คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 12 “บัตรประชาชนในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 12 “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระคริสต์ วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 12 แล้วนะครับ เราจะมาสรุป ทบทวนที่เราได้คุยกันไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กันก่อน

พูดชื่อเรื่องก่อน “เราเป็นใครในพระคริสต์”

สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 11 เราสรุปไว้ว่าด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณ ได้ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และเข้าส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันในภาษาอังกฤษ Divine Nature จำได้ไหมครับ?

เราได้มีส่วนเข้าไปร่วมในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า Divine Nature จึงทำให้เกิดอะไร? การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยความครบถ้วนบริบูรณ์ เขาเรียกว่าชีวิตที่ครบถ้วน  เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูได้ย้ำกับเราว่าพระองค์มา เพื่อให้เราได้รับชีวิตใหม่ และมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความสงบสุข เต็มไปด้วยความพึ่งพอใจ พอเพียงในทุกๆ สถานการณ์ ทั้งหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่ก็ยังมีบางคน ที่มาเป็นคริสเตียน เชื่อในพระเจ้าแล้ว อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย  แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สุข เหมือนอย่างที่พระเยซูบอก ตัวเองยังไม่ได้รับความชื่นชมยินดี ความสงบสุข ยังไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข อย่างที่พระเยซูบอกเลย

ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากอะไร? จำได้ไหมครับ ปัญหา ก็คือเพราะคนส่วนใหญ่เหล่านั้น อยากได้รับความชื่นชมยินดี อยากมีสันติสุขและสงบสุข อยากมีความพอเพียง อยากหายเหนื่อยและเป็นสุขในพระเยซูคริสต์ด้วยวิถีหรือวิธีการของตัวเอง ตามความคิดของตัวเอง ที่คิดว่าอยากได้อย่างนั้น  ซึ่งพระเจ้าก็ได้บอกแล้ว อย่างชัดเจนว่าความคิดของเรา ก็ไม่เหมือนพระเจ้า  ทางของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนทางของเรา

ครั้งที่แล้วเราได้ใช้ถ้อยคำตรงนี้ ตกลงทางของใครดีกว่าใครนะ ทางใครดีกว่าใคร? ทางพระเจ้าดีกว่า ความคิดของใครสูงกว่าของความคิดของใคร? ความคิดของพระเจ้า สูงกว่าความคิดของเรา

เรามาทบทวนถ้อยคำพระเจ้า ในบทนี้นิดหนึ่ง อิสยาห์ 55:8-9 เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องจำไว้ จำใส่ใจไว้เลยนะครับ

อิสยาห์ 55:8-9 “8เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศดังนั้น 9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น

 

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

มันต้องเป็นอย่างนั้น นี่คือถ้อยคำที่เราเน้นกันในสัปดาห์ที่แล้ว … แล้วผมก็ยกตัวอย่างชีวิตของเปาโล ที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงให้เปาโลมีหนามในเนื้อ เพื่อให้มีใจถ่อม ต้องพึ่งพระเจ้าตลอดเวลา ใกล้ชิดพระเจ้าตลอดเวลา แม้เปาโลจะอธิษฐานวิงวอนพระเจ้า เอาหนามในเนื้อออกไป ให้ที ตั้งหลายครั้ง แต่คำตอบของพระเจ้า ก็ไม่เป็นไปตามที่เปาโลคิดอยากจะได้ ไม่ได้เป็นไปตามวิถีการหรือวิธีทางที่เปาโลวางเอาไว้ว่าอยากจะหายจากความเจ็บปวดนั้น

พระเจ้าตอบเปาโลว่าอย่างไร? และตอบพวกเราในที่นี่ด้วยว่า.-

“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ (ของเจ้า)”

นี่พระเจ้าตอบเราด้วย ในขณะที่ตอบเปาโล ก็ตอบเราด้วย พระเจ้าเดียวกันนี่แหละ ซึ่งถ้าเราคิดแบบมนุษย์ มองด้วยสายตามนุษย์ ก็ต้องบอกอย่างนี้

เอาหนามในเนื้อออกไป มันดีกว่าแหงๆ อยู่แล้ว มนุษย์คิดอย่างนี้แหละ เอาหนามในเนื้อออกไป เอาความทุกข์ทรมานออกไป มันดีกว่าแน่ๆ ถูกไหมครับ? เอาหนามในเนื้อออกไป  ตามที่อธิษฐาน เปาโลขอ มันเรียกว่าอะไร? อัศจรรย์ เปาโลจะได้ไปประกาศว่านี่อัศจรรย์เกิดขึ้น อีกแล้วครับท่าน?  พระเจ้ารักษาอะไรบางอย่างที่เปาโลเป็นอยู่ หนามในเนื้อนั้นหายไปเลย อย่างอัศจรรย์ นี่เราคิดแบบมนุษย์ เห็นไหม? แต่พระเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง พระเจ้าตอบอีกแบบหนึ่ง เห็นไหม?

เราคิดแบบมนุษย์ ก็คือถ้าป่วยอยู่ ก็ต้องทำไม? ต้องรักษาให้หายป่วย นี่ความคิด วิธีการที่เราต้องการ วิถีทางของมนุษย์ คิดอย่างนี้  ทั้งๆ ที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็อยากได้อย่างนี้ เห็นไหม?

จนอยู่ ทำอย่างไร? อยากได้อะไร? จนอยู่ อยากหายจน  แล้วพระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้เราทุกคนไหม? หายจนทุกคนไหม? รวยหมดทุกคนเลย มาเป็นคริสเตียนรวยหมดทุกคนเลย มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  ในอดีตผมก็คิดอย่างนั้นแหละ ถ้ามาเป็นคริสเตียน รวยหมดทุกคน เขาจะได้มาเชื่อพระเจ้ากันให้หมดเลย แล้วเดี๋ยวออกไปเป็นพยานเต็มที่เลย แล้วเวลาที่ท่านรวย ท่านไปเป็นพยานไหมถามจริงๆ เป็น แล้วเขาเชื่อท่านไหม? ก็ไม่เชื่ออยู่ดี

ถ้าเป็นหนี้อยู่ ท่านอธิษฐานขออย่างไร? ท่านก็มีความคิดและอยากให้พระเจ้าชำระหนี้สินให้ท่าน หมดสิ้นสักที เลิกผ่อนบ้านสักทีหนึ่ง ถูกไหม?

มีใครบ้างอธิษฐาน “พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ผ่อนยาวกว่านี้นิดหนึ่งได้ไหม?”

ผมว่าไม่มี หรือมีน้อยมาก หรืออาจจะมีหรือเปล่าไม่รู้นะ

แล้วเราก็จะบอกว่า “ให้ตอบคำอธิษฐานตามที่เราอธิษฐานสิพระเจ้า เราจึงจะได้เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นการตอบแบบอัศจรรย์”

ถ้าพระเจ้าตอบว่า “พระคุณของพระองค์เพียงพอ สำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอของเจ้า”

“ไม่อัศจรรย์เลย อย่างนี้ไม่ชอบ”

ถูกไหม?  ใครที่อธิษฐานแบบเมื่อตะกี้นี้ ที่พูดมา หนึ่งในนั้นแหละ พระเจ้ากำลังตอบท่านว่าอย่างไร? พระเจ้ากำลังตอบว่า.-

“พระคุณของเราก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

“พระคุณของเราก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

เราคิดว่าการดำเนินชีวิตทุกวัน บนโลกใบนี้ เมื่อมาเป็นคริสเตียน มันไม่ควรมีการผิดพลาด อุตส่าห์เปลี่ยนชีวิตใหม่มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่กับเรา … เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ แต่ทำไมๆ ยังทำตัวแบบนี้อยู่เลย น่าเกลียดจริงๆ เลย มันน่าจะทำดีกว่านี้อีก เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม? ไม่ได้คิดกับตัวเองหรอก เพราะสิ่งเหล่านี้ เราไม่อยากว่าตัวเอง เราจะมองคนอื่น มาเชื่อพระเยซู ควรจะเป็นอย่างนี้ๆ เราอยากให้เขาบริสุทธิ์แป๊ะเลย ดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้สิ  แล้วพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?

สมมติ นาย ก. แล้วก็บอกว่า

“นาย ก. เชื่อพระเจ้าแล้ว น่าจะมีการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน บริสุทธิ์อย่างนี้นะ อยู่ในจริยธรรมอย่างนี้  อย่างนั้น อย่างนี้นะ”

พระเจ้าตอบว่า “พระคุณของเรา ก็เพียงพอสำหรับนาย ก. เดี๋ยวเป็นเรื่องของเราเอง ที่จะจัดการ”

ถูกหรือไม่ถูก? แล้วเราก็นึกว่าการไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตเราใหม่หมดเลย จะกลายเป็นคนที่ยอมให้อะไรทุกอย่าง เหมือนพระเยซูเลย ให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มีอะไร ก็ให้หมดเลย ทุกคน เราคิดว่าอย่างนั้นแหละ เป็นการอัศจรรย์ในชีวิตว่าพอเชื่อพระเยซู แล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงเลย  อีกคนเชื่อพระเยซูไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย ก็ยังเมาย่ำเป๋เหมือนเดิม เราคิดว่าอย่างนั้น ไม่อัศจรรย์ แต่อีกอย่างหนึ่ง อัศจรรย์กว่า นี่คือความคิดแบบมนุษย์ แล้วมันจริงๆ เราไม่ได้คิดอย่างเดียว เราปฏิบัติอย่างนี้ด้วย แต่พระเจ้าบอกว่ามีหนามในเนื้อ มีความทุกข์นั้น ทำไม?  ดีแล้ว ป่วยอยู่แบบนั้นแหละ ทำไม? ป่วยอยู่แบบนั้นแหละ ทำไม? ดีแล้ว จนอยู่อย่างนั้นแหละ ดีแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ทุกอย่าง … อย่างนั้นไปได้ด้วยดี เอเมน จริงไหม?

เนื้อหนังอ่อนแอ ทำผิดทำพลาดบ้างในชีวิต เป็นคริสเตียนแล้ว ดีหรือไม่ดี? ดีแล้ว เอาแค่นั้นแหละ ที่ทำได้เป็นพระพรแล้ว มันได้แค่นั้น ทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม? เขาเรียกว่าอะไร? ภาษาไทยเขาเรียกว่าอะไร?  สันดรขุดได้ แต่อะไรนะ ขุดไม่ได้ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด เคยได้ยินเพลงไหม? เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด มาเชื่อพระเจ้าตอนอายุ 60 แล้วบอกจะให้ชีวิตเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง แล้วมันจะเปลี่ยนได้อย่างไร? มันเป็นอย่างนั้นมาตั้ง 60 ปีแล้ว มันได้แค่ไหน ก็ได้แค่นั้น แต่เราวางใจในพระเจ้า  … พระเจ้ามีพระคุณมากเพียงพอ สำหรับคนอายุ 60 มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกันนะครับ มันได้แค่ไหน? ก็เอาแค่นั้น พระคุณของพระเจ้าเพียงพอสำหรับเขาแต่ละคน  ก็แล้วกัน เอเมน

เห็นไหม? ถ้าพูดแค่นี้ ก็รู้แล้วว่ามันต่างกันลิบลับเลยนะ ความคิดของพระเจ้า  วิธีการของพระเจ้ากับวิธีการที่มนุษย์คิด ต่างกันกันลิบลับ ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเราเท่านั้น ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ท่านลองไปวัดสิ เท่าไร?

นี่ชีวิตคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ ควรจะเป็นแบบนี้ เราไม่น่าจะวิงวอนขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เป็นอิสระจากความทุกข์ยากลำบาก แต่เราวิงวอนทูลขอพระเจ้า ทำให้เรามีความเข้มแข็งมากขึ้น และนำพาเราก้าวผ่านความทุกข์ลำบาก ก้าวผ่านทุกสถานการณ์ ที่เรียกว่าลำบากนั้น ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงในพระเยซูคริสต์

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

แล้วใช่หรือไม่ใช่? ใช่จริงๆ นานๆ ทีเราถึงต้องมาคุยกันเรื่องนี้ไง ไม่อย่างนั้นเราก็คิดของเราไปเรื่อย คิดตามแบบของเราไปเรื่อย

และสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นในชีวิตได้นั้น เราต้องเชื่อและวางใจในพื้นฐานความจริงที่ว่าความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา และทางของพระเจ้า ย่อมสูงกว่าทางของเราอย่างแน่นอน เราต้องยอมวางใจว่าพระเจ้าเก่งกว่า ดีกว่าแน่นอน อย่าคิดแบบมนุษย์คิด  อย่าคิดถึงเหตุผล คิดถึงแต่ความเชื่อว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ สามารถนำพาเราผ่านไปได้ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่ทรงสัญญากับเราว่าพระองค์จะกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรานั้น เป็นประโยชน์ ท่านเข้าใจไหม? เป็นประโยชน์ เป็นผลดีกับชีวิตของเราและทุกคนอย่างแน่นอน เอเมน แม้ว่าตอนนั้น เราจะไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเราเลย ความเจ็บปวดมันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร? การเป็นหนี้สินเป็นประโยชน์ได้อย่างไร?  รถเมล์ที่เราขึ้นไป แล้วเขาแถมให้เรา 5 ป้าย เดินย้อนกลับมาอีกไกลเลย  มันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร?

พระเจ้าบอก “เอ้อ! น่า ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะทำให้มันเป็นประโยชน์กับเธอ”

ก็แล้วกันเชื่อหรือไม่เชื่อ? เชื่อ นี่แหละ เขาเรียกว่าความเชื่อ … เชื่อพระเยซู ก็ต้องเชื่ออย่างนี้  มันลำบาก แต่มันฝึกได้นะ ฝึกที่จะวางในใจพระเจ้าอย่างสุดหัวใจเลย

นี่คือสิ่งที่เราสรุป ที่เราได้คุยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เลยมาตั้งชื่อกัน สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 11 เลยให้ชื่อตอนว่า “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา” … “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา”

พระคัมภีร์บอกว่าความคิดของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนความคิดเรา ความคิดของพระเจ้า ก็คือความประสงค์ ความต้องการของพระเจ้า  ความคิดของเรา ก็คือความประสงค์ ความต้องการของเรา ความอยากได้ตามใจปรารถนาของเรา ถูกไหม?

สรุป ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรากับสิ่งที่เราอยากได้ ฟังให้ดีนะ พระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา กับสิ่งที่เราอยากได้ ตามใจปรารถนาของเรา มันไม่เหมือนกัน และท่านคิดว่าสิ่งไหนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่ากัน ก็คือตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือตามใจปรารถนาของเรา ท่านคิดว่าอันไหนมันจะเกิดขึ้นง่ายกว่ากันในชีวิตของเรานั้น คิดให้ดีๆ และผู้ที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้า เป็นจริงในชีวิตของเราได้ คือใครครับ?  ใครที่สามารถทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตของเรา  ตอบสิ ใคร? ตัวเราเอง ไม่ใช่ ใครครับ? พระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นทุกสิ่ง เป็นกำลังทุกอย่าง เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ทุกสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา จะสำเร็จลงได้ โดยทางพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ใช่กำลังของเรานะครับ ต้องพึ่งพระเยซูทั้งหมด เราถึงสามารถที่จะไต่ขึ้นไปที่ความคิดของพระเจ้า หรือพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ให้ความคิดของเราเปลี่ยนแปลง ให้คล้ายหรือไปด้วยกันกับพระประสงค์ของพระเจ้าให้มากที่สุดในชีวิต

ทุกสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ทุกสิ่งนะ พระเยซูจัดเตรียมหาให้เรียบร้อยแล้วหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ ก็คือพระเจ้าต้องการมีพระประสงค์ให้เรา เป็นเหมือนพระองค์ ติดต่อกับพระองค์ได้ บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ซึ่งเราทำไม่ได้ แต่พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จแล้วที่พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปได้ นี่คือหนึ่งในจำนวน อีกมากมาย ที่พระเยซูสามารถทำให้เรา เป็นไปตามน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้า หรือความต้องการของพระเจ้าได้

นี่คือความหมายที่เราพูดกันเสมอว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน คือการยอมจำนวนต่อพระเจ้าในทุกพื้นที่ชีวิต ยอมจำนน คือแทนที่จะเชื่อพระเจ้า โดยหวังว่าพระองค์จะประทานทุกสิ่งตามที่เราทูลขอ ตามที่เราอยากได้  แต่เปลี่ยนเป็นยอมให้พระเจ้าจัดการกับชีวิตของเรา  ตามพระประสงค์ของพระองค์ โดยเชื่อและวางใจว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ไม่เหมือนกับใจปรารถนาของเรานั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราอย่างแน่นอน โดยให้พระเยซูเป็นผู้เสริมกำลัง เสริมสติปัญญา นำพาเราไปตรงนั้น เอเมน นี่คือเป้าหมายชีวิตของคริสเตียน ควรจะเป็นลักษณะเช่นนี้

พระคัมภีร์จึงสอนให้เราฝึกฝนที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้ชีวิตเรา เมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูแล้ว ให้ทำตามน้ำพระทัยให้ได้ ให้ยอมทุกอย่าง เพื่อจะทำตามน้ำพระทัย มากกว่าที่จะให้เป็นไปตามเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง ก็คือตัวเก่าของเรา ความคิดเก่าของเรา ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำนี้ ถ้าท่านทำอย่างนี้ได้ เรียกว่าเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพิจารณาถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้า 2 ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง”

 

เมื่อพิจารณาถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้า

ให้พูดพร้อมกันว่า “พระคุณความเมตตาของพระเจ้า”

ให้เราคิดถึงพระคุณของพระเจ้า ใช่ไหม?

“ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พอพระทัย”

ถามว่าอะไรมาก่อน พระคุณความเมตตาของพระเจ้ามาก่อน หรือให้เราถวายตัวก่อน? อะไรก่อน พระคุณความเมตตา เราได้รับพระคุณความเมตตาของพระเจ้าก่อน แล้วจึงให้เราทดแทนพระคุณด้วยการถวายตัวของเราแด่พระเจ้า ให้เป็นที่พอพระทัย เพราอะไรรู้ไหม? เพราะถ้าไม่ได้พระคุณของพระเจ้าก่อน เราไม่มีทางที่จะถวายตัว หรือทำอะไรก็ตามให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ไม่ได้ โมเสสก็ไม่ได้ กษัตริย์ดาวิดก็ไม่ได้ ไม่มีใครได้เลย แม้แต่คนเดียว เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ปรากฏ พระเยซูยังไม่มาเกิด  หลังจากที่พระเยซูมาบังเกิด และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว มนุษย์มีสิทธิแล้วที่จะทำตรงนี้ได้  เพราะได้พระคุณความเมตตาจากพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่มาไถ่บาปให้กับเรา

คำว่า “พระคุณ” ความหมาย ก็คือเราเป็นผู้รับ ไม่ใช่เป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น รับลูกเดียว พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่เราได้รับมา ก็คือให้เราได้มาอยู่ในพระคริสต์ ได้เปลี่ยนสภาพจากคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ทำให้เรามีสถานะใหม่ สถานะที่เรียกว่าลูกของพระเจ้า

กาลาเทีย 3:26-29 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ เอามาให้ท่านอ่าน เห็นชัดๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา ตอนที่เรารับเชื่อพระเจ้า

กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

 

ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าหรือยัง? เป็นแล้ว ด้วยตัวท่านเองหรือเปล่า? ไม่ใช่ แต่เป็นพระคุณ ผ่านทางใคร? ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมา … บัพติศมาเราได้เรียนกันแล้ว ได้จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ กลายเป็นกระเทียมดอง กลายเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงกระทำให้กับเรา และเพราะเราเป็นบุตร หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจึงทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเราทุกคน เอเมน

ในนี้พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจึงทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เข้าไปจุ่มลง บัพติศมาลงในพระเยซูคริสต์นั้น ที่เป็น คริสเตียน พระเจ้าประทับตราแล้ว อ่านดูนะ ประทับอย่างไร? 2 โครินธ์ 1:21-22 บันทึกเอาไว้ ประทับอย่างไร?

2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ถามว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไร? จากในวิญญาณที่พระเจ้าประทับตราอยู่ในนั้นว่าท่านเป็นลูกของพระองค์

และในนี้บอกว่าเป็นมัดจำค้ำประกันในสิ่งที่มาถึง สิ่งที่มาถึง คืออะไรรู้ไหมครับ? คือสวรรค์จริงๆ แล้ว ที่เราทิ้งร่างกายนี้ เราจะไปอยู่ที่นั่น ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าโลกสวรรค์มีจริงๆ จากโลกนี้ไป ทิ้งร่างกายจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นจริงเลย เพราะว่าพระเจ้ามัดจำลงมาในวิญญาณเราแล้วเดี๋ยวนี้ ในขณะนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่กำลังเดินอยู่นี้ ที่เราเชื่อพระเยซู มัดจำเข้ามาอยู่ในใจเราแล้ว เอเมน

พวกเราทุกคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการเจิม และได้รับการประทับตราจากพระเจ้าบนตัวเรา ก็เปรียบเสมือนอะไรรู้ไหมครับ? ฟังให้ดีๆ นะ เปรียบเหมือนอะไรในข้อความตะกี้นี้ เมื่อประทับตรา เปรียบเหมือนเราทั้งหลาย ได้รับบัตรประชาชน แสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ซึ่งการได้อยู่ในพระคริสต์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Identity in Christ.”

คำว่า Identity แปลว่าตัวตน … Identity in Christ. ก็คือตัวตนที่อยู่ในพระคริสต์ ซึ่งวันนี้ผมอยากจะใช้คำนี้แทน อยากให้ท่านเข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งผมอยากจะใช้คำว่า “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

Identity in Christ. ก็คือบัตรประชาชนในพระคริสต์

พระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อของเราจะมั่นคงขึ้น และเติบโตขึ้น เมื่อเรารู้และจดจ่ออยู่ที่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์ ให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นบัตรประชาชนในพระคริสต์จึงมีความสำคัญกับเรามากเลย

 

“Identity” หรือตัวตนของเรา ก็คืออะไร? ตัวตนของเราคืออะไร? ก็คือสิ่งที่อธิบายคุณลักษณะความเป็นตัวตนของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก ที่เราจะต้องรับรู้ว่าตัวตนของเราในพระคริสต์เป็นใคร? มีสภาพหรือมีสถานะอย่างไร? มีสิทธิอะไรบ้าง? ถูกไหม? ก็เหมือนกับทางกายของเรา เหมือนทางร่างกาย เราก็จำเป็นต้องรู้ว่าในขณะนี้ ตัวตนของเราเป็นใคร? มีใครไม่รู้ว่าบ้างว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? รู้หมดใช่ไหม?

บัตรประชาชนของท่านคือใคร? บัตรประชาชนของท่านที่ท่านพกในกระเป๋า คือใคร? เช่น เราถือบัตรประชาชนคนไทย เราต้องรู้ว่าตัวตนของเราเป็นคนไทย เรามีสิทธิเป็นเจ้าของประเทศนี้เหมือนกัน ไม่ว่ายากดีมีจน เศรษฐี คนกรุง คนชนบท คนรวย ชาวเขา ชาวดอย ชาวเล ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด ในฐานะเป็นคนไทย เอเมน เห็นหรือยัง? เป็นเพราะอะไร? ท่านรู้ยังเป็นเพราะอะไร? เพราะท่านมีบัตรประชาชนอยู่ สำแดงให้ท่านเห็นชัดว่าท่านเป็นคนไทย

การที่เราสามารถรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองได้อย่างนี้ ก็จะเป็นประโยชน์มากและสำคัญมากกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นึกภาพให้ดีๆ นะ และจะมีประโยชน์กับการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้นอีก เมื่อเรารู้ลึกลงไปอีกว่าเรามีคุณลักษณะนิสัย สภาพ สถานะ ตำแหน่งอะไร? ในชีวิตของเรา ในตัวของเรา ในขณะนี้ด้วย ถ้าเรารู้ เราจะมีประโยชน์มากขึ้นอีกเยอะเลย ไม่ใช่รู้เฉพาะเราเป็นคนไทยอย่างเดียว แต่เรารู้ว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร?  เรามีฐานะตำแหน่งอะไร? เราเป็นอย่างไร? ท่านพอเข้าใจไหม? ยกตัวอย่างเช่น

สมมติว่าผมรู้ตัวตนว่าในขณะนี้ นอกจากเป็นคนไทยแล้ว ผมยังเป็นศิษยาภิบาลอีก ผมเป็นผู้รับใช้ เราก็จะรู้ตัวว่าเราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตัวอย่างไรให้เป็นที่เหมาะสมในฐานะเป็นศิษยาภิบาล เป็นผู้รับใช้ เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าอย่างที่ตะกี้เราบอกกันไง ให้ชีวิตเราได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ถูกไหม? ซึ่งแน่นอน มันไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ได้ แต่แน่นอน เราก็รู้ว่าเราเป็นใคร?  เราก็ทำได้ดีขึ้น ถูกไหม? อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งถ้าท่านทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของท่าน เป็นอย่างไร? ท่านก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสงบสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข มากกว่าคนที่ไม่มีรู้ตัวตนของตนเอง นี่พูดเฉพาะบนโลกใบนี้นะ ยังไม่ได้พูดในโลกวิญญาณนะ เฉพาะโลกใบนี้อย่างเดียว ถ้าท่านรู้ตัวตนท่านเอง รู้จักตัวเอง ตัวตนของท่านเอง ท่านมีตำแหน่งอย่างไร? มีสถานะเป็นอย่างไร? ถ้าท่านรู้ตัว ก็มีความสุขมากกว่าคนที่ไม่รู้ตัว

เช่น ยกตัวอย่างอันนี้ชัดเลย การไม่ใช้เงินเปลื้อง การมีความพอเพียง เช่น เรามีฐานะอย่างไร? ใช้จ่ายได้แค่ไหน?  ถึงจะเรียกว่ามีความพอเพียง คือต้องรู้จักตัวตนของตัวเอง รู้จักประมาณตนว่าเรามีฐานะอย่างไร? เป็นใคร? ใช่หรือไม่? ใช่

ยกตัวอย่าง เราทำงานเป็นลูกจ้าง มีเงินเดือน 30,000 บาท แต่ไปใช้จ่ายเหมือนคนมีเงินเดือน 100,000 เป็นผู้บริหาร อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งเขาเรียกว่าลืมตัวไปแป๊บหนึ่ง แล้วมันมีสันติสุขไหม? มีความสงบไหม? เห็นไหม? มันหายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? มันเอาโทษมาใส่ตัวเอง เอาความทุกข์มาใส่ตัวเอง นี่ขนาดแค่โลกใบนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ยังเห็นชัดเลย การรู้ตัวตนของตนเอง รู้สถานะของตัวเอง มันมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตอย่างมากเลย

หรืออย่างบางคน ที่เป็นวัยรุ่นตอนปลายนะ รู้จักไหมวัยรุ่นตอนปลาย? อายุสักเท่าไรวัยรุ่นตอนปลาย อายุสัก 50 นะ วัยรุ่นตอนปลายสัก 40-50 ก็ได้ แต่ลืมตัว ลืมตนเองว่าตัวเองห้าหกสิบแล้ว ลืมตัวไปนิดหนึ่ง นึกว่ายังเป็นวัยรุ่นตอนต้นอยู่ นึกว่าอายุ 20 อยู่ ก็ไปทำอะไร? ไปปีนป่ายเก็บของ ไปทำอันโน่นอันนี่ ปีนต้นไม้ ในที่สุด ก็ตกจากต้นไม้ลงมา แขนหัก ขาหัก อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร? ลืมตัวใช่ไหม? ไม่ใช่สมน้ำหน้า ลืมตัว อย่างนี้เรียกว่าอะไร? ลืมตัวไปนิด เพราะการลืมตัว มันจะทำให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาหาเรา มันจะเกิดความสันติสุข สงบสุขไหม? ไม่เกิด เห็นไหม? มันจะเกิดหายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? ทุกข์ลำบากขึ้น มากกว่าเก่าอีก เพราะว่าอะไร? ลืมตัว สิ่งนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้น  แต่มันก็เกิดขึ้น เพราะว่าเราลืมตัว ลืมตัวตนของเราว่าเราเป็นใคร?

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ก็คือชาวไทยภูเขา … ชาวไทยภูเขา ก็คือชนชาติไทย สัญชาติไทย แต่มีเชื้อชาติไทยภูเขา ลักษณะเดียวกันกับชาวไทยเล ที่อยู่ทางใต้ ที่เป็นชาวเล เป็นประมง เขาเป็นชาวไทยนะ ไทยเล หรือแม้กระทั่งที่ชัดๆ ก็คือไทยมอญ … ไทยมอญก็อยู่แถวพระประแดง หรือแม้กระทั่งยิ่งชัดใหญ่เลย ไทยอะไรที่อยู่แถวเยาวราช ก็ไทยจีน เห็นไหม? อยู่พาหุรัด ไทยอะไร?  อยู่แถบๆ นั้น ไทยอินเดีย ก็เป็นคนไทยเหมือนกันทั้งหมด

ท่านพอจะเห็นภาพอะไรไหมว่าคนไทยที่มีเชื้อชาติเป็นไทยภูเขา ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด เหมือนคนไทยที่อยู่ในกรุงเลย เห็นไหม? แต่ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เมื่อหลาย 10 ปีก่อน สมัยที่ชาวไทยภูเขายังไม่ได้เป็นคนไทย ยังไม่มีบัตรประชาชน ในหลวงทรงดำริอยากจะให้คนเหล่านั้น ได้เข้ามาเป็นคนไทย เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรต่างๆ เหมือนกับคนไทยที่อยู่ในเมือง เหมือนกันเลย  เหมือนกันเลยทุกอย่าง มาเป็นประชากรของพระองค์ ก็เลยสั่งให้ทางการไปสำรวจ แล้วก็ไปทำบัตรประชาชนให้เขา … เขาจะได้เป็นคนไทยครบถ้วนบริบูรณ์ จะได้ถือบัตรประชาชนคนไทย จะได้มีสิทธิเท่ากับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนไทยก็ตาม ชาวไทยภูเขาก็มีสิทธิเท่ากับนายกรัฐมนตรีคนไทยเท่ากันเลย จะเป็นมหาเศรษฐี คนกรุงเทพ คนไทยภูเขาก็ได้รับสิทธิเท่ากับคนนั้นเลย เข้าใจใช่ไหมครับ?

ไปทำบัตรประชาชนยากมากนะครับ เพราะว่าต้องขึ้นไปสำรวจแต่ละหมู่บ้าน อยู่ในเขาต่างๆ แล้วก็สำรวจๆ แล้วก็ทำบัตรประชาชนให้

การไปทำบัตรประชาชนมันสำคัญมากๆ เพราะว่าบัตรประชาชนเป็นตัวบ่งบอกว่าตัวตนของเราเป็นใคร? เรามีสิทธิอะไรบ้างในนั้น

สมัยก่อนโน่นนะครับ ที่เล่าให้ฟังเมื่อตะกี้นี้  ก็ยังมีชาวไทยภูเขา หรือชนกลุ่มน้อยบางคน ที่ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองเป็นคนป่าคนเขาอยู่ ทั้งๆ ที่ได้ทำบัตรประชาชนไปแล้ว มีบัตรประชาชนคนไทยไปแล้ว แต่ไม่ชิน ทางการบอกให้ไปรับสิทธิของเรา ในการไปโรงพยาบาล ก็ไม่กล้าไป เพราะไม่มีเงิน ท่านพอเข้าใจไหม? คือไม่กล้าทำอะไร? ทั้งๆ ที่ตัวเองมีสิทธิเท่ากันกับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้นเลย ถูกไหม? แต่เขาไม่รู้เรื่องเลยว่าเขามีสิทธิอะไรบ้าง? ถึงรู้เขาก็ไม่กล้าด้วย มีบัตรประชาชนอยู่ในตัว ก็ไม่กล้ามอง ไม่กล้าดู เพราะว่าเขาไม่ได้ย้ำตัวเองว่าตัวตนเขาเป็นใคร? เป็นคนไทยแล้วจริงๆ นะ จริงๆ นะ ต้องย้ำยืนยันอย่างนี้ มาเป็นเวลาหลายสิบปี ปัจจุบันพ้นหมดแล้ว ลูกหลานชาวไทยภูเขาทุกคน เขารู้ตัวเองดีว่าตัวเองเป็นคนไทยจริงๆ มีบัตรประชาชนอยู่ทะเบียนบ้านเป็นคนไทย มีสิทธิได้เลือกตั้ง ได้ทุกอย่างเหมือนกับคนที่อยู่ในกรุงเทพไม่มีผิดเลย สามารถใช้สิทธิทุกอย่างในประเทศไทยได้เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา โรงพยาบาล การสงเคราะห์ต่างๆ ทุกอย่าง

พูดเรื่องนี้เพื่ออะไร? พระคัมภีร์จึงบอกว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมาก ที่เราจะต้องรับรู้และมั่นใจในตัวของเราเอง ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ คือต้องรู้ตัวว่าในพระคริสต์เราเป็นใคร? ถึงต้องเรียนรู้ตรงนี้มา 12 ตอนแล้ว ต้องเรียนรู้ไปอีก 50-60 ตอนหรือเปล่าไม่รู้? สำคัญมาก เราต้องรู้ว่าเป็นใครในพระคริสต์ Identity in Christ. หรือบัตรประชาชนในพระคริสต์ของเราเป็นใคร? ได้อ่านบ้างไหม? บัตรประชาชนในพระคริสต์ ได้เคยหยิบมาดูบ้างหรือเปล่า? หรือหยิบมาดูเฉพาะวันอาทิตย์ คือมาโบสถ์แล้วก็หยิบดู ไม่เคยหยิบดูเลยว่าบัตรประชาชนท่านเป็นใครในพระคริสต์ นี่คือบัตรประชาชน Identity in Christ. ก็คือบัตรประชาชนของเราในพระคริสต์

พอคร่าวๆ ในบัตรประชาชนของพระคริสต์เขียนว่าเราคือใคร? เอ๊า! ตอบสิ นึกในใจ บัตรประชาชนของท่านในพระคริสต์เขียนว่าอย่างไร? ในพระคริสต์ ท่านคือใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า เราพ้นจากบาปทั้งปวง เราสะอาดบริสุทธิ์ เราพ้นจากบาปทั้งสิ้น ทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เรานั่งอยู่ที่ไหน? เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน บ้านเราอยู่ที่ไหน? บ้านเราอยู่ที่สวรรค์ ถ้าละเอียดขึ้น

“เลขที่ที่เท่าไร?”

“ไม่รู้ แต่รู้ว่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่บ้านไหน? ฉันก็อยู่บ้านนั้นแหละ”

“บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?”

“บ้านนั้น อยู่ข้างขวามือของพระเจ้า”

พูดแบบมนุษย์ เอามาเทียบให้เห็นว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดแล้ว นี่คือบัตรประชาชนทางวิญญาณในพระคริสต์ของเรา Identity in Christ. ของเราเป็นอย่างนี้ และแค่รู้จักตัวตนอย่างเดียวนั้น ยังไม่พอนะครับ ต้องเชื่อมั่นและจดจ่อกับตัวตนของเราด้วยว่าเราเป็นใคร? และเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องทำให้ตัวเราเชื่อ เพราะอะไร?  เพราะถึงแม้เราจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เราไม่เชื่อ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา

เพราะฉะนั้น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความจริงว่าใช่หรือไม่?  ปัญหามันอยู่ที่คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ? ความจริงมันเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวพระคริสต์ คุณก็รู้ แต่คุณไม่เชื่อ หรือเชื่อนิดเดียว คุณก็ได้ผลไปนิดเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

เช่นเดียวกัน เมื่อเรารู้ตัวตนที่แท้จริงของเราแล้วว่าเราเป็นใคร? เราก็ต้องจดจ่อตัวตนของเราอยู่ที่นั่น เหมือนที่เปาโลบอกให้เราตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน … เบื้องบนก็หมายถึงตรงนี้แหละ ให้เราจับจ้องไปที่เบื้องบน ให้เราจับจ้องสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ตรงนี้แหละ สิ่งที่มองไม่เห็นตรงนั้น คืออะไร? ก็คือบัตรประชาชนของเราในพระคริสต์ มองไม่เห็น ต้องจับจ้อง มองให้เห็นให้ได้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะอะไร? เพราะไม่ฉะนั้น พอเวลาล่วงเลยไป เราก็จะลืมว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว พอเผลอเข้าหน่อย ก็มาคิดว่าเราก็ยังมีบาป ยังไม่หมดเลย มันลืมไง ท่านลองไม่มาโบสถ์สักระยะหนึ่ง ลองทิ้งเรื่องนี้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่อ่านพระคัมภีร์สักระยะหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องโลกวิญญาณนี้ระยะหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องพระเยซูคริสต์อีกสักระยะหนึ่ง ไม่รู้กี่ปี  ท่านลองคิดดู ท่านจะลืมหมดแล้วว่าท่านนั่นเป็นใคร? ทั้งๆ ที่ถามว่าเป็นไหม?  เป็นอยู่จริงๆ ถ้าตอนแรกท่านมาเชื่อพระเยซูจริงๆ นะ ท่านบัพติศมาจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์จริงๆ ท่านเปลี่ยน แต่ความเป็นจริงนั้น ไม่ได้ช่วยท่านเลย เพราะว่าท่านลืมไปหมดแล้ว ท่านนึกว่าท่านยังบาปอยู่ ยังต้องใช้หนี้บาปเวรกรรมอยู่ แล้วยังบ่นอยู่ว่าเมื่อไรจะใช้บาป เวรกรรมหมดสักที ทั้งๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างนี้แหละที่เรียกว่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง คือลืมตัวไปชั่วขณะ หรือเผลอตัวไปว่าเราเป็นใคร?

การรู้จักตัวตนของเราในพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ด้วยความชื่นชมยินดี สงบสุข และหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างที่พระเยซูบอก ถ้าอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข มีความสงบสุข มีสันติสุขอย่างที่พระเยซูบอก ท่านต้องจำให้ได้แม่นเลย หลับตาปุ๊บ เห็นชัดเลยว่าบัตรประชาชนท่านในพระเยซูคริสต์ท่านเป็นใคร? บ้านท่านอยู่ที่ไหน?  ใครถามปุ๊บ บ้านท่านอยู่ที่ไหน? ท่านตอบทันที

“บ้านฉันอยู่ในสวรรค์สถาน อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน อยู่บ้านเดียวกันกับพระคริสต์ อยู่บ้านเดียวกับพระเยซู” เอเมน

เราเรียนรู้กันมาตลอดว่าทันทีที่เราได้มาอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นวิญญาณบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู และได้กลายสภาพ ได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู เป็นวิญญาณใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์ บัดนี้ ท่านไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว ต้องย้ำยืนยันอยู่บ่อยๆ นี่คืออะไร? นี่คือตัวตนของท่านในพระคริสต์

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ในพระคริสต์ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ในพระคริสต์ ฉันสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป  นี่คือบัตรประชาชนในพระคริสต์ของฉัน ตัวตนที่แท้จริงของฉัน เอเมน จำได้ไหม? ถามท่านต้องตอบให้ได้เลยว่าในพระคริสต์ ท่านเป็นใคร? อาจจะไม่ได้เรียงแบบตะกี้นี้ แต่ท่านต้องตอบให้ได้ว่า

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด พ้นจากบาปทั้งสิ้นแล้ว ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ร่วมกับพระเยซู”

ต้องตอบตรงนี้ได้ เอเมนไหม? วันนี้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนอีกทีหนึ่งนะ เอามาปัดฝุ่น แล้วก็มาดูใหม่อีกทีหนึ่ง ท่านเชื่อไหมอย่างนี้ ตะกี้นี้พูดบัตรประชาชนท่าน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระเยซู เชื่อใช่ไหม? แต่ปรากฏว่าอยู่มาวันหนึ่ง ท่านเกิดพลาด ทำบาปไป ทำผิด ทำไม่ตรงกับน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมันทำแน่ๆ เป็นคริสเตียนก็ต้องทำแน่ๆ มากหรือน้อยก็ตาม เช่นท่านอาจจะโลภ โกรธ โกหก อะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าบาปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ตาม ก็เรียกว่าบาปทั้งนั้น ท่านทำไป เผลอทำไป

ถามอีกทีหนึ่งว่าท่านทำไปแล้ว ตัวตนของท่านในพระคริสต์ เปลี่ยนไปไหมครับ? ทันที เปลี่ยนไหมครับ? ไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนเลย  ตัวตนของท่าน ยังคงอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เหมือนเดิมทุกประการ เพียงแต่เป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำบาป ไม่ใช่เป็นคนบาป พอเข้าใจไหมอย่างนี้ เป็นคนชอบธรรมที่เผลอไปทำบาป แต่ไม่ใช่คนบาป ไม่เหมือนกันนะครับกับการเป็นคนบาปกับการเป็นผู้ชอบธรรมที่ทำบาป  มันต่างกันเยอะ การเป็นคนบาป กับการเป็นผู้ชอบธรรมที่ทำบาป มันต่างกันมากมหาศาลนะ ผมเชื่อว่าเราเรียนเรื่องนี้มา 12 ตอนแล้ว ท่านต้องพอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่าระหว่างเนื้อหนังและวิญญาณเป็นอย่างไร? ฉะนั้นท่านคงพอจะเข้าใจในสิ่งที่ตะกี้นี้ผมบรรยายไปว่ามันไม่เหมือนกันอย่างไร? การที่ท่านเคยเป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ การที่ท่านเคยเป็นคนบาปทางวิญญาณนะ ก็ไม่ใช่เพราะท่านเคยทำบาป ถูกหรือไม่ถูก?

เอาอีกทีหนึ่ง การที่ท่านเคยเป็นคนบาป ในวิญญาณของท่าน ก่อนมาเชื่อพระเจ้า ก็ไม่ใช่ เพราะท่านเคยทำบาป แต่เป็นเพราะท่านมีเชื้อบาปที่ติดมาจากบรรพบุรุษของท่าน คืออาดัมและอีฟ ถูกหรือไม่ถูก? ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม ก็ไม่ใช่เพราะท่านกระทำเอง แต่ท่านชอบธรรมได้โดยการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม ถูกไหม? ถามว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ยังไม่เชื่อในพระเจ้าถูกไหม? ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ถูกไหม?  ท่านว่ามีไหมครับคนเหล่านี้ที่จะทำดี ทำความดี มีไหม? มี .. มีหรือไม่มี? มีแน่นอน มีเยอะเลย  มีเยอะแยะด้วย บริจาคช่วยเหลือคนยากจน ก็มี อุทิศตัวเองเพื่อคนมากมาย อุทิศเพื่อส่วนรวมมาก บางทีมากกว่าคริสเตียนอีกด้วยซ้ำ

ซึ่งสิ่งดีๆ เหล่านี้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำสิ่งดีๆ ต่อกัน สิ่งต่างๆ เหล่านั้น คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ทำกันแบบนี้เยอะแยะมากมาย ที่เราเห็นกันอยู่ เราในอดีตก็แบบนี้เหมือนกัน แล้วถามว่าแล้วสิ่งดีๆ ทั้งหลาย ที่เราในอดีต และผู้คนเหล่านี้ทำ ถามว่าจะช่วยให้วิญญาณของเราได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม คือหมดบาปได้หรือไม่? ไม่ได้

พระคัมภีร์ไบเบิลพูดไว้อย่างนี้ชัดเจนเลย บันทึกว่าความชอบธรรมในวิญญาณไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จากการกระทำของคนใดคนหนึ่ง พระคัมภีร์พูดไว้ทั้งเล่มเลย ความชอบธรรม คือในวิญญาณนะ วิญญาณเป็นผู้ชอบธรรม หมดบาปได้ ไม่ได้มาจากการกระทำ ไม่สามารถชำระวิญญาณได้ โดยการกระทำจากภายนอกเข้าไปล้างข้างใน เป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เมื่อพลาดไปทำบาปเข้า ก็ไม่ได้ทำให้วิญญาณของเขา กลับมาเป็นวิญญาณบาปได้อีกครั้ง เช่นเดียวกัน ถูกไหม?

ด้วยเหตุนี้แหละ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราตั้งมั่น และจดจ่ออยู่ที่ตัวตนแท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ ในวิญญาณของเราในพระคริสต์นั้น เพื่ออะไร? 2 สิ่ง  เพื่อว่าเมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ พอเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ มันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม?  พอเราจำบัตรประชาชนเราแม่นเลย ไปที่ไหน ควักบัตรประชาชนออกมาตลอดเวลาเลย บัตรประชาชนทางวิญญาณนะ ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าในพระคริสต์ 2 สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ก็คือ.-

  1. เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้รับรู้ถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? รักเรามากขนาดไหน?  ถูกไหม?  เบอร์หนึ่งเลย พอหยิบบัตรออกมา สิ่งที่ท่านคิดได้ มันใช่สิทธิอย่างเดียว ดึงออกมาปุ๊บ ท่านคิดเลยว่า.-

“ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ฉันได้มีโอกาส ได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ได้เข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า ในแผ่นดินพระเจ้า”

เหมือนกับชาวเขา ไทยภูเขา ที่ทุกบ้านจะมีรูปพระฉายาลักษณะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงทำให้เขาทั้งหลายเป็นคนไทย มีสิทธิเท่ากับคนไทย ลูกหลานเรียน จนจบด็อกเตอร์ทุกวันนี้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ? เป็นลักษณะเดียวกัน

ดังนั้น ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามีบัตรประชาชนของเรา ในฝ่ายวิญญาณ เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราจะระลึกถึงพระองค์เสมอว่าพระคุณของพระองค์ล้นเหลือเกินในชีวิตของเรา … เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการ … ไม่ใช่เพื่อเป็นการทำให้เราชอบธรรมขึ้น ไม่ใช่ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า เรารักพระองค์ … พระองค์รักเรามาก เราไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้แล้ว เราเสียใจ เพราะเรารักพระองค์ ไม่ใช่ เราทำ เพื่อให้เรามีความชอบธรรมมากขึ้น ไม่ใช่

สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่บัตรประชาชนของเราในพระคริสต์ว่าเราเป็นใคร?

  1. อันที่สอง ที่จะเกิดขึ้น คือแม้เราจะตั้งใจ ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า ต้องการที่จะ … เขาเรียกว่าทำให้พระเจ้าดีใจ คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือไม่ทำบาป ให้เป็นที่พอพระทัย ให้เป็นที่ถวายเกียรติในชีวิต แต่อย่างที่ผมบอกอยู่เรื่อยๆ เสมอๆ ว่าร่างกายของเรา ที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่วิญญาณเรายังอาศัยร่างนี้อยู่ ร่างนี้มันมีเชื้อบาปอยู่ เราก็อาจจะเผลอ พลาดไปทำผิดบาปได้บ้าง แต่เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่วิตกกังวล เพราะว่าเรามีบัตรประชาชนของเราอยู่ ที่ตะกี้นี้เราเรียนมาทั้งหมดแล้ว เรายังมั่นใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรานั้น อยู่ในพระคริสต์ ยังคงทำไม? เหมือนเดิมทุกประการ ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเรามีตัวตน มีบัตรประชาชนของพระคริสต์นี้ เช่นนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตอนที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้น แต่ถือบัตรนี้ทำไม? ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์ วันหนึ่งเราก็ใช้บัตรนี้ ออกจากร่างนี้ ก็ใช้บัตรนี้ ใช้สิทธิของเราในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้ารอเราอยู่

มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา        ถ้าเราเชื่อ จึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา         และเดี๋ยวนี้ยังเตรียมที่ไว้คอยท่า

เราจะถือบัตรประชาชนนี้ ไม่ใช่ถือตอนที่เราจะจากโลกนี้ไป ไม่ใช่นะครับ ถือตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย เห็นบัตรประชาชนเราตลอดเวลา ทุกวันนี้หายใจเข้าออก เรามีบัตรประชาชนนี้ออก เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรามีสิทธิอะไรในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ที่ไหนในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานร่วมกับพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระองค์ เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งโสโครกสกปรกทุกอย่างในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะไปสวรรค์ พร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์ ซึ่งเป็นอาณาจักรของเราที่แท้จริง เป็นบ้านของเราจริงๆ ที่อยู่บนนั้น โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา  เพราะฉะนั้นถือบัตรประชาชน นี่คือความหวังใจของเราทุกคนในพระคริสต์ เราคือใครในพระคริสต์ ความหวังใจเราอยู่ที่นั่น คือในพระคริสต์นั่นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************