วันนี้นะครับ เราจะกลับมาฟังคำบรรยายกันต่อ ในซีรี่ส์ชุดเดิมนะครับ ที่ค้างกันไว้ตั้งแต่ก่อน คริสตมาส ยังจำได้ไหมครับ ซีรี่ส์เรื่องอะไร? เราคุยอะไรกันค้างไว้ ตั้งแต่ก่อนคริสตมาส ผมได้เริ่มต้นซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Identity in Christ” คุยไป 3 ตอนแล้ว วันนี้จะเป็นตอนที่ 4 งงเลยใช่ไหม?
เรามาทวน 3 ตอนก่อน เพราะว่าเว้นระยะไปนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มตอนที่ 4 วันนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดหนึ่งก่อนนะครับว่า 3 ตอนที่แล้วเราได้คุยอะไรกันไปแล้วบ้าง?
เริ่มต้นที่ความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” มันสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันเรื่องนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้งและการรับการประทับตราจากพระเจ้า
พวกเราคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้ง แต่งตั้งโดยพระเจ้า และประทับตราของพระองค์อยู่ในชีวิตของเรา แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเรา บนชีวิตของเรา และแสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้าในครอบครัวของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
มาทบทวน 2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงใน พระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”
ในข้อที่ 22 เมื่อตะกี้นี้บอกว่าทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา แต่ละคนเลยที่เชื่อในพระเยซู และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เพื่ออะไร? เป็นมัดจำ ค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง ก็คือสวรรค์สถานที่พระองค์บอกเราว่าเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ตอนนี้เราได้ก่อน มัดจำไปก่อนแล้ว เรียบร้อยแล้ว คืออะไร? คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจเรา
และผมก็ได้ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จัก ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สำคัญมากเลยนะครับ เพื่อเราจะสามารถแยกแยะได้ระหว่างตัวตนจริง ก็คือ True Identity ตัวจริงๆ ของเรา ข้อมูลที่เป็นตัวจริงของเรา กับ Liedentity ก็คือข้อมูลปลอมที่เขาหลอกเรา เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ ได้สร้างข้อมูลปลอมๆ โดยผ่านทางสื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ สร้างข้อมูลปลอม หลอกเรา ยัดเหยียดใส่ชีวิตของเราเต็มไปหมด และเราก็ถูกหลอกมานาน ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า
ถูกหลอกว่าอะไร? หลอกว่าเราเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เรารู้ความจริงตรงไหน? ตรงที่เราไปอ่านพระคัมภีร์ เราถึงรู้
อ้าว! เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนะ พระเจ้าบอกเราอีกแบบหนึ่ง แต่มารซาตานบอกเราอีกอย่างหนึ่ง ผ่านทางสังคม ผ่านทางโลกใบนี้
จำตัวอย่างได้ไหมครับ ที่บอกว่าใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เหมือนยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองจริงๆ ยังทำตัวเหมือนแปลกๆ เราก็จะเปรียบเทียบกันว่าทำตัวเหมือนทาร์ซาน นี่คืออะไร? นี่คือชื่อของตอน “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 แสดงว่าจำได้ จึงใช้ชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน”
บอกคนข้างๆ สิ “อย่าเป็นทาร์ซาน”
อยากรู้รายละเอียด ไปหาฟังเอาในตอนที่แล้วนะครับ ไปค้นเอา ประวัติตอนที่แล้ว เพราะเขาลงในยูทูปมีหมดนะครับ Holy live มีตั้งหลายตอนอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้น ไปดูแล้วกันว่าตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 1 ทาร์ซานว่าอย่างไรบ้าง?
มาถึงตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า” จำได้ไหม? เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ได้สอนเราอย่างนั้น ภาษาอังกฤษจำได้เลย ภาษาอังกฤษว่าเราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature
พูดพร้อมกัน “Divine Nature”
จำแม่นเลยนะ จากทาร์ซานมา Divine Nature ที่ผมเล่าให้ฟังว่าย้อนไปตั้งแต่สมัยปฐมกาล สมัยโน้นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายให้มีคุณลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? มีพืช สิ่งที่มีชีวิต ที่มีร่างกาย สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ หรือเรียกว่า Soul เรียกว่า Body and Soul แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ Body Soul and Spirit วิญญาณหรือ Spirit ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา หรือพระฉายของพระองค์ ให้มีส่วนใน Divine Nature ธรรมชาติลักษณะของพระองค์ตรงไหน? ตรงที่มีวิญญาณเหมือนพระองค์ จริงๆ แล้วคือเป็นวิญญาณเหมือนพระองค์
พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทรงระบายลมหายใจ” แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าระบายลมหายใจ ลมปราณของพระองค์ คือวิญญาณของพระองค์เข้ามาในมนุษย์ สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น คำว่าระบายนั้นก็คือแบ่งชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ จำได้ใช่ไหมครับว่าแบ่งเชื้อสายให้กับเรา แบ่งให้มีลูกขึ้นมา เป็นลูกของเรา และในองค์ประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ ก็คือทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น ทางวิญญาณของเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที ณ วินาทีที่เราเชื่อในพระเจ้า ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว วินาทีไหน? ไม่รู้ วิญญาณของเราเปลี่ยนไปทันที ใหม่เอี่ยม เข้ามาสู่ Divine Nature ของพระเจ้าทันที สำหรับทางความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ความคิดจิตใจก็เริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มัดใจ ที่มาสถิตอยู่กับเรา และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา นำพาเราเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ความคิดจิตใจของเรา ก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวันๆ นั่นเอง
ส่วนทางร่างกายล่ะ ก็มีการเปลี่ยนแปลง คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะมีร่างกายใหม่ไว้ให้กับเรา เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่ต้องเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีสิวอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว จำได้ใช่ไหม?
และในตอนที่ 3 ที่เราทิ้งท้ายกันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตมาส มีชื่อตอนว่า “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 3 ผมได้เล่าถึงจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่มีไปถึงชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งชาวเมืองโครินธ์ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางอบายมุข เพราะเจริญเติบโตเป็นเมืองค้าขายมากมายนะครับ คล้ายๆ กรุงเทพ นิวยอร์กอะไรอย่างนี้ของสมัยนั้น ผู้คนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเยอะแยะ และประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย ซึ่งรวมทั้งชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียนด้วย รับเชื่อแล้ว
เปาโลเลยต้องการสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในโครินธ์เหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า แต่แทนที่จะสั้งว่า.-
“อย่าทำอย่างโน้น อย่าทำอย่างนี้ อย่างทำอย่างนั้น”
เปาโลกลับสอนบอกว่าให้ผู้ที่รู้จักพระเจ้า ผู้ที่เชื่อแล้ว รู้ตัวตนของตัวเองในพระเยซูคริสต์ว่า.-
“เธอเป็นใคร? เธอมีค่ามากเท่าไร? เธอเป็นวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในเธอนะ เธอจะไปทำอะไร พระเจ้าตามๆ ไปด้วยตลอดเวลา” ให้เขารู้ตรงนี้
เห็นไหมครับว่าเรามาเรียนรู้เรื่องตัวตนของพระคริสต์ มันสำคัญอย่างไร? ต่อให้ไปสั่ง …
“อย่าทำอย่างนั้น อย่างทำอย่างนี้”
มันทำไม่ได้ กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ มันก็จะว่ากันไปตามนั้นแหละ แต่พอเรารู้ตัวตนของเรา … เรารู้ว่าข้างในเราใหญ่กว่า ข้างในเรามี Divine Nature อยู่ในนั้น เราเป็นใคร? พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นี่คือตอนที่ 3
และตัวตนในพระคริสต์ที่เปาโล ย้ำเตือนกับผู้คนเมืองโครินธ์ ก็คืออะไร? ก็คือ 1 โครินธ์ 6:19-20 ที่บอกว่าเรามีค่าขนาดไหน? ดูสิ อ่านย้อนดูอีกทีหนึ่ง มาทบทวนอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น
1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”
ชาวโครินธ์เยอะแยะมากมาย ทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ในอบายมุกต่างๆ มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ส่วนหนึ่งคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปาโลพูดเฉพาะคนที่เชื่อในพระเจ้า และบอกว่า.-
“พวกท่านรู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านมีราคาที่สูงมาก พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า”
นี่การสอนของเปาโล คือให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียน คือให้รู้ว่าเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในร่างกายของเรานี้ เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป ไม่ได้เป็นตัวเราแล้ว แต่เป็นพระเจ้า เราเดินไปไหน พระวิญญาณเดินอยู่กับเรา ไปไหนพระเจ้าอยู่กับเราด้วย ตาดูอะไร? พระเจ้าก็ดูด้วย มือทำอะไร? พระเจ้าก็ทำด้วย ปากพูดอะไร? พระเจ้าก็พูดด้วย เหมือนกับพูดด้วยรู้ด้วยตลอดเวลา
นี่คือการรู้ตัวตนของตัวเอง จะได้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นวิหารของพระเจ้า ก็จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่สกปรกหลายอย่างได้ บนโลกใบนี้ (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะมันไม่มีทางที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างที่บอกแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีทางที่เราจะบังคับมันให้ถูกต้องหมด 100% แต่มันทำให้มากขึ้นได้ ถ้าเผื่อเรารู้ความจริง คือ Identity ของเรา True Identity ก็คือตัวตนแท้ๆ จริงของเราว่าเราเป็นใคร?
เมื่อทาร์ซานรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว ทุกอย่าง มันจะเปลี่ยนไปเอง เอเมน เราทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่แล้ว
เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราจะเข้าสู่การบรรยายในชุดนี้นะครับ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”
ให้เราพูดพร้อมกัน “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”
เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้า ตามหนังสือเอเฟซัสก่อนนะครับ ในหนังสือเอเฟซัสได้พูดถึงคริสตจักรต่างๆ ในสมัยนั้น ที่มาจากหลายๆ ชนชาติ ในคริสตจักรในเอเฟซัส คนที่เป็นคริสเตียนมาจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งจะเรียกรวมเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ในหนังสือนี้นะครับ คือเป็นพวกยิวและพวกไม่ใช่ยิว ซึ่งเรียกว่าชาวต่างชาติ
และในเนื้อหาสำคัญของหนังสือเอเฟซัส ไม่ว่าเราจะมาจากชนชาติไหน? ก็ตาม เป็นเชื้อชาติไหนมาก็ตาม เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาให้เป็นพระกายของพระองค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเตรียมเราไว้ สำหรับใช้เรา สำหรับงานรับใช้
ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเจ้าเตรียมเราทุกคน ที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว ให้เป็นผู้รับใช้พระองค์”
ไม่ว่าท่านจะคิดว่าท่านอายุมากขนาดไหน? ไม่ได้ทำอะไรเลย? อยู่บ้านเฉยๆ อธิษฐานก็น้อย พระเจ้าใช้ท่าน ถ้าพระเจ้าเลิกใช้ท่าน หมดแล้ว ให้ท่านพักผ่อน ก็คือให้ท่านทำอย่างไร? ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย ก็คือเอาท่านกลับบ้าน แต่ถ้าตราบใดที่ท่านยังหายใจอยู่ พระเจ้าก็ยังกำลังให้ท่านทำงานอยู่ ไม่ต้องไปคิดว่างานนั้น คืออะไร? พระเจ้าทำอยู่แล้วกัน เอเมนนะ
และถ้อยคำหลักที่เราได้ดูกันวันนี้นะครับ อยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:10 ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างละเอียด เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และได้เชื่ออย่างมั่นใจถึงความหมายของถ้อยคำนี้แล้ว ชีวิตท่านหรือชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ความคิด ความอ่านของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จะเปลี่ยนไปเลยนะครับ พระเยซูบอกท่านรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้ ลึกซึ้ง
เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”
“เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้นะครับ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “We are God’s masterpiece. He has created us anew in Christ Jesus.”
คำว่า “ผลงานของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ตรงนี้นะครับ พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า … ภาษาไทยนะครับ ใช้คำว่า “ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า” ก็คือฝีมือของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ท่านลองนึกภาพไปเรื่อยๆ ตามนะครับ เป็นการฝีมือของพระเจ้า
ภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece” มาจากคำในภาษากรีก ภาษาเดิมว่า “Poiema”
ท่านเป็น Poiema ของพระเจ้า … Poiema ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่เราคุ้นๆ กัน Poem แปลว่าบทกวี … บทกวีคืออะไร? คืออะไรบางอย่าง ที่มันเพราะพริ้ง เลิศประเสริฐศรี เขาจึงให้ชื่อว่าบทกวี
ท่านเป็นบทกวีของพระเจ้า … พระเจ้าที่สร้างมหาจักรวาลนี้ ทำการฝีมือ ก็คือชีวิตของท่าน
ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษากรีกก็ตาม ความหมายของถ้อยคำนี้ ข้อนี้กำลังบอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ หรือเป็นงานฝีมือของพระเจ้า ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เรียกว่าผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามชื่อเรื่อง
พูดอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”
คำว่า “บทกวี” หรือ Poem ซึ่งแปลว่าผลงานชิ้นเอก สื่อให้เห็นถึงอะไร? ถึงงานที่เป็นศิลปะ เป็นผลงานที่บรรจงสร้างขึ้น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีการทำซ้ำ ที่เรียกว่าเป็นแบบ ถ้าโดยทั่วๆ ไป ทางการค้า เขาเรียกว่า Hand made ไม่ใช่เป็นการผลิตแบบโรงงานซ้ำๆ กัน มีจำนวนเยอะๆ มีแม่พิมพ์ แล้วก็ปั้มๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าทีละอัน ทีละตัว นี่พูดถึงสินค้านะ เพราะฉะนั้น พวกท่าน พระเจ้าผลิต สร้างทีละ … ปั้นทีละคน ทีละคนๆ เป็นแบบที่เราเรียกว่าเป็นแบบไม่มีใครเหมือนเลย และไม่เหมือนใคร
พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? พระเจ้าสร้างแบบไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”
ถ้าเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล ตอนเริ่มต้น ที่พระเจ้าสร้างบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ เราจะเห็นได้เลยว่าวิธีการที่พระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ กับวิธีการที่พระเจ้าสร้างหรือปั้นมนุษย์นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร? เรามาดูนะครับ
มาดูเหตุการณ์ที่เกิดในช่วง 5 วันแรก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 1
วันที่ 1 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง”
วันที่ 2 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้า ในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”
วันที่ 3 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดิน”
วันที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงดาวต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า”
วันที่ 5 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ และนกนานาชนิด บินไปบินมาในท้องฟ้า”
แต่พอมาถึงวันที่ 6 ตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น ปั้นมนุษย์นั้น มาดูว่าพระองค์ทรงทำอย่างไร?
พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”
ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ แตกต่างเลยนะครับ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับว่าตอนสร้างอย่างอื่น พระเจ้าเพียงแค่สั่ง ตรัสก็คือสั่ง … สั่งให้มันเกิด มันก็เกิด ตรัสก็คือคำสั่งนะครับ
สมัยก่อน คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? สั่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพาเราไปใกล้เคียงตรงนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่องจักรต่างๆ แค่พูดมันก็ยังทำตามเลย
ขึ้นไปในรถ บอก “โทรกลับบ้าน”
มันก็โทรกลับบ้านเลย ใช่ไหม?
“เปิด” มันเปิดเลย
“ปิด” มันปิด
พระเจ้าทำมาตั้งก่อนโน้น ท่านลองคิดดู ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว พระเจ้าสั่งตรัส สั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นสิ่งของ ให้เกิด สิ่งนั้นก็เกิด ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พอมาถึงมนุษย์ทรงบอกว่าเกิดมนุษย์ อย่างนี้เหรอ ไม่ใช่ บอกว่าอย่างไร? เกิด ก็ไม่ใช่
พระเจ้าตรัสอย่างนี้ … สมมตินะ สมมติ นี่ผมใส่ความรู้สึกลงไป ตอนที่สร้างดวงอาทิตย์ บอก
“ดวงอาทิตย์เกิด” ดวงสว่างเกิด
พอสร้างมนุษย์นะ “ให้เรามาสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบอย่างเราดีไหม? เรามีลูกดีกว่าเนอะ”
เข้าใจหรือเปล่า? เหมือนเศรษฐี อยู่ในครอบครัว คุยกับคนในบ้าน
ผมก็บอกว่า “ซื้อตู้เย็นมาสิ อยากได้ตู้เย็น” เขาก็วิ่งไปซื้อตู้เย็น
“อยากได้สุนัขสวยๆ สักคู่หนึ่ง” เขาก็ไปซื้อมา
เสร็จแล้ว ผมก็หันมาบอกภรรยา “เราอยากจะมีลูกนะ”
ใช่ไหม? ความรู้สึกมันต่างกัน เหมือนกันเลยเนี้ย พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ พระเจ้าก็ใช่วิธีนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า.-
“ให้เรามาสร้างมนุษย์ ให้เป็นเหมือนเรานะ”
ก็คือมาสร้างลูกเรา ให้เรามีลูก อย่างอื่นพระองค์ทรงสั่งให้มันเกิด แต่พอมาถึงมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้น โยบ 10:8 จึงบันทึกอย่างนี้นะครับ ในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทำ” หรือ “ปั้น”
โยบ 10:8 “พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้าง และทรงปั้นข้าพระองค์มา”
ท่านเริ่มเห็นภาพว่าเราแตกต่างกับสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดอย่างไร?
อิสยาห์ 43:21 “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา”
ใช้คำว่า “ปั้น” ในหนังสือสดุดี ได้บรรยายให้เห็นภาพถึงฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ในการบรรจงสร้าง มีลูก คือมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ให้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีที่ทรงตั้งใจที่จะปั้นขึ้น สร้างขึ้นมา และทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ผลงานแต่ละชิ้นของพระองค์ออกมาเป็นใคร? ทีละอัน พาท่านไปดูนะครับ ซึ่งตะกี้นี้ ก่อนจะอ่านสดุดีบทนี้ ให้ท่านพูดอีกที แต่ละอันๆ นั้นมันทำไม? มันไม่เหมือนใคร? และไม่มีใครเหมือน
พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”
นี่คือตัวอย่างนิดหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ตั้งเป็นหลายพันปีว่าพระเจ้าสร้างอย่างไร? ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าสร้างทีละคนอย่างไร? นิดเดียวนะ แต่ความหมายลึกซึ้งมาก อยู่ในสดุดี 139:13-16 อ่านด้วยความลึกซึ้ง เห็นภาพนะครับว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เหมือนเรามีลูก เรารักลูกขนาดไหน? พระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ที่รักเรามาก แต่ละคนๆ ซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
สดุดี 139:13-16 “13 เพราะพระองค์ทรงสร้างส่วนลึกล้ำ ภายในตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา 14 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี 15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”
เหมือนไหม? เหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่เราจะมีครอบครัว อยากจะมีลูก มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เราเตรียมทุกอย่าง ทุกคนไปซื้อมาก่อนแล้ว ซื้ออะไร? ซื้ออุปกรณ์ แล้วในที่สุด ก็ต้องไปเปลี่ยน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย ดันเป็นผู้หญิง แต่รักหมดแหละ เห็นไหม? เราก็เตรียมอย่างนี้แหละ นี่คืออะไร? นี่คือหัวใจของพระเจ้าที่สร้างเรามา พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา ถักทอ
คุณเข้าใจคำว่า “ถักทอ” ไหม? ถักทอ แปลว่าทีละนิดๆ ถักทอคำนี้เขาใช้กับคำว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกอะไร? ถักโครเชต์ ภาษาไทย ก็คือถักโครเชต์ เสื้อถัก เสื้อไหมพรมถัก มีใครไหมถักเร็วมากๆ แป๊บเดียวเสร็จ ถักแปลว่านาน ประณีต ทีละนิดๆ ถักไปเรื่อยๆ ตัวหนึ่งอาจจะใช้เวลา ตั้งเป็นปี เป็นเดือน ถักไปเรื่อยๆ นี่แหละ พระเจ้าสร้างเรา
พระคัมภีร์ต้องการให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าประณีตในการสร้างเราขนาดไหน? พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนะ ที่ว่าสวยงามแล้วนะ ยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะว่าพระองค์ให้ความสำคัญของท่านมากกว่านั้นตั้งเยอะ พระองค์ไม่ได้ถักทอดวงอาทิตย์ทีละนิดๆ พระองค์สั่งให้มันเกิด มันก็เกิดนะ แต่ท่านคนเดียว พระองค์ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร? ผมไม่รู้
“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ น่าครั่นคร้าม”
สร้างท่านอย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม แบบมันเหลือเชื่อ พูดง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ
“เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก”
แอบไปทำอะไรบางอย่าง งานฝีมือ แบบไม่มีใครรู้เลย ทำอะไร? สร้างท่าน แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนพระองค์เข้าไปในห้องส่วนตัว เข้าไปในห้องส่วนตัว ห้องแล็ปส่วนตัวเลย สร้าง ถักตรงนั้น ถักตรงนี้ เสื้อตัวนี้เสร็จเมื่อไร ไม่รู้ แต่ถักเป็นพิเศษ เสร็จออกมา ชื่อ “นคร” ตัวต่อมา ชื่อใคร? ชื่อท่านนั่นแหละ ท่านอาจจะถูกถักก่อน ผมว่าท่านอาจจะแก่กว่าผมแล้ว ท่านอาจจะถูกถักๆ ทีละตัวๆ ที่ไหน? ที่ส่วนล้ำลึก ก็คือที่ห้องส่วนตัวของพระเจ้า ผมอยากจะบอกท่าน พยายามให้ท่านได้รู้เรื่อง พาท่าน อธิบายภาษาง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นว่ามันแปลว่าตรงนี้ ส่วนลึกๆ มันหมายถึงห้อง ภาษาราชาศัพท์เขาเรียกอะไรนะ ห้องรโหฐานของพระองค์ ห้องล้ำลึกของพระองค์เงียบๆ ตรงนั้นแหละ ห้องส่วนตัว
“ไม่มีใครรู้ ลูกของฉัน น่ารักจัง ลูกเป็นอย่างไรหนอ”
เหมือนแม่ที่ดูลูกในท้อง แล้วก็คลำอยู่ตลอดเวลา เงียบๆ อยู่คนเดียว หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ 9 เดือน คล้ายๆ อย่างนั้น
ยกมาให้ท่านดูทีละนิด เพื่อจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความรัก และการมีคุณค่าในตัวของท่าน ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้
“พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”
เข้าใจใช่ไหมครับว่าเป็นอะไร? พระเนตรของพระองค์ ก็คือพูดง่ายๆ ตาพระองค์เห็นเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด เหมือนไหม? เหมือนลูกเราไหม? เรานึกภาพ ลูกเราคงเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าเห็นภาพก่อนแล้ว เหมือนศิลปินที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องเห็นภาพ ในมโนภาพของเขา และเขาต้องเห็น เขาจึงจะจินตนาการตามภาพที่เขาเห็น เขียนอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตรงนี้ต้องสวยอย่างนั้น เหมือนเวลาผมแต่งเพลง ผมต้องคิดก่อนว่าเพลงนี้มันจะต้องเพราะอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ มันต้องเห็นอย่างนั้นก่อน ถึงจะทำทีหลัง ไม่ใช่ทำไปเห็นไป ไม่ใช่ มันต้องมีใจลึกๆ รักในสิ่งนั้น แล้วรู้ว่ามันคืออะไร? แล้วก็ทำให้มันเป็นไปตามภาพในจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าก็ทำกับเราอย่างนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเลย และไม่ซ้ำแบบ
ถักนครเสร็จ ไปถักอีกคนหนึ่ง ถักเหมือนกันเลย อย่างนี้ไม่เรียก Masterpiece อย่างนี้ไม่เรียกว่าผลงานชิ้นเอก อย่างนี้เรียกว่าของโหล ปั้มเอานี้หว่า ของปลอม ตำรวจจับ อย่างนี้ของปลอม ถ้าของจริงไม่ใช่ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน มันถึงมีราคาไง
ตอนที่อ่านเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” ใช่ไหมครับ? หรือภาษาอังกฤษบอกว่า “Masterpiece” อาจไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไร? แต่พอได้มาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้ คราวนี้ ทำไมท่านรู้แล้วว่าคำว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ท่านพองตัวใหญ่เลยนะ รู้สึกหรือยังว่ามีค่า หรือว่ายังรู้สึกว่าไม่มีค่าเหมือนเดิม พูดมาตั้งนานแล้ว พูดให้ชื่นใจหน่อย มีค่าขึ้นไหม? เห็นแต่ละคนอกใหญ่ขึ้น ตะกี้ฟังไปตอนแรกๆ ทำไมเหี่ยวอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิม
พูดพร้อมกันสิ “ฮึกเหิม”
รู้ว่าเรามีค่าอย่างไร? ใช่ไหม?
ปฐมกาลเมื่อตะกี้บอกว่าพระเจ้าสร้างอย่างอื่น ใช้คำว่า “ตรัส” “จงเกิด” ทุกอย่างก็เกิดขึ้น แต่พอสร้างมนุษย์ พระเจ้าบอกว่า “ปั้นและถักทอเขาขึ้นมา” พอเห็นภาพงานศิลปะไหม? อย่างที่ผมบอก อย่างนี้เรียกว่าศิลปะใช่ไหม? แล้วก็ไม่ใช่งานฝีมือหรืองานศิลปะแบบทั่วๆ ไป แต่เป็นงานศิลปะเป็นแบบ Masterpiece คือเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างที่ผมบอกแล้ว ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร
ทุกท่านคงรู้จักภาพนี้นะครับ ผมเอามาให้ท่านดู ภาพนี้คือภาพ … ภาพใครครับ? คุณน้าโมนาลิซ่า เขาเอาไปใช้ชื่อเยอะเลย คุณน้าบ้าง คุณป้าบ้าง แต่จริงๆ ภาพนี้คือภาพโมนาลิซ่า ดังมาก ใครเป็นคนวาดภาพ? ลีโอนาร์โด ดาวินชี แล้วท่านคิดว่าภาพโมนาลิซ่าที่เป็นต้นฉบับ ที่วาดโดยดาวินชี จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ต้นฉบับนะ Masterpiece ของก๊อปไม่เอานะ เอาแต่ของแท้มีอันเดียว ดาวินชีไม่ได้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ทำเยอะนะ ทำอันเดียว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? ไม่ทำซ้ำ นึกออกใช่ไหมว่ามีมูลค่าเท่าไร? มันมีค่ามหาศาล จนกระทั่ง ประเมินคุณค่าไม่ได้เลย นี่ขนาดฝีมือมนุษย์นะ
ข้อมูลของภาพนี้ ก็คือโมนาลิซ่า วาดโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ภาพหนึ่งที่รู้จักในฐานะของภาพของสุภาพสตรี ที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะหรือยิ้มแบบร้องไห้กันแน่ ปัจจุบัน ต้นฉบับของภาพนี้อยู่ในความครอบครองดูแลของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หามูลค่าไม่ได้เลย มากมายมาก ภาพนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?
ท่านลองคิดดูนะครับ ขนาดศิลปินดัง ไมเคิล แองเจโล, ดาวินชี ซึ่งแต่ละคนจะมีผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของตนเองนะครับ และผลงานชิ้นเอกของศิลปินเหล่านี้ ต้องเรียกว่ามีมูลค่ามหาศาลมากมาย ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์หมดเลยนะครับ แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของศิลปิน ผู้มีนามว่าพระเยโฮวาห์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้นี้ … เฉยๆ เลย ไม่ปรบมือเลย ไม่ภูมิใจเลยเหรอ หรือภูมิใจจนกระทั่งตะลึง คิดอะไรไม่ออก
“ไม่นึกเลยว่าฉันจะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า ฉันมีค่ามากกว่ารูปบนผนังเพดานของเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ไมเคิล แองเจโลวาด ฉันมีค่ามากกว่านั้นเหรอ”
ใช่ บอกว่าใช่เลย เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น เมื่อท่านดูความงามของธรรมชาติ ใครเคยดูความงามของธรรมชาติบ้าง ทุกคนได้ดูหมดแหละ ดูมากดูน้อย แล้วแต่คนที่ไปเที่ยว หรือไม่เที่ยวเลย ก็เห็น … เห็นความงามเยอะแยะมากมายไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า สวยงาม ใครเป็นคนสร้างเหล่านั้น แล้วท่านมีค่ามากกว่านั้นอีก
วันก่อนนี้ ผมได้ไปเล่นน้ำในทะเล โอโห้! แค่เห็นทะเล แล้วอากาศมันดี ทะเล คลื่นเล็กๆ ว่ายน้ำในทะเล ตอนเช้า สรรเสริญพระเจ้า ทำไมมันงดงาม ทะเลที่พระเจ้าสร้าง เมฆต่างๆ ประมาณสัก 9 โมงเช้า ทันทีทันนั้น ฝนไม่ตก แต่เหมือนกับฝนตก แต่มันไม่ตก ทันทีทันใดนั้น มันก็มีรุ้งน้ำ ครอบทะเล มองออกไปนอกฝั่ง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า สวยไหม? สวยหรือไม่สวย? ท่านไม่เห็น ท่านรู้ได้อย่างไร? ท่านรู้ ท่านเคยเห็นบ้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ มันสวยมาก นั่นคือหนึ่งในจำนวนที่เคยเห็นในชีวิต อย่างอื่นๆ อีกมากมายในธรรมชาติ ที่สวยงาม และพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ใครสร้าง? พระเจ้าสร้าง และสร้างเราสวยกว่านั้นอีกตั้งกี่เท่าก็ไม่รู้ เห็นภาพตัวเราเองอยู่กลางรุ้งเลย สร้างเหล่านั้น เพื่อให้สนับสนุนเรา
เราย้อนกลับมาที่ภาพโมนาลิซ่าอีกครั้ง เห็นไหม? สมมติพระเจ้าสร้างท่าน … ท่านเป็นโมนาลิซ่า ภาพนี้ รุ้งกินน้ำ หรือดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกว่าสวยงาม เหมือนต้นไม้รางๆ ข้างหลังภาพ ท่านพอมองเห็นไหม? ทางขวามือสุดๆ เงาๆ ลึกๆ นั้น มันต่างกันกับความงามของโมนาลิซ่าไหม? ท่านพอเข้าใจไหม? ที่ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างคุณค่าของท่านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดว่ามันยิ่งใหญ่แล้วนะ ท่านใหญ่กว่านั้น ท่านสำคัญกว่านั้น ท่านมหัศจรรย์กว่านั้นตั้งเท่าไร?
แล้วท่านคิดว่าตัวท่านเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ท่านมีค่าขนาดไหน? ควรจะเก็บท่านเข้าพิพิธภัณฑ์ไหม? ท่านมีค่ามากไหม? ไม่ต้องแต่งงานแล้ว เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลยดีไหม? พูดเล่น อันนี้พูดเล่น ตะกี้นี้บอกของมีค่ามากจนขายไม่ได้ ต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมีค่ามากกว่านั้นเท่าไร? ท่านลองคิดดู ถ้าท่านรู้อย่างนี้ แล้วแต่ละคนทำไม? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร
พูดอีกครั้งหนึ่ง “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”
แต่ที่น่าเสียใจ ก็คือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไร้ค่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาไงว่าเขา คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ที่พระเจ้าสร้างและใส่ไว้ในชีวิตของคนๆ นั้น เอเมน รู้หรือยังตอนนี้ รู้แล้ว
ถ้าคริสเตียนไม่รู้ พอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ก็คือไม่รู้ตัวว่าเรามีค่าขนาดไหน? เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า หลายคนก็เลยทำไหม? ก็เลยเป็นคริสเตียนแล้ว มีคุณค่าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว หลายคนก็เลยพยายามที่จะหาหนทาง ทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวเอง เคยไหม? เราเคยทำไหม? หรือเราเคยเห็นใครทำไหม? ทุกคนมีส่วนอยู่ในการกระทำอย่างนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
หลายคนก็พยายามหาหนทาง สร้างค่าให้ตัวเอง ทั้งๆ ตัวเองมีค่าอยู่แล้ว คือคิดเองตามระบบโลกว่าต้องทำแบบนี้นะ ถึงจะเรียกว่าคนที่มีคุณค่า คืออะไร? คือต้อง … ภาษาไทยเขาเรียกว่าเสแสร้ง คุ้นๆ คำนี้ไหม? มาแล้ว ชักแรงแล้วนะ หลอกชาวบ้านเขา หลอก เสแสร้ง หลอกตัวเองด้วย หลอกชาวบ้านเขาด้วย มันไม่ใช่หลอกแบบหลอกลวง ไปขโมยเขา ไม่ใช่ ไม่ได้ความหมายนั้น นี่หมายถึงเสแสร้งให้คนยอมรับเรา ให้เรามีคุณค่าขึ้นมา
ไม่มีกำลังจะซื้อของแบรด์เนม รู้จักของแบรด์เนมใช่ไหม? ของแบรด์เนม ภาษาไทยเขาเรียกว่าของมียี่ห้อ พวกเศรษฐีเขาใช้กัน แต่เราเป็น “เศษ” ไม่มี “ฐี” แต่เราอยากจะใช้แบรด์เนม จะได้เข้าสังคมเขาได้ ก็ไปซื้อแบรด์เนมที่เป็นของปลอมมาใส่ อุตส่าห์ไปซื้อของปลอมมาใส่ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราก็ใช้แบรด์เนมเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าการที้ใช้แบรด์เนม จะทำให้เราดูมีค่าขึ้นมา ดูสวยขึ้นมา ดูดี มีฐานะ
พูดถึงฐานะยิ่งชัดเจน บางคนขับรถ ใช้รถ ไม่ได้ว่าใครนะ บางคนใช้รถราคารถมันเกินกว่าทรัพย์สินอยู่ อุตส่าห์ไปผ่อนมา เกินกำลังมาก รถถูกกว่านี้ก็มี แต่เราจะใช้หรูๆ เพราะจะได้มีระดับ
นี่คือไม่รู้ตัวตน ทุกคนเป็นหมดล่ะ เป็นมากหรือน้อย นี่ยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมกลับบ้านไม่ได้ แต่ละคนตาเริ่มเขียว ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้ว ผมเลยไม่อยากยกเยอะ
บางคนชัดเลย อันนี้โดนหลายคนเลย โทรศัพท์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรเลย เปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนรุ่นใหม่ เพราะอะไร? เพราะเพื่อนๆ ที่ห้องเรียนเขาใช้กันอย่างนี้ทั้งหมด เห็นไหม? นี่คืออะไร? ก็ไม่รู้คุณค่าของตัวเขาเอง แล้วคนที่พูด คือใคร? ไม่รู้ ในห้องเรียนเขาพูดกันอย่างนี้ ว่าอย่างนี้มันเชยแล้ว ปรากฏว่าในห้องเรียนนั้น ไม่มีใครเป็นคริสเตียนสักคน มีตัวเขาเองเป็นคริสเตียน เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองมีค่าที่สุดกว่านักเรียนที่เหลือ ที่พูดทั้งหมดเลย เขาควรจะบอกนักเรียนที่เหลือบอกว่า
“ฉันมีค่ามากเลย พวกเธอควรมีพระเยซูนะ ฉันมีพระเยซูแล้ว ฉันมีค่ามาก เพราะฉันเป็นผลงานชิ้นเอกในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่แล้วนะเนี้ย สวยงามขนาดไหนนะ”
แทนที่จะพูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ตัวเอง เขากลับไปพูดว่าเขาอยากจะอยู่กับเพื่อนๆ … เพื่อนๆ บอกในสังคมนี้เขาต้องใช้โทรศัพท์ 5 พลัส 6, 7 พลัส เราก็พลัสกับเขาบ้าง? พลัสไปพลัสมา เสียเงินเปล่าๆ ใช้อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ใช้นิดๆ หน่อยๆ แต่ดันไปซื้อแพง ไม่ได้ว่าใครนะ
เห็นไหม? เพราะเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือตัววัดคุณค่าของเราเอง ทำให้เราเองมีคุณค่าขึ้นมา เขาเรียกว่าเสแสร้ง มันเป็นทุกคนแหละ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง มันเป็นทุกคน มนุษย์เราทุกวันนี้ มันมองเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราถูกหลอกไง?
เพราะฉะนั้น การมาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเจ้า … พระเจ้ามองเราอย่างไร? พระเจ้าสร้างเราอย่างไร? มันทำให้เรารู้คุณค่าของเราเอง และเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครเลย เราจะทำไม? เราจะภูมิใจ เราไม่ต้องสร้างมูลค่าของเราเองขึ้นมา เพราะพระเจ้าให้เรา และมูลค่าเราเป็นเพชร เป็นพลอย เอเมน ใช่ไหม?
ท่านรู้ไหม พระเจ้าพูดอย่างไร? เมื่อมองเห็นท่าน พระเจ้าบอก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก ภูมิใจมาก ตรงนั้นก็สวย ตรงนี่ก็สวย เหมือนผมแต่งเพลงมา ผมก็โอโห้! เพราะมาก ใครจะว่าอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมแต่งเอง ผมก็บอกว่าเพราะมาก เพราะจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าบ้าตัวเอง หลงตัวเอง แล้วจะให้ไปบ้าคนอื่นทำไมล่ะ เพราะเราสร้างของเราขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่รู้ใครจะดีหรือไม่ดี ไม่รู้ แต่เพลงที่เราแต่ง ที่เราร้อง มันเพราะที่สุดของเราแล้ว เอเมน เพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้ลอกใคร มันเป็นของเราเอง เป็นของแท้
“ใครจะร้องดีกว่านี้ เป็นนักร้องยอดเยี่ยม นิยมจากเวทีไหนไม่รู้ ร้องยังไง ก็เพราะสู้ฉันไม่ได้หรอก”
“เพราะอะไร?”
“เพราะฉันเป็นคนสร้างเพลงนี้เอง เอเมน”
พระเจ้าก็เหมือนกัน สร้างท่าน เป็นผลงานของพระองค์เอง ไม่มีใครดีกว่าท่านอีกแล้ว เข้าใจไหม? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันว่าคนนี้สวยกว่าๆ
“สวยสู้ฉันไม่ได้ แล้วกัน (แบบเฉพาะของฉันนะ) ที่พระเจ้าสร้าง”
เข้าใจไหม? สังคมบอกอย่างนี้สวยกว่า ไม่ใช่ ไม่ต้องไปฟังสังคม ฟังพระเจ้าพูด พระเจ้าบอก
“อย่างเธอต้องแต่งอย่างนี้ ตัวไม่ต้องสูงมาก”
อะไรอย่างนี้ ถูกไหม? เราก็ไม่ต้องไปตัดขา พยายามต่อขาให้ยาว ให้จมูกเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำจมูกมากกว่านี้ ก็แค่นั้นแหละ พระเจ้าบอกสวยมาก สังคมเขาจะว่าอย่างไร? เรื่องของเขา แต่พระเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”
พูดตามผมนะครับ “พระองค์ภาคภูมิใจในนคร …. (ใส่ชื่อท่าน) อย่างมาก พระองค์ภาคภูมิใจในผลงานชิ้นเอกคุณนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผลงานชิ้นเอก พระองค์ภาคภูมิใจในนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มากเลย ทำไมลูกคนนี้หล่อ (สวย) อย่างนี้”
ใส่ชื่อท่าน หัวเราะทำไมล่ะ จะให้ผมพูดอย่างไร? พูดสิ สวยๆ หล่อ ไม่กล้าพูดอีก ท่านยังไม่มั่นใจตัวเองเลย พระเจ้ามั่นใจกว่าท่านมาก พูด ไม่มั่นใจอีก แสดงว่าท่านถูกสังคมหลอกนานแล้วสิ หลอกมา 60, 70 ปีเลยใช่ไหมว่า “ไม่หล่อๆ” เลยไม่กล้าพูด “ไม่สวยๆ” ไม่กล้าพูด วันนี้เปลี่ยนใหม่ ความจริงมาทำให้เป็นไทแล้ว The truth shall make you free. ก็คือความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านนะสวย, หล่อที่สุดแล้ว บอกสิ ไม่กล้าพูดอีก
“สวย, หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นแบบเฉพาะของฉัน” ใช่ไหม?
เพราะถ้าเราสามารถเชื่อและมั่นใจว่าเราเป็นใครในพระเจ้า เชื่อว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่าเมื่อตะกี้นี้ เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ไม่พยายามที่จะเสแสร้งหลอกคนอื่น เราก็จะเป็นตัวของเราเองมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้ และคุยกันบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือเรียกว่าผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
พูดดังๆ เลย “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”
เพราะฉะนั้น เราควรจะมีความเชื่อ และมั่นใจในลักษณะเดียวกันกับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า? ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถามจริง? จริง มั่นใจไหม? ถามอีกที ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? มั่นใจขนาดไหน? คิดในใจว่าที่ท่านพูดว่าจริงเมื่อตะกี้นี้ว่า
“ฉันเป็นคนไทย”
ท่านมั่นใจขนาดไหน? ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อกว่าท่านอีกแล้ว ท่านมั่นใจไหม? มั่นใจ … มั่นใจกว่าตะกี้นี้ไหม? เท่าที่ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนไทยไหม? เท่ากันไหม? คิดเองก็แล้วกัน กลับไปบ้าน ไปพูดหน้ากระจกว่าท่านมั่นใจไหม? ถ้าท่านมั่นใจพูดไปเลย ต่อหน้าคนมหาศาล ท่านสามารถพูดได้ไหมว่าท่านเป็นไทย?
สมมติว่าให้ท่านขึ้นไปบนธรรมาส หรือบนเวที ท่านสามารถพูดได้ไหมว่า.-
“ผมเป็นคนไทย” หรือ “ฉันเป็นคนไทย”
สามารถไหม? สามารถ ท่านขึ้นไปเวทีเดียวกัน บอก.-
“ฉันเป็นคนสวยที่สุด” กล้าไหม?
เห็นไหม? ไม่กล้า ทำไมล่ะ อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ เราพูดให้ฟัง อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริงของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ไม่ได้ว่าใคร? ผมก็เป็น แต่เรามาเรียนรู้ที่เราจะฝึกฝน ที่เราจะเป็นน้อยหน่อยไง เข้าใจใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าพอพูดเสร็จ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องโกรกผม … ผมก็จะไปโกรกเหมือนเดิม ทำไมหล่อ แล้วไปโกรกทำไม? วันนี้ คือวันที่พระเจ้าจัดไว้ว่าโกรก ก็ทำไปสิ แต่มั่นใจในตัวเอง มันไม่ได้สวยขึ้นหรอก พระเจ้าทำให้สวยอยู่แล้ว โกรก แล้วเราดูดีขึ้น เราเองนะดูดีขึ้น ใจเราสบายใจขึ้น ถึงไม่โกรกมันก็ดีอยู่แล้ว แต่โกรก เราสบายใจขึ้น ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิมเรา เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนั่น นครก็ยังเป็นนครเหมือนเดิม จะนครผมขาวหรือนครผมดำ มันก็นครคนเดิม ที่พระเจ้าสร้างเป็น Masterpiece เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และ … ที่สุดเลย ท่านก็ไปเติมของท่านแล้วกัน เข้าใจใช่ไหมครับ? ผมจะบอกว่าเราอยู่ในกระทะเดียวกัน ไม่ได้พูดเพื่อจะไปบอกใครว่าใครแย่กว่ากัน หรือเราแย่กว่าใคร เราไม่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เราเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าสร้างทุกคน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน จึงไม่มาเปรียบเทียบกันไง เปรียบเทียบกันไม่มีประโยชน์ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร? ใครสวยกว่ากัน? ภาพโมนาลิซ่ากับภาพของไมเคิล แองเจโล เปรียบไม่ได้ เพลงไหนเพราะกว่ากัน ต่างคนต่างเป็นของแท้ เพลงนี้กับเพลงนี้ เทียบกันไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน
เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจ ให้เรารู้ว่าเรานั้นมีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ให้เรามั่นใจเหมือนที่เราพูดกับผู้คนทั้งหลาย 100% ว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาเราจะเหมือนคนต่างด้าว แต่เราก็ยังเป็นคนไทย จะมาชี้อะไรต่างๆ เราก็อาจจะเกรี้ยวกราดกับตำรวจ
“ฉันเป็นคนไทย ไม่รู้หรือไง”
“ทำไมหน้าตาเหมือน …”
“เหมือนอย่างไร ฉันก็ยังเป็นคนไทย”
มั่นใจไหม? เหมือนกัน
“ฉันเป็นการฝีมือของพระเจ้า สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก”
เอเมน … เข้าใจใช่ไหม?
อย่างบางคนที่เกิดมามีส่วน หรือลักษณะในร่างกายที่เสียหายไป จงมั่นใจว่าพระเจ้าสร้างท่านมาอย่างนั้น ท่านก็เป็นชิ้นพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามาก และถ้าเรารู้อย่างนี้ ท่านคิดดู ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะเห็นคุณค่า
“พระเจ้าสร้างเรา เพราะมีความต้องการอะไรบางอย่างในชีวิตของฉัน สร้างฉันเพื่ออะไร? เพื่อจะใช้ฉันในอนาคต ถ้าฉันไม่ตาบอด ฉันก็อาจจะแต่งเพลงนี้ไม่ได้หรอก”
เข้าใจใช่ไหม?
“ถ้าฉันไม่เป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็จะไม่สามารถใช้ฉันให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นได้”
มันต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราเป็นอะไรบางอย่าง เพื่อพระเจ้าจะใช้เราไง เอเมน … เอเมนไหม?
ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะ พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนที่ท่านบอกว่าท่านเป็นคนไทย? เข้าใจใช่ไหม? เข้าใจความรู้สึก สภาพที่ว่าถ้าใครมาบอกท่านเหมือนคนต่างด้าว ท่านจะบอกเขาว่า
“ฉันเป็นไทย”
ท่านมั่นใจมาก ให้ท่านพูดอย่างนั้นนะ พูดตามนะครับ ใส่ชื่อท่านเอง เวลาผมใส่ชื่อผม
“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า”
นี่คนไทยหรือเปล่าเนี้ย ทำไมตอบแค่นี้เอง พูดแค่นี้เองเหรอ เขาบอกว่าท่านเป็นต่างด้าว ไม่ให้ท่านเข้าเมือง ไม่ให้เข้าประเทศนี้แล้วนะ ท่านจะตอบเขาอย่างนี้ ไม่ให้ท่านเข้าแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ ท่านเข้าใจไหม? ให้ท่านพูดด้วยความมั่นใจว่าตอนนี้ มีความรู้สึกว่าท่านกำลังไปเมืองนอกกลับมา เขาไม่ให้ท่านเข้าเมือง เขาบอกว่าท่านเป็นคนต่างด้าว ท่านบอกเขาว่าอย่างไร?
“ฉันเป็นคนไทย”
พูดนะ พูดชื่อท่านนะครับ
“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หล่อ (สวย) ที่สุดแล้ว หล่อ (สวย) กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) แก้วตา ดวงใจของพระเจ้า”
คืออยากให้ท่านมีความมั่นใจ เอาอย่างนี้ไปพูดหน้ากระจกบ่อยๆ ได้ไหม? ได้ อย่าให้ใครฟังเหรอ ใครจะฟังช่างเลย มันเรื่องจริง ใช่ไหม? นะ เอาไปพูดบ่อยๆ หมั่นพูดอย่างนี้เสมอ แล้วก็ติดตามตอนต่อไป ตอนโน่นตอนนี้ต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นตัวตนในพระคริสต์อย่างไร? เอาไปพูด … พูดให้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่พูด เราจะกลัวโน่นกลัวนี่ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านเขา เพราะเรามีค่ามากที่สุดแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่าในชีวิตจริง เราอาจจะขับรถเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีรถขับเลย ต้องนั่งรถเมล์ เราก็มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจที่พระองค์รักที่สุดแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าท่านจะนั่งรถเมล์หรือขี่รถเบนซ์ พระเจ้าสร้างท่านพิเศษเฉพาะสำหรับท่าน เอเมน
วันนี้ให้เรามั่นใจตรงนี้นะครับว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีค่ามากมายมหาศาล พระเจ้าสร้างท่านด้วยความระมัดระวัง ด้วยความรักทะนุถนอม ด้วยความทุ่มชีวิตของพระองค์ลงไป เพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านคนเดียวเลยนะ ท่านอย่าคิดว่าท่านนิสัยตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี หน้าตาตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี พระเจ้าบอกดี โอเค ใช้ได้ ยอดเยี่ยมเลย ดีๆ เชื่อให้ได้อย่างนี้ เหมือนที่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย แล้วการดำเนินชีวิตทุกอย่างจากนี้ต่อไป ท่านจะเปลี่ยนไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะท่านรู้คุณค่าของตัวเองว่า.-
“พระเจ้าสร้างฉันอย่างไร? ฉันอยากจะสรรเสริญพระเจ้าที่สร้างฉันอย่างงดงามอย่างนี้ เอเมน”
ขอพระเจ้าอวยพรครับ