตรงนี้ เป็นแผนการของพระเจ้า เราจะแบ่งเป็น 3 ช่วง

ช่วงที่ 1 คือ 7 ของ 7

ช่วงที่ 2 คือ 62 ของ 7

ช่วงที่ 3 คือ 1 ของ 7

ช่วงที่ 1 คือช่วง 7 ของ 7 เริ่มต้นตั้งแต่ที่กษัตริย์ไซรัสได้ออกพระราชกฤษฎีกา ให้อิสราเอลในขณะนั้น ยังเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลน สามารถกลับไปฟื้นฟู ประเทศของตัวเองได้ คือที่เยรูซาเล็ม ก่อนหน้านั้น ไปไม่ได้ ออกจากเมืองก็ไม่ได้ ช่วงนั้นอยู่ในราวปี 538 ก่อนคริสตศักราช ตามคำเผยพระวจนะ ที่เราได้อ่านไปตอนต้น และหลังจากที่ออกกฤษฎีกา ใน 538 ก่อนคริสตศักราชแล้ว ประมาณ 2 ปีต่อมา คือราว 536 ก่อนคริสตศักราช ชาวยิวก็ได้กลับกรุงเยรูซาเล็ม บูรณะบ้านเมือง และสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ช่วงแรกของ 7 ของ 7 นี้ ก็จะไปจบที่ … จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมี 7 ของ 7

และผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ให้เป็นผู้ครอบครองในข้อนี้ หมายถึงเอสรา เป็นหัวหน้าผู้ครอบครองอิสราเอลในสมัยนั้น เป็นปุโรหิต ไม่ใช่เป็นกษัตริย์ ซึ่งในเอสรา บทที่ 7 มีบันทึกเอาไว้ ตามประวัติศาสตร์

เอสรา 7:6, 10 “6 เอสราผู้นี้ เดินทางมาจากบาบิโลน เอสราเป็นครูผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทาน กษัตริย์ประทานทุกอย่างตามที่เขาทูลขอ เพราะพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเขา อยู่เหนือเขา 10 เพราะเอสราได้อุทิศตนในการศึกษาและปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อสอนกฎหมาย และบทบัญญัตินั้น ในอิสราเอล”

 

เอสรา เป็นเชื้อสายของอาโรน และเป็นปุโรหิต ที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลนด้วย  และเป็นผู้ที่ร่วมนำเชลยชาวยิว เดินทางกลับเยรูซาเล็ม ร่วมกันฟื้นฟูบ้านเมือง และก่อสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ ฟื้นฟูการนมัสการพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในเยรูซาเล็ม ซึ่งรกร้างไป 70 ปี เป็นหัวหน้า ก็คือผู้ครองชาวอิสราเอลในสมัยนั้น ตรงตามคำเผยพระวจนะเป๊ะ ซึ่งช่วงเวลาตรงนี้ อยู่ราวปี 460 – 440 ก่อนคริสตกาล ตรงเป๊ะอีกแล้ว บอกมาก่อนล่วงหน้าแล้ว

จากนั้น มาถึงช่วงที่ 2 คือช่วง 62  7   ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก มาดูสิว่าประวัติศาสตร์เกิดอะไรขึ้น  ในขณะนั้น  คือหลังจากที่ชาวยิวกลับมาเยรูซาเล็มแล้ว ในช่วงแรก ก็พากันบูรณะรื้อฟื้นบ้านเมือง สร้างวิหาร สร้างคูคลอง และที่บอกว่าทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก เรามาเรียงดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในประวัติศาสตร์ ในเยรูซาเล็มในขณะนั้น

ตอนที่ยิวเดินทางกลับบ้าน จากบาบิโลน เยรูซาเล็มก็ยังเป็นเมืองขึ้นของเปอร์เซียอยู่ ตอนนี้เปอร์เซียมาครอบครอง มีอำนาจปกครองแทน แล้วเปอร์เซียก็มอบหมายให้เหล่าปุโรหิต ผู้เป็นหัวหน้าดูแลประชากร คือเป็นใหญ่ในยิวขณะนั้น ก็เริ่มต้นที่เอสรา ปุโรหิตเป็นใหญ่ จนกระทั่ง ประมาณ 332 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพกรีก นำโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็สามารถพิชิตอาณาจักรเปอร์เซียลงได้ ทำให้ยิวต้องตกมาอยู่ใต้อำนาจของกรีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็บอกไว้ล่วงหน้า ในหนังสืออื่นๆ อีกมากมาย

พอเปอร์เซียหมดอำนาจไป  กรีกเข้าครอบครองเยรูซาเล็ม ชาวยิวก็ต้องขึ้นตรงกับกรีก กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ในช่วงนั้น  ต้องการแผ่ขยายอำนาจและวัฒนธรรมของกรีกไปทั่วโลก กะว่าจะครองโลกเลย ทำให้พวกยิวที่เป็นชาตินิยมไม่พอใจ และเป็นห่วงอนาคตของลูกหลานเผ่าพันธุ์ยิว จึงได้มีการจัดตั้งกองทัพประชาชนที่มีชื่อว่า “แมคคาบี” เพื่อต่อต้านกรีก โดยเฉพาะ และลอบสังหารข้าราชการกรีกที่ส่งมาบริหารเยรูซาเล็ม เป็นเหตุให้มีการข่มเหงชาวยิวอย่างหนัก ชาวยิวก็สู้ เขาก็ต้องใช้ไม้แข็ง ในการปกครอง เมืองขึ้น พูดง่ายๆ มีทั้งการเผาเมืองเยรูซาเล็ม และปล้นวิหาร เป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างกรีกกับยิว และในที่สุด ปี 165 ก่อนคริสตกาล ยิวก็สามารถเอาชนะกรีกได้ และสามารถตีเอานครเยรูซาเล็มกลับมา จากกรีกได้สำเร็จ พูดง่ายๆ กรีกเริ่มเสื่อมอำนาจลง เนื่องจากอเล็กซานเดอร์มหาราช สิ้นพระชนม์ตั้งแต่เยาว์วัยและแม่ทัพที่อยู่ด้วยกันตอนนั้น ก็เริ่มแย่งอำนาจกัน แบ่งอาณาจักร

และต่อมา ในปี 143 ก่อนคริสตกาล อาณาจักรยูดา ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นเอกราช ชาวยิวจึงได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง ในรอบหลายร้อยปี ที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้น เกิดการแตกแยกในอาณาจักรยิวด้วยกันเอง เป็นช่วงก่อนพระเยซูเกิดประมาณ 100 กว่าปี คราวนี้ ว่างจากช่วงที่คนมาครอบครอง เพราะฉะนั้น ก็ตีกันเอง แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย

ฝ่ายแรก เรียกว่า “พวกธรรมจารย์” คือพวกที่เคร่งครัดศาสนาและบทบัญญัติของโมเสส

ฝ่ายสอง เรียกว่า “ฟาริสี” เป็นชาตินิยม ต่อต้านกรีก

ฝ่ายสาม เรียกว่า “สะดูสี” จะเป็นพวกที่นิยมกรีก

ความขัดแย้งใน 3 กลุ่มนี้ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองรบพุ่งกันเอง ระหว่างพวกสะดูสีและพวกฟาริสี และในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายแตกแยกอยู่นั้น ขณะที่กำลังตีกันไปตีกันมา ซึ่งอยู่ในประมาณช่วงเวลา 63 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรหนึ่งก็เริ่มมีอำนาจขึ้นมาเรื่อยๆ อาณาจักรนั้น คือพระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เป็นรูปเหมือนสัตว์ประหลาด มีฟันเป็นเหล็ก ก็คือโรมัน เริ่มมีอำนาจมาแทนกรีก โรมันได้เข้ายึดครองอาณาจักรยูดา และเปลี่ยนชื่อให้เป็นยูเดีย จากนั้น ยิวก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน และถูกกดขี่ข่มเหงจากกรีก ต่อเนื่องจนมาถึงโรมัน หนักขึ้นไปอีก

นี่คือความหมายของช่วงที่ 2 ที่เรียกว่า 62  7  หรือ 62 ของ 7 ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมืองต่างๆ ในเยรูซาเล็ม แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก ฟื้นไม่ไหว ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก

จากนั้นเข้าสู่ช่วงเวลาที่ 3 คือช่วงสุดท้าย 1 ของ 7 หลังจาก 62 ของ 7  ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ ตะกี้นี้ เราอ่าน คำเผยพระวจนะบอกว่า …

“หลังจาก 62 ของ 7 ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร กลางของ 7 นั้น เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ”

ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ ในข้อนี้  ก็คือพระเยซูคริสต์ นี่หลังจาก 62 ของ 7 หลังจากโรมันเข้ามาครอบครองเยรูซาเล็ม ชาวยิวตกเป็นทาสของโรมัน ในนี้พูดถึงผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า ก็คือพระเยซูคริสต์

เหตุการณ์ช่วงนี้อยู่ในยุคอาณาจักรโรมัน เริ่มต้นจากจักรพรรดิออกัสตัสซีซาร์ ที่เรารู้จักกันดี เป็นจักรพรรดิ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน พระเยซูคริสต์ทรงประสูติในสมัยจักรพรรดิองค์นี้ ตามที่ลูกาบันทึกไว้ว่า …

“อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว”

พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเยซูเกิดตอนนี้ ท่านจะมองเห็นภาพชัดขึ้น ตอนที่พระเยซูเกิด ทุกคนดีใจ นึกว่าพระเยซูจะมาเป็นหัวหน้า นำทัพสู้รบกับเขาอีก พระเยซูไม่ได้ตั้งใจเอาดาบมาตีกับดาบ พระองค์ตั้งใจมาไถ่เราทางวิญญาณมากกว่า เขาไม่เข้าใจ ท่านพอจะเห็นภาพไหม?

ในนี้บอกว่า “กลางของ 7 เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ”

กลางของ 7 ก็คือช่วงสุดท้ายของเหตุการณ์นี้  เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ หมายถึงการสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ลบล้างเอาความผิดทั้งหมดของมวลมนุษยชาติออกไป มนุษย์ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไปแล้ว เพื่อขออภัยโทษ หรือขอพรจากพระเจ้า ไม่ต้องอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้ อยู่ตรงกลางของ 7 คืออยู่ตรงกลางของช่วงสุดท้าย  เพราะฉะนั้น ก็พอจะอนุมานได้ว่าเริ่มต้นของช่วง 1 ของ 7 ก็คือการประสูติของพระเยซูคริสต์ ในยุคของจักรพรรดิออสกัสตัสซีซาร์นั่นเอง และช่วงตรงกลางของช่วงสุดท้ายนี้ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและชำระเรา มนุษย์ทั้งปวงให้พ้นจากความบาปผิด นั่นเอง ตรงเป๊ะ และเป็นไปตามถ้อยคำเมื่อตะกี้ ที่บันทึกไว้ว่า …

“ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกัน จนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดเอาไว้”

บอกล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างนั้น  ก็คือในประวัติศาสตร์ ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์แล้ว ชาวยิวก็ยังถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักตลอดมา จากโรมัน ราวปี ค.ศ. 54 – 68 พระเยซูเสด็จเข้าไปสู่สวรรค์แล้ว หลายปีแล้ว เป็นสมัยของจักรพรรดินีโร หรือเนโร ซึ่งตรงกับสมัยของอัครสาวกตามประวัติศาสตร์ เป๊ะเลย ช่วงนั้น อัครสาวกเปโตร เปาโล กำลังประกาศอยู่

ประวัติศาสตร์ บันทึกไว้ว่าจักรพรรดิเนโร ปกครองบ้านเมืองอย่างบ้าคลั่ง กระหายเลือด จนได้ชื่อว่านีโร จอมโหด และในยุคนี้เอง ที่คริสเตียนถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เมื่อครั้งที่เปลวเพลิงเผาผลาญกรุงโรม 6 วัน 6 คืน เนโรสั่งให้เวนคืนที่ดิน มาสร้างพระราชวังทองคำ คนเขาก็นินทากันว่าสงสัยเนโรเป็นคนวางเพลิงเอง เป็นทางการเมือง เนโรได้ยินอย่างนั้น ก็เลยหาทางแก้ โดยเอาแพะมารับบาป ก็คือเอาความผิดโยนให้ชาวยิว บอกว่ายิวเป็นคนกบฏ ยิวเป็นคนเผาเมือง เพราะฉะนั้น ต้องจัดการลงโทษยิวอย่างหนัก อิสราเอลก็ได้รับการลงโทษ ข่มเหงรังแกอย่างหนัก จนเกิดการประหารหมู่คริสเตียน ด้วยข้อหาไปเผากรุงโรม ซึ่งเปาโลก็ถูกคุมขังในโรม สมัยนั้น และในที่สุด ก็ถูกประหาร ในช่วงสมัยของจักรพรรดิเนโรตรงนี้แหละ

ในช่วงปี ค.ศ.66 ชาวยิวได้รวมตัวกันก่อกบฏต่อต้านการปกครองของรัฐบาลโรมัน ทนไม่ไหว ที่เนโร ได้มอบหมายให้นายพลเวสปาเชียน แม่ทัพใหญ่รวมกับบุตรชาย ชื่อทิตัส นำทัพไปปราบกบฏชาวยิว ที่เยรูซาเล็ม ที่ยูเดีย ต่อมาเวสปาเชียนได้ครอบครองอำนาจต่อจากเนโร ถูกเรียกตัวกลับไปเป็นจักรพรรดิ ก็มอบอำนาจต่อให้ทิตัสเป็นผู้ดูแลต่อ จนมาถึงปี ค.ศ.70  เวสปาเชียนได้มอบอำนาจให้ทิตัส นำกำลังปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มด้วยกองทัพที่ใหญ่มาก เพราะนานแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว โมโหมาก จนชาวยิวไม่สามารถเดินเข้าออกกรุงเยรูซาเล็มได้ เพราะถูกปิดล้อมไว้หมดเลย เอาไม้ในป่าแถบๆ นั้นมา ปักล้อมไว้ ไม่ให้ใครออกเลย ใครออกมาหาข้าวหาปลา หาเสบียง จับได้ ก็ตรึงไม้กางเขนเลย ชาวยิวล้มตายมหาศาลก่อนที่จะถูกตี ล้อมและฆ่าเผ่าพันธุ์ในที่สุด ในปี ค.ศ.70 ซึ่งพระเยซูบอกนิมิตไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งหินก้อนหนึ่ง ที่สร้างวิหาร ก็จะไม่เหลือ ถูกทำลายหมดเลย เพราะว่าเขาจะเอาทอง เผาทองละลาย พอทองละลายลงมา อยู่ในซอกหินต่างๆ พอจะเอาทอง ก็ต้องทุบ ต้องรื้อหิน โค่นหินลงมาหมด เพื่อเอาทองในซอกต่างๆ เหล่านั้น ไม่เหลือสักก้อนหนึ่ง

จนสุดท้าย ทิตัสได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิต่อจากเวสเปเชียน แต่ก็ครองอำนาจอยู่ได้แค่ 2 ปีเท่านั้น ก็เสียชีวิตจากโรคร้าย โรคประหลาด โรคอะไรไม่รู้ ตรงตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้แบบเป๊ะๆ เลย ทุกอย่างบอกไว้ และมันก็เป็นไปตามนั้น

ในบทที่ 9 ข้อที่ 24 จนถึงข้อที่ 27 ที่บอกว่า …

“ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และไม่มีอะไรเหลือ”

นี่หมายถึงพระเยซู ถูกประหารชีวิต ตายที่ไม้กางเขน นี่คือช่วงสุดท้ายของนิมิตนี้ พระเยซูถูกใช้และถูกประหาร ที่ไม้กางเขน และจะไม่เหลืออะไร? ก็คือไม่มีใครอยู่กับพระองค์ ทุกคนก็หนีหมด รวมทั้งพระเจ้าก็หนีด้วย เพราะพระองค์เป็นบาปแล้ว

“ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้น” ก็คือกองทัพของผู้ครอบครอง ตามประวัติศาสตร์ คือกองทัพของทิตัส ของโรมัน จะมาทำลายกรุงนั้น  และสถานนมัสการ เกลี้ยงเลย

“วาระสุดท้ายจะมาถึงเหมือนน้ำท่วม” ก็คือฆ่าหมดเลย ลูกเล็กเด็กแดงฆ่าหมด

“สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และวิบัติตามที่กำหนดไว้” มันต้องเป็นไปตามนั้น

“ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญาเป็นอันมาก เป็นเวลา 1 ของ 7” ผู้นั้น หมายถึงพระเยซู จะทำพันธสัญญา ให้กับมวลมนุษยชาติ เป็นเวลาสมบูรณ์ครบถ้วนที่พระเจ้าวางไว้ 1 ของ 7 นั่นเอง

“แต่กลางของ 7 นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายบูชาต่างๆ” ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้ว ไม่ต้องถวายของต่างๆ ให้กับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว พระเยซูเป็นแพะรับบาปให้กับมวลมนุษยชาติไปหมดแล้ว

ต่อด้วย “แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของวิหาร”

นี่หมายถึงทิตัส หมายถึงโรมัน ทำสิ่งที่สะอิดสะเอียนต่อวิหารของพระเจ้า พังวิหารของพระเจ้าเลย

ในนี้บอก “ซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดความเริดร้าง” ก็คือวิหารของพระเจ้า ในเยรูซาเล็มถูกเผาหมด

“จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา” ก็คือทิตัสในที่สุด อีก 2 ปีต่อมาก็เสียชีวิต ด้วยโรคประหลาด

มันเป๊ะๆ ผมจะย้อนให้ท่านอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้นิดหนึ่ง ที่บอกว่า …

“เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด”

นี่หมายถึงรวมทั้งหมดเลยว่าพระเจ้าตอบมนุษย์ผ่านดาเนียลว่าพระเจ้ากำลังจะทำอย่างนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไม้กางเขนนั่นเอง ตอนที่พูดกับดาเนียล พระเจ้าตอบมานี้ ประมาณ 500 กว่าปี ก่อนที่พระเยซูจะเกิด พอพระเยซูคริสต์เกิด ทุกอย่างที่บนไม้กางเขน คือที่พูดนี้ทั้งหมดเลยว่ายกเลิกการล่วงละเมิด การลบล้างบาป คือดาเนียลเป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นตัวแทนของอิสราเอล ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้า

“เราสัญญากับพระองค์ว่าไม่ทำ เราก็ทำอีกแล้ว เราชั่ว เลวจริงๆ มันแย่จริงๆ”

“เรา” สำหรับดาเนียลแล้ว หมายถึงตัวเขาและชาวอิสราเอล แต่ในพระคัมภีร์จริงๆ หมายถึงมนุษย์ทั้งปวง เป็นอย่างนี้ เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เพราะมนุษย์มีเชื้อบาปอยู่ในตัว เขาเป็นคนบาป เขาก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น ดาเนียลจึงอธิษฐาน (พอผมพูดถึงดาเนียล ขอให้ท่านคิดถึงมนุษย์ทุกคน)

“ขออภัยให้ลูกด้วยเถิด อภัยให้ชาวอิสราเอลอีกทีหนึ่งเถิด ขอทรงช่วย ด้วยเถิด”

เปรียบเทียบกับบุตรน้อยหลงหาย ขอแค่เศษอาหาร ไม่กลับไปแล้ว ไม่อยากอยู่ข้างนอกแล้ว ขอกลับไปบ้าน อภัยด้วยเถิด ขอไปเป็นทาส แต่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้ดาเนียล ให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ดีกว่าที่เราคิดตั้งมากมาย ดีกว่าตั้งเยอะ

ดาเนียลขอว่า “โปรดอภัยให้ด้วย”

พระเจ้าตอบว่า “ฉันอภัยให้เธอ 70×7”

70×7 แปลว่าสมบูรณ์ครบถ้วน คือพระเจ้าบอกว่า …

“ฉันให้เธอ 70×7 เลย คือไม่ให้อภัยอีกแล้ว เธอไม่ต้องมาขออภัย ฉันอีกแล้ว ต่อไปนี้ไม่ต้องขอแล้ว เพราะว่าความชั่วร้ายได้ถูกเอาออกไปหมดแล้ว”

เวลาเข้าไปหาพระเจ้า ไม่ต้องขออภัยให้ฉันอีกแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเป็นอิสระแล้ว  พระเยซูเอาความชั่ว ความบาปออกไปแล้ว เอเมน

ท่านจะเห็นภาพแล้วว่าขณะที่มนุษย์ โดยดาเนียลเป็นตัวแทน เขาวิงวอนขอเศษอาหาร พระเจ้าให้เป็นเจ้านายเลย ให้กลับมาเป็นลูก  และเป็นทายาท  เป็นผู้ครอบครองบ้านทั้งหมดเลย ทั้งสวรรค์ทั้งหมดเป็นของเขา มันต่างกันขนาดไหน?  นี่หมายถึงอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า “เราจะเอาบาปของเจ้าออกไปเลย”

สมมติบาปเป็นก้อนอะไรบางอย่างที่เรากอดไว้ ตอนนี้พระเยซูเอาไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ที่เราแล้ว ไปขออภัยบาปอะไรอีก ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด ท่านทำผิดบาป  จากวิญญาณของท่านที่เป็นคนบาป แล้วมันก็ออกมาทางเนื้อหนัง ช่วยตัวเองไม่ได้ เรียกว่าอ่อนแอ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น จึงต้องพึ่งพระเจ้า พอพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเอาบาปเราออกไปแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว เราเป็นของพระเจ้า บริสุทธิ์ ไม่มีบาปอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ท่านไม่สามารถทำบาปได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว เอเมน (ภายในท่านไม่สามารถทำบาปได้) แต่ร่างกายข้างนอก มันมีเชื้อบาปอยู่ มันก็เผลอไปทำในสิ่งที่เคยทำบนโลกใบนี้ เผลอไปทำวิสัยของมัน วิสัยบาป

เพราะฉะนั้น โรม บทที่ 7 จึงบอก “ข้าพเจ้าน่าสมเพชอย่างไร?” มี 2 ร่างอยู่ในตัว แต่ขอบคุณพระเจ้า ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอิสระแล้ว วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว มันหมายถึงตรงนี้ พระองค์เอาบาปออกไปแล้ว ก็คือคำเผยพระวจนะที่เราอ่านกันว่ายกเลิกการล่วงละเมิด ลบล้างบาป ลบล้างความชั่ว คือเอาสิ่งเหล่านี้ออกไป และนำความชอบธรรมมั่นคงนิรันดร์มาให้ ทูตสวรรค์กาเบรียลบอกดาเนียลอย่างนั้น

พอตอนนี้ท่านจะเห็นภาพเลยว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนชอบธรรม แปลว่าไม่ผิด ไม่ใช่นักโทษ ไม่มีการลงโทษอีกต่อไป เราเป็นคนถูกต้อง ดีงามแล้ว จบเลย

1 โครินธ์ 5:17 บอกว่า “ในพระเยซูคริสต์เราเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น”

 

ถามว่าที่ไหน? ที่วิญญาณของเรา เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา หลั่งพระโลหิต ล้างบาปเราแล้ว ตอนนี้เราถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เอเมน

มันหมายถึงตรงนี้มากกว่า คำเผยพระวจนะนี้ มาถึงดาเนียลแล้ว และอิสราเอล และมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในโรม บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเราทั้งหลายได้ตรึงตัวบาปของเรา ไว้กับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้ว ไม่มีบาปในตัวเราอีกแล้ว บัดนี้ ชีวิตของเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในวิญญาณของเรา รอรับร่างกายใหม่ในอนาคต เอเมน มันหมายถึงตรงนี้

ในพระเยซูคริสต์ เราจึงถูกชำระ โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซู บันทึกไว้อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ และใน 1 เปโตร2:24 บอกว่า …

“โดยตัวของพระองค์เอง ได้แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของเราไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตมาสู่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราทั้งหลายได้รับการรักษาให้หายแล้ว”

หายจากโรคบาป ในวิญญาณของเรา และวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เมื่อสิ้นโลกนี้ไปแล้ว เมื่อหมดภารกิจบนโลกใบนี้แล้ว สิ่งที่จะออกจากร่างของเราไป ก็คือวิญญาณของเรา ร่างกายก็ทิ้งไปสู่ดิน จบ วิญญาณเราเป็นอิสรภาพ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งไม่มีเชื้อบาปอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่เราหวังไว้ พระเจ้าบอกว่ามันจะเป็น ซึ่งมันเป็นแค่ 10% 20% ของที่เหลือเท่านั้นเอง 80 – 90% มันเป็นไปตามคำเผยพระวจนะนี้ทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เหลือทั้งหมด ก็ควรเป็นไปตามนี้ด้วย เช่นเดียวกัน เป๊ะๆ

เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว และเป็นผู้ชอบธรรมตลอดไป ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ ท่านจะทำอะไรผิด ไม่ว่ามะรืนนี้ท่านจะทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ได้เกี่ยวกับความชอบธรรมของท่านที่อยู่ในวิญญาณของท่านเลย เข้าใจไหม? ถ้าท่านพึ่งในการกระทำของท่านอยู่ ท่านก็กลับมาเป็นคนบาปเหมือนเดิม อาจารย์เปาโลกำลังพยายามอธิบายอย่างนี้ ให้ผู้คนได้ฟัง เขาไม่เข้าใจ เพราะเขาถือกฎบัญญัติเดิม เขาจะทำด้วยตัวเอง แต่พระเจ้าบอก …

“เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้ เธอทำไม่ไหว เธอต้องพึ่งฉัน”

เวลาจะพึ่งฉัน ทำอย่างไร? ก็พึ่งในพระเยซู โดยพึ่งในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ที่โรม 8:1 บันทึกเอาไว้ว่า …

“ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในกฎของวิญญาณในชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นี้ เพราะกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เขาเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย”

คุณจะอยู่กฎไหน? เลือกเอาข้างหนึ่ง คุณเลือกกฎนี้ คุณก็ทำด้วยตัวเอง ก็ต้องตัดสินด้วยการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าคุณอยู่ในกฎของความเชื่อ คุณก็เชื่อพระเยซูลูกเดียว

“ไม่รู้ ฉันเชื่อพระเยซูลูกเดียว ฉันจะทำอะไรในอดีต ฉันไม่รู้ เมื่อวานฉันไปปล้นเขาอยู่เลย วันนี้ ฉันอยู่บนไม้กางเขน บอกฉันเชื่อพระเยซูลูกเดียว”

พระเยซูบอก “พรุ่งนี้เจ้าจะอยู่กับเราในสวรรค์”

“ฉันจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์” หมายถึงตรงนั้น

พระเยซูบอก “เราเอาบาปของเจ้าออกไปแล้ว”

พระเยซู “เอาบาปของฉันออกไปแล้ว”

ความเชื่อหมายถึงตรงนี้

และต่อจากคำว่า “และนำความชอบธรรมมั่นคงนิรันดร์มาให้”

ในข้อ 24 สุดท้าย บอกว่า “เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด”

ตรงนี้ เจ็บสุดเลย  นี่คือไฮไลท์ของนิมิตนี้  ของพรนี้ ของข่าวดีนี้ พระเจ้าให้กาเบรียลมาบอกดาเนียล ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ได้รับความชอบธรรม โดยพระเยซูแล้วนะ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ ก็คือเพื่อทำให้คำพยากรณ์ และนิมิตที่พูดถึงพระเยซูคริสต์ว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน มาหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาปนั้น  พูดมาตั้งแต่เริ่มต้นหน้าแรกปฐมกาล จนถึงหน้าสุดท้ายวิวรณ์นั้น มันสำเร็จ ประทับตรา หมายถึงทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์นี่แหละ เอเมน เมื่อกลางของ 7 สุดท้ายแห่งคำเผยพระวจนะ ในบทที่ 9 ของดาเนียลนี้  ที่ตรงกลาง ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาลบล้างความบาป เลิกล้มความชั่วร้าย นำเอาความชอบธรรมนิรันดร์มาให้ มันหมายถึงตรงนี้ และมันก็สำเร็จ 500 ปีต่อมา พระเยซูตายที่ไม้กางเขนจริงๆ  และมันก็เป็นไปตามนี้จริงๆ และมันก็เป็นอย่างนั้น มาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว

เห็นไหม? มีเหตุ มีผล มีรองรับทุกอย่าง เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ พูดมาหลายพันปีแล้วใช่ไหมว่าพระเยซูจะมาเหยียบหัวมาร เหยียบแล้วที่ไม้กางเขน ปลดมาร และพวกศักดิเทพ อิทธิเทพ ประจานความพ่ายแพ้ของมัน ที่ไม้กางเขน  ในหนังสือโคโลสีบอกไว้อย่างนั้น

“เพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด” ไม่ใช่สถานที่ จะเล็งถึงเพื่อเจิมผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด เมื่อพระเยซูเอาความชอบธรรมมา ก็คือคำพยากรณ์ต่างๆ พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงประทับตรานิมิตว่ามันสำเร็จแล้ว ตรงไม้กางเขน พระองค์ทรงบอกว่า …

“เสร็จแล้ว … Testelesti … จ่ายหมดแล้ว … สำเร็จแล้ว”

แล้วก็สิ้นพระชนม์จบ แล้วพระองค์ก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ประทับตรา เพื่อเจิมผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด พอพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงยกพระเยซูคริสต์ขึ้นสูงสุด ประทานสิทธิอำนาจทั้งหมด ให้กับพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้เท้าของพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ตัวนี้แหละ คือผู้บริสุทธิ์ที่สุด ที่ถูกเจิมตั้งไว้ สุดท้าย

เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูเท่ากับเป็นหัวหน้าของมนุษย์  เป็นผู้ทำทุกอย่างแทนเราหมดเลย พระองค์ตายที่ไม้กางเขน ก็เท่ากับเราตายด้วย พระองค์ชนะ เท่ากับเราชนะด้วย  พระองค์ทรงถูกยกขึ้นมา เราก็ถูกยกด้วย  พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้าในสวรรค์สถาน เราก็นั่งด้วย ทำไมเราต้องคลานเข้าไปล่ะ นี่ไม่ได้หมายถึงเราไปเย่อหยิ่งในพระเจ้านะ ไม่ใช่ ผมกำลังพยายามพูดให้ท่านเห็นถึงสิทธิอำนาจว่ามันเป็นอย่างนี้  เรารักพระเจ้า เรารักพระเยซู เราเคารพพระเยซู คนละเรื่องกับเรื่องสิทธิอำนาจ ที่เราจะต้องใช้ต่อไป ต้องรู้ต่อไป  เพราะนี่เป็นข่าวดี เราจะต้องบอกข่าวดีกับลูกหลานต่อไป ถ้าเราทำข่าวดีให้มันน้อยลง ให้มันเบาลงเรื่อยๆ ไปถึงเหลนเรา ข่าวดี มันเลยเป็นข่าวชักไม่ค่อยดีแล้ว เพราะเราต้องทำเองแล้ว ท่านพอเข้าใจไหม? ข่าวเต็ม 100 ท่านเอาไปทำให้ค่อยๆ ลดลงๆ จากคนรุ่นหนึ่ง ไปถึงคนรุ่น 10 อาจจะเหลือข่าวดีแค่ 1% เองว่ามาเชื่อพระเยซู แล้วตาย เผื่อได้ไปสวรรค์ อย่างนี้ไม่ใช่ข่าวดี ข่าวดีของพระเยซูต้อง 100% เต็ม

พระคัมภีร์จึงบอกว่า By Grace through faith แปลว่าโดยพระคุณ ท่านถึงรอด By Grace แปลว่าโดยพระคุณ พระคุณแปลว่าให้ฟรีๆ แต่แค่นั้น ไม่รอด ต้อง Through faith ก็คือผ่านทางความเชื่อศรัทธาจึงจะได้ มันต้อง 2 อันคู่กัน นี่คือข่าวดี

โคโลสี 1:14 บันทึกไว้อย่างนี้ “พระเยซูทรงยกเลิกหนังสือสัญญาที่ผูกมัดเราด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งขัดขวางและต่อต้านเรา พระองค์ทรงเอาหนังสือนี้ออกไปตรึงที่กางเขน”

ถ้าพระคัมภีร์อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง บอกว่า “พระองค์ทรงฉีกพันธสัญญานี้ ที่ผูกมัดเราไว้ ด้วยบาปเวรกรรม ความชั่วร้ายต่างๆ ที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา แล้วก็ตรึงไว้ที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะได้เป็นอิสระ จากมันเสียทีหนึ่ง จากบาปเวรกรรมเสียทีหนึ่ง”

หมายถึงตรงนั้น  เอเมน และตอนนี้มันอยู่ที่นั่นมา 2,000 ปีแล้ว นี่คือข่าวดีที่ไปถึงเราทุกคน มนุษยชาติบนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์ เห็นไม้กางเขน ไม่ใช่เห็นความเศร้าโศกเสียใจ แต่เห็นพระคุณของพระเจ้า และเห็นกรมธรรม์ที่บังคับให้เราต้องใช้เวรกรรม ที่เกิดมา เมื่อไรจะใช้เวรกรรมหมดสักที บาปเวรกรรมนั้น  มันถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม่ได้อยู่ในตัวเราอีกต่อไปแล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเราอีกต่อไปว่ามันอยู่ที่ตัวเรา เราต้องทำ ล้างมันออกไป  พระเยซูล้างให้หมดแล้ว พระเยซูลบออกไปหมดแล้ว พระเยซูยกออกไปหมดแล้ว ด้วยโลหิตของพระองค์ และชีวิตของพระองค์ ชัดเจนที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************