คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 1 “เชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤษภาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 1

“เชื่อแล้ว รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            การบรรยายของวันนี้จะเป็นเรื่องต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่มีคนถามว่ายอมรับในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว ทำตามแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วต้องทำอะไรอีกบ้าง ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้ตอบคำถามนี้ไปแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรเลย

ย้ำอีกที เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะความรอด จากบาป รอดจากนรก รอดจากการถูกพิพากษา ตรงนี้ รอดโดยพระคุณ ซึ่งเราเรียนไปครั้งที่แล้ว จบไปแล้ว  ตอบเลย รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา ของมนุษย์คนใดเลยแม้แต่นิดเดียว  พระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือเอเฟซัส 2:8-9 อ่านซ้ำอีกทีหนึ่ง เพื่อจะได้รู้ว่าผมไม่ได้ตอบด้วยตัวเอง แต่ตอบจากความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

 

เราไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ได้รับความรอด รอดจากนรก รอดจากความบาป  รอดจากความมืดไปสู่สวรรค์ รอดจากการเป็นคนบาป  ถูกสาปแช่ง ถูกพิพากษา อยู่ใน DNA ของอาดัม มาสู่สวรรค์ของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระเจ้า  อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่ทำสิ่งเดียว คือถ่อมใจและยอมรับว่าความจริง คือ …

“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน  ช่วยฉันได้”

แค่นี้เอง ต้อนรับพระเยซูแล้ว ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว

พระคัมภีร์มีสอนไว้ว่าหลังจากที่เชื่อแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้วก็จริง  แต่ควรทำอะไรให้สมกับที่เป็นลูกพระเจ้า ควรทำอะไรที่สมกับที่ถูกเรียกว่าผู้ที่ไม่บาปแล้ว  ทำอะไรที่สมกับผู้ที่เรียกว่าเป็นแสงสว่าง ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ให้มันเกิดประโยชน์ต่อตัวเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเกิดประโยชน์ต่อบรรดาผู้คนรอบข้าง ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มีส่วนกระทบไปถึงเขา  มีอิทธิพลกระทบไปถึงเขา เราควรจะทำตัวอย่างไร?  เห็นไหม? ไม่เกี่ยวกับความรอด

สังเกตให้ดี ผมกำลังพูดถึงสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ ตรงนี้พยายามเน้นมากๆ  “ต้อง” คือต้อง ไม่ทำไม่ได้ มีอันเดียวเท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอทำเสร็จแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ต่อไปนี้ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไป  ก็คือควรจะทำอย่างไร เมื่อเป็นลูกพระเจ้าแล้ว?

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อเรื่องที่ผมให้ว่า “เชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  อธิษฐาน” 4 ขั้นตอน พูดให้ติดปาก

อันดับแรก คือ “เชื่อแล้ว” เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู  ข่าวดีนั้น คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มนุษย์จะรอดจากบาปได้ ก็โดยพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือข่าวดี และพระองค์ทรงแบกบาปเรา  และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3

ยอมรับว่าตรงนี้ คือความจริง ยอมรับว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นความจริง เพื่อฉัน เป็นส่วนตัวเลย ไม่ใช่รับรู้ว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นแค่การรับรู้ทางประวัติศาสตร์ว่านี่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ มันเป็นประสบการณ์ว่าสิ่งเหล่านี้บังเกิดขึ้น และมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ณ ปัจจุบันเลย เป็นส่วนตัวของฉันเลย พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติและฉันด้วย  พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษยชาติและฉันด้วย เรามาดูโรม 10:9-10 …

โรม 10:9-10 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

พอท่านเชื่อด้วยใจ จึงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด

ผู้ที่ทำให้เรารอด คือพระเจ้า แล้วเราทำอย่างไร?  เราต้องทำอย่างเดียว คือยอมให้พระเจ้าช่วย ยอมจำนน ยอมเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์นั้นเป็นจริง  พระองค์ทรงประทานทางที่จะไปสวรรค์อย่างง่ายๆ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เป็นจริง ยอมรับแค่นี้เอง แล้วพระเจ้าจะทำทั้งหมดเลย คือทรงให้ท่านรอด ทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม เห็นไหม?

คราวนี้มาดูว่าหลังจากเชื่อแล้ว  พระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม ทำให้เราได้รับความรอด เราได้รับการชำระบาป จนสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีตำหนิเลย ถูกแยกส่วน เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของพระเจ้า สะอาด หมดจด เหมือนพระเยซูเลย นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้นะ

เราได้บังเกิดใหม่มีชีวิตนิรันดร์  วิญญาณซึ่งอยู่ในความบาป อยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม บัดนี้ได้เกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในแสงสว่าง เคยอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่ใน DNA ของอาดัม ซึ่งเรียกว่านรก บัดนี้ ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง พระเจ้าได้ย้ายเราเข้ามาอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในสวรรค์ของพระองค์แล้ว  ทันทีเลย เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราแค่เชื่อ

แต่สิ่งที่ควรทำ ตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ ไม่บังคับให้ทำอะไรแล้ว  แต่ควรจะทำ หลังจากได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  ณ บัดนาวแล้ว ควรจะทำอะไร? ผมทำขั้นตอนไว้ให้ท่าน ตามพระคัมภีร์ แต่ว่าผมเอามาให้ท่านเป็นขั้นตอน เพื่อให้ท่านชัดเจน อันดับแรก ต้องเปิดใจเชื่อ

อันดับที่สอง คือ ควรจะรับรู้ … รับรู้ในโลกวิญญาณว่าเราหรือท่านเป็นใครแล้วในโลกวิญญาณ เราต้องรับรู้ คือเรียนรู้โลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นโลกใหม่ สำหรับเราเลย เพราะตาเรามองไม่เห็น  หูเราไม่ได้ยิน  มือเราสัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มันเป็นอยู่จริงๆ  ตามพระคัมภีร์บอก เป็นจริงมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่ตามองเห็น จับต้องได้ บนโลกใบนี้  ซึ่งวันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไป มันไม่ได้จีรัง เขาเรียกว่ามันอยู่ไม่จริง เพราะมันอยู่แค่ชั่วคราว พระคัมภีร์บอกไว้แค่นั้น

แต่โลกวิญญาณ ที่บอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้วตอนนี้ มันจะอยู่อย่างนี้  และจะอยู่ต่อไปนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ ถ้าเราอยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด  อยู่กับมาร อยู่กับบาป  หรือเรียกว่านรก  เราก็จะอยู่อย่างนั้นนิรันดร์เหมือนกันในโลกวิญญาณ สิ่งเหล่านี้จะต้องเรียนรู้ และรับรู้ ก็คือในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร

อย่างเช่นสมัยก่อน ผมตั้งวงดนตรี จะเล่นดนตรี เล่นกีต้าร์  ก็จดจ่อ เล่นกีต้าร์ทั้งวัน วันทั้งวันเล่นๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าจดจ่ออยู่กับการเล่นกีต้าร์ ทั้งวันทั้งคืนก็จะจดจ่ออยู่อย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น

เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์บอกว่าให้เรารับรู้ในโลกวิญญาณ ก็คือให้เราจดจ่อ หรือเพ่งความคิด จิตใจของเรา ความสนใจของเรามากๆ ไปที่โลกวิญญาณ

รับรู้ แสดงว่ามันเกิดแล้ว เราเข้าไปรับรู้ว่ามันเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็คือโลกที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ตาเรามองเห็น วัตถุสิ่งของจับต้องมองเห็นได้ มันเป็นอยู่ ณ วันนี้ วันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไป  พระคัมภีร์ใช้คำว่ามันอยู่เพียงชั่วคราว มันไม่จีรัง มันไม่เป็นจริงนั่นเอง  เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  วันหนึ่งมันจะเป็นศูนย์  มันจบไป แต่โลกวิญญาณ  มันจะอยู่ถาวรนิรันดร์ ย้ำอีกครั้งหนึ่ง โคโลสี 3:1-4  จึงได้บอกให้เราจดจ่อไปที่ … รับรู้ไปที่ … เรียนรู้ไปที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้ว  มันต้องใช้เวลาสนใจเยอะๆ จดจ่อเยอะๆ

เพราะอดีตมา เราไม่เคยสนใจมันเลย เรื่องโลกวิญญาณ  เราสนใจแต่โลกวัตถุ ทำมาหากิน มีครอบครัว แล้วก็รอตายไป แต่นี่มีโลกวิญญาณด้วย เราเพิ่งรู้ เราได้เกิดใหม่ เราบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์บอกเราอีกเยอะแยะ และให้เราไปเรียนรู้ และรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในข้อ 1 บอกว่า “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ในวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่  เห็นไหม ให้ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว พร้อมกันเลย “ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน” ให้ใจของท่านสนใจและจดจ่อ รับรู้ เรียนรู้กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสิ่งที่เป็นโลกวิญญาณ  ที่มันมีพัฒนา ที่มันดีกว่า ศิวิไลน์กว่า โลกวัตถุนี้มากนัก  เพราะมันจะอยู่ถาวรนิรันดร์  ให้จดจ่อไปที่เบื้องบน “ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” เห็นไหม?  ซึ่งเรานั่งอยู่ที่นี่ร่วมกับพระคริสต์ ในโลกวิญญาณเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า

ข้อ 2 บอกว่า “จงให้ความคิดของท่าน” ก็คือสอนเรา บอกเราว่าควรจะเอาความคิดของเราไปจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก คือจดจ่อกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ  สถานะเราเป็นลูกพระเจ้า เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะ พูดสั้นๆ แค่นี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้วนะ ในโลกวิญญาณ มันเป็นแล้ว และจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดไป ให้เราจดจ่อกับสิ่งนี้ เดี๋ยวมันลืม

ไม่ใช่ไปจดจ่อกับสิ่งฝ่ายโลกว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม พรุ่งนี้จะเอาอะไรนุ่งห่ม มะรืนนี้ทำมาหากินไม่ได้  ลำบากลำบนอะไรต่างๆ เหล่านี้  ไม่ต้องไปจดจ่อกับสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นอธิษฐานกับพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้าจะนำพาท่านผ่านทีละอย่างๆ ขอได้ เรียกได้ ขอความช่วยเหลือได้ พระเจ้าพาท่านผ่านไปได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ได้สำคัญเมื่อเทียบกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บนโลกวิญญาณ ที่ท่านบังเกิดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว อันนั้นสำคัญกว่าเยอะ

ข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า” เพราะท่านตายแล้ว ที่ไหน? ในโลกวิญญาณ  วิญญาณเก่าของท่านมันตายไปแล้ว วิญญาณเก่าที่อยู่ในความบาป  วิญญาณเก่าที่อยู่ในอาดัม วิญญาณเก่าที่อยู่ในนรก  วิญญาณเก่าที่อยู่กับมาร เป็นทาสมาร  มันจบไปแล้ว มันตายไปแล้ว ชีวิตที่ท่านอยู่ทุกวันนี้ ท่านบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เหมือนพระเจ้าเลย  และตัวที่บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  ตอนนี้เลย ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ก็คือวิญญาณท่านถูกซ่อน อยู่ในการควบคุมดูแลของพระเยซูคริสต์และพระเจ้า อย่างที่เคยเรียนรู้ พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคจะเสด็จเข้ามาอยู่ในร่างกายของท่าน มาอยู่ในวิญญาณของท่านเลยทีเดียว เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  เขาเรียกว่าวิญญาณของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระบิดา พระบุตรพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง นี่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณหมด สิ่งเหล่านี้ เราต้องรับรู้และเรียนรู้

ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ” ปรากฏ หมายถึงว่าเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาพิพากษาโลกใบนี้  ในวันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้เมื่อไร?  ก็คือวันสิ้นโลกนั่นแหละ อาจเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ อีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า หรืออาจะไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หรือฟังๆ ผมอยู่  พระเยซูเสด็จกลับมา โลกใบนี้จบสิ้นหมดแล้ว ก็ได้  มันเป็นได้ทุกเมื่อเลย ไม่มีการดูว่าจะมาเมื่อไรดีอะไรต่างๆ เมื่อนั้น  เมื่อพระเยซูกลับมา หรือโลกสิ้นสุดลง

“เมื่อนั้น ท่านก็จะ” คราวนี้ “จะ” ไม่ใช่ “แล้ว” “ท่านก็จะปรากฏ” วิญญาณที่ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้าแล้ว  ตอนนี้ทำไปแล้ว อยู่ในนั้นแล้ว ถ้าพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  ปรากฏออกมา วิญญาณที่ซ่อนอยู่ ก็ไม่ต้องซ่อนอีกแล้ว ปรากฏออกมาพร้อมพระเยซูเลย “พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริ” ก็คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูเลย คือพระเกียรติสิริของพระเจ้า  ที่เราจะได้รับ เราก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว  เราต้องรับรู้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งมันเป็นความจริงที่พระเจ้าจะบอกแนวทางให้เรารู้ว่าในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นใด มันมีอยู่จริงๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ? จะรู้หรือไม่รู้? มันมีอยู่จริงๆ ถ้าไม่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ก็อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มันไม่มีอยู่ตรงกลาง หรือไม่เอาเลยทั้งสองอย่าง  ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ก็ต้องอยู่ นี่เขาเรียกว่าความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะมันมีอยู่จริงๆ

เราไป 2 ขั้นตอนแล้วนะ (1) เชื่อแล้ว   (2) รับรู้  เรียนรู้ สนใจ จดจ่อ  หาความจริงในโลกวิญญาณ ตามพระคัมภีร์บอกมีอะไรเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ฉันเป็นใครในพระเจ้า ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว  ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง?  สนใจ ในพระคัมภีร์บอกไว้

อันดับที่สาม คือ “วางใจ” คือมอบภาระทุกสิ่งในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไว้ที่พระเจ้าเลย เพราะรู้ความจริงแล้วว่าโลกใบนี้ มันอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว  ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ไม่ต้องคิดหาเหตุผล อันโน้นอันนี้ อันนั้น วุ่นวายไปหมดเลย  มอบให้พระเจ้า แล้วก็ฝากไว้ที่พระองค์ ทุกอย่าง มอบภาระทั้งสิ้นไว้กับพระองค์เลย  ใน 1 โครินธ์ 6:19-20 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 6:19-20 “19  ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็แปลว่าท่านควรจะรู้ ถูกไหมครับ? ไม่ได้บังคับ  ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็ไปสวรรค์อยู่ดี  เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี เพราะท่านเป็นลูกไปแล้ว จากการบังเกิดใหม่ ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นผู้ชอบธรรม โดยพระคุณความรอดจากพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม แต่ท่านควรจะรู้ดีกว่า เพราะท่านรู้ ท่านจะได้ใช้ชีวิตเป็นประโยชน์กับตัวท่านเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเป็นประโยชน์ถ้ารู้จักทำตามพระเจ้า สิ่งที่ดีๆ มันก็เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ และกระทบไปถึงผู้คนรอบข้าง บรรดาโลกใบนี้ทั้งหมด โลกสวยงาม เพราะชีวิตท่าน  ถ้าท่านรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เห็นไหม?

ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็จะทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ได้น้อยกว่าเท่าที่ควร เพราะเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อตัวเราเอง แต่เราอยู่บนใบนี้ เพื่อตัวเองด้วย และเพื่อน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับโลกใบนี้ “น้ำพระทัยพระเจ้า” คืออะไร? ก็คือช่วยเหลือบรรดาผู้คนทั้งหลาย ทั้งรู้จักพระเจ้าและไม่รู้จักพระเจ้าก็มี ทั้งโลกใบนี้แหละพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ดี

เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยราคาแพง” ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมสละสภาพหรือสถานะที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งทุกวันนี้ พระองค์ก็เป็นบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงตรัสว่าพระองค์เป็นบุตรมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่ได้เกิดในสถานะต่ำลง แต่พระองค์ทรงยอมทำ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ จะได้มาบังเกิดใหม่ กลับมาหาพระเจ้าได้

ในนี้บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหาร” ก็หมายถึงท่านไม่รู้หรือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่กับท่านตลอดเวลา  อยู่ในร่างกายของท่าน เห็นไหม?

ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านก็วางใจในพระเจ้าได้มาก ทุกอย่างเลยบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตไป ท่านรู้เลย  ใครอยู่ในตัวฉัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรบนโลกใบนี้ ท่านจะรู้สึกเลยว่าฉันไม่ได้เดินคนเดียว แต่ฉันมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 องค์อยู่ในร่างกายของฉัน  อยู่กับวิญญาณของฉันนี้ พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับฉันตลอดเวลา ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร

ท่านรับรู้อย่างนี้แล้ว ท่านก็สามารถวางใจได้ การวางใจ เหมือนกับเมื่อท่านรับรู้ว่าท่านได้เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า  ได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว  ก็เหมือนกับท่านรับรู้ว่าท่านขึ้นเครื่องบินแล้ว  ผมบินบ่อย หลายครั้งในชีวิตนี้ บินไกลๆ ด้วย  จึงรู้ว่าความวางใจ แปลว่าอะไร? ผมรับรู้ว่าผมนั่งเครื่องบิน  พอขึ้นเครื่องบิน ผมก็รับรู้เลยว่าผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินเขาบินมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวก็ไปถึงอเมริกา  เดี๋ยวก็ไปถึงยุโรปอีก 10 กว่าชั่วโมง  ทุกคนก็ทำอย่างนี้ วางใจ ถามว่าเขาวางใจในอะไร? เขาวางใจในกัปตันใช่ไหม?  วางใจในเครื่องบิน  ยานพาหนะตัวนี้ ระบบของมันใช่ไหม? จากการศึกษา รับรู้มาตลอด เขาเชื่อมั่นแล้ว เขาวางใจเลย มีใครไหมขึ้นบนเครื่องบินแล้ว พอเครื่องออก ก็วิ่งพล่านเลย  มันจะตกเมื่อไร? มันจะบินไปถึงไหม?  ทุก 1 ชั่วโมง คอยดูกระจกตลอดเวลา หรือไม่อย่างนั้น ทุก 2 ชั่วโมงก็วิ่งไปหากัปตันตลอดเวลา บินอยู่ดีไหม? โอเคไหม? เป็นอะไร?  หรือนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ทุกคนก็หลับสบาย กัปตันให้คาดเข็มขัด เขาก็คาดเข็มขัด พอตกหลุมอากาศ เข้าไปในอากาศแปรปรวนบ้าง  เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก ยกเว้นมันจะมีเยอะๆ นะ อันนี้สมมติให้ฟัง เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะเขาวางใจในเครื่องบินและกัปตัน

ในทางพระเจ้าก็เหมือนกัน เมื่อท่านรับรู้ว่าท่านบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งที่ท่านควรทำ ก็คือให้วางใจและพักผ่อน  พระเยซูบอกว่า … “ใครเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในชีวิต จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”  … มันแปลว่าอย่างนี้  พอท่านรับรู้ความจริงต่างๆ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ท่านก็วางภาระลง ขึ้นเครื่อง ก็เหมือนกับขึ้นเครื่องพระคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ อย่างนี้ดีกว่า พอท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็เหมือนอยู่บนเครื่องบิน ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็เหมือนผมอยู่ในเครื่องบิน อยู่แล้ว จบ ต่อไปนี้แล้วแต่กัปตัน เดี๋ยวมันก็ถึงที่หมายที่เราต้องการไป

เช่นเดียวกัน อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว รับรู้แล้ว จบ วางไว้เลย ให้กัปตันของเรา คือพระเจ้าพระบิดา เป็นกัปตันเบอร์ 1 เป็นนักบินที่หนึ่ง พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ เป็นกัปตัน นักบินที่สอง  ช่วยกันควบคุมดูแลเครื่องบินลำนี้ให้ไปถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย พอไหม? วางใจไหวไหม  ท่านลองคิดดู พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว  ใครๆ ก็รู้จักพระเจ้าองค์นี้ดี แล้วยังแถมมีพระเยซูคริสต์ พระบุตร ร่วมกันบังคับดูแล เป็นกัปตันของเครื่องบินลำนี้ ที่มีชื่อว่าเครื่องบินพระคริสต์ กำลังเดินทางไปสวรรค์ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่  เพราะโลกเก่ากำลังสูญสิ้นไป  กำลังจะเน่าเละไปแล้ว  กำลังจะระเบิดสูญสิ้นไปแล้ว เรากำลังไปโลกใหม่ แล้วไม่วางใจได้อย่างไร?  ใหญ่ขนาดนี้ แค่นั้นไม่พอ  มีพระเจ้าพระบิดา เป็นนักบินที่หนึ่ง  พระเยซูคริสต์เป็นนักบินที่สอง แถมมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหัวหน้า ฝ่ายบริการดูแลความเรียบร้อยของเครื่องบิน ก็คือของยานพาหนะพระคริสต์ ดูแลให้หมดเลย ดูแล เลี้ยงดู นำพา ปลอบโยน ช่วยเหลือ แล้วก็มีทีมงานของพระวิญญาณ ก็คือเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง เยอะแยะมากมายมารับใช้

เวลาผมขึ้นเครื่องบินทีไร เวลาหิวน้ำ ก็จะกดปุ่ม ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็มีทูตสวรรค์ ไม่ใช่ ถ้าทางมนุษย์นะ ในเครื่องบิน พอกดปุ่ม  แอร์โฮสเตสก็มา …

“ต้องการอะไรค่ะ”

“ขอน้ำแก้วหนึ่ง”

“เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวเอามาให้”

อย่างนี้ เรียกว่าพักผ่อน วางใจ เพราะฉะนั้น ในทางโลกวิญญาณก็เช่นกัน  เมื่อเรามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในเรือลำนี้แล้ว  เราไปสวย เราไปโลกวิญญาณ  ไปโลกใหม่ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เพียงแต่พระเจ้าพาเราไปสู่โลกใหม่ โลกที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากโลกเก่าที่เละตุ้มเปะ ที่วุ่นวายสับสน ที่พินาศไปแล้ว  เสียหายไปแล้ว  ปัจจุบันนี้  กำลังสูญสิ้นไป  แล้วโลกใหม่เข้ามาแทนที่ พระเจ้ากำลังพาเรา ไปสู่โลกใหม่  โดยการอยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ทันที หลังจากที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้วนั่นเอง  เดี๋ยวค่อยมาเล่าสู่กันฟัง ตื่นเต้นกว่านี้อีก

คราวนี้ วางใจอยู่ในขั้นตอนที่ 3 เชื่อแล้ว รับรู้  วางใจ อันสุดท้าย คืออธิษฐาน …

          (1) ต้องทำ … เชื่อ และเราได้เชื่อแล้ว

          (2) ควรทำ … รับรู้ กำลังทำอยู่มากน้อย แล้วแต่ประโยชน์ของตัวเอง

          (3) ควรทำ … วางใจ จะได้พักผ่อน หายเหนื่อย และเป็นสุข

          (4) ควรทำ … อันดับสุดท้าย คืออธิษฐาน

สรุปว่ามี 1 ต้องทำ กับ 3 ควรทำ  “1 ต้องทำ” ก็คือต้องเชื่อในข่าวดี  “3 ควรทำ” ก็คือรับรู้ วางใจ และอธิษฐาน

ซึ่งการอธิษฐาน คือการเริ่มต้นฝึกฝน การใช้บริการบนเครื่องบินนั่นแหละ (ในโลกวิญญาณ) ก็เหมือนกับการเริ่มต้นฝึกฝนการใช้สิทธิอำนาจ หรือสิทธิของเรา  หรืออะไรที่เราสามารถทำได้  หรือการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณนั่นเอง เพราะเราไม่เคยอยู่ในโลกวิญญาณอย่างนี้มาก่อน เอะอะอะไรเราก็ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย มองดูวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แล้วก็ตัดสินตามเหตุผล แต่เดี๋ยวนี้เรามาเริ่มต้นฝึกฝนในทางโลกวิญญาณว่าในโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ และมันอยู่ตลอดกาล และมันสำคัญกว่าโลกวัตถุยิ่งกว่ามากนัก แล้วฉันควรจะทำตัวอย่างไรในโลกวิญญาณ  นี่แหละรวมกลุ่ม แล้วเรียกว่าอธิษฐาน

อธิษฐานตรงนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การอธิษฐานแบบเป็นทางการ ที่เราอธิษฐานทุกวันนี้ นี่ก็เป็นการแบบทางการ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้สิทธิ การใช้บริการในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ที่เราอยู่แล้ว นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้  นี่คือบริการในสวรรค์เขาบอกให้ทำได้ พระเจ้าบอกบนเครื่องบินนี้เราทำอะไรได้บ้าง ขอน้ำ ก็ขอได้ ขอข้าวยังขอได้เลย  อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันรวมไปถึงการพูดคุย สนิทสนมกับพระเจ้า เพราะว่าเพิ่งจะเรียนรู้ เพิ่งจะรู้จักพระเจ้าเองว่าพ่อในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่จะอยู่กับเราตลอดไป  ที่เป็นพ่อที่น่ารักอย่างนี้  เรียกว่าพ่อทางฝ่ายวิญญาณ  เราคุยกับพ่อได้ตลอดเวลา  ก็คือฝึกการอธิษฐาน ฝึกการคุย ฝึกในการสนิทสนมกับพ่อของเรา หมั่นที่จะเรียนรู้ว่าพ่อของเราเป็นอย่างไร?  มีลักษณะเป็นอย่างไร?  เป็นพื้นฐานของความจริงในโลกวิญญาณ  ซึ่งพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าเรามีสิทธิ์อะไร? แล้วพ่อเราเป็นใคร? พ่อเราน่ารัก มีนิสัยใจคออย่างไร?  แล้วเราเป็นลูกมีธรรมชาติ มีเนเจอร์ที่เหมือนพ่อเราตรงไหนบ้าง?

ถ้าเราไม่หมั่นอธิษฐานเรียนรู้ เราก็ไม่ได้ใช้สิทธิของเราอย่างถูกต้อง เพราะเราไม่รู้ความจริง แล้วเราก็อาจจะถูกหลอกได้  ก็อย่าลืมว่าเรายังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  มารมันยังสามารถใช้สิ่งต่างๆ วัตถุสิ่งของของมนุษย์บนโลกใบนี้ ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เรามองเห็น และเราไขว้เขวก็ได้ เพราะเรามองเห็น เราเลยเชื่อตามนั้น  ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่  ในโลกวิญญาณไม่ได้เป็นอย่างนั้น  แต่ถ้าเราไม่รู้ความจริงในโลกวิญญาณ  เราก็จะถูกหลอกได้ง่าย อย่างนี้เป็นต้น

ถามว่าถูกหลอก แล้วเราจะไปอยู่กับมันในนรกหรือ? มันไม่ใช่ เราไม่มีทางได้ไป มันแค่เสียประโยชน์ของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น เรายังคงอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์เหมือนเดิม  กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่เหมือนเดิม  ไม่เปลี่ยนแปลง ได้รับความรอดแล้วเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่การดำเนินชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีประโยชน์ต่อเราและผู้คนรอบข้าง เทียบกับเรานั่งเครื่องบิน แทนที่เราจะหลับอย่างสบาย เอกเขนก พักผ่อนอย่างสบาย เรามัวแต่ตื่นเต้น ตกใจ  กลัว วิตกกังวลตลอดเวลา  ลุกขึ้นทุกๆ 1 นาที ทำให้คนนั่งข้างหน้าเขารำคาญจะนอน เราก็ไปผลักเขา เดี๋ยวก็เดินไปถามแอร์โฮสเตส

“นี่ถึงไหนแล้ว”

ทุก 15 นาทีถามแอร์โฮสเตสว่าถึงไหนแล้ว  ทุก 1 ชั่วโมงไปเคาะห้องนักบินว่านักบินยังอยู่ไหม? มันทำให้เราเองเดือดร้อน  ไม่สบายเท่าที่ควร และผู้คนรอบข้างเราก็ไม่ได้รับความสะดวกสบายเช่นเดียวกัน นี่มันมีแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น เราควรที่จะฝึกฝนในการอธิษฐาน ในการเข้าสนิทกับพระเจ้า ในการรู้จักพระเจ้า  รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณว่าเขาทำกันอย่างไร? มันเป็นอย่างไร?  เรามีสิทธิอะไรบ้าง? ฟีลิปปี 4:4-8 ได้บันทึกอย่างนี้ เป็นการสอนเราเลย  บอกเราว่า เมื่อเราเชื่อแล้ว  รับรู้ว่าเราเป็นใครในโลกวิญญาณแล้ว  และวางใจในพระเจ้าแล้ว ให้เราเริ่มต้นอธิษฐานอย่างนี้แหละ ใช้สิทธิของเรา ฝึกฝนในการดำเนินชีวิตแบบโลกวิญญาณ

ฟีลิปปี 4:4-8 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด ให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุขภาพ อ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว  อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย”

เหมือนเราขึ้นเครื่องบินแล้วกำลังจะบอกว่า …

“จงมีความสุขในการเดินทางไปกับเรานะ รัดเข็มขัดให้แน่น นั่งอยู่กับที่ แล้วสบายๆ  มีความปีติยินดี” เป็นอย่างนี้

“เพราะว่ากัปตัน คนขับเชื่อถือได้ บินมานานแล้ว” อะไรประมาณนี้

เห็นไหม? ชัดเจนไหม? จงชื่นชมยินดี รู้แล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้ากำลังพาเราไปโลกใหม่ พระเจ้าคอยดูแลเรา โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ช่วยเหลือ และกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมายคอยดูแล ช่วยเหลือเรา กัปตัน คือพระองค์เองและพระเยซูคริสต์บอกเราว่า …

“ลูกเอ๋ยไม่ต้องกลัว อยู่ตรงนี้ สบายๆ  แล้วทำอะไรต่อ ชื่นชมยินดีสิ มองทั้งวัน มองแต่โลกใหม่ มันสวยงามขนาดไหน?”

พระเจ้าค่อยๆ เล่าโลกใหม่ให้เราฟัง ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเรา  มันเป็นเช่นไร?  แล้วก็มองไปถึงร่างกายใหม่ด้วย โลกใหม่กับร่างกายใหม่มาพร้อมกัน ร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ จะไม่เหมือนร่างกายในปัจจุบัน ร่างกายใหม่จะเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาป ความตาย และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป  แล้วไม่มีความแก่ด้วย มองถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่มันเป็นจริง และมันจะอยู่อย่างนี้จริงๆ ตลอดนิรันดร์  ซึ่งพระเจ้าบอกเรา  และเล่าให้เราฟัง

เมื่อเราเรียนรู้อย่างนี้ เราจะชื่นชมยินดี และให้ทำอะไรต่อ ในนี้บอกว่าไม่ต้องกระวนกระวายใจ บางครั้งอากาศแปรปรวนบ้าง  มีหลุมอากาศบ้าง  อาจจะกระโดดบ้าง แต่รัดเข็มขัดไว้ แล้วก็ไม่ต้องกลัว สบายๆ  เหมือนที่เราเคยร้อง

“บางคราวต้องผ่านความทุกข์มืดมัว          บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

บางคราวราบรื่น ชื่นใจยินดี                                    พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที”

บางครั้ง บางคราวมันผ่านหลุมอากาศบ้าง  อากาศแปรปรวนบ้าง ก็ไม่ต้องตื่นเต้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว บางคราวราบรื่น ถึงเวลาดินเนอร์ ถึงเวลาอาหารเที่ยงบนเครื่องบิน อาหารเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขมาก เพราะมันไม่รู้จะทำอะไร มีหนังให้ดู ถึงเวลา เขาก็จะเสิร์ฟอาหาร มีอะไรบ้าง อาหารเช้า อาหารเที่ยง อาหารเย็นเป็นอย่างไร? ไปเลือกเอา คอยดูเมนูเอา มันก็มีความสุขนะ พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วแถมอยากขออะไร ก็ขอได้

นี่มันคืออะไร? “จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน  และการขอบพระคุณ”

เทียบกับเครื่องบินเมื่อตะกี้นี้ ก็คือนอกจากอาหารมื้อประจำแล้ว  เกิดหิวน้ำขึ้นมา อยากได้หมอน อยากได้ผ้าห่ม กดปุ่มเรียก เดี๋ยวแอร์โฮสเตสก็เอามาให้

“ต้องการอะไรค่ะ”

“ขอน้ำอุ่น”

เดี๋ยวน้ำอุ่นก็มา  ขอผ้าห่มผืนหนึ่ง เดี๋ยวผ้าห่มก็มา  อย่างนี้เป็นต้น

นี่คือสิ่งที่เปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าจงร้องทูลต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อเราได้รับ ขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อเราเชื่อว่าเราได้รับ เราบอกพระเจ้า วิญญาณเรารู้ว่าเราได้รับ เราก็ขอบคุณพระเจ้า แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินกว่าความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ ก็คือในพระคริสต์นี้ ความคิดจิตใจที่เป็นอย่างนี้ เมื่อจดจ่อรับรู้ในความจริงเหล่านี้ และวางใจ มันก็จะสงบ มันก็จะได้พักผ่อนในพระเจ้า

เวลาคนจากไป เขาใช้คำว่า R.I.P. คือ Rest in peace คำนี้ส่วนใหญ่เขาเขียนตอนที่ตายแล้ว  แต่จริงๆ แล้ว คำว่า RIP หรือ Rest in peace สามารถทำได้ตอนที่มีชีวิตอยู่นี่แหละ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ รับรู้ วางใจ และอธิษฐาน

อธิษฐาน คือคุยกับพระเจ้า ฝึกฝนในการเรียนรู้กับโลกวิญญาณกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ ก่อน  มันก็จะเกิด RIP คือ Rest in peace ก็คือได้พักสงบในสันติที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระคริสต์นั่นเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เหลือไม่ต้องทำอะไรแล้ว  ให้ Enjoy life  คือมีชีวิตที่ชื่นชมยินดี  วันทั้งวัน เหมือนเพลงที่บอกว่า …

“วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ

ยินดีในพระองค์  ยินดีในพระองค์”

เหมือนกันอย่างนี้  วันนี้คือวันไหน? วันนี้ คือวันที่เราเชื่อแล้ว  ได้บังเกิดใหม่ วางใจในพระองค์ รับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  รู้ว่าเราควรวางใจ เสร็จแล้วก็อธิษฐาน แล้วก็เกิดอะไรขึ้น?  Enjoy life  เอเฟซัส 6:18 แถมให้หนึ่งข้อ ได้สอนเราอย่างนี้ด้วยว่าเราควรทำอะไร?

เอเฟซัส 6:18 “จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส ด้วยการอธิษฐาน และการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทน และด้วยการวิงวอน เผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ”

 

เห็นไหมครับ? “จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส” ก็คือให้รับรู้ว่าเราเป็นวิญญาณ  เมื่ออธิษฐานทูลขอสิ่งต่างๆ ให้เรามองไปที่โลกวิญญาณ  ให้รู้ว่าโลกวิญญาณนั้นเป็นจริง ใช้วิญญาณของเราในการสื่อสารกับพระเจ้า นี่แหละหมายถึงการอธิษฐานในวิญญาณ

สมมติว่าเราจะคุยกับพระเจ้าในการอธิษฐาน หรือในการทูลขอสิ่งใด วิธีการทำอย่างไร? ก็คือไม่ต้องหลับตา จะฝึกหลับตาก็ได้ ก็คือสับสวิตช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณทันทีเลย พอสับสวิตช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ  สมมติว่าการหลับตาของผมตอนนี้ เท่ากับสับสวิตช์ไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ  สมมตินะครับ จริงๆ ไม่ต้องหลับตาก็ได้

พอหลับตาปุ๊บ ผมไปคิดถึงโลกวิญญาณแล้ว ผมเองเป็นวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้า นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน พระเจ้าสถิตอยู่กับวิญญาณของผม ผมก็เริ่มอธิษฐาน นี่เขาเรียกว่าอธิษฐานในวิญญาณ

“พระเจ้าลูกอธิษฐาน ขอพระองค์ทรงเปิดตาวิญญาณ ช่วยเหลือบรรดาพี่น้องของลูกที่กำลังฟังอยู่ในขณะนี้  ที่อาจจะยังไม่เข้าใจ  ยังไม่ได้เริ่มต้นเชื่อในข่าวดี ที่ลูกตั้งใจ และจากใจจริงที่จะประกาศ ที่จะเล่าบรรยายให้ฟังมาตลอดหลายสัปดาห์แล้ว  วันนี้ขอพระองค์ทรงช่วยเปิดตาวิญญาณให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ได้เริ่มต้นรู้ความจริง ได้เห็นเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป ที่สามารถช่วยเขาได้  เขาไม่สามารถช่วยตัวเขาเองได้  ให้เขารู้ว่าเขาต้องการพระเยซูเท่านั้น ลูกขอต่อพระองค์ เปิดตาฝ่ายวิญญาณเขาด้วยเถิด  ขอบคุณพระองค์ในนามพระเยซู เอเมน”

ที่ผมพูดทั้งหมด ผมเพ่งไปที่ทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าผมเป็นใคร? พระเจ้าอยู่กับผมอย่างไร?  แค่นี้เอง เป็นการฝึกฝน ถ้าท่านฝึกไปเรื่อยๆ ท่านก็จะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ  และสิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดผลมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ผมได้บอกแล้ว

วันนี้สรุปแล้ว มี 4 ขั้นตอนที่เราควรจะเรียนรู้

(1) เชื่อแล้ว

(2) รับรู้

(3) วางใจ

(4) เริ่มต้นอธิษฐาน

เพราะฉะนั้น พี่น้องที่เชื่อแล้ว หลายสัปดาห์ก่อนนี้ว่าต้องทำอะไร? รู้แล้วใช่ไหม? เชื่อแล้ว จบแล้ว  ควรทำอะไรต่อจากนี้ต่อไป อย่าอยู่เฉยๆ  อธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ ปิติยินดี และชื่นชมยินดีเลย พิสูจน์พระเจ้าได้เลย ต้องทำเดี๋ยวนี้เลย จึงจะพิสูจน์พระองค์ได้

ในพระคัมภีร์เขามีบอกไว้อย่างนี้ว่า … “จงชิมพระเจ้า” ในหนังสือสดุดีเขียนบอกไว้ว่าจงมาชิมพระเจ้า พระองค์บอกว่าจงมาชิมพระองค์เลย  และเมื่อใครชิมพระองค์ จะรู้ว่าพระองค์ทรงดี พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แสนดี  ถ้าไม่ชิมพระองค์ จะรู้ได้อย่างไร?  คือพูดง่ายๆ มาชิมพระองค์จะเหมือนพิสูจน์พระองค์ พระองค์ต้องการให้มนุษย์มาพิสูจน์พระองค์เลยว่าพระองค์ดีจริงไหม?  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แสนดี

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อแล้ว ก็พิสูจน์เลย ก็คืออธิษฐานเลย ท่านมีเรื่องทุกข์ร้อนเรื่องอะไร? เรื่องที่พัก เรื่องอาหารการกิน  เรื่องค่าแรง เรื่องเงินเดือน  เรื่องขายของไม่ได้  เรื่องสุขภาพร่างกาย  เรื่องปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องปัญหาเยอะแยะไปหมด พิสูจน์พระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย ถ้าท่านเชื่อแล้ว อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอย่าหยุดในการอธิษฐาน อย่างที่ผมสอนว่าอธิษฐานเข้าไปในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ท่านเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้ารักท่านมาก  และพร้อมเสมอที่จะช่วยท่านทุกอย่างเลย

และสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อ อันนี้ท่านต้องทำ ท่านไม่สามารถอธิษฐานได้ ท่านไม่สามารถทำ สิ่งที่ควร 3 ขั้นนั้น ทำไม่ได้เลย  เพราะท่านต้องผ่านขั้นตอนแรกก่อนที่ท่าน “ต้องทำ” ก็คือต้องสมัครเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ก่อน เพื่อที่จะบังเกิดใหม่ก่อน ถ้าไม่บังเกิดใหม่  ก็ทำ 3 ควรไม่ได้  เพราะฉะนั้น ท่านต้องเปิดใจ ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ และให้พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป และเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อบาปของท่าน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เท่านั้น ท่านต้องทำตรงนี้ เมื่อท่านทำตรงนี้แล้ว ท่านก็สามารถทำสิ่งที่ควรทำอีก 3 อย่างได้ ก็คือ …

– รับรู้เรื่องความจริงว่าท่านเป็นใคร? บังเกิดใหม่แล้วเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ

– และเริ่มวางใจในพระเจ้า

– และเริ่มต้นอธิษฐานวิงวอนขอต่อพระองค์ ให้ช่วยโน่นช่วยนี่  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ท่านจะได้ประโยชน์อย่างมากมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบคนเดียวอีกต่อไป แต่มีอีก 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าทูตสวรรค์อีกมากมายเยอะแยะเลย คอยประคับประคองช่วยเหลือท่านในแต่ละก้าว ในแต่ละวันที่เดินไป และโดยเฉพาะในโลกวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว ท่านกำลังอยู่ในสวรรค์ กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่ในสวรรค์นิรันดร์นั่นเอง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************