คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กรกฎาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์?  ตอนนี้ตอนที่ 2 นะครับ วันนี้เรายังอยู่ในซีรี่ส์ การบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ให้เราพูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ให้ลองถามคนข้างๆ สิ “เธอเป็นใครในพระคริสต์”

“รู้ไหม?” อันนี้ถามตัวเอง ไม่ต้องถามเขา

“รู้ไหม?  ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

เราจะมาศึกษาในเรื่องนี้กันต่อ ครั้งที่แล้วเราได้คุยกันตั้งแต่ความหมายของคำว่า “พระเยซูคริสต์” ความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” “การถูกชุบ” “การถูกสร้างขึ้นใหม่” “การเกิดใหม่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไรบ้าง? เราได้บรรยายกันไปในตอนที่แล้ว ใครที่ยังไม่ได้ฟังในตอนที่แล้ว ก็ไปหาซีดีฟัง หรือไปเปิดในยูทูป เว๊บของคริสตจักรโฮลี่ มีเก่าๆ เยอะแยะ ดูสัปดาห์ที่แล้ว ดูชื่อเรื่องก็ได้  เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หรือเราเป็นใครในพระคริสต์

ครั้งที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันที่สมาการ  สมาการของใคร?  ของพระเยซูคริสต์ สมาการที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ในหนังสือยอห์น ยังจำได้ไหมครับว่าพระองค์จัดสมาการไว้ว่าอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ สมาการ คือการเปรียบเทียบ

พระเจ้าอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงเหมือนพระเจ้า

พระเยซูทรงอยู่ในเรา ผู้ที่เชื่อนะ พระเยซูทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเยซู เท่ากับ เราจึงเหมือนพระเยซู และเมื่อพระเยซูเหมือนพระเจ้า และเราเหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราจึงเหมือนพระเจ้า เอเมน

เราเหมือนพระเจ้านะครับ ฟังให้ดีๆ เราเหมือนพระเจ้า ไม่ใช่เราเป็นพระเจ้านะครับ อย่าเข้าใจผิด เราเหมือนพระเจ้า เหมือนกับเป็น ต่างกันเยอะเลยนะครับ ถูกไหม? บางคนแต่งเป็นผู้หญิง ก็ดูเหมือนเป็นผู้หญิง แต่บางทีตัวจริงๆ อาจจะไม่เป็นผู้หญิง หรือบางคนแต่งเป็นผู้ชาย  แต่ดูเหมือนผู้ชายก็มี เห็นไหม? บางทีเขาเอาไปแต่ง แมวบางตัวแต่งออกมา ดูเหมือนสุนัขก็มี แต่มันไม่ใช่ เข้าใจไหม? เป็นเหมือน ไม่ใช่เป็นนะ เป็นเหมือน

คำว่า “เหมือน” พระเจ้าตรงนี้ หมายถึงสภาพ หรือมีพระลักษณะ หรือเรียกว่าลักษณะชีวิตของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา จะเรียกว่าลักษณะหรือพระลักษณะ แล้วแต่ ก็คือเป็นลักษณะของพระเจ้า ที่เหมือนพระเจ้าอยู่ในชีวิตเรา ชีวิตใหม่นั้น คืออะไร? ยกตัวอย่าง พระลักษณะหนึ่ง คือมีความชอบธรรมบริสุทธิ์ อย่างนี้เป็นต้น พอเราไปอยู่ในพระคริสต์ เรามีความชอบธรรม มีความบริสุทธิ์สะอาด เหมือนใคร?  พูดพร้อมกัน “เหมือนใคร?” เหมือนพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ฉันชอบธรรมและบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า โดยผ่านทางพระคริสต์ ในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ชอบธรรมบริสุทธิ์ จึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ไง ถ้าเราไม่ชอบธรรม เราเป็นคนบาป อยู่พระเจ้าไม่ได้ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่นี่เราชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้า จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าได้  ยืนยันนิดหนึ่ง ด้วยถ้อยคำ พระคัมภีร์ ซึ่งเราไม่ได้มาพูดเองนะ จะได้รู้ว่ามาจากพระคัมภีร์ ครั้งที่แล้วทิ้งไว้ตรงนี้ ยอห์น 14:20 พระเยซูตรัสว่า.-

ยอห์น 14:20 ““ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”

 

ยอห์น 14:23 อีกข้อหนึ่ง บอกว่า “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักเขา พระบิดากับเรา จะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

 

ทำบ้านอยู่กับเขาเลย Make our home with him. อยู่กับเขา ทำบ้านอยู่ด้วยกัน อยู่กับเขา อยู่ร่วมกัน เป็นครอบครัว เห็นภาพไหม? นี่พระเยซูตรัส บอกว่าเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา จะเชื่อฟังคำสอนของเรา ก็หมายถึงจะเชื่อว่าพระองค์สอนว่าพระองค์เป็นใคร? พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 และชำระบาปให้กับท่าน แล้วท่านจะได้กลับคืนสู่พระเจ้า คืนดีกับพระเจ้าได้ คนเหล่านั้นที่เชื่อในคำสอนของพระเยซู ตรงนี้ ซึ่งเป็นหัวใจ เขาจะไปอยู่กับพระเจ้า กับพระเยซู เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นบ้าน เอเมน

พระเยซูกำลังพูดกับใคร? พูดกับเรา หมายถึงใคร? หมายถึงเธอ ที่นั่งข้างๆ ที่ได้เชื่อในคำสอนของศิษยาภิบาล ไม่ใช่ ในคำสอนของพระเยซูไปแล้วว่าเป็นอย่างนี้ ว่าพระองค์เป็นใคร? ถ้าศิษยาภิบาลขึ้นมาพูดว่าพระเยซูเป็นอย่างอื่น ไม่ต้องไปฟัง แต่ถ้าศิษยาภิบาลหรือคนสอนขึ้นมาพูดว่า.-

“พระคัมภีร์บันทึกว่าอย่างนี้”

จงฟังเถิด เพราะว่าเขาไม่ได้สอน คำสอนของเขาเอง แต่เขาเอาคำสอนของพระเยซูที่สอน มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ อ่านตรงนี้เอง เอเมน ใช่ไหม?

ถ้อยคำตรงนี้ เป็นคำตรัสของพระเยซูที่ยืนยันกับเราว่าพวกเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาและพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวที่มีชื่อว่า “ครอบครัวของพระเยซูคริสต์” หรือ “ครอบครัวของพระคริสต์” มีพระเยซูเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้นำครอบครัว

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นอะไรรู้ไหม? ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าเป็น “The Second Adam” ก็คือแปลตรงๆ ก็คือเป็นอาดัมคนที่สอง

อาดัม คือใครครับ? อาดัม ก็คือมนุษย์คนแรก หรือผู้ชายคนแรกที่พระเจ้าได้สร้าง ให้มาเป็นผู้นำครอบครัวของมนุษย์ถูกไหมครับ? แต่อาดัมไม่สามารถทำหน้าที่นั่นได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อาดัมเป็นมนุษย์คนแรก แต่ได้ล้มลงในความบาป ได้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกัน ทำให้ครอบครัวมนุษย์ทั้งหมดเลย ต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ได้รับโทษของความบาป หรือเรียกว่ากบฏ ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้านั่นแหละ ได้รับโทษทั้งเผ่าพันธุ์ ทั้งครอบครัวไปเลย  แล้วพระเจ้าก็ได้สร้าง The Second Adam ก็คืออาดัมคนที่สอง หรือมนุษย์คนที่สอง ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำครอบครัวของมนุษย์ใหม่ ครอบครัวที่สอง ซึ่งก็หมายถึงใคร? ก็หมายถึงพระเยซู พระเยซู คืออาดัมคนที่สอง มนุษย์คนที่สอง ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาใหม่

พระเยซูเป็น Second Adam พระคัมภีร์บอก เป็นผู้ชายคนที่สองที่พระเจ้าสร้าง แต่นับเป็นมนุษย์คนแรก ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นบุคคลแรกที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะมนุษย์นอกนั้น เป็นเชื้อสายของอาดัมคนแรก ก็คือบาปทั้งสิ้น ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงเป็น เรียกว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ ผู้ชายคนที่สอง ผู้ชายคนใหม่ อาดัมคนใหม่ อาดัมคนที่สอง ที่เป็นมนุษย์คนแรกที่สมบูรณ์ที่สุด ครบถ้วนบริบูรณ์ พระเยซูก็มาเป็นหัวหน้าของครอบครัวใหม่ เป็นหัวหน้าของครอบครัวมนุษย์ ที่สมบูรณ์แบบ เป็นครอบครัวที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติเดิม กฎบัญญัติเดิมที่ว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำผิด รับโทษ ใช้เวร ใช้กรรม กฎบัญญัติเดิมที่บอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ได้ถูกลบออกไปหมด ด้วยพระโลหิตของพระเยซู การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน

เสร็จแล้ว พระเจ้าก็ตั้งพระเยซูให้เป็นอะไร? หัวหน้าครอบครัวใหม่ เห็นภาพไหม? ง่ายๆ ผมจะพยายามยกตัวอย่างนี้ ซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งนั้นนะ ให้ท่านเห็นภาพชัดเจนและง่ายๆ เหมือนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ว่าครอบครัวเป็นอย่างไร? ตั้งพระเยซู ซึ่งครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งให้เป็นหัวหน้าครอบครัวใหม่ของบรรดามนุษยชาติ อยู่ภายใต้กฎใหม่ พันธสัญญาใหม่

กฎใหม่นี้บอกว่าผู้ใดก็ตาม ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเยซู ที่เรียกว่าในพระคริสต์ ก็จะได้รับสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวทำมาแล้วทั้งหมดเลย หัวหน้าครอบครัวทำอะไร ลูกบ้านในครอบครัวนี้ ก็จะได้รับสิทธินั้นด้วย เช่น หัวหน้าครอบครัวบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ลูกบ้านที่เข้ามาอยู่ในนี้ ก็จะได้รับเลย  คือได้รับบริสุทธิ์ สะอาด และปราศจากบาป สมบูรณ์ครบถ้วนเหมือนกัน หัวหน้าครอบครัวนี้ มีชีวิตนิรันดร์ คนที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ อยู่ในพระคริสต์นี้ ก็มีชีวิตเป็นนิรันดร์  … นิรันดร์นี้เป็นแบบคุณภาพนะ หมายถึงว่าเป็นนิรันดร์ บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ตลอดไปนะครับ นิรันดร์แปลได้ 2 อย่าง ที่บอกว่าอยู่ตลอดไป  เป็นนิรันดร์ที่ใครๆ ก็มี เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีวิญญาณเป็นนิรันดร์ เหมือนพระองค์อยู่แล้ว แต่ถ้าบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่ใช่สวรรค์นิรันดร์ ก็จะเป็นไปอยู่ตลอดไป แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ในที่มืด ที่มีที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความทุกข์ทรมานตลอดไปนะครับ ตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุด นั่นคือนิรันดร์แบบมีเป็นระยะเวลาใช่ไหม?

แต่นิรันดร์อีกภาพหนึ่ง อีกความหมายหนึ่งในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงชีวิตนิรันดร์ หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่เป็นชีวิต เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่ตะกี้นี้เราได้พูดกัน คนที่มาอยู่ในนี่ อยู่ในครอบครัวพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในครอบครัวพระคริสต์ อยู่ในกฎใหม่นี้ เขาก็จะได้ชีวิตนิรันดร์ไปด้วย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับสิทธิให้เป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า เห็นไหมครับ? หัวหน้าครอบครัว และสามารถจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ใครมาอยู่ในพระคริสต์ก็ได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งกฎใหม่นี้ พระคัมภีร์รวมเรียกกฎแห่งพระคุณ

อันเดิมคืออะไร? อันเดิมที่บอกว่าตาต่อตา และฟันต่อฟัน เราเรียกว่ากฎแห่งการชดใช้ กฎแห่งบัญญัติ ใครทำตาม ก็ได้ ไม่ทำ ไม่ได้ แล้วมนุษย์ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีวันได้เลย เข้าใจใช่ไหมครับ?  ทำ ก็ได้ ไม่ทำ ไม่ได้ ทำให้บริสุทธิ์ได้รางวัล ยกตัวอย่างอย่างนี้ ทำตัวให้บริสุทธิ์ และได้รางวัล  กฎมันเป็นอย่างนี้ แล้วมนุษย์ทำให้บริสุทธิ์ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม จึงไม่มีโอกาสที่ได้รับรางวัลดีๆ เลยไง เพราะกฎใหม่ที่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกฎแห่งพระคุณ ก็คือไม่ใช่ฟันต่อฟัน ตาต่อตาอีกต่อไป แต่เป็นกฎแห่งการอภัยบาปทั้งสิ้น เคยได้ยินไหม? กฎพระคุณ กฎแห่งการอภัย ไม่ว่าจะทำอะไรมา อภัยหมดสิ้น จบไปแล้ว จบไปเลย เอเมน ไม่ต้องทำอะไรเลยนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่กำลังพูดทั้งหมด ทำโดยผ่านทางหัวหน้าครอบครัว ที่มีชื่อว่า Second Adam หรืออาดัมคนที่สอง หรือคือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เขาถึงเรียกว่าในพระคริสต์ ในพระองค์ เป็นครอบครัวใหม่เกิดขึ้นอย่างไร? มีฤทธิ์อำนาจอย่างไร? ที่เรากำลังศึกษากันอยู่ขณะนี้ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตของเราขนาดไหน? เมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้ ตอนนี้เรารู้ความจริงนิดหนึ่ง เรายังได้ประโยชน์อย่างมากมายเลย  เราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป นี่เท่ากับเรารู้ความจริงบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเรารู้มากกว่านั้นขึ้นไปว่าในสภาพการเป็นอยู่ของเราในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เราจะได้รับสิทธิประโยชน์เราเต็มที่ขึ้น นึกออกไหมครับ ซึ่งรวมทั้งหมดนี้ เรียกกันภาษาอังกฤษว่า In Christ  หรือในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ หรือในครอบครัวของพระคริสต์ แล้วแต่จะเรียก เป็นครอบครัวใหญ่  ครอบครัวทางฝ่ายวิญญาณ

สัปดาห์ที่แล้ว ได้เรียนรู้ถ้อยคำ ภาษาตรงนี้ไปชัดเจนแล้วนะครับ เราจึงต้องมาเรียนรู้กันอย่างละเอียดว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? มีสิทธิอะไรบ้างในพระเยซูคริสต์? อยู่ในสถานะอะไร?  ใช้อะไรได้บ้างในพระเยซูคริสต์? มีมรดกมหาศาลเพียงใดในพระเยซูคริสต์? รวยขนาดไหนในพระเยซูคริสต์? มีชัยชนะอย่างไรในพระเยซูคริสต์? ไปหาดูที่ไหน? หาดูในพระคัมภีร์ เพราะว่าพระเจ้าสอนเรา พระคัมภีร์สอนเรา บอกว่าในพระเยซูคริสต์ที่เธออยู่นั่นเป็นอย่างไร? เราต้องไปเรียนรู้ ถูกไหม? ถ้าเราไม่เรียนรู้ เราก็ไม่รู้เรื่องอะไร?  เราก็ไม่ใช้สิทธิของเรา ก็เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ

          และการที่ใครก็ตามจะย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมคนแรก ที่บาป มนุษยชาติตกลงไปในความบาปหมด มนุษย์คนไหนที่เกิดมาแล้ว ก็อยู่ในอาดัมคนแรกใช่ไหม? อยู่ในความบาป ต้องรับผิด รับโทษ เพราะอาดัม บรรพบุรุษเราทำไว้ใช่ไหม? มนุษย์คนไหนอยากจะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอาดัมคนที่สอง ครอบครัวของมนุษย์คนที่สอง คือพระเยซูคริสต์ อยากจะเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องทำไม? ต้องผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ไม่ใช่ด้วยการทำอะไรก็ตาม จะได้เข้ามาอยู่ในนี้ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ หัวหน้าครอบครัวใหม่นั่นเอง ต้องเชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ เขาถึงเรียกว่าข่าวดีไง เพราะข่าวดีนี้ ทำให้เราหลุดรอดพ้น ข่าวดี ทำให้เราร่ำรวยมหาศาล ข่าวดีนี้ ทำให้เราไปสวรรค์ได้ เขาถึงเรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีของใคร? ข่าวดีของพระเยซูคริสต์

 

ยอห์น 12:32 “แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา”

 

พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ได้ตรัสอย่างนี้กับเหล่าสาวก “ถ้าเราถูกยกขึ้นนะ”

หมายถึง “ถ้าเราถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะนำพาผู้คนทั้งหลาย เข้ามาหาเรา”

จำได้ใช่ไหมครับ? “เราจะดึงเอาผู้คนทั้งหลายมาหาเรา”

ก็คือพระเจ้าได้เลือกคนเหล่านั้นเอาไว้แล้ว และให้เขาเข้ามาหาพระองค์ผ่านทางการถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระบุตรของพระองค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ ถ้าผู้นั้นเชื่อ ก็คือพระองค์ทรงใส่ความเชื่อให้กับคนๆ นั้น เมื่อถึงเวลาของเรา เหมือนเรานั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนมีวันนั้นแหละ วันที่เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ เพราะเราทั้งหลายได้ถูกเลือกไว้แล้ว โดยผ่านทางความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ได้ทำที่ไม้กางเขน

สรุปแล้ว คือพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเจ้าจะให้คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้นั้น มาหาพระองค์ ผ่านทางไม้กางเขนนี่แล้ว เมื่อฉันถูกยกขึ้น เมื่อฉันถูกตรึงที่ไม้กางเขน

การมาเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นใคร? การเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? การเชื่อว่าข่าวประเสริฐของพระองค์นั้นเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ ผมจะบอกให้ท่านฟังว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยบังเอิญ หรือโดยสติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่นะครับ ถ้าสามารถเชื่อได้ โดยวิธีใช้สติปัญญามนุษย์ บัดนี้ คงมีโรงเรียนสอนเรื่องเกี่ยวกับความรอดเกี่ยวกับพระเยซู ที่ทำให้มนุษย์ได้รับความรอด ใครจบด็อกเตอร์ ก็ได้รับความรอด ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บังเกิดอย่างอัศจรรย์ เราเรียกว่าอัศจรรย์การเจิม การเรียกเข้าไปในวิญญาณของคนๆ นั้น โดยตรง ผ่านทางพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าเรียกเรา วิญญาณเราโดยตรง ไม่ว่าคนนั้นจะตามสติปัญญามนุษย์ อาจจะดูว่าโง่เขลา ไม่มีปัญญา ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือคนนั้นอาจจะเป็นด็อกเตอร์ เรียนสูงสุด เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก ก็ตาม มีค่าเท่ากัน ถ้าพระเจ้าเรียกเข้าไปในวิญญาณเขา เขาจะมาเชื่อเรื่องนี้ ซึ่งตามสติปัญญามนุษย์ พระคัมภีร์บอกคนเหล่านั้น ที่มาเชื่ออย่างนี้ ดูเหมือนคนโง่ๆ คนไร้ปัญญา เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะว่ามันคนละปัญญากัน

การถูกเรียก โดยพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ วิธีการของพระองค์เริ่มต้นด้วยอะไรรู้ไหมครับ?  อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเริ่มต้นเรียกคนๆ นี้ ที่เตรียมไว้ เข้ามาเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีว่าพระองค์เป็นใคร? พระเยซูคริสต์เป็นใคร? เคยได้ยินเขาพูดกันมาตลอดว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดๆ แล้วก็เกิดปิ๊งขึ้นมาในใจว่า.-

“โอ … ใช่ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ การตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ทำให้เราได้รับความรอด ชำระบาปเราได้จริงๆ เราได้หมดเวร หมดกรรมแล้วจริงๆ”

นี่คือเริ่มต้นทำไม? เริ่มต้นเชื่อ แล้วพอผ่านทางความเชื่อนี้ แล้วเกิดอะไรขึ้น? คนเหล่านั้นที่ถูกเลือกมาอย่างนี้  จะได้รับการบัพติศมาลงไปในครอบครัว ในพระคริสต์นี้ ใน Christ นี้ จะได้ถูกจุ่มลงไป จะได้ถูกดำลงไป ให้มิด ในฤทธิ์อำนาจ ในครอบครัวนี้ เรียกว่าพระคริสต์ ซึ่งเราได้อธิบาย บรรยายอย่างละเอียดแล้ว ในตอนที่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องบัพติศมา ไปฟังย้อนหลังนะครับ คนนั้นได้ถูกจุ่มลงไป จุ่มลงไปในฤทธิ์อำนาจนี้  หรือว่าจุ่มเข้าไปเป็นสมาชิก มาเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวพระคริสต์นี้ ที่เรียกว่าครอบครัวพระเยซูคริสต์ ครอบครัวคริสเตียน ครอบครัวของพระเจ้าก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องในพระคริสต์ ร่วมกันอยู่ในครอบครัวเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ขั้วโลกเหนือ  ขั้วโลกใต้  อยู่ประเทศไทย อยู่อเมริกา อยู่ยุโรป อยู่ประเทศจีน ก็เป็นครอบครัวเดียวกันในพระคริสต์ นี่คือหลักการพระคัมภีร์ทั้งสิ้น

มาถึงตรงนี้ พอจะเข้าใจกันแล้วนะครับว่าคำว่า “พระคริสต์” แปลว่าอะไร? หมายถึงใคร? และคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” แปลว่าอะไร? หมายถึงใคร?  ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับว่า “อยู่ในพระคริสต์” หมายถึงใคร?  อยู่ในพระคริสต์คืออะไร?

คราวนี้มาดูกันต่อว่าในพระคัมภีร์มีบันทึกไว้อย่างไรบ้างว่า.-

“เมื่อเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว เมื่อเรา ฉันเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระเจ้าจับฉันบัพติศมาลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจ ในครอบครัวที่ชื่อพระคริสต์นี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉันอยู่ในพระคริสต์นี้เรียบร้อยไปแล้ว”

เราจะมาดูกันต่อว่า “ถ้าฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนนี้ฉันมีลักษณะเป็นอย่างไร?”

เรามีลักษณะเป็นอย่างไร? ในการดำรงชีวิตอยู่ เราได้รับอะไรบ้าง? สิทธิอะไรบ้าง? เราเป็นใคร? มันเป็นอย่างไร? นี่แหละคือสิ่งที่จะพยายามที่จะอธิบายในตอนต่อๆ ไป

ซึ่งจริงๆ แล้ว ถึงแม้ว่าจะศึกษา หรือแม้ว่าจะพยายามอธิบายให้ละเอียด ยกตัวอย่างให้ละเอียดมากขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้หรอกครับว่าผมจะอธิบายจนกระทั่งเข้าใจหมด เพราะมันเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระเจ้า ไม่มีทางหรอกมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์อย่างเรา ไม่สามารถจะเข้าใจหนทางของพระเจ้าได้หมดหรอก มันเป็นไปไม่ได้ จะล่วงรู้ทุกอย่างของพระเจ้าหมด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นเพียงแค่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ต้องทำใจไว้นิดหนึ่ง ผมก็จะพยายามที่จะรวมกันที่จะอธิบายให้ดีที่สุด แต่ท่านต้องพยายามเข้าใจด้วย ให้พอเข้าใจพอได้

สิ่งที่เราต้องการ คืออะไรรู้ไหม? สิ่งที่ต้องการเรียนรู้เรื่องในพระคริสต์ สิ่งที่ต้องการ อาศัยความเชื่อมากกว่าสติปัญญา ต้องอาศัยความเชื่อเท่านั้น คือเชื่อตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ ตามที่พระองค์ทรงสอน ไม่ใช่เชื่อตามที่ผมสอน หรือใครสอน ไม่ใช่ ถ้าไม่มีพระคัมภีร์กำกับอยู่ อย่างเชื่อเด็ดขาด เชื่อตามที่ผมบอกไว้ในพระคัมภีร์พูดนี้ สิ่งที่พระเยซูพูดอย่างนี้ ถ้าท่านไม่เชื่อผม ท่านก็ไปเปิดในพระคัมภีร์จริงไหม? ถ้าจริง ก็ตามนั้น ก็จบกัน เพราะพระเยซูสอนไว้อย่างนั้น บอกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ ดังนั้นเชื่อตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้

พระคัมภีร์เขียนไว้ ก็คืออะไร? ก็คือพระเจ้าสอนเรา ผ่านทางพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระเยซูพูดโดยตรง ตรัสเองโดยตรง หรือผ่านทางสาวก อัครสาวก ทั้งเปาโล เปโตร ยอห์น อะไรต่างๆ เหล่านี้  เราเชื่อตามนั้น ตามที่พระเจ้าสอนเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามเข้าใจนะครับ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร หมายถึงสติปัญญามนุษย์ ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? แต่จงเชื่อว่าพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ยกตัวอย่าง เช่น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว บัพติศมา จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว อยู่ในครอบครัวพระคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเราก็ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานด้วย  เอเฟซัส 2:4-6 ไม่ได้พูดเอง พระคัมภีร์บอก ให้ท่านอ่านเองเลยนะครับว่านี่คือพระคัมภีร์

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ 5 แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์

 

ในข้อที่ 6 ตรงที่บอกว่า “พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์”

ฟังให้ดีๆ นะ ในข้อที่ 6 ตรงที่บอกว่า “พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” คำว่า “เป็นขึ้นมา” ตรงนี้ ถ้าเราดูพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ จะเห็นว่าใช้คำเดียวกันกับเวลาที่กล่าวถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูเลย คือคำว่า “Raised” แล้วก็เป็น Past tense … Past tense หมายถึงเป็นอดีต มันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่มันจะเกิด แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เหมือนตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ พระคัมภีร์ก็บันทึกเป็น Past tense ก็คือเป็นกาลที่เลยมาแล้ว การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ คำว่า Raised คือได้เป็นขึ้นมาแล้ว แปลตรงนี้ ก็คือ “และพระองค์ทรงให้เราได้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์”

“ได้” ก็แสดงว่ามันเป็นไปแล้ว เอเมน

ลักษณะการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็ถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ อย่างนั้น เหมือนกันเลย  และการเป็นขึ้นมาของพระเยซูคริสต์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นมาของเรา ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เช่นเดียวกัน

 

ท่านลองหันไปหาคนข้างๆ  แล้วบอกว่า “ท่านได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”

เขาเชื่อไหม? ท่านไม่ได้พูดเอง แต่ท่านพูดตามถ้อยคำพระเจ้า  ถึงบอกไง มันไม่ใช่ง่าย ที่จะมาเข้าใจเรื่องของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์พูดอย่างงั้น เดี๋ยวเราจะไชชอนกันต่อไปว่าแล้วมันคืออย่างไง แล้วยังไงต่อ หมายความว่าอย่างไร?

ง่ายๆ เลย ก็คือเราได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เหมือนพระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายในวันที่สาม เหมือนกันเลย  ถ้าเหมือนกัน … เราได้ถูกชุบ คำว่า “เราได้ถูกชุบ” หมายถึงอย่างไร? หมายถึงเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องพยายามจะเป็นคนใหม่บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีที่ติในพระเยซูคริสต์ เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ไม่ต้องพยายาม มันได้ถูกทำให้เป็นเลย  ท่านไม่ต้องทำตัว เพื่อที่จะให้ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เกิดใหม่ มันได้รับไปเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

เหมือนเรามีลูก เหมือนสามีภรรยาแต่งงาน แล้วมีลูก ลูกคลอดออกมาเหมือนใคร? ก็เหมือนสามีและภรรยา ตรงนี้เหมือนพ่อ ตรงนี้เหมือนแม่ ลูกต้องทำพยายามทำอะไรไหม? เกิดมาต้องพยายามทำอะไรให้มันเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ ต้องทำไหม? ต้องไปเข้าศัลยกรรมไหม? ต้องไปผ่าตัดศัลยกรรม ทำใบหน้าให้เหมือนพ่อไหม? หรือว่ามันเหมือนเอง เหมือนกัน เราถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่ในพระคริสต์ เราเหมือนพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เหมือนพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราบริสุทธิ์ เราสะอาด เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราก็ชอบธรรมแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราไม่ต้องเหนื่อยยาก ที่จะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เข้าใจไหม?  เราไม่ต้องเหนื่อยยากที่จะทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เราไม่ต้องเหนื่อยยาก ที่จะทำให้ตัวเราเข้าไปหาพระเจ้าได้ เพราะเราได้ถูกทำให้เรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ เข้าไปหาพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทั้งหมดเลย เอเมน ตรงนี้แหละ น่าจะเอเมน ไม่ต้องพูดอะไรเลย  ไม่เข้าใจ แต่เอเมนลูกเดียว คือได้รับไง เอเมน ลูกเดียวแหละ พูดอะไรมา ฉันเอา ไม่มีพระคัมภีร์ตรงไหนบอกเราได้สิ่งเลวๆ เพราะเป็นข่าวดีไง ข่าวดีของพระคริสต์ ก็ต้องมีแต่ข่าวดี ของดีๆ ทั้งนั้น เอาหรือไม่เอา เอา … เอา ก็ต้องเอเมน

ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ เมื่อตะกี้เราอ่านด้วยกัน  “ในพระคริสต์” ตรงนี้ ที่เราเกิดใหม่นี้  ในพระเยซูคริสต์นี้ อยู่ในครอบครัวนี้

“พระเจ้าทรงให้ฉันนั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

ถามอีกที เข้าใจไหมตรงนี้? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกไหม? คำว่า “นั่งในสวรรค์สถาน” ตรงนี้ ในเอเฟซัส 2:4-6 นั่งในสวรรค์สถานตรงนี้ ก็ใช้คำเดียวกันกับที่พระเยซูประทับที่เบื้องขวาของพระเจ้า เหมือนกันเด๊ะ คำว่า “เด๊ะ” แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มันคงจะเหมือนเป๊ะ

และก็เป็น Past tense เหมือนกัน ก็คือเป็นอดีตเหมือนกัน คือไม่ใช่จะนั่ง ไม่ใช่จะนั่ง  ไม่ใช่กำลังจะนั่ง แต่ได้นั่งแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งอยู่  ไม่ใช่จะนั่ง จะได้นั่ง แต่ได้นั่งอยู่แล้ว กำลังนั่งอยู่แล้ว

          พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ถูกไหมครับ? และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็เลยได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเหมือนกันเด๊ะ  เหมือนกันเป๊ะเลย  ซึ่งอย่างที่บอกผมเอง ท่านเอง เราไม่เข้าใจหรอก มันหมายถึงอะไร? แต่เมื่อพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราก็ต้องเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วค่อยมาดูสิทธิของเราว่าเราได้รับอะไรบ้างตรงนั้น แล้วเราจะได้มีหน้าที่เอเมนลูกเดียว ไม่ต้องเข้าใจมากหรอก เอเมนลูกเดียว คนที่มาเชื่อพระเจ้า เอเมนลูกเดียว เชื่อพระเจ้าลูกเดียว ได้รับมากที่สุดนะ ไม่ใช่คนที่พยายามคิดๆๆๆๆๆ คิดหาเหตุผล คิดไปคิดมา ไม่ได้สักทีหนึ่ง คิดหาเหตุผล เพื่อที่จะรอเอเมน แต่บางคนข้ามหน้าข้ามตา เอเมน ได้รับไปก่อน

 

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า”

“เอเมน”

ได้ไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า บางคนคิดนะ

“เป็นลูกอย่างไง ฉันจะได้เป็นลูกขนาดไหน? เป็นอย่างไง”

ไม่ได้เป็นลูกสักที เอเมน เอ้อ! เอเมนสิ เอเมน ท่านรู้ไหม เอเมนแปลว่าอะไร?  ถือโอกาสแทรกเรื่องนี้ เอเมน แปลว่าอะไร?  เอ๋อ! จงเป็นไปตามนั้น … เอาด้วยคน อะไรประมาณนี้ … เอาๆ ใช่ๆ  มันแปลแค่นี้เอง เอเมน ข่าวดีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ในนี้บอกอย่างนั้น

ขณะที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ กำลังนั่งอยู่ ในเก้าอี้ ในโบสถ์แบบนี้ ขณะนี้ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน เข้าใจไหม? บอกสิ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … ไม่เข้าใจ แต่เอเมนไหม? เอเมน ต้องฝึกตรงนี้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เอเมนไหม? เอเมน (37.35)

          “เอเมน ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันเอาด้วย ฉันนั่งอยู่ที่นี่แหละ ฉันไม่รู้ล่ะ พระเยซูบอกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันจะรับสิทธิของฉันตามนั้นแหละ เอเมน”

 

ในพระองค์ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในวิญญาณนะครับ นั่งอยู่ในไหน? ในพระคริสต์ ในครอบครัวนี้  เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราก็อยู่ตรงนั้นด้วย  ต้องบอกฮาเลลูยาแล้ว รับไหม?  รับ

เพราะฉะนั้นอยู่ในพระคริสต์จึงมีความสุข เมื่อเรารับรู้ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าใจ เมื่อเรารับรู้ตรงนี้ รับรู้ว่าใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นมารู้ไหม? เกิดสิทธิขึ้น เมื่อท่านได้รับตรงนั้นแล้ว ท่านไม่ต้องไปรู้หรอก เมื่อชาวนา มีคนมาบอกเขา

“ชาวนารู้ไหมว่าที่ของท่านมีน้ำมัน ในนั้นมีกี่บาเรล? จะไปกลั่นออกมาได้วันหนึ่งกี่บาเรล? ขายได้เท่าไร?”

ชาวนาคำนวณไม่เป็น แต่เชื่ออย่างเดียวว่า “ฉันเป็นเศรษฐีแล้วเหรอ โอเคๆ มีความสุขแล้ว”

เขายังไม่รู้เลยข้างล่างมีอะไร? แล้วเจาะอย่างไร?  ตรงไหน? กี่ตารางวา? นึกออกไหม? ในทำนองเดียวกัน เราก็ต้องเป็นอย่างนั้น เขาจึงแต่งเพลงให้ร้อง แต่งเพลงอย่างนี้ เพื่อว่า.-

“ฉันรู้แล้ว ฉันอยู่ในพระคริสต์”

เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เขารู้ว่าเขาได้รับอะไร?บ้าง? เช่น ท่อนที่ 4 เขาร้องว่าอย่างไร?

“4. อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงฤทธิ์

ฉันหมดความผิด ไม่กลัวความตาย

เกิดในพระองค์ จวบจนวันตาย

พระคริสต์นำหน้า หนทางชีวี”

เห็นไหม? พอเราเชื่อปุ๊บ มันอย่างนี้เกิดขึ้น มันร้องมาเป็นบทเพลงเลย ถามว่าคนที่แต่งเพลงนี้ ร้องเพลงนี้ เขารู้เรื่อง เขาเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วชีวิตเขาได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอได้เป็นอย่างนี้จริงๆ มันก็เลยเกิดท่อนนี้ตามมาว่า … อะไร?

“พระหัตถ์พระองค์ ทรงจูงมือข้า

ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ

พระองค์กลับมา หรือรับข้าไป

ข้าจะยืนหยัด ในฤทธิ์พระคริสต์”

สงบเลย มีความสุขในชีวิตมากเลยเห็นไหม? ไม่ต้องเข้าใจเลย แต่ได้รับทุกอย่างเลย เอเมน … เราไม่สามารถเข้าใจได้ทุกอย่าง เพราะมันเป็นความสามารถทางฝ่ายวิญญาณ เราจะไปล่วงรู้ได้อย่างไร? มันเป็นความสามารถทางฝ่ายวิญญาณ เราเป็นวิญญาณก็จริง แต่เรายังอยู่ในเนื้อหนัง และเป็นเนื้อหนังที่อยู่ในความบาปเสียด้วยซ้ำ มันต้องเป็นวิญญาณทางชนิดของพระเจ้าที่รับรู้เรื่องนี้ทั้งหมดได้

ยกตัวอย่างเช่นว่าจะรู้ได้อย่างไร?  วิญญาณของพระเจ้าสามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ในเวลาเดียวกันได้ พระเจ้าอยู่ที่บัลลังก์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน และอยู่กับเราทุกคน อยู่ในใจของเราทุกคน เรารู้เรื่องนี้  เราเชื่อเรื่องนี้ แต่ท่านเข้าใจไหมอยู่อย่างไร? พระเจ้าอยู่กับเราที่นี่ แล้วทำไมอยู่กับพี่น้องที่อยู่ที่ยุโรป … อยู่ที่อเมริกา … อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ … อยู่ที่ประเทศจีน อยู่พร้อมกันหมดในวันอาทิตย์ แล้วอยู่อย่างไร? แต่ท่านเชื่อไหม? ท่านเชื่อ แต่ท่านรู้ไหมว่าอยู่อย่างไร? ไม่รู้ ไม่เข้าใจ  เข้าใจได้ไง เราเป็นมนุษย์ นี่เห็นภาพชัดๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูบอกว่า … พระคัมภีร์บอกว่าเรานั่งรวมกับพระเยซูคริสต์ ได้นั่ง กำลังนั่งอยู่ แม้ว่าตอนนี้เรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในโบสถ์ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานทันที เอเมน วิญญาณเราก็อยู่กับตัวเราขณะนี้ แต่วิญญาณเรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน เป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจ แต่เรารู้ว่ามันเป็นไปตามนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ อธิษฐานจงมองไปที่ในใจของเราก็ได้ จะมองไปที่ข้างๆ ก็ได้ เพราะพระเจ้านั่งอยู่ที่ไหน? เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวา พระเจ้าต้องอยู่ที่ไหนล่ะ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ท่านคิดสิ งง เบื้องขวามือ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวา พระเจ้าต้องอยู่ซ้ายเราสิ

เพราะเราเป็นมนุษย์ คิดแบบพระเจ้า เป็นอย่างนี้ ท่านทราบไหมครับ มดตามปกติ สายตาสั้น สั้นเยอะๆ มากๆ เลย มันมองไม่ได้ไกล แล้วมันมองในทางราบอย่างเดียว มันไม่สามารถมองสูงได้ ถ้าเราบอกมดว่าอีก 2 เมตรจะมีภูเขา มันคงหัวเราะก๊ากเลย อะไรภูเขา  คืออะไร?  ภูเขามันสูง ไม่เข้าใจ มองแค่นี้ นี่มดนะ หรือเราบอกมดว่าไปอีก 3 เมตร มีท๊อฟฟี่วางอยู่ มันคงงงว่าอะไรนะ มองอะไรไกลขนาดนั้น  มันคงนึกว่าเราเป็น … ถ้าเกิดมันทำตามเรานะ  มันไปเจอท๊อฟฟี่เม็ดหนึ่งจริงๆ เราคงเป็นยิ่งกว่าพระเจ้าของมัน โอ้! รู้เรื่อง รู้ทุกอย่าง ล้วนรู้ทุกอย่างเลย ขนาดมองไม่เห็น ยังเห็นเลย คิดดูสิ แล้วเราจะขำไหมล่ะ เราก็คงขำมดตัวนั้น เหมือนตะกี้เราหัวเราะกัน ใช่ไหม?

หรือนกอย่างนี้ นกบินได้อย่างไร? บางคนก็บอกว่าบิน นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามคิด แต่สรุปแล้ว นกมันบินได้อย่างไร?  รู้ไหม?  ง่ายนิดเดียว เพราะมันเป็นนก ถูกหรือเปล่า? เราไม่มีทางเข้าใจ ต่อให้โครงสร้าง ไปทำอะไรต่างๆ มันก็เป็นนก มนุษย์พยายามทำเหมือนนก กางปีก แล้วบินได้ไหม? ไม่ได้ ยกเว้นเครื่องบิน อะไรต่างๆ ตัวคนเอง ทำไม่ได้

เหมือนปลา ท่านพอเข้าใจ หายใจด้วยเหงือก ทำอย่างไร?  ท่านลองทำ ทำได้ไหม? ลงไปในน้ำ เอาเหงือกหายใจ  เหงือกๆ ท่านคิดดูสิ เราก็นั่งหัวเราะกัน แต่สำหรับปลา ต้องสอนมันไหมว่าต้องใช้เหงือกหายใจ ลงไปในน้ำ ตั้งแต่เล็กแล้ว มันก็ว่ายน้ำ มันต้องมาเรียนว่ายน้ำไหมเนี้ย

เหมือนกัน ในทำนองเดียวกัน ท่านต้องเข้าใจในสิ่งนี้ว่าเรากำลังเรียน เรื่องพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าเป็นวิญญาณ  พระเยซูคริสต์ก็เป็นวิญญาณ  เราก็เป็นวิญญาณ  แต่เราเป็นวิญญาณติดอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เราจึงไม่สามารถล่วงรู้เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตอนนี้จึงได้แต่รางๆ ตามที่พระคัมภีร์บอกเราไว้เท่านั้นเอง แต่เราสามารถ … สิ่งหนึ่งที่เราสามารถ คือด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้ เราเอาหมดเลย อะไรดีๆ ที่พ่อของเรา พระเยซูทำไว้ให้กับเรา เราเอาหมดเลย ในสิ่งต่างๆ ในพระคริสต์ ที่เรามีมรดกอย่างไร? เรามีสิทธิอย่างไร? เราเป็นอย่างไร? เราเอาหมดเลย เอเมน คราวนี้ เอเมนได้ ใช่หรือเปล่า?

สภาพฝ่ายวิญญาณที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าในขณะนี้ เราก็ไม่เข้าใจ คำว่า “วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า” เป็นอย่างไร? บางคนเข้าใจผิด บอกเป็นเหมือนพระเจ้าๆ เขานึกว่าร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเจ้า ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่อะไรต่างๆ ไม่ใช่ วิญญาณท่านเป็นเหมือน แต่ร่างกายท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิม ก็คือใคร? ก็คือคนบาป ที่วิญญาณนั้นเปลี่ยนเท่านั้นเอง แต่เนื้อหนังข้างนอก มันยังเหมือนเดิมเลย เขาไม่เข้าใจตรงนี้

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์? เราอยู่ในสถานะอะไรในพระคริสต์? ได้รับอะไรบ้างในพระคริสต์? ก็ให้เราเชื่อตามนั้นเถิด เชื่อในถ้อยคำอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนเด็กเล็กที่พ่อสอน แม้กระทั่งบางครั้ง มนุษย์ พ่ออะไร โกหก เชื่อหมด เชื่อหมดเลย

แต่ก่อนนี้สอนลูก บอก “เต๋ ไปซื้อเฮลิคอปเตอร์มานะ สัปดาห์หน้าจะไปซื้อเฮลิคอปเตอร์”

เชื่อนะ มาตามใหญ่เลย เมื่อไรจะซื้อเฮลิคอปเตอร์สักที เขานึกว่าเฮลิคอปเตอร์เหมือนเราไปซื้อรถคันหนึ่ง เขาเชื่อไง เขาไม่คิดอะไรเลยว่าพ่อจะไปมีเงินซื้อเฮลิคอปเตอร์ ขับยังไม่เป็นเลย เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเฮลิคอปเตอร์ต้องขับอย่างไร? มันแพงขนาดไหน? เขาไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อ เห็นไหม? นี่คือมนุษย์หลอกลวง โกหก แต่พระเจ้าไม่เคยหลอกลวง พระเจ้ามีความยุติธรรม เขาเรียกว่ามีความบริสุทธิ์สถาน ไม่หลอก พูดอะไร ตามนั้นทั้งสิ้น จริงๆ ไม่เคยหลอกเลย เพราะฉะนั้น พระองค์พูดอะไร มันเป็นจริงตามนั้นทั้งหมดเลย เราเชื่อแบบเด็กๆ เลย

และถ้าเราเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่ระบุไว้  บอกไว้ทุกอย่าง เราก็จะได้รับผลทั้งหมด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูคริสต์สัญญาไว้ พูดไว้ในพระคัมภีร์ โดยตัวของพระองค์เอง ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยว่าเราจะได้รับอะไรบ้าง? เมื่อมาเป็นสาวกของพระองค์ อย่างเช่น สันติสุขที่เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของมนุษย์ ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เราแล้ว ได้ให้เราแล้ว เราก็จะได้รับตรงนี้  ถ้าเราเชื่อ ยอห์น 16:33 ที่พระเยซูบอกว่า.-

ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ พวกท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”

 

เราได้ชนะโลกแล้ว ไม่ใช่จะชนะโลก เราได้ชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น  เมื่อพระเยซูคริสต์ชนะโลกแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เลยจะชนะโลกด้วย  ใช่ไม่ใช่ ไม่ใช่  โดยหลอกอีกแล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ชนะโลกแล้ว  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะชนะโลกด้วย  … ดังๆ สิ … ใช่ไม่ใช่ … ไม่ใช่

เอาใหม่อีกที เราจะชนะโลกด้วย ใช่ไม่ใช่ … เราได้ชนะโลกแล้วใช่ไหม? ใช่ ไม่ใช่จะชนะ เราจะต้องชนะ ต้องไปทำไม? ต้องไปอธิษฐานอีก 3 วัน 3 คืน อดอาหารอีก 3 วัน 3 คืน แล้วก็มานมัสการพระเจ้าอีก 3 วัน 3 คืน เราจึงจะได้รับชัยชนะ ใช่หรือไม่? เราได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เมื่อไร? เสร็จ เมื่อเราเชื่อ เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อ และได้ถูกจุ่มลงไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของในพระคริสต์นี่แล้ว เราได้รับตรงนี้แล้ว และเมื่อเราเริ่มเชื่อว่าเราได้รับ เราก็จะได้ดำเนินชีวิตเป็นไปตามนี้ เอเมน

เราอาจจะเริ่มเชื่อ จุ่มเข้าไปแล้วในพระคริสต์ อยู่ในบัพติศมา อยู่ในครอบครัวใหม่แล้วก็จริง เราแค่เชื่อว่าเราจะไปสวรรค์อย่างนี้  เราก็รอไปสวรรค์ เราไม่เชื่อว่า … เราได้รับชัยชนะแล้ว นึกว่ารอให้ตายไปแล้ว จะได้รับชัยชนะ เราก็รอจนตาย เราถึงจะได้รับชัยชนะ แต่ถ้าเรารู้ว่าไม่ใช่ พอเราจุ่มเข้าไปปุ๊บ  ตั้งแต่วินาทีนั้น เราได้รับแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะเริ่มแสวงหาวิธีการว่าเราได้รับแล้ว เราจะใช้สิทธิของเราอย่างไรบ้างในพระคริสต์ ที่อยู่ในชัยชนะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ตอนนี้ตอบได้ตรงประเด็นเป๊ะเลยนะครับ

สรุป คือให้เราเชื่อถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล ไม่ต้องคิดมาก เพราะคิดมากไป ก็ไม่เข้าใจอยู่แล้ว  ไปคิดมันทำไม? พระองค์บอกว่าอย่างไร? ก็เป็นไปตามนั้น แล้วก็ทำตามที่พระองค์บอกไว้นั่นแหละ นึกออกใช่ไหม? เริ่มต้นด้วยความเชื่อซะก่อน ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา  ของผู้คนที่เป็นคริสเตียน  หรือคนที่เป็นสาวกของพระเยซูบนโลกใบนี้  มันรู้สึก มันขัดแย้งกับที่พระเยซูสัญญา อย่างเช่น มันไม่เห็นได้รับสันติสุขแท้จริงอย่างที่พระเยซูบอกเลย อย่าโกหกนะ เหมือนพระเยซูคริสต์สัญญา เราได้รับสัญญา เราไม่เห็นจะได้รับอย่างนั้นจริงๆ เลย  แม้กระทั่งตัวผมเอง ก็เป็นอย่างนั้น  หลายครั้งผมคิดว่าชีวิตคริสเตียนของผมด้วย ของผู้คนรอบข้าง ชีวิตคริสเตียนเราแปลกๆ เราไม่เห็นเหมือนพระเยซูบอก พระเยซูบอกมีสันติสุข ชนะโลกแล้ว เราก็ไม่เห็นมีสันติสุข หลายๆ ครั้ง เรามีความคิดอย่างนั้นจริงๆ และผมเชื่อว่าคริสเตียนหลายคน เขามีความคิดอย่างนี้ว่าพระเยซูสัญญาแล้ว ไม่ใช่เราไม่เชื่อนะ เราเชื่อ แต่ทำไมมันไม่ได้รับอย่างนั้นจริงๆ

พระเยซูบอกไว้อย่างไรว่า “เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมยินดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา”

ชื่นชมยินดีอย่างสมบูรณ์เลย  บอกว่าคือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูหมายถึงเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ที่เราถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราจะมีสันติสุข มีความครบถ้วนบริบูรณ์เลย แล้วมีไหม? ถามจริงๆ มีไหม? อย่าเพิ่งตอบๆ ให้คิดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในพระเยซูเราจึงควรมีความชื่นชมยินดี แบบครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยนะ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ แต่ในความเป็นจริง ถึงแม้เราจะเชื่อพระเยซูอย่างสุดจิตสุดใจแล้วก็ตาม แต่ทำไมเราไม่เห็นจะชื่นชมยินดี อย่างที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเลย ใช่ไม่ใช่? ใช่ … ไม่กล้าพูดดัง กลัวพระเยซูเสียใจเหรอ … ใช่หรือไม่ใช่? … ใช่ พูดดังๆ ได้ พระเยซูเข้าใจเราดี … ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แล้ว

“ใช่แล้วๆ นานจะมีคนมาพูดตรงใจฉันสักทีหนึ่ง เอะอะอะไรก็บอกว่าฉันมีสันติสุข … ฉันไม่มี ฉันไม่มีจริงๆ”

ถูกไหม?  ตั้งแต่เรามาเชื่อพระเยซู ถามว่าวันทั้งวัน ปีทั้งปี เรามีสันติสุขหรือไม่มีสันติสุข อันไหนมากกว่ากัน ไม่มีสันติสุขมากกว่านี้ บางครั้งไม่มีเลย แต่ก็ยังเชื่อพระเยซูอยู่ แต่ก็เชื่ออยู่ มีความหวังอยู่ แต่มันเหี่ยวแห้ง หัวโตเหลือเกิน ใช่ไหม?  มันต้องมีอะไรบางอย่าง

เอาไว้คราวหน้าค่อยบอก ไม่อย่างนั้น ไม่ยอมฟัง ทิ้งไว้อย่างนี้  จนทุกวันนี้  มีความวิตกกังวล มีความกลัวโน่น กลัวนี่ กลัวไหม? วิตกกังวลไหม? ผมเป็นไหม? เป็น ที่บอกว่าไม่กลัวๆ พูดตามถ้อยคำพระเจ้า แต่จริงๆ กลัว บางทีแค่เขานัดไปตรวจสุขภาพประจำปีนิดหนึ่ง กลัวแล้ว บ้าหรือเปล่า? นี่พูดถึงตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ บางทีเราก็หงุดหงิดตัวเอง  มันเซ็ง อะไร ทีตอนอยู่บนธรรมมาส

“อย่ากลัวเลยๆ … พระเยซูตรัส”

ใช่พระเยซูตรัส ตอนนี้เราพูดเอง

“ฉันอยู่บ้าน ฉันพูดเอง”

แต่ตอนพูดอยู่บนนี้ ก็คือพระเยซูพูด มันคนละอันกัน เข้าใจไหม?  ท่านต้องเข้าใจตอนที่ศิษยาภิบาลขึ้นมา หรืออาจารย์ขึ้นมาสอน บรรยาย นี่พูดถึงพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงเราทำได้ทุกอย่างตามนั้น ไม่ใช่ผมทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ เราก็ยังเป็นคนเหมือนเดิม มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน พระเยซูพระเจ้า ก็นำเราเหมือนกัน เราก็กลัวเป็นเหมือนกัน (นี่หวา) ก็กลัวเหมือนกัน กังวลเหมือนกัน

ตอนลูกจะเข้าโรงเรียน จะต้องใช้เงิน กังวลไหม? กังวล อาจจะบางครั้งไม่กังวล สำหรับบางคน แต่จริงๆ กังวลทุกคน แล้วทำไมมันอะไร แสดงว่าพระเยซูพูดไม่จริง ไม่ใช่ เพราะว่าผมก็เชื่อพระเยซูพูดจริง แต่ทำไมไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเราจะมาต่อสัปดาห์หน้า สัปดาห์หน้าค่อยคุยต่อแล้วกัน จบแล้ว จบตรงนี้เลย  ร้องเพลงดีกว่า เอาง่ายๆ อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ก่อนจะร้องเพลงนี้ดีกว่า ค่อยมาต่อกันว่ามันเพราะอะไร? ทำไมมันไม่ได้ ตามที่พระเยซูบอก มันเกิดอะไรขึ้น ปัญหามันอยู่ตรงไหน? ไปหาวิธีแก้ปัญหาดีกว่า เพราะฉะนั้นวันนี้ เรามาร้องเพลงใหม่นี้นะครับ มาร้องเพลงเกี่ยวกับการอยู่ในพระเยซูคริสต์ การอยู่ในพระคริสต์คืออะไร? เราได้รับอะไรในพระคริสต์บ้าง? และจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระคริสต์ เราได้เป็นอย่างไร? และนี่คือส่วนหนึ่งในคำตอบปัญหา ที่ตะกี้นี้ทิ้งท้ายไว้ว่าทำไมเราไม่ได้รับตามที่พระเยซูสัญญาไว้ พระเยซูไม่โกหก ให้เราเชื่อแน่ๆ แล้ว รับรอง 100% แต่ทำไมเราไม่ได้รับตามที่พระเยซูบอก ชนะโลกแล้ว เป็นต้น มีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์เข้าใจ เป็นต้น แล้วทำไมไม่ได้ แสดงว่ามันมีวิธีที่จะได้รับ ซึ่งเราจะมาต่อตอนต่อไป แต่ตอนนี้เราร้องเพลงนี้ ผู้ที่เขาได้รับแล้ว เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราร้องลักษณะเหมือนผู้ที่เขาได้รับ เรายังอยากได้รับเหมือนในพระคัมภีร์พูดไว้ หรือในบทเพลงนี้  ที่เป็นเนื้อ ที่เขาเขียนไว้ แล้วอยากได้รับอย่างนี้แหละ ขอพระเจ้าเมตตาช่วยเราให้ไปถึงจุดนี้ด้วยกันเถิด เอเมน ร้องบทเพลงนี้ ด้วยการอธิษฐาน ขอพระเจ้าเมตตาเรา ช่วยเราด้วยเถิด ให้เราสามารถไปถึงจุดนี้ ได้ด้วยเถิด  ตามที่บทเพลงนี้ ที่เราจะร้องต่อไปนี้ เอเมน

 

*********************