คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรากำลังเรียนรู้ ถ้อยคำพระเจ้า เรื่องความจริงจะทำให้เราเป็นไท ที่พระคัมภีร์พูดถึงนี้ ไม่ได้ใช้เฉพาะโลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น  จริงๆ ใช้ในชีวิตเราทั้งหมดเลย ถ้าเรารู้เรื่องจริง อะไรก็ตาม จะทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอก เมื่อไม่ถูกหลอก เราก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง กับตัวเราเอง ในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องเลย ถ้าเรารู้ความจริง แม้กระทั่งเรื่องคนอื่นที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปเขียนในเฟสบุ๊ค ในโซเชียลมีเดียทั้งหลาย บางทีเราไม่รู้ว่าเบื้องหลัง มีอะไร? เราก็คิดของเราไปเรื่อยเปื่อย เราก็ตัดสินใจผิด คอมเม้นท์ผิด แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้น เห็นไหม? ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูพูดไปตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 ปีแล้ว ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราพูดไปในความไม่จริง ก็จะเกิดความเสียหาย ใครเสียหายมากที่สุด ตัวคนๆ นั้นแหละ ที่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญู เขาบอกให้เรามีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย พระเยซูบอกแม้แต่น้ำแก้วหนึ่ง ยังให้เรามีความกตัญญูเลย น้ำแก้วหนึ่งยังได้รับอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าสิ่งที่ดีๆ ตอบแทน คนที่เขาให้น้ำแก้วหนึ่ง ด้วยความรักแท้ ด้วยความจริงใจ ไม่ได้หวังอะไรกลับคืน ความกตัญญู คนอื่นก็นึกว่าพ่อแม่ต้องการให้เราไปช่วย พ่อแม่ต้องการความกตัญญู ไม่ใช่ พูด สอน เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับคนที่กตัญญู คนที่กตัญญูก็จะได้ กตัญญูต่อแผ่นดิน ก็ได้พระพร ได้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อธรรมชาติ น้ำอะไรต่างๆ ให้มันสะอาด อย่าทำให้มันสกปรก อย่าเอาขยะทิ้งลงไป นี่คือความกตัญญู คนนั้นก็ได้พร คือได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่กตัญญู เขาก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี ไม่รู้จักคุณค่าของสัตว์ ของสิ่งมีชีวิต ของป่าไม้ ของพืชพรรณ ของอากาศที่ดีๆ ไม่รู้จักคุณ ไม่กตัญญูต่อเขา ทำสิ่งไปต่อต้านเขา คนนั้น ก็ได้สิ่งที่ไม่เป็นพร เข้ามาในตัวเอง เรียกว่าได้คำสาปแช่งเข้ามา นี่เห็นไหม แค่พูดถึงเรื่องถ้อยคำเดียวที่พระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ แค่นี้ก็พูดไม่จบเลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

วันนี้เป็นตอนที่ 4 ใช้ชื่อเรื่องว่า “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ให้พูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ชินกับคำศัพท์ที่ใช้ในโลกวิญญาณ ชินกับความคิด เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่มนุษย์มองไม่เห็น มือจับต้องไม่ได้ หูไม่ได้ยิน แต่เป็นจริงในพระคัมภีร์สอนไว้ เพื่อจะชินกับการคิด มองด้วยตาฝ่ายวิญญาณ ทะลุให้เห็นว่าโลกวิญญาณมีจริง และหน้าตามันเป็นอย่างไร? นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าท่านทั้งหลาย หรือผมควรจะทำและฝึกบ่อยๆ ยิ่งฝึกมาก มันก็จะชำนาญมากขึ้น ทุกทีๆ พระเยซูบอกว่าผู้ที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ผู้ที่จะมีสวรรค์เป็นของเขา เรียนถ้อยคำพระเจ้า เรียนเรื่องสวรรค์ เราต้องทำตัวเป็นเด็ก

วันนี้การบรรยายชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 4 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” โลกวิญญาณมันซ้อนอยู่ในโลกนี้ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง อยู่ตรงนี้แหละ มันคลุมอยู่กับโลกที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ที่เราเห็นอยู่ตรงนี้ เหมือนที่พระเยซูพูด …

  1. โลกวิญญาณอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่นี่ หมายถึงคลุมอยู่บนโลกใบนี้  ซ้อนกันอยู่ตรงนี้
  2. ตอนที่มีโลกใหม่ๆ ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร?  1 อาณาจักร
  3. ใครเป็นผู้นำความมืดเข้ามาในโลกวิญญาณ? อาดัม ผ่านทางมาร อาดัมไม่มีความมืด ผ่านทางมาร เชิญมารเข้ามา
  4. ตอนความมืดเข้ามาครั้งแรก โลกวิญญาณตอนนั้น มีกี่อาณาจักร? 1 อาณาจักร เพราะความมืดเข้ามา พระเจ้าก็ถอยออกไป
  5. เวลาเลยมา ยาวยืดจากปฐมกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้  โลกวิญญาณมีกี่อาณาจักร? 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความสว่าง และอาณาจักรแห่งความมืด
  6. อาณาจักรแห่งความสว่างเกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้า แต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ทรงนำเอาความสว่างเข้ามาในโลกนี้ ซ้อนเข้ามาอยู่บนโลกนี้เลย โลกวิญญาณ ก็เลยมี 2 อาณาจักรเกิดขึ้น จนถึงปัจจุบัน
  7. ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความสว่าง? พระเยซูคริสต์ … ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืด? มาร

เหนือพระเยซูคริสต์ ใครเป็นผู้ให้สิทธิอำนาจพระเยซูคริสต์? พระเจ้า … พอมาอาณาจักรแห่งความมืด ใครเป็นหัวหน้าอาณาจักร? อาดัม ใครเป็นคนให้สิทธิอำนาจแก่อาดัม ในการเป็นหัวหน้าอาณาจักรแห่งความมืดบนโลกใบนี้ ชื่อมาร ท่านเห็นภาพไหม? นี่คือความเป็นจริงในโลกที่เราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า อยากให้เราลูกๆ ของพระองค์ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราจะได้เป็นไท เป็นอิสระ

  1. ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยากจะอยู่ในอาณาจักรมืดต่อไป? มนุษย์ เป็นผู้เลือกเอง ไม่มีใครเลือกให้ ทูตสวรรค์ พระเยซูไม่ได้เลือกให้ มารก็ไม่ได้เลือกให้ มนุษย์เป็นผู้มีสิทธิ์ ต้องเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์เลือกให้อีกคนหนึ่ง พ่อแม่เลือกให้ได้ไหม? ไม่ได้
  2. ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้ วิญญาณของท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง? ตัวใครก็ตัวเขาแหละ ถามคนที่บ้านว่าขณะที่ท่านฟังคลิปนี้อยู่ในยูทูปหรือเฟสบุ๊คของโฮลี่ก็ตาม วิญญาณท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอก ที่บ้านท่านก็มีโลกวิญญาณเหมือนกัน โลกวิญญาณซ้อนโลกนี้อยู่ คลุมโลกนี้อยู่ทั้งหมด ถามตัวท่านเองในใจ? ถามตัวเองที่กระจกว่า …

“ฉันอยู่ที่ไหน?” ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้

และในวันนี้ เราก็จะมาเรียนรู้กันต่อว่าระหว่างอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ได้มีคำอธิบายหรือมีคำบอกเล่าคุณลักษณะความแตกต่างของทั้งสองอาณาจักรไว้อย่างไรบ้าง? เพื่อท่านจะได้คุ้นกับหูของท่าน ซึ่งเป็นหูทางฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย หูวิญญาณท่านเปิดแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว แต่หูข้างนอก มันไม่คุ้น เราก็เลยต้องมาทำความคุ้นเคย ซึ่งถ้าเราได้เข้าใจในความหมายเล่านี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น อย่างที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสอนในพระคัมภีร์ เป็นอุปมา ตัวอย่าง คำเปรียบเทียบ หรือแม้แต่เป็นนิทาน หรือเรื่องเล่า หรือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ล้วนเล็งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในโลกวิญญาณทั้งนั้นเลย

ยกตัวอย่าง เช่นถ้อยคำที่บอกว่าในพระคัมภีร์เขียนว่า “เราได้ตายแล้ว และบังเกิดใหม่แล้ว” แค่นี้ ถ้าเราไม่ได้คิดถึงโลกวิญญาณ เราไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว วิญญาณเราได้ตายไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว คือเราเกิดในวิญญาณ

ผมก็เลยพยายามรวบรวมถ้อยคำ คำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์นี้ เท่าที่ทำได้ เป็นคำศัพท์ที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่างและอาณาจักรแห่งความมืด ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้

เอเฟซัส 4:2-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

 

คำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งความสว่างในโลกวิญญาณ ท่านต้องเข้าใจในโลกวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันแปลว่าอะไร?  พอท่านเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่ขีดไว้นั้นหมายถึงอะไร? ….

“มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” ก็คือมีชีวิตเหมือนพระเจ้า “อยู่กับพระคริสต์” ก็คืออยู่กับพระคริสต์

“รอดโดยพระคุณ” ก็คือไม่ต้องทำอะไร? รอด ก็คือรอดจากความมืดมาสู่ความสว่าง รอดโดยพระคุณ คือ …

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเลือกเอา แล้วพระเจ้าช่วยให้ฉันรอด”

“ให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ท่านรู้แล้วว่าความหมายคำนี้จะเปลี่ยนไป แต่คำว่า “เป็นขึ้นมา” คือ …

“ตอนที่ฉันอยู่ในความมืด ก็แสดงว่าฉันตายอยู่ ตอนนี้ผ่านทางพระเยซู พระเจ้าทำให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในความสว่าง”

“ในพระเยซูคริสต์” แปลว่าฉันนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซู

“นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” ฉันนั่งอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ และอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป

ถ้าท่านมองไปในโลกวิญญาณ ไม่ศึกษาทางวิญญาณ ไม่เข้าใจเลย โลกมันซ้อนกันอยู่ โลกวิญญาณซ้อนกันอยู่ แม้กระทั่งตอนนี้ฉันเดินอยู่ในห้องใต้ดิน ซึ่งปิดไฟมืดสนิท ฉันก็อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง แม้ว่าคนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในพระเยซูคริสต์ เขาจะเดินอยู่ตอนเที่ยงวัน แดดจ้า ร้อนมาก เขาก็กำลังเดินอยู่ในความมืด ท่านเห็นแล้ว

โรม 14:17 “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม  สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

“อาณาจักรของพระเจ้า” ก็คืออาณาจักรแห่งความสว่าง ที่มีพระคริสต์เป็นหัวหน้าอยู่

“ความชอบธรรม” แปลว่าไม่ผิด ไม่บาป ถูกต้อง ทำอะไรก็ถูกหมด ดีหมด คนดี ดีงามเหมือนพระเจ้าเลย  อยู่ตรงนี้ แล้วมันก็มีสันติสุข

“สันติสุข” คือความสงบสุข ไม่กลัวโดนลงโทษ ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ตรงนี้ (เก้าอี้ที่มีผ้าดำ) มีข้อกล่าวหา เป็นนักโทษ ผิดหมด ถูกลงโทษ แต่อันนี้ถูกหมด ไม่ถูกลงโทษ สันติสุข แปลว่าอย่างนี้

“ความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า  (เก้าอี้ที่มีผ้าขาว) เรานั่งอยู่ที่นี่  เรามีความแฮปปี้ ยินดี มีความสุข ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีความสุขที่สุดในโลก (ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ) ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ มันหลุดเลย มันจึงเป็นไทจริงๆ

โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวัง ที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ” พอพูดผู้ชอบธรรมปุ๊บ  ท่านรู้ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  อยู่กับพระเจ้าผู้ชอบธรรม ไม่ได้โดนลงโทษอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นนักโทษ ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ แสดงว่าฉันไม่ได้ทำเอง พระเยซูทำให้

“ร่มพระคุณ” แปลว่าฉันเข้ามาอยู่ในพระคุณ ฉันเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ ปกคลุมด้วยพระคุณ พระเจ้าทำให้ฉัน และฉันใช้สิทธิ์นี้ ถ้าฉันไม่ใช้สิทธิ ฉันไม่ได้อยู่ในร่มของพระคุณ พระเจ้าทำให้กับฉันฟรีๆ ฉันรอดแล้วในพระคริสต์ เหมือนร่มอันหนึ่งที่กางออกมาแล้ว ถ้าฉันไม่เข้าไปในร่มนี้  ฉันก็ไม่ได้อยู่ในร่มพระคุณ ฉันจะอยู่ในร่มพระคุณ เพราะฉันยอม ที่จะรับว่ามันเป็นจริง และเชื่อ ฉันขอเข้าไปอยู่ในร่มด้วยคน เหมือนฝนตก แล้วคนถือร่มมา ถ้าท่านไม่ไป ขอเข้าไปด้วยคน ท่านก็เปียกฝน ในขณะเดียวกัน ตรงนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้ากางร่มให้ท่านแล้ว แล้วบอกมาสิ เข้ามาสิ เข้ามาในแสงสว่าง เข้ามาในความรอดในพระเยซูคริสต์สิ ท่านมีหน้าที่เชื่อ และเอาๆ ขอร่มด้วยคน แล้วท่านก็เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณ แค่นี้เอง ไม่ต้องเสียอะไรเลย ถือร่มไว้แล้ว ร่มนี้ ชื่อร่มพระเยซูคริสต์

“พระคุณ” แปลว่าไม่ได้จ่ายตังค์ ไม่มีอะไรเลย  และไม่มีใครสามารถผลักท่านเข้าไปได้ด้วยไม่มีใครสามารถลากเข้าไปได้ ท่านต้องตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่าท่านจะเข้าไปอยู่ในร่มนี้ หรือไม่? หรือจะยืนตากฝน ตากแดดอยู่ต่อไป พระเจ้าให้คนเชิญท่านได้ คือประกาศข่าวดีให้กับท่าน แต่ท่านต้องเป็นคนตัดสินเองว่าจะเข้ามาในร่มหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่ คนที่มีพระคุณ ศิษยาภิบาลใหญ่ๆ ศิษยาภิบาลที่ดังๆ นักประกาศ ก็ไม่สามารถ นี่ตามหลักพระคัมภีร์นะ พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือบังคับให้คุณเข้ามาอยู่ในนี้ ทำไม่ได้ นอกจากเชื้อเชิญ เคาะประตูแล้ว เคาะประตูอีก ง้อคุณแล้ว ง้อคุณอีก เอาข่าวประเสริฐให้คุณฟังตั้งหลายครั้งแล้ว ตั้งกี่ปี คุณก็ไม่เชื่อ แถมไล่พระเจ้าออกไป ไล่พระเยซูไปอีก ไม่สนใจอะไรเลย  พระองค์ไม่เคยงอน ไม่เคยโกรธ ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลย จะตามคุณไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณไม่เข้าใจ

พระเจ้าทำได้แค่นั้น ผ่านทางทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ แม้กระทั่ง สัตว์ป่า สัตว์ใช้งาน หรือต้นไม้ เรียกผ่านทางสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ได้เข้ามาในร่มพระคุณนี้

พระเกียรติสิริ คือพระลักษณะของพระเจ้า ถ้าผมจะแปลเป็นยกตัวอย่างง่ายๆ แบบไทยๆ แบบมนุษย์ธรรมดา จะแปลได้อย่างนี้ว่าลูกของผม โต๋เต๋เขาก็มีสิริของผม อยู่ในตัวเขา ลูกของท่านก็มีสิริของพ่อแม่อยู่ในตัวเขา เข้าใจไหม? สิริ ก็คือตัวตนของผู้ที่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าท่านอยู่ในพระเกียรติสิริของพระเจ้า คือท่านเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ท่านมีส่วนอยู่ในนั้น เหมือนลูกผมมี DNA ของผมกับแม่อยู่ในตัวของเขา เหมือนลูกของท่านมี DNA ของท่านและคู่ครองของท่านอยู่ในตัวเขา เราพอเข้ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว รับสิทธิ เราอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณนะ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ใน DNA ทางโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าพระเจ้า ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระสิริ” หรือ “พระเกียรติสิริ” หรือ Glory of God ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เรามีส่วนเข้าไปอยู่ในนั้นทันที

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ร่มพระคุณแล้ว  เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณแล้ว ด้วยความเชื่อ เราจึงชื่นชมยินดีและมีความหวังที่ได้มีส่วนอยู่ในพระสิริของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ติดอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว อีกไม่กี่สิบปี

โคโลสี 1:22  “บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“คืนดีกับพระเจ้า” ก็แสดงว่าตอนที่เราอยู่ที่นี่ (เก้าอี้ผ้าดำ) ตรงกันข้ามกับคืนดี ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เราเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน น้ำกับไฟ เจอกันไม่ได้เลย  มีเรื่อง อย่ามายุ่งกันดีกว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เรานั้นสกปรก บาป แต่ตอนนี้ เราได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีส่วนเข้าไปในพระสิริของพระองค์

“ผู้บริสุทธิ์  ปราศจากตำหนิ”  คืนดีกับพระเจ้า  มาเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจึงบริสุทธิ์ ไม่เป็นบาป ไม่สกปรกอีกต่อไป ปราศจากตำหนิ คือไม่มีจุดด่างดำ แม้แต่นิดเดียว

ในพระคัมภีร์เขียนบอก เป็นเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย  ไม่ต้องรอตาย  ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายนี้อยู่ ก็เป็นตามนี้แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ

“พ้นจากข้อกล่าวหา”  คือพ้นจากการเป็นนักโทษ ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ฉันไม่ต้องทำอะไร? พระเยซูทำให้หมดแล้ว ทำเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และผลเกิดเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่ต้องรอตาย คริสเตียนจึงไม่ควรที่จะมีทุกข์เลย ต้องมีน้อย ข้างในใจต้องมีการชื่นชมยินดีมากที่สุด ยิ่งถ้าเราได้รับรู้ทางโลกวิญญาณอย่างนี้มาก มันก็จะเกิดความชื่นชมยินดีในวิญญาณเรามาก ขนาดตามที่เรารู้ … รู้มาก ก็สันติสุขมาก รู้น้อย ก็สันติสุขน้อย รู้น้อย ก็กลัวมาก รู้มาก ก็กลัวน้อย

ยอห์น 17:3 “นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา”

 

พระเยซู พระเจ้าส่งมา เห็นไหม?

“ชีวิตนิรันดร์” แปลว่าอยู่ในแสงสว่าง ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่มีพระเกียรติสิริของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิ ชีวิตที่สง่างาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ชีวิตที่ชอบธรรม ที่เราว่ามาตั้งแต่ต้นทั้งหมด เรานั่งอยู่นี่ เรามีชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรามีชีวิตตลอดไป ต่อให้เรามีชีวิตในความมืด เราก็มีชีวิตตลอดไป เพียงแต่เราอยู่ในความมืดตลอดไป  โลกวิญญาณเป็นอย่างนี้

สรุปแล้ว เราได้คำอะไรบ้างที่พระคัมภีร์อธิบาย เวลากล่าวถึงอาณาจักรแห่งความสว่าง

–  อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า  / อาณาจักรของพระคริสต์

–  ในพระคริสต์  /   พระเกียรติสิริ  /  สง่าราศี  /   ความสว่าง

–  เป็นขึ้นมาใหม่  /  มีชีวิต  /  ชีวิตนิรันดร์

–  ความชอบธรรม  /  เป็นผู้ชอบธรรม  /   พระคุณ  /  ความรัก

–  บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า /  ลูกของพระเจ้า /  คืนดีกับพระเจ้า  /   ติดต่อกับพระเจ้าได้

นี่คือคำศัพท์ที่พูดถึงลักษณะสภาพของคนที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรของความสว่างของพระคริสต์

คราวนี้ มาดูอีกฝั่งหนึ่ง แน่นอนฝั่งอาณาจักรของความมืด ดูว่าพระคัมภีร์มักใช้คำอะไร? ที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรแห่งความมืดในโลกวิญญาณบ้าง?

โคโลสี 1:21 “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

 

“แยกขาดจากพระเจ้า” ตอนที่ฉันยังไม่รับเชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่กับอาดัมกับมาร ในอาณาจักรแห่งความมืด ฉันอยู่ในอาดัม โดยการควบคุมของมาร อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าความมืด ตอนนั้นฉันขาดจากพระเจ้า ติดต่อกันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน ต้านกันอยู่ เป็นน้ำกับน้ำมัน เป็นไฟกับน้ำ เป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นบวกกับเป็นลบ

“เป็นศัตรูกับพระเจ้า” ตอนที่ฉันอยู่ในอาณาจักรของความมืด ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉันยังไม่ได้คืนดีกับพระเจ้า ฉันยังต่อต้าน สู้ตลอดเวลา  มีคนมาประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ฉัน ฉันอาจจะยิ้มรับๆ แต่ในใจฉันต่อต้าน ฉันรับไม่ได้เลย พูดเรื่องพระเยซู ฉันทรมานใจมากเลย ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าทำไม? เคยรู้สึกไหม? พูดเรื่องอะไรก็ได้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉันไม่รำคาญเลย แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ฉันรำคาญมากเลย  เมื่อไรจะพูดเสร็จสักที ทั้งๆ ทีเขาก็พูดไปนิดเดียว แต่พอพูดเรื่องอื่น ฉันอยากฟังมากเลย ไม่แปลก เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้แล้ว

เพราะตอนนั้น ฉันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของความสว่าง รับไม่ได้เลย ฉันไม่รู้ตัวหรอก  แม้บางครั้ง ฉันจะไปโบสถ์คริสเตียน ตามคำเชิญของคนที่รักกันทางมนุษย์ ยกตัวอย่าง อาจจะเป็นพ่อฉัน แม่ฉัน เป็นญาติพี่น้องที่เคารพกัน  เชิญฉันไปงานคริสตมาส แล้วฉันก็ไป ดูเหมือนท่าทางข้างนอกดีหมดเลย มีมารยาทที่ดีมากเลย แล้วบางครั้ง ฉันไปทำอะไรพิเศษให้เขา ผมก็เหมือนรับตามมารยาท ผมก็ไปร้องเพลงพิเศษในวันคริสตมาส ผมก็ร้องไปอย่างนั้น แต่ในใจผมไม่ชอบ ไม่มีเหตุผล คิดย้อนกลับมา เดี๋ยวนี้ ถามตัวเองว่าไม่ชอบพระเยซูเหรอ ไม่รู้สิ คำนี้มาไม่ชอบ ผมเป็นอย่างนั้นนะ เคยคุยกับหลายๆ ท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เพราะว่าผมเป็นศัตรู

ที่กำลังพูดนี้ เรากำลังพูดศัพท์เหล่านี้  เป็นศัพท์ทางฝ่ายวิญญาณ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งหมด เพราะฉะนั้น ผมเป็นศัตรูกับพระองค์ทางวิญญาณ ทางข้างนอก ไม่มีอะไรกันเลย  เขาไม่ได้ทำอะไรผม ช่วยผมด้วยซ้ำไป สมมตินะ ให้เรียนภาษาอังกฤษฟรีด้วย  เลี้ยงข้าวคริสตมาส ก็ฟรีด้วย ผมเอาแต่สิ่งที่ฟรีๆ เหล่านั้น แต่สิ่งที่ฟรีในโลกวิญญาณผมไม่เอา เพราะในวิญญาณผมยังเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่แค่นี้เอง

มัทธิว 12:25-26  “25 พระเยซูทรงตรัสว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยกกันเอง ย่อมถูกทำลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเอง ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ 26 หากซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมัน (ซาตาน) จะตั้งอยู่ได้อย่างไร”

 

“อาณาจักรที่แตกแยก” อาณาจักรแห่งความมืดที่กำลังพูดถึงนี้ ไม่มีแตกแยกเลย มันมืดสนิท อยู่ใต้การควบคุมของมาร เช่นเดียวกัน ในอาณาจักรแห่งความสว่าง สว่างจ้าเลย  ไม่มีการแตกแยกกัน ทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเหล่าผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่เขาแล้ว เขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ รวมทั้งทูตสวรรค์อีกทั้งกอง เยอะแยะมากมาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีใครต่อต้านกันเลย ในทำนองเดียวกัน ทางนี้ก็มืดสนิท แย้งกัน

“อาณาจักรของมัน (ซาตาน)” นี่เป็นคำพูดพระเยซูนะ ก็แสดงว่าอาณาจักรของซาตาน หรืออาณาจักรมารตรงนี้ มีจริงๆ ในโลกวิญญาณ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงศัพท์ที่ใช้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พูดถึงสภาพของอาณาจักรของความมืดในโลกวิญญาณ

โรม 3:23  “เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“คนบาป” เรากำลังพูดถึงฝั่งความมืด เพราะว่าทุกคนเป็นคนบาป … บาป ภาษาเดิม ภาษาฮีบรู แปลเป็นภาษากรีก “Miss the target” แปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ตรงตามเป้าหมาย” ไม่เป็นไปตามความตั้งใจ ก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรา  ก็คือพระเจ้า เราบาป ก็คือเราไม่เป็นไปตามคาดหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งใจให้เราอยู่กับพระองค์ เราจะหนีพระองค์ไป เราไปอยู่กับมารซะ อะไรอย่างนี้

“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” คือพระเกียรติสิริหายไป DNA. ที่เป็นของพระเจ้าเสียหายไป กลายเป็นมะเร็งทางวิญญาณ กลายเป็นมะเร็งใน DNA.  … DNA. ที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้า มันกลายเป็นเชื้อบาปเข้ามา เมื่อมารเข้ามาปุ๊บ ความมืดทางวิญญาณเข้ามาปุ๊บ DNA. ทางวิญญาณกลายเป็นมะเร็ง กลายพันธุ์ไป ก็แค่นั้น ทั้งหมดที่กำลังพูดตอนนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์เมื่อไร?  เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเจ้าตรัสไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้วว่าเมื่อนั้น มนุษย์ทุกคนไม่มีใครมาสอนใครแล้ว ให้รู้จักกับพระเจ้า แต่เขาจะรู้จักเราด้วย ตัวเขาเอง เราจะไปสอนเขาเอง เราจะไปอยู่กับเขา  แค่เริ่มต้นใช้สิทธิของเขาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ไม่ใช่ให้รู้จักพระเจ้าหรอก หน้าที่ของเรา คือประกาศข่าวดีเท่านั้นเอง พอประกาศข่าวดีแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าสอนเขาเอง พาเขาไปเอง เอเมน

ยากอบ 1:15 “หลังจากมีตัณหาแล้ว ก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็มที่ ก็ก่อให้เกิดความตาย

 

“ความบาป” ตรงกันข้ามกับความชอบธรรม ในความมืดเขาเรียกว่าบาป เพราะฉะนั้นตรงกันข้าม เขาเรียกในทางแสงสว่าง เรียกว่าความชอบธรรม ถ้าเรายังไม่ย้ายไป  เรายังไม่รับเชื่อพระเยซู เราเป็นคนบาป ถ้าเราย้ายไป เราเป็นคนชอบธรรม

“ความตาย” ความตายอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่กับมาร ถ้าตรงกันข้ามเรารับเชื่อพระเยซู มาอยู่แสงสว่าง ตรงกันข้ามกับความตาย เรียกว่ามีชีวิต และมีชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์ ความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า

ยอห์น 3:36 “ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตร ก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์) เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”

 

“ไม่ได้เห็นชีวิต (ตายนิรันดร์)” คำว่า “นิรันดร์” ตรงนี้ ตายนิรันดร์จริงๆ ไม่ได้เห็นชีวิตเลย  ไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย  เห็นแต่มาร

“พระพิโรธของพระเจ้า” ตรงกันข้ามกับพระพิโรธของพระเจ้า เรียกว่า “ร่มพระคุณ” ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก  พระองค์ไม่เคยโกรธใครเลย พระพิโรธตรงนี้หมายถึงอยู่ตรงข้ามกัน ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน ถ้าทำอะไรผิด ตายเลย ตายเพราะว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่ใช่ตาย เพราะว่าพระเจ้ามาฆ่าเรา มันเหมือนไฟช๊อตเรา ไฟฟ้าพลังมหาศาล เราไปจับก็ตาย  ไฟฟ้าโกรธเรามากเหรอ เมื่อวานนี้ มีช่างไฟฟ้าทำงาน แล้วก็เอาบันไดเหล็กไปพาดไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้ามันโกรธมากเลย ฆ่าคนนั้นตายเลย ไม่ใช่ ไฟฟ้าต่อต้านกับคน แต่คนรับพลังงานไฟฟ้านั้นไม่ได้ พอไฟฟ้าวิ่งผ่านเราลงดิน เราตายเลย เพราะฉะนั้น เราต้องมีฉนวน ไม่ให้ไฟฟ้าผ่านตัวเรา ให้มันลงดินไปก่อน มีประจุไฟฟ้า

ในทางพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าโกรธเรามาก พระเจ้าอยากจะเจอกันจริงๆ อยากจะกอดเรา กอดไม่ได้ กอดไป เราตาย  เพราะเราไม่มีแรงต้านทานความยิ่งใหญ่  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เราเป็นมนุษย์สกปรก โสโครก เต็มไปด้วยความบาป  ถ้าแตะเรา เราตายเลย แล้วต้องทำอย่างไร? รักษาเราให้หายก่อน แล้วเรามากอดทีหลัง รักษาอย่างไร? คิดเองอย่างนี้นะ พระองค์ก็สร้างวัคซีนหนึ่ง ชื่อวัคซีนว่าโลหิตพระเยซูคริสต์  สามารถที่จะรักษาเราหายจากบาปได้ พอเราหายแล้ว เราก็มีภูมิต้านทาน เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า กอดได้เหมือนเดิม นี่คือร่มพระคุณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเข้าใจ พระเจ้าเสียที

โรม 2:12 “คนทั้งปวงที่ไม่มีบทบัญญัติ และได้ทำบาปจะพินาศ โดยไม่ต้องอ้างถึงบทบัญญัติ และคนทั้งปวงที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติ และได้ทำบาปจะถูกตัดสินตามบทบัญญัติ”

 

“พินาศ” แปลว่าอยู่ในความมืด  ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า นิรันดร์กาล ต้องอยู่ในความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อยู่กับมารนิรันดร์ไปเลย แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว วิญญาณก็อยู่ในความมืดนี้ตลอดไป

ข้อนี้บอกว่าทั้งคนที่พยายามปฏิบัติตามบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ สมัยโมเสส และคนที่ไม่ปฏิบัติ ถือว่าฉันไม่ได้เป็นยิว ฉันไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำได้มากขนาดไหน? ล้วนต้องอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น เพราะว่าจะย้ายไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่รักษาธรรมบัญญัติ ไม่ใช่รักษาความดีงาม ผมไม่ได้พูดว่าเราไม่ควรทำความดีนะ แต่ไม่ใช่การรักษาความดี ทำให้เรารอด แต่เรารอด เพื่อเราจะไปรักษาความดีทีหลัง เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยตัวเอง แล้วบริสุทธิ์สะอาด ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่มีทางหรอก ทำให้ตาย ท่านก็ยังมืดอยู่ดี มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่าบัญญัติไม่สำคัญ หรือท่านจะบอกว่าบัญญัติสำคัญมากเลย คนเราต้องเข้มงวดเรื่องศีลธรรมมากเลย  ไม่ว่าจะ 2 อย่างนี้ ท่านก็อยู่ในความมืดอยู่ดี ไม่มีทางไปฝั่งโน้นได้เลย ไม่มีวันไปแสงสว่างได้เลย  เพราะแสงสว่างนั้น มาได้โดยทางร่มพระคุณเท่านั้น คือพระเจ้าให้ฟรีๆ เพราะรู้ว่าเราทำไม่ได้ ท่านลองคิดง่ายๆ มีมนุษย์คนไหน? ที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ และไม่เคยทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และโลกวิญญาณ เราก็รู้เป็นเรื่องจริงว่าเราบาป ไม่ใช่เพราะตัวเรา เราบาป เพราะเราอยู่ในอาดัม และอาดัมมอบเราให้กับมาร มอบเราให้กับบาป เอาเชื้อบาปเข้ามา เราน่าสงสารมาก เราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราเกิดมา เราก็บาปแล้ว บาปใน DNA. วิญญาณของเราบาป เพราะเราอยู่กับอาดัม ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางช่วยตัวเอง จนกระทั่งเราบริสุทธิ์ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีทางเลย นอกจากคนที่มีความสามารถมาช่วยเรา พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ถามว่าทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ไง เพราะผมเป็นมนุษย์ พระเยซูก็เป็นมนุษย์ ตอนที่ผมอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ผมอยู่ในมนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่ชื่ออาดัม เราทั้งหลายอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัมแล้ว ก่อนเราเกิด เราก็อยู่ในอาดัม พระเจ้าโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่าเราจะเกิดมาบนโลกใบนี้  โดยมีอาดัมเป็นแม่พิมพ์ของเรา  เหมือนพระเจ้า เหมือนเขาจะสร้างรถแสนคัน แต่ตอนนี้ ทำแม่พิมพ์ออกมาคันหนึ่งแล้ว แต่อีก 99,999 คันยังไม่ได้ทำ ถามว่าคันที่ 1,000 อยู่ที่ไหน? อยู่ที่แม่พิมพ์อันนี้ เพราะในที่สุดสั่งพิมพ์ไป เดี๋ยวมันก็ออกมา พอเข้าใจใช่ไหมครับ ก็เหมือนกันถ่ายเอกสาร 1 แสนชิ้น ชิ้นสุดท้าย มันก็เหมือนกับชิ้นแรก  ชิ้นแรกขีดฆ่าผิดอะไร ชิ้นสุดท้ายก็ผิด แม้ว่าตอนนี้พิมพ์อยู่แค่ 3 แผ่นเอง แต่แผ่นสุดท้าย แผ่นที่แสน มันก็ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว เหมือนกัน

เราอยู่ในอาดัม .. อาดัมตกลงไปในความบาป เราก็ตกด้วย  เราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม เพราะว่าเราถูกโปรแกรมอยู่ในอาดัม พระเจ้าจึงส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาตั้งอาณาจักรของมนุษย์ใหม่ 1 อันที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเยซูเป็นมนุษย์เหมือนอาดัมเลย เหมือนพวกเราเลย แต่ต่างกันอย่างเดียว คือวิญญาณของพระองค์ไม่ได้บาปเหมือนเรา เพราะว่า DNA. ของพระองค์มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่พระองค์เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์มาสถาปนา คืออาณาจักรของความสว่าง เพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้ได้ เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง ถ้าไม่มีมนุษย์เราไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะอยู่เผ่าพันธุ์เดียว คือทุกคนเกิดในอาดัม

แต่ตอนนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเป็นทางเลือกให้กับเราว่าบนโลกใบนี้ มีมนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์สวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เกิดขึ้นแล้ว 2,000 ปี ผู้ใดได้ยิน เปลี่ยนซะ ย้ายตัวเขาเอง ย้ายสำมะโนครัว จากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ซะ เขาไม่ต้องอยู่ในอาดัมอีกต่อไป  แต่เขาจะอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นแสงสว่าง บาปหมดไป  กลับมาเป็นลูกพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า และจะอยู่กับพระคริสต์ตลอดไป และพระคริสต์ได้รับการสถาปนาจากพระเจ้า  สิทธินี้เป็นของพระเจ้า ทรงประทานให้เป็นของพระคริสต์ ตั้งเหมือนครอบครัวใหม่ เพราะฉะนั้น ท่านเพียงแต่ย้ายสำมะโนครัวแค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย ถ้าท่านไม่ย้าย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้ เพราะท่านเกิดมาอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น ท่านอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในอาดัม ท่านไม่มีทางทำอะไร สั่งสมเท่าไร? ก็ไม่มีทางแก้ DNA. นั้นได้ มีทางเดียวที่พระเจ้าวางไว้ให้ก็คือย้ายซะ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านรักษาหรือไม่รักษาบัญญัติ ท่านตั้งใจทำความดีมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับท่านรู้ความจริงนี้ไหม? ความจริงทำให้ท่านเป็นไท แค่นี้เอง

แล้วพอท่านมาอยู่ตรงนี้  ท่านจะสามารถรักษาความดีที่ท่านเคยทำตรงนี้ ได้มากกว่าเก่าด้วย มันไม่ครบถ้วนหรอก สมมติท่านทำแต่ความดีตรงนี้ได้ ระดับดี ถ้าท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ย้ายอาณาจักรมาอยู่กับพระคริสต์ ท่านจะได้ B+ ถ้าท่านอยู่ตรงนี้ ได้เกรด D แบบแย่มาก เป็นคนที่ขี้เหล้าเมายา ไม่เอาถ่านเลย นี่พูดถึงวิญญาณนะ  พูดถึงความตั้งใจของมนุษย์ ที่มนุษย์เห็น ท่านมาตรงนี้ ท่านอาจจะได้ C หรือได้ D+ นิดหนึ่ง เพราะท่านตายก่อน ไม่ได้ทำความดีมาก พอย้ายมาแป๊บหนึ่ง ตายแล้ว คนละเรื่องกัน พระเจ้าดูที่วิญญาณเรา ซึ่งเป็นที่จะอยู่ถาวร สิ่งสำคัญกว่า แค่นี้เอง แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อยอย่างนี้ อาจจะเหมือนย้ำอยู่กับที่ แต่สิ่งเหล่านี้ มันต้องย้ำอยู่บ่อยๆ ย้ำจนกระทั่งท่านตอบผม แล้วไม่มีใครตอบผิดเลย  ตะโกนมาถูกหมดเลย  มันคล่องปากว่ามันเป็นอย่างนี้ วนอยู่แค่นี้  แล้วท่านไปอ่านพระคัมภีร์ มันก็จะไปอยู่ตรงนั้น แล้วถ้าใครอ่านจากนี้ต่อไป มีคำอะไรที่รู้สึกแปลกๆ ไม่เข้าใจตรงนี้ เขียนมาถามได้ ส่งจดหมายมาถามก็ได้ ส่งจดหมายที่โฮลี่ แล้วผมจะเอามาตอบท่าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************