คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ธันวาคม  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชืื่อแบบไม่หวั่นไหว)

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ เป็นตอนที่ 7 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ ชื่อเรื่องว่า “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” เรายังเรียนรู้ชีวิตคริสเตียน จากเรื่องราวของดาเนียลกันอยู่ ครั้งที่แล้ว ดาเนียลได้ทำนายฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าอย่างนี้ว่าแต่ละส่วนของรูปปั้นที่ทำจากวัสดุต่างๆ ก็เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตั้งแต่สมัยที่นิมิตเกิดขึ้น ก็คือเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คือก่อนคริสตกาลนั่นเอง และดาเนียลก็ได้ทำนายความฝันอย่างนี้ว่า …

“ศีรษะ” ที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็กวาดต้อนชาวยิว มาเป็นเชลย

“หน้าอกและแขน” ที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรเปอร์เซียที่รุ่งเรืองขึ้นมา ภายหลังจบยุคสมัยของบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ที่เป็นทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีกที่จะมารบชนะเปอร์เซีย และแผ่ขยายไปทั่วโลก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คืออาณาจักรโรมัน ที่พระคัมภีร์บอกว่าแข็งแกร่ง เหมือนเหล็ก ที่จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน

“เท้า” ซึ่งทำด้วยเหล็กผสมดินเหนียวเซรามิก ตรงนี้เล็งถึงยุคที่อาณาจักรโรมัน เริ่มเสื่อมสลาย และแตกแยกกลายเป็นประเทศเล็กๆ ต่างๆ เต็มไปหมดเลย ทั่วยุโรป

คำทำนายฝันของดาเนียล ที่บอกว่าจะเกิดอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้ฟังกันและได้เรียนรู้กัน ครั้งที่แล้ว เป็นคำทำนายในยุคบาบิโลน ตอนที่พูดอยู่นี้ ซึ่งในยุคนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าความฝันนี้จะเป็นจริงตามคำทำนายของดาเนียลหรือไม่? ถึงแม้รู้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? ก็ไม่รู้ว่าอันไหนหมายถึงประเทศอะไร? แต่มาถึงวันนี้ ประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นแล้ว ตามคำทำนายตามนั้นจริงๆ ทุกยุค ทุกสมัย มาถึงปัจจุบันนี้ ประมาณ 2,600 ปี ตรงตามนั้นหมดเลย  เมื่อตรงอย่างนั้น  จากนี้ต่อไป จนสิ้นยุค คือสิ้นโลกนี้เลย ก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วย มันจึงน่าตื่นเต้น การที่จะมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยกัน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เรา ได้มีความมั่นใจ ในสิ่งที่เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าควบคุม ครอบครองทุกสิ่งในโลกใบนี้

หลังจากสิ้นสุดอาณาจักรทั้ง 4 คือบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก และโรมันแล้ว ดาเนียลก็ทำนายต่อว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรือง หรือมีอำนาจทั่วโลก เกิดขึ้นอีก จากนั้นมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้น แตกกระจายแหลก ไม่เหลือร่องรอย หินที่กระแทกรูปปั้นแตกกระจายแหลก เป็นชิ้นๆ ตรงนี้ ในคำทำนายบอกไว้ว่าอย่างนี้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล นี่คือหนึ่งในจำนวนที่แปลความฝันนี้ ซึ่งเรามานั่งอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ เรารู้ว่าอาณาจักรที่จะมั่นคงตลอดกาล คืออาณาจักรของพระเยซู Kingdom of Christ กำลังเริ่มฉลองกันปีนี้ ค.ศ.2016 ช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงสัปดาห์ของคริสตมาส เรากำลังฉลองอันนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ฉลอง Kingdom of Jesus Christ ฉลองอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่นิมิตนี้บอกว่าอาณาจักรนี้จะยั่งยืน มั่นคงตลอดกาล มากขึ้นไปอีก

ย้อนกลับไป 2,600 ปีที่แล้ว ที่ดาเนียลกำลังพูดความหมายของนิมิตให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ยินว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเป็นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นมหาอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหนก็ชนะ กวาดต้อนคนเยอะแยะมากมาย มาเป็นเมืองขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีคนมาทำนายฝันว่าเดี๋ยวอีกไม่นาน จะมีคนมาโค่นล้มราชวงศ์เรา โค่นล้มประเทศเรา แล้วจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทนตัวเรา ท่านไม่มีความสุขแน่ ท่านต้องกลัวแน่ๆ จะบอกว่าไม่กลัวหรอก เราไม่เชื่อ  จะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ เพราะว่าดาเนียลทำนายฝันที่เป๊ะๆ เลย ไม่ได้บอกว่าฝันว่าอะไร? แต่พูดถูกหมดเลย

แสดงว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่ามันใช่จริงๆ ก็ยิ่งกังวล กลัวว่ามันจะเป็นไปตามความฝัน เป็นไปตามนิมิตที่ได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล เมื่อเชื่อแน่นอนแล้ว ก็ต้องตั้งหลัก

เราย้อนกลับไปดูว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทำอย่างไรต่อไป เมื่อได้รู้เรื่องนี้ ซึ่งบันทึกไว้ในดาเนียล 3:1-7 ก่อน

ดาเนียล 3:1-7 “1 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก ตั้งไว้ในที่ราบดูรา ในมณฑลบาบิโลน 2 แล้วทรงให้เรียกเสนาบดี ข้าหลวงภาค ผู้ว่าการ ราชมนตรี ขุนคลัง ผู้พิพากษา ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของทุกมณฑลมาชุมนุม เพื่อร่วมงานฉลองเทวรูป ซึ่งสถาปนาขึ้นนั้น 3 คนเหล่านั้น ก็มาร่วมฉลอง และยืนอยู่หน้าเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น 4 แล้วมีเสียงป่าวประกาศว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติทุกภาษา มีพระราชโองการว่า 5 ทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น 6 ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที” 7 ฉะนั้น ทันทีที่คนทั้งหลาย  ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ และเสียงดนตรีทุกชนิด พลเมืองทั้งปวง จากทุกชาติทุกภาษา ก็หมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น

 

ในคำทำนายฝันของดาเนียล บอกว่าอาณาจักรบาบิโลนของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือส่วนศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ

อาณาจักรบาบิโลน ก็เปรียบเหมือนทองคำ คือเฟื่องฟูมาก เป็นอาณาจักรแห่งการทำมาค้าขาย  ที่เจริญรุ่งเรืองจริงๆ นี่คือหนึ่งในจำนวนลักษณะที่พระเจ้าบอกว่าในนิมิตนี้ ให้เป็นรูปทองคำ เพราะจริงๆ พระเจ้ากำหนดให้บาบิโลนเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นทองคำจริงๆ แต่รูปปั้นที่อยู่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์นั้น มันมีเฉพาะแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น ที่ทำด้วยทองคำ ส่วนอื่นๆ ทำด้วยเงิน ทองแดง และเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรอื่นๆ ที่จะมีอำนาจต่อจากบาบิโลน ก็คือจะมาโค่นล้มบาบิโลนนั่นเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลัว กลัวว่าหัวจะขาดไป กลัวว่าจะถูกยึดอำนาจ เพราะฉะนั้น ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ฝันร้าย หรือแก้เคล็ด

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก 30 เมตรประมาณเกือบๆ 10 ชั้น และมีความกว้าง 3 เมตร ไปที่ไหนก็เห็น ในฝันบอกว่ามีเฉพาะหัวใช่ไหม?

“เพราะฉะนั้น  ฉันทำเป็นทองคำทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่านี่คือฉัน … ฉันจะไม่ยอมสยบให้ใครเด็ดขาด ฉันชนะ”

“ฉัน เป็นตัวฉันทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเงิน ทองแดง และเหล็ก” แก้เคล็ด

พอสร้างเทวรูปเสร็จแล้ว ก็เรียกทุกคนมาร่วมชุมนุมกัน แล้วประกาศว่า …

“บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา มีพระราชโองการว่าทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลงนมัสการเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมกราบนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที”

สังเกตตรงคำว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา” อย่างที่บอกว่ายุคของบาบิโลน คือยุคของทองคำ ซึ่งจะมีบรรดาเมืองขึ้นเต็มไปหมดเลย เพราะเขาไปตีเมืองได้ชนะเยอะแยะไปหมด ชนชาติ ภาษาอะไรต่างๆ มากมาย เขาก็ต้องการ ให้พวกนี้สิโรราบกับเขา ให้รู้สึกว่าเกรงกลัว กลัวว่าเขาจะไปรวมหัวกัน แล้วขึ้นมากบฏ ขึ้นมาต่อต้าน ไม่เป็นเมืองขึ้นอีกต่อไป เขาก็คิดในใจว่าอาจจะมีประเทศใด ประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง รวมหัวกัน ในที่สุด ก็กลายเป็นหน้าอก ที่เป็นรูปเงินนั้นจะมาทำลายบาบิโลน พูดง่ายๆ ตามภาษาไทย เรียกกันว่าตัดไม้ข่มนาว่า …

“อย่าหือนะ ฉันใหญ่มากนะ”

กราบนมัสการ “ก็คือสิโรราบต่อฉันซะ”

นี่คือคำสั่งเด็ดขาด ถ้าใครไม่ทำตาม โยนเข้ากองไฟเลย  เอาตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้รวมกลุ่มเลย  แค่ต่อต้านนิดหนึ่ง ก็จับโยนเข้ากองไฟ อย่างนี้เป็นต้น เขาก็คิดว่าช่วยได้ ไม่ให้เป็นไปตามข่าวร้าย หรือฝันร้าย ที่เขาได้รับมา

เมื่อดาเนียลทำนายฝัน อย่างถูกต้องแล้ว กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ทำตามสัญญา ให้รางวัลงามและตั้งดาเนียล ให้ดำรงในราชสำนัก แล้วดาเนียลก็ทูลขอกษัตริย์ว่าขอเพื่อนๆ คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก  มาช่วยทำงานด้วย กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็แต่งตั้งดาเนียลเป็นเหมือนกับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ แล้วมีเพื่อนๆ อีก 3 คน ดูแลปริมณฑลต่างๆ

ดาเนียลกับเพื่อน 3 คน เป็นชาวยิว ศัตรูร้ายกาจแล้ว พระเจ้ายกขึ้นมา มีหน้าตาดี ได้รับเกียรติได้เรียนรู้ในพระราชวัง สำนักของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือบาบิโลน จนได้ดิบได้ดี จนได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น จึงถูกเสนาบดีอื่นๆ อิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา มีการทูลเท็จ พยายามเลื่อยขา บางคนอาจจะเป็นอาจารย์ของดาเนียลและเพื่อนๆ ตอนสมัยเริ่มเรียนใหม่ๆ ก็ได้ ท่านลองคิดดูนะว่าชีวิตของดาเนียลกับเพื่อนๆ ทั้ง 3 คนในราชสำนัก คงต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา จะทำอะไรต้องมีแผนการ ตลอดเวลา เพราะมีแต่ปัญหาการเมืองทั้งนั้น ดาเนียลและเพื่อน 3 คน ต้องพึ่งพาในพระเจ้า วางใจในพระเจ้า และขณะเดียวกัน แน่นอนเขาจะต้องถูกจ้องจับผิด  ถูกจ้องใส่ร้าย ถูกจ้องทำร้ายอย่างแน่นอน

คราวนี้มาดูของจริง ดาเนียล 3:8-12 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,600 ปีที่ผ่านมา

ดาเนียล 3:8-12 “8 ในครั้งนั้น มีโหราจารย์บางคนมาทูลฟ้องกษัตริย์เรื่องชาวยิว 9 พวกเขา  มาทูลเนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 10 ฝ่าพระบาททรงประกาศพระราชกฤษฎีกาว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด  ให้หมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำ 11 และผู้ใดที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที 12 แต่มีชาวยิวบางคน คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ที่ฝ่าพระบาททรงแต่งตั้งให้ดูแลมณฑลบาบิโลนนั้น ไม่ยอมทำตามพระบัญชา เขาเหล่านั้น ไม่กราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ ของฝ่าพระบาท และไม่ยอมนมัสการเทวรูปทองคำ ที่ฝ่าพระบาททรงสร้างขึ้น”

 

ในโลกนี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย คนมีอำนาจ ก็กลัวว่าจะเสียอำนาจ คนที่ทำงานร่วมกัน เขาสูงกว่าก็พยายามที่จะไปเลื่อยขาเขา  มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกคงจะชิน มาอีกแล้ว

“พระองค์เจ้าข้า เที่ยวนี้จะโปรโมทอะไรอีกล่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก”

ท่านลองนึกภาพ บางคนก็กำลังคิดใช่ไหมว่าทำไมฟ้องแค่ 3 คน แล้วดาเนียลหายไปไหน? ตอนที่กษัตริย์แต่งตั้งตำแหน่งนี้ ให้แต่งตั้งชัดรัด เมชาค อาเบคเนโก ไปเป็นผู้บริหารที่มณฑลบาบิโลน มณฑลเหมือนต่างจังหวัด ข้างนอกเมือง แต่สำหรับดาเนียล ได้รับการดำรงตำแหน่งในราชสำนัก เหมือนผู้สำเร็จราชการ อยู่ในเมือง และเทวรูปทองคำ ที่ต้องก้มลงกราบ เมื่อมีเสียงดนตรีเกิดขึ้นนี้  ถูกนำไปตั้งไว้ที่ราบ ชื่อว่าดูรา ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของบาบิโลน ซึ่งอยู่นอกเมือง พูดง่ายๆ คือพระเจ้าเขียนบทนี้ ให้ดาเนียลพัก ฉากนี้เป็นของเพื่อนเกลอ 3 คนล้วนๆ ได้แสดงเต็มๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เมื่อได้ยินจากโหราจารย์ว่าเพื่อนทั้ง 3 คนของดาเนียล ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ก็โกรธมาก

สั่งให้นำตัว 3 คนนี้มาสอบ มาคุยด้วย พูดตรงๆ ก็ยังเกรงใจดาเนียลและเด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้อยู่ เพราะรู้ว่าผู้คนเหล่านี้มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวเขา ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ ทั้งสติปัญญาด้วย ก็เลยให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายกับ 3 เกลอนี้ว่าถ้าได้ยินเสียงดนตรี แล้วก้มกราบนมัสการเทวรูปทองคำของเขา ก็จะปล่อยตัว แต่ถ้ายังขัดขืน ขัดคำสั่ง ไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟที่ร้อนแรง เผาทั้งเป็น ดาเนียล 3:13-15 ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ดาเนียล 3:13-15 “13 เนบูคัดเนสซาร์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้นำตัวชัดรัค   เมชาค และอาเบดเนโกมาเข้าเฝ้า 14 แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จริงหรือที่พวกเจ้าไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของเรา หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่เราสร้างขึ้น 15 บัดนี้  หากพวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิดประโคมขึ้นแล้ว ถ้าพวกเจ้าพร้อมที่จะหมอบกราบนมัสการเทวรูปที่เราสร้างขึ้นก็ดี แต่หากพวกเจ้าไม่นมัสการจะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

 

นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง จองหองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันอย่างถูกต้องแม่นยำ เนบูคัดเนสซาร์ถึงกับเข่าอ่อน ตรัสว่า …

“พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชันย์ และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้”

ยกย่องพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าพระทั้งมวล ตอนกำลังกลัว มาถึงตอนนี้ หลังจากที่ได้สร้างเทวรูปทองคำใหญ่มหึมา มีคนป้อยอมากมายว่าพระองค์เก่ง พระองค์ยอดเยี่ยม เป็นจอมราชันย์ เป็นผู้พิชิต เยอะแยะไปหมด ก็ลืมตัว คงประมาณว่าเราได้แก้เคล็ดแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว ทำให้เกิดความเย่อหยิ่งขึ้น ทุกวันได้ออกมาเห็นเทวรูปที่สร้างขึ้นมาเบ้อเริ่มเทิ่ม ก็รู้สึกภูมิใจว่าเป็นสีทองทั้งหมด มันเป็นของเรา เป็นบาบิโลน ไม่มีใครมาล้มล้างได้ มันจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไป ราชวงศ์ของเรา ฮึกเหิม ลืมนิมิตที่พระเจ้าได้ประทานให้ครั้งที่แล้ว

ดูข้อ 15 ตรงท้ายๆ บอกว่า …

“แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

เมื่อไม่นานมานี้บอกว่า “พระเจ้าของเจ้าใหญ่ที่สุดแล้ว”

แต่ตอนนี้บอก “พระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

เขากำลังสบประมาทพระเจ้าของดาเนียลและเพื่อนทั้งสามคนนี้ เขาลืมประโยคแรกในดาเนียล บทที่ 2 ที่บอกว่า …

“ท่าน คือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าได้ให้ท่านเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ให้ปกครองประเทศอิสราเอลและประเทศทั้งมวล พระเจ้าได้ให้ท่าน”

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ความเย่อหยิ่ง นำหน้าความพินาศ”

ความเย่อหยิ่ง ความจองหองนำหน้าความพินาศ คนเราจะเย่อหยิ่งจองหองได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จ คนไม่ประสบความสำเร็จ จะไม่มีทางเย่อหยิ่ง เพราะไม่มีโอกาสจะหยิ่ง แต่พอมีอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันจะเริ่มหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเอง เรารู้สึก เราช่วยตัวเองได้ เราอยู่คนเดียวก็ได้ เราไม่ต้องพึ่งใครก็ได้ นั่นแหละคือหยิ่ง บางครั้งเราคิดว่า …

“ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็ได้ ฉันพอแล้ว ฉันก็ทำดีของฉันไปเรื่อยๆ ก็โอเคแล้ว”

ในทางพระเจ้า เขาเรียกว่าความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่งเหมือนกัน และความเย่อหยิ่งนี้นำหน้าความพินาศ คือจะไม่ได้รับสิ่งที่ดี ที่เตรียมไว้ให้กับเขา ชีวิตเราก็เหมือนกัน หลายครั้ง ตอนมารู้จักพระเจ้าปีแรก รักพระเจ้ามาก พระเจ้าช่วยตรงนั้น พระเจ้าช่วยตรงนี้ โรคก็ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ดี พอเลยมาสักระยะหนึ่ง ลืมพระเจ้าแล้ว อะไรๆ ก็ตัวฉันหมด ทุกอย่างก็ตัวฉันหมด ลืมพระเจ้าไป ทิ้งพระเจ้าไป

“เอะอะอะไรก็ฉันเอง ฉันเป็นคนทำ ฉันดีเอง ทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ได้ เพราะฉันฉลาด เพราะฉันทำงานเก่ง ขยันหมั่นเพียร อดทน เพราะฉันทั้งหมด”

ลืมพระเจ้าไป นี่ก็คือนำหน้าการพินาศนั่นเอง

นี่คือสิ่งที่สามารถเตือนชีวิตเราได้ด้วย อย่าทำเหมือนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

กลับมาที่เพื่อนของดาเนียล ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร?

“ถ้าท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อพระเยซู เราจะให้ท่านรอด จะไม่ฆ่าท่าน แต่ถ้าท่านบอกว่าท่านยังเคารพพระเยซูอยู่ ยังเชื่อพระเยซูอยู่ เราจะฆ่า ตัดคอท่านเลย”

ท่านจะตอบว่าอย่างไร?   ในปัจจุบัน  เกิดเหตุอย่างนี้จริงๆ แถวตะวันออกกลาง   จับมิชชั่นนารีหรืออาจจะไม่ใช่ เป็นคนงานธรรมดา แล้วก็บังคับ มีอย่างนี้จริงๆ สมัยโรมันเรืองอำนาจ หลายคนถูกทรมาน เพราะอย่างนี้ ถ้าปฏิเสธพระเยซูก็จะไม่เผาไฟ แต่ไม่ปฏิเสธ ก็จะถูกเผา ย่างบนไม้ แล้วก็เอาฟืนเผาทั้งเป็นเลย นี่ก็ลักษณะเดียวกัน  เรามาดูดาเนียล 3:16-18

ดาเนียล 3:16-18 “16 ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระบาททั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องทูลแก้ต่างให้ตนเองต่อฝ่าพระบาทในเรื่องนี้ 17 หากข้าพระบาทถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าที่ข้าพระบาททั้งหลายปรนนิบัตินั้น จะทรงกอบกู้ และทรงช่วยข้าพระบาททั้งหลาย ให้พ้นจากเงื้อมพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทได้ 18 แต่ถึงแม้ พระองค์ไม่ทรงช่วย ข้าแต่กษัตริย์ ก็ขอฝ่าพระบาททรงทราบเถิดว่าข้าพระบาทจะไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของฝ่าพระบาท หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่ทรงตั้งขึ้นเป็นอันขาด”

 

ผมจะเน้นตรงนี้ให้ท่านดูว่าภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ 3 คนนี้ตอบว่า …

“พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ พระองค์สามารถช่วย แล้วพระองค์ปรารถนา ที่จะช่วยอยู่แล้ว ให้ข้าพระบาทรอดจากเตาไฟ แต่ถึงแม้พระองค์ไม่สามารถ”

หมายถึงถ้าพระองค์ไม่สามารถช่วย  ก็ยังจะเชื่อพระเจ้าอยู่ดี ก็ไม่กราบรูปเคารพนั้น ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ยังเป็นเด็กหนุ่มเจริญเติบโตมาจากความเชื่อแบบคนยิว เป็นลูกยิวแท้ๆ ความเชื่อในพระเจ้าของเขาเต็มเลย เชื่อแบบไม่หวั่นไหวในทุกอย่าง มีข่าวมาว่ากองทัพของบาบิโลนมาล้อมเมืองแล้ว เขาคงอธิษฐานกันทั่วเมือง แล้วตัวเขาและครอบครัว คงอธิษฐานกันใหญ่

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ พระเจ้าช่วยกู้ได้ พระเจ้าทรงอยู่ด้วยในยามยากลำบาก พระองค์เป็นพระเจ้านิรันดร์ พระองค์จะไม่ทิ้งประชากรของพระองค์”

ขณะที่เขากำลังตื่นเต้น อธิษฐาน วางใจในพระเจ้า เขาก็ได้ยินเสียงโครม ศัตรูพังประตูที่เขาอยู่ด้วยกัน เข้ามาถึงภายใน อาจจะฆ่าหลายคนไป  แล้วก็ลากเอาตัวเขาและเพื่อนๆ ไปเป็นเชลย ขณะที่ถูกต้อนไปบาบิโลน เขาคงคิดตลอด พระเจ้าที่เขาเชื่อตลอดเวลา เขารู้จักตลอดเวลา ทำไมไม่ช่วยเขา  ชาวยิวจะถูกปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? เขาคงคิดในใจ ก็เพราะพระเจ้าไม่สามารถช่วยได้ ถ้าพระเจ้าช่วยได้ คงช่วยไปแล้ว เพราะเขาเชื่อในพระเจ้า

เขาจึงตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่สามารถช่วยนะ ไม่เป็นไร ฉันก็ยังเชื่อพระเจ้าอยู่”

นี่เขาเรียกว่าความเชื่อแบบไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“ไม่ว่าจะสามารถหรือไม่สามารถ ฉันไม่รู้ ฉันเชื่อในพระองค์ และฉันเชื่อตลอดไป วางใจเลย”

เราถูกสอนมาว่าให้เชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง นี่เขาบอกว่า …

“แม้กระทั่ง ทำไม่ได้บางสิ่ง ฉันก็ยังเชื่ออยู่”

เลยไปอีก เชื่อแบบสุดไปอีก หลายครั้ง เราคิดว่าพระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร?  เราเชื่อแล้ว เชื่อเลย ผมยกตัวอย่างให้ ก็เหมือนชีวิตเราหลายคน หลังจากผมเชื่อพระเจ้ามาปีหนึ่ง คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้า ตอนมาเชื่อที่เป็นมะเร็งอยู่นะ หายเลย คือจะหายหรือไม่หาย เราไม่รู้ แต่อย่างน้อยๆ รู้ว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีอาการอะไรต่างๆ เป็นเวลา 10 ปีเต็มๆ ด้วยความสุขสนุกสนานไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ ไปประกาศ ไปกับผมทุกแห่ง ทุกจังหวัด ขับรถกันไปหลายจังหวัดเลย  เป็นช่วงเวลาที่แม่บอกว่ามีความสุขมากที่สุดเลย รักพระเจ้ามาก คิดดู 60 กว่า 70 เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า จะมาเรียนรู้อะไรอย่างเรามากมายนัก แต่เชื่อเพราะเชื่อแล้ว สิ่งหนึ่งที่คุณย่าบอกไว้ จำแม่นเลยว่า …

“ฉันขอกอดขาพระเจ้า”

ก็เหมือนชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกพูด …

“ใครจะพูดอะไรไม่รู้ ฉันขอกอดขาไว้ก่อน ฉันไม่คิดอะไรมากมาย ไม่สนใจเลยว่าพระเจ้าทำได้หรือไม่ได้”

นี่แหละความเชื่อแบบกอดขาพระเจ้าเอาไว้ พอ 10 ปีผ่านไป อาการมะเร็ง ก็กลับมาใหม่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน เจ็บร่างกายเหมือนกัน แต่ก็กอดขาพระเจ้าไว้แน่น ไม่มีหวั่นไหวเลย แม้แต่นิดเดียว คนหวั่นไหว คือพวกเราต่างหาก ที่อยู่ข้างๆ

ผมเลยคิดว่าความเชื่อต้องเป็นลักษณะเดียวกันอย่างนี้ กอดขาพระเจ้าไว้แน่นๆ หลายคนอาจจะบอกคุณย่า หรือมีหลายคนอาจจะบอก หรือบางคนอาจจะคิด …

“ไหนบอกมาเชื่อพระเจ้า หายจากมะเร็ง”

แต่คุณย่าบอก “ไม่รู้ ฉันกอดขาพระเจ้าไว้แล้ว”

ก็ไปหาหมอตามปกติ ไปโรงพยาบาลตามปกติ แล้วท่านก็จากไปด้วยความสงบ ด้วยความเชื่อที่เต็มสมบูรณ์ครบถ้วน ยิ้มไปเลย ในขณะที่ผู้คนรอบข้าง เป็นไปได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้

ชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ฝึกเอาไว้เลย ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ให้มีความเชื่อแบบนี้

“อะไรเกิดขึ้นก็ได้ ฉันจะกอดขาพระเจ้าไว้ให้แน่นๆ ไม่ว่าพระเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ทำ  ไม่ว่าพระเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่มี ฉันกอดขาพระเจ้าไว้ และเชื่อในพระเจ้า”

บางคนบอกว่ารอให้ท่านเชื่อก่อน พระเจ้าถึงจะทำ ไม่ต้อง ท่านไม่เชื่อเลย พระเจ้าก็ทำได้  เอเมน ท่านอยู่เฉยๆ พระเจ้าก็ทำได้ ต่อให้ไม่เชื่อแถมยังต่อต้านอีก พระเจ้าก็ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บังคับทุกสิ่ง  และครอบครองทุกอย่าง เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ทุกสิ่งบนโลกใบนี้อยู่นั่นเอง เอเมน

ท่านไม่มีสิทธิ์ ท่านจะไปสู้อะไรกับพระเจ้าได้ ถ้าใครยอมเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข ถ้าท่านต่อต้าน ท่านก็ทุกข์ของท่านเอง เหมือนถีบประตักที่พระเยซูบอก ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น  จงรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด และทุกสถานการณ์ ทุกแผนการ แผนการที่พระองค์ทรงกระทำมี 2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ …

  1. เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์ คือถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
  2. เพื่อผลดีสำหรับใครก็ตามที่ยอมเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือใครที่เชื่อในพระองค์

แค่นั้นเอง ไม่ว่าท่านจะเห็นว่าเหตุการณ์นั้นมันร้ายต่อชีวิตของเรา ไม่ดีต่อเรา  ไม่ดีต่อคนที่เรารัก 2 สิ่งเท่านั้นเอง ที่ท่านจำไว้ มันเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิด เพื่อน้ำพระทัยของพระเจ้าจะได้สำเร็จ ถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อเป็นผลดีสำหรับคนๆ นั้น และเป็นผลดีสำหรับใครก็ตามที่รักในพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์ แล้วท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปต่อต้าน ท่านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

ฝากตรงนี้ไว้ว่าถ้าเราขอพระเจ้าทุกวัน ขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เรากอดพระเจ้าไว้แน่น มีความเชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลย บางครั้งหวั่นไหว ไม่รู้ล่ะ หวั่นไหว ฉันก็ยังเชื่ออยู่ ก็เป็นคน มันก็หวั่นไหว ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ก็เป็นคน เขาได้เห็นมา บ้านเมือง ครอบครัวถูกทำลาย พ่อแม่อาจจะถูกฆ่า ตัวเขาถูกลากมาเป็นเชลย เขาเห็นกับตา แล้วจะให้เขาบอกว่าพระเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  เขาบอกไม่ได้ เขาบอก ตอนนั้น พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้ เขาอาจจะคิดอย่างนี้ไง

เพราะฉะนั้น ท่านจะพูดอย่างไร ก็พูด แต่ขอให้ท่านเชื่อในพระเจ้าก็แล้วกัน ท่านอาจจะบอก

“ทำไมลูกฉันไม่หายสักที”

“เพราะพระเจ้าไม่เก่งมั้ง”

ไม่เป็นไร พูดไปเถอะ แต่ขอให้ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ และเชื่อในพระองค์ แต่เรื่องนี้พระองค์อาจจะทำไม่ได้ ก็ได้ พูดอย่างนี้ได้ไหม? ได้

“ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ฉันอดอยากถึงขนาดนี้ ลำบากลำบน เจ๊งมากี่ครั้งแล้ว ไปไหนก็รู้สึกลำบากลำบน มีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น”

“อ๋อ พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้งเรื่องนี้ ตอนนี้ ไม่เป็นไร แต่ฉันเชื่อพระเจ้า ถึงทำไม่ได้ฉันก็เชื่อ แต่ฉันรู้ว่าถ้าพระเจ้าทำได้ พระเจ้าช่วยฉันแน่นอน นี่มันเกิดขึ้น พระเจ้าคงจะทำไม่ได้ ฉันโอเค ขอบคุณพระเจ้า”

ได้หมดทุกอย่าง เห็นไหม? ก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า และวางใจในพระเจ้าสุดๆ แบบนี้ แบบไม่หวั่นไหว และสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้บอกไว้แล้วใช่ไหม? อาณาจักรสุดท้าย อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ หินก้อนนั้น ศิลาก้อนนั้น จะกลายเป็นภูเขาก้อนใหญ่ มหึมา ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายคือผู้เชื่อ คือคริสตจักร วางอยู่บนศิลานี้ ศิลานี้เป็นความรอด เป็นความช่วยเหลือ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของเรา เป็นความแข็งแกร่งของเรา ลมพายุพัดอะไรแรงเท่าไร มันก็จะไม่มีวันล้ม มันจะตั้งยืนอยู่ตลอดไป บนศิลานี้  จงวางใจและเชื่อตรงนั้น แบบนี้ เชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน

 

**********************