คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2020
เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 7
“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องสุขภาพ”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ เราก็ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดแนวทางการดำเนินชีวิต 4 ขั้นตอน ซึ่งสำคัญมาก นี่เป็นการปกป้องชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้มีสันติสุข มีความสุขมากเท่าที่พระเจ้าอยากให้เรามีบนโลกใบนี้ 4 ขั้นตอน คือเชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน เหตุเนื่องจากมีผู้เชื่อใหม่ในระยะหลังถาม …
“มาเชื่อแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง? พอดี ช่วงนั้นเริ่มต้นโควิด คริสตจักรปิดมาไม่ได้ แล้วทำอย่างไร?”
เป็นคำถามที่ดี ผมก็เลยอธิษฐาน แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเชื่อใหม่แล้ว จะแนะนำเขาอย่างไร? สมมติเขาอยู่ต่างจังหวัด หรืออยู่ที่บ้าน มาคริสตจักรไม่ได้แล้ว เนื่องจากโควิด ล็อคดาว์น ทำอย่างไร? ก็เลย คิดว่าขั้นตอนเหล่านี้ เป็นขั้นตอนที่สามารถปกป้องดูแลชีวิตของเขาไปตลอดรอดฝั่งได้ ในการเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือเมื่อเขาเชื่อแล้ว เชื่อทางออนไลน์ เชื่อทางคลิป เชื่อทางเฟสบุ๊ค ไม่เจอหน้ากัน ทำอย่างไร? เชื่อแล้ว ก็ให้รับรู้ รับรู้ คือจดจ่อไปที่ว่าเมื่อเชื่อแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้างในชีวิตเขา พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร? ให้เขารับรู้ตรงนั้น ให้จดจ่อ ฟังจากคลิป อ่านจากพระคัมภีร์ ฟังจากคำบรรยายต่างๆ แล้วก็จดจำ จดจ่ออยู่ตรงนั้นว่า …
“ตอนนี้ฉันเป็นผู้เชื่อในพระเยซูแล้ว ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน? พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างไร?”
พอรับรู้ จดจ่อไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณนี้แล้ว ก็ให้วางใจ ในสิ่งที่รับรู้ทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่รับรู้ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้ความเชื่อ เมื่อเราเชื่อแล้ว เราก็วางใจว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นอย่างที่พระเจ้าบอกไว้ สัญญาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เราได้อ่าน ได้รับรู้นั่นแหละ เราก็วางใจ
ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนของการวางใจ ต่อจากการวางใจ ก็เป็นขั้นตอนสุดท้าย คืออธิษฐาน การพูดคุย การติดต่อกับพระเจ้าเสมอๆ ตลอดทั้งชีวิตเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ 70 ปี 80 ปี 90 ปี 100 ปี ในช่วง 100 ปีไม่หยุดในการติดต่อกับพระเจ้า คืออธิษฐานเสมอๆ ก็มี 4 ขั้นตอนอย่างนี้
และวันนี้ ก็ยังอยู่ในขั้นตอนที่ 3 คือวางใจ ในชื่อเรื่องว่า “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอนที่ 4 สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนรู้ในหัวข้อการเชื่อและวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจเกินกว่าความคิดของเรา มนุษย์ที่จะเข้าใจ ในเรื่องของการกิน การอยู่ และความร่ำรวยทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้
เรียนเรื่องนี้กันไป 2 สัปดาห์ สรุปง่ายๆ ได้ 3 ประเด็นหลักๆ คือในเรื่องของความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง
(1) ให้เราวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ตามพระสัญญาที่บอกไว้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราที่จำเป็น ในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
อีกครั้งหนึ่ง วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของเรา ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เท่าที่เราจำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
(2) เรียนรู้และฝึกฝน เคล็ดลับของอาจารย์เปาโลในเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติของความร่ำรวยบนโลกใบนี้ว่าจงพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีในทุกสถานการณ์ นี่คือเคล็ดลับ โดยให้พระเยซูเป็นผู้เสริมกำลังให้กับเรา ความพึงพอใจในทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ที่เราต้องการ
(3) เปลี่ยนทัศนคติในเรื่องความร่ำรวยความมั่งคั่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบของโลกใบนี้ ซึ่งผลักดันให้เราแสวงหาความสำเร็จ ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของบนโลกใบนี้ เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บอกให้เราเปลี่ยนทัศนคติ ในเรื่องความร่ำรวย เป็น …
มีเงินทอง แต่ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีเงินทอง
ไม่มีเงินทอง แต่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล เต็มไปหมดเลย เพราะว่าพอใจ วางใจในพระเจ้า
สรุปง่ายๆ แต่ปฏิบัติจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดนะว่าพอใจแล้ว เพราะเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ง่าย โดยเฉพาะสำหรับหลายๆ คน ยิ่งไม่ง่ายใหญ่เลย เพราะว่ายังต้องติดต่อกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ยังต้องติดต่อกับคนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่มีความคิดในลักษณะระบบของโลกนี้อยู่ มันก็ยากที่จะไปทำท่ามกลางเขาเหล่านั้น แต่เปาโลบอกทำได้ โดยผ่านทางฟีลิปปี 4:13
“ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจนหรือมี ร่ำรวยหรือยากจน โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”
เสริมกำลังอย่างไร? โดยพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นชีวิตของข้าพเจ้า เมื่อเราเชื่อแล้ว พระเยซูมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เดินไปด้วยกันกับเรา และพระเยซูคริสต์เป็นกำลังให้กับเราในการเผชิญได้ทุกอย่าง ถ้าพระองค์จะพาเราไปรวย เราก็เผชิญได้ ก็คือเราไม่หลงระเริง ต้องเผชิญด้วยเหรอความร่ำรวย เผชิญสิ อันตรายด้วย อันตรายกว่าความยากจนอีก เราได้เรียนรู้ไปแล้วนะว่ามันทำให้เกิดโศกนาฎกรรม โศกเศร้าต่างๆ นานามากมาย ความยากจนทำให้เกิดความโศกเศร้าน้อยกว่า
เพราะฉะนั้น พระเยซูจะพาเราผ่านได้ ถ้าพระองค์นำพาเราให้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เราก็มั่งคั่งแบบพระเยซูคริสต์ แต่ถ้าพระเยซูคริสต์พาเราไปเดินแบบพอมีพอกิน เราก็แฮปปี้ เพราะว่าเราสามารถเผชิญกับความยากจนขัดสนได้ ด้วยความพอเพียง โดยพระเยซูคริสต์เหมือนกัน พระเยซูคริสต์เป็นทุกสิ่งในชีวิตของเรา จูงมือเราเดินทุกวันๆ เพราะฉะนั้น เราต้องฝึกฝนในการเดินกับพระเยซู
การฝึกฝน ไม่ใช่การพยายามบังคับตัวเองว่า …
“ฉันไม่รักเงินๆๆๆ”
มันไม่ใช่การฝึกฝนแบบนั้น แบบนั้นเราเรียกกันว่าศาสนา ศาสนาจะสอนเราว่าอย่าทำอันโน้น อย่าทำอันนี้ อย่าทำอันนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว พระเยซูอยู่กับท่านเดี๋ยวนี้ จูงมือท่านเดิน ผิดพลาดไปแล้วไม่เป็นไร? เดี๋ยวพระเจ้าพาท่านเดินใหม่ พอผิดพลาดไป เราก็รู้สึกฟ้องผิด ฉันแย่แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่แย่ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน กำลังฝึกท่าน กำลังสอนท่าน ล้มไป ก็ทรงปลอบโยน เอาใหม่ลูกเอ่ย
การฝึกฝน เดินกับพระเยซูคริสต์ นั่นแหละคือการฝึกฝนทุกอย่างบนโลกใบนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม อะไรที่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง พระเยซูจะเป็นผู้นำพาเรา เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ด้วยว่าฝึกฝน มันหมายถึงอะไร? ทำให้เราเกิดความพึงพอใจ แล้วก็เกิดนิสัยที่ไม่มีเหมือนมี ก็คือถึงแม้จะไม่มี แต่มีความรู้สึกไม่เห็นขาดอะไรเลย ของที่มันมีอยู่ มันพร่องลงไป ก็ไม่รู้สึกขาด ก็รู้สึกพอใจได้ มันเกิดความรู้สึกไม่รักทรัพย์สมบัติ สิ่งของบนโลก หรือรักสมบัติ หรือรักสิ่งของบนโลกใบนี้ น้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเราให้พระเยซูเป็นใหญ่ในชีวิตของเรา เดินไปกับพระองค์ทุกวัน แล้วก็รับรู้ว่าเราเป็นลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เราก็จะพบกับสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างแน่นอน เอเมน
และวันนี้เราจะมาเริ่มหัวข้อใหม่ คือวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ในเรื่องสุขภาพร่างกาย เป็นประเด็นที่สำคัญ ที่ฮอตฮิต อันดับต้นๆ ของโลกใบนี้ และของคริสเตียนทั้งหลายผู้เชื่อ ซึ่งไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มนุษย์ทุกคนก็มีความกังวลในเรื่องนี้มาก ไม่น้อยไปกว่าทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ บางคนให้มากกว่าด้วยซ้ำไป คือสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย ใครอยากได้ยกมือขึ้น ผมก็อยากได้ แต่เรามาดูสิว่าพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร?
ท่านลองคิดดูนะครับว่าถ้าเราสามารถวางใจในพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ และความร่ำรวยได้แล้ว ใช้ชีวิตแบบพอเพียง มีชีวิตอยู่อย่างพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ได้แล้ว แต่ยังมีความกังวลในเรื่องของความเจ็บป่วย อยากแข็งแรง ชีวิตมันก็ไม่สุขเท่าที่ควรจะเป็น ถูกไหม? ก็ยังกังวลอยู่ เพราะฉะนั้น เรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะเจาะตรงนี้ โดยเฉพาะเลยนะครับ
ลองคิดดูใหม่ เฉพาะคนที่เป็นคริสเตียนนะ เฉพาะคนที่บอกว่าเชื่อแล้ว ถามว่าสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาใหม่ หรือข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่?
พระเจ้าสัญญาไว้ในพันธสัญญาใหม่ว่าท่านเชื่อแล้ว ท่านจะมีสุขภาพแข็งแรงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่หรือไม่? ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องพยักหน้า
บางความเชื่อและมีการสอนกันต่อๆ มาว่าพระเยซูได้แบกรับเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ไปไว้ที่พระองค์แล้ว ที่ไม้กางเขน โดยอ้างอิงจากข้อพระคัมภีร์นี้ ซึ่งฮอตฮิตมากเลย 1 เปโตร 2:24
1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”
“ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” … “พวกท่าน” หมายถึงคริสเตียน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว “ด้วยบาดแผลของพระเยซู ผู้เชื่อได้รับการรักษาให้หาย” ก็มีการตีความตรงนี้ว่าหายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง ดังนั้น ใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ได้รับการรักษาหายจากการเจ็บป่วยทุกอย่างแล้ว แต่ในความเป็นจริง คือคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว และยังเจ็บป่วยอยู่ ทั้งเจ็บมากเจ็บน้อย ป่วยมากป่วยน้อย ค่อยๆ ป่วย หรือป่วยทีหลัง เป็นทุกคนเลย อยากจะบอกว่าทุกคน ถ้าคนไหนบอกยังแข็งแรงอยู่ มันก็ยังอยู่ตอนนี้ แต่ในที่สุด มันก็ต้องป่วยแหละ (ถ้าอยู่ถึง) ถ้าไม่เจออุบัติเหตุก่อน
ถ้าเช่นนั้น เราจะตอบคำถามตรงนี้อย่างไรดี? คนที่เชื่อแบบนั้น ก็เลยโยนความผิด หรือความรับผิดชอบให้กับความเชื่อ เช่นบอกว่าคนที่ยังป่วยอยู่ แสดงว่าความเชื่อยังไม่มากพอ ใครเชื่อมาก ก็จะแข็งแรงมาก ไม่ป่วยเลย หรือไม่ ถ้าไม่รับการรักษาแสดงว่ายังมีความสงสัยในฤทธิ์เดชแห่งการรักษาของพระเจ้าอยู่ จึงไม่ได้รับอัศจรรย์การรักษา
ตัวอย่าง คำสอนเทียมเท็จ เช่นผู้เชื่อทุกคนมีสิทธิ์ได้รับพระพรทั้งด้านสุขภาพ และความมั่งคั่งทางการเงิน และพวกเขาสามารถได้รับพระพรทั้งหลายทั้งปวงนั้น ผ่านทางการประกาศ ยืนยันด้วยปากของตัวเอง ด้วยความเชื่อ โดยการหว่านเมล็ดแห่งความเชื่อศรัทธา ด้วยการพูดหรือด้วยกระทำ เช่น การถวายทรัพย์ อธิษฐานเยอะๆ ด้วยความสัตย์ซื่อ คือการสร้างพลังแห่งความเชื่อของตัวเองขึ้นมา เพื่อจะได้รับสิ่งเหล่านี้ คือแข็งแรง สุขภาพดี ในการหายโรค หรือความมั่งคั่ง เจริญรุ่งเรือง การเงิน จากคำสอนเหล่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ถ้าเราพยายามสร้างความเชื่อ ตามที่เขาสอนมาแล้ว แต่ยังคงเจ็บป่วยอยู่แหละ ซึ่งมันเกิดขึ้นทุกคน ก็จะเกิดคำถามค้างคาใจในพระเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น? เราทำอะไรผิด? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้? เราบกพร่องตรงไหน? ทำไมพระเจ้าไม่รักษา? ทำไม? ทำไม? และก็ทำไม? ที่มันเกิดขึ้น อยู่ที่คนนั้นจะยอมรับหรือไม่? จะพูดหรือไม่พูด? ผมเองก็เคยถามพระเจ้าว่าทำไม? และทำไมล่ะ ผมถาม แล้วผมได้รับคำตอบว่าอย่างไร? ทำไมผมเห็นอัศจรรย์เยอะแยะ แต่ก่อนบอกอัศจรรย์ ตอนนี้ไม่อยากบอกอัศจรรย์เลย มันเทียบอะไรไม่ได้กับอัศจรรย์ที่เราอ้างถึงว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ในหนังสือพระคัมภีร์ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ มันคนละเรื่องเลย ที่ค่อยๆ หายโรคบ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้วเราบอกอัศจรรย์ มันไม่ใช่ เราพยายามที่จะอ้าง เพื่อที่จะสนองความต้องการของตัวเราเองว่าเราคิดว่าอย่างนั้นถูก
ผมถามพระเจ้าแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงถาม? ทำไมๆ เพราะผมมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ เยอะมาก ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเป็นเช่นนี้ พระเยซูคงอยากให้ผมเข้าไปเรียนรู้มั้งว่ามันคืออะไร? เหตุการณ์มันเกิดขึ้น เพราะว่าอยากจะบอกว่าเผอิญ แต่มันก็ไม่ใช่เผอิญ เรารู้อยู่แล้วว่าพระเจ้านำเราอยู่ทุกวัน เรามาเชื่อแล้ว แล้วเราก็ดูแลชีวิตของเราว่ากันไป แต่ปรากฏว่ามีเพื่อนคนที่รู้จักทำงานอยู่ในสื่อ สมัยก่อน สื่อหนังสือพิมพ์กับสื่อโทรทัศน์ ถือว่าใหญ่สุดแล้ว และแรงมากสุดแล้ว มาเห็นเข้า มารู้จักเข้า ก็ได้ยินได้คุยกัน เขาก็ไม่เข้าใจ คำว่า “ไม่เข้าใจ” ว่าผมหมายถึงอะไร? เขาก็เอาไปเขียนเป็นเรื่องราวใหญ่โตว่าเป็นอัศจรรย์ใหญ่โต ฝ่ามือไล่มาร อะไรต่างๆ คนก็แห่กันมาเยอะแยะมากมาย แล้วก็มีคนเชียร์อีกต่างหาก คนเชียร์ ก็คือคริสเตียนด้วยกันนั่นแหละ
“ดีแล้ว อย่างนี้ ที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า หนังสือพิมพ์เหล่านี้ไม่เคยลง ก็ได้ลง โทรทัศน์ไม่เคยออกเลย ก็ได้สามารถพูดไป ดีแล้วๆ”
เชียร์กันใหญ่เลย ไม่มีใครมาบอกเลยว่าความจริง ที่พูดไปในข่าวดีนั้น มันไม่ได้อยู่ในข่าวดีเลย เราอยากได้เอง ก็เลยจับพลัดจับพลูลอยไปกับเขาด้วย เขาเรียกว่าตกบันไดพลอยพระเยซูไป ตามพระเยซูไปว่าพระเยซูนำเราไปทำอะไร? จนกระทั่งเกิดอะไรขึ้น คนเยอะแยะมากมาย หลายท่านคงทราบดี
คราวนี้เขาก็ถามกันว่าทำไมผมถึงหยุด ถามว่าทำไมผมถึงเข้าใจถึงสิ่งนี้ เพราะว่าทำไมนี่แหละ พระเจ้าทำไมคนเหล่านี้เขาเชื่อจริงๆ เขาทำตามที่ลูกได้บอก และพระคัมภีร์ได้พูดอย่างนี้ ทำไมเขาไม่เห็นหาย มันเกิดอะไรขึ้น เขาผิดตรงโน้น หรือผิดตรงนี้ คนแล้วคนเล่า จนมาถึงคนสุดท้าย ทำให้เอะใจ มันไม่ใช่แล้ว
ผมจะเล่าให้ท่านฟัง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นหนุ่มน้อย อายุ 17, 18 เท่านั้นเอง คุณพ่อคุณแม่พามาหาให้ช่วยรักษา ก็ได้รับเชื่อไป เขาเป็นมะเร็งที่กินกระดูกฉับพลันของกระดูกสันหลัง เป็นอัมพาตลุกไม่ได้ เป็นขึ้นทันทีทันใด ปรากฏว่าพอเขามาถึง เด็กคนนี้เชื่อจริงๆ เชื่อมากเลย ผมพูดอะไรไป ก็เชื่อตลอด เราก็ทุ่มเทชีวิตสุดใจเลย ไม่ได้ทุ่มเท เพราะความเชื่ออย่างเดียว เพราะความสงสาร เพราะความเข้าใจ เพราะความเห็นใจ เห็นความทุกข์ของคนที่เป็นพ่อแม่ เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นอนาคตที่ดี เรียนอยู่อินเตอร์ วันดีคืนดีก็เป็นอย่างนี้ขึ้นมา และเขาเชื่อฟังมาก ถึงมากที่สุด บอกให้ทำอะไรทำ บอกให้อธิษฐาน อธิษฐาน บอกให้อ่านพระคัมภีร์ อ่าน บอกให้ฟังถ้อยคำพระเจ้าจนขึ้นใจ ฟังจนขึ้นใจเลย ฟังตลอดวันตลอดคืน อธิษฐานตลอดวันตลอดคืน นมัสการตลอดวันตลอดคืน อยู่บนเตียงนั้น ตลอดวันตลอดคืน ผมไปเยี่ยมทีไร ยิ้มแย้มตลอด หัวเราะ มีความสุข มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม 100% ถ้าใครบอกเขาไม่เชื่อ แสดงว่าคนนั้นพูดเท็จ พูดง่ายๆ มันเห็นชัดเจนว่าเขาเชื่อแน่นอน 100% และยังแถมประกาศให้ทุกคนที่มาหาเขาได้รับเชื่อพระเยซูด้วย
ผมก็ดูแลมาสัก 3 – 4 เดือน ก็อธิษฐาน ไปเยี่ยมเยือนตลอด มีอยู่วันหนึ่ง ทางบ้านเขาก็โทรศัพท์มาบอกว่าเมื่อคืนนี้น้องเขาหลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ผมตกใจเลย คือใจสลาย ความหวังมันแย่มาก คำว่า “ทำไมๆ” ที่มีมาตลอด มันหนักขึ้น มันยิ่งทำไม มันรับไม่ได้ ผมก็รีบขับรถไปที่บ้านของน้องคนนี้ แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวของเขา เขาก็นอนอยู่ที่เตียง ผมก็ยังไม่ยอมอีก คือด้วยความหมดแล้ว มันอยากได้เต็มที่แล้ว มันไม่มีเหตุผลแล้ว ก็คุกเข่าลงอธิษฐาน ร้องไห้ๆ
“พระเจ้าๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้”
คุกเข่าอธิษฐานอยู่ครึ่งชั่วโมง จนหมดแรง หมดแรงจริงๆ นะ อยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำอย่างไร? ลุกขึ้นมา ไม่พูดจากับใคร? กลับบ้านดีกว่า กลับมาถึงที่บ้าน เข้าไปที่ห้องอธิษฐาน ร้องไห้ต่อ คราวนี้พูดตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าแล้ว แต่ต่อว่าอย่างดีนะว่าทำไม … ทำไมเยอะมาก ประมาณสักเกือบชั่วโมง มันรับไม่ได้ พอหมดแรงไป ได้ยินเสียงแว่วๆ ประโยคเดียว ชีวิตเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง เพราะว่าคำพูดตลอดชั่วโมงหนึ่งของผม ก็คือคำว่า …
“ทำไมน้องเขาต้องตายด้วย ทำไมต้องตาย ทำไมๆๆ ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เขาตาย ทำไมๆๆๆ ปล่อยให้เขาตาย”
พระเจ้าตอบมาประโยคเดียวเอง สั้นๆ ว่า … “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาตาย เจ้าพูดได้อย่างไรว่าเขาตาย”
ยิ่งร้องไห้ใหญ่เลย พอลุกขึ้นมาจากอธิษฐาน คราวนี้เป็นตัวเราเอง พูดกับตัวเราเอง ถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ที่ได้ศึกษามาตลอด เยอะแยะมากมาย อยู่ในสมองนี้ เอาไปใช้ผิดๆ ก็มี ถ้อยคำหนึ่งได้ขึ้นมาเลย
พระเยซูบอกว่า … “ผู้ที่วางใจในเรา แม้เขาตาย เขาก็ยังมีชีวิตอยู่” …
พระเจ้าถามเรา … “แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาตาย”
มันจุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเองขึ้นมา คือมันไม่ใช่ความรู้ เหมือนที่เรารู้ เราอ่านพระคัมภีร์ เราศึกษาพระคัมภีร์มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่จี้เข้ามาอยู่ในหัวใจ
“รู้ได้อย่างไรว่าเขาตาย”
จากนั้น ผมก็เริ่มศึกษาพระคัมภีร์ใหม่ คราวนี้ ไม่ใช่พระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่อีกครั้ง ทำมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ทำแบบทัศนคติเปลี่ยนใหม่ ให้พระเจ้านำสิว่ามันคืออะไร? ทำไมๆ พระเจ้าก็จะตอบ พระเจ้าก็ตอบเยอะแยะมากมาย ได้เห็น มิน่า ในห้องก็มีหลายรายที่ทำอย่างที่ผมบอก และมาถึงทุกวันนี้ ยังไม่ตายเลย แต่หายโรคไหม? ไม่หาย แต่ยังอยู่ ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น เป็นโรคอื่นเพิ่มขึ้น แต่อยู่ได้ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ หัวเราะได้ ไปเป็นพยานได้ มีอีกหลายรายเลย ที่ทำท่าจะไปอยู่แล้ว แล้วมาหาผมตอนโน้น คือมาหาพระเจ้านะไม่ใช่มาหาผมหรอก คือความรู้สึกเขา มาหาผม มาหามนุษย์ทั้งนั้นแหละ อย่าบอกเลยว่ามาหาพระเจ้า ไม่จริงหรอก ถ้าหาพระเจ้าจริง เขาไม่มาหาผมหรอก เขาอยู่ที่บ้านคนเดียว เขาก็หาได้ พระเจ้า แต่เราบอกให้เขามาหาพระเจ้า จริงๆ บอกเขาไม่ต้องมาเลยดีกว่า อยู่บ้านไป อธิษฐานไป เดี๋ยวผมอธิษฐานส่งไปให้ ถ้าพระเจ้าจะรักษาคุณให้หายอย่างเหนือธรรมชาติดีกว่า อย่าพูดคำนี้เลยอัศจรรย์ อย่างเหนือธรรมชาติ พระเจ้าทำได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
หลังจากที่เปลี่ยนความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคเป็นอย่างนี้แล้ว ได้เห็นจริงๆ ว่าคนที่ไม่ได้รับการรักษาให้หายอย่างเหนือธรรมชาติ แต่เขาก็ค่อยๆ ได้รับการรักษาดูแล ผ่านทางยา ผ่านทางหมอ อาการค่อยๆ ดีขึ้น หรือไม่ดีบ้าง เดี๋ยวก็แย่ลง เดี๋ยวก็ดีขึ้น เป็นไปตามธรรมชาติ แต่สิ่งสำคัญ ก็คือเขามีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเขา จากเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ผมจึงเลิกการสอนพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และประกาศข่าวดีแบบอย่างที่ว่าไว้ เน้นเรื่องการอัศจรรย์ เน้นเรื่องการรักษาหายโรค เน้นเรื่องเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ซึ่งเหมือนตกบันไดพลอยโจรไป และเปลี่ยนมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว
ซึ่งในขณะที่เปลี่ยนนั้น ก็เห็นบางคน ก็เกิดผลอย่างอัศจรรย์เหมือนกัน ดีกว่าอีก เกิดผลอย่างเหนือเหตุผล ไม่ว่าเรื่องการเงิน เรื่องสุขภาพร่างกาย ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ก็มีหลายคนก้อนมะเร็ง ไปเอ็กซ์เรย์มาแล้ว เป็นอย่างนี้ หลังจากอธิษฐานธรรมดา ไม่มีอะไร ไม่ได้ท่อง สร้างความเชื่ออะไร ไม่มีมาเช็คความเชื่อคุณมากหรือน้อยเท่าไร? อธิษฐานขอพระเจ้ารักษานะ ฝากไว้ที่พระเจ้า กลับไปให้หมอตรวจจะผ่าตัดอยู่แล้ว ก้อนมะเร็งมันหายไป แล้วตอบว่าอย่างไร? ไม่เห็นจะต้องสร้างความเชื่ออะไรเลย แล้วโทษทีนะ มันมีมากกว่าเก่า มันได้ผลมากกว่าเก่าอีก อย่างนี้เป็นต้น บางคน อันนี้เยอะกว่ามะเร็งอีก เนื้องอกในมดลูกผู้หญิง มันหายไปได้อย่างไร? แต่ผมก็ไม่ได้เอามาสนใจ ใส่ใจในเรื่องนี้ นี่คือสิ่งหนึ่งที่ถามว่า … “ทำไม” …
แล้วก็มีอีกท่านหนึ่ง ที่มาจุดประกายเรื่องนี้ ก็คือในเซลที่บ้าน มีหญิงที่เป็นวัยรุ่น เพิ่งแต่งงาน ตั้งครรภ์ เด็กในท้องน่าจะ 5 – 6 เดือนแล้ว แต่หมอบอกว่าเด็กผิดปกติ ไม่ควรเอาไว้ ควรทำแท้ง อะไรประมาณนั้น พ่อแม่ก็ไม่อยากจะทำ อยากให้อยู่ ก็มาให้อธิษฐานให้ อย่างที่บอก ผมก็อธิษฐานอย่างธรรมดา เอามือไปวางไว้ที่มดลูก แล้วก็อธิษฐานไป ก็ใช้ความเชื่ออย่างที่บอก ปรากฏว่าเด็กอยู่ จนกระทั่งคลอด สุขภาพแข็งแรงดี
แต่ที่เล่าให้ฟังนี้ เนื่องจากหลังจากนั้น กี่เดือนไม่รู้ พี่สาวของหญิงที่ได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์นั้น ก็มาพบผมที่บ้าน ไม่ได้มาขอบคุณ มาอธิบายให้ฟัง มีรายเดียวเองนะ รายนี้ ทำให้ผมเอะใจ ทุกคนมีแต่ว่า …
“ดีแล้ว จะได้ประกาศข่าวประเสริฐพระเจ้า จะได้ขยายอาณาจักรของพระเจ้า ผู้คนในประเทศนี้จะได้มาสนใจพระเยซูคริสต์”
มีแต่เชียร์ผม ผลักผมไปทิศนี้ แต่มีคนนี้เข้ามาบอกว่า … “อาจารย์ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ”
“ไม่ถูกอย่างไรล่ะ”
“คือทุกคนจะมาหายโรคหมดอย่างนี้ได้อย่างไร?”
คือเขาพูดเยอะกว่านี้ พูดตามหลักพระคัมภีร์ พูดเหมือนที่ผมกำลังพูดอยู่วันนี้
“อาจารย์บอกว่าหายทุกคน แล้วคนที่เขาไม่หายล่ะ ซึ่งมีเยอะกว่า เขาจะไปพึ่งใคร เขาจะมีความเป็นอยู่อย่างไร? ทุกคนมาคอยอัศจรรย์อย่างนี้ ถ้าพระเจ้าจะรักษา พระองค์ก็ทรงรักษา แต่อาจารย์จะบอกเขาว่าเขาต้องหาย ทุกคนก็แสวงหาการหาย การหายๆ แล้วถ้าไม่หาย เขาจะมีความทุกข์ขนาดไหน? อาจารย์ควรจะสอนตามหลักพระคัมภีร์มากกว่า”
หน้าชา ไม่ได้โกรธ คำว่า “ชา” หมายถึงเออ สิ ไม่เห็นมีใครบอกเราอย่างนี้เลย มีแต่คนเน้นเรื่องคนที่หาย ซึ่งอาจจะมีอยู่สัก 5% จากคนมาเป็นหมื่นคน มีคนหายไม่ถึง 5% หมื่นคน อาจจะมีคนหายสัก 50 คน แบบชัดเจนหน่อยนะ แล้วเอา 50 คนนี้ไปเชียร์กันใหญ่เลย แล้วไม่นึกถึงคน 9,000 กว่าคนที่ไม่หาย ทุกข์ทรมานใจ สงสัยในพระเจ้า กลับไปบ้าน ทำไมๆๆๆๆ เหมือนเด็กหนุ่มคนที่เล่าให้ฟังเมื่อตะกี้นี้ หรือเหมือนอีกหลายๆ คนที่ไม่มีสันติสุข เพราะมัวแต่คิดว่า …
“พระเจ้าทำไมๆ ฉันจะสร้างความเชื่อต่อไปๆ”
ผลักให้เราไปประกาศอย่างนั้น มีคนนี้ที่พูดตรงดี ชัดเจนดี เป็นวัยรุ่นสาวด้วยนะ แต่เนื่องจากเขาอ่านพระคัมภีร์ แล้วเขาเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วเขามาพูดตามความจริง ผมเชื่อว่าพระเจ้าพาเขามาพูด มีอยู่ไม่กี่คน
สองอันแล้ว ที่ทำให้ผมหันหลังกลับ จากน้องคนนั้นว่าทำไม แล้วตอนนี้ น้องคนนี้มาพูด และสุดท้าย ตอนที่ผมอธิษฐานวางมือ มันถูกผลักไปตรงนี้จริงๆ อยากจะบอกว่าถูกผลัก ไม่รู้ใครผลักผมลงไป
หลังจากที่สื่อต่างๆ ออกไปเยอะแยะมากมาย คนทั้งประเทศแห่กันมา บางคนก็ขึ้นเครื่องบินมา จองเครื่องบินมา โทรศัพท์มา วันอาทิตย์ไม่อยู่แล้ว รับไม่ได้ คนเยอะ เพราะฉะนั้น ต้องเพิ่มวันศุกร์กับวันเสาร์ รอบพิเศษ แล้วเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เราตกไปอยู่ตรงนั้นแล้ว จะปฏิเสธเขาได้อย่างไร? แล้วเราก็มั่นใจด้วยว่าพระเจ้าของเราเป็นจริง พระเจ้ารักษาเขาได้ ก็อธิษฐานให้เขา คุณคิดดูนะครับ วันศุกร์ 2 รอบ วันเสาร์ 2 รอบ วันอาทิตย์ 3 รอบ คนเป็นหมื่น หลายพันคนที่เข้ามา แน่นอนในหลายพันคนที่มา มันต้องมีบางคนที่หาย แบบได้รับอัศจรรย์ แต่ไม่รู้มาจากพระเจ้าหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ ผมตอนนั้นมีค่าเท่ากับคนเข้าทรง ให้หวย ให้ไป 2 ตัว ถ้ามาร้อยคน ก็ต้องถูกสักคนแน่นอน ให้ทุกเบอร์ แต่ความตั้งใจจริงของเรา ผมรู้ตัวเองว่าผมบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย ก็อย่างที่บอกว่ามันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วลามทุ่งไปเยอะแยะมากมาย เพราะว่าใครๆ ก็อยากจะได้ตรงนี้ ใครๆ ก็อยากจะหายป่วยๆ มันทุกข์ทรมาน แล้วความใจจริงของเรา เลยทำให้เราทุ่มเทมาก เขาบอกให้สร้างความเชื่อ เราก็สร้างความเชื่อ สร้างให้ตัวเองนะ จะไปอธิษฐานให้เขา สร้างตัวเอง คือเก็บตัว ก่อนจะถึงวันศุกร์ จันทร์-พฤหัสฯ อยู่ในห้องอธิษฐานอย่างเดียว เขาบอกอธิษฐานมากๆ จะได้สร้างความเชื่อ ตัวเองขึ้นมาให้มันมีพลัง เพื่อที่จะไปอธิษฐานให้เขา ท่องถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งเข้าใจผิดๆ นั้นแหละ พูดมันอยู่นั้นแหละ เรื่องวางมืออธิษฐานรักษาโรค เพื่อว่าวันศุกร์จะไปทำให้เขา แล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ผลมากเท่าที่ควร ทำอะไรต่อ ต้องสร้างเพิ่ม เขาบอกอดอาหารด้วยสิ อดอาหาร แล้วจะสร้างความเชื่อเพิ่มขึ้น
โอเค นอกจากผมต้องมาเก็บตัวอธิษฐานเตรียมตัวไว้วันศุกร์แล้ว ผมต้องอดอาหารอีก 3 วันก่อนถึงวันศุกร์ ไปดูรูปผมตอนนั้น โทรมเลย และก็มีผู้เชื่อ เป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นผู้ปกครอง เป็นนายแพทย์ปัจจุบัน นี่ก็เป็นความจริงใจ ที่ทำให้ผมเอะใจ เข้ามาพบก่อนที่จะออกไปวางมืออธิษฐาน คนมารอเต็มไปหมด บอกว่าอย่างไร? …
“อาจารย์ อาจารย์ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ สุขภาพเสียหมดเลย ไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย อาจารย์ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ร่างกายเป็นวิหารของพระเจ้า อาจารย์ต้องดูแลสุขภาพร่างกายด้วย ไม่ใช่มาทำตัวทรมานอย่างนี้ แล้วจะได้มีฤทธิ์อำนาจไปรักษาคน มันไม่ใช่นะ อาจารย์ทำอย่างนี้ไปนะ ตอนนี้ยังทำได้ อาจารย์ยังหนุ่มอยู่ เดี๋ยวอาจารย์ต้องใช้หนี้เขา มันเสื่อมโทรมไปนะ ทำอย่างนี้ไม่ได้ มันเกินไป อาจารย์อย่าทำเลย”
เสร็จแล้ว ก็เอายาบำรุงมาให้ ซึ่งแต่ก่อนนี้ ยาบำรุงกับเรา มันคนละเรื่องนะ มาบำรุงอะไรเล่า มีความเชื่อเต็มที่ เพราะความซ่าส์ ซ่าส์บริสุทธิ์
นี่คือ 3 เหตุการณ์หลักๆ ที่ทำให้ผมเอะใจ และศึกษาเรื่องนี้ใหม่ อย่างที่ผมบอกว่าพอมาศึกษาใหม่ ก็เห็นบางคนก็หาย อย่างไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งดีกว่า
คราวนี้เรามาดูความหมายของข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ที่เขาเอามาอ้างว่าเป็นอย่างไร? ว่ามันคืออะไร? 1 เปโตร 2:24-25 เราอ่านอีกครั้งหนึ่ง
1 เปโตร 2:24-25 “24 พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย 25 เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป แต่บัดนี้ ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และพระผู้ทรงดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว”
“พระองค์เอง ทรงแบกรับบาปของเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน” พระเยซูเองทรงแบกรับเอาบาปนะ ความบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขน กำลังพูดถึงโลกวิญญาณชัดๆ เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป นี่ก็เรื่องโลกวิญญาณชัดๆ และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม จริงๆ ตรงนี้บอก และมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากการเป็นคนบาป ก็คือเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนชอบธรรม วิญญาณชอบธรรมแล้ว พ้นจากบาปแล้ว นี่ในวิญญาณทั้งนั้น และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย ทางวิญญาณเช่นเดียวกัน เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป เห็นหรือยัง? แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยงและพระผู้ดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว พูดง่ายๆ พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเกิดใหม่ การได้รับความรอดทางฝ่ายวิญญาณ จากอาณาจักรของความมืด จากในอาดัม มาสู่ในพระเยซูคริสต์ จากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง จากเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า หายจากโรคบาป หายจากการเป็นคนบาป หายจากการเป็นคนชั่ว กลับมาเป็นคนดีทางวิญญาณ หายจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า หายจากการอยู่ในนรก อาณาจักรของความมืด เป็นทาสมาร มาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าต่างหาก
คำว่า “พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงหายจากโรคมะเร็ง หายจากโรคหัวใจ หายจากวัณโรค หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ หายจากโรควิตกกังวล ซึ่งเป็นโรคชนิดหนึ่ง หายจากโรคซึมเศร้า ซึมเศร้าก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง หายจากโรคเครียด หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ สิ่งที่เป็นอันตรายจากความเชื่อแบบผิดๆ นี้ ก็คือผมเคยเห็น มีประสบการณ์มากกว่านี้นะ เคยเห็นคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วใช้ความเชื่อผิดๆ แบบนี้ แล้วอันตรายเกิดขึ้น แทนที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า กลับต้องเป็นอัมพฤก อัมพาต และในที่สุด ชีวิตล่มสลายไป พร้อมกับความเชื่อผิดๆ แบบนี้ ทรมานมากเลย
ผมเคยเห็นคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แล้วยังใช้ความเชื่อแบบนี้ กินอะไรไม่เลือกเลย แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้เอง เห็นกับตา แล้วยังมีโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ที่ใช้ความเชื่อแบบนี้ แล้วมันเป็นอันตราย อาจถึงชีวิตได้ ไม่ยากเลย เพราะความเชื่อแบบนี้ ผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้า แล้วใช้ความเชื่อผิดๆ แบบนี้ อาการทรุดหนักมาก จนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
และผมเคยเห็นคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหนักมากๆ แต่ไม่ใช้ความเชื่อผิดๆ แบบนี้ มาใช้ความเชื่อแบบใหม่ คือวางใจในพระเจ้า ขอสติปัญญาจากพระเจ้า และรักษาตามอาการ ไปตามหมอ ตามยาต่างๆ ที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาไว้ ให้สติปัญญาเขาเหล่านั้นไว้ เพื่อดูแลรักษามนุษยชาติบนโลกใบนี้ให้ทุเลาความทุกข์กาย ทุกข์ใจลง อาการหนักมากเลย หนักมากกว่าคนที่เป็นซึมเศร้าที่บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วและใช้ความเชื่อ แต่อาการทรุดลง คนนี้เป็นหนักมากๆ ยังไม่เชื่อพระเจ้า แม่พามาหา แทนที่ผมจะบอกให้ใช้ความเชื่อ ผมก็อธิษฐานให้ แล้วก็บอกว่าให้ไปหาหมอนะ ให้หมอดูแล ถึงขั้นอาการกำเริบ แม่โทรมาบอกว่าตอนนี้อาการคลั่งมากเลย ติดต่อโรงพยาบาลที่ดูแลคนไข้ระดับคลั่งที่ไหน? ส่งที่อยู่ให้เขา เพื่อเขาจะได้ไปติดต่อ และปรึกษากันทางแพทย์ ทางผู้ให้การรักษาตรงโน้น โรงพยาบาลของรัฐ นำตัวเขาไป ถึงขนาดต้องกักขังเขาไว้ที่โรงพยาบาล พูดง่ายๆ เหมือนคนบ้าคนหนึ่ง แล้วทำไม อธิษฐาน อธิษฐานต้องไปวางมือเขาไหม ไม่ต้อง อธิษฐานให้เขา วางใจในพระเจ้า เขาอยู่ในสถานที่กักกันนั้นหลายเดือน และในที่สุด ก็ค่อยๆ หาย
พระเจ้าก็ทำการเหนือธรรมชาติหลายสิ่งหลายอย่างให้เกิดขึ้น แต่เป็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นแบบไม่สะใจมนุษย์ ที่อยากจะมีความอัศจรรย์กว่านี้ คือน่าจะหายเลย ไม่ นี่เขาก็ยังต้องกินยาอยู่ แต่ทำไมกินยา แล้วตอบสนองต่ออาการดีมากเลย จนในที่สุด ใช้เวลาไม่กี่ปี หายเป็นปกติดีทุกอย่าง จากหมอและยา ระบบการรักษาคนที่เป็นซึมเศร้าอย่างหนักๆ ถ้าเกิดเขายังใช้ความเชื่ออย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้น เกิดโศกนาฎกรรม ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้คนรอบข้างที่เขารัก และเขาไม่รู้ตัว เพราะเขาเป็นโรค เขาไม่สบาย ซึ่งโรคต่างๆ เหล่านี้ ก็เกิดจากความวิปริต ความล้มเหลว ล้มลงในความบาปของอาดัมและเอวา และโลกใบนี้ ซึ่งตกลงไปในความบาป และคำสาปแช่งแล้ว มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อแบบผิดๆ อย่างนั้น ให้คนสร้างความเชื่อ แล้วพอมันไม่ได้ผล ผู้ที่สร้างความเชื่อให้กับเขา หรือสอนเขาในเรื่องความเชื่อนี้ ก็จะบอกเขาว่า …
“ไม่ใช่พระเจ้าผิดหรอก แต่เป็นคุณเอง เพราะคุณสร้างความเชื่อไม่พอ คุณจึงไม่ได้รับไง คุณต้องไปสร้างความเชื่ออีก เป็นความผิดของคุณเอง”
ผู้เชื่อใหม่มา หรือผู้เชื่อเก่ามา ที่แสวงหาอัศจรรย์เหล่านั้น ก็เลยกลุ้มใจ วันๆ หนึ่ง พระเจ้าพระเยซูบอกให้มาหายเหนื่อยและเป็นสุข ยิ่งหนักขึ้นทุกวัน ต้องสร้างความเชื่อ ตรงนั้นก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่ได้ สร้างแล้วก็ยังไม่ได้รับอัศจรรย์สักทีหนึ่ง มันจะได้รับได้อย่างไร? มันไม่ใช่ความเป็นจริง ก็อยากได้เอง เขาก็บอกมาว่าเราต้องสร้างเพิ่มขึ้นๆ เราก็สร้างตาม ก็ไม่ได้ ไม่ได้ ก็เกิดฟ้องผิดมากขึ้น ฟ้องผิดมากขึ้น แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดการหาคำตอบมากขึ้นว่ามันเป็นเพราะอะไร? เพราะความผิดเราตรงไหน? ตัวเราเอง แล้วก็ผู้นำ หรือผู้สอนก็จะบอกว่า …
“เพราะคุณเอง อ๋อ! รู้แล้วล่ะ ที่คุณยังไม่หาย เพราะว่าคุณยังทำบาปอะไรอยู่ไหม?”
มาแล้ว พระเยซูบอกอภัยบาปเรา ครั้งเดียวเป็นพอ
“คุณยังทำบาปอะไรอีกหรือเปล่า?”
พระเยซูบอกว่าเมื่อเชื่อในพระองค์แล้ววิญญาณเราสะอาดหมดจด ไม่มีบาปเลย
“คุณทำบาปอะไรไหม?”
อ้าว! คิดแค่นั้นไม่พอ หรือไม่ก็บอกว่าในบ้านคุณ มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์อยู่ในนั้นไหม? อดีตบรรพบุรุษคุณเคยไปยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์อะไรไหม? หาเรื่องร้อยแปดพันเก้ามาเยอะไปหมด เพื่อจะหาคำตอบว่าทำไมมันไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของพระเจ้าหรอก พระเจ้าให้แล้ว แต่คุณ ทำไม่ได้เอง คุณบกพร่องเอง คิดดูเอาเองก็แล้วกัน เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราไปหวังในสิ่งที่มันไม่จริง มันก็ไปสู่หายนะ พูดง่ายๆ หาจนกระทั่งวันสุดท้าย จะตายจากโลกใบนี้ ก็ยังหาอยู่เลย
“ฉันผิดอะไร? ฉันผิดตรงนั้น ผิดตรงนี้เหรอ”
แก้ไข ด้วยวิธีอะไร? มาไล่ผี เอาวิญญาณบรรพบุรุษออกไปจากวิญญาณข้างใน อะไรต่างๆ มันไปกันใหญ่ ไปไหนก็ไม่รู้ เพราะจุดเดียวเท่านั้นเอง ก็คือว่าเราต้องการในสิ่งที่มันไม่มีจริง มันเป็นจริงไม่ได้ตามที่เราต้องการ แต่ความเชื่อที่แท้จริงของเรา พระเจ้าต้องการให้เรามีความหวังและสิ่งที่มันเป็นจริงเมื่อเรามาเชื่อในพระเยซู แล้วเราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า การได้เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วนิรันดร์กาล พระเยซูคริสต์ คือความมั่งคั่ง คือสุขภาพที่ดีเยี่ยมของเรา ไม่ใช่บนโลกใบนี้ และสำคัญที่สุด คือทั้งหมดนี้ เราได้รับเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ให้เรามีความหวังตรงนี้ หวังในโลกวิญญาณที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ให้เจาะที่ผมบอก 3 จอ. จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์ก็บอกให้เรา set our mind คือตั้งความคิดจิตใจเราไปที่เบื้องบน คือที่โลกวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่ฝ่ายโลก ถ้าเราจดจ่อไป ทั้งหมดในโลกวิญญาณนั้น เป็นอัศจรรย์ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปหาอัศจรรย์ มันเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใคร ไม่มีทางใด ไม่มีอำนาจใด ไม่มีแม้กระทั่งมาร ที่จะสามารถเลียนแบบอัศจรรย์เหล่านี้ เหมือนพระเจ้าได้เลย ไม่มีทางเลย จะไปทำให้ใครได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากบาป พ้นจากนรก ไม่มีทาง ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฝากไว้ที่พระเจ้า ดูแล
ให้ท่านเห็นอาจารย์เปาโลเป็นตัวอย่าง เรื่องสุขภาพนะ 2 โครินธ์ 12:8-10
2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่า ฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”
อาจารย์เปาโลก็มีความคิดเหมือนเราทั้งหลาย อยากจะแข็งแรง อยากได้รับการอัศจรรย์เหมือนกันแหละ มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ อาจารย์เปาโลทูลขอตั้ง 3 ครั้ง ให้เอาหนามนี้ออกไป หนามนี้ ก็คือความอ่อนแอ สุขภาพไม่ดีอะไรบางอย่าง ซึ่งเราไม่รู้ แต่เรารู้สุขภาพร่างกายนี้อ่อนแอ อาจจะเครียด อาจจะป่วยเรื้อรังอะไรบางอย่าง ที่เป็นเครื่องกีดขวางทำให้รับใช้ไม่ได้สะดวก 3 ครั้ง พระเจ้าตอบว่าอย่างไร? …
“พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า … พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”
แสดงว่าไม่ได้เอาออกไปนะ ไม่ได้รักษา ก็คือพระคุณของเราพอ
“เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอของเจ้า เพื่อว่าตอนที่เจ้าไม่สบาย ตอนที่เจ้าอ่อนแอร่างกายนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะทวีคูณชัดเจนมากขึ้น สำแดงออกมากขึ้นในชีวิตของท่าน”
เปาโลบอกว่าถ้าเผื่อเปาโลอ่อนแอ ทำอะไรบางอย่าง ได้เห็นชัดเจนเลยว่าไม่ใช่เราทำ เป็นพระเจ้าทำแน่นอน ชัดเจนเลย หมายถึงอย่างนั้น เพราะเราอ่อนแอ แล้วก็มีความอดทนได้มากขึ้น ความรักของพระเจ้า คือความอดทนนาน ความรักของพระเจ้าก็สำแดงออกในชีวิตของเรามากขึ้น ฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าความรักของพระเจ้า ก็ออกจากชีวิตของเราไปมากขึ้นได้ มันก็ไม่เย่อหยิ่งจองหองไง ดังนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า …
“ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนเอง จึงแฮปปี้ในความอ่อนแอ เพราะความอ่อนแอ พระเจ้าสามารถใช้ข้าพเจ้าได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ได้สำแดงออกทางข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าชื่นชมในความอ่อนแอในพระคริสต์ ในการถูกสบประมาณ ในความยากลำบากในการถูกข่มขี่ ในความทุกข์ยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อไรที่ข้าพเจ้าเจ็บปวด อ่อนแอทางร่างกาย ไปไม่ไหวแล้ว เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”
หลายคนรู้เรื่องนี้ หมายถึงยังไง เพราะมีประสบการณ์อยู่ นั่นแหละ มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นพระเจ้าต่างหาก
อาจารย์เปาโลพอใจในความเจ็บป่วยในร่างกาย ในความอ่อนแอของตนเอง เปาโลก็ใช้เคล็ดลับเดิม เหมือนกับเคล็ดลับที่ใช้ในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองว่า …
“ข้าพเจ้าพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าเผชิญอยู่ ข้าพเจ้าพึงพอใจในความเจ็บป่วย ในความอ่อนแอในร่างกายของตนเอง พระเจ้าจะดูแลด้วยพระคุณของพระองค์ที่เพียงพอเสมอ สำหรับความอ่อนแอนั้น พาข้าพเจ้าไปได้แน่นอน”
นี่คือทัศนคติของเปาโล ผู้เป็นอัครสาวกที่ได้ไปอยู่ในโลกวิญญาณมาแล้ว พระเจ้าพาไปโลกวิญญาณ ได้เห็นอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณ อธิบายในโลกวิญญาณให้เรา แล้วกลับมาใหม่ กาลาเทีย 4:13-15 จึงเห็นชัดเจนว่าเปาโลอ่อนแอขนาดไหน? แล้วพระเจ้าทำงานผ่านทางเปาโลวิธีใด เปาโลกำลังประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนอื่นนะ คนที่ยังไม่เชื่อ คนที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ขณะที่กำลังประกาศ อาจารย์เปาโลไปในลักษณะไหน?
กาลาเทีย 4:13-15 “13 ท่านก็ทราบอยู่ ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูก หรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับ ราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่าน หายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่าน ให้ข้าพเจ้าแล้ว”
ตอนไปประกาศข่าวประเสริฐ ก็เพราะความเจ็บป่วย ไปด้วยความเจ็บป่วย หนักขนาดไหน? หนักถึงขนาด แม้ความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน คือความเจ็บป่วยของอาจารย์เปาโลเป็นเครื่องหมายในการทดลองของบรรดาพี่น้องชาวกาลาเทีย เพราะท่านคิดดูสิ อาจารย์เปาโลผู้ยิ่งใหญ่ มาประกาศที่กาลาเทีย ชาวเมืองในกาลาเทียคงคิด อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มา แต่มาในลักษณะป่วยหนัก ข้าพเจ้าป่วย แต่ไม่มีใครสบประมาท ไม่มีใครว่าอาจารย์เปาโล …
“มาประกาศข่าวประเสริฐ ยังป่วยอยู่เลย เอาตัวยังไม่รอดเลย”
อาจารย์เปาโลบอกชาวกาลาเทียผ่านการทดลอง คือรับอาจารย์เปาโลด้วยการไม่ดูถูกว่าเจ็บป่วยมา หรือสบประมาทเปาโลเลย กลับต้อนรับ ราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า และชื่นชมยินดีที่อาจารย์เปาโลได้มาประกาศข่าวประเสริฐที่นี่ ด้วยความเจ็บป่วยเหล่านั้น ชื่นยินดีถึงขนาด ถ้าควักลูกตาของเขาออกมาได้ อาจารย์เปาโลอธิบายตรงนี้ชัดเจนว่าถ้าพี่น้องชาวกาลาเทียสามารถเอาลูกตามาให้เปาโลได้ คงทำแล้วล่ะ คือรัก ชื่นชมยินดีอาจารย์เปาโลมาก คิดว่านะ อาจารย์เปาโลคงเจ็บป่วยเรื่องเกี่ยวกับลูกตา อาจารย์ตามองไม่เห็น อาจจะจูงมา เห็นบ้างไม่เห็นบ้างมาประกาศ แต่ชาวกาลาเทียไม่ขาดความเคารพต่ออาจารย์เปาโลเลย ถ้าเป็นไปได้ เอาลูกตาไปฝากให้อาจารย์เปาโลใช้ก่อนชั่วคราว อะไรอย่างนี้
นี่อัครทูตเปาโลนะ ความเชื่ออาจารย์เปาโลหายไปไหน? ความเชื่อตกลงอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ ผ้าเช็ดหน้าที่อาจารย์เปาโลวางมือ แล้วคนเอาผ้าเช็ดหน้านั้นไปวางคนป่วย คนป่วยยังหายโรคเลย อาจารย์เปาโล อัครทูตเปาโลที่เคยอธิษฐานให้เด็กที่ตกมาจากชั้นบน แล้วก็ตายไปแล้ว อาจารย์เปาโลรักษาให้เขาหายได้ เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว แล้วความเชื่อไปไหนเล่า อาจารย์เปาโลทำอัศจรรย์ใหญ่ตั้งหลายอย่างแล้ว ตอนนี้ทำไมความเชื่อตกลงอย่างนั้นหรือ? แล้วดูตกลงถึงขนาดไหน? ตกลงถึงขนาดไม่มีความเชื่อเลย ถึงขนาด 1 ทิโมธี 5:23 บันทึกไว้อย่างนี้ ถึงขนาดดูแลลูกแกะ ดูแลทีมพี่เลี้ยงของอาจารย์เปาโล ทีมงานของอาจารย์เปาโล ก็คือทิโมธี 1 ทิโมธี 5:23 ได้บันทึกไว้อย่างนี้นะ
1 ทิโมธี 5:23 “ตั้งแต่นี้ไป อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่าน และความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ”
ไม่ใช่ตัวเองป่วยอย่างเดียว แถมทีมงานป่วย ก็ยังบอกว่า …
“ให้กินยาสิ กินยาสำหรับโรคกระเพาะนั้นแหละ เจ็บอยู่ประมาณหนึ่ง อยู่บ่อยๆ ให้กินยาซะ”
ก็เหมือนยาธาตุ น่าจะบอกทิโมธีนะว่า …
“ทิโมธี ท่านจำไม่ได้เหรอ ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว พระเยซูได้เอาความเจ็บไข้ได้ป่วยของท่านออกไปแล้ว ได้เอาโรคกระเพาะของท่านออกไปแล้ว ท่านควรจะไปท่องถ้อยคำนี้มากๆ อธิษฐานเยอะๆ ทิโมธีไปดูที่บ้านท่านสิ มีรูปเคารพ มีวัตถุเคารพอะไรบางอย่าง หรือบรรพบุรุษของท่านไปยุ่งเกี่ยวอะไรกันกับไสยศาสตร์ วิทยาคมอะไรหรือเปล่า? ไปทำการตัดขาดซะ”
อะไรอย่างนี้หรือ? เปล่าเลย เห็นไหมครับ? เปาโลเป็นอะไรไป ความเชื่อขาดหรือ? หรือเปาโลระยะนี้ไม่ได้ถวายทรัพย์ตามกำหนดเวลา ไม่ได้ถวายสิบลดตามที่ถูกสั่งมาให้ต้องถวายสิบลด ถวายแค่ห้าลดเอง เพราะฉะนั้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยเลยเข้ามา หรืออาจารย์เปาโลไปแอบทำบาปอะไรหรือเปล่า? อย่างนั้นหรือ?
ทัศนคติของอาจารย์เปาโล เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คืออะไร? ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 นี่คือทัศนคติจริงๆ แท้ๆ ของอาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ จะด้วยร่างกายหรือไม่ก็ตาม อาจารย์เปาโลไม่บอก แต่ได้กลับมาบนโลกใบนี้แล้ว ได้เห็นอะไรบางอย่างบนโลกฝ่ายวิญญาณนั้นแล้ว ในสวรรค์นั้นแล้ว ซึ่งไม่ให้พูด เป็นความลับ ได้พูดถึงเคล็ดลับและทัศนคติของอาจารย์เปาโลในเรื่องเกี่ยวกับการอยู่บนโลกใบนี้ เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายนี้ว่าเป็นเช่นไร? …
2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อแท้ ไม่ท้อใจ ไม่กลัว ถึงแม้กายภายนอกของเรา กายนี้ กำลังทรุดโทรมไป กำลังเสื่อมไป กำลังเกิด แล้วก็แก่ไป ไปสู่ความเจ็บ และตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าวิญญาณภายในของเรา ตัวจริงๆ ของเรา ที่จะอยู่นิรันดร์กาลนั้น กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน คือกำลังเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน โดยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นพี่เลี้ยง
เพราะความทุกข์ลำบากเพียงเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ในร่างกายนี้ ความแก่ลง ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดานี้ มันแค่เพียงชั่วคราว มันไม่เกิน 80 ปีหรอกนับตั้งแต่เกิดมา มันไม่สามารถมาเทียบกันกับศักดิ์ศรีหรือสง่าราศี หรือความงดงาม ความสมบูรณ์แบบของร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เทียบกันไม่ติดเลย เทียบกันไม่ได้เลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง มันเทียบอะไรไม่ติดกับร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บป่วยแล้ว ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีอะไรมารบกวนเราอีกแล้ว ชั่วนิรันดร์กาล ซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรค์สถาน เมื่อเราทิ้งร่างที่เจ็บป่วยนี้ไป
ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องกับสิ่งที่มองเห็น ก็คือดังนั้น เราจึงไม่จับจ้อง จดจ่ออยู่กับสุขภาพเสื่อมโทรม ความแก่ ความเจ็บ และความตายที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นอยู่จริงๆ แต่จดจ้องอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น คือในโลกวิญญาณ คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนที่ชุบพระเยซูและเราให้เป็นขึ้นใหม่พร้อมกัน
เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังหยั่งยืน ก็คือเพราะสุขภาพร่างกายทรุดโทรม ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ทรมานที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้ มันไม่จีรังหยั่งยืน มันไม่ได้อยู่ตลอดไป แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ก็คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วย เจ็บปวด ทุกข์ทรมานอีกต่อไปนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ มันอยู่ตลอดกาล
เพราะฉะนั้น อยู่บนโลกใบนี้ วางใจในพระเจ้า และอดทนหน่อย มันยังไม่ถึงเวลา อย่ารีบไปไหน แล้วจะถูกหลอก แล้วจะยิ่งทุกข์ แล้วไม่ได้เป็นการประกาศข่าวดี ไม่ได้เป็นการประกาศศักดิ์ศรี สง่าราศีของพระเจ้าเลย แต่นำความทุกข์ยากลำบากมาให้ผู้คนรอบข้างอีกต่างหาก
ในโลกนี้ มีสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นมากมาย ฟังให้ดีนะ นี่จากประสบการณ์แห่งชีวิตมาก่อนเชื่อพระเจ้าด้วย จนมาเชื่อพระเจ้า 30 กว่าปี ได้เห็นว่าโลกนี้มีสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ที่เกินกว่าเหตุผลของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ และไม่ได้มาจากพระเจ้า เช่น พวกวิทยาคม คาถาอาคม สะกดจิต พลังจิต ซึ่งพระคัมภีร์ก็เตือนเราว่าสิ่งลี้ลับเหล่านี้ อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ล่าสุด ผมเพิ่งได้ยินมา หยกๆ เลยนะ จากผู้เชื่อท่านหนึ่ง มีน้องสาวของผู้เชื่อท่านหนึ่ง เขายังไม่เชื่อป่วยหนัก อยู่ต่างจังหวัด อาการหนักมาก ทำท่าจะไม่รอด ไปรักษาที่โรงพยาบาลเท่าไรก็ไม่หาย ไม่รู้เป็นโรคอะไร ไม่ชัดเจน แต่อาการหนักมาก ทานข้าวก็ไม่ได้ ทุกคนก็ลงความคิดทั้งหมู่บ้าน ญาติพี่น้องก็ลงความเห็นว่าผีปอบมันกิน รักษาไม่หายหรอก น้องสาวก็จำได้ว่าพี่สาว เป็นผู้เชื่อมีวิชา ไม่ใช่มีวิชาอาคม ไปเรียนแพทย์แผนไทย เรียนเรื่องสุขภาพ สมุนไพร เรื่องวิธีนวด กดจุด อะไรก็ว่าไปนะ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่สาวเป็นหมอแผนไทย ก็บอกไปหาพี่สาวดีกว่า ก็มาหาพี่สาว พี่สาวก็ให้การบำบัดตามลักษณะแพทย์แผนไทย ทั้งนวด ทั้งกดจุด ทั้งอบไอน้ำ ทั้งกินสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งให้วิตามินบางอย่าง อาทิตย์เดียวหายเลย 2 อาทิตย์สบาย จากที่เพิ่งจะออกจากนอนโรงพยาบาลมา 1 เดือน แล้วกลับจากโรงพยาบาลไปทำงานวันหนึ่งแทบตาย ที่ทำงานรีบกลับมาส่ง ไม่เอาแล้ว ทำท่าจะตาย มาอยู่นี่แค่ 2-3 อาทิตย์หาย อะไรล่ะ เห็นไหม?
สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เยอะแยะมากมาย อย่าถูกหลอก ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว อยากจะหายโรคจนเกินเหตุ จนแสวงหาอะไรบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ เหนือกว่าเหตุผล ไม่ว่าจะใช้นามพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะใช้ข่าวประเสริฐหรือไม่ก็ตาม มันจะถูกหลอกไปในทิศทางที่เป็นระบบของโลกใบนี้ แล้วมันอันตรายมากๆ อย่าทำเลย พระเจ้าเตือนนะ
ในโลกนี้ เราควรมีความพึงพอใจในพระเยซูคริสต์ที่เป็นชีวิตของเรา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้ปลอบโยนจิตใจ เป็นสติปัญญาอันล้ำเลิศ เป็นราชาจอมราชาของเรา เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา เดินอยู่กับเรา จูงมือเราเดินอยู่ทุกเสี้ยววินาทีบนโลกใบนี้ และพระองค์กำลังนำพาเราไปสู่สวรรค์ที่พักอันถาวรนิรันดร์ ไปสู่โลกใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการและร่างกายใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ รออีกแป๊บเดียวลูกเอ๋ย
เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ไม่ใช่สุขภาพแข็งแรง เพราะเราจะไม่มีทางได้ ไม่ใช่การเงินเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งไม่ขัดสน เพราะเราจะไม่มีทางได้ แต่จงให้เราแสวงหาพระเยซูคริสต์ เพราะเราได้แล้ว พระองค์เป็นทุกสิ่งในชีวิตของเรา สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะเราผู้เชื่ออย่างเดียว ผู้ที่ยังไม่เชื่อก็ตาม อยากจะประกาศให้ท่านว่าสิ่งที่ท่านต้องการที่สุด ไม่ใช่ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ไม่ใช่ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ไม่ใช่สุขภาพแข็งแรงบนโลกใบนี้ เพราะท่านจะไม่ได้เลย แต่คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นทุกสิ่งต่างหาก เอเมน
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************