คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2021
เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 46
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือลูกา บทที่ 1 พูดถึงพระสัญญาที่พระเจ้ามีอยู่เหนือชีวิตของพวกเรา ที่จะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับพวกเรา เราก็เรียนถึงตอนที่ปุโรหิตเศคาริยาห์เข้าไปถวายเครื่องบูชา ในสถานที่อภิสุทธิสถาน แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้า มาพบเศคาริยาห์ แล้วบอกกับเขาว่านางเอลีซาเบธจะตั้งครรภ์ แต่เศคาริยาห์เกิดความสังสัย …
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? นางเอลีซาเบธอายุเยอะมากเลย จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”
ทูตสวรรค์ก็บอกว่า … “เพราะว่าเจ้าไม่เชื่อ จึงเป็นใบ้”
พอออกจากที่ถวายเครื่องบูชา เศคาริยาห์ก็ไม่สามารถที่จะพูดได้ คนอื่นเขาก็สงสัยว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ก็ยังคงอยู่ในความสงสัยอยู่ แล้วทุกคนก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้เรามาต่อในลูกา 1:24
ลูกา 1:24-25 “24 ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า 25 “พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย”
สมัยก่อนคนที่เป็นหมัน เขาถือว่าเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง ตอนที่กษัตริย์ดาวิดเอาหีบพันธสัญญาเข้าไปที่เมืองดาวิด แล้วก็เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้า มีคาห์ก็ดูหมิ่นดาวิดว่า …
“ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เป็นกษัตริย์ไปแก้ผ้ารำอยู่หน้าถนนได้อย่างไร?”
กษัตริย์ดาวิดบอกว่า … “ทำให้เยอะกว่านี้ ฉันก็จะทำ”
แล้วหลังจากนั้น มีคาห์ก็เป็นหมัน ฉะนั้น การเป็นหมันสมัยก่อน ถือว่าเป็นการถูกสาปแช่ง
หลังจากที่ทูตสวรรค์บอกกับเศคาริยาห์ นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์จริงๆ นางก็ไปซ่อนตัว แล้วนางเอลีซาเบธบอกว่าพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ คือทำอย่างนี้ ทำให้ความอับอายขายหน้าที่เขาเคยมี ได้หมดสิ้นไป เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์
ลูกา 1:26-27 “26 เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่ง ในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธ 27 มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์”
พระเจ้าได้กำหนด หรือเตรียมการไว้สำหรับมนุษยชาติ ตั้งแต่วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ คนอิสราเอล ก็รอคอยพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็เตรียมมาตลอด ตั้งแต่ยุคสมัยอาดัม เอวา มาเรื่อยๆ ที่บอกว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะมาเกิด เพื่อชนชาติอิสราเอล ตอนนั้นมีแต่ชนชาติอิสราเอล ยังไม่มาถึงคนต่างชาติอย่างพวกเรา แล้วคนอิสราเอลก็ตั้งตารอคอยว่า …
“เมื่อไรน๊า พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์มาให้”
คนแล้วคนเล่าๆ ก็ถูกส่งมา ผู้เผยพระวจนะต่างๆ ก็ถูกส่งมา คนอิสราเอลก็คาดการณ์ว่าคนนี้น่าจะใช่ คนนั้นน่าจะใช่ แต่ว่าแต่ละคนก็ตายจากไป ตายแล้วตายเลยนะ ก็ยังไม่ใช่ จนถึงวันหนึ่ง ในยุค 2,000 ปีที่แล้ว ตามกำหนดเวลาของพระเจ้า พระเจ้าเตรียมการยาวนานมาก ให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตามกำหนดที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดในวงศ์วานของดาวิด จนถึงเวลานี้ พระเจ้าก็บอกว่าสมควรแก่เวลาแล้ว พระเจ้าก็มาหาหญิงพรหมจารี ซึ่งพระเจ้าบอกไว้แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 3 ว่า …
“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก”
นี่คือคำพยากรณ์ ที่พระเจ้าบอกกับงูว่า … “เพราะเหตุเจ้ามาล่อลวงให้อาดัม-เอวาหลงไป ฉะนั้น ในอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะประทานพงศ์พันธุ์ของหญิง มาเหยียบหัวของเจ้าให้แหลกไปเลย”
ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ ก็ได้เกิดผลสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าก็มาหาหญิงพรหมจารี ซึ่งโดยปกติ เด็กที่จะเกิดมา ก็ต้องเกิดจากคุณพ่อ-คุณแม่ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อสายพวกนี้ คือเชื้อบาปทั้งนั้นเลย ก็คือยังไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถคลอดออกมา บริสุทธิ์สะอาดหมดจด คือทุกคนเป็นคนบาปหมดเลย
พระเจ้าจึงเลือกหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ ฉะนั้น ครรภ์ของหญิงพรหมจารีคนนี้ ก็คือบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเจือปนเชื้อบาปใดๆ เลย ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรรแล้ว ผู้หญิงคนนี้ชื่อนางมารีย์ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเตรียมการไว้อย่างดี ในขณะที่พระเจ้าให้ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ เพราะรู้ว่านางมารีย์มีความเชื่อ ที่จะยอมทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอก ต้องมีการทำงานร่วมกัน เราจะเห็นภาพที่พระเจ้าทำมาตลอด พระเจ้าไม่เคยบีบบังคับว่า …
“นางมารีย์ต้องเชื่อนะ ต้องทำตามนี้นะ ฉันเลือกเธอแล้ว เธอปฏิเสธไม่ได้”
ไม่ … ไม่ได้เป็นแบบนั้น พระเจ้ารู้อยู่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าถ้าพระองค์มาบอกกับนางมารีย์ … นางมารีย์จะเต็มอกเต็มใจ ที่จะเป็นเครื่องมือ เครื่องไม้ของพระองค์ เต็มใจที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ
ลูกา 1:28 “ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า “เธอผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ”
มาถึงทูตสวรรค์ก็คุยกับมารีย์เลย บอกว่า …
“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปรานมากเลย พระเจ้าเลือกไว้ เฉพาะเจาะจงที่จะให้ทำงานนี้ มันเป็นงานใหญ่มากเลย ที่จะให้พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด มากำเนิดในครรภ์ของเธอ”
บอกกับมารีย์อีกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ สมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าไม่ได้อยู่ในมนุษย์ตลอดเวลา ก็คือเป็นจังหวะ ที่พระเจ้าจะใช้งานใคร? พระองค์ก็จะสถิตอยู่กับคนนั้น เหมือนตอนพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าจะเป็นโยชูวา โมเสส อาโรน ดาวิด พระเจ้าจะสถิตอยู่กับคนๆ นั้น เมื่อพระองค์ต้องการใช้งานเขา ฉะนั้น ณ เวลานี้ พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับนางมารีย์
ลูกา 1:29 “ฝ่ายมารีย์ก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่า คำทักทายนั้นจะหมายว่าอะไร”
อยู่ดีๆ มีทูตสวรรค์มาคุยกับเรา …
“เธอเป็นคนที่พระเจ้าโปรดปราน”
ต่อให้เชื่อพระเจ้าขนาดไหน ก็มีความตกใจ นางมารีย์ก็เหมือนกัน เป็นมนุษย์ทั่วไป พอเจอคำทักทายแบบนี้ ตกใจเหมือนกัน แล้วก็คิดในใจ …
“มันคืออะไร? ทูตสวรรค์หมายความว่าอะไร? อยู่ดีๆ มาพูดกับฉันแบบนี้ทำไม?” อะไรอย่างนี้
ลูกา 1:30-31 “30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว 31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู”
ทูตสวรรค์บอกเสร็จสรรพเลย นางมารีย์ไม่ต้องมาคิดตั้งชื่อ ถ้าลูกออกมาจะชื่ออะไร? ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่า …
“ไม่ต้องกลัวนะ นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว และเห็นว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสม สมควรมาก ที่จะให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในครรภ์ของเธอ เมื่อเธอตั้งครรภ์ และคลอดบุตร บุตรคนนี้ให้ตั้งชื่อเลยว่าเยซู”
คำว่า “เยซู” แปลว่า “พระผู้ช่วยให้รอด” และทุกวันนี้ที่เราเรียกว่า “พระเยซูคริสต์” คำว่า “คริสต์” คือ “ผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้”
ในสมัยอดีตมีคนชื่อเยซูเยอะแยะมากมาย ก็เหมือนกับเราตั้งชื่อธรรมดา อย่างโยชูวา ก็แปลว่าผู้ช่วยให้รอด อย่างเราตั้งชื่อสมชาย, สมหญิง อะไรต่างๆ มีชื่อเหมือนกัน บางคนทั้งชื่อและนามสกุลเหมือนกันด้วย แต่เป็นคนละคน ฉะนั้น เราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราจะเห็นว่ามีคนชื่อเยซูเหมือนกันเยอะ แต่ถ้าเป็นพระเยซู ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เขาจะเติมคำว่า “คริสต์” พระเยซูคริสต์
ลูกา 1:32 “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน”
เป็นคำพยากรณ์ที่พระเจ้าได้บอกให้ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่าคนนี้จะเป็นใหญ่ ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งเราก็รับรู้ในเรื่องราวเหล่านี้มามากพอสมควรว่าพระเยซูคริสต์ ถูกพระเจ้าส่งมา เพื่อที่จะทำการงานใหญ่ให้กับมนุษยชาติ คือมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อชดใช้ความบาปของมนุษยชาติ เพื่อทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้
นี่คืองานที่พระเยซูถูกมอบหมายมา พระคัมภีร์บอกว่า … “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่” … “ใหญ่” ในที่นี้ที่พระเจ้าพูดถึง คือในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูถูกยกขึ้นสูงสุดเลย นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และฤทธานุภาพทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอก ทั้งบนสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก พระเจ้าได้ยกให้กับพระเยซูแล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ประกอบภารกิจที่พระเจ้าได้มอบหมาย สำเร็จ
ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่กับสาวก 40 วัน พอวันที่พระเยซูถูกรับขึ้นไป พระเยซูก็บอกกับสาวกของพระองค์ว่าฤทธานุภาพทั้งหมด พระเจ้ามอบให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว เหตุฉะนั้น ให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ คือประกาศข่าวดี เรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่เราประกาศจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีผ่านไป เรายังประกาศเรื่องเดิม … เรื่องเดิมที่เป็นฤทธานุภาพ เป็นเรื่องเดิมที่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่ใครได้ยินได้ฟัง เรื่องนี้ถูกดิ่งลงไปในวิญญาณของคนๆ นั้น แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้น ก็ได้รับความรอด ได้รับการเปลี่ยนแปลง มีวิญญาณใหม่ ได้รับการย้ายขั้ว จากความมืดมาเป็นความสว่าง จากมือของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาทรงกำหนดไว้ สำหรับมนุษยชาติ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ถูกส่งมา เพื่อการงานนี้ โดยเฉพาะ ไม่ต้องมาทำอะไรอย่างอื่น นอกจากมาตายแทนเรา บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเท่านั้น
ฉะนั้น สิ่งที่ทูตสวรรค์พูดกับนางมารีย์ ก็คือในอนาคตข้างหน้า พระเยซูคริสต์จะเป็นใหญ่ ใหญ่มาก ใหญ่ในลักษณะในโลกวิญญาณ ไม่ได้ใหญ่ในโลกใบนี้ ถ้าพูดถึงความใหญ่ในโลกใบนี้ ก็คงไม่ใช่ เพราะว่าคนอิสราเอล ก็คาดหวังว่าพระเยซูคริสต์จะเป็นใหญ่ในโลกใบนี้ มาช่วยสู้รบปรบมือ ทำให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นทาสของโรมมัน แต่มันไม่ใช่ พระเจ้ามีแผนการที่เหนือกว่านั้น คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครคาดได้เลยว่า …
“พระเยซูตาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร? เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร?”
คือไม่มีใครสามารถรับรู้ในเรื่องราวนี้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงปิดซ่อนไว้ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงปิดซ่อนแผนการนี้ไว้ สำหรับผีมารซาตาน แล้วพระคัมภีร์ยังเขียนอีกว่าถ้ามารรู้ มารก็คงไม่จับพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน เพราะว่าการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน เท่ากับการเหยียบหัวมารให้แหลกเลย แล้วแหลกละเอียด แบบสมบูรณ์แบบเลย คือตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3 ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูตรัสคำว่า …
“สำเร็จแล้ว”
ก็คือทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ถูกมอบหมายให้มาทำบนโลกใบนี้ สำเร็จครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วก็ทำเที่ยวเดียว พระเยซูไม่ต้องมาเกิดอีก ตายอีก เป็นอีก คือทำครั้งเดียวจบเลย สำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ก็ฉลองเรื่องนี้แหละ เมื่อเดือนที่แล้วเราฉลองคริสตมาส … คริสตมาส เรามาฉลองวันที่พระเยซูมาประสูติบนโลกใบนี้ ทำไมต้องเฉลิมฉลอง เพราะว่าเป็นพระสัญญา ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอด มาให้กับพวกเรา ถ้าพระเยซูไม่มาเกิด มนุษยชาติก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ ถ้าพระเยซูเกิดเฉยๆ โดยที่ไม่มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา ก็ไม่สามารถช่วยเราได้อีก หรือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย ก็ช่วยเราไม่ได้
ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ที่เราประกาศมา 2,000 ปีแล้ว มีแค่ 5 ประโยคเท่านั้นเอง ต่อให้เราจะวนเวียนเรียนประวัติศาสตร์อะไร? พี่น้องจำแค่ 5 ประโยคเท่านั้น คือ …
– พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
– มาเกิดเป็นมนุษย์
– มาตายแทนเราบนไม้กางเขน
– เป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่ 3
– ช่วยพวกเราทุกคนให้รอดพ้นจากมือมาร เข้ามาสู่พระหัตถ์ของพระเจ้า ช่วยเราจากนรก เข้าไปสู่สวรรค์
ข่าวประเสริฐมีแค่นี้เอง ใครก็ตามที่เชื่อตามนี้ เขาก็ได้รับความรอด เหมือนกับทุกวันนี้ ที่พวกเราเชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ยอมเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เข้ามาในใจของเรา แต่ละคนก็ต้อนรับ ในเวลาไม่เท่ากัน
บางคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เด็ก เขาก็เชื่อมายาวนาน บางคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ อายุเยอะแล้ว แต่ว่าความรอดเท่ากัน คือถ้าเราเชื่อพระเจ้าตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เราก็ได้รับความรอดเหมือนกัน รอดพ้นจากความบาป รอดพ้นจากการต้องเข้าไปใช้หนี้ในนรกนิรันดร์กาล สามารถคืนดีกับพระเจ้า สามารถไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล กับคนที่มาเชื่อพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว 60, 70, 80 แล้ว ก็ได้เท่ากัน กับคนที่อายุ 5 ขวบมาเชื่อ แล้วคนที่อายุ 5 ขวบมาเชื่อ ก็อาจจะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สัก 50 ปี 60 ปี 70 ปี แต่ผลที่เขาได้รับกับคนที่เขามาเชื่อตอน 70, 80 เชื่อปุ๊บ จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย มีผลเท่ากัน คือได้รับความรอดเท่ากัน ไม่มีใครได้เยอะกว่าใคร ไม่มีใครได้รางวัลมากกว่าใคร?
นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ ความรอด เป็นของขวัญมาจากพระเจ้า ที่พระองค์ให้เราฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องเสียตังค์ หรือควักกระเป๋าตังค์มา ซื้อความรอดได้ ไม่มี แต่ว่ามีอย่างเดียวเท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับความรอดนี้เข้ามา เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อเรา เรียบร้อยไปแล้ว เข้ามาในชีวิตของเรา แล้วพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนข้างในวิญญาณของเรา ให้เรามีความสามารถเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้า
เหมือนสมัยก่อน ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร? พี่น้องทุกคนต้องมีประสบการณ์ตรงนี้แน่ๆ แค่รู้ว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ มันอยู่ไม่ได้แล้ว เราต้องเชื่อพระเจ้าให้ได้เลย วันนี้ไม่เชื่อพระเจ้า มันไม่ได้แล้ว เราก็เปิดใจบอกกับพระเจ้าว่า …
“ต้องการพระองค์นะ อยากให้พระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก”
แล้วต้อนรับพระองค์เข้ามา แล้วจากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ค่อยๆ สอนเราผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า ผ่านทางการมาโบสถ์ ผ่านทางการที่เราฟังเทศนา ผ่านทางการนมัสการพระเจ้า เพราะการนมัสการพระเจ้า ทุกบทเพลง เขียนมาจากถ้อยคำของพระเจ้าทั้งนั้น ผ่านการเป็นพยานของผู้คนรอบข้าง ที่เขามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือของพระเจ้า และผ่านทางตัวเราเองด้วย ที่เรามีประสบการณ์กับพระเจ้าในชีวิตประจำวัน แล้วความเชื่อมันค่อยๆ ผุดขึ้น ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น ทำให้เรามีความมั่นใจในพระเจ้ามากขึ้น
ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า หลายๆ ชีวิต อาจจะมาเพราะสาเหตุเยอะแยะมากมาย ดิฉันเชื่อพระเจ้า เดือนหน้าครบ 35 ปีแล้ว วันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ ชีวิตของคนอื่นอาจจะโลดโผน แต่ชีวิตการเชื่อพระเจ้าของดิฉันไม่โลดโผน ดิฉันไม่เคยเห็นหมายสำคัญ ไม่เคยมีการอัศจรรย์ในชีวิตของดิฉัน ไม่เคยหวือหวา วิลิศมาหราที่พระเจ้าจะสำแดงให้ดิฉันเห็นว่าพระเจ้าอยู่ในดิฉันจริงๆ ไม่มี แต่สิ่งที่ดิฉันมี พระเจ้าเมตตาให้จากข้างใน คือดิฉันเชื่อ คือเชื่อแบบไม่สงสัย อันนี้เชื่อว่าไม่ใช่ความดีงามของดิฉันหรือของใคร? แต่ว่าเป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า ที่ใส่เข้ามาในวิญญาณ ทำให้เรามีความสามารถเชื่อ เชื่อแบบพระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าอย่างนั้น แล้วก็ไม่มีการสงสัยในพระองค์เลย อาจจะไม่ได้เป็นคนที่ชอบตั้งคำถามกับพระเจ้าว่า …
“ทำไมอย่างโน้น? ทำไมอย่างนี้?”
พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วตลอดชีวิตที่เดินกับพระเจ้า ก็ทำส่วนที่เราทำได้ เท่าที่กำลังพระเจ้าให้เราสามารถทำได้ ผ่านมา 35 ปี แต่ประสบการณ์ที่ดิฉันเห็น คือชีวิตตัวเองเปลี่ยน ชีวิตของครอบครัวเปลี่ยน พระเจ้าทรงดูแลตามพระสัญญาของพระองค์ทรงดูแลลูกๆ หลานๆ ของดิฉันมาตลอด
พี่น้องอาจจะคิดว่าคนที่มายืนเทศนา หรือคนที่มาสอนพระคัมภีร์ เขาไม่ต้องการฟังใครแล้ว ไม่ต้องการการเสริมกำลังจากพระเจ้า ผิดเลยนะ การเสริมกำลังจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้รับใช้ของพระองค์ เราไม่สามารถพึ่งความสามารถ หรือความเคยชิน …
“เราเคยชินนะ พอถึงเวลา ฉันก็มาสอน ไม่เห็นมีอะไรเลย สอนเรื่องเดิม”
ไม่ใช่ความเคยชิน อย่างที่พระเจ้าบอก … “ความรักมั่นคงของพระเจ้า ใหม่ทุกเวลาเช้า” … ถ้อยคำเดิมที่ได้พูด มันก็มีประสบการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวคนพูด แล้วก็ประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้ฟังด้วย ดิฉันเชื่อว่าถ้อยคำของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช ที่ไม่ธรรมดา ที่เราพูดอาจจะเหมือนธรรมดา แต่ยังคงเชื่อว่าพระเจ้าจะทำงานผ่านถ้อยคำนี้ ไปถึงแต่ละคนในจังหวะต่างกัน มีผู้ที่ฟังหลากหลายมาก ในประสบการณ์ที่หลากหลาย หรือในการเจอปัญหาที่หลากหลาย ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าพระเจ้าสามารถคุยกับทุกคน ตามความต้องการของเขา นี่คือความเชื่อส่วนตัวของดิฉันนะ คุยกับทุกคน ตามความต้องการของเขา เมื่อเขาได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า และฤทธิ์เดชนี้แหละ จะเข้าไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข พัฒนา เพิ่มพูน ความเชื่อในการเดินกับพระเจ้ามากขึ้น ประสบการณ์ทุกวันๆ ที่เรามองย้อนกลับไป เราผ่านมาได้อย่างไร? พระเจ้าช่วยเราถึงขนาดนี้ โดยที่หลายๆ ครั้ง บางเรื่อง เราแทบจะไม่ได้ขอด้วยซ้ำไป บางเรื่องเราก็ขอนะ ขอแล้วขออีก ก็ไม่เห็นมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา
เชื่อว่าพี่น้องทุกคนจะมีประสบการณ์ แล้วประสบการณ์ตรงนี้แหละ ทำให้เราเห็นพระคุณของพระเจ้าเพิ่มขึ้นทุกวันๆ พระคุณที่เกินความรู้ ความเข้าใจของเรา พระคุณที่พระองค์ทรงตรัสกับเราว่าพระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล ทรงสถิตอยู่ในใจ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพ่อของเรา เป็นสามีของเรา พระองค์จะดูแลทุกย่างก้าวในชีวิตของเรา และทุกประสบการณ์ที่เราผ่านมา โลดโผนบ้าง ไม่โลดโผนบ้าง ของแต่ละคนที่ได้เดินกับพระเจ้า ดิฉันก็เชื่อว่าพระองค์มีคำตอบให้กับทุกๆ คน แล้วให้เราสามารถนิ่ง ในขณะที่เราเจอพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งในขณะนี้ จากประสบการณ์ที่เรามีกับพระเจ้า ทำให้เราสามารถนิ่ง ไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนไม่มีความรู้สึก เฉยๆ ไปทุกเรื่อง แต่มันเป็นประสบการณ์ที่เรารู้สึกข้างในเรามีความมั่นใจในพระเจ้าที่เราเชื่อ มั่นใจในการนำของพระองค์ ที่พระองค์บอกจะจูงมือเราเดิน พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา แล้วพระองค์บอกไม่ว่าเราจะผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย พระองค์ไม่ปล่อยมือเรา พระองค์จะพาเราผ่านไปทุกวัน ตรงนี้แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถมั่นใจในพระเจ้า เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน
จากข่าวสารทุกวันนี้ ถ้าพี่น้องเสพเยอะๆ วิตกจริตนะ บางทีคิดอะไรไม่รู้ มันไปไกล ทำให้เรากลัวไปทุกๆ ด้านได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้ง ไม่เสพข่าวเลย สามารถเสพได้ เพื่อให้เรารับรู้ว่า ควรจะระมัดระวังตัวเองอย่างไร? แค่ไหนที่เราจะสามารถทำได้ แต่ไม่ได้เสพ เพราะทำให้เรากลัวไปหมดเลย ซ้ายขวาหน้าหลัง ทำอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงดูแลย่างเท้า ชีวิตของเรา อย่างที่บอกพระองค์ทรงดูแล ในขณะเดียวกัน เราต้องทำส่วนของเราด้วย ไม่ใช่ว่าเราเป็นคริสเตียน แล้วเรานึกอยากจะทำอะไร เราก็ทำ เขามีมาตรการ คุมความเข้ม …
“เราไม่คุม เพราะฉันมีความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะทรงดูแล ปกป้อง คุ้มครอง ให้ฉันปลอดภัย”
ในหนังสือมาระโกบอกว่า …
“มีคนเชื่อที่ไหน หมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น เขาจะวางมือคนเจ็บคนป่วย คนเหล่านั้นจะหายโรค เขาจะกินยาพิษอย่างใด ก็จะไม่เป็นอันตราย”
หลายคนก็เอาสิ ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนี้ … “เราลองไปกินยาพิษ ไม่ตายหรอก เพราะพระเจ้าบอกแล้วว่าอย่างไรก็ไม่อันตราย ตายนะพี่น้อง ถ้าเราท้าทายพระเจ้า
ถ้อยคำเหล่านี้ พระเจ้าพูดไว้ เพื่อให้รับรู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ หลายครั้งเราอาจจะเจอพิษอะไรเยอะแยะมากมาย เราออกไปข้างนอก เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่พระเจ้าจะป้องกันเรา เพราะเราไม่ได้จงใจ แต่ถ้าเราจงใจที่จะทำ รับผลแน่ อย่าคิดว่าเราไม่รับผล จงใจที่จะเข้าไปสู่คนเยอะๆ โดยที่หน้ากากอนามัยฉันก็ไม่ใส่ เดินเข้าไปเลย โอกาสติดโควิดได้เหมือนกันนะ อันนี้ พี่น้องก็ต้องรับรู้ตรงนี้
ลูกา 1:33 “และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย”
“แผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย” เล็งถึงในโลกวิญญาณ คือนิรันดร์กาล แล้วที่เราเรียนรู้กันมาตลอด ก็คือ ณ เวลานี้ ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณของเรา ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากวิญญาณเดิม คือวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรมของพระเจ้า
ดังนั้น วิญญาณของพวกเรา ณ เวลานี้ คืออยู่นิรันดร์ในสวรรค์สถาน เมื่อก่อนอยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่นิรันดร์ในนรก เพราะว่าเราเป็นคนบาป แต่ ณ เวลานี้ เราย้ายขั้วมาแล้ว จากความมืดมาสู่ความสว่าง จากความบาปมาสู่ความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะเราต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน คือรับเอาของขวัญเข้ามา ฉะนั้น วิญญาณเราก็จะอยู่นิรันดร์ไม่สิ้นสุด ตรงนี้ก็คือในฝั่งที่เป็นความสว่าง ได้ไปอยู่ที่สวรรค์นิรันดร์กาล อันนี้แหละ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับมนุษยชาติ ที่จำเป็นจะต้องรู้ว่าพระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว แค่เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว เข้ามาเป็นของส่วนตัวของเรา
เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่หลายๆ คนในคริสตจักร หรือหลายๆ คนทั่วโลก ที่อยู่ที่คริสตจักรไหนก็ตาม ที่เขาเปิดใจ รับเอาของขวัญนี้ แล้วคนเหล่านี้จะมีหลักประกัน มีความมั่นใจ แน่นอนว่าขณะที่เราอยู่บนโลกนี้ เราสามารถพูดเหมือนอาจารย์เปาโลได้ว่าอยู่เพื่อรับใช้ ตายเมื่อไร ก็ได้กำไร … กำไรตรงที่ว่าเราไม่ต้องมาเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ขณะที่ตอนนี้ เรามีชีวิตอยู่ เราก็ยังไม่รู้ว่าเราต้องเผชิญอะไรอีกเยอะแยะมากมาย โควิดจะจบเมื่อไร? อีกกี่ปีข้างหน้า หรือเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิมไหม? เราก็ต้องเผชิญกับมัน ไปด้วยกัน แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าเห็นว่าสมควรแล้ว เราทำงานเยอะแล้ว กลับบ้านได้แล้ว มีความสุขนะ เราก็ทิ้งร่างกายนี้ ลมหายใจออกจากร่าง เราก็ยังคงอยู่ที่เดิม เราต้องย้ำตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่า ณ เวลานี้ วิญญาณของเราผู้เชื่อ อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ มิติมันอาจจะเปลี่ยนนิดหนึ่ง
พี่น้องอาจจะรู้สึกทำไมพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำขนาดนี้เรายังจำไม่ได้ ต้องย้ำเข้าไปบ่อยๆ เพื่อเราจะได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าเมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็เปลี่ยนมิติ อยู่ที่เดิม แค่ไม่ต้องใช้ร่างกายนี้แล้ว ร่างกายนี้ก็ปล่อยให้เปื่อยเน่าไป จบแล้ว เราไปอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า สมบูรณ์ครบถ้วนเลย ถ้าถึงวันนั้น
นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคน ผู้เชื่อทุกคนคาดหวัง รอคอย เชื่อว่าทุกคนรอคอยตรงนี้อยู่นั่นแหละ ดังนั้น เราสามารถพูดเหมือนอาจารย์เปาโลว่า …
“อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร”
ลูกา 1:34 “ฝ่ายมารีย์ทูลทูตสวรรค์นั้นว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่”
อันนี้เป็นความคิดของมนุษย์ทั่วไป จนทุกวันนี้มนุษย์คิดเหมือนกันว่าถ้าผู้หญิงไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายอย่างไรก็ไม่ตั้งท้อง
มารีย์ก็เหมือนกัน ณ เวลานั้น ก็ยังสงสัย เอ๊ะ! ทูตสวรรค์บอกอย่างนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่เลย ยังไม่ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับใครเลย แล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ลูกา 1:35 “ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้นจะได้เรียกว่าวิสุทธิ์ และเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า”
“พระบุตรของพระเจ้า” พระเยซูถูกเรียกว่า “บุตรของมนุษย์” ในขณะเดียวกันเรียกว่า “บุตรของพระเจ้า” เพราะพระเยซูคริสต์ไม่มีเชื้อบาปใดๆ เกิดจากเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์
ลูกา 1:36-37 “36 ดูซิ ถึงนางเอลีซาเบธญาติของเธอชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์มีบุตรเป็นชายด้วย บัดนี้นางนั้นที่คนเขาถือว่าเป็นหญิงหมัน ก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว 37 เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้”
บริบทตรงนี้ พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ยังไง พระองค์ก็ทำได้เสมอ
ลูกา 1:38 “ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” แล้วทูตสวรรค์นั้นจึงจากเธอไป”
เป็นอะไรบางอย่างที่มารีย์ได้สำแดงความเชื่อของเขา คือแค่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร? ยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย จะท้องได้อย่างไร? แล้วทูตสวรรค์อธิบายแค่นั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะพระคุณพระเจ้าที่ใส่ความเข้าใจ เข้ามาในความคิดของมารีย์ แค่นี้เขาก็เอ๋อ! เลย มันยากมาก สำหรับมนุษย์ทั่วไป อาจจะมีคำถามต่ออีกมากมาย มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่มารีย์ไม่สงสัยนะ พอทูตสวรรค์อธิบายให้ฟังปุ๊บว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตร แล้วบุตรคนนี้ เป็นบุตรที่บริสุทธิ์ ไม่มีเชื้อบาปใดๆ เลย แล้วบุตรคนนี้แหละ จะเป็นผู้ที่จะมาช่วยมนุษยชาติให้รอดจากความบาปผิดทั้งปวง ฟังแค่นี้ มารีย์ตอบสนองทันที
เหมือนทุกวันนี้ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้า เราฟังแค่นี้ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ช่วยลบล้างบาปของเรา ทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าได้ ฟังแค่นี้ เราตอบสนอง ด้วยการเชื่อ และต้อนรับสิ่งนี้เข้ามาในชีวิตของเรา ได้รับการเปลี่ยนแปลง ลักษณะเดียวกันเลย และเชื่อว่าตอนที่พระเจ้า ให้เราเปิดใจ ต้อนรับ ยินยอม เพราะว่าพระเจ้าไม่บังคับเรา บางคนได้ยินเรื่องของพระเจ้ามานานมาก เป็น 10 ปี 20 ปี ยังไม่ยินยอม คือไม่เปิดใจ ไม่ต้อนรับ ไม่เอา แต่ตอนที่ยินยอม คือมันสุกงอมแล้ว ไม่ไหวแล้ว พอเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเข้ามาปุ๊บ การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น อย่างที่พระเจ้าบอก มันเป็นขบวนการ ที่พระองค์เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่เรา
เหมือนกัน นางมารีย์แค่ถามเฉยๆ พอทูตสวรรค์ตอบปุ๊บ นางมารีย์ตอบสนองเลย เป็นทาสีของพระเป็นเจ้า คือเป็นทาสของพระองค์ … พระองค์เจ้าข้า พระองค์ว่าอย่างไร? ว่าตามนั้น พร้อมที่จะให้เป็นไปตามคำของท่าน คือตามคำของทูตสวรรค์ หรืออีกนัยหนึ่ง คือตามคำที่พระเจ้าได้ตรัสไว้นั่นเอง ก็คือการตอบสนองถ้อยคำของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับชีวิตของเธอ สำหรับการตอบสนองตรงนี้ มันก็เสี่ยงกับชีวิตของนางมารีย์มากๆ
สมัยก่อน ถ้าผู้หญิงคนไหนตั้งท้อง โดยยังไม่แต่งงาน เขาถือว่าเป็นหญิงแพศยา เขาก็จะจับหญิงนั้นมา แล้วเอาหินขว้างให้ตายเลย ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาประกอบพระราชกิจของพระองค์ มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ก็พยายามหาเรื่องให้พระเยซูมาแก้ต่างทุกสิ่งอย่าง เพื่อที่จะจับผิดพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็ไปจับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่าจับคนนี้ได้ ในระหว่างที่เขากำลังล่วงประเวณี แปลกตรงที่ว่าจับได้ระหว่างที่กำลังล่วงประเวณี ก็คือต้องมีผู้ชายกับผู้หญิงใช่ไหม? มาด้วยกัน แต่ว่าเอาผู้หญิงมาคนเดียว ถามพระเยซูว่ากฎของโมเสส คือถ้าใครล่วงประเวณี ต้องเอาหินขว้างให้ตาย แล้วพระเยซูว่าอย่างไร
กำลังจะจับผิดพระเยซู อยากรู้ว่าพระเยซูจะตอบว่าอย่างไร? ถ้าตอบว่า … “ไม่ต้องทำอะไร?” พระเยซูก็ไม่ได้ทำตามกฎของโมเสส แต่ถ้าบอกว่า … “เอาหินขว้างให้ตาย” ก็คือพยายามที่จะหาเรื่องพระเยซู
ในพระคัมภีร์บอกว่าระหว่างที่พระเยซูฟังคำบอกเล่าของคนกลุ่มนี้ พระเยซูเอานิ้วพระหัตถ์เขียนบนพื้น แล้วจากนั้น พระเยซูก็บอกว่า …
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครคิดว่าตัวเองไม่เคยทำผิดเลย ให้คนนั้นหยิบหินขว้างก่อนเลย”
แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าทุกคนก็ชะงัก ไม่คิดว่าพระเยซูจะมาไม้นี้ เพราะว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่เคยทำผิด มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งทำผิดเยอะ
จากพระคัมภีร์ตรงนี้ ที่พระเยซูบอก เริ่มต้นเลยคนแก่ที่สุด เริ่มถอย จากนั้น ก็ไล่ๆ มา หายไปหมดเลย จนเหลือผู้หญิงคนเดียว
แล้วพระเยซูถามว่า … “หายไปไหนหมดแล้วล่ะ”
ผู้หญิงก็บอก … “หายไปหมดเลย เหลือข้าพระองค์คนเดียว”
แล้วพระเยซูก็บอกว่า … “เราก็ไม่เอาผิดเจ้า แต่ต่อไป อย่าทำอีก”
นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอก พระเยซูไม่ได้เอาผิดผู้หญิงคนนี้ แต่ ณ เวลานั้น ที่พระเยซูพูดกับผู้หญิงคนนี้ พระเยซูยังไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าส่งมา สำเร็จ ก็คือมนุษย์ยังต้องพึ่งตัวเอง และเชื่อว่าพระเยซูพูดอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ อนาคตข้างหน้า ก็ยังทำผิดอีกแหละ ตอนนี้ที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดแล้ว แต่ว่าธรรมชาติ คือเราเป็นมนุษย์ ก็อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิดได้ แต่ว่าพระเยซูบอกไม่เอาผิดเรา ก็คือวิญญาณเราสะอาดเรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราไปทำบาปอะไรก็ตาม วิญญาณเรายังสะอาดอยู่ ชอบธรรมอยู่ รอดอยู่ แต่ผลมันจะมีในโลกใบนี้ ไม่ว่าเราหว่านอะไร เราจำเป็นจะต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เฉพาะโลกใบนี้เท่านั้น ต้องรับรู้ตรงนี้เลย ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกมารหลอก …
“เธอทำบาป เธอไม่รอดหรอก”
สวนกลับไปเลย … “อย่างไร ฉันก็รอด”
เพียงแต่ว่าเผลอไปนิดหนึ่ง ดิฉันเชื่อนะว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราอาจจะทำผิดบ้าง แต่มันน้อยกว่าเดิมเยอะ พอเราจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้องพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเตือนเรา และบางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนเรา เราอาจจะดื้อ เราไม่สนใจ ทำหูทวนลม ขอทำนิดหนึ่ง เราก็เก็บเกี่ยวผล พอเก็บผลปุ๊บ เราก็รู้แล้ว พระเจ้าเตือนแล้ว เราไม่เชื่อเอง แล้วเราก็เริ่มต้นเรียนรู้จากมัน ถ้าทำอย่างนี้ เราจะเกี่ยวผลแบบนี้ เหมือนกับเด็ก ที่เราบอกว่า …
“อย่าไปจิ้มปลั๊กไฟนะ เดี๋ยวไฟดูด” หรือว่า … “ตรงนั้นมันร้อนนะ อย่าไปจับ จับแล้วมันจะเจ็บ มันร้อน”
เด็ก บางทีไม่เชื่อหรอก จิ้ม บางทีร้อนๆ ก็ไปจับ จับปุ๊บ มันร้อนไง พอร้อนปุ๊บ มีประสบการณ์ คราวหน้าก็จะเริ่มเล็งแล้ว อันนี้ไม่ได้ ถ้าเข้าไปมันร้อน แล้วมันเจ็บ เขาก็จะเริ่มระวังตัวมากขึ้น แต่ว่าพอนานๆ เข้า ลืมไง ลืมว่าอันนี้มันร้อน ลองใหม่ จับปุ๊บ ร้อน ก็มาเริ่มต้น ปรับตัวใหม่ๆ ชีวิตเราก็จะวนเวียนแบบนี้ แต่ให้เรามั่นใจว่าอย่างไร เราก็ได้รับความรอดแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ
**********************