วารสาร Holy News ฉบับที่ 1310

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 49

โดย วราพร   คงล้วน

 

วันนี้เราก็มาต่อลูกา 2:14 คราวที่แล้ว เราได้คุยถึงเรื่องที่นางมารีย์กับโยเซฟต้องเดินทางมาที่เบธเลเฮม เพื่อที่จะคลอดพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ ก็คือพระเจ้าได้เผยพระวจนะไว้แล้วว่าพระเยซูจะต้องเกิดที่ไหน? เกิดอย่างไร?  และในช่วงเวลาที่นางมารีย์ใกล้กำหนดคลอด ก็ต้องเดินทางจากนาซาเร็ธมาที่เบธเลเฮม แล้วโรงแรมทุกโรงแรมห้องเต็ม จนโยเซฟกับนางมารีย์ต้องไปอยู่ที่คอกสัตว์ แล้วพระเยซูก็ได้ประสูติตามที่ผู้เผยพระวจนะได้บอกไว้ คือพันผ้าอ้อม แล้วนอนอยู่ในรางหญ้า

แล้วกลุ่มแรกที่พระเจ้าส่งทูตสวรรค์ไปบอก ก็คือคนเลี้ยงแกะ บอกว่าวันนี้ เป็นวันที่ทุกคนต่างเปรมปรีดิ์ เพราะพระผู้ช่วยให้รอดได้มาบังเกิดแล้ว ที่เบธเลเฮม แล้วพวกเจ้า ถ้าเดินทางไป จะเห็นหมายสำคัญ คือพระกุมารจะนอนอยู่ที่รางหญ้า จากนั้น ทูตสวรรค์ก็ได้ร้องสรรเสริญพระเจ้า ในข้อที่ 14 บอกว่า …

ลูกา 2:14 “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”

 

พระคัมภีร์ข้อนี้ พี่น้องจะคุ้นชินมาก เพราะว่าใกล้คริสตมาส เราก็จะขึ้นข้อพระคัมภีร์ข้อนี้  เพื่อที่จะบอกว่าบัดนี้ สันติสุขได้มาถึงมนุษยชาติแล้ว

ในอดีต หลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  มนุษย์ไม่มีสันติสุขเลย เพราะว่าถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถที่จะมีความสุขเหมือนสมัยที่อาดัมกับเอวาไม่ได้ล้มลงในความบาป  ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น มนุษย์ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด หลังจากที่ล้มลงในความบาปแล้ว มีสันติสุขได้  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาประสูติบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ได้มอบสันติสุขให้กับมนุษยชาติ ซึ่งสันติสุขนี้ โลกให้เราไม่ได้ หรือไม่สามารถที่จะรับได้ จากอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้

ทูตสวรรค์ได้บอกว่า … “พระสิริจงมีแด่พระเจ้า ในที่สูงสุด”

ก็คือพระสิริ ความสง่างาม หรือสมัยก่อน ก่อนที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระสิริของพระเจ้าได้ปกคลุมอยู่เหนืออาดัมและเอวา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าด้วยพระสิรินั้น ทำให้มนุษย์ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ไม่รู้สึกว่าต้องอาย  เพราะว่าความใสซื่อ บริสุทธิ์ สะอาดของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือมนุษย์ หลังจากที่ล้มลงในความบาป  พระสิริของพระเจ้าหลุดออกไปจากมนุษยชาติ เพราะว่าความดีงาม ความบริสุทธิ์สะอาดหมดจดของพระเจ้า ไม่สามารถอยู่กับความบาปได้เลย เพราะฉะนั้น พระสิริ ณ เวลานี้อยู่ที่พระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ส่วนบนแผ่นดินโลก หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิด ก็คือตอนนี้ เกิดแล้ว ในพระธรรมลูกา ทูตสวรรค์ได้มาบอกกับพวกเลี้ยงแกะว่าพระผู้ช่วยให้รอด มากำเนิดแล้วนะ ณ บัดนี้  ขอให้สันติสุขของพระเจ้าดำรง อยู่ท่ามกลางมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปราน

มนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงโปรดปราน  และพระเจ้าปรารถนาที่จะให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด ได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า ได้หลุดจากมือของผีมารซาตาน มาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ซึ่งถ้ามนุษย์คนหนึ่งคนใด ที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้มากระทำ มนุษย์ผู้นั้น ก็จะไม่มีสันติสุขเลย

สันติสุขที่พระเจ้าพูดถึง คือสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจของพวกเราทั้งหลาย  เป็นสภาวะที่ทำให้ความคิดจิตใจของเราสงบได้  ซึ่งสภาวะนี้จะเกิดขึ้นในผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ซึ่งถ้าเราไม่มีพระเจ้า เราไม่สามารถสงบได้เลย ยิ่งในยุค ณ เวลานี้ เป็นยุคที่หน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นยุคที่เดินออกไปข้างนอก เจอแต่ภัยอันตราย กลัวไปหมด เราจะไม่สามารถมีสันติสุขได้เลย แต่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า สามารถสงบได้ในท่ามกลางปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะเรามีความมั่นใจในความรอดที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย และเมื่อเรารับเอาสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ข้างในวิญญาณเราเกิดความสงบสุข  เกิดความมั่นใจในความรอด ที่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดแล้ว เราได้ถูกย้ายวิญญาณจากฝั่งที่เป็นความมืด เข้ามาสู่ฝั่งที่เป็นความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว ย้ายจากการที่เป็นทาสของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  จากการที่เราต้องเชื่อฟังมาร  ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะเราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อเรามีความมั่นใจ เกิดความมั่นใจปุ๊บ จะมีผลออกมาในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าหวาดกลัวทั้งหมด ผลนี้จะทำให้เราไม่กลัว  ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  เราก็ไม่เกิดความกลัว เพราะความรอดนี้จะทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่งที่เรามี … ทุกสิ่งที่เรามี ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องร่ำรวยเงินทองมหาศาล หรือมีทุกอย่างที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ ทุกสิ่งที่เรามี แบบอาจจะไม่เหมือนคนอื่น  อาจจะมีนิดเดียว แต่เรามีความพึงพอใจ ฉะนั้น ความพึงพอใจเกิดขึ้นเมื่อไร จะทำให้ข้างในเรามีความสุข แต่ถ้าเราไม่พึงพอใจ ต่อให้เรามีเยอะขนาดไหนบนโลกใบนี้  ก็ไม่สามารถทำให้เราสงบ  หรือเกิดสันติสุขได้

พอเราเกิดความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี และที่เป็น คือเป็นอยู่ขณะนี้ ที่เราต้องลำบากลำบน หลายคนตกงาน หลายคนไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยในช่วงนี้ ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว เราคิดว่าโควิดสักกลางปี น่าจะจบ ไม่จบ  มีระลอกแรก ก็พอได้  ระลอก 2 มา เที่ยวนี้ระลอก 3  มันลากยาวมาเป็นปีๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถ้าเราไม่มีพระเจ้า  เราไม่สามารถที่จะนิ่งได้เลย เราไม่สามารถที่จะมีความสงบได้ และที่เราเป็นอยู่ เราจะไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ เราไม่ได้ขอบคุณพระเจ้าที่เราเจอโควิด ไม่ใช่ หรือเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้  เราขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงนำพาย่างเท้าของเราในแต่ละวัน  ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ทำให้เราสามารถสงบได้ ทำให้เราสามารถเชื่อ วางใจในพระเจ้าได้ สามารถรับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา พระเจ้ามีน้ำพระทัยของพระองค์ สำหรับชีวิตของพวกเราแต่ละคนแน่นอน ซึ่งมันแตกต่างกัน

ฉะนั้น การนำพาของพระเจ้า ในชีวิตของพวกเรา ณ วันที่ทูตสวรรค์มาประกาศให้กับคนเลี้ยงแกะได้รับรู้ ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์มาประสูติบนโลกใบนี้  แปลว่าแผนการที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนไว้ เป็นหลายพันปี ได้เผยพระวจนะ ได้สัญญากับมนุษย์ว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอดมา เพื่อที่จะไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป และสามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าได้ มนุษย์ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อตายจากโลกนี้ไป  เราจะต้องไปตกนรก ต้องไปรับการพิพากษา ไม่ต้องแล้ว พระเจ้าบอกว่าข่าวดีของพระองค์ มาถึงพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  แล้วข่าวดีนี้ พระเยซูคริสต์ก็บอกพวกเราผู้เชื่อให้ประกาศออกไป

ข่าวดีของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช เป็นฤทธานุภาพ ไม่ได้เป็นเรื่องของเหตุผล หรือเป็นเรื่องที่เราจะต้องมาไล่เบี้ยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันมีเหตุมีผลอะไร? ไม่ใช่ แต่เป็นฤทธิ์เดช เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่พระองค์ได้ประทานให้กับมนุษยชาติ เมื่อพระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ คนกลุ่มแรกที่ดีใจที่สุด ก็คือพวกคนอิสราเอล … คนอิสราเอลเป็นกลุ่มคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพระองค์ก็ได้ทำพันธสัญญากับคนอิสราเอลนานมาก ไล่มาเรื่อยๆ  แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับชนชาติอิสราเอล  เพื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องสู้ด้วยกำลังของเขาเอง  แต่พระเจ้าจะเป็นคนนำพา แล้วก็สู้เพื่อเขา

แต่ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดจริงๆ แล้ว  คนอิสราเอลกลุ่มหนึ่งกลับไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าพระองค์คือผู้นั้น ที่พระเจ้าได้ส่งมา และหลายคนเชื่อ คือเมื่อข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไปปุ๊บ มันจะแตกออกมาเป็น 2 กลุ่ม อย่างที่เราคุยกันทุกครั้งไป  2 กลุ่ม คือ …

กลุ่มที่เชื่อ ฟังปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงาน เปิดตาใจ ทำให้เขามีความสามารถเชื่อในสิ่งที่พระเจ้ากระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ซึ่งตรงนี้เป็นความสามารถที่พระเจ้าใส่เข้ามา  พระเจ้าไม่ได้มาบังคับมนุษย์คนหนึ่งคนใดต้องมาเชื่อพระเจ้า  ไม่ได้บีบคอเราว่าต้องมาเชื่อพระเจ้า แต่ว่าพระเจ้าต้องการให้เราเต็มอกเต็มใจ  เปิดใจยอมรับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า

เหมือนในถ้อยคำของพระเจ้าในวิวรณ์บอกว่า … “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู เคาะแล้วเคาะอีก เคาะทุกวี่ทุกวัน”

การเคาะที่ประตูของพระเยซูคริสต์  ก็หมายถึงพระเจ้าได้ส่งคนแล้วคนเล่ามาถึงชีวิตของ

เรา คุยเรื่องพระเจ้าให้เราฟัง  ฟังแล้วฟังอีก ฟังอยู่นั่นแหละ ฟังจนไม่รู้จะฟังอย่างไร? หลายคนฟังแล้ว ก็ไม่มีการยอมรับ หรือตอบสนอง แต่หลายคนใช้เวลานานมากเลย  หลายปี ค่อยตอบสนองในความรักของพระเจ้า  แต่มีอีกกลุ่มหนึ่ง ฟังปุ๊บ ตอบสนองเลย  เราขอบคุณพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงเมตตามนุษย์ แม้ว่ามนุษย์จะดื้อ แต่พระเจ้าก็อดทนกับพวกเรา คอยแล้วคอยเล่า คอยทุกวี่ทุกวัน คอยให้เราเปิดใจ ต้อนรับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาในใจของเรา เพื่อเราจะได้สามารถรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้  เพราะว่ามันคือกฎที่พระเจ้าได้ตั้งเอาไว้ ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกที่ล้มลงในความบาป  ยังไม่ทันล้มลงด้วยซ้ำไป  ที่พระเจ้าบอกว่า …

“อย่ากินผลไม้ต้นนี้  ไม่งั้นเจ้าจะตาย”

นั่นคือกฎ กฎที่พระเจ้าบอกไว้ว่าถ้าเชื่อฟังเจ้าก็จะไม่ตาย วิญญาณไม่ตาย  ร่างกายไม่ตาย เป็นนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แต่มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ล้มลงในความบาป

ฉะนั้น ความตาย เริ่มเกิดขึ้นกับมนุษย์ เราจะเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากๆ ก็คือทันทีที่พระองค์ทรงรับรู้ พระองค์ไม่ได้เพิกเฉย  ถ้าเป็นพวกเรา ที่เป็นมนุษย์ ก็จะบอกว่า …

“สมน้ำหน้า พูดแล้วก็ไม่รู้จักฟัง เตือนแล้วก็ไม่รู้จักฟัง เห็นไหมล่ะ”

นั่นคือมนุษย์ แต่ว่าพระองค์ไม่ใช่ พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรเลย พระองค์แค่ถามอาดัมว่า …

“เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามแล้วหรือ?”

ก็คือพระเจ้าแบบนุ่มๆ … “อ้าว! บอกว่าอย่ากินไง กินแล้วหรือ?”

เมื่อกินแล้ว ทำอย่างไร? เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ไม่ทิ้ง ในเมื่อล้มลงแล้ว พลาดไปแล้ว  พระเจ้าก็ต้องหาแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้น จากการเป็นทาสของมาร  เมื่อมนุษย์ขายวิญญาณของตัวเอง  ก็คือยอมขายทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ให้กับมาร แทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ไปเชื่อฟังมาร  … มารมีอำนาจควบคุมมนุษย์ตั้งแต่วินาทีนั้น เป็นต้นมา จนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าส่งมา แล้วพระเจ้าบอกว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่มนุษย์จะได้รับสันติสุข มนุษย์ทุกคนเลย ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พระเจ้ารักหมด แต่พระเจ้าไม่บังคับที่จะให้ทุกคนต้องมาเชื่อพระเจ้า  แล้วพระองค์ทรงรู้ดีด้วยว่าใครที่มีใจอ่อนโยน  มีใจที่สามารถจะรับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้ด้วย  บางคนใจแข็งกระด้าง ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า เห็นหมายสำคัญ เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้ามากแค่ไหน? ก็ยังดื้อ ไม่ยอมเชื่อพระเจ้าอยู่ดี

หลายคนเคยบอกว่าถ้ามนุษย์เห็นหมายสำคัญเยอะๆ เห็นคนตายเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือเห็นการอัศจรรย์จากตาของเราจะๆ เลย มนุษย์จะเปิดใจต้อนรับพระเจ้า ไม่จริงนะ มีมนุษย์เยอะแยะมากมายที่เห็นกับตา แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี คือใจไม่เปิด แต่คนที่ใจเปิด ใจอ่อนสุภาพ ใจอ่อนโยน คนเหล่านั้น ไม่ต้องเห็นหมายสำคัญก็ได้ ไม่ต้องเห็นการอัศจรรย์ก็ได้  เมื่อเขาได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตาใจฝ่ายวิญญาณเขาเปิด แล้วเขาก็ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาจากมนุษยชาติ เพราะพระเจ้าไม่ต้องการให้แม้แต่คนหนึ่งคนใดต้องพินาศไป  อย่างที่เราเรียนรู้กันมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่พาสเตอร์นครคุยเรื่องนี้ คุยแล้วคุยอีก คุยซ้ำไปซ้ำมา เพื่อเราจะได้รับรู้ว่าการกลับใจใหม่ที่กลับมาต้อนรับพระเจ้า รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เราสามารถทำได้ เฉพาะในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในขณะที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าบอกออกไปประกาศ ออกไปบอกข่าวดีให้กับผู้คนได้รับรู้ว่ามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าลมหายใจออกจากร่างเมื่อไร? โอกาสปิด ก็คือจบแล้ว

คนที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เมื่อลมหายใจเขาออกจากร่าง ที่เดียวที่เขาจะไป ก็คือไปถูกพิพากษา เมื่อถูกพิพากษาลงโทษ ก็ต้องไปอยู่ในนรกนิรันดร์กาล

พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราก็ไม่อยากเห็นพี่น้องของเรา ผู้ที่เรารัก  ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตาทวด ลูก หลาน เหลน โหลนของเรา เราไม่อยากเห็นเขาตกนรก เราไม่อยากเห็นเขาอยู่บนโลกนี้ ก็ทุกข์แล้ว หลังความตายยังต้องไปทุกข์อีก  เราก็ไม่อยากเห็น เราอยากจะให้เขาได้เปิดใจต้อนรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา รับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเพื่อเรา แต่อย่างที่บอกไง พระเจ้าไม่บังคับเรา ทุกคนเมื่อได้ยิน  ได้ฟัง ข้างในเขาจำเป็นจะต้องเปิดใจด้วยตัวของเขาเอง  เรามีหน้าที่อย่างเดียว มีโอกาสก็ประกาศ อธิษฐานขอพระเจ้าเมตตา ขอเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้กับญาติพี่น้องของเรา ให้กับคุณพ่อคุณแม่ของเรา ให้กับลูกหลานของเรา ให้เขาได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา แล้วเราก็อธิษฐานอย่างนี้แหละ แล้วอธิษฐานไปเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระองค์ เราทำหน้าที่ได้แค่นี้  แล้วเราก็ฝากไว้กับพระเจ้า อย่างที่บอก อะไรที่เกินกำลัง หรือเกินการควบคุมของมนุษย์ เราก็ต้องฝากไว้ที่พระหัตถ์ของพระเจ้า เราทำส่วนของเรา  พระเจ้าจะทำส่วนของพระองค์เอง

ลูกา 2:15-18 “15 เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขา ขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา” 16 เขาก็รีบไป แล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้น นอนอยู่ในรางหญ้า 17 ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น 18 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจ ด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกแก่เขา”

 

อันนี้ คือการเป็นพยาน เมื่อคนเลี้ยงแกะได้ยินทูตสวรรค์บอกเล่าเรื่องปุ๊บ ไม่ได้รีรอ หรือไม่ได้ชักช้า เขารีบเดินทางไปที่เบธเลเฮม ไปดูว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้บอกเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แล้วเขาก็เห็นจริงๆ เห็นทั้งนางมารีย์ เห็นทั้งโยเซฟ และเห็นทั้งพระเยซูคริสต์ ประสูติที่รางหญ้า เมื่อเขาได้เห็นสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้ประกาศ เชื่อว่าข้างในวิญญาณเขา เขาจะรับรู้ว่าใช่เลย นี่คือพระผู้ช่วยให้รอดได้มาประสูติแล้ว ซึ่งคนอิสราเอลรอคอยมาเป็นหลายพันปี  จากตรงนี้ เขาก็ออกไปประกาศเลย ไปคุยให้คนทั่วไปได้ยินได้ฟังว่า …

“นี่พวกเธอรู้ไหม ตอนนี้พระผู้ช่วยให้รอดได้มาประสูติแล้วนะ ผู้ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว”

ดังนั้น ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังถึงเนื้อความที่ได้รับ ก็ประหลาดใจ คำว่า “ประหลาดใจ” เราคาดว่าจะมี 2 พวกเหมือนเดิม คือ…

คนที่ฟังแล้วเชื่อ  คือเชื่อเลยว่าใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเรา เรารอคอยมานานแล้ว  พระผู้ช่วยให้รอดได้เกิดแล้ว  เรามีความปิติยินดี

แต่อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือไม่เชื่อ ไม่จริงหรอก อะไรอย่างนี้

ลูกา 2:19-20 “19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและรำพึงอยู่ 20 คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เพราะเหตุการณ์ทั้งปวง ซึ่งเขาได้ยิน และได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว”

 

นางมารีย์เก็บเรื่องไว้ในใจ จริงๆ นางมารีย์รู้เรื่องที่สุดเลย ตั้งแต่เริ่มต้น ที่ทูตสวรรค์มาปรากฏกับนางมารีย์ แล้วก็บอกกับนางมารีย์ว่า …

“เธอเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะคลอดบุตรชาย แล้วให้ชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะผู้นี้ จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ มาปลดปล่อยชนชาติ ไม่เพียงแต่ชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่ปลดปล่อยมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของมาร เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้”

นางมารีย์รู้เรื่องดีที่สุดเลย จากนั้นคนเลี้ยงแกะก็จากไป สรรเสริญ ยกย่องพระเจ้า ชื่นชมยินดี มีความสุขมากเลย ในลักษณะที่ …

“ขอบคุณพระเจ้านะ เรารอมาตั้งนานแล้ว หลายพันปีแล้ว  บัดนี้ เราได้เห็นแล้ว เห็นกับตาเลยว่าพระผู้ช่วยให้รอดได้มาประสูติเรียบร้อยไปแล้ว”

ลูกา 2:21-22 “21 ครั้นครบแปดวัน เป็นวันให้พระกุมารนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงให้นามว่าเยซู ตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้ก่อน เมื่อยังมิได้ปฎิสนธิ์ในครรภ์ 22 เมื่อถึงเวลาทำพิธีชำระตัวตามธรรมบัญญัติของโมเสส เขาจึงนำพระกุมารไปยังกรุงเยรูซาเล็มจะถวายแด่พระเป็นเจ้า”

 

สมัยก่อน เด็กผู้ชายคนยิว เมื่อครบ 8 วัน อย่างที่คราวที่แล้วเราเรียนรู้มา ยอห์นบัพติศโต เมื่อครบ 8 วัน  เขาก็เอาไปถวายให้กับพระเจ้า ไปทำพิธีเข้าสุหนัต คือทำพิธีขลิบหนังปลายองคชาติ เป็นพิธีที่พระเจ้าได้ประทานให้กับอับราฮัมว่าเป็นพันธสัญญาเลือด ที่พระเจ้าได้เล็งถึงในอนาคตข้างหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาหลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่คนเป็นอันมาก กฎระเบียบตรงนี้ คนอิสราเอลก็จะทำมาตลอด

พอถึงวันที่ 8 เขาก็จะตั้งชื่อ อย่างคราวที่แล้วยอห์น เขาก็จะให้ตั้งชื่อตามเศคาริยาห์ แล้วก็บอกว่าไม่ใช่ ต้องชื่อว่ายอห์น  นี่เหมือนกัน เมื่อถึงวันที่ 8 เอาพระเยซูมาถวาย เพื่อทำพิธีเข้าสุหนัต เขาก็ตั้งชื่อพระเยซูว่า “เยซู” ตามที่พระเจ้าได้ให้ทูตสวรรค์มาบอกกับนางมารีย์เรียบร้อยไปแล้ว

ลูกา 2:23 “ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นบุตรที่ถวายแด่พระเจ้า”

 

สมัยก่อน ลูกคนโต หรือสัตว์ตัวแรกเบิกครรภ์ เรียกว่าเป็นผลแรกที่จะต้องถวายให้กับพระเจ้า มีช่วงหลังๆ ที่พระเยซูยังไม่มาเกิด พอใครมีบุตรชายคนแรก เขาก็จะใช้วิธีเอาเงินมา เพื่อที่จะแลก เหมือนกับมาถวายเป็นเครื่องบูชา  เป็นกฎเกณฑ์ของสมัยโบราณ

ฉะนั้น พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่าบุตรชายหัวปี เป็นของพระเจ้า ฉะนั้น โมเสสก็ได้สั่งพวกเหล่านี้ไว้ มันเป็นธรรมบัญญัติที่ยุ่งยากมาก ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้า ที่พอพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาทำทุกอย่างเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์บอกเราว่าธรรมบัญญัติทั้งหมดได้สำเร็จที่พระเยซูเรียบร้อยไปแล้ว

หมายความว่าจากนั้น เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างจบ ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็คือตั้งแต่วันนั้น มนุษย์ไม่ต้องทำพิธีกรรมแบบนี้อีกต่อไป บุตรคนแรกของครอบครัว ก็ไม่ต้องเอามาทำพิธีเข้าสุหนัตอีกต่อไป ก็คือพิธีนี้เท่ากับล้มเลิกไปเลย คนอิสราเอลก็ไม่ต้องไปเอาแพะเอาแกะมา เพื่อที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตัวเองปีต่อปีอีกต่อไป  เพราะพระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นแกะปัสกา ที่ได้มาถวายตัวพระองค์เอง ไม่ใช่เอาเลือดสัตว์มาถวาย แต่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เองมาถวายแด่พระเจ้า ฉะนั้น ธรรมบัญญัติทั้งหมดตั้งแต่สมัยโบราณ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับโมเสส มาจนกระทั่งถึงยุคของพระเยซูคริสต์ วันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นแหละ บัญญัติทั้งหมดได้สำเร็จครบถ้วนแล้ว  มนุษย์ไม่ต้องทำอีกแล้ว

ทำอยู่อย่างเดียว ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา  ทันทีที่เราทำอย่างนี้ เชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก ทันที พระเจ้าจะนำเราไปบัพติศมาพร้อมกับพระเยซู คือเอาวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาปของเรา ไปตรึงบนกางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ และไปถูกฝังร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้ถูกเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยมอ่อง เป็นวิญญาณที่ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  สะอาด บริสุทธิ์หมดจด ไม่มีความบาปอีกต่อไป นี่คือข่าวดี  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าให้เราประกาศออกไป

ซึ่งในขณะนี้ พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้เรื่องนี้  เพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในยุคที่เราอยู่ในความหวาดกลัวตลอดเวลา เมื่อเรารู้ความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าจะทำให้เราสามารถมีสันติสุข มีความสงบสุขได้ เพราะเราไม่กลัวแล้ว ถ้าพระเจ้ายังให้เราอยู่ ต้องเผชิญกับปัญหา อาจจะโควิดจบไป เรื่องอื่นมา มันจะมีมาเรื่อยๆ เราก็จะสามารถเผชิญกับมันได้ หรือถ้าพระเจ้าเห็นว่าถึงเวลาที่เราจะได้พักผ่อน  พระเจ้าก็เอาลมหายใจเราออกจากร่าง  เราก็ไปอยู่กับพระเจ้าที่สวรรค์สถานอย่างชอบธรรม เพราะจริงๆ ตอนนี้เราอยู่แล้วในโลกวิญญาณ  เราก็แค่เปลี่ยนมิติ จากที่เราทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่แก่ลงทุกวันๆ สุขภาพร่างกายก็เริ่มเสื่อมโทรม เซลล์ต่างๆ ก็เริ่มทำงานไม่เป็นปกติ ร่างกายนี้แหละ มันจะไม่อยู่กับเรายาวนาน  เมื่อเราเป็นผู้เชื่อปุ๊บ เราเข้าใจเรื่องนี้ เราจะไม่อิดออด อาลัยอาวรณ์กับร่างกายนี้เลย เราอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวัน …

“พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นไป เราอยากกลับไปอยู่กับพระองค์ เราอยากจะจากโลกนี้ ไปอยู่กับพระองค์ ถ้าถึงเวลาจริงๆ พระองค์เจ้าข้า เอาวิญญาณลูกออกจากร่าง ทิ้งร่างกายนี้ แล้วลูกจะได้ไปอยู่กับพระองค์จริงๆ เต็มพิกัด สมบูรณ์แบบ ลูกจะได้ไม่ต้องมาเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความหวาดผวา”

มันมีบ้างนะ แป๊บหนึ่ง แล้วเราก็ต้องนิ่ง ทบทวนว่าขณะนี้ เราอยู่ในสภาวะไหน? อยู่ในสถานะอะไร?  เราเป็นลูกพระเจ้า พระองค์ทรงดูแลปกปักษ์ พิทักษ์ รักษา คุ้มครองเราอยู่แล้ว

คำว่า “ปกปักษ์ พิทักษ์ รักษา คุ้มครอง” ไม่ได้หมายความว่าพ้นจากสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้  บางทีเราอาจจะแจ๊คพอร์ตเจอ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย  เจอก็เจอ แต่เรารู้ว่าไม่ว่าเราจะเจออะไร? พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เมื่อถึงวาระที่สมควร ที่เราจะได้พักผ่อน  พระเจ้าจะนำวิญญาณเราออกจากร่าง  แล้วไปอยู่กับพระองค์ พักสงบอย่างแน่นอนกับพระเจ้า

ขอพระคุณพระเจ้าทรงโปรดเมตตา ช่วยเหลือพวกเราทุกๆ คน ในยุคที่น่าหวาดเสียวอย่างนี้ เมื่อพระเจ้ายังไม่อนุญาตที่จะให้เรากลับบ้านไปพักผ่อน เราจำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ทำตามกฎที่โลกใบนี้เขาได้ตั้งไว้  แต่กฎนี้ก็ไม่สามารถควบคุมให้เราอยู่ภายใต้อำนาจของกฎนี้ได้ เพราะว่าเราอยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราจะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกวัน  เราจะไม่ตื่นตระหนกตกใจมากจนเกินไป จนทำให้ชีวิตเราขาดสันติสุข ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตที่เป็นปกติสุขได้ เราจะไม่เป็นอย่างนั้น  อย่างทุกวันนี้ เรื่องข่าวร้ายเยอะมาก ถ้าพี่น้องเป็นคนจิตแข็ง เสพไปเถอะข่าวร้ายนั้น  คือฟังเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ไม่ต้องไปใส่ใจมากมาย ก็แค่รู้ว่าตอนนี้โลกกำลังเคลื่อนไปถึงไหน? แค่นั้นพอ แล้วเราก็ระวังชีวิตของเรา ตามสมควร  เพื่อว่าชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้จะได้ไม่ทุกข์ทรมานจนเกินไป

แต่ว่าถ้าคนที่จิตอ่อน เสพข่าวปุ๊บ วิตกจริต กังวลเลย เครียดเลย นอนไม่หลับเลย  ผวาเลย แนะนำนะคะ ไม่ต้องเสพเยอะ นานๆ ทีก็ได้ ให้พี่น้องนำเอาถ้อยคำของพระเจ้ามาทบทวนทุกวันดีกว่า ดีกว่าที่พี่น้องจะไปจดจ่อทั้งวี่ทั้งวัน ดูว่าวันนี้โควิดไปถึงไหน? ตอนนี้คนติดเท่าไร?  วันนี้ตายไปกี่คน? แค่รับรู้ว่ามีคนติด เราทำอย่างไร? เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราก็ทำหน้าที่ส่วนของเรา คือระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ไม่ออกไปในที่ชุมชน ถ้าจำเป็นต้องออกไป ก็รีบไปทำธุระ แล้วก็รีบกลับบ้าน นั่นคือส่วนที่เราทำได้

ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่พระเจ้าให้เราเห็นภาพ เปิดให้เราเห็น เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เรามีพระเจ้าผู้ทรงรักเรามากมาย ที่พระองค์คอยเตือน คอยบอกเรา คอยที่จะประคับประคองย่างเท้าของเรา เพื่อเราจะได้สามารถมีชีวิตที่จะประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

หลายๆ ครั้ง วิกฤตเข้ามา คือโอกาสของผู้เชื่อที่เราจะประกาศให้โลกใบนี้ หรือคนที่ยังไม่เชื่อ ได้รับรู้ว่าทำไมเราจึงสามารถสงบได้ขนาดนี้ เพราะเรามีพระเจ้า เรามีหลักประกัน เรามีความไว้วางใจ เราเชื่อมั่นว่าโลกนี้เราจะอยู่ทุกข์ยากลำบากแค่ไหน? ก็แค่แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวเราก็จะได้กลับบ้านถาวร เป็นบ้านที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นบ้านที่น่าอยู่ ที่เราไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อีกต่อไป อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล เป็นชีวิตที่มีคุณภาพเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือหลักประกัน

เราสามารถมีโอกาสที่จะบอกกับผู้คนบนโลกใบนี้ ที่เขากำลังหวาดกลัวอยู่ เขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร นั่นคือโอกาสที่เขาจะสามารถเข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า เมื่อได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระองค์ เขาจะทบทวน เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเขา เขาจะเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็ขอพระเจ้าทรงเมตตาพวกเราทุกๆ คน ให้กำลัง ให้เรี่ยวแรงเราอย่างมากมาย ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อย่าวิตกจริตมากจนเกินไป  กลัวได้นะ พอเรากลัว เราก็จะระวังตัวมากขึ้น ไม่ไปทำให้ตัวเอง สุ่มเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่ากลัวจนเราไม่กล้าทำอะไรเลย อันนั้น ก็ไม่ใช่นะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่มากมายหลายแห่ง ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราก็ได้รับการชำระล้างบาปจนหมดสิ้น กลายเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว วิญญาณเราได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว  (ถ้าผู้นั้น เชื่อพระเจ้าจากใจจริง และมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ) ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า …

“เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดฟังคำของเรา  และเชื่อพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา  ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่ถูกลงโทษ”  (ยอห์น 5:24)

 

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่อยู่ในพระเยซู ซึ่งจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์มานำพาชีวิต  และผู้นั้นจะมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ

 

คือสำหรับผู้ที่ได้มาเชื่อพระเยซูอย่างจริงใจแล้ว ถึงแม้กายภายนอก ทางเนื้อหนัง ซึ่งยังมีเชื้อบาปอยู่ ยังถูกล่อลวงให้ไปกระทำบาปได้ก็จริง แต่วิญญาณข้างใน ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว จะมีความคิดที่ตรงข้ามกัน  และเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถทำบาปได้อย่างสบายใจ เพราะทางวิญญาณ ถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

“ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว  ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”  (กาลาเทีย 5:24-25)

 

หลายครั้งในชีวิตคริสเตียน แม้ว่าเราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์แล้ว  แต่เพราะเนื้อหนังทางร่างกาย มันยังมีเชื้อบาปอยู่  มันจึงเกิดการสู้กัน  ระหว่างวิญญาณที่ปรารถนาจะทำความดี  และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า  กับเนื้อหนังที่ยังถูกล่อลวงให้กระทำบาป แม้แต่อัครฑูตเปาโลเอง ก็ยังต้องผ่านสถานการณ์เช่นนี้  ตามที่มีบันทึกไว้ว่า …

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง  เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี  ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ” (โรม 7:15-20)

 

พระเจ้าอวยพรครับ