วารสาร Holy News ฉบับที่ 1312

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “ใครกันล่ะ? ที่เอาชนะโลกนี้ได้”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

 

เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “ความสุขแท้ไม่มีในโลก” จริงไหมครับ? สุขแท้จริงไม่มีในโลก

เขาบอกกันอย่างนี้ว่า “ความสุขในโลก คือความทุกข์ที่มันน้อยลงนิดหนึ่ง” ก็แสดงว่าพื้นฐานมันเป็นความทุกข์ทั้งหมด  ความสุข คือความทุกข์ที่ลดน้อยนิดหนึ่ง เหมือนเราอยู่ในทะเล คลื่นทะเลไม่เคยสงบ น้อยมากที่จะสงบ เราบอกสงบ แต่จริงๆ มันมีคลื่นอยู่ แต่คลื่นมันเบาลง แต่ทะเลชีวิต คลื่นส่วนใหญ่รุนแรงทั้งสิ้น  พอมันเบาลงนิดหนึ่ง เรารู้สึกมีสุข แต่จริงๆ แล้ว มันก็คือความทุกข์นั่นเอง เพราะฉะนั้น ความสุขที่เรามีอยู่ ในขณะนี้ เดี่ยวมันก็มาระลอกใหม่ ด้วยความทุกข์นั่นเอง มาแทนที่ เพราะฉะนั้น สุขไม่มี มีแต่ทุกข์น้อย ทุกข์มาก บนโลกใบนี้ นี่คือความจริง  ซึ่งใครๆ ก็ยอมรับ สุขแท้จริงไม่มี โลกใบนี้มีแต่ … เหมือนที่เขาบอกประเทศไทยมี 3 ฤดู คือฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนที่สุด  และในปัจจุบันเพิ่มอีกฤดูหนึ่ง  เป็นฤดูที่ 4 คือร้อนมากที่สุดเลย  เช่นเดียวกัน โลกใบนี้  เต็มด้วยความทุกข์ เพียงแต่ว่ามีทุกข์น้อย ทุกข์มาก ทุกข์มากที่สุด และทุกข์มากที่สุด  (เติมเอาเองนะ)

แต่ไหนแต่ไรมา ความทุกข์ก็มีอยู่กับมนุษย์ตลอดมา เสมอไป  ความโลภ ก็ทำให้เป็นทุกข์ โลภทุกอย่าง ก็เป็นทุกข์ แล้วเราชนะโลภได้ไหม?  ไม่มีใครชนะได้สักคน ผมเห็น ชนะตรงนี้ ก็ไปโลภตรงอื่นแทน  มันยากมาก สิ่งที่เราไม่อยากทำและรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งชั่ว เกิดผลไม่ดีต่อชีวิตของเรา ทำให้เกิดทุกข์เยอะขึ้น  เรากลับสู้มันไม่ได้ ก็ต้องทำมัน  ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี แต่สิ่งที่ดี ที่จะทำให้ชีวิตเรามีทุกข์น้อยลง บนโลกใบนี้ กลับยากเหลือเกินที่จะทำ ถูกหรือไม่ถูก? ถูกนะ

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์  สุขแท้จริงไม่มี มนุษย์จึงพยายามหาทางเอาชนะความทุกข์นี้ให้ได้ ด้วยวิธีการต่างๆ นานา มนุษย์ต้องการที่จะ …

“เมื่อไรหนอ จะหมดเวรหมดกรรม หมดทุกข์หมดโศก สักทีหนึ่ง” ใช่ไหม? คุ้นเคยเป็นอย่างดี

ผมว่าโลกใบนี้  มันเหมือนเรือที่แตก มนุษย์ทุกคนอยู่บนเรือลำนี้  และโลกใบนี้ เรือลำนี้กำลังแตก กำลังจมลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทร ด้วยแรงดึงดูดของโลก มนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนชั่ว ทำดี ทำชั่วเท่าไรก็ตาม ก็จะถูกดูดลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทรทั้งสิ้น ด้วยแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

“มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม”

กฎแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กฎนี้ก็ยังอยู่ พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่าโลก และทุกสิ่งบนโลก รวมทั้งมนุษยชาติกำลังจมลงสู่ความพินาศ ใต้บึงไฟ ด้วยแรงดึงดูดของความบาป  ของอำนาจของมาร  และตามการถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว 2 เปโตร 3:9-10 ฟังถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ …

2 เปโตร 3:9-10 “9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้น จะถูกเผาจนหมดสิ้น”

 

นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ หรือบนเรือที่กำลังล่มอยู่นี้ คือพระองค์ไม่ประสงค์ให้คนใดคนหนึ่งพินาศ  ไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งจมหายไปในความพินาศนั้น  แต่ต้องการ ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่  คือย้ายซะ เดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป  กลับใจใหม่ คือมารับการช่วยเหลือจากพระองค์ ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ แทนที่จะประพฤติดี ตั้งใจ  เพื่อที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หมดเวรหมดกรรม กลับมาหาพระองค์ มารับการอภัยโทษจากพระองค์ รับการยกบาปจากพระองค์เถิด

มนุษย์ก็ทราบดีว่าเราไม่มีทางสามารถที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างเช่นเราจะคุยกันอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อไรหมดเวรหมดกรรม เมื่อไรจบชีวิตไป ตายไป ก็ต้องไปพบกับมัจจุราช มัจจุราชก็ตรวจดูบัญชี  ถ้าใครทำดีให้ไปสวรรค์ นั่นหมายถึงว่าถ้าใครทำดี ครบถ้วนบริบูรณ์ 100%  ไม่เคยทำบาปทำชั่วเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีจุดด่างพร้อยเลย ก็ได้ไปสวรรค์ แล้วเราก็รู้กันอยู่ในจิตใจของเราแล้ว เราไม่มีทางที่จะทำดีครบถ้วน ก็คือไม่เคยทำบาปเลยสักครั้งเดียว มันเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา วันที่สิ้นสุดโลกใบนี้ ในนี้บอกว่าฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงกึกก้อง

“ฟ้า” ตรงนี้ หมายถึงฟ้าทั้งหมด  หมายถึงโลก และมองขึ้นไป  เห็นนกบินอยู่ นั่นคือฟ้าที่หนึ่ง  ฟ้าที่สอง คือหลังจากที่นกบินขึ้นไป มีดวงดาวต่างๆ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ นั่นแหละอีกฟ้าหนึ่ง ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น จะไม่มีอีกต่อไป

“โลกธาตุ” ก็คือโลกใบนี้ วัตถุต่างๆ  ที่จับต้องมองเห็นได้ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา  ที่เราเห็นอยู่นั้น  ต้นไม้ใบหญ้า ก็จะถูกเผา จนสูญสิ้นไป ทั้งหมด

นี่คือสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องชนะโลก มิฉะนั้น  ก็ต้องพินาศ ทุกข์นิรันดร์ไปกับโลกใบนี้  ที่มันกำลังสูญสิ้นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณของมนุษย์  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์  จะต้องสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณ ที่ถูกสร้างโดยพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้ว่าพระเจ้าบอกว่าผู้ที่จะมาหาพระองค์ ที่จะมาเรียนรู้เรื่องพระองค์ คือจะมาแสวงหาพระองค์ ต้องแสวงหาพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริง

เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้  รู้สึกก็ไม่ได้ด้วย คิดก็ไม่ถึง คิดก็ไม่ออก บอกก็ไม่ถูก สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย ต้องใช้ความเชื่อ  … เชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่สอนเรา ที่บอกเรา ชี้ทางให้เราในโลกวิญญาณ ที่เป็นความจริงเหล่านี้ เหมือนตะกี้ที่ผมบอกว่าแรงดึงดูดของโลกมีอยู่จริง แม้มองไม่เห็น  เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันมีอยู่จริงๆ ถ้าเชื่อ ก็จะได้ประโยชน์จากมัน

เพราะฉะนั้น จะเชื่อความจริงจากที่พระเจ้าบอกในถ้อยคำของพระองค์ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อเมื่อไร ก็เท่ากับปฏิเสธความจริง  ก็ถูกมารหลอก มีอยู่ 2 ข้างเท่านั้นเอง จะเชื่อความจริงนี้ หรือจะถูกมารหลอก  พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงแนะนำมนุษย์อย่างนี้ว่า …

“ใครที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น”

คำว่า “ตามองเห็น” หมายถึงจับต้องมองเห็นได้อะไรต่างๆ  ไม่ใช่ ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ด้วยความเชื่อเท่านั้น ผู้ที่มาหาพระองค์ จะต้องเชื่อว่า …

พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่จริงๆ  เห็นหรือพระเจ้า? ไม่เห็น จับได้ไหม? จับไม่ได้  แตะต้องก็ไม่ได้ อธิบายก็ไม่เข้าใจ แต่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่จริงๆ และด้วยความเชื่อ เราจึงสามารถรู้และเข้าใจว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ ก็ด้วยความเชื่อนั่นแหละ

และพระเจ้าจะให้พร ก็คือเกิดสิ่งที่ดีๆ กับคนเหล่านั้น ที่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เชื่อในโลกวิญญาณ แม้จะจับต้องมองไม่เห็น  แต่เมื่อพระเจ้าบอก และเชื่อตามนั้น เขาก็จะได้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเขา

หัวข้อเรื่องการบรรยายในวันนี้ ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ใครกันล่ะ! ที่เอาชนะโลกนี้ได้” เราบอกโลกใบนี้เต็มไปด้วยบาป เวรกรรม ทุกข์ลำบาก  ตอนนี้ผมกำลังบอกว่าใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้? นี่เป็นข้อความมาจากพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:4-5

ก่อนจะอ่านเรามาลองดูกันแบบหมดอาลัยตายอยากว่า “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้?” เราก็จะคิดกันอย่างนี้  สมมติว่าเรายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราในอดีต ก็จะถามอย่างนี้ “แล้วใครกันล่ะ  ที่จะเอาชนะความทุกข์ลำบาก บาปเวรกรรมเหล่านี้ได้ เอาชนะมัจจุราชได้ มาตรวจดูบัญชี ถ้าทำดี ก็ควรได้ไปสวรรค์” …

1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า

 

พระเจ้าให้คำตอบแล้ว ดีใจเหลือเกิน  ถ้าใครถามคำถามเมื่อสักครู่นี้ ถามตัวเองด้วยใจจริงแล้ว  จะต้องดีใจมากเลยว่ามีทางออกแล้ว คือเพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก  อ้าว! ลูกพระเจ้ามีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว

ความเชื่อในพระเจ้าที่บอกเรา เมื่อเชื่อจะเกิดฤทธิ์เดชอำนาจเอาชนะโลกนี้ได้ คือความเชื่อ ในข้อ 5 บอกว่า “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้าไงล่ะ” เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้หลุดรอดพ้น ออกจากเรือที่แตก ที่กำลังดูดลงไปสู่ความพินาศ พระเยซูมาช่วย  และฤทธิ์เดชอำนาจเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรที่พระเจ้าส่งมา  จะเกิดฤทธิ์อำนาจด้วยความเชื่อนี้ เกิดขึ้น คือฤทธิ์อำนาจนี้จะทำให้เราบังเกิดใหม่ กลายเป็นลูกพระเจ้า นี่แหละคือการหลุดพ้น รอดพ้น ชนะโลกและความทุกข์ยากลำบากและเวรกรรมของโลก คือไปเกิดใหม่ซะ นั่นเอง พระเจ้าบอกเกิดใหม่ได้จริงๆ พระเยซูมาบังเกิด ก็บอกว่าเกิดใหม่ได้จริงๆ  ถ้าใครไม่ได้เกิดใหม่ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้  ชนะโลกไม่ได้นั่นเอง

ชนะโลก ก็คือการชนะบาปเวรกรรม ชนะการถูกพิพากษา หรือถูกการลงโทษให้พินาศไปแล้ว  โลกนี้ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ชนะโลก ก็คือชนะความบาป ความชั่ว  ชนะการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ชนะการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้  ชนะการอยู่ใต้อำนาจ เป็นทาสของมารซาตาน ซึ่งเป็นเจ้าแห่งความบาป และความตาย ชนะการอยู่ในอาณาจักรของความมืด การเป็นทาสของมารในโลกวิญญาณ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นโลกวิญญาณทั้งสิ้น มีชัยชนะอยู่เหนือโลกวิญญาณเหล่านี้แหละ

ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซู ที่ได้กระทำที่ไม้กางเขน  การเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ถูกย้ายด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อ พระเจ้าได้ย้ายคนๆ นั้น ในวิญญาณเขา เข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ ย้ายออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืดของมาร  มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อาณาจักรแห่งแสงสว่างหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า เป็นคนชอบธรรม คือดีพร้อม ไม่ได้เป็นคนชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นคนที่กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และเป็นการย้ายทันที เดี๋ยวนี้เลย ขณะที่ยังมีลมหายอยู่บนโลกใบนี้ ทันทีเลย  พิสูจน์ได้ ชิมได้ และพระวิญญาณก็จะเป็นพยานยืนยันในใจว่าเราได้บังเกิดใหม่  เราได้ถูกย้ายมาจริงๆ นั่นเอง

โคโลสี 1:12-14 พระเจ้าได้อธิบายถึงขบวนการตรงนี้ไว้อย่างนี้ ในโลกวิญญาณ  เพื่อเราจะได้เห็น อย่างที่บอกเราต้องใช้ความเชื่อ ไม่ใช่จับต้องมองเห็นได้ ในการย้ายนี้  ดูสิพระเจ้าบอกเราว่าย้ายเราอย่างไร?  ใช้ความเชื่อ แล้วเราจะรู้ มันจะเกิดขึ้นด้วยความมั่นใจ ในใจ ในวิญญาณของเราเอง ในโคโลสี 1:12-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 1:12-14 “12 พวกคุณจะได้ขอบคุณพระบิดา ด้วยความชื่นชมยินดี พระบิดาได้ทำให้คุณ เหมาะสมที่จะได้รับส่วนแบ่งในมรดกซึ่งอยู่ในอาณาจักรที่สว่างไสว ร่วมกับคนที่เป็นของพระเจ้า 13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเราเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเรา ให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

 

เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่ทรงประทานมาช่วยเหลือ  เมื่อเชื่อแล้ว ก็จะได้รับการย้าย พวกคุณจะได้ขอบคุณพระบิดาด้วยความชื่นชมยินดี พระบิดาได้ทำให้คุณเหมาะสม ที่จะได้รับส่วนแบ่งในมรดก ซึ่งอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างร่วมกับคนที่เป็นของพระเจ้า  ก็คือย้ายท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์ มารับมรดก มีทรัพย์สมบัติ มีสิ่งดีๆ มากมายในสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับผู้ที่ได้ถูกย้ายเข้ามาก่อนหน้าเราแล้ว เราก็ได้รับสิ่งเหล่านั้น ร่วมกับคนเหล่านั้น ที่เข้าไปก่อนหน้าเราแล้ว ที่เชื่อไปก่อนแล้ว

โคโลสี 1:13-14 “13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเราเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเรา ให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

 

ชัดเจนเลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์ คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือ พอเราเชื่อปุ๊บ เราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างไสวในพระคริสต์นั่นเอง  และได้นำเราเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรที่พระเจ้าทรงรัก อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ก็เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ ที่พระบิดาสถิตอยู่นั่นเอง ก็แสดงว่าเราได้ถูกย้าย จากที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่ง เมื่อถูกย้าย ก็แสดงว่าที่เก่ามีอยู่จริงๆ คิดให้ดีๆ

ข้อ 14 บอกว่าพระองค์ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย เห็นไหมครับ ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ จากการอยู่ในอาณาจักรของความมืด  เป็นทาสของมารซาตาน เป็นทาสของความบาป โดยการอภัยบาปต่างๆ ให้เราหมดสิ้นเลย

ทั้งหมดนี้ เป็นกฎที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ย้าย ก็อยู่ที่เดิม ที่เดิมก็สู่ความพินาศ พร้อมโลกใบนี้  ถ้าย้ายก็หลุดพ้น อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กฎแรงดึงดูดของโลกมีอยู่จริง

ยกตัวอย่างว่าคนที่นั่งในเครื่องบิน ก็มีชัยชนะเหนือแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่เมื่อไรเขานั่งในเครื่องบิน ก็มีชัยชนะ เหนือแรงดึงดูดของโลก และด้วยความเชื่อในเครื่องบิน เขาได้เข้าไปนั่งในเครื่องบิน ถ้าไม่เชื่อในเครื่องบิน ใครจะกล้าเข้าไปนั่ง บินขึ้นไปตั้งสูง เดี๋ยวก็ตกมาตายหรอก เพราะความเชื่อในเครื่องบิน เขาก็เข้าไปนั่งในเครื่องบิน ความเชื่อนี้ จึงเป็นฤทธิ์อำนาจ พลังอำนาจให้เขาสามารถเอาชนะ แรงดึงดูดของโลก ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ ได้ ถูกไหมครับ?

แล้วใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของโลกได้? ท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว ใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของโลกได้ ก็คือคนที่เชื่อในกฎของการยกขึ้น ซึ่งชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ที่เอามาใช้กับเครื่องบิน ถูกไหม?

เทียบกันกับเมื่อสักครู่นี้  ในเรื่องพระเยซูคริสต์ คนที่นั่งในเครื่องบิน ก็คือคนที่นั่งในพระคริสต์ คนที่ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ก็มีชัยชนะอยู่เหนือแรงดึงดูดของบาปเวรกรรมไง ความทุกข์ลำบาก บนโลกใบนี้ บาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ไม่มีหมดสิ้น  และด้วยความเชื่อในพระบุตร ในพระเยซูคริสต์นี้ เขาจึงยอมย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ มานั่งอยู่ในพระคริสต์ ความเชื่อนี้ ทำให้เกิดฤทธิ์อำนาจ ซึ่งทำให้เขาเอาชนะแรงดึงดูดของบาป  และความตาย และความพินาศได้ ไม่จมลงไปกับความพินาศ

ใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของโลกได้? ตรงนี้ก็คือใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของบาปและความตายของมารที่จะพาเราไปสู่ความพินาศ ใครล่ะ  ก็คือคนที่เชื่อในกฎแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ กฎแห่งการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างไงล่ะ

เห็นไหม?  เทียบกันชัดเจน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเป็นจริง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเป็นจริง  พระเจ้าบอกเรา และมันเป็นประโยชน์ เป็นพร สำหรับคนที่ยอมรับ คนที่เชื่อ

ในพระคริสต์ คือคนที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ถ้าไม่ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ก็ต้องอยู่ที่เดิมนิรันดร์

มารและโลก และทุกสิ่งในโลกกำลังอยู่ในคำพิพากษาให้พินาศ อยู่ในความสูญสิ้น  ตัดสินไปแล้ว นานมาแล้วด้วย  และตอนนี้ กำลังเดินทางเข้าสู่การสำเร็จโทษ ตัดสินลงโทษไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในขบวนการการสำเร็จโทษ ซึ่งมารก็พยายามที่สุด ที่จะพามนุษย์ไปอยู่กับมันด้วยนั่นเอง เหมือนนักโทษประหาร ถูกตัดสินให้ประหารแล้ว  แต่ตอนนี้อยู่ในขบวนการการสำเร็จโทษประหารชีวิตนั่นเอง ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

ตอนนี้ท่านจะมั่นใจขึ้นแล้วนะ  ท่านทราบตรงนี้มา ความจริงที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้” ท่านมีความหวังแล้ว  เป็นไปได้จริงๆ  1 ยอห์น 4:4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามาร ที่อยู่ในโลกนี้”

 

พอย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ก็ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้ามี 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ และในพระคัมภีร์ได้บันทึกความจริง 3 ประการที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าพอเราย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าพูดกับเราว่าอย่างไร? …

“โอ๋ ลูกรักมาแล้วนะ จากนี้ต่อไป เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าอีกเลย เราจะไม่ให้เจ้าเป็นเด็กกำพร้าอีกต่อไป เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เราจะอยู่กับเจ้า อุ้มเจ้า กอดเจ้าอย่างนี้แหละ ตลอดไป ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ จนถึงนิรันดร์เลย”

พระเจ้าพระบุตร พระเยซูก็พูดกับเราว่า … “โอ๋ มาแล้ว ดีแล้ว ต่อไปนี้เราเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เรากับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้ามาสถิตอยู่กับเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไปไหนไปด้วยกัน  ใครรังแกเจ้า ก็เท่ากับรังแกเรา เป็นหนึ่งเดียวกันถึงขนาดนี้เลย  เจ้าสะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่องดีงาม เท่าๆ กันกับเราเลย” นี่พระเยซูพูดอย่างนี้

แล้วความจริงประการที่ 3 ที่เราได้เรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระวิญญาณก็บอกกับเราว่า … “โอ๋ นี่ลูกเอ่ย ลูกบังเกิดใหม่แล้ว เจ้าบังเกิดใหม่แล้ว  เจ้าเป็นลูกพระเจ้าที่บังเกิดใหม่ ไม่ใช่เป็นลูกพระเจ้าเฉยๆ  เป็นลูกที่มีมรดกด้วย เป็นทายาทด้วยนะ”

พอถูกย้ายเข้ามา มันจะเป็นอย่างนี้ แต่ในขณะที่เรายังอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเก่านี้  แม้ว่าเราจะย้ายมาทางโลกฝ่ายวิญญาณแล้วก็จริง  แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระคัมภีร์บอกว่าเรายังไม่เห็นความเป็นจริง อย่างที่มันเป็นจริงอยู่ในโลกวิญญาณ มันจะเปรียบเหมือนกับเรามองดูกระจกเงา  ถามว่าเรามองดูที่กระจกเงา เราเห็นอะไร?

ใครลองเดินไปดูก็ได้ ตอนนี้ มีกระจกเงาไหม?  นึกภาพเมื่อเช้านี้  ดูหน้ากระจกเราเห็นใคร?  เราเห็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค อยู่ในเราไหม?  เราเห็นว่าเราเป็นลูกพระเจ้าบังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด เต็มไปด้วยสง่าราศีหรือเปล่า?  เห็นไหม? เราเห็นใคร? เราเห็นตัวเราเองคนเดิมนั่นแหละ นี่แหละ พระคัมภีร์กำลังสอนเรา แต่ถ้าเราใช้ตาแห่งความเชื่อ มองกระจกผ่านทางความเชื่อ ก็คือเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า  เราก็จะเห็น 3 พระภาคอยู่ในตัวเรา และเราก็จะเห็นตัวเราเต็มไปด้วยสง่าราศีครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูเลย 1 โครินธ์ 13:12 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนมากเลย …

1 โครินธ์ 13:12 “เพราะว่าเวลานี้ เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้น จะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้ง เหมือนพระองค์ ทรงรู้จักข้าพเจ้า”

 

“รู้สลัวๆ” ก็คือไม่เห็น แต่ใช้ความเชื่อ เห็นสลัวๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า เรามองดูกระจก ตามที่เมื่อสักครู่ อย่างที่บอก เมื่อเช้าที่มองดูกระจก ที่เห็นชัดเจน คือตัวเราเอง คนเดิมนั่นแหละ แต่เมื่อใส่ความเชื่อ เราจะเห็นสลัวๆ ตามที่พระเจ้าบอกเรา ที่อธิบายให้เราฟังว่าพระองค์สถิตอยู่กับเราด้วย พระเยซูบอกว่า 3 พระภาคอยู่กับเรา พระวิญญาณบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าและเป็นทายาท มีมรดกด้วย ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปนิรันดร์เลย  เราจะเห็นตรงนี้และเห็นตามถ้อยคำพระเจ้าว่าบัดนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  สดใส เต็มไปด้วยพระสิริอันยิ่งใหญ่ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่ดูเหมือนกระจก เป็นแบบนี้แหละ

และในนี้ยังบอกว่าแต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราออกจากร่างนี้ไป  เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เหมือนที่พระเจ้าทรงเห็นเราตอนนี้แหละ รู้จักเรา สำหรับพระเจ้ามองดูเราตอนนี้ ก็คือความจริงที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้น ความจริง คือตัวเราและ 3 พระภาคของพระเจ้าอยู่ภายในร่างกายของเราในขณะนี้  นี่คือความจริง ดูในกระจกก็ต้องใช้ความเชื่อ เอาความจริงนี้ ใส่เข้าไป  เห็นตัวเรา ที่เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี เห็น 3 พระภาคอยู่ภายในร่างกายเรา ณ ตอนนี้ บนโลกใบนี้  ผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ก็เพราะว่าพระสิริของพระเจ้า  สง่าราศีของพระเยซูคริสต์ ที่ได้แบ่งให้กับเรา ที่ได้มอบให้กับเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระบิดาสถิตอยู่ด้วยกันกับเรา  เป็นความยิ่งใหญ่โอ่อ่าตระการมาก ที่ 3 พระภาคของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? สถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา

แต่ว่าในขณะนี้  ที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ณ ตอนนี้ เราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่วันหนึ่ง เมื่อเราออกจากร่างนี้ เราจะเห็นความเป็นจริงตามโลกวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนั่น ก็แสดงว่าขณะนี้ มันเป็นจริงแล้ว บนโลกใบนี้ ตัวเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้ว  ตัวเราเป็นเหมือนที่พระเจ้าบอกเรา  เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เต็มด้วยสง่าราศี เป็นจริงๆ แล้ว เพียงแต่ตาเราฝ่ายเนื้อหนัง  ฝ่ายร่างกายนี้ ไม่สามารถที่จะมองทะลุไปเห็นได้  ตาทางฝ่ายวิญญาณ ไม่สามารถเปิดออกได้ชัดเจน เหมือนวันหนึ่งข้างหน้า ที่เราจะเห็นพระเจ้าด้วยตาวิญญาณของเรา  เราจึงต้องอาศัยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ซึ่งทำให้เราได้เห็นผ่านทางความเชื่อ เห็นแบบรางๆ สลัวๆ ว่ามันเป็นกรอบอย่างนี้แหละ เป็นลักษณะอย่างนี้แหละ พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง

ยกตัวอย่าง เหมือนพ่อเราให้คฤหาสน์ ปราสาทพร้อมที่ดิน ที่สวยงดงาม อยู่ต่างประเทศ ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โดยทำการโอนให้เราเรียบร้อยแล้ว  เราถือโฉนดนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว  มีทั้งโฉนด มีทั้งรูปให้เราดูว่าที่ดินเราเป็นอย่างนี้ ปราสาทสวยงามของเราเป็นอย่างนี้  เราถือไว้กับมือ ลงชื่อ เซ็นชื่อเรียบร้อย มีพยานรู้เห็นหมดว่าเป็นของเราแล้ว  แต่เรายังไม่ได้เดินทางไปดูของจริงเลย คล้ายๆ อย่างนี้ เราได้เห็นแต่รูป ได้เห็นแต่ขีดว่าทิศเหนือจรดอะไร? ทิศใต้จรดอะไร?  ทิศนี้จรดอะไร? รูปร่างของที่ดินเป็นอย่างไร? รูปร่างของคฤหาสน์เป็นอย่างไร?  ตามที่โฉนดบอกไว้ แต่เรายังไม่เห็นของจริงนั่นเอง มันก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องราว ถ้อยคำพระเจ้าจึงต้องอาศัยความเชื่อศรัทธาเท่านั้น ไม่ใช่ตามองเห็น ดังที่พระเจ้าสอนเรา

ความจริงที่สำคัญมาก ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับรู้เกี่ยวกับโลกวิญญาณ คือโลกและทุกสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้  คือวัตถุบนโลกใบนี้กำลังสูญสิ้นไป แต่โลกวิญญาณจะอยู่ตลอดไป ตัวนี้แหละมันสำคัญมากและอันตรายมากๆ มารหลอกมนุษย์ บางคนก็เชื่ออย่างนี้ว่าโลกใบนี้กำลังสูญสิ้นไป และวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้กำลังสูญสิ้นไป จริง เชื่อและเขาก็จะสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ เป็นศูนย์ไปเลย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่ใช่ อย่าถูกหลอกอย่างนั้น สิ่งสำคัญ ก็คือวิญญาณท่านยังคงอยู่ โลกวิญญาณยังคงอยู่ และจะอยู่ตลอดไป เพียงแต่จะอยู่ในลักษณะใด? อยู่ในสถานที่ใด? อยู่ ณ แห่งใด? เท่านั้น นี่คือความจริงที่สำคัญที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้เรียนรู้เรื่องนี้ และเข้าใจในเรื่องนี้ และเชื่อในเรื่องนี้จริงๆ

ซึ่งในขณะนี้ มีโลกวิญญาณเพียง 2 แห่งเท่านั้น และมันก็จะอยู่ในลักษณะ 2 แห่ง 2 สถานที่อย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นแห่งแรกที่เรียกว่าสวรรค์ หรือเรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง หรือแห่งที่ 2 ที่เรียกว่าบึงไฟนรก ที่เรียกว่าที่มืด ที่มีแต่ความเจ็บปวด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สถานที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีความดีงาม มีแต่ความชั่วร้าย มี 2 แห่งเท่านั้นเอง  มารพยายามให้มนุษย์สนใจ จดจ่อทางฝ่ายโลก ฝ่ายวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปสนใจโลกวิญญาณ อย่าไปสนใจเรียนโลกวิญญาณเลย  เพราะมาเรียนรู้โลกวิญญาณ มาแสวงหาพระเจ้า ทางโลกวิญญาณเมื่อไร? เขาจะพบความจริง สำหรับพระเจ้าให้มนุษย์สนใจ จดจ่อที่โลกวิญญาณ ที่สำคัญมากที่สุด แม้กระทั่งมาเชื่อแล้ว ยังบอกเลยให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในโลกวิญญาณ ให้เชื่อและจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์

เพราะฉะนั้น โลกและมนุษย์ทั้งโลกได้ถูกตัดสินพิพากษาลงโทษ ให้พินาศไปแล้ว  กำลังอยู่ในที่มืด ก็คือกำลังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่มืด ไม่มีพระเจ้า เรียกว่าพินาศ เต็มไปด้วยความทุกข์ เจ็บปวด ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพียงแต่รอการสำเร็จโทษ จบสุดท้ายเท่านั้นเอง มันจึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก พระเจ้าจึงห่วงใยมนุษย์บนโลกใบนี้มาก

ใน 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น ให้สามารถย้ายจากอาณาจักรของความมืด จากความพินาศ ให้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างได้แล้ว 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยอภัยโทษให้กับมนุษย์ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พระคัมภีร์เรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นปี แห่งความโปรดปราน เป็นปีแห่งการอภัยโทษ เป็นช่วงเวลาแห่งการประกาศอิสรภาพ เป็นช่วงเวลาแห่งพระคุณของพระเจ้า  ที่มาช่วยเหลือมนุษย์อย่างง่ายๆ เลย ให้มนุษย์ย้ายข้าง ให้มนุษย์มารับเอาฟรีๆ ให้มนุษย์รับเอาการอภัยโทษบาปให้กับเขา ถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว รอการสำเร็จโทษ ขณะที่รอนั้น  พระเจ้ามาประกาศว่าอภัยโทษให้กับนักโทษทุกคน สามารถเป็นอิสระจากโทษบาปนั้นได้ ให้มารับสิทธิของท่านเสีย จะได้ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษ  เมื่อถึงวันนั้น มันหมายถึงแค่นี้

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ 2,000 ปีนั้นเป็นต้นมา  ตั้งแต่ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในโลกวิญญาณ บนโลกใบนี้ มีการย้ายสถานที่ มีการย้ายที่อยู่ของมนุษย์มากมาย ก็คือของผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  เชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ เยอะแยะมากมายไปหมด มาถึงทุกวันนี้  2,000 ปีแล้ว รวมทั้งเราในปัจจุบันนี้ ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นี้ เราก็คือผู้ที่พระเยซูได้ย้ายเรา เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว ย้ายที่จากที่เดิม  ย้ายจากโลกทางฝ่ายวิญญาณเดิมที่เราอยู่ โลกที่ถูกพิพากษา ให้ต้องได้รับโทษถึงพินาศเรียบร้อยแล้ว รอการสำเร็จโทษ เราได้ถูกย้ายแล้ว  ย้ายออกมาจากโลกที่ชั่วร้าย โลกเดิม เมื่อถูกย้ายออกมาแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราจึงดำเนินชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนกับโลกใบนี้ ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่บ้านของเราแล้ว  หมายถึงโลกวิญญาณเดิมแหละ ไม่ใช่โลกของเราอีกต่อไปแล้ว  โลกกำลังสูญสิ้นไป  โลกใบนี้กำลังสู่ความพินาศ แต่เราหลุดออกมาแล้ว สู่โลกใหม่แล้ว เราไม่ได้อยู่ในอาดัม ไม่ได้อยู่ในโลกวิญญาณเดิมที่เรียกว่าอยู่ในอาดัม แต่เราอยู่ในโลกใหม่ที่เรียกว่าแสงสว่าง อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว และจะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าอย่างนี้  แบบนี้เลย เหมือนปัจจุบันนี้ตลอดไปเลย

ถ้ายังอยู่ในโลก หมายถึงโลกวิญญาณเดิม ถ้ายังไม่ย้าย  ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยกันกับโลกใบนี้ เพราะโลกและทั้งหมดที่อยู่บนโลกใบนี้ ตามที่เราได้อ่านไปสักครู่นี้  ได้ถูกตัดสินลงโทษ สู่ความพินาศไปแล้ว และกำลังเดินทางไปสู่การสูญสิ้นนี้ สู่การสำเร็จโทษในที่สุดนั่นเอง ซึ่งเราไม่รู้เมื่อไร? พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า ปีโน้น ไม่รู้ โดยเฉพาะในขณะนี้ หลายๆ คนบอก …

“โควิดมาอย่างนี้ เป็นไปทั่วโลกอย่างนี้ อาจเป็นวันสูญสิ้นของโลกก็ได้”

จริงๆ แล้วมันมีมาเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่อดีตมามากมายแล้ว ความทุกข์ยากลำบาก ความหายนะ เกิดภัยพิบัติรุนแรงต่อโลกใบนี้ มันเยอะแยะ เพราะว่าโลกมันถูกตัดสินให้อยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว กำลังเดินทางสู่ความเสื่อมสลายนั่นเอง ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในพระคริสต์ ถ้าเราไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เราก็ยังอยู่ในโลกวิญญาณเดิม  แล้วก็ต้องสูญสิ้นไปกับโลกที่เรียกว่าถูกลงโทษ ให้พินาศ เพราะว่าโลกใบนี้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณนี้  เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เคมีเข้ากันไม่ได้เลย  ความบาปและความบริสุทธิ์ไม่สามารถเข้ากันได้  โลกวิญญาณเดิมที่เราอยู่นั้น เป็นความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับความดี ขาวเข้ากับดำไม่ได้ พระเจ้าเข้ากับมารไม่ได้  เราจะอยู่ฝ่ายไหน? ถ้าเราไม่ย้าย เราก็อยู่ฝ่ายมาร อยู่ฝ่ายศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง  จึงไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้

ที่เล่าให้ฟังเหล่านี้ทั้งหมด  ที่เรามาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด คือกฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนา ดูแลให้เป็นไปตามกฎ เหมือนตะกี้ที่ผมบอกว่าเหมือนกฎแรงดึงดูดของโลก มันเป็นกฎ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  พระองค์ยุติธรรมและเที่ยงตรง พระองค์ปล่อยให้เป็นไปตามกฎ เมื่อรู้จักกฎและรู้ความจริงแล้ว  ถ้าท่านไม่เลือก ไม่ใช้สิทธิของท่าน ตามกฎ ท่านก็จะได้รับผลเป็นไปตามกฎนั้น ถ้าท่านเลือกเอาด้วยกฎวิญญาณแห่งชีวิต คือได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้า ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ท่านก็รอดพ้นจากการถูกประหาร ไม่ต้องลงนรก มันเป็นกฎ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านทำดีหรือทำเลว  ท่านทำดีมากขนาดไหน? ทำชั่วมากขนาดไหน?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติเลย ขึ้นอยู่อย่างเดียว ท่านรู้ความจริงหรือไม่? เมื่อรู้ความจริงแล้ว ท่านตัดสินใจเชื่อหรือไม่?  ในความจริงเหล่านั้น แค่นั้นเอง

ฉะนั้น สรุป ก็คือมนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่อยู่ทางวิญญาณ  ท่านลองคิดดูนะว่าใช่หรืไม่?  เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่ในทางวิญญาณ ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพื่อย้ายมาอยู่กับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์

ถามว่าทำไมต้องตัดสินใจในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพราะว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เพราะโลกวิญญาณเป็นนิรันดร์ แต่โลกวัตถุนั้นเป็นแค่ชั่วคราว  เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไป  และพระเจ้าก็จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่  พร้อมทั้งสร้างร่างกายใหม่ที่มีสง่าราศี ให้กับเราผู้เชื่อในพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องย้ายสถานที่ทางวิญญาณ เพื่อมาอยู่กับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์ โดยต้องได้รับการบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์สะอาด จึงจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ คือต้องมาเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ซึ่งไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้นะ มาเกิดใหม่ด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  เกิดใหม่ โดยการกระทำความดี ก็ไม่ได้  มาเป็นลูกของพระเจ้า โดยการกระทำความดี ก็ไม่ได้  ต้องพึ่งในพระเยซู ซึ่งเป็นของประทาน  ของขวัญจากพระเจ้า ที่ให้กับมนุษย์ทุกคน ด้วยความรัก และความห่วงใย เป็นปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า เป็นปีแห่งการอภัยโทษของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก่อนที่จะถึงวันสำเร็จโทษ และหลังจากย้ายก็เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ขอย้ำอีกทีว่าทันทีเลย ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน พอใช้สิทธิของท่าน  ท่านก็ได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ทางฝ่ายวิญญาณท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันที และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้  อยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดไปชั่วนิรันดร์

ถ้าท่านไม่ย้ายมันเกิดอะไรขึ้น?  ท่านก็จะอยู่ในโลกวิญญาณที่เดิม ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยู่ในความพินาศ ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน นี่คือเหตุที่พระเจ้าเป็นห่วง เป็นใยมนุษย์บนโลกใบนี้มากนัก และขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อท่านย้ายแล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่ในท่านแล้ว ที่ให้ท่านดำเนินชีวิตอยู่ตอนนี้ ก็เพื่อจะใช้ร่างกายของท่านในการต่อเนื่องไปช่วยเหลือมนุษย์คนอื่นๆ ที่เขายังไม่ได้ย้าย  อาจจะยังไม่ได้ยินเรื่องข่าวดีของพระเยซู อาจจะยังไม่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการอภัยโทษ  ท่านก็มีหน้าที่เป็นสื่อให้กับเขา ไปช่วยเขา ตามการทรงนำของพระเจ้า 3 พระภาคซึ่งสถิตอยู่ในท่านนั่นเอง

แล้วท่านก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าวันหนึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นการงานบนโลกใบนี้ ท่านก็จะจากร่างกายนี้ไป ที่เรียกว่าตาย วันหนึ่งท่านก็จะทิ้งร่างนี้ไป  หมดลมหายใจ และชีวิตหลังจากออกจากร่างนี้ หรือหลังจากตาย ท่านก็สามารถที่จะรับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี  เป็นร่างกายที่ไม่ต้องกลัวโควิดหรือโรคภัยไข้เจ็บอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกลัวมะเร็ง ไม่ต้องกลัวเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ  หรือความเจ็บป่วยใดๆ มาทำร้ายได้อีกเลย  เพราะไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแก่งแย่ง ไม่มีบาป  ข้อสำคัญ ก็คือไม่มีมารซาตานมาล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป  ทำชั่ว ตีกันเอง แก่งแย่งกันเอง  ทำอะไรที่ชั่วๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าต้นตอของความชั่ว  ก็คือมาร มันได้ถูกกำจัด ลงไปสู่บึงไฟนรก จบไปแล้ว และท่านจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ซึ่งในขณะที่อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลนั้น ท่านไม่ต้องใช้ความเชื่อ อีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความหวังอีกต่อไป เหมือนโลกนี้แล้ว เหมือนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกนี้  เพราะท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่สลัวๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่สลัวๆ เหมือนเดี๋ยวนี้  แต่ท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เห็นความเป็นจริง เหมือนกับที่พระเจ้าเห็นหน้าเราตอนนี้  เราก็จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าในวันนั้น  และจะอยู่กับพระองค์ด้วยความรัก ที่พระองค์ทรงเทลงมาในชีวิตของเราทั้งหมด อยู่ในสวรรค์อันงดงามอย่างนี้  พระคัมภีร์บอกตลอดชั่วนิรันดร์กาล และนี่แหละคือชัยชนะนิรันดร์เหนือโลก ไม่ใช่ชนะธรรมดา แต่เป็นชัยชนะนิรันดร์เหนือโลก

คราวนี้ก็มาถามได้แล้วล่ะ … “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้?”  ก็คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และคนที่เชื่อนี้ ก็จะได้รับฤทธิ์อำนาจ ได้บังเกิดใหม่ ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า และพระเจ้า 3 พระภาคก็เข้ามาสถิตอยู่กับคนนั้น

ทั้งหมดนี้ การชนะโลกอย่างนี้ สถานะที่เปลี่ยนไปอย่างนี้  สถานที่ที่เปลี่ยนไปอย่างนี้  ย้ำอีกที ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นทันที  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย เกิดขึ้นทันทีเลย เมื่อท่านใช้สิทธิของท่าน เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาช่วยท่าน สิ่งเหล่านี้ ผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะเกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้  และจะอยู่อย่างนั้น ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาลเลย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เพราะเนื้อหนังทางร่างกายเรายังมีเชื้อบาปอยู่ เพราะฉะนั้น ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในโลกนี้  ไม่มีทางเลย  ที่เราจะไม่ทำบาป  เราจึงต้องพึ่งในพระเมตตาพระเจ้า

 

และหน้าที่ของเราบนโลกนี้  เราควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน รับรู้และเข้าใจสถานะซึ่งกันและกันว่าเราต่างก็เป็นคนบาป เราต่างก็ทำผิดพลาดได้เสมอ อภัยให้กันด้วยความรัก เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยให้เราด้วยความรัก และไม่มีเงื่อนไข

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “พี่น้องทั้งหลาย หากใครถูกจับได้ว่าทำบาป ท่านที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ควรช่วยเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน ให้เขากลับตั้งตัวใหม่ แต่จงระวังตัวท่านเอง มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกล่อลวงให้ทำบาปไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์”   (กาลาเทีย 6:1-2)

 

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระเมตตาของพระองค์  ที่ทรงรักและให้อภัยเรา อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราจะหลง หรือเผลอไปกระทำผิดบาปซักแค่ไหน

 

ถ้อยคำพระเจ้าย้ำยืนยันกับเราว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราก็ได้รับการชำระล้างบาปจนหมดสิ้น กลายเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว  (ถ้าเราเชื่อพระเจ้าจากใจจริง และมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ)

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดฟังคำของเรา  และเชื่อพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา  ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่ถูกลงโทษ”  (ยอห์น 5:24)

พระเจ้าอวยพรครับ