คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2021
เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
หลังจากที่เราได้เรียนรู้เยอะมากแล้ว เรื่องพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เราได้รับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเรา ทันทีที่เรามาเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ว่ามาเชื่อเป็นคริสเตียน ทันทีทันใดนั้น เกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา เราเรียนมาเยอะมากแล้ว มาถึงวันนี้ เรามั่นใจแล้วว่าความรอดในชีวิตนิรันดร์หลังความตาย เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในขณะนี้ พร้อมๆ กัน เราได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในมิติโลกวิญญาณ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังเป็นความหวังของเราอยู่ และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเราด้วย ก็คือการที่จะไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากทิ้งร่างเดิมนี้ไปแล้ว ก็คือหลังจากตาย นี่คือความหวังของเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ผู้เชื่อ
ยังจำกันได้ไหมครับว่าที่เราเรียนไป 2-3 สัปดาห์ที่แล้วก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าสิ่งที่ทำให้คริสเตียนทุกยุคทุกสมัย สามารถเผชิญกับความตาย เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส เขาทนทุกข์ จากการถูกข่มเหงรังแกขนาดหนักอย่างนั้น ได้ด้วยวิธีใด? ก็คือวิธีการจดจ่อไปที่ความหวังสุดท้ายของเขา ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เขาเรียกการรับร่างกายใหม่นี้ว่าการรับชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ผมใช้คำว่าชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option ซึ่งจะรับกันเมื่อวิญญาณออกจากร่าง หลังความตาย ของร่างกายเดิมนี้ ก็คือรอวันเวลา แห่งการรับร่างใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว แต่รออีกนิดหนึ่ง เพราะอยู่ในสวรรค์ในร่างเดิมนี้ ซึ่งอ่อนแอ เสื่อมโทรมไปทุกวัน และยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยความชั่วร้ายนั่นเอง
วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อว่าเมื่อถึงวันที่กายฝ่ายโลกของเรานี้ เสื่อมลง สลายลง ตาย จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ที่บอกว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่นั้น จะได้รับเมื่อไร? หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอนที่ 1 ก็คือตายนั่นเอง พูดกันตอนนี้ เป็นที่หนุนจิตชูใจมาก สำหรับเรา ที่เราจะได้รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราไปถึงชีวิตนิรันดร์? อะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลา วิญญาณเราออกจากร่าง คือตายจากโลกนี้?
เมื่อความตายมาถึง วิญญาณออกจากร่าง ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง เกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครๆ ก็อยากจะรู้ และใครๆ ก็ให้ความสำคัญมากเลย ถึงเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะไปถึงเวลาที่วิญญาณออกจากร่าง อยากถามว่า …
“ถ้าท่านรู้ตัวว่าใกล้จะถึงเวลาตาย กำลังจะถึงเวลาวิญญาณออกจากร่าง สมมติว่ากำลังป่วยหนัก หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ท่านจะคิดถึงความตายอย่างไรบ้าง?”
หรือแม้แต่ ไม่ต้องหมอบอกเลย บางคนอายุมากแล้ว แน่นอน อีกไม่ถึงเท่าไร เราก็ต้องจากโลกนี้ไป ก็คือตาย เรามีความหวังอะไรหลังความตายบ้าง? เราคิดถึงอะไรตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป? เรามีความหวังอะไรตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป ก็จะมีความหวังมากมาย บนโลกใบนี้ สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะอย่างที่บอกว่ามนุษย์ทุกคน ก็คิดเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อถึงวันเวลาจริงๆ ใกล้เข้ามาปุ๊บ ทุกคนก็มีความหวัง มีความเชื่อ เตรียมตัวต่างๆ นานามากมายบนโลกใบนี้ ก็แล้วแต่ เชื่อโน่นเชื่อนี่ ก็ว่าไป แต่สำหรับคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ ลองถามท่านเองว่าความหวังใจของท่านคืออะไร? ท่านคิดถึงอะไร? ท่านคิดถึงความดีงามต่างๆ ที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ เคยรับใช้พระเจ้ามาอย่างไร? เยอะแยะมากมาย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หรือท่านจะคิดถึงสิ่งที่พระเยซูบอกว่าพระเยซูได้กระทำอะไรให้กับท่านบนไม้กางเขนบ้าง? ท่านจะคิดถึงข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไหม?
ข่าวดี คือมนุษย์เป็นคนบาป แล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ที่เป็นคนบาปจะได้รับการช่วยให้รอด จะได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป มาเป็นผู้ชอบธรรม ได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า นี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์
ตรงนี้หรือเปล่าที่ท่านคิดอยู่ ขณะที่เรารอคอยวันเวลา ที่จะจากโลกนี้ไปวิญญาณจะออกจากร่าง เราคิดถึงข่าวดีนี้ไหม? เราคิดถึงพระเยซูคริสต์ที่ตาย เพื่อเราที่ไม้กางเขนหรือเปล่า? เราคิดถึงบาปของเราทั้งหมด ที่เราเคยทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น หรือเราคิดถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปของเราทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เกลี้ยงเลย สะอาดหมดจด ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อแล้ว ตามพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ เป็นความจริงหรือไม่? เรากำลังไปสู่ความรอดนิรันดร์หรือเปล่า? เราคิดอย่างนี้ โดยความเชื่อในพระเยซู
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็ต้องคิดถึงสิ่งที่เคยทำมาแล้ว ที่ดีๆ ที่เขาจะพูดกันเสมอว่าก่อนจะสิ้นลม ให้คิดแต่เรื่องดีๆ นะ แล้วเราลองคิดดูว่าเราจะคิดดีๆ ตลอดเวลาได้ไหม? ยิ่งตอนจะสิ้นลม ถ้ารู้ตัวก่อน ยิ่งมีสติอยู่ด้วย ยิ่งจะคิดถึงเรื่องอะไร? ท่านลองคิดดู คิดถึงเรื่องไปทำบุญทำกุศล หรือไปคิดถึงเรื่องไปยิงนก ตกปลา หรือคิดถึงเรื่องไปทำบาปมากมาย สมมติให้ฟัง จะเห็นชัดเจนเลยว่าอะไรเป็นตัวดึงดูดให้เราไปคิดมากกว่ากัน
สำหรับคริสเตียน ผู้ที่เชื่อในข่าวดี เป็นผู้เชื่อ ต้องรู้สิ่งนี้ก่อนเลยว่าความจริง คือเราได้รับความรอด จากบาป ได้รับการชำระบาป ได้ถูกช่วยให้รอดจากการพินาศในนรกแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นเชื่อในข่าวดี ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วได้ยินเรื่องของพระเยซูคริสต์ ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตั้งแต่วินาทีนั้น เราได้ถูกย้ายออกจากความพินาศมาสู่สวรรค์แล้วในโลกวิญญาณ ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิมนี้ บนโลกใบนี้ เราก็ได้รับความรอดแล้ว เงื่อนไขแค่นี้ ก็คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านที่พระเจ้าได้ส่งมาช่วยนั่นเอง พอเชื่อแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็จะเข้ามา ในวิญญาณของท่าน ในขณะนั้น แล้วก็มาย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ออกจากความพินาศ มาสู่สวรรค์ในพระเยซูคริสต์เลยทันที ย้ายท่านออกมาอยู่ในสวรรค์เลยทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ในเอเฟซัส 2:6-9 ขณะที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น คือท่านจะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที ยังไม่ได้ตายเลยนะ ทันทีเลย เราลองอ่านดูนะ …
เอเฟซัส 2:6-9 “6 และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่าในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีตัวเองในความรอดของตนได้”
“และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา คือบังเกิดใหม่” วิญญาณบังเกิดใหม่เลยนะ เมื่อเราต้อนรับข่าวดี เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่มาถึงเรา ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอเชื่อปั๊บ วิญญาณของเราเป็นขึ้นใหม่ บังเกิดใหม่เลย กับพระคริสต์ และในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เราได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ ก็คือได้นั่งเลยเดี๋ยวนี้ บังเกิดใหม่เลย วิญญาณและจิตใจที่บังเกิดใหม่ได้นั่งอยู่กับพระคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เบื้องขวาก็หมายถึงสำเร็จราชการ ได้มีสิทธิอำนาจ ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งหมด เป็นเหมือนรัชทายาทของพระเจ้า ผู้สืบทอดบัลลังก์จากพระเจ้า ได้นั่ง หมายถึงได้พักผ่อน ไม่ต้องทำงาน นั่งเฉยๆ รอวันรับมรดก มันหมายถึงอย่างนั้น
เสร็จแล้ว ก็มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับความรอด จากความพินาศ ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่รอคอยด้วยความอดทน ด้วยความหวังในชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง คือการได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยพระสิริของพระคริสต์ ในวันหนึ่งที่จากโลกนี้ไป เมื่อเสร็จสิ้นการงาน ไปครอบครองร่วมกับพระคริสต์นิรันดร์กาลในสวรรค์สถานอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และเมื่อถึงเวลา หมดหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราทำ หมดหน้าที่การงาน
ถามว่า … “หน้าที่การงาน คืออะไร?”
คือขณะที่เราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นใหม่ อยู่ภายในร่างกายเดิมนี้ เรามอบถวายร่างกายเดิมนี้ ให้เป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย แล้วพระเจ้าใช้ร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิดในร่างกายนี้ ใช้ให้เป็นประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็ดำเนินชีวิตไป พอเสร็จการงานเรียบร้อยปุ๊บ เรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง คือตายเราก็จะไปรับร่างกายใหม่
พอตายปุ๊บ เกิดอะไรขึ้น? ชั่วพริบตา ทันที เราก็เข้าไปสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ นึกภาพตามเลยนะ พอวิญญาณออกจากร่างปุ๊บ เราก็รู้กันอยู่แล้ว ถึงไม่เชื่อพระเจ้า ก็รู้ วิญญาณออกจากร่างปั๊บ เราก็เข้าไปสู่มิติทางวิญญาณ ที่เรียกกันว่าสวรรค์ หรือมิติทางวิญญาณที่เรียกว่าแดนมรณา ไม่ใช่สวรรค์ ถ้าเป็นสวรรค์ ก็คือที่สถิตของพระเจ้านิรันดร์ แต่เรากำลังพูดถึงคริสเตียน ผู้เชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเสร็จสิ้นการงานบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่างชั่วพริบตา เราก็เข้าสู่มิติทางฝ่ายวิญญาณ เราก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เหมือนกับที่เราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานก่อนหน้านี้แล้ว เข้าไปสู่สวรรค์สถานทางมิติ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ รับร่างกายใหม่ ซึ่งในโลกวิญญาณของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกเป็นนิรันดร์ เมื่อเป็นนิรันดร์ ก็ไม่มีกาลเวลา ไม่มีปีโน้น ปีนี้ พ.ศ.โน้น พ.ศ.นี้ เป็นอยู่ คือเป็นอยู่ เหมือนพระเยซูเป็นอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์
พอเราเข้าไปอยู่ในมิติวิญญาณแล้ว ได้รับร่างกายใหม่ ที่สมบูรณ์ ครบถ้วน เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเลย เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูอย่างนั้นแหละ เปลี่ยนมิติเข้าไปทางโลกวิญญาณปุ๊บ พูดง่ายๆ พระเยซูก็มารับเรา พร้อมกับร่างกายใหม่ สำหรับเรา เราก็เข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ และพบพระเยซู อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันที
ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ไปถึงแล้ว นั่งรออยู่ 2 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี 1000 ปี เพราะในโลกวิญญาณเป็นนิรันดร์ ไม่มีปี ท่านลองคิดดูง่ายๆ ว่าไม่มีปี ไม่เหมือนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าสร้างให้ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ นับวัน นับเดือน นับปีได้ แต่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ของพระเจ้าไม่มี ในมิติในโลกวิญญาณ ไม่มีกาลเวลา ไม่เหมือนบนโลกใบนี้ที่เรานับกันได้
สำหรับผู้ที่เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านจงดีใจ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่าง ท่านก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ที่เรียกว่ากายสวรรค์ทันที สู่อ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ ได้เห็นหน้าพระเยซูหน้าต่อหน้า ทันทีเลย ชั่วพริบตาเดียว
เพราะฉะนั้น การอดทนรอคอย เพียงแค่บนโลกใบนี้ ที่เรานับกันอยู่นี้ว่าอีกกี่วัน? หมอบอกอยู่ได้กี่วัน? อายุเราน่าจะเหลือได้อีกไม่กี่วัน? จะจากโลกนี้ไป นี่เรารอคอย แต่ ณ วันนั้นมาถึง วันที่วิญญาณออกจากร่าง คือวันที่เราตายจริงๆ พริบตาเดียว ทันที เราจะได้รับในสิ่งที่เราหวังไว้ทั้งหมดตามที่พระคัมภีร์ สัญญากับเราไว้
ในตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน นี่คือตัวอย่างว่าทันทีอย่างไร? ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พร้อมกับโจร 2 คน ปรากฏว่ามีโจรอยู่คนหนึ่งเชื่อในพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ตอนอยู่บนไม้กางเขนเลย แล้วพระเยซูคริสต์ตอบว่าอย่างไร? โจรคนนั้น ได้กล่าวกับพระเยซูว่า …
“ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”
พูดง่ายๆ ว่าเชื่อพระเยซูแล้ว วางใจ มอบชีวิตให้กับพระเยซูแล้ว มาดูสิว่าพระเยซูตอบโจรคนนั้นว่าอย่างไร? ในลูกา 23:43
ลูกา 23:43 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าวันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”
พระเยซูบอกว่า … “วันนี้ท่านจะไปอยู่กับเราในสวรรค์ ที่มีชื่อว่าเมืองบรมสุขเกษม”
ถูกตรึงพร้อมกัน เมื่อตอน 9 โมงเช้าวันนี้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง บ่ายแก่ๆ โจรคนนี้ก็ต้องตายแล้ว พระเยซูกำลังบอก ตายเมื่อไร ก็ไปอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษมในสวรรค์ วันนี้? ก็คือทันทีนั่นเอง ไม่ได้บอกว่า …
“โอเค เราจะไปเจอกันอีกทีหนึ่ง เมื่อตอนอีกสักร้อยปี พันปี รอก่อน” … ไม่ใช่
พูดง่ายๆ พระเยซูบอก ตายปั๊บ ก็พบกันทันที พบกับเราทันที ที่เมืองบรมสุขเกษม ก็คือสวรรค์นั่นเอง
ใน 2 โครินธ์ อาจารย์เปาโลก็บอกในลักษณะนี้ ให้เราเห็นว่ามันทันทีทันใดจริงๆ อาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องของการได้รับกายใหม่ ความหวังใจของคริสเตียนและของท่าน ท่านได้หนุนใจ และท่านก็บอกว่าในความคิดของท่าน ท่านมีความเชื่อและมั่นใจเรื่องของการเป็นขึ้นจากความตาย อย่างมากมาย และมีความหวังว่าเมื่อเสร็จการงานแล้ว จากโลกนี้แล้วไปอยู่กับพระเจ้าทันที ท่านมีความเชื่อตรงนี้มากเลย ท่านจึงพูดถ้อยคำตรงนี้ขึ้นมา ในลักษณะของการสำแดงความเชื่อ ท่านต้องการหนุนใจให้กับผู้เชื่อคนอื่น ไม่ใช่เป็นการพูดแบบท้อแท้ กำลังซึมเศร้า
“โอ๊ย! เบื่อชีวิตเหลือเกิน อยากจะไปอยู่กับพระเจ้า” ไม่ใช่ ความรู้สึกอย่างนั้น
เป็นความรู้สึกที่เขาเรียกว่าเป็นความชื่นชมยินดี ตื่นเต้น และมั่นใจในความเชื่อว่าเราอดทนอีกนิดหนึ่ง การไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ มันรอแป๊บเดียวเอง และถ้าได้ไปอยู่ มันคุ้มกว่าเยอะ ดีกว่าอยู่บนโลกใบนี้มากมาย เป็นการหนุนใจ และสำแดงความเชื่อ ไม่ใช่สำแดงความท้อแท้ใจ หรือความกลัว 2 โครินธ์ 5:8 ดูสิว่าอาจารย์เปาโลพูดอย่างไร? …
2 โครินธ์ 5:8 “เรามั่นใจและอยากออกจากร่างกายนี้ แล้วไปอยู่กับพระเยซูทันทีมากกว่า”
“เรามั่นใจและอยากออกจากร่างกายนี้ แล้วไปอยู่กับพระเยซูทันทีมากกว่า” อย่างที่ผมบอกไม่ได้พูดในท่าทีของการซึมเศร้า หรือการวิตกกังวล หรือการเบื่อหน่ายความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ลักษณะอย่างนั้น แต่ในลักษณะที่บอกว่า …
“โอ้โห! ไปอยู่กับพระเจ้ามันดีกว่ามหาศาล ไปอยู่บ้านใหม่ โอ้โห ดีกว่าบ้านเก่าทรุดโทรม ไปอยู่ที่นั่นดีกว่าเทียบกันไม่ติดเลย” … อะไรประมาณนั้น
อาจารย์เปาโลบอกเราอยากจะออกจากร่าง วิญญาณเราออกจากร่างกายนี้ “เรา” ตัวนี้ หมายถึงตัวของเปาโล และเราทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกัน ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า วิญญาณออกจากร่างนี้ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าทันทีเลย ที่ผมใส่คำว่า “ทันที” เพราะว่าในภาษาเดิม คำพูดตรงนี้ มีกาลเวลาบอกให้เห็นถึง ออกไปเลย เหมือนกับว่ากำลังออกเดินทางไปเยี่ยมแม่ที่เชียงใหม่ พอไปถึงเชียงใหม่ ก็ไปเยี่ยมแม่ ไม่ใช่ ไปถึงเชียงใหม่ แล้วก็รอไปเยี่ยมแม่ ไม่ใช่ หมายถึงอย่างนั้น ก็คือทันทีนั่นเอง
ใน 1 เธสะโลนิกา 4:15 ผมต้องการเน้นตรงนี้ ลองอ่านดูว่าทันทีอย่างไร?
1 เธสะโลนิกา 4:15 “ในข้อนี้ เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเราผู้ยังดำเนินชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว ก็หามิได้”
“เราผู้ยังดำเนินชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา” ก็คือเมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาเป็นทางการ เพื่อพิพากษาโลกนี้ เมื่อถึงวันนั้นแล้ว เราผู้เชื่อที่มีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ตาย มันหมายถึงอย่างนั้น บอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไปก่อน ก็หามิได้
จะล่วงหน้าไปรับร่างกายใหม่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ก่อนคนเหล่านั้น ที่ได้ล่วงหลับไป ก็คือตายไปก่อนหน้านั้นแล้วก็หาไม่? คือเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาพิพากษาโลก วิญญาณออกจากร่างไป ก่อนพระเยซูคริสต์มาพิพากษาโลก บรรดาคนเหล่านั้น ได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ก่อนแล้ว ล่วงหน้าในที่นี้ ก็คือได้รับร่างกายใหม่แล้ว โดยพระเยซูคริสต์ มารับไปอยู่ในสวรรค์ก่อนเรียบร้อยแล้ว
ถามว่าก่อนใคร? ก็ก่อนคนที่มีชีวิตอยู่ในวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก ก็คือก่อนคนที่ยังไม่ตาย จนกระทั่งพระเยซูคริสต์ มาเป็นทางการ เพื่อพิพากษาโลกนั่นเอง นั่นหมายถึงว่าใครก็ตามที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดตายลง หรือวิญญาณออกจากร่าง ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลกเป็นทางการนั้น พระเยซูจะมาส่วนตัว พูดอย่างนั้น ก็ได้พระเยซูมาส่วนตัว ก็คือพระเยซูจะมารับเขาทันที ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ ในสวรรค์ ในเมืองบรมสุขเกษมทันทีเลย ไม่ว่าจะตายเมื่อวานนี้ เมื่อตะกี้นี้ เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว พันปีที่แล้วก็ตาม พวกเขาเหล่านั้น ถูกรับไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ได้รับร่างกายใหม่ เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่กับพระเยซูคริสต์ ในเมืองบรมสุขเกษมเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอเราทั้งหลายอยู่ที่นั่น มองลงมาจากตรงนั้น มองลงมาเห็นเรา รอเราอยู่ที่นั่น และถ้าวันไหนที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดตาย วิญญาณออกจากร่าง เจอโควิด รักษาไม่หาย พยายามรักษา รักษาไม่ได้ เกิดตายขึ้นมา ไปไหน? ก็ไปพบพวกเขานั่นแหละ ที่เขาไปอยู่กับพระเจ้ากับพระเยซูก่อนหน้าเรานั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้รับรู้ในวันนี้ ความจริงในวันนี้ มันทำให้เราเกิดความตื่นเต้น ที่ผมบอก ตื่นเต้น ยินดี คุ้มค่าแห่งการรอคอยและอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ที่อยู่บนโลกใบนี้ ถูกไหม? คุ้มค่าแห่งการอดทน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด ทำให้การงานไม่ดี ค้าขายไม่ได้ ทำให้เจ็บป่วย ทำให้ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทำอะไรไม่ได้ ไม่สะดวกหลายอย่าง เกิดขึ้นในชีวิต อดทนรอคอย ถ้าถึงวันเวลาที่จากโลกนี้ไป เราสบายแล้ว อีกนิดเดียวเอง ใช่ไหมครับ คุ้มค่าแก่การอดทน ก็คือรอคอยแล้วว่าจะได้รับร่างกายใหม่ จะได้พบพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ทันทีที่ออกจากร่างนี้ แค่นั้นไม่พอ ยังตื่นเต้น เราจะได้พบกับผู้ที่เรารัก ที่จากไปก่อนหน้าเราแล้ว พบกับปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ลูก พี่น้อง ใครก็ตามที่เราคิดถึง ไปก่อนเราแล้ว ผู้เชื่อ คริสเตียนที่ไปก่อนเราแล้ว เราก็จะไปเจอพวกเขาแหละ เขากำลังเชียร์เราอยู่ เราไปเมื่อไร? พวกเขาก็มาต้อนรับเราหมดเลยนะ ถามว่าซึ่งตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหน? เขาอยู่กับพระเยซูเรียบร้อยแล้ว ในเมืองบรมสุขเกษม และกำลังมองเรา ลุ้นอยู่ตลอดเวลา สู้นะ อัดซ้ายขวา สู้ ออกหมัดสู้ด้วยความเชื่อ หรือเขากำลังเป็นห่วง เป็นใย พยายามเชียร์ให้คนที่เขารัก ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง หรือใครก็ตามที่เขารู้จัก มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เขาเชียร์อยู่ เขาลุ้นให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะได้เจอกับเขาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่วิญญาณออกจากร่าง คือตายบนโลกใบนี้นั่นเอง เขารอเราอยู่ วันข้างหน้า เราก็จะได้เจอเขาอีกที ถ้าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราได้เป็นผู้เชื่อ และได้บังเกิดใหม่ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และความหวังของเราและเขา ก็คือจะได้พบกับคนที่เรารักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากวิญญาณออกจากร่างแว๊บเดียว พริบตาเดียว อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? ไม่ฮาเลลูยาหรือ? อีกนิดเดียว
เปาโลถึงบอกว่าเพราะเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแบบไม่คิดชีวิต คือไม่มองอะไรแล้ว มองแค่เป้าหมายนี้อย่างเดียว คืออีกไม่นานเราจะถึงเส้นชัยแล้ว
เส้นชัย คือวิญญาณออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ พบพระเยซูหน้าต่อหน้า อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ทันทีๆ
เปาโลก็เลยพูดเรื่องนี้ ใช้เรื่องนี้หนุนจิตชูใจบรรดาพี่น้องที่เป็นผู้เชื่อคริสเตียนใหม่ๆ ที่รับเชื่อในสมัยโน้น ในพระคัมภีร์เกือบทุกเล่มในพระคัมภีร์ใหม่ ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ความหวังใจของคริสเตียนในการจากโลกนี้ไป เราจะมาดูในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 4:13-14 ซึ่งก็คุยถึงเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ว่า …
1 เธสะโลนิกา 4:13-14 “13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่าน ไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง 14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกัน บรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซู (ก่อนหน้า) นั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น (ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซู) มากับพระองค์ (ในวันพิพากษาโลก) ด้วย”
“แต่พี่น้องทั้งหลาย” ก็คือผู้เชื่อ คริสเตียนทั้งหลาย “ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว” พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” แทนคำว่า “ตาย” เพราะว่าสำหรับผู้เชื่อที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีการตาย ตั้งแต่วันที่เขารับเชื่อในพระเจ้า รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะความตาย คือโทษของความบาป เมื่อคริสเตียนรอดจากโทษของความบาปแล้ว คริสเตียนก็ไม่มีการตายอีกต่อไป เราจึงล่วงหลับ
“ไม่อยากให้ไม่ทราบ” ก็แปลว่าอยากให้ทราบนั่นเอง อยากให้ทราบเรื่องคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไปแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปแล้ว สิ้นลมแล้ว เขาได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่วิญญาณเขาออกจากร่าง วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ตามไปพบกับพวกเขา ได้รับสิ่งเดียวกันนี่แหละ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรับทราบความจริงเหล่านี้ อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ไม่เป็นทุกข์เศร้าโศกเหมือนอย่างคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ในข่าวดีในพระเจ้า ที่เขาไม่มีความหวังแบบนี้ แต่ถ้าเขารู้ว่านี่เป็นจริง และถ้าเราได้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกอีกครั้งหนึ่งนั้น บรรดาคนเหล่านั้น ที่ได้ล่วงหลับไปก่อนหน้าเราแล้วนั้น ที่ได้ไปอยู่กับพระเยซูแล้ว คนเหล่านั้น ก็จะมาพร้อมกับพระเยซูด้วย พระเยซูมา คนเหล่านั้น ที่อยู่กับพระเยซูก็มาด้วย วันที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลกอีกครั้งหนึ่ง ธรรมิกชนที่ล่วงหลับไปก่อนหน้านั้น ก็จะมาด้วย พระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น
พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น “คนเหล่านั้น” คือคนที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูแล้ว มากับพระองค์ด้วย คือมาในวันพิพากษาด้วย แสดงว่าคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปก่อนหน้าเรานั้น เขาอยู่กับพระเยซูแล้ว เราทั้งหลายที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราไม่ล่วงหน้าไปก่อนเขาหรอก เขาอยู่ก่อนหน้าเราแล้ว เปาโลกำลังหนุนใจพี่น้องอย่างนี้ เพื่อว่าพี่น้องคริสเตียนชาวเธสะโลนิกา หรือที่ไหนก็ตามได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ จะได้ไม่ทนทุกข์โศกเศร้าเหมือนกับคนอื่นที่ไม่เชื่อ โศกเศร้าเรื่องว่าคนรักจากไปแล้ว แล้วไปอยู่ไหน? แล้วไปเป็นอย่างไรบ้าง? คิดถึงเขาจังเลย อะไรประมาณนั้น
พระคัมภีร์บรรยายไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่าเมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? นี่หมายถึงตอนที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนี้นะ จะมีอะไรเกิดขึ้น? …
1 เธสะโลนิกา 4:15-16 “15 ในข้อนี้ เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไป (รับร่างกายใหม่ อยู่กับพระเยซูในสวรรค์) ก่อนคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไป (ก่อนหน้า) แล้ว ก็หามิได้ 16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์ จะเป็นขึ้นมาก่อน (รับร่างกายใหม่ พบพระเยซูในสวรรค์)”
เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง จะล่วงหน้าไปรับร่างกายใหม่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน ก่อนคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไปก่อนหน้าเราแล้ว มันเป็นไปไม่ได้
ข้อ 16 บอกว่าด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า คนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์ คนที่เชื่อและล่วงหลับไปก่อน ในพระคริสต์ จะเป็นขึ้นมาก่อน รับร่างกายใหม่ พบพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ก่อน
หมายถึงว่าก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก เป็นทางการ และรับคนที่ยังไม่ตายไปอยู่กับพระองค์ นั่นหมายถึงไปทีหลัง ดังนั้น คนที่ล่วงหลับไปก่อนนั้น เขาก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ก่อน และเขาก็จะได้รับประสบการณ์เดียวกัน ก็คือมีเสียงแตร พระเยซูคริสต์เสด็จมารับเขา
ผมเชื่อเป็นการส่วนตัว เสียงแตรและเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในนี้ที่บอกไว้ว่าเสด็จจากสวรรค์ด้วยเสียงกู่ก้อง และสำเนียงของเทพบดี ด้วยเสียงแตรอะไรต่างๆ เหล่านี้ โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ พระเยซูมีตำแหน่ง มีฐานะ เป็นราชาจอมราชา King of kings ลองนึกภาพว่าราชาที่เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ก็คือกษัตริย์ในประเทศต่างๆ สมัยไหนๆ แล้วแต่ ราชา กษัตริย์บนโลกใบนี้ จะเสด็จไปไหน? ตอนลุก จะเสด็จปุ๊บ ยังมีเพลงนำ เสียงแตรนำ นึกภาพออกใช่ไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ ราชาจอมราชา จะไปไหน? จะมีเพลงสรรเสริญที่ดังกว่านั้น เพราะว่ามนุษย์ก็เลียนแบบพระเจ้าทั้งสิ้น เชื่อไหม? พระเยซูคริสต์กลับมารับคนที่จากไปก่อนหน้านี้ ไปอยู่บนสวรรค์กับพระองค์ ก็จะมาด้วยเสียงแตร เหมือนกัน 1 โครินธ์ 15:52
1 โครินธ์ 15:52 “ชั่วแวบเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”
ชั่วแวบเดียว ในพริบตาเดียว สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เชื่อ ที่ตายไปก่อนหน้านี้ เป็นร้อยปี พันปี กี่ปีก็ตาม หรือผู้เชื่อที่พึ่งตายไปไม่นานก็ตาม หรือพวกเราผู้เชื่อ ที่จะต้องตายลงในวันหนึ่งข้างหน้า ทุกคนก็จะมีประสบการณ์นี้ คือชั่วแวบเดียว เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณทันที เหมือนหลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาเจอทันที ถามว่าเจออะไร? เจอเหตุการณ์เดียวกัน ก็คือพระเยซูเสด็จมารับพร้อมร่างกายใหม่ให้กับเขา และพระองค์มาด้วยเสียงแตรก้องเวหา เพื่อมารับข้า มั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น ตามถ้อยคำนี้ ใน 1 เธสะโลนิกา 4:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 เธสะโลนิกา 4:17 “หลังจากนั้น เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า ในฟ้าอากาศอย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์”
หลังจากนั้น คือภายหลัง พูดง่ายๆ “ภายหลัง เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ ก็คือภายหลังจากคนที่ล่วงหลับไปก่อนหน้านี้ ไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ภายหลังเราทั้งหลายที่เป็นอยู่ เหลืออยู่จะถูกรับขึ้นไปในเมฆ พร้อมคนเหล่านั้น “คนเหล่านั้น” หมายถึงธรรมิกชนที่จากไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ก่อนหน้าเรา เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ตลอดกาล
“คนเหล่านั้น” คือผู้ที่ไปอยู่กับพระเจ้าก่อนหน้าเรา เป็นลูกเรา เป็นพ่อเรา เป็นแม่เรา เป็นปู่ เป็นย่า เป็นตา เป็นยาย คนที่เรารัก เป็นเพื่อนเรา เป็นคนที่เรารู้จัก ที่เชื่อพระเจ้า ที่ไปก่อนหน้าเรา เราก็จะไปเจอเขา ในวันนั้นแหละ เจอกันแน่นอน ใน 1 เธสะโลกา 4:18 เปาโลจึงบอกว่า …
1 เธสะโลนิกา 4:18 “เหตุฉะนั้น จงปลอบใจกันและกัน ด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด”
ให้เราปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้ อย่างเช่นตอนนี้ ช่วงโควิดกำลังระบาด เขาหนุนใจกันได้ไหม? ปลอบใจกันอย่างนี้ได้ไหมว่าไม่ต้องกลัวเลย แย่สุด ก็คือวิญญาณออกจากร่าง นี่แย่สุดแล้วนะ เรายังมีความหวังที่ชัดเจน เลือกไม่ถูกเลย จะอยู่หรือจะไป จะไป ก็เจอคนที่เรารักเยอะแยะมากมาย อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูแล้ว เราก็ไปเจอเขา แต่ถ้ายังไม่ไป เจอโควิด ยังทุกข์ลำบากอยู่ แต่เราก็อยู่กับคนที่เรารัก ครอบครัวที่เรารัก ยังอยู่กันอยู่ ยังมีโอกาสทำงานให้พระเจ้า มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐอยู่ มันก็ดีเหมือนกัน มี 2 ทาง ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี ประมาณนั้น นี่แหละ คือความรู้สึกของคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เกิดใหม่จริงๆ แล้ว เช่นนี้แหละ ใน 1 เธสะโลนิกา 5:1-3 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
1 เธสะโลนิกา 5:1-3 “1 แต่พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2 เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมย ที่มาในเวลากลางคืน 3 เมื่อเขาพูดว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นแหละ ความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น”
นี่ก็กำลังพูดถึงความแตกต่างระหว่างคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง ไปอยู่กับพระเจ้า แตกต่างกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่มีความหวังอะไรเลย เขาจึงอยู่ในความหวาดกลัว เขาจะอยู่ในความประมาท เมื่อไรที่ออกจากร่าง คือวันที่พระเยซูกลับมา เขาจะทุกข์ใจ ทุกข์ทรมาน เขาเรียกว่าไปสู่ความพินาศนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ ไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับความพินาศ เปาโลกำลังเตือนคนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน อ่านต่อไปในข้อ 4 และข้อ 5
1 เธสะโลนิกา 5:4-5 “4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว เพื่อวันนั้นจะไม่มาถึงท่านอย่างขโมยมา 5 ท่านทั้งหลายเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน หรือของความมืด”
“แต่พี่น้องทั้งหลาย” คือใคร? พี่น้องทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เหมือนกับเรา พี่น้องทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พี่น้องทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่เหล่านี้ ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว
พี่น้องเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ไหม? ยังไม่ตายจากร่างกายนี้ออกไป ไม่ตาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว ในหนังสือโคโลสี 1:13 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายได้ถูกช่วยให้รอดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างในพระบุตร เมื่อท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าได้ย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง”
ข้อ 5 บอกท่านทั้งหลายเป็นบุตรของความสว่างและเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน หรือของความมืด … ชัดเจนนะ ในหนังสือ 1 ยอห์น 4:17 ได้บอกว่าเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว วิญญาณของท่านในขณะนั้น รับเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้ว วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินบนโลกใบนี้เลย บันทึกอย่างนี้เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ได้พักผ่อนอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พักผ่อน เป็นทายาทที่รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว
1 เธสะโลนิกา 5:6-10 “6 เหตุฉะนั้นอย่าให้เราหลับ เหมือนอย่างคนอื่น 7 แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย เพราะว่าคนนอนหลับ ก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมา ก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน 8 แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้ว ก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรัก เป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะให้ความรอด (ที่ครบถ้วนบริบูรณ์) เป็นหมวกเหล็ก 9 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้ สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้ได้รับความรอด โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 10 ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่ หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์”
อาจารย์เปาโลจึงถือโอกาสหนุนจิตชูใจผู้เชื่อทั้งหลาย ขณะเดียวกันก็เตือนและประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ ให้รู้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร?
ในข้อที่ 8 สำหรับคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว บอกว่าแต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้ว ก็อย่าให้เราเมามาย ก็หมายถึงอย่าให้เรางง เพราะคนไม่เชื่อก็งง ไม่รู้จะทำอย่างไรในชีวิต แต่คนที่เชื่อแล้ว เรารู้เป้าหมายของเราแล้ว เราอยู่ในกลางวัน ก็คืออยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรารู้เป้าหมายของเราแล้ว ชัดเจน จดจ่อไปที่เป้าหมายนั้น จงสวมความเชื่อกับความรัก เป็นเกราะป้องกันตน จงสวมความเชื่อ ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู มั่นใจในความรอดที่ได้รับไปแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว และดำเนินชีวิตในความรัก ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว และเป็นความรักในพระเจ้า โดยภายใน และสวมความหวัง เห็นไหมครับ? ก็คือให้มีความหวังเต็มเปี่ยม ในการเป็นขึ้นจากความตาย หลังความตายนั่นเอง ให้สวมความหวังที่จะได้รับความรอด หมายถึงความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ ก็คือได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์นั่นเอง คือรอร่างกายใหม่นั่นเอง
ข้อ 9 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเรา สำหรับพระอาชญา หมายถึงพระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลกแล้ว พระเจ้าไม่ได้เตรียมให้เราถูกการพิพากษา เราไม่ถูกการพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายออกมาจากนรก จากความพินาศ มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อบนโลกใบนี้ เราเป็นของพระเจ้า เราเป็นแกะของพระเจ้า ในทุ่งหญ้าของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นแพะ เราไม่ได้เป็นคนไม่เชื่อ ไม่ได้อยู่ในความพินาศ เพราะฉะนั้น เราถูกกำหนดให้เป็นลูกของพระเจ้าในความสว่าง ได้รับความรอด ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์
การมาพิพากษาของพระเยซูคริสต์ในครั้งที่ 2 เป็นทางการ มาเพื่อคนที่พินาศอยู่แล้ว คนที่ไม่ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เมื่ออยู่ในความพินาศ พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนั้น ก็คือมาสำเร็จโทษนั่นเอง โทษที่ผู้คนเหล่านั้นได้ถูกพิพากษาอยู่แล้ว แต่สำหรับเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าให้เรารับเชื่อเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้นั้น พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ก็คือรับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ข้อ 10 สำคัญมาก ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ก็คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง ที่ทำให้เรารอด ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ แต่เป็นเพราะพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา ถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับอยู่ เราก็จะได้มีชีวิตอยู่กับพระองค์ หมายถึงไม่ว่าจะตื่น คือยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ หรือก่อนพระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก เราจะตายออกจากร่างไปก็ตาม เราก็มีชีวิตอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ อย่างนั้นตลอดเวลา ไม่ว่าวิญญาณจะออกจากร่างหรือไม่? พระคริสต์ก็อยู่ในเรา และเราก็อยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน
การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นประโยชน์ขนาดไหน? พอเชื่อปั๊บ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันทันที ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วันหนึ่งที่ตาย วิญญาณออกจากร่าง ก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์เหมือนเดิม เพราะไม่ว่าอยู่หรือตาย ก็อยู่กับพระเยซูคริสต์นั่นเอง มีชีวิตอยู่กับพระเยซูคริสต์ นี่เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำกับมนุษยชาติทั้งโลกใบนี้ เป็นพระคุณยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทำให้กับเราทั้งหลายบนโลกใบนี้ เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเราบนโลกใบนี้ มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ดีๆ ทั้งหมด เพียงแค่นั้นเอง ถึงเรียกว่าพระคุณไงครับ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นเอง จุดเดียวเท่านั้นที่เราต้องทำ แค่นั้นเอง คือเชื่อในข่าวดีและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบ แค่นั้น แล้วไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ไปจนถึงนิรันดร์ พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน และที่ไม้กางเขนพระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว มาเชื่อพระองค์เท่านั้น พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราไปจนถึงสิ้นยุค จะอยู่กับเราตลอดเวลา จะไม่ทอดทิ้งเรา จะไม่ละเรา ให้เป็นเหมือนลูกกำพร้า จะไม่ทอดทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง จะอยู่กับเราตลอดเวลา แม้กระทั่งเราหลับ พระองค์ก็อยู่ด้วย จะจูงมือเราเดิน เดินไปจนกระทั่งวิญญาณออกจากร่าง และก็เดินกับเราต่อไป จนถึงนิรันดร์ในสวรรค์สถานของพระองค์
นี่เป็นความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ และเมื่อวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลก ถ้าเราอยู่ถึงวันนั้น เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ได้รับร่างกายใหม่ โดยการที่พระเยซูกลับมารับเรา แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ถึงวันนั้น วันที่เราจากไปก่อน วันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราตายก่อน เราก็กลับไปอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใด เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะไปสวรรค์ก่อนหรือหลัง ได้ทั้งหมด ถ้าพูดเป็นภาษาปัจจุบัน ก็จะบอกว่าได้ทั้งหมด ถ้าสดชื่น อันนี้สดชื่นตลอดเวลาเลย จะไปวันนี้ ก็ได้เหมือนกัน จะไปพรุ่งนี้ ถ้าพระเยซูกลับมาพิพากษาโลก ก็ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะได้แบบไหน ก็ได้เหมือนๆ กัน ก็แล้วแต่พระเจ้าจะทรงเลือกให้เราก็แล้วกัน ดีสำหรับเราก็แล้วกัน ดีทั้งสองอย่าง เลือกไม่ถูกเลย
อย่างนี้คือความเชื่อของคริสเตียน ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ เพื่อหนุนจิตชูใจ แล้วท่านมีความคิดอย่างนี้หรือไม่? ท่านคิดอย่างนี้หรือเปล่า?
ย้อนกลับมาอีกที วันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราตื่นเต้นไหม? เราจะได้พบพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เพื่อนๆ ญาติพี่น้องที่จากไปก่อนหน้านี้แล้ว เร็วๆ นี้เอง แปลว่าอะไร? ถ้าพูดถึงว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมาเมื่อไร เราไม่รู้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าเหมือนดั่งขโมยมา เราไม่รู้ ไม่มีใครรู้ พระบุตรก็ยังไม่รู้ พระเยซูยังไม่รู้เลย แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือวันที่เราจากโลกนี้ไป เห็นชัดกว่าเยอะ คือวันที่เราตายจากโลกใบนี้ อายุสักเท่าไรดี ให้ 100 ปี จากนี้ไปอีกกี่ปีดี หรือโรคภัยไข้เจ็บ โควิด อุบัติเหตุ หรืออะไรต่างๆ ทำให้วิญญาณเราต้องออกจากร่าง เราก็ได้รับเหมือนกันเลย คือได้รับร่างกายใหม่ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน พบกับพี่น้องของเรา ที่เรารัก ที่เราคิดถึง อย่างนี้ มันคือความหวังใจที่มีแต่ได้กับได้ คุ้มค่าไหมครับ ตื่นเต้นไหมครับที่จะรอคอยวันนั้น และคุ้มค่า สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คุ้มค่าไหมที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์วันนี้ ณ วินาทีนี้ ในขณะที่สถานการณ์โลกยังเป็นอย่างนี้ ผมยังตื่นเต้นอยู่ ผมยังอยากพบกับคุณพ่อ คุณแม่ เพราะคิดถึงท่านและมั่นใจแล้วว่าวันอันใกล้นี้ ผมก็จะไปพบกับท่าน ท่านก็กำลังเชียร์ผมอยู่ตอนนี้ แล้วยังมีพี่น้องอีกหลายท่านที่คิดถึงกัน อยากจะไปเจอเขาอีกหลายท่าน ที่ร่วมรับใช้ด้วยกันมาอีกหลายท่าน ก็อยากจะไปพบกับท่าน วันนั้นคงจะสนุกสนาน อยากจะไปคุยกับโมเสส อยากจะไปคุยกับอับราฮัม อยากจะไปคุยกับกษัตริย์ดาวิด อยากจะไปคุยกับเปาโล เราจะไปเจอกันหมดเลย แล้วถามว่าจะไปเจอเมื่อไร? เร็วๆ นี้ เมื่อไร? ก็ไม่รู้ล่ะ เมื่อไรวิญญาณเราออกจากร่าง เมื่อไรเราจะตายจากโลกใบนี้ พอตายปุ๊บ หลับตาปั๊บ เปลี่ยนเข้าสู่มิติทางฝ่ายวิญญาณ หลับตา วิญญาณออกจากร่าง ท่านลองดูก็ได้ แค่พริบตาเดียว หลับตา เทียบกับลมหายใจสุดท้ายที่ออกจากร่างอันไหนเร็วกว่ากัน ผมว่าพอกัน หายใจเข้า หายใจออก หมดลม เจอหน้าพระเยซูทันที เจอหน้าพี่น้องที่จากเราไปก่อนทันที ที่เรารัก ที่เราคิดถึงทันที มันง่ายอย่างนี้จริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้จริงๆ ผมพยายามที่จะอธิบายแบบชาวบ้านๆ ให้ลึกซึ้ง ให้เห็นภาพตามด้วย ท่านจะมีกำลังใจ เป็นความหวังใจให้กับท่าน ด้วยถ้อยคำที่แท้ ด้วยสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตต่อไป หายใจเข้าเมื่อไร? หายใจออก ลมหายใจสุดท้าย วิญญาณออกจากร่าง พร้อมกับกระพริบตาปั๊บ เจอพระเยซู พระองค์มารับ อยู่ในสวรรค์ ได้ยินเสียงแตรดังก้องเวหา พระองค์มารับข้า กลับไปอยู่ในเมืองฟ้าทันที เพราะชื่อข้าจดอยู่ในสมุดแห่งชีวิต ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันแรก วินาทีแรก บนโลกใบนี้นั่นเอง พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเยซูได้กระทำเพียงครั้งเดียว เราก็ได้รับการชำระ จนสะอาดหมดจด และสะอาดอย่างนั้น ถาวรวนิรันดร์
ฮีบรู 10:14 “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”
แต่ที่บอกว่าค่อยเป็นค่อยไป หมายถึงการเจริญเติบโตของชีวิตคริสเตียน หมายถึงความรู้ในเรื่องพระเจ้าในเรื่องวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตที่ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ที่จะค่อยๆ เรียนรู้ไป
วันที่เราได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณเราได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด แล้วก็จริง แต่สติปัญญา และความรู้ในทางพระเจ้า เรายังมีไม่มาก นี่คือสิ่งที่บอกว่า ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ฝึกฝน แต่ไม่ใช่ค่อยๆ ทำให้สะอาดบริสุทธิ์
ไม่มีคำว่าค่อยๆ ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์
ไม่มีคำว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือค่อยๆ ชำระล้างให้สะอาดทีละนิด
พระเยซูได้กระทำเพียงครั้งเดียว เราก็ได้รับการชำระ จนสะอาดหมดจด และสะอาดอย่างนั้น ถาวรนิรันดร์
เอเฟซัส 2:1-3 “1 “ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดและในบาป (ในอาดัม) ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่งเราเคยมีชีวิต เหมือนกับผู้คนเหล่านั้น (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา) ที่สนองความอยากกับความคิดของมันตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”
ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ
วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของมนุษย์ อยู่ที่ไหน?
ในอาดัม ในบาป ในความมืด ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ในความพินาศนิรันดร์ หรือในความสว่างในพระคริสต์
พระเจ้าอวยพรครับ