คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2018
เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”
ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรามาต่อกันในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 ใช้ชื่อเรื่องตามชื่ออุปมาที่เราจะเรียนกัน คือ “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”
เรากำลังเรียนรู้เรื่องอุปมาสอนของพระเยซู ซึ่งผมได้พูดไปแล้วว่าคำสอนของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นอุปมา … อุปมา คือข้อความ หรือเรื่องราวที่ยกมาเปรียบเทียบ อุปมาของพระเยซู ก็คือนำเอาสิ่งที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน มาเปรียบกับไปสวรรค์อย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? จะอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร? วิญญาณเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? เข้าไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้อย่างไร? นึกวนเวียนอยู่ตรงนี้
อุปมาในพระคัมภีร์ทั้งหมด พระเยซูพูดเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์
ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนอุปมาของพระเยซู 2 เรื่อง คือ …
- การเปรียบเทียบ “ผ้าทอเก่ากับเสื้อใหม่” ที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีผู้ใด เอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก เสียหายมากขึ้นด้วยซ้ำ เป็นอุปมาเปรียบเทียบเรื่องการที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ หรือการที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้นั่นเอง มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีลักษณะสภาพเข้ากันได้ พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ หรือมนุษย์ไปอยู่กับพระเจ้าได้เท่านั้น ถ้าอยู่คนละขั้ว มนุษย์ตาย ความบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับความสกปรก ความบาปของมนุษย์ เข้ากันไม่ได้
เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบให้เห็นว่าผ้าเก่ากับผ้าใหม่จะต้องเข้ากันได้ มนุษย์จะต้องถูกชำระล้าง จะต้องบังเกิดใหม่ให้สะอาดหมดจด จึงเข้ากับพระเจ้าได้นั่นเอง
อุปมาตรงนี้ ที่พระเยซูกำลังอธิบายว่าผ้าเก่า คือพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าใช้มาตั้งแต่อดีต เพื่อเล็งถึงว่าวันหนึ่งพระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป และกลับไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้ เรียกกฎตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขนว่าผ้าใหม่ คือพันธสัญญาใหม่ เข้ากันไม่ได้ จะเอาอะไรก็เอาอย่างหนึ่ง พระเยซูกำลังบอกว่าเชื่อพระเยซู ก็ไม่ต้องไปทำพันธสัญญาเก่า เพราะมันจบไปแล้ว ถ้าไม่เชื่อพระเยซู ยังคงดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาเก่า ก็ช่วยไม่ได้ … ไม่ได้ไปสวรรค์
นี่คืออุปมาเกี่ยวกับผ้าเก่ากับผ้าใหม่ เรื่องของพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ อยู่คนละพื้นฐานกัน พันธสัญญาเดิม อยู่บนพื้นฐานของตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำเอง ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ สำหรับผ้าใหม่ คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการกระทำของเราเลย แต่บนพื้นฐานของการกระทำของพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนให้กับเรา ทำแทนเราเลย เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เรามีแต่รับเอาลูกเดียว เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ
กฎเก่าในพระคัมภีร์เดิม เรียกว่า “กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
กฎใหม่ในพระสัญญาใหม่ เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ” ในกฎแห่งพระคุณนี้ ไม่มีกฎของความบาปและความตาย ไม่มีกฎแห่งการกระทำของตนเอง การกระทำของเรานั้น เป็นศูนย์ไปเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเข้าไปอยู่ในกฎใหม่แล้ว
- และอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราเรียนสัปดาห์ที่แล้ว คือ “ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว และถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ด้วยกันดีไปเลย”
ฟังแล้ว ท่านรู้แล้ว เล็งถึงพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่เชื่อพระเยซู หรือยังไม่เกิดในทางวิญญาณ ก็เหมือนถุงหนังเก่า ก็คือวิญญาณมนุษย์เก่า เข้ากันไม่ได้ พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนเหล้าใหม่ จะมาใส่วิญญาณเก่าของเราไม่ได้ เพราะวิญญาณเก่าเราสกปรก มีตำหนิ มีมลทิน เป็นบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ ขืนเข้ามา เราก็ตาย ต้องเปลี่ยนถุงเก่าให้เป็นใหม่เสียก่อน ก็คือพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พอวิญญาณใหม่ปุ๊บ มันใหม่เอี่ยมเลย
ถามว่าเกิดเมื่อไร? เกิดเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตอนนั้น มนุษย์สามารถเกิดใหม่แล้ว ใครเชื่อ ก็ได้เกิดใหม่ที่ในวิญญาณ เป็นถุงหนังใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เหล้าใหม่สามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้
เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไปสถิตอยู่กับมนุษย์ที่มีวิญญาณเก่าๆ ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ไม่ได้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ไม่ได้ มันคนละทางกัน
ครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าแรงสูง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณทำดีหรือไม่ดี มันเป็นกฎธรรมชาติเป็นอย่างนั้น
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมาอยู่กับมนุษย์ที่เป็นถุงหนังใหม่เท่านั้น ก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น ทางทิศตะวันออก และฉายแสงมาทั่วโลก ไม่ว่าคนนี้จะทำเลวหรือไม่เลว ดีหรือไม่ดี พอดวงอาทิตย์ฉายแสงมา เขาก็ร้อน ถ้าเขาอยู่ในที่มืดๆ เขาก็สว่าง แสงสว่างมาเขาก็เห็น แม้ว่าเขาจะเป็นคนเลวก็ตาม เขาก็เห็น คนนี้เป็นคนดีมากๆ เลย แสงอาทิตย์ส่องมา เขาก็เห็น เหมือนกัน เขาไม่ได้อะไรพิเศษกว่ากันเลย เพราะนี่เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ เป็นกฎธรรมชาติ
กฎ คือสิ่งที่เขียนจากพระคำของพระเจ้า จากถ้อยคำพระเจ้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มันต้องเป็นไปตามนั้น แล้วใครเป็นคนดูแลให้เป็นไปตามนั้น ผู้พิพากษาใหญ่ของมหาจักรวาลเป็นผู้ดูแล ผู้พิพากษานั้น มีชื่อว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดน็น
ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้เลย ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ผู้เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ผู้นี้แหละ เป็นผู้ดูแลอยู่ทั้งหมด ให้เป็นไปตามกฎ”
ที่อาทิตย์ที่แล้วผมบอกว่าพอเดินออกไปจากที่สูง ถ้าไม่มีฐานรองรับ มันก็ถูกดูดลงมา เช่น เดินไปดาดฟ้าชั้น 10 เดินก้าวออกไปจากดาดฟ้า มันก็ถูกดูดตกลงไปที่พื้น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีอย่างไร? เป็นคนยอดเยี่ยมอย่างไร? เป็นคนมีใจเมตตาอย่างไร? เดินออกไป ก็ตก คนนี้จะเลวอย่างไร? เป็นคนอกตัญญู แย่ในสายตามนุษย์เยอะแยะไปหมด ก้าวออกไป ก็ตก ปรากฏว่าไอแซค นิวตันเขาก็เจอกฎเหล่านี้ มันต้องดูดลงไป
เลยมาอีกสักพักหนึ่ง ก็มีพี่น้องตระกูลไรท์ ที่เป็นผู้ริเริ่มเกี่ยวกับกฎที่ทำให้มีเครื่องบินขึ้น มาถึงปัจจุบันนี้ พี่น้องตระกูลไรท์เขาก็เหมือนอย่างนี้ ไปนั่งดูๆ มันต้องมีกฎอะไรบางอย่าง ที่ทำให้แอปเปิ้ลไม่หล่นลงมา ทำให้ของที่มีน้ำหนัก ที่ดูดลงมา สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เขาก็พยายามคิดค้นหา จนเจอกฎเรียกว่า “กฎแห่งการยกขึ้น”
“กฎของการยกขึ้น” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Aero Dynamic” แปลว่ากลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอากาศและก๊าซ
คิดบวกลบคูณหาร จนสามารถเอาชนะกฎของแรงดึงดูดของโลกได้ เขาก็คำนวณน้ำหนักเท่านี้ ฉะนั้น ปีกต้องเท่านี้ ต้องเบาอย่างนี้ ต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ เร็วขนาดและสมดุลกับสิ่งต่างๆ ที่บอกมา Aero Dynamic ก็จะทำให้วัตถุที่จะถูกดูดลงมา มันลอยในอากาศได้ เขาก็เป็นผู้ริเริ่มทำเครื่องบินขึ้นมา
เครื่องบิน คือวัตถุหนักๆ ซึ่งสมควรที่จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมา แต่มันไม่ดูดลงมา มันลอยอยู่ได้ ก็เพราะว่ามันมีกฎอีกกฎหนึ่งอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลก
ยังมีความเร็วบวกกับน้ำหนักของวัตถุ และความเบาของวัตถุ รูปร่างของวัตถุที่ตัดอากาศอะไรต่างๆ ผสมผสานกันแล้วเรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ขณะที่บินอยู่ มีชัยชนะอยู่เหนือแรงดึงดูด
ตอนที่เครื่องบินบินอยู่ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเครื่องบินลำนั้น ใช้กฎแรงยกขึ้น แต่ถ้าน้ำมันหมดปุ๊บ กฎแห่งการยกขึ้นเสียไป หายไป กฎแรงดึงดูดโลกก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผมจะบอกให้คุณฟังว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นกฎ เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ทำให้เกิดความตายในวิญญาณของมนุษย์ ก็คือมนุษย์ทำบาปปุ๊บ ตาย คือชดใช้เวรกรรม หนี้สินที่ทำผิดไปเมื่อตะกี้ เรียกว่ากฎของความบาป ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือคนเลวก็ตาม คุณทำบาปปุ๊บ คุณรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ คือต้องชดใช้บาป ชดใช้เวรกรรม ต้องตาย … ตาย คืออยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าบาปนั้นจะเป็นบาปใหญ่ หรือบาปเล็ก บาปเผลอหรือบาปไม่เผลอ ก็ตาม เหมือนตอนที่คุณเดินออกไป ที่ชั้น 10 ของดาดฟ้า แล้วคุณบอกว่าคุณไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย คุณเป็นคนดีมาก พอคุณเดินออกไปชั้น 10 คุณก็ตก คุณบอกว่าคุณไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เป็นคนดีมาก รักษาศีล รักษาธรรมทุกอย่าง เป็นคนเรียบร้อย กตัญญูด้วย แต่เมื่อวันนั้นคุณทนไม่ไหวจริงๆ กำลังอารมณ์เสียพอดีเลย ข้าวก็ไม่ได้กิน รถตัดหน้า น้ำกระเด็นใส่หน้า ทนไม่ไหว ด่าทันทีเลย
“ไอ้บ้าเอ้ย”
พระเยซูบอกว่าด่าเขาว่าไอ้บ้า มีค่าเท่ากับฆ่าเขาตาย ต้องใช้หนี้ ทำดีมาตลอดเลย ก็ต้องใช้บาปเวรกรรมนี่แหละ และมีใครล่ะ ที่จะสามารถรักษาตรงนั้นได้ จนกระทั่งวันตาย แค่คิดก็เท่ากับทำแล้ว
ยกตัวอย่างให้อีกอันหนึ่งก็ได้ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก เวลาท่านลงไปอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม ก็มีน้ำหนัก แรงดึงดูดโลก ก็ดูดท่านลงไปใต้น้ำ ถูกไหม? แต่มีอีกกฎหนึ่ง เขาเรียกว่าถ้าท่านมีลมพอ เอาง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือเรือยาง เราสูบลมเข้าไป มันก็พองขึ้น พอเรือยางพองขึ้นมา เราก็ไปนั่งอยู่ในเรือยาง ทั้งๆ ที่อยู่บนทะเล มันไม่ดูดลงไป เพราะเราทำดี ไม่ใช่ เพราะเรารู้จักอีกกฎหนึ่ง ในขณะนั้นว่ามันมีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูด คือถ้าผมอยู่ในน้ำ ผมก็หาอากาศมาให้มันมากพอที่จะพยุงผม ไม่ให้ถูกดูดลงไป
หรือผมจะใช้อีกวิธีหนึ่ง ใช้แรงตัวเองชนะมันได้เหมือนกัน แต่ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมโดดลงไปในน้ำ กับอีกคนหนึ่งโดด ผมพอว่ายน้ำเป็น ผมใช้กำลังของตัวเองกับกฎที่มีอยู่ คือถ้าผมมีความเร็วพอ มันดูดผมไม่ได้ ผมก็เอาแรงผมว่ายไป คนว่ายน้ำไม่เป็น โดดลงไปปุ๊บ ดูดทันทีเลย ผมทำดีกว่าเขาเหรอ ไม่ใช่ เพราะผมรู้จักกฎอะไรบางอย่างว่ามันใช่ ผมว่ายไปไม่นาน ผมก็หมดแรง สู้อีกคนหนึ่งไม่ได้ ซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองของโลก เขาโดดลงไป เขาอยู่นานกว่าผมตั้งเยอะ ท่านคิดว่าได้อีกนานเท่าไร? คนนี้ว่ายเก่งมาก ว่าย 24 ชั่วโมงเลย เป็นไปได้ ถามว่าเขาว่ายได้ถึงปีหนึ่งไหม? หยุดไม่ได้นะ เพราะหยุดเมื่อไร จม
กลับมาคนสุดท้าย ที่ผมบอก ก็คือคนต้นที่ผมยกตัวอย่าง ลอยอยู่ในห่วงยาง แรงก็ไม่ต้องออก แล้วก็ผิวปากไป ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าไป เอเมน ฮาเลลูยา ถามว่าเขาเอาเปรียบเหรอ ไม่ใช่ เพราะเขารู้ความจริงแห่งโลกวิญญาณว่ามีกฎตรงนี้อยู่ เขากำลังอยู่ในกฎพิเศษอีกอันหนึ่ง ที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระเจ้าสอนให้
ยกตัวอย่างทั้งหมดมา เพื่อให้เห็นว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ มีจริงๆ ซึ่งมีอายุยืนยาว 2,000 ปีแล้ว มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย … “กฎของความบาปและความตาย” มีอยู่ว่าท่านทำบาป ท่านต้องชดใช้หนี้บาปของท่าน และหนี้นั้นคือความตาย แต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้น เรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์” ทำให้ท่านมีอิสรภาพ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย คือต่อให้ท่านทำบาป ท่านก็ไม่ต้องตาย เพราะท่านอยู่ในกฎใหม่ คือกฎของพระเยซูคริสต์ เอเมน
“ประชากรของเราถูกทำลาย เพราะขาดความรู้” พระเจ้าตรัส
มนุษย์ทั้งหลาย ถูกทำลาย เพราะเขาขาดความรู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ เขาถูกเชียร์ให้ใช้กำลังของตัวเอง แล้วมันไปไม่รอด เนื้อหนังก็อ่อนแอ มนุษย์ก็อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ยังไงก็ช่วยไม่ได้ มาพึ่งกฎใหม่ที่พระเจ้าวางไว้สิ แล้วอย่าเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองแน่
ครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึงสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเราที่เกิดใหม่เหมือนกับถุงหนังใหม่ คือวิญญาณของมนุษย์ที่ใหม่เอี่ยม ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น คนที่จะเชื่อในเรื่องนี้ได้ เขาต้องเชื่อว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ถ้าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ จบไปเลย ขนาดเราเป็นคริสเตียน เรารู้ เราเชื่อว่าเราเป็นวิญญาณ หลายครั้งเรายังต้องเปลี่ยนความคิดจิตใจว่า …
“ฉันเป็นวิญญาณจริงๆ”
เพราะพออยู่ๆ ไป เผลอๆ ท่านก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ “ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอยู่ในร่างกายนี้
พอบอก … “เราบังเกิดใหม่”
บางคน … “เกิดใหม่ได้อย่างไร? เธอก็อยู่เหมือนเดิม”
“ไม่ใช่ที่เธอเห็นฉันเหมือนเดิมนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน”
คือเป็นร่างกาย แต่ความคิดจิตใจ วิญญาณท่านมองไม่เห็น ที่ท่านจะเห็นผมมีบุคลิกอย่างนี้ เป็นคนสนุกๆ นี่คือบุคลิก แต่วิญญาณผมท่านไม่เห็นแน่นอน แต่ในพระคัมภีร์บอกขณะที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดจากกฎของความบาปและความตายนั้น พระองค์ช่วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์แล้ว เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เกิดใหม่ เมื่อเราเชื่อ ว่ากันตามตรงแล้ว การเกิดใหม่ มันเกิดตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น ท่านอยู่กับพระองค์ในนั้นแล้ว ท่านอยู่ในร่างกายของพระองค์ ท่านถูกตรึงไปด้วยกันแล้ว เพียงแต่ท่านเกิดมาตอนหลัง ในยุค 2,000 ปีต่อมา ท่านรับรู้เรื่องนี้ ท่านบอก …
“เชื่อๆ ฉันเชื่อว่าวันนั้น ฉันอยู่ที่นั่น ฉันอยู่ในร่างกายของพระเยซู พระองค์เอาชีวิตฉันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว และฉันตายไปแล้วต่อบาป และได้เป็นขึ้นมาใหม่”
อาจจะฟังดูยาก ต้องใช้ความเชื่อเอา ไม่ต้องเข้าใจมาก เสร็จแล้ววิญญาณฉันได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าเวลาบอก “บังเกิดใหม่” เกิดใหม่ที่วิญญาณของท่าน ร่างกายยังเห็นอยู่เหมือนเดิม ความคิดจิตใจยังก้ำๆ กึ่งๆ คือมันเคยชินกับความเป็นเดิมๆ อยู่ แต่มันถูกเปลี่ยนด้วยกัน เพราะว่าความคิดจิตใจส่วนลึกนั้น มันติดอยู่กับวิญญาณ มันอาจจะมีอุปนิสัยใจคออะไรต่างๆ คล้ายๆ เดิม เคยชินกับเรื่องเดิมๆ นี่ร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันเดิมหมดแหละ แม้แต่สิวยังเม็ดเดิม ผมขาวก็ยังเส้นเดิม แต่วิญญาณมันใหม่เอี่ยมเลย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ก็จะค่อยๆ ผ่านทางความคิดจิตใจ หรือเรียกว่า soul หรือเรียกว่า mind จิตใต้สำนึกก็ตาม พระเจ้าเสริมสร้างตรงนี้แหละ เขาเรียกว่ากองบัญชาการของพระเจ้าในชีวิตของเรา ก็คือเป็นตัวที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังดี หรือจะมาทางพระเจ้าดี เป็นผู้ตัดสินใจ
ตรงนี้ เรากำลังจะพูดถึงเรื่องวิญญาณ วิญญาณมันต้องเกิดใหม่ ไม่มีการเกิด แล้วก็ไปตายอีก ไม่มี เกิดแล้วเกิดเลย ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ และความเชื่อนั้นไหลลงไปในจิตวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เหมือนในพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้ ยอมรับด้วยปาก สารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 แค่นั้นเอง สิ่งเหล่านี้ ความเชื่อหล่นเข้าไปในใจ และเกิดสิ่งเหล่านี้ ทันทีทันใด คนนั้นได้บังเกิดใหม่ ยอมรับสารภาพว่าพระเจ้าพูดถูก พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ รวมถึงฉันด้วย ฉันเชื่อ เขาเรียกว่ายอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าพูดอย่างนั้น เราก็เชื่ออย่างนั้น สารภาพด้วยปากไปเรื่อยๆ นานๆ ขึ้น ไม่รู้วันไหน? คำสารภาพนั้น จะไหลเข้าสู่วิญญาณ เขาเรียกว่าไหลไปสู่ความคิดจิตใจ แล้วจะค่อยๆ ไหลลงมาลึกๆ จนวิญญาณนั้นบังเกิดใหม่
เปรี้ยง พอวิญญาณเกิดใหม่ พูดทันทีเลย ยอมรับว่า …
“พระเยซูคริสต์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า มาเกิด เพื่อไถ่ฉันให้รอดจากบาป แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”
คำพูดนี้ เขาเรียกว่า “เรม่า” เป็นฤทธิ์เดช เป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าแบบโลโค่ ก็คือแบบถ้อยคำพระเจ้าที่เรามาอ่านกัน เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่มันเกิดฤทธิ์เดชขึ้นมาจากใจเลย เหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัส คำแรกเมื่อตอนสร้างโลกว่า …
“จงเกิดดวงสว่างขึ้น” อันนั่นแหละ แล้วดวงสว่างก็เกิดขึ้น
อันนี้เหมือนกัน “พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน”
มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ตัวนี่แหละ คือตัวที่จะอยู่กับพระเจ้า นิรันดร์ ไม่ใช่ …
“รอว่าเชื่อพระเยซู ทำตามน้ำพระทัยนะ พยายามทำดี ตามที่เขาสอนมา เพื่อว่าตายไปแล้ว ทิ้งร่างกายนี้ จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จะได้วิญญาณใหม่เอี่ยมจากพระเจ้า”
พระคัมภีร์บอก “เดี๋ยวนี้เลย” ท่านเชื่อเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ ถึงแม้ท่านไม่เชื่อ ท่านก็ยังได้เลย เพียงแต่ท่านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ของท่านเอง ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อยๆ ว่าเงิน 600 บาท สำหรับคนที่เกษียนแล้ว ไปรับหรือเปล่า? ทุกเดือนท่านได้ 600 บาท รัฐบาลประกาศแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ไปรับ แล้วเงินเขาอยู่ไหน? ก็อยู่ที่ธนาคารนั่นแหละ ไม่ใช่เขาไม่ได้นะ เขาได้ แต่เขาไม่ไปรับ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด คนที่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้ เขาก็ไม่เอา
ถ้าท่านเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ท่านจะเห็นภาพ มันเป็นกติกา เป็นระเบียบ เป็นกฎธรรมชาติ มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ในการที่จะเข้าใจ แต่มันต้องใช้ความถ่อมใจ ถึงจะรู้ได้ ถ่อมใจถึงจะได้ผล ถ่อมใจ ถึงจะได้รับประโยชน์ แต่ถ้าอยากจะรู้มาก อาจจะไม่ได้อะไรเลย คิดใหญ่เลย
“เป็นไปได้อย่างไร ฉันไม่เคยไปช่วยรัฐบาลอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้สมควรเป็นคนอย่างนั้น ฉันอาจจะเป็นคนกินเหล้าเมายา ไม่เอางานเอาการเลย รัฐบาลจะมาช่วยฉันทำไม”
“เขาช่วยเธอจริงๆ ใครๆ ก็ได้ ไปรับเลย 600 บาทต่อเดือน”
“เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลถังแตกอย่างนี้ เขาจะเอาอะไรมาให้ฉัน”
เถียงอยู่นั่นแหละ ในที่สุด วันแล้ววันเล่า ก็ไม่ได้ไปรับสิทธิของตัวเองสักที จนตาย เงินก็กองอยู่ตรงนั้น ก็ไม่มีใครมาเอาของเขาไปได้ ความรอดก็เหมือนกัน นาย ก. ความรอดก็เป็นของเขา ไม่มีใครเอาไปได้ แต่เขายังเถียงอยู่ ยังเย่อหยิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่เอาไป ตายไป ความรอดก็ยังอยู่ตรงนั้นแหละ เขาไม่ได้รับเท่านั้นเอง
เรามาต่อวันนี้ เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 3 ชื่อตอน “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” มัทธิว 5:14-16 นี่ก็เป็นอีกอันหนึ่งในอุปมาที่น่าเรียนรู้ คิดตามไปว่าเป็นอย่างไร? เรื่องหมายถึงอะไร?
มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”
คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูบอกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” … “ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้ที่เชื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ ที่มาเกิดบนโลกนี้ เพื่อเราทั้งหลาย และมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3
“ท่านทั้งหลาย” คือผู้ที่เป็นถุงหนังใหม่ คือวิญญาณบังเกิดใหม่แล้ว เป็นแสงสว่างแล้ว ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก ไม่ใช่ท่านทั้งหลายมีแสงสว่าง เป็นกับมี คนละเรื่องกันนะ พระเยซูกำลังพูดกับเราว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง และเมื่อพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มาเป็นลูกของพระเจ้า เราก็จะมีสภาพเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู คือเป็นแสงสว่างด้วย นี่พระองค์ทรงพูดเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกับการเกิดมาเป็นผู้หญิง เกิดมาเป็นผู้ชาย ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเกิดมาเป็น หรือบางคนมีความสามารถเยอะแยะ เกิดมาก็ร้องเพลงเก่งเลย มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น แต่การทำอะไรเพิ่ม เป็นการฝึกฝนเท่านั้นเอง เกิดมาเป็นเลย เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ ซึ่งบางคนก็ชอบพูดกันเล่นๆ ว่า …
“เธอเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางได้อย่างนี้”
“ทำอย่างไรฉันถึงจะร้องเหมือนนักร้องดีๆ นะ”
เพื่อนบอก “อย่างนี้ เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่มีทางเป็น”
เพราะเขารู้ว่าคนที่ร้องเก่งๆ เหล่านั้น เกิดมาเป็นอย่างนั้นเลย ปลาเกิดมา มันต้องฝึกว่ายน้ำไหม? ไม่ต้อง เกิดมาเป็นเลย
พระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่าง เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเจ้าของเรา ผู้ให้บังเกิดใหม่กับเรา เกิดมา เราก็เป็นแสงสว่าง เกิดเมื่อไร? เมื่อตอนที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ของเรา และทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณาเราได้บังเกิดใหม่ ฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่าง เกิดเป็นบิ๊กแบ็ง ที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลกสมัยปฐมกาล มันได้บังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา คนนั้นคนเดียวก่อน ตอนนั้น ณ วินาทีนั้น เราไม่รู้เมื่อไร ตอนไหนบิ๊กแบ็งมันเกิดขึ้น ที่วิญญาณของเรา ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีเสียงสั่งมาบอกว่า …
“จงเกิดใหม่”
เราเกิดใหม่ โดยกฎที่เราเข้าไปรับเอาผลประโยชน์ จากกฎของพระเยซูที่ทำไว้ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อ เรายกมือ เราจะไม่อยู่ที่กฎเดิมอีกต่อไปแล้ว กฎของความบาปและความตาย เราอยากจะมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องการ เราเชื่อพระองค์ทุกอย่าง พอความเชื่อนั้นถึงขั้น เต็มที่ตามกฎแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาทันที วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ถูกเนรมิตขึ้นมา เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอก …
“เธอเป็นลูกแล้ว เธอก็เป็นเหมือนกับเรา (เราในที่นี้ หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์) เราทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งสามเป็นความสว่าง หรือเป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ท่านเป็นความสว่าง”
ที่ผมบอกท่านแล้วว่าอุปมาทั้งหมดของพระเยซู จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับทางไปสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? การบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? และการบังเกิดใหม่กับการไปสวรรค์ของพระเจ้า จะต้องเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียว บัพติศมา จุ่มลงไปร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ วิญญาณเราต้องบัพติศมาเข้าไปในวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าบังเกิดใหม่ เราต้องพร้อมที่จะเข้าไปเป็นหนึ่ง ก็คือเชื่อในพระเยซู และได้รับการชำระบาป
เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเกิดมา เราต้องทำอะไรให้เป็นแสงสว่างไหม? ท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นแสงสว่าง ท่านมีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นแสงสว่างไหม? ไม่มีเลย ไม่ต้องแล้ว เพราะมันเป็น อย่างที่ผมบอกพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านต้องพยายามทำให้มันเป็นผู้ชายไหม? ไม่ต้อง แต่บางครั้งท่านอาจจะอยากใส่กระโปรงบ้าง ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง บางครั้งท่านอาจจะทำตัวเป็นผู้ชาย แต่ท่านก็เป็นผู้หญิง ใครเป็นคนกำหนด? ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็เป็นผู้หญิง ท่านไม่มีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นมากขึ้นกว่านั้น มันเป็นแล้ว เพียงแต่เมื่อรู้แล้วว่าเราเป็นผู้ชาย เราก็พยายามทำตัว เปลี่ยนความคิดจิตใจให้เป็นผู้ชายหน่อย ให้แมนๆ หน่อย ปกป้องดูแลผู้หญิงให้หน่อย ทำให้สมกับเป็นผู้ชาย แต่ไม่ต้องทำให้เป็นผู้ชาย เพราะเป็นอยู่แล้ว
ทำอะไรก็ตามให้มันเป็นกุลสตรีหน่อย เคยได้ยินหรือเปล่า? มีมารยาทหน่อย เขารู้ว่าเราเป็นผู้หญิงแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้หญิงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าเรายังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูกำลังบอกว่าแสงสว่าง ไม่มีใครเอาฝาครอบไว้ ใครจะจุดตะเกียง แล้วเอาฝาครอบไว้ แล้วจะไปจุดทำไม เปลืองไฟเปล่าๆ ผมจุดเทียน เพราะต้องการให้แถวนั้นสว่าง คนเดินไปเดินมาจะได้เห็นทาง ถูกไหม? ถามว่าผมจุดตะเกียง จุดเทียนเสร็จ ผมเดินออกมาปุ๊บ เทียนต้องทำอย่างนี้ไหม?
“ฉันต้องสว่างๆ ต้องสว่างขึ้นๆ”
ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่เฉยๆ พระเจ้าให้เราบังเกิดเป็นแสงสว่างแล้ว ปล่อยให้เขาสว่างไปเมื่อคนจุดตะเกียงแล้ว ย่อมไม่มีใครเอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้านและคนเดินไปเดินมา ในทำนองเดียวกัน
“จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้ง” จงให้ ภาษาเดิมใช้คำว่า let แปลว่าปล่อย จงปล่อยให้มันสว่างไป มันสว่างเอง
“เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์” เพราะมันจะออกมาจากข้างใน พระเยซูยกตัวอย่าง บอกว่า …
“มาใกล้ๆ สิ ฉันสว่างแล้วนะ”
มีเทียนมาบอกอย่างนี้ไหม? จุดเทียนเสร็จ คนเดินผ่านไปผ่านมา
“ไม่เห็นขอบคุณเลย อุตส่าห์ให้ความสว่างไปแล้ว”
เทียน ไม่ต้องพูดเลย มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แล้วแต่คนจุดจะเอามันไปปักไว้ที่ไหน? มันก็สว่างตรงนั้น เขาจะได้สรรเสริญพระบิดา เขาไม่ได้สรรเสริญเทียน เขาไม่ได้สรรเสริญตะเกียง เจ้าของตะเกียง คือพระบิดา ท่านพอเห็นภาพไหม?
ในทำนองเดียวกัน เราไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ยอมรับพระเยซู เปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในใจของเรา เพื่อเราจะได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดแล้วบังเกิดเลย
ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นปลา น้ำขึ้นท่วม เราออกมาเล่นน้ำ น้ำลง เราลงไม่ทัน ไปอยู่บนบก ดิ้นใหญ่เลย ถามว่าเราชอบไหม? ไม่ชอบ เพราะเราเป็นปลา เหมือนกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นแสงสว่างแล้ว บางครั้งมีความสุขเกินเหตุไปหน่อย ออกมาทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นลูก ของพระเจ้าเลย เป็นไปได้ไหม? และถามว่าเราดิ้นไหม? ดิ้น เพราะเราไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของเราเป็นความดี ความเมตตา ความรัก ความรอดนี้
และคนที่จะรับได้ ง่ายนิดเดียว พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิทธินี้ไปรับเอาง่ายๆ ก็คือยอมรับสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่กี่พันปีมาแล้วไม่รู้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยมนุษย์ให้รอด จากกฎของความบาปและความตาย และพระเยซูก็มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป ให้มนุษย์สะอาดหมดจดไร้ตำหนิ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพียงแต่ยอมรับว่านี่เป็นจริง พระคัมภีร์พูดจริงๆ พระเจ้าพูดจริง แค่นั้นเอง และก็ปล่อยเลยว่าวันหนึ่งความจริงที่เราพูดไปเรื่อยๆ มันจะเกิดเป็นผลขึ้นมา ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราจะบังเกิดมา กลายเป็นความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3
“พระเยซูเกิดใหม่ในวันที่ 3 และฉันก็เกิดพร้อมพระองค์ด้วย เกิดวันเดียวกันเลย และตอนนี้ ฉันรับสิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์”
ก็เกิดความเชื่อ และเราก็ได้บังเกิดใหม่ตรงนั้นจริงๆ เริ่มต้นด้วยการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เชื่อแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร? ไม่เข้าใจอย่างไร? ลดความเย่อหยิ่งลง ถ่อมใจลงแล้วเชื่อ และรักษาตรงนี้ไว้ จนวันหนึ่งมันไล่ลงไปในใจ มันปิ๊งขึ้นมา เป็นการบังเกิดใหม่ แค่นั้นเอง ขอพระเจ้าอวยพรครับ
************************