คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2015 เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มิถุนายน  2015

เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ตอนนี้เราผ่านเพ็นเทคอสต์มาถึงวันนี้ ก็ 4 สัปดาห์แล้ว ถ้าเป็นวันเพ็นเทคอสต์แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็ต้องพูดว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้ว เราได้คุยกันไปแล้วนะครับว่าวันเพ็นเทคอสต์ ก็คือวันที่พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ในลักษณะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้นมาตลอดเลยนะครับ มาจนถึงทุกวันนี้

แล้วมีใครบ้างที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับเขา คำตอบ ก็คือมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้น เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับสิทธิ์นี้ เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เพียงแต่รอให้คนๆ นั้น มนุษย์คนนั้นรับรู้ นอกจากรับรู้แล้ว มารับสิทธิของเขานั่นเอง แล้ววิธีการต้องมารับสิทธิ์ต้องทำอย่างไรบ้าง?  คำตอบ ก็คือจะรับสิทธิ์ทำอย่างไร? เหมือนท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ รับสิทธิ์ไปแล้ว  การจะเข้ามารับสิทธิ์ในการต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา  ให้เราเป็นวิหารของพระวิญญาณนั้น ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัตินะ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น และการเชื่อตรงนี้ เป็นการเสนอตัวให้ไปรับสิทธิ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้วที่ไม้กางเขน

ถ้ารู้ แต่ไม่เชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนเรารู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้ง เวลาเขาเลือกตั้ง แต่ถึงวันเลือกตั้ง เราไม่ไปใช้สิทธิ์ ก็มีค่าเท่ากับเราไม่มีสิทธิ์ ถูกไหมครับ? คนที่ไม่มีสิทธิ์ เขาก็ไม่ได้ไปเลือก เรามีสิทธิ์ แต่เราไม่ไปเลือก เราก็เท่ากับเราไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน คือต้องเริ่มต้นจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อะไร? ข่าวดีคืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย เป็นแพะรับบาปให้กับเรา และวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แค่นี้สั้นๆ แล้วไปรับสิทธิ์ทันทีเลย และหลังจากที่รับเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าคนๆ นั้น เราผู้ที่ทำแบบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้นไปเรียบร้อยแล้ว คือได้ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว สามารถเริ่มต้น เริ่มต้นเท่านั้นนะ สามารถเริ่มต้นรับรู้ถึงฤทธานุภาพอำนาจ และความยิ่งใหญ่สูงสุดของใคร? ของพระเยซู เพราะพระเยซูบอกแล้วว่าพระวิญญาณจะมา เพื่อจะยกย่องพระเยซูขึ้น พระวิญญาณมา ไม่ได้มายกย่องพระองค์เอง เพราะพระวิญญาณมาไม่ใช่เพื่อยกย่องคน คนนั้นคนนี้ พระวิญญาณมาไม่ได้ยกย่องใครเลย นอกจากยกย่องพระเยซู พระวิญญาณจะพาเราไปที่เดียวเท่านั้น คือให้ไปรู้จักพระเยซู แล้วพระเยซูจะนำพาเราไปรู้จักกับพระบิดา เอเมน

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งอยู่ที่พระเยซู ไม่ใช่พระวิญญาณ เข้าใจใช่ไหมครับ? พระวิญญาณจะเป็นตัวนำเราไป ในหนังสือเอเฟซัสจึงได้ระบุไว้อย่างนี้  ให้ท่านอ่านดูนะครับว่าเป็นสิ่งสำคัญขนาดไหน? เราจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ความมหัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ ความจริงของพระเยซูคริสต์ ความโดดเด่นของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็ได้จากการวิงวอน ขออธิษฐานให้พระวิญญาณนำพาเราให้ไปพบกับพระองค์ พบกับใคร? พระเยซู เริ่มต้นแล้วใช่ไหม? เราเริ่มต้นเชื่อแล้ว พอเราเชื่อข่าวดีปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาแล้ว ก็เริ่มต้นสอนเราในเรื่องของพระเยซู แล้วก็สอนเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สอนให้เราทำฤทธิ์เดช ไม่ใช่สอนเราให้ทำการอัศจรรย์ แต่สอนให้เราทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อก้าวเข้าไปสู่ความเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเยซูมากขึ้น รู้จักพระเยซูมาขึ้น นี่คือเป้าหมาย ไม่ใช่มาติดอยู่กับอะไรต่างๆ เหล่านั้น ในการปฏิบัติ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ? เอเฟซัส 1:16-21 ลองอ่านดูนะครับ

เอเฟซัส 1:16-21 “16 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น 18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจ แห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครอง และเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย”

 

นี่คืออะไร? นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ของเรา ซึ่งการที่เราจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ก็เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาสถิตอยู่กับเราเท่านั้น และพระวิญญาณจะเปิดตาใจเรา ให้สามารถที่จะรับรู้ความจริงเหล่านี้ได้ เหมือนตะกี้ทีเราอ่าน เปาโลบันทึกไว้เห็นไหมว่าสำคัญขนาดไหน?

“ข้าพเจ้าเพียรทูลอธิษฐาน ขอพระเจ้าของเรา ขอให้ตาใจของท่านเปิดออก ขอให้ท่านได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดงความรู้”

ทำไมเรียกว่าวิญญาณ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Spirit of revelation, Spirit of wisdom คือวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ วิญญาณซึ่งมันไม่มีเหตุมีผลของมนุษย์ที่จะสามารถเข้าใจได้ แต่มันลึกซึ้งมาก สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการสำแดง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณแห่งสติปัญญา พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณสำแดงความรู้ ทั้งสิ้นอยู่ในพระวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระวิญญาณจะเป็นผู้นำพาเราไป โดยวิญญาณแห่งสติปัญญา จะให้สติปัญญากับเรา  วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ จะให้ความรู้กับเรา เรื่องเกี่ยวกับใคร? พระเยซู จำไว้เลย เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่เกี่ยวกับโลกใบนี้เลย ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และเพราะพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พระองค์จึงทรงย้ำกับเราอยู่ตลอดเวลาว่าอะไร? อย่ากลัวเลย อย่าให้ใจท่านวิตกกังวลเรื่องใดๆ เลย เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วนั้นเอง มันจบแล้ว พูดง่ายๆ มันจบแล้ว พระองค์จึงสอนให้เราอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9 นั่นคือจบนะ ท่านไปอ่านดูเถอะ บทอธิษฐานที่พระเยซูสอนในมัทธิว 6:9 อ่านดูทั้งหมดนั้น นั่นคือวางใจในพระเจ้า จบแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เต็มด้วยพระสิริ ฤทธิ์เดช พระราชอาณาจักรทั้งหมดนั้น เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ตลอดชั่วนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระองค์ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันจบตั้งแต่นั้นเลย ไม่ต้องกังวลในสิ่งใดๆ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ทั้งสิ้น ถ้าเราคิดตามภาษามนุษย์ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจ ควบคุมอย่างไร? ตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี คิดตามภาษาของมนุษย์เราบอกว่าไม่ดี แต่จงมองตามสายตาของพระเจ้า ทรงควบคุมทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์บอกว่าดีแล้ว เอเมน มันถึงไม่วิตกกังวล และพระเยซูผู้นี้ ที่ตะกี้เราอ่านนั้น ในพระคัมภีร์บอกใช่ไหมครับว่าผู้ที่ทรงฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งในมหาจักรวาลนี้  พระองค์ทรงให้พระวิญญาณของพระองค์ มาสถิตอยู่กับเรา พระเยซูให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราคือวิหารของพระเจ้า และคือสถานที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั่นเอง

อย่างนี้ สติปัญญามนุษย์เข้าใจไหมเนี้ย ตะกี้นี้บอกว่าพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ตอนนี้บอกว่าความยิ่งใหญ่อลังการเหล่านั้น ตอนนี้สถิตอยู่กับเรา จะเข้าใจไหม?  พูดธรรมดาจะเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่นี่เรานั่งตาแป๋วเลย เอเมนอยู่ในใจๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในใจว่าเราเข้าใจ มันจริงๆ เป็นอย่างนั้น เอเมน ข้างในมันใช่ๆ ลองอ่านดูนะครับ 1 โครินธ์ 3:16-17 ได้บอกไว้ว่าเราเป็นวิหาร 1 โครินธ์ 3:16-17

1 โครินธ์ 3:16-17 “16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเอง เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน 17 ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์  และท่านคือวิหารนั้น”

 

ยังจำได้ไหมครับ เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกตอกตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ไหมครับ? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าม่านได้ขาดออกเป็นสองท่อน มัทธิว บทที่ 27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ดูสิว่าเหตุการณ์วันนั้น มันเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ เอามาให้ท่านดูนิดหนึ่ง มัทธิว 27:50-51 บันทึกอย่างนี้นะครับว่า.-

มัทธิว 27:50-51 “50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”

 

นี่บันทึกไว้ ช่วงที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้บันทึกไว้ว่าขณะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ตอนบ่ายสามโมง บอกว่าเสร็จแล้ว เททเทเลสไตล์ (ภาษากรีก) ได้จ่ายให้หมดแล้ว จ่ายหนี้สิน กรรมเวรของมนุษย์ทั้งหมด จ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว พระองค์สิ้นพระชนม์ ทันทีทันใดนั้น  ในนี้บอกว่าอย่างไร?  ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน

ม่านในวิหาร คืออะไรรู้ไหมครับ? ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง คือม่านนี้ แต่เดิม ตามพระคัมภีร์เดิม เคยเป็นที่กั้นส่วนของอภิสุทธิสถาน ในพลับพลา ที่อิสราเอล ชาวยิวต้องติดต่อกับพระเจ้า ทางพลับพลานั้น ม่านนี้ กั้นอยู่ในส่วนของอภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นชั้นในที่สุดของพลับพลา และเป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  ในสมัยพันธสัญญาเดิม ซึ่งในห้องนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้เลย นอกจากมหาปุโรหิตเพียงผู้เดียว และเข้าไปได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเอง

ความหมาย คืออะไร? ในสมัยนั้น คนทั่วไป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะเป็นคนบาป มหาปุโรหิตต้องเตรียมตัวมากมาย เยอะแยะก่ายกองเลย แล้วเข้าไปได้ปีละครั้ง ด้วยความอันตราย ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เผลอแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ตาย เพราะว่าความสกปรก เข้าไปอยู่กับความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ต่างหาก แต่เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ม่านในวิหารขาดออกเป็นสองท่อน เล็งถึงความหมาย คือไม่มีอะไรกั้นขวางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระล้างบาปให้กับมนุษย์แล้ว เสร็จแล้ว จ่ายให้แล้วไง มนุษย์ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยตรงแล้ว พระเยซูเปิดทาง พระเยซูพระองค์ทรงเป็นทางนั้น พระองค์เป็นทางที่เราจะไปหาพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านม่านอีกต่อไป ม่านจึงเอาออกไป เล็งถึงว่าม่านไม่จำเป็นแล้ว ใครก็ไปหาพระเจ้าได้ เอเมน ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น  เพราะพระเยซูคริสต์ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์คนนั้น สะอาดหมดจด สามารถที่จะเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ถ้าไม่สะอาดหมดจด ทำไม? ตาย

ที่ม่านในวิหาร ขาดเป็นสองท่อน เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในหีบพันธสัญญาอีกต่อไปแล้ว แต่พระเจ้ามาสถิตที่ไหนครับ? เตรียมตัวมาสถิตกับมนุษย์คนที่เชื่อในการไถ่บาป เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเองที่พระเยซูคริสต์ทำให้ที่ไม้กางเขน

ที่บอก “สำเร็จแล้ว จ่ายให้หมดแล้ว”

ตอนบ่าย 3 โมงนั้น เชื่อตรงนี้ ก็ได้รับทันที มีสิทธิที่จะต้อนรับพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันว่าเมื่อเราเป็นวิหารของพระเจ้า  เราใช้สิทธิ์ของเราแล้ว ในการเชื่อในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้มาสถิตอยู่กับเราแล้ว พระองค์จะทรงนำพาชีวิตเราอย่างไรบ้าง? เป็นอย่างไร? ในลักษณะอย่างไรในขณะนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระวิญญาณเริ่มต้นทำงานในชีวิตเราแล้ว พระองค์ทรงทำอะไรต่อไป

ประการที่ 1 พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา จะทรงย้ำยืนยันกับเราในเรื่องข่าวดีที่เราเชื่อในพระเยซู ย้ำยืนยันในใจว่าใช่แล้ว และใช่อีก เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก ก็ใช่แล้ว เสร็จแล้วปีต่อไป ก็ใช่อีก พอ 3 ปีต่อไป ก็ใช่อีก มากขึ้นเรื่อยๆ ยืนยันความเชื่อของเราว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับเราและมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และทุกวันนี้พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บัดนี้ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อธิษฐานให้กับเราอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องนี้แหละ 1 โครินธ์ 12:3 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 โครินธ์ 12:3 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

ตรงนี้ แปลได้หลายอย่างเลย มันลึกซึ้งมาก ข้อเดียวนี้ มีความลึกซึ้งมาก ในนี้เอาตรงที่เราจะคุยกันในวันนี้ ในนี้บอกว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือเป็นเจ้านายสูงสุดของเขา ในคนๆ นั้น ที่พูดออกมานั้น นอกจากคนนั้น จะถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันหมายถึงอย่างนี้ นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงกล่าวโดยการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในตัวเขา เมื่อเขาใช้สิทธิ์ของเขา ที่พระเยซูไถ่บาป พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเขา เขาจึงพูดจากวิญญาณของเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านายเหนือชีวิตของท่าน พระเยซูสูงสุด

ในทางอีกทางหนึ่ง กลับกัน เราสามารถพูดตรงนี้ได้ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านาย แต่ไม่ได้พูดด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน ก็ไม่มีค่าอะไรเลย เป็นศูนย์ ไม่มีค่าอะไรเลย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?  มันพูดจากเนื้อหนังของเราไง พูดจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเรา มีวิญญาณและมีเนื้อหนัง ก็คือร่างกาย ถ้าเราพูดจากร่างกายของเรา มันก็มีเชื้อบาปเต็มไปหมด ถ้าเราพูดจากวิญญาณของเรา  … วิญญาณของเรา คือถูกชำระแล้ว โดยข่าวประเสริฐของพระเยซู และพระวิญญาณมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา เราพูดจากวิญญาณตรงนั้นออกมาได้เลย แต่ก่อนหน้านี้เราพูดด้วยอะไร? ความรู้สึก ความคิดที่เป็นมนุษย์ เราอาจจะได้ยินคนพูดกับเรา เชื่อในคนนี้ เพราะว่าเขาเป็นพ่อเรา เขาเป็นแม่เรา เขาเป็นอาจารย์สอน เขาบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราก็ใช่ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงไหม? เขาอาจจะพูดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะว่าเขาพูดด้วยความรู้ของมนุษย์ว่าคนนี้เชื่อ เพราะว่าพ่อแม่ เป็นพ่อแม่เราเชื่อ เชื่อพ่อแม่ ไม่ได้เชื่อพระวิญญาณนะ เชื่อพ่อแม่ พ่อแม่บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ อ้อ! พระเยซูเป็นพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเด็กๆ ที่พ่อแม่ดูแลทุกวันนี้ เติมให้ เสริมให้ เราต้องดูแลลูกเรา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพูดจากวิญญาณของเขา โดยรับเชื่อพระเยซูจริงๆ  พระเยซูบอกเขา พูดนำพาเขา พูดนำพาเขาว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ในชีวิตของเขาจริงๆ นั่นแหละ วันนั้นแหละ เขาเป็นผู้ที่ใช้สิทธิ์นี้จริงๆ ก่อนหน้านั้น เขาอาจจะพูด เพราะเขาเกรงใจเรา ก่อนหน้าเขาอาจจะพูด เพราะว่าเขารักเรา เขาไม่ได้รักพระเยซูหรอก

ลักษณะเดียวกัน ในที่นี่สามารถเอามาขยายความได้ว่าไม่มีใครที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะสามารถสาปแช่งพระเยซูได้ มันเป็นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ก็คือคนที่สาปแช่งพระเยซูได้ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ถือโทษโกรธ

จำได้ไหม? ผมได้สอนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่าบางคนชอบไปขู่บอกว่าถ้าไม่เชื่อพระเยซู อย่าลบหลู่นะ จริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่ได้ถืออะไรเลย  พอเข้าใจไหม? ถ้าเรื่องตะกี้นี้ที่เราพูดมาว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านายสูงสุด นอกจากจะกล่าวโดยพระวิญญาณนะ ถ้าตรงนี้เป็นจริง อีกด้านหนึ่งก็เป็นจริง ไม่มีใครสามารถสาปแช่งพระเยซูได้จริงๆ ถ้าเขาเชื่อพระเยซูแล้วจริงๆ  แสดงว่าเขายังไม่เชื่อ มันก็เหมือนเราที่ยังไม่เชื่อในอดีต พระเจ้าอภัยให้เสมอ เพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมารู้แล้ว เราก็ไม่มีทางที่จะสาปแช่ง พอเข้าใจไหม?

ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ ก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ล่วงหน้านานแล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมาถึง ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และจะทรงบรรจุพระธรรมไว้ในจิตใจของเขา พระธรรมนี้ คือมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง เดี๋ยวมาลองอ่านดูนะ เดี๋ยวอธิบายต่อในหนังสือพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ 31:33-34 ตรงนี้เล็งถึงเรื่องราวนี้โดยเฉพาะเลย ค่อยๆ อ่าน และทำความเข้าใจไป

เยเรมีย์ 31:33-34 “33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่านี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

 

ซึ่งในหนังสือฮีบรูก็ได้ดึงเอาข้อความนี้ อ้างเอาข้อความนี้มาใส่ไว้ในฮีบรู 8:10-11 ยืนยันให้ท่านเห็นว่าฮีบรู พระคัมภีร์ใหม่ก็ได้อ้างถึงข้อความในพระคัมภีร์เดิมเมื่อตะกี้ แล้วก็มาพูดตรงนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร?

“ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา” นี่พระเจ้าตรัสนะครับ “ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วใครมาสอนแทน? ใคร? พระเยซูมาจะมาสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูจะมาสอนเราเอง พระเยซูตอนเดินอยู่กับสาวก ก่อนที่จะถูกตรึง

พระเยซูบอกสาวกว่า “เราเป็นทางให้ท่านไปหาพระบิดา เราจะสำแดงพระบิดาให้กับท่าน”

พูดง่ายว่า “เราจะสอนเรื่องพระบิดาให้ท่าน ท่านจะได้รู้ว่าพระบิดาของท่าน พระบิดาของเราและพระบิดาของท่าน เป็นพระบิดาเดียวกัน คือพ่อของพระเยซูกับพ่อของท่านเป็นพ่อเดียวกัน  เราจะเป็นผู้นำท่านไปพบกับพ่อ พามาเจอกัน”  นึกภาพนะ มาคืนดีกัน

พระเยซูจะสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณของพระองค์ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผมสังเกตตรงนี้ดู แถมให้ท่านนิดหนึ่ง บอกว่า.-

“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น” คือสมัยนี้นะ หลังจากพระคัมภีร์เดิมนั่นนะ

“คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของเขา”

ท่านรู้ไหม? บทบัญญัติ คืออะไร? บางเล่มเขาแปลตรงนี้ว่า.-

“เราจะใส่ถ้อยคำของเรา”

บทบัญญัติ ก็คือถ้อยคำ

ท่านรู้ไหม? “ถ้อยคำของเรา” คืออะไร? ในหนังสือยอห์น บทที่ 1 พระองค์ คือพระวาทะ พระวาทะแปลตรงๆ แบบภาษาไทยๆ ง่ายๆ ก็คือ The word ก็คือถ้อยคำ ตรงนี้ ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือถ้อยคำ ถ้าใส่ตรงนี้เป็นพระเยซู ก็คือ.-

“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะใส่พระเยซูเข้าไปในใจของเขา”

และจากนี้ จบ  เดี๋ยวพระองค์จะนำเอง โดยพระเยซูสถิตอยู่ในเรา มาในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้ามี 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ทั้ง 3 พระองค์เป็นเหมือนบุคคลเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เราไม่เข้าใจมากนัก เห็นไหมครับ? พระเยซูจะสอนเราเองในเรื่องนี้

และนอกจากจะย้ำยืนยันในความเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระวิญญาณมาสถิตกับเราแล้ว จะย้ำยืนยันในใจแล้ว

ประการที่ 2 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังย้ำยืนยันกับเราอีกว่าการไถ่ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ชำระบาปให้กับเรานั้น  ที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้านั้น มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่ลิเกนะครับ มันจริงๆ ซึ่งสมัยก่อน ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า หรือแม้ตอนเรารับเชื่อเริ่มต้นใหม่ๆ เรายังรู้สึกกระยิกๆ ลิเกนิดๆ แต่พอไปเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา ยืนยันไปเรื่อยๆ จนเราใช่เลย สรรหาคำมาอธิษฐานกับพระเจ้าแบบเพราะพริ้งเลย ยิ่งกว่าลิเกอีกคราวนี้ ยิ่งกว่าอีก ราชาศัพท์ใช้ผิดใช้ถูก ใช้เก่งกันหมดเลย คิดดูสิ ไม่เคยเล่นลิเกมาก่อน แบบใช้กันถูกหมด พูดเพราะมากเลย แต่ละคน สบายเลย มาจากไหนล่ะ? มาจากความมั่นใจข้างในไง มั่นใจมากขึ้นทุกวันๆ ฮีบรู 10:14-17 บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 10:14-17 “14 พระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น  บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเรา ในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา” 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าทรงรับเรากลับมาคืนดีกับพระองค์แล้ว ยืนยันอย่างนี้กับเรา พระเจ้าให้เรารับฐานะเป็นลูกของพระองค์แล้ว เขาเรียกว่าลูกแบบรับมา  คือรับมาเป็นลูก เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เกี่ยวกับการกระทำดีของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราเคยทำมาตั้งแต่อดีต เคยจดมาตั้งหลาย ตั้งเยอะแยะทั้งหมด จดๆ แล้วก็ลืมหมด จำได้แต่บาปที่ทำเท่านั้น จริงหรือไม่จริง? เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้วว่าที่ทำดีมานั้น ไม่ช่วยอะไรหรอก บาปแค่ครั้งเดียวที่เราทำไปนั้น มันติดตัวเราไปจนถึงไหน? คิดเอาเอง ถึงไหน? หลังความตายแล้วกัน จริงหรือไม่จริง?

ในอดีตเราเป็นอย่างนี้จริงไหม? ทำความดีมาเยอะแยะ ลืมหมดเลย ทำผิดบาปแค่ครั้งเดียว โกหกแค่ครั้งเดียว จำแม่นๆ จำอยู่นั่นแหละ

“ฉันไม่น่าทำๆ”

วันที่ไปช่วยเด็กกำพร้า จำได้แค่ 2 วันผ่านไป ลืม

“วันนั้น ฉันไปหรือเปล่าเนี้ย … ปีที่แล้ววันเกิดฉันไปหรือเปล่าน่า”

จำได้ไหม? จำไม่ได้ แต่ทำอะไร ทำสิ่งที่เลวร้าย ที่คิดว่าเลวร้าย ไม่มากเท่าไร? อาจจะ 30 ปีก่อน 30 ปีผ่านไป ยังจำได้แม่น

“วันนั้น วันที่ฉันทำไม่ดี วันที่ฉันไปขโมยของเขา ถูกเขาจับติดคุกไป”

จำแม่นเลย อย่างนี้แหละ นี่คือธรรมชาติบาป ที่อยู่ในตัวมนุษย์ มันจะฟ้องเราอยู่เรื่อย แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์มาย้ำยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นอิสระจากบาปเหล่านั้นแล้ว ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา ซึ่งความจริงทั้งหลายเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้สอนเราเอง คนอื่นสอน ก็ได้ไหม? ไม่ได้ ตอบตรงๆ เลย ไม่ได้

“อ้าว! แล้วอาจารย์สอนทำไมล่ะ … ไม่ได้ แล้วกำลังคุยอยู่นี้คุยอะไร?”

ใจเย็นๆ สอนได้แต่ข้างนอกเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจก็มี ผู้ที่จะเอาเรื่องไปทำให้ท่านเข้าใจมากขึ้น คือพระวิญญาณ ท่านนั่งฟังอยู่นี้ พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ ผมพูดของผมไปเรื่อย สำหรับคนที่ยกตัวอย่างคนที่ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ ยังไม่เชื่อ ไม่ได้รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ มานั่งที่นี่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ เขาได้ยินผมพูดเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไร? เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ คนอื่นสอนไม่ได้หรอก มันเป็นสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า รับรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  ไม่ใช่รับรู้โดยความเข้าใจแบบสติปัญญาแบบมนุษย์ ผู้คนบนโลกใบนี้จะประกาศข่าวดีอย่างไร? ก็เพียงแค่ให้เราได้รับรู้ ให้เราได้ยินข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่จะเข้าใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับใครนำ? พระวิญญาณ เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปประกาศข่าวประเสริฐ ก็ไม่ต้องพยายามลุ้น พยายามผลักดัน พยายามเคี่ยวเข็ญ จนเกิดเรื่อง คุ้นๆ ไหม?  พยายามๆ จนกระทั่งเขารำคาญ ก็ท่านจะพยายามไปยัดเหยียด เคี่ยวเข็ญ ก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจสิ ท่านต้องกลับไปทำอะไร?  คิดดีๆ แล้วก็คุยตามเหมาะสม ตามโอกาส ที่มีโอกาสให้ แล้วก็ด้วยความสุภาพอ่อนนุ่ม และใช้ช่วงเวลาให้เป็นประโยชน์ แล้วกลับไปอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเขาดีไหม? มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณพยายามในโลกนี้ คุณตายเลย ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูบอกเลย ไปที่ไหนก็วุ่นวายหมดเลย เพราะเขายังไม่รู้จัก บ้านจะได้ไม่แตกสาแหลกขาด มาเชื่อทีหนึ่ง กลับไปถึงบ้าน พยายามจะบีบบังคับ ยิ่งคนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก่อนคนอื่นเขาในบ้าน มีสิทธิกว่าคนอื่นในบ้านเขาสูงๆ กว่าคนอื่น คือไม่ใช่เป็นลูก สมมติเป็นพ่อ ยิ่งหนักเลย อาการหนัก บ้านนั้น บ้านแตกสาแหลกขาด บ้านไหนมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกมาเชื่อก่อน ดีที่สุด เพราะลูกถูกบีบคั้นอยู่ ไม่กล้าทำอะไร? แต่ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ บีบคั้นลูก

“ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น”

ตัวเองจะเอา ใช่ไหม? ตัวเองอยากให้เป็นอย่างนั้น  ไม่รอพระวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่จะทำให้คนเข้าใจข่าวประเสริฐ หรือไม่ก็ตาม อยู่ที่พระวิญญาณ เอเมน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันนะ พระวิญญาณจะเป็นผู้บอก เหมือนขณะนี้ท่านฟังผมไป พระวิญญาณจะเป็นผู้บอกท่านว่า เออ! I see … I see แปลว่าอะไร?

“เข้าใจแล้ว อ๋อ! ใช่ๆ อ๋อ! พระวิญญาณสถิตอยู่ ใช่”

เห็นไหม? ท่านจะอ๋อไปเรื่อยๆ เหมือนเรารับเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก เราก็อ๋อเหมือนกัน พระเจ้าเป็นอย่างนี้ ซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า เหมือนตอนผมรับเชื่อใหม่ๆ ก็ใช่ คนพูดมาเยอะแยะ ไม่ค่อยเข้าใจ บางครั้งก็ต่อต้าน บางครั้งไม่ต่อต้านหรอก แต่ไม่รู้เรื่อง คือไม่เข้าเลย  ไม่ต่อต้านนะ แต่บางครั้งต่อต้าน หมั่นไส้ รำคาญ แต่บางครั้งไม่ต่อต้าน มันไม่เข้า ที่ไม่ต่อต้าน คือมันจนตรอกแล้วไง ที่ต่อต้านอยู่ มันเย่อหยิ่ง สู้กับเขา คราวหลังสู้ไม่ไหว  อยากจะรับเหมือนกัน มันรับไม่ได้ด้วยปัญญาของตัวเอง มันจะรับ จะรับอย่างไร ไม่เข้าใจ จนวันหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทันที ไม่ต้องมีใครสอนเลย  ปิ๊ง ขึ้นมา อ๋อ! เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ทันที รู้แล้วว่าเราเป็นคนบาปอย่างไร? เขาพูดมาตั้งนาน เราเป็นคนบาป เราไม่เข้าใจ เราเป็นคนบาปอย่างไร?

แม้กระทั่งบางครั้งเราไม่ต่อต้าน เราเชื่อว่าเป็นคนบาป เรายอมเชื่อ แต่ว่าเราไม่ได้เชื่อจากวิญญาณของเราจริงๆ เราเชื่อแบบหยิ่งๆ นิดๆ แบบที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ แล้วมันก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่พอพระวิญญาณเข้ามา  พระวิญญาณสำแดงความบาปให้เราเห็นชัดเจน บาปจริงๆ แล้วพระเยซูมาไถ่บาปให้เรา มันเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 4:4-6 จึงบอกไว้อย่างนี้นะครับ

กาลาเทีย 4:4-6 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา ร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ

 

เอเมน ปรบมือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้กับเรา เป็นผู้ที่บอกเรา ยืนยันกับเรา และสอนเราให้เรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ให้บอกว่าพระองค์เป็นอับบา แปลว่าปาป๊า แปลเป็นลักษณะเหมือนปาป๊า ไม่ใช่เป็นพ่อ เหมือนเราเรียก น้อยคนนะที่นี่ ที่เรียกพ่อ ปกติเราจะเรียกปาป๊าบ้าง แด๊ดดี้ อะไรอย่างนี้  คุ้นเคยสนิทกันมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังจะบอกเราว่าพระเจ้ารักเรามากนะ พระเยซูคริสต์รักเรามากนะ ไถ่บาปให้กับเรา เปี่ยมด้วยความรักมากมาย ต้องการสนิทกับเรามาก ให้เรียกพระเจ้าว่าอะไร? ปาป๊า เข้าใจใช่ไหม? แด๊ดดี้ เอเมน

พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ยืนยันในจิตใจเราว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับเรา เรามีฐานะเป็นอะไร? มนุษย์คิดไม่ออก ไม่เข้าใจเลยว่าเราก็เป็นคนบาปขนาดนี้ เราก็ตัวเล็กขนาดนี้ แล้วพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ควบคุมดวงดาวทุกอย่าง ใหญ่ยิ่งสูงสุดเลย แล้วรับเราเป็นลูก มันเป็นอย่างไร? นั่นแหละ พระวิญญาณเป็นผู้สำแดงสิ่งนี้ให้กับเรา ในยอห์น 16:12-15 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้  พระเยซูสอนสาวกไว้อย่างนี้ ยอห์น 16:12-15 พระเยซูสอนเราอย่างนี้

ยอห์น 16:12-15 “12 ยังมีอีกมาก ที่เราจะกล่าวกับพวกท่าน มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้ 13 แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน

 

เอเมน ยิ่งใหญ่จริงๆ นะ นี่คือคำพูดของพระเยซูก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พูดกับเหล่าสาวกไว้ เพราะตอนนั้น เหล่าสาวกยังไม่รู้เรื่องอะไร? ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ พูดไปก็งงๆ เพราะพระเยซูบอกว่า.-

“รอก่อนๆ พระวิญญาณมา เดี๋ยวเธอจะรู้เองว่ามันเป็นอย่างไร?”

“แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”

คำนี้คำเดียว  ก็ครอบคลุมหมดทุกอย่าง และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในเรื่องของความเชื่อ ยืนยันของเรื่องการทรงไถ่ ชำระล้างบาปของพระเยซูที่ทำให้กับเราแล้ว      นอกเหนือจากนั้น ทำอะไรอีก ในข้อต่อไป คือข้อที่ 3

ประการที่ 3 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงสอนและนำพาชีวิตเราแต่ละคน ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ และนำพาชีวิตเราให้ได้พบกับสันติสุขในชีวิตที่แท้จริง

ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ ไม่ใช่ในทางที่เราคิดกันเองอีกแล้ว ลองดูสิเป็นอย่างไร? ยอห์น 14:26-27 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ ยอห์น 14:26-27

ยอห์น 14:26-27 “26 องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่ง ที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน และอย่ากลัวเลย”

 

พูดง่ายๆ คืออย่ากลัวเลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่านแล้ว สันติสุขที่เรามอบให้กับท่านนี้ ไม่เหมือนสันติสุขที่โลกนี้ให้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกมอบให้กับเราแล้ว อย่ากลัวเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องของสันติสุขที่โลกนี้ไม่เข้าใจ

เมื่อเราได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ยืนยันกับเราว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจริง ก็คือสิ่งทั้งหลายที่พระเยซูพยายามสอนเรา และอีกมากมายที่ยังไม่ได้สอนเรา หมายถึงสอนเราผ่านทางสาวกในอดีตที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ และอีกมากมายมหาศาล ซึ่งไม่ได้สอน ขณะเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่สอนในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาขอพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อีกมากมาย ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนท่านหมดเลย (เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์) แล้วแต่ละคนว่าจำเป็นต้องรู้สึกซึ้งมากขนาดไหน? เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าไม่ต้องเอาไปใช้มาก ก็ไม่ต้องรู้เยอะหรอก ใครเป็นคนตัดสินตรงนี้ว่าจะรู้เยอะ รู้น้อยดี พระวิญญาณเป็นผู้นำทั้งสิ้น ให้เราวางใจในพระองค์นั่นเอง พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองว่าไม่ต้องไปคิดมากแล้ว พระวิญญาณนำไปเลย รู้แค่นี้ ก็แค่นี้ รู้แค่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอเมน ไม่ต้องรู้อะไรมาก พอแล้ว เพราะไม่ให้ไปสอนใคร เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่นั้น ก็จบ ก็ไม่ต้องได้รู้อะไรมันเยอะแยะ พอมาวันอาทิตย์ คนที่ได้รู้มากกว่าที่พระวิญญาณนำพา ก็มีหน้าที่นี้  เขาอาจจะมาสอน แล้วเราก็ฟัง สนุก เอเมน พอกลับไปบ้าน เราก็ลืม แต่มันเข้าไปแล้ว เข้าใจไหม? มันก็เข้าไปในวิญญาณแล้ว ท่านก็สบายใจว่ากลับไปทีไร ลืมทุกทีเลย ก็ไม่ได้มีหน้าที่นี้ ก็จะไปจำทำไม? สมองมีไว้ทำอย่างอื่นบ้าง สมองมีไว้พักผ่อนบ้าง อย่าเครียดมากเกินไป อย่างนี้ เอเมน ไม่ใช่เป็นคริสเตียนหน้าตายู่ยี่ตลอดเวลา

“ทำอะไร?”

“กำลังคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าอยู่”

ไม่ต้องมากถึงขนาดนั้น เอาพอดีๆ บางคนพยายามจะยัดเหยียด สอนนะ ตัวเองเป็นอาจารย์ แล้วก็อ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน พยายามยัดเหยียดให้สมาชิก ไปอ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน ตี 5 ตื่นไปทำงาน 6 โมงเช้า รถติด กลับมาบ้าน กว่าจะถึงบ้าน 3 ทุ่ม ไม่มีแรงแล้ว

“ต้องอ่านนะ อ่าน สำคัญๆ”

อ่านไปทำไมอย่างนั้น  มันก็เนื้อหนังเราทั้งสิ้น อ่านไปทำไม? ทรมานเปล่าๆ ไม่ต้องอ่าน ได้แค่นี้ บางคนดูผมอยู่นี้ ตอนนี้ นี่เรื่องจริง ไปอ่านทำไม มันไม่ไหว แล้วจะไปทรมานมันทำไม? มาวันอาทิตย์ฟัง ขึ้นรถเมล์ได้สัก 2 ข้อ 3 ข้อ หรือมีโอกาสฟัง CD ที่เขาเทศน์ ก็แบ่งกันรับใช้ พวกอาจารย์เขาทำงานอยู่ในโบสถ์ เขาก็อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ มาสอนท่าน ท่านก็กลางวันไม่ต้องไปอ่านหรอก ฟังของท่านไป นิดๆ หน่อยๆ พระวิญญาณจะนำท่านเอง ตามลักษณะของแต่ละคน ซึ่งมีหน้าที่ไม่เหมือนกันไง เอเมน  ไม่ใช่ไปพยายามยัดเยียด  ทุกคนจะต้องมาเป็นอย่างนี้หมดเลย  แล้วใครจะหาเงินมาให้โบสถ์ใช้ คนทำงานไป ก็ทำงานไป เอาเงินมาถวายแล้วกัน อันนี้พูดเล่นนะครับ พูดเล่น ที่นี่ไม่เน้นเรื่องถวายทรัพย์อยู่แล้ว เพราะการถวายทรัพย์ คือการช่วยท่าน พระเจ้าต้องการช่วยท่านให้ลดละกิเลส ไม่ใช่มาช่วยพระเจ้า ถ้าท่านมาช่วยพระเจ้า เอาเงินกลับไปเลย  ไม่ต้องถวาย พระเจ้ายิ่งใหญ่ ร้องอยู่ทุกวัน พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด แล้วมารอเงินถวายจากท่าน ตายแล้วพระเจ้าจะช่วยท่านได้อย่างไร? ใช่ไหม? เอเมน ต้องมั่นคง มั่นใจอย่างนี้

แล้วนอกเหนือจากนั้น  สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำให้เรา ก็คืออะไร? ก็คือประการที่ 4

ประการที่ 4 ทรงให้ความสามารถกับเรา ที่เราเรียกกันว่าของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีตัวอย่างบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เดี๋ยวลองอ่านดูนะครับ นี่คือตัวอย่างเท่านั้น มีมากกว่านี้ อย่างที่ผมบอก เยอะแยะมากมาย ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ความสามารถกับเราได้ นี่คือจำนวนหนึ่งในสมัยโน่น ที่พระคัมภีร์สมัยโน่น ที่ได้บันทึกไว้ว่านี่คือจำนวนหนึ่ง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ใน 1 โครินธ์ 12:7-11

1 โครินธ์ 12:7-11 “7 การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8 คนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งสติปัญญา โดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9 อีกคนได้รับของประทานแห่งความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคน มีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น 10 คนหนึ่งได้รับฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคนสามารถพูดภาษาแปลกๆ และอีกคนแปลภาษาแปลกๆ ได้ 11 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการงานของพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกำหนดไว้”

 

เอเมน … พระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคน ตามที่ทรงกำหนดไว้ ตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนสร้างโลก การสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ ประโยชน์ของคนที่สำแดงอย่างเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ประโยชน์ร่วมกัน นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่นี้  ดูตัวอย่างอีกอันหนึ่งใน 1 โครินธ์ 12:28-31 มีของประทานอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในนี้ นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้  ยกขึ้นมาตัวอย่างนะครับ

1 โครินธ์ 12:28-31 “28 และในคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทำการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? 30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? 31 แต่ให้เราใฝ่หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”

 

ในคริสตจักร หมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ไม่ได้หมายถึงในโบสถ์แบบนี้นะครับ คริสตจักรตรงนี้หมายถึงผู้เชื่อทั้งหมด  ทั้งโลกนี้เลย ใครจะเชื่อที่ไหน? มุมโลกไหน? เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น  ไม่ใช่หมายถึงโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ที่โน่น ที่นี่ ไม่ใช่หมายถึงตัวอาคาร หมายถึงตัวประชาชนคนที่เป็นวิหารบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์มาสถิตอยู่กับในพระลักษณะของพระวิญญาณ นั่นแหละคือหนึ่งในจำนวนคริสตจักร มารวมๆ กันเป็นหนึ่งคริสตจักร นี่ผมคนเดียวก็เป็นหนึ่งคริสตจักร ทุกคนรวมๆ กันเป็นหลายๆ คริสตจักร พอเข้าใจใช่ไหม? คริสตจักรคืออาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่กับฉัน อยู่กับเรา พวกเราทั้งมวล ทั้งโลกนี้เลย มันหมายถึงอย่างนั้น

ตรงนี้ท่านจึงเห็นภาพชัดเจนว่าพระวิญญาณให้ความสามารถ เพราะว่าบางคนในสมัยนั้น  พยายามที่จะมองดู คนทำอัศจรรย์ คิดอย่างนั้น แต่ในนี้บอกว่าทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ?  ทุกคนขึ้นมาเทศน์แบบนี้หรือ? ทุกคนขึ้นมาเล่นดนตรีแบบโต๋หรือ?  เห็นหรือยัง?  ทุกคนจะมาร้องเพลงแบบอาร์ตใช่ไหม? อย่าเลยมันเพี้ยน อาจารย์นำไม่ให้ขึ้นมาอยู่แล้ว เพราะอะไร? ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ขึ้นมาร้องหมดดิ ทำไมคนนี้เป็นอย่างนี้? ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนี้? เพราะพระวิญญาณทราบดีว่าใครเหมาะกับอะไร? เพราะถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดให้นั่งที่นี่ ให้ท่านนั่งเฉยๆ นั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไร?  ไม่ต้องคิดว่าจะช่วยอะไรดี จะช่วยพระเจ้าตรงไหนดี เดี๋ยวถ้าพระวิญญาณนำท่าน ท่านถูกกำหนดไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาเอง มาเองแน่ๆ หลายคนขึ้นมาบนนี้ ไม่มีใครเรียกเลยนะ แล้วเขาเอง เขาก็ไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา ไม่รู้ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้

แต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? แต่ให้หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  วันนี้ไม่มีเวลา ต่อจากข้อความนี้ไป คือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งใครๆ ก็รู้จักดี ให้พวกเราหาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ มีทุกคนเลย ของประทานนี้คืออะไร? คือความรักในพระเจ้า รักแท้ของพระเจ้า รักที่ไม่มีเงื่อนไข รักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เห็นด้วยกับการประพฤติไม่ดี ให้อภัยเสมอ ความรักอย่างนี้แหละ เป็นของประทานอย่างหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีรักแท้แบบพระเจ้า อย่างนี้ไง อย่างนี้มีทุกคน ไปแสวงหาเลย  พวกที่ตะกี้นี้บอกจะมาร้องเพลง ก็ไม่ต้องมาแสวงหา ถ้ามีก็มี พวกที่จะมาเทศนา จะมีก็มี พวกที่ทำการอัศจรรย์ได้ ก็ไม่ต้องไปตามเขา จะมีก็มี พอเข้าใจไหม? แล้วพระวิญญาณก็จะนำเขาทำ แต่ละคนๆ ว่ากันไปตามชีวิตของแต่ละคนๆ นั้น ที่พระวิญญาณ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และกำกับเขาไว้ว่าควรจะทำอะไร?  มันจบแล้ว อย่าไปคิดมาก มาเชื่อพระเจ้ามันจบหมดทุกอย่างแล้ว อย่าไปคิดมาก ยิ่งคิดมาก ยิ่งเหนื่อย แล้วแทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และไม่เหนื่อยนะ ไม่หายเหนื่อย เป็นสุข ท่านไม่หายเหนื่อยไม่พอ คนข้างๆ ท่าน เขาก็ไม่หายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน เพราะท่านทำให้เรื่องยุ่งไปหมดเลย เข้าใจใช่ไหม? พอเครียด คนอื่นเขาก็เครียดตามไปด้วย

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออยากจะย้ำยืนยันให้กับท่านว่าพวกเราทั้งหมดในที่นี่ เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ และเราได้เรียนรู้กันมาเยอะแยะแล้วว่าพระวิญญาณของพระเจ้ามีฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุดขนาดไหน? แล้วพระองค์อยู่กับเรา แล้วถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มีอะไรที่เราต้องกลัว มันจบแล้วจริงๆ ท่านต้องพยายามมองข้ามในสิ่งที่มันเป็นเหตุเป็นผลบนโลกใบนี้ ออกไปให้หมด นี่คือความจริง พระวิญญาณจะนำท่านต่อไปว่านี่คือความจริง ท่านมองข้ามไปเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาถึงบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็สบาย เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เอเมน ให้เรารู้อยู่เสมอว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว และพระองค์ตรัสกับเราว่า.-

“อย่ากลัวเลย  เราเป็นพระเจ้าของเจ้า อย่าขยาดเลย เราอยู่กับเจ้าตลอดไป”

ตลอดเลยเห็นไหม? ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในพระคัมภีร์เดิม ก็พูดอย่างนี้ เล็งถึงพระเยซูจะมาเกิด พูดมาตลอด

“อย่ากลัวเลยๆ”

พอพระเยซูมา ก็พูดเหมือนกันอย่างนี้ “อย่ากลัวเลยๆ”

มาจริงๆ แล้ว นี่ของจริง ตอนพระคัมภีร์เดิมเป็นเงา แต่ตอนนี้ เป็นของจริง พูดให้ตรงๆ ก็คือตอนพระคัมภีร์เดิม ที่พูดถึงพระเยซู เป็นเหมือนรูปพระเยซู ท่านจะเห็นชัดขึ้น ถ้าบอกเป็นเงา ท่านอาจจะยังไม่เห็น เป็นเหมือนรูป เอารูปมาให้ดู แต่พระคัมภีร์ใหม่ ตอนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตัวจริงมา เข้าใจไหมตัวจริง เหมือนเราไปดูดารา ดูรูปดาราในหนังสือพิมพ์ นี่ตัวจริงมาครับ ตัวจริง เอเมน

พวกเราขอบคุณพระเจ้าไหม? พวกเราอยู่ในช่วงเวลาของตัวจริงมา ขอบคุณพระเจ้า ที่เราไม่ต้องอยู่ในช่วงที่ดูแต่รูปๆ นี่พระเยซูตัวจริงมาเลย ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหน? หรือจะทำอะไร? เราก็ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น พูดกันในใจของเราว่าไม่ต้องกลัวเลย  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา  อยู่ในเรา  ใครจะทำอะไรเราได้ เราชนะหมดเรียบร้อยแล้ว ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน

พูดกับทุกสถานการณ์อย่างนี้เลย ทุกสถานการณ์ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปคิดว่าเอาเหตุผลของมนุษย์เข้ามา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วผู้ที่จะทำให้เราไปถึงจุดนี้ได้ เราชนะขาดลอยแล้ว เราไม่ต้องไปคิดมาก ทุกเรื่อง วางทุกอย่างไว้กับพระเยซูคริสต์ หรือพระเจ้าได้ ผู้ที่จะนำพาเราผ่านตรงนี้ได้ ก็มีเพียงผู้เดียว คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเราได้รับ และสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่วันที่เราเริ่มต้นเชื่อ ใช้สิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา ที่ไม้กางเขนนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา จึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด แล้วพระเจ้าจึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานี้จะนำพาเราไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเมื่อไรท่านทราบไหม?  จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นิรันดร์ จนถึงเราไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ด้วยวิญญาณของเรา  หน้าต่อหน้า เป็นผู้ยืนยันกับเราตลอด เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย สบายใจได้ วางใจได้ในทุกอย่าง ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำไป

และสุดท้าย ก็คือเราจำเป็นต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระเยซูบ่อยๆ พระเยซูเป็นผู้จุ่มเราลง หรือบัพติศมาเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่รับเชื่อ และต่อๆ มาทุกวันๆ จุ่มเราอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นวิธีการที่เราจะเร่งตรงนี้ให้มันติดสนิทกับพระองค์มากขึ้นได้ ก็คืออธิษฐานขอบ่อยๆ

“พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระวิญญาณของพระองค์มากขึ้น”

จะอะไรก็ตามให้มันออกมาว่าท่านอยากได้มากขึ้น ท่านอยากได้วิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนลูกด้วยเถิดพระเจ้า พระเยซูจุ่มอยู่ลงไปในความล้ำลึกของพระองค์ จุ่มอยู่เข้าไปในอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นทุกวันๆ รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน แทนที่จะไปขอร่ำขอรวย ชื่อเสียงอะไรต่างๆ เข้าใจไหม ตรงนี้มันสำคัญกว่าตั้งเยอะ เพราะทั้งหมดนั้น มันได้ไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่ในการกำหนดของพระเจ้าแล้ว ถ้าพระเจ้ากำหนดให้ท่านจน ท่านจนตลอดแหละ หลบกันใหญ่เลย พอบอกอย่างนี้ จนในตามภาษามนุษย์นะครับ แต่ในพระเจ้าร่ำรวยมาก เอเมน เปโตรรวยไหม? รวยมหาศาล เปาโลรวยไหม? รวยมหาศาล ไม่ใช่คนรวยในโลกใบนี้ที่เรียกว่ารวย ทางพระเจ้าไม่ใช่ พระวิญญาณบอกเราว่าร่ำรวยในทางพระเจ้า คืออย่างไร? ต่อไปในอนาคต เอเมน

เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชิญพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรามากขึ้น สถิตอยู่แล้ว สถิตอยู่อีก มีมากแล้ว ขอมากขึ้นอีก ตรงนี้ไม่เรียกว่าโลภเลย เพราะมันเป็นพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปให้มากที่สุด ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************