วารสาร Holy News ฉบับที่ 1316

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “2 สิ่งที่เป็นพระประสงค์  อันดีเลิศสำหรับท่าน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สิ่งหนึ่งที่อยากบอกวันนี้ ให้กำลังใจ เบอร์หนึ่ง อย่าไปนึกว่าความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่านี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? หลายคนถาม …

“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับฉันผู้ที่เชื่อในพระองค์”

ถามมาเยอะ ตอนนี้ตอบสั้นๆ ไม่ได้จะมาบรรยายเรื่องนี้  แต่ว่ามาหนุนใจ เพื่อจะได้มีความสบายใจ  เมื่อเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

ถามว่า “พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นใช่ไหม?”

ต้องตอบว่า “ใช่ พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น”

พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น  แต่ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้เกิดขึ้น  2 ข้อแค่นี้ ท่านสามารถคิดได้เลย แล้วก็ช่วยให้ท่านมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา  พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น เพราะเป็นความรักที่พระเจ้าให้กับเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้  มีอิสระในการตัดสินใจ เมื่อบรรพบุรุษของเราไม่เชื่อฟัง ตัดสินใจนำเอาคำสาปแช่งเข้ามา ทำบาป กบฏต่อพระเจ้า เราก็ได้รับไปด้วย

ถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? อนุญาต โดยให้อิสรเสรีภาพกับมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก ในการที่จะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ แล้วก็สั่งไว้แล้วว่าถ้าไม่เชื่อฟัง จะเกิดอะไรขึ้น?

“เกิดโทษกับชีวิตของเจ้า และครอบครัวของเจ้านะ”

แต่มนุษย์ก็พลาดและไม่เชื่อฟัง ก็เอาความทุกข์ลำบากเข้ามาสู่ตนเองและครอบครัว  เผ่าพันธุ์ของตนเองนั่นเอง  พระเจ้าก็ต้องอนุญาตเหมือนถูกบังคับ  เพราะว่าเราเลี้ยงลูกด้วยความรัก ให้เขามีอิสรภาพ ไม่ใช่เลี้ยงลูกเหมือนหุ่นยนต์ ผูกมัด บังคับ …

“ต้องเชื่อฉันอย่างนั้น อย่างนี้”

ไม่ใช่ แต่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรักทั้งสิ้น  ให้ทุกสิ่งสามารถมีอิสรภาพในการตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังพระองคหรือไม่? พระองค์ไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ตกอยู่ในความสาปแช่งอย่างนี้เลย ไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ทำบาป  ไม่ได้ประสงค์ให้อาดัม เอวาไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ได้ประสงค์เลย ถ้าพระองค์ประสงค์ พระองค์คงไม่เตือนว่า …

“อย่านะ อย่าไม่เชื่อฟัง ถ้าเจ้าดื้อ เจ้าจะรับผลกรรมของมันนะ เจ้าจะตายจากเรา เจ้าจะได้รับคำสาปแช่ง”

นี่คือความรักของพระเจ้าที่บอกแล้ว  เพราะฉะนั้น จำแค่ 2 อัน ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เพราะรักมนุษย์ ให้มนุษย์มีอิสรภาพ ในการตัดสินใจ มนุษย์ตัดสินใจพลาด ผิดเอง พระเจ้าไม่ประสงค์ให้มนุษย์ตกลงไปในความทุกข์ยากลำบาก  แต่พระองค์ทรงอยู่ข้างเรา ตกลงไปแล้ว พระองค์ทรงช่วยแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น เอายาไปรักษา บอกเราดื้อ เราล้มลง เจ็บ เอายามาทาให้ อยู่ฝ่ายเราตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ตอนนี้พระเจ้ากำลังดูแลเราอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เชื่อ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ต้องห่วง  พระเจ้าอยู่กับท่านด้วย และอยู่ฝ่ายท่าน  กำลังดูแลเอาใจใส่ ช่วยท่านทุกวิถีทางที่จะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ลำบากเหล่านี้

วันนี้เอาแค่นี้ เอาสั้นๆ ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา  แล้วกำลังช่วยเหลือเรา  กำลังดูแลชีวิตของเราอย่างเต็มที่  ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานจากผลของโควิด-19 นี่แหละ เอเมน แล้วเราค่อยมาหนุนใจกันในเรื่องนี้อีกยาวมาก สนุกมาก เพราะถ้าท่านรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้เราเป็นไท เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเราตลอด พ่อเราอยู่ข้างเราตลอด  พ่อเราคอยดูแลเราอยู่ตลอด  เราล้มอะไรต่างๆ เราเจ็บ พ่อเจ็บกว่าเราอีก เพราะฉะนั้น ให้รู้ รับทราบเรื่องนี้ร่วมกัน

วันนี้เราจะมาคุยกัน เรารู้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้า หรือเรียกกันว่าน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระองค์ ที่ยังไม่ได้เป็นลูกของพระองค์ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ที่ยังไม่เชื่อในพระเยซู น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เหล่านี้ทั้งหมด คืออะไร?  น้ำพระทัยของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ผู้ที่ยังไม่เชื่อ  มีสิ่งเดียวเอง อย่างเดียวเอง  เราเรียนรู้แล้ว ก็คือให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานให้ อย่างเดียวเท่านั้นเอง ทุกอย่างจบลงตรงสิ่งเดียวที่เขาตัดสินใจนั้น เหมือนเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ตัดสินใจแล้ว สิ่งเดียวนั่นแหละ สำคัญที่สุด คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือความประสงค์ สิ่งเดียวที่พระเจ้ามีต่อบรรดาท่านทั้งหลายที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์

สำหรับคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เราก็ได้ยินกันมาตลอด ถูกสอนกันมาตลอดว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าหรือตามพระประสงค์ของพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าต้องการอะไร ให้ทำตามนั้น ทั้งคำเทศนาเอย คำประกาศข่าวประเสริฐเอย  หนังสือคริสเตียนเอย คำอธิษฐานเอย ก็สอนตรงกันว่าเราควรทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า    มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ต้องหาว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา พระประสงค์ที่มีต่อเรานั้น คืออะไร?

เราก็ได้รับคำสอนจากพี่เลี้ยงบ้าง? หนังสือคริสเตียนบ้าง? ว่าให้เราแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วเราก็อยากรู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรานั้น คืออะไร? หรือไม่มีใครอยากรู้  อยากรู้ทุกคน น้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? คำเทศนาหลายแห่ง หนังสือหลายเล่ม  ก็ยกเอาหัวข้อนี้ บวกกับเรื่องศีลธรรม ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ที่ตัวเองคิด ที่เขาว่าเป็นประเพณี ความคิดของโลกใบนี้ ที่เขาเรียกว่าสิ่งที่ดี ก็เอามาผนวกใส่เข้าไปเป็นน้ำพระทัยด้วย  แล้วก็บรรยายเป็นฉากๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ คือน้ำพระทัย พระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ให้เราทำ สำหรับชีวิตคริสเตียนทุกๆ คน

เพราะฉะนั้น จงทำสิ่งเหล่านี้ คือ 1, 2, 3, 4, 5

จงอย่าทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปฟังเรื่อยๆ มามากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 9, 10, 11, 12, 14, 15, 17, 18, 19, 20 จนกระทั่งเราชักงง  ตกลงน้ำพระทัยพระเจ้าให้เราทำอะไร? แล้วไม่ให้ทำอะไร?  เราก็จดจำกันมา  สอนกันต่อๆ มาเรื่อยๆ หนักๆ เข้า ที่บอกว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า จงกระทำสิ่งเหล่านี้ และห้ามทำสิ่งเหล่านี้ หลายๆ คนมาเชื่อพระเจ้า เลยเข้าใจผิด คิดไปว่าสิ่งเหล่านั้น คือกฎระเบียบที่ต้องทำ เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว  เพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า  ต้องจำให้ได้ และต้องทำให้ได้  เพราะฉะนั้น แทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข  ก็กลายเป็นภาระสำหรับคริสเตียน เหนื่อยเหมือนเดิม เหมือนก่อนเชื่อพระเจ้า  หรือเผลอๆ จะเหนื่อยมากกว่าด้วยซ้ำไป

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้กัน หัวข้อการบรรยายในวันนี้ มีชื่อเรื่องว่า “2 สิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับท่าน” สำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์  ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า 2 สิ่งนั้นคืออะไร?  ซึ่งแน่นอนพระคัมภีร์สอนว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า  และพระคัมภีร์ก็มีคำตอบไว้ให้เรียบร้อยแล้วว่าสำหรับคนที่เชื่อแล้ว  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว มีอยู่แค่ 2 สิ่งที่พระเจ้าอยากให้ผู้เชื่อทุกคนทำตาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ เป็นพร สำหรับเขา สองสิ่งเองหรือ? ใช่ สองสิ่งเอง แล้วที่เรียนรู้มาตั้งหลายอย่าง 100  8,009  ก็อยู่ในแค่สองสิ่งนี้เท่านั้น  ในพระคัมภีร์เขียนไว้แค่สองสิ่งนี้เท่านั้น

สองสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้านี้  เป็นสองสิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับท่าน ดีเลิศ ก็คือดีที่สุด สำหรับท่าน  เป็นสองสิ่งที่จะทำให้พระเยซูคริสต์ มีความรู้สึกชื่นใจในตัวของท่านแต่ละคน  และจะเป็นสองสิ่งที่พระเจ้าให้อิสรภาพกับท่านในการตัดสินใจด้วย สองสิ่งนี้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความรัก  ให้ท่านตัดสินใจเอง  มาดูกันว่า 2 สิ่งนี้คืออะไร?  คำตอบอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ โรม 12:1-2 …

โรม 12:1-2 “1 พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริง 2 อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ   โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

โรม 12:1-2 เราเริ่มต้นที่ข้อ 1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย” คือผู้เชื่อทั้งหลาย

พระคุณ ความเมตตา คืออะไร? เราต้องย้อนกลับไปที่บริบทของหนังสือโรม  “เห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่ได้เล่าสู่กันฟัง ได้เรียนรู้มาตั้งแต่โรม บทที่ 1 ถึงบทที่ 12 ตอนนี้ 11 บทมาแล้ว  ได้บอกความจริงอะไรกับเราบ้างว่าพระเจ้าได้ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประทานอะไรให้กับเรา  คือ …

อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปตั้งแต่กำเนิด อภัยในความบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และตลอดไปเลย   ทำผิดเมื่อไร? ก็อภัยตลอด  โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และนอกจากอภัยให้เราแล้ว ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์ ให้เราบังเกิดใหม่พร้อมพระเยซู มีวิญญาณเดียวกับพระเยซู แล้วพระองค์ก็ทรงเข้ามาสถิตอยู่กับเรา

นี่คือพระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้กันมาอย่างละเอียด ในบทที่ 1 – 11 ของหนังสือโรม มันหมายถึงอย่างนั้น พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณเหล่านั้น  ความเมตตาของพระเจ้าเหล่านั้นที่มีต่อเราทั้งหลาย หมายถึงความเมตตาเหล่านั้น

แล้วอย่างไรต่อ? พอเห็นพระคุณ ความเมตตาเหล่านั้น แล้วทำไม? “ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย” กำลังจะบอกว่าเห็นพระคุณ ความเมตตาแล้ว  ให้เราตัดสินใจยอมมอบถวาย ก็คือยอมก็ได้ ไม่ยอมก็ได้  ซึ่งอยู่ในโรม 12:1-2 นี้ มีอยู่แค่สองสิ่งเท่านั้นเอง  เพื่อทดแทนในพระคุณ เป็นความกตัญญูต่อพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ทำให้เราอย่างที่บอก อภัยให้เรา  และรับเรามาเป็นลูกของพระองค์  ขอแค่ 2 สิ่งเท่านั้นเอง  และให้เราตัดสินใจเองด้วยนะ ให้อิสรภาพกับเรา

สองสิ่งที่พระเจ้าขอร้องผู้เชื่อทุกคน  ก็อยู่ในข้อพระคัมภีร์ 2 ข้อนี้

สิ่งที่หนึ่ง ก็คือที่บอกไว้ในโรม 12:1 คือยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด  ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้พระองค์ได้ใช้งาน ตามน้ำพระทัย

อย่าลืมนะ  มอบก็ได้ ไม่มอบก็ได้  เป็นอิสระ ตัดสินใจได้เลย  เพราะว่าความรักของพ่อที่มีต่อเรา  ให้กำเนิดเราเป็นลูก ไม่ใช่ให้กำเนิดเรามาเป็นหุ่นยนต์

โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริง”

 

ให้เรามาวิเคราะห์กัน “เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า” สิ่งแรก ก็คือให้เรายอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้งสมองเรา ความคิด สติปัญญาของเราให้กับพระเจ้า ไม่ใช่ต้องทำนะ บอกแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทำก็ได้ เพราะว่าในนี้บอกว่า … “ข้าพเจ้าขอร้องท่าน” ถ้าเปาโลเป็นตัวแทนของพระเจ้า พระเจ้าก็กำลังขอร้องเรา

พระเจ้านี่นะ  ใช่ ก็อ่านไปแล้ว เห็นชัดไหม? พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงประทานความเมตตาให้กับเรา รับเราเป็นลูกของพระองค์ อภัยในความบาปทั้งสิ้นของเรา  มาขอร้องเราหรือ? ใช่ เพราะว่าพระองค์ทรงรักเราไง  เหมือนเรามีลูก เราคงไม่บังคับลูก ล่ามโซ่ แล้วบอกต้องรักเราๆ เราให้อิสระเขา เขาจะรักเราหรือไม่รักเรา ก็เป็นตัวของเขาที่จะตัดสินใจถูกไหม? เหมือนกัน พระเจ้าเป็นต้นแบบของพ่อผู้ให้กำเนิด  พระเจ้ากำลังขอร้องคริสเตียนทุกคน มนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้ยอม ก็คือพระองค์ไม่บังคับ  ให้ยอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย

ทุกส่วนในร่างกายของเรา ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง และสติปัญญา

ในนี้บอกว่าถวาย ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว ตรงนี้หมายถึงให้ถวายร่างกายของเรา  ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระเราด้วยพระโลหิตของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ได้ทำให้เราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว พระเจ้าได้ซื้อเราด้วยราคาแพง  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ซื้อชีวิตของเราทั้งหมด ร่างกายของเราเป็นของพระองค์ทั้งหมดแล้ว ซื้อมาด้วยราคาแพงด้วย และตอนนี้ เราได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ สะอาด หมดจดแล้ว เป็นที่พอใจของพระเจ้า ร่างกายของผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์  พระเจ้าพอใจมากเลย ไม่พอใจได้อย่างไร? ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร?  ก็พระองค์มาสถิตอยู่ด้วยเลย

ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้  เรายินดีไหมที่จะมอบตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สติปัญญา สมอง หรือมีอะไรมากกว่านั้นอีก ไม่รู้ สมมติถ้ามี เราก็อยากจะให้พระองค์ทั้งหมด เพราะว่าพระองค์ทรงชำระแล้ว เป็นของพระองค์ส่วนตัวแล้ว ไม่ใช่เป็นของเราแล้ว พระองค์เพียงมาขอความร่วมมือกับเราอีกทีหนึ่ง คิดดูสิ  เราเป็นผู้ให้กำเนิดลูกของเรา เรารู้ว่าเราให้กำเนิดเขา  DNA ของเขา ก็มาจากเรานั่นแหละ เราให้เขาทุกอย่าง  แล้วเราจะมาขอลูกเราอีกว่า …

“ลูกเอ๋ย เชื่อฟังพ่อเถิดนะ เชื่อฟังแม่เถอะ”

ใช่ไหม? มนุษย์ธรรมดาทุกคน ก็คิดอย่างนี้ในครอบครัว … เชื่อฟังพ่อแม่เถอะนะ ขอร้องเลย เหมือนกัน พระเยซูได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ มี DNA ในวิญญาณเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย แล้วร่างกายเราได้รับการชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ตลอดไป  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ แล้วบอกว่า …

“จงมอบร่างกายที่สะอาดหมดจด ให้กับพ่อนะ พ่อจะดูแลให้ พ่อจะนำให้”

มันหมายถึงอย่างนั้น อ่านต่อไปบอกว่า … “ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควร” สมควรไหมล่ะ พอเรารู้ความจริงอย่างนี้ สมควรไหม?  ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพระคุณของพ่อแม่เรา ซึ่งสมควรในวิญญาณของเรา  เพราะในวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้ความจริงในวิญญาณของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้านั้น เพราะเราเชื่อ เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง  เราเกิดจากพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์จริงๆ เราจึงสมควรที่จะกตัญญูต่อความรักนี้ อย่างมากมาย ที่รับเราเป็นลูก มันหมายถึงอย่างนั้น

ในนี้บอกว่า … “ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง” การกระทำอย่างนี้  การมอบถวายอวัยวะ คือร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง สติปัญญาของเราให้กับพระเจ้าอย่างนี้  เป็นการนมัสการพระเจ้า

นึกว่าการนมัสการพระเจ้า คือการนมัสการ ด้วยการถวายทรัพย์ การนมัสการพระเจ้าด้วยการร้องเพลง  นมัสการพระเจ้าด้วยการเต้นรำ  นมัสการพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เรานึกว่าแค่นั้น ในนี้บอกว่าการมอบถวายร่างกายทั้งหมดให้พระเจ้า เป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง

นมัสการ คือการยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  ถ้าแปลตรงๆ นะ นมัสการ คือการยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  คือพูดคำไหน? เป็นคำนั้น  ซึ่งเป็นการนมัสการ เป็นเหมือนดั่งทาส ด้วยวิญญาณของเราเลย  คือยอมจำนนต่อพระองค์ทุกอย่าง  มอบทุกอย่างให้กับพระองค์

และด้วยความจริง  คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเองว่าเราเกิดในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อฟัง  เราเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ความจริงอยู่ในเรา และเรานมัสการพระเจ้า ด้วยการมอบถวายอวัยวะเหล่านี้ให้กับพระเจ้าใช้ และรู้ตามความจริงว่าอวัยวะต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด มันบริสุทธิ์ สะอาด เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว เอเมน ในโรม 6:13 …

โรม 6:13 “อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่ยอมมอบตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และยอมให้อวัยวะของท่าน เป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม ถวายแด่พระเจ้า”

 

เห็นไหมครับ ลักษณะเดียวกัน  “อย่ายอมยกอวัยวะของท่าน” ก็คือให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ ให้อิสรภาพกับท่าน พระเจ้าเป็นเจ้าของเรา แต่ให้เราเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเราเอง

“อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม” ก็คือให้กับศัตรู  เพื่อใช้ในการดื้อต่อพระเจ้า ในความชั่ว แต่ยอมมอบตัวของท่าน คือร่างกายของท่าน แด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว หมายถึงเหมือนกับวิญญาณของท่าน ความคิดจิตใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ร่างกายของท่านที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว หมายถึงอย่างนั้นแหละ จงมอบร่างกายท่าน เหมือนคนที่เกิดใหม่แล้ว พูดง่ายๆ ว่าตัวเก่ามันตายไปแล้ว  ตอนนี้เป็นของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้าส่วนตัวแล้ว

“และยอมให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในความชอบธรรม ถวายแด่พระเจ้า” ก็คือให้พระเจ้าใช้ ถ้าพระเจ้าใช้ พระเจ้าดี พระองค์ทรงใช้ไปในทางที่ดีทั้งหมด ใครเป็นคนใช้? พระเจ้า เราใช้หรือเปล่า? เราไม่ได้ใช้ เราไม่ได้เข้าเกียร์ด้วยตัวเราเอง  เราเข้าเกียร์ว่างไว้ พระเจ้าใช้ พระเจ้าทำงานในเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

ตอนนี้เราก็ได้รับทราบแล้วว่าสิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับเราคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว อย่างแรก คือให้ยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ทั้งสิ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง สติปัญญา ให้เป็นเครื่องมือ ให้พระเจ้าใช้งาน

เรามาดูสิ่งที่สอง อยู่ในหนังสือโรม 12:2 นั่นเอง ที่เราได้อ่านไปเมื่อตะกี้นี้  ก็คือ …

สิ่งที่สอง คือให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิด คือเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในสมองของเราเสียใหม่ เพราะมีคำว่าให้เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ คือมีโปรแกรมเก่า ต้องเปลี่ยนใหม่  ด้วยการเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ก็คือเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ที่พระองค์ทรงบอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เรา ให้ท่าน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

พูดง่ายๆ ว่าให้เราเปลี่ยนโปรแกรมในสมอง  แล้วก็เชื่อในความจริงนั้น  ปากพูดต่อความจริงนั้นว่าเอเมน โดยไม่มีข้อแม้ เดี๋ยวเราจะรู้กันว่าไม่มีข้อแม้คืออะไร?

เอเมน คือใช่ มันเป็นไปตามนั้น  เพราะเรามองไม่เห็น …

พระเจ้าบอกเราเป็นลูกของพระองค์ เอเมน เราเป็นลูกของพระองค์

พระเจ้าบอกเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เราบอกเอเมน พระเจ้าบอกเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น

ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าบอกว่าร่างกาย อวัยวะทั้งหมดได้รับการชำระด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว เราก็บอกเอเมน จงเป็นไปตามนั้น  ก็คือเชื่อไปตามนั้น  เชื่อในความจริงเหล่านั้น มันหมายถึงอย่างนั้น

และโปรแกรมสมองเดิมเรา คืออะไร? บอกว่าเรายังเป็นคนเดิมอยู่เลย เรายังไม่สะอาดหมดจดอะไรต่างๆ เหล่านั้น  เรามาอ่านดูในรายละเอียด โรม 12:2 …

โรม 12:2 “อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ   โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

“อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้” ระบบของโลกนี้ ก็คือบาป ศัตรู ต่อต้าน  ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า พูดง่ายๆ อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ ก็คืออย่าดื้อกับพระเจ้า แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง ความประพฤติ ก็คือยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลง

ตรงนี้ สังเกตนิดหนึ่ง ที่บอกว่า “แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง” ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าไม่ได้เปลี่ยนด้วยตัวเอง ยอมรับการถูกเปลี่ยนแปลง ยอมให้พระเจ้ามาเปลี่ยนแปลง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรานั่นแหละ มาเปลี่ยนแปลงความประพฤติเดิมๆ  ตามระบบของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า

ตรงนี้สำคัญมาก โดยการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในสมอง ความคิด สติปัญญาในสมองเสียใหม่ ก็แสดงว่าไม่ได้เน้นเรื่องความประพฤติ แต่เน้นเรื่องความคิด สติปัญญาในสมอง  โปรแกรมในสมองต้องรับการเปลี่ยนแปลง  พอสมองเปลี่ยนแปลง ความคิดเปลี่ยนแปลงปุ๊บ  ความประพฤติมันเปลี่ยนแปลงเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกหลอกด้วยกลยุทธ์ทางสงครามฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งศัตรู ก็คือมารพยายามให้เราไปเน้นเรื่องความประพฤติ ให้เปลี่ยนแปลงความประพฤติ (ให้เปลี่ยนเองอีกต่างหาก)

ในนี้บอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด  ร่วมมือกับพระเจ้า เปลี่ยนแปลงความคิด ให้พระวิญญาณเข้ามาช่วยเรา  ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดเสียใหม่  แสดงว่ามีของเก่าอยู่ เอาของใหม่เข้ามา แล้วพอเปลี่ยนแปลงได้ปุ๊บ ความประพฤติมันจะถูกเปลี่ยนไป โดยพระวิญญาณเอง เช่นเดียวกัน เราไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำแค่สิ่งเดียว คือยอม หรือไม่ยอม ถ้าเราไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เราพยายามๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงความประพฤติ มันก็จะออกมาเป็นข้อ 1 – 10 แล้วข้อ 10 ทำได้ปุ๊บ ไปอีก 20 ข้อ ไปอีก 30 ข้อ  อันนั้นผิด อันนั้นถูก อันนี้ต้องอย่าทำ อันนี้ทำ อันนี้ห้ามทำ

อย่างที่ตะกี้ที่บอกมาตั้งแต่แรกแล้ว  ใช่หรือไม่? แล้วเราทำไปเรื่อยๆ ความคิดเดิมๆ ยังอยู่ โปรแกรมความคิดเดิมๆ ยังอยู่ สติปัญญาเดิมๆ ยังอยู่  อิทธิพลความบาป ความดื้อ เป็นศัตรูกับพระเจ้ายังอยู่เลย เพราะฉะนั้น ทำไป ก็ไม่มีประโยชน์  ทำไปก็ไร้ค่า ทำไป พระเจ้าก็เสียพระทัย  เพราะไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าสักหน่อย น้ำพระทัยพระเจ้า คือให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมความคิด  สติปัญญาเก่าๆ ให้เป็นใหม่ซะ

ประโยชน์อะไรเกิดขึ้น? ในนี้บอกว่าเปลี่ยนแปลงโปรแกรมสมอง ความคิด สติปัญญาเสียใหม่  เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรเป็นความต้องการของพระเจ้า  ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า อะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม  อะไรดีสมบูรณ์แบบ  ในสายพระเนตรของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า ในพระคริสต์  ที่วางไว้ให้กับท่าน  สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  แปลว่าเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมในสมองของท่าน  เพื่อท่านจะได้รับรู้ว่าอะไรที่เป็นที่พอใจของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ คือให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อาศัยของพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้าได้  สมบูรณ์แบบครบถ้วน เรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ นี่คือความต้องการของพระเจ้าที่สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารู้  ก็คือให้รู้ความจริง ให้เปลี่ยนแปลงความคิดที่มันเคยดื้อ ที่มันไม่เชื่อต่อสิ่งเหล่านี้ ให้มาเชื่อฟัง เปลี่ยนแปลงความคิดเท่านั้นเอง สำคัญมากเลยตรงนี้

เราเข้าใจผิด เราคิดว่าต้องทำอะไรก็ตามให้พระเจ้าพอใจ  แต่สิ่งที่พระเจ้าพอใจ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ให้เราทำ  พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วในสิ่งที่พระองค์พอใจ ก็คือทำให้เราครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ และต้องการให้เรารู้ว่าเราสมบูรณ์แบบแล้ว โดยพระองค์ผู้ทำให้ เมื่อเรารู้ว่าเราสมบูรณ์แบบแล้ว พระองค์ก็พอใจ  พระองค์ยิ่งชื่นใจในสิ่งที่เรารับรู้นั้น

แล้วเราจะรับรู้ได้อย่างไร? คือเราต้องยอม ยอมเปลี่ยนความคิด  โปรแกรมในสมองที่มันบอกว่าเรายังไม่ดีพร้อม เราไม่ใช่หรอก เราต้องทำอันโน้น อันนี้ให้มันสมบูรณ์แบบขึ้น ไม่ใช่ พระเจ้าบอกสมบูรณ์แบบแล้ว ในพระคริสต์ เราก็บอกยังไม่สมบูรณ์แบบหรอกๆ เรา คือถูกอิทธิพลของโปรแกรมของความคิดเก่าๆ  ซึ่งเป็นอิทธิพลของความบาป  ก่อนที่เราจะเชื่อนั่นแหละ  เห็นไหมว่ามันมีประโยชน์อย่างไร?  ในฮีบรู 10:38 จึงบอกอย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 10:38  “แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความชื่นใจ ในคนนั้นเลย”

 

“แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” จะอยู่ในความเชื่อนั่นเอง  “ดำรงชีวิต” ก็คืออยู่ เหมือนเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความเชื่อ

ถามว่าเชื่ออะไร? ท่านคิดซิว่าเชื่อในอะไรล่ะ คนชอบธรรม คือคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อในพระเจ้า  แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มีชีวิตอยู่ในความเชื่อ … เชื่ออะไร? ก็ตะกี้นี้ที่บอกมาแล้ว  ถ้าขาดความเชื่อนี้ พระเจ้าเสียใจ  ไม่ชื่นใจกับคนนั้นเลย  มันหมายถึงอย่างนั้น  พ่อเราจะชื่นใจ เมื่อเราอยู่ในความเชื่อ  ถามว่าเชื่ออะไร? เชื่อในความจริงในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ ที่เราอยู่นั่นแหละ ก็คือความจริงในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น สัมผัสทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สามารถสัมผัสได้ สมองมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ ตรงนี้แหละ ต้องใช้ความเชื่อ  เชื่อในความจริงในโลกวิญญาณที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิด ที่ไม่สามารถที่จะสัมผัส  ที่จะรับรู้ได้

ยกตัวอย่าง เช่นเรารับรู้ความจริงในส่วนนี้ว่าเมื่อพระเจ้าบอกเราในความจริง ให้เราวางใจในความจริงเหล่านั้น  เราก็บอกว่าเอเมน  มันเป็นไปตามนั้นแหละ ไม่ว่าความคิดของเราจะต่อต้านเท่าไร? ไม่ว่าเนื้อหนังร่างกาย ความรู้สึกเราจะไม่รู้สึกเห็นด้วย คล้อยตามด้วย  เราก็บอกว่าเป็นไปตามนั่นแหละ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ และพระเจ้าเป็นผู้บอกเรา

อย่างเช่น พระเจ้าได้บอกกับเราว่าเราได้รับบัพติศมา เข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับเชื่อในพระเจ้า เราเข้าสู่ขบวนการผ่าตัดทางวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงแบ่งให้เรา เป็น DNA ทางฝ่ายวิญญาณ  เต็มด้วยสง่าราศี เป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ของเรา และพระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ร่วมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ในความเป็นจริงว่าเรา คือลูกของพระเจ้า พระเยซูอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเยซู เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  ทุกลมหายใจเข้าออก มีชีวิตอยู่ โดยพระคริสต์ สัมผัสแตะต้องได้ไหม? ไม่ได้ มองเห็นไหม? ไม่เห็น  แต่เชื่อเอาว่าได้บังเกิดใหม่แล้ว

ได้รับการย้ายแล้ว จากอาณาจักรของความมืด  ย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายจากอาณาจักรแห่งความพินาศ เข้ามาสู่อาณาจักรของสวรรค์ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว  รับรู้ว่าเราเป็นใคร? ตัวเองเป็นใครในพระเยซูคริสต์? เพื่อที่จะไม่ถูกหลอกให้คิดและต่อต้านกับความจริง ที่พระเจ้าบอกเรานี่แหละ เพราะยิ่งถ้าเรารู้มากเท่าไรว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำอะไรให้กับเราบ้าง? เมื่อเรารู้มากเท่าไร เท่ากับเราเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมในสมอง จากการต่อต้านความจริงนี้  เป็นยอมรับความจริง  เอเมนในความจริงมากขึ้น  ยิ่งมากขึ้นเท่าไร? ก็ยิ่งทำให้เรามีความประพฤติที่เปลี่ยนไปเท่านั้นไง  เห็นไหมครับ พระเจ้ายอดเยี่ยมมากจริงๆ  และเป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  เราเพียงแต่ยอมให้พระองค์ทรงกระทำตามกลยุทธ์นี้เท่านั้น คือยอมเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนโดยเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาแทน การโกหกหลอกลวงของมาร  ในโปรแกรมความคิดของเรา

เมื่อเรารู้มาก ในโปรแกรมความคิดของเรามีความจริงตรงนี้มาก เราก็จะประพฤติให้เป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า  เราก็จะประพฤติ สมควรแก่ความจริงนั้น  ก็คือสมฐานะ เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นลูกกษัตริย์มากเท่าไร? เราก็จะแต่งตัวสมฐานะ เหมือนที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ  เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนมากเท่าไร? เราก็จะแต่งตัว ใส่กางเกง ใส่เสื้อเหมือนคน ถ้าเรารู้น้อย เราก็แต่งตัวเหมือนลิง ที่แต่ก่อนนี้ทาร์ซานเคยอยู่กับลิงมาก่อน ท่านพอมองเห็นภาพไหมครับว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น หรือความรู้สึก ที่แตะต้องได้ด้วยร่างกายนี้  และต้องเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้เท่านั้น ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วเท่านั้น ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

และสิ่งสำคัญมาก ถึงมากที่สุด  คือเราต้องจับแก่นแท้จริงของข่าวประเสริฐให้ได้  แก่นแท้จริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าผลของข่าวดี ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น แก่นแท้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เพื่อเราจะได้ไม่เข้าใจผิด หรือถูกหลอก ล่อลวง ขโมยเอาความจริงนี้ไป ตรงนี้สำคัญมาก  เราต้องจับแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้ได้ว่าแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซูคริสต์ คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์เลย ต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สำแดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เราได้เห็น และพระองค์ทรงสำแดงแล้ว ที่ในถ้อยคำของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนเหล่านั้น ในพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือจดหมายฝากจะเห็น เขียนไว้ชัดเจนมากเลยว่าในพระคริสต์ เราเป็นใคร?  เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้  ก็คือปกครองและครอบงำ โดยมาร  มันจะส่งความคิด หลอกล่อ

ยกตัวอย่างว่าในพระคริสต์ พระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับการชำระจนบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ระบบของโลกนี้ มารก็พยายามส่งความคิดมาว่า …

“ไม่เห็นบริสุทธิ์เลย บริสุทธิ์อะไร เมื่อวานนี้ยังหงุดหงิดอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโลภอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโกรธเขาอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังอิจฉาเขาอยู่เลย  อย่างนี้บริสุทธิ์หรือ?”

ยกตัวอย่างให้เห็น นี่มันส่งความคิดนี้มา เห็นไหมครับ?  และโปรแกรมความคิดเก่าของเราคิดอย่างนี้  คิดว่าถ้าเราประพฤติอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่บริสุทธิ์ เราก็คิดอย่างนี้ แต่พระเยซู พระเจ้าบอกว่า …

“เจ้าบริสุทธิ์แล้ว เราตายเพื่อเจ้า หลั่งพระโลหิตเพื่อเจ้า”

มันแย้งกันเห็นไหม? มารก็จะส่งความคิดมาว่า … “เรามันแย่  เรามันเลว”

คือต่อต้านความจริง พระเจ้าบอกว่า … “เจ้าเป็นคนชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เราทำให้เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมนะ พระเยซูผู้ชอบธรรม ได้ถูกทำให้เป็นคนบาป เพื่อว่าเจ้าผู้เป็นคนบาป จะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”

สลับที่กันเท่านั้นเอง พระเจ้าเป็นคนทำให้ มันก็พยายามต่อต้าน ส่งความคิดมาบิดเบือนความจริงเหล่านี้ เพื่อให้เราไขว้เขว หรือสงสัย หรือเริ่มต้นไม่เชื่อในความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เมื่อไม่เชื่อในความจริง ความคิดเราไม่เปลี่ยน ความประพฤติเราก็ไม่เปลี่ยน พระเจ้าก็ไม่มีอะไร อย่างมาก ก็แค่เสียใจ แล้วก็ทำงานต่อไป ช่วยเราต่อไป

ให้เราเปลี่ยนความคิด เพื่อเปลี่ยนความประพฤติของเราให้ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะมันจะเป็นผลประโยชน์ เป็นผลดีสำหรับชีวิตของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงสำคัญมาก ไม่อย่างนั้น เราจะถูกหลอกได้

ยกตัวอย่าง เช่น ในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 นี่ก็ถูกหลอกอีกแบบหนึ่ง  ตะกี้ถูกหลอกแบบหนึ่งนะ  คราวนี้มาหลอกอีกแบบหนึ่ง  คือบิดเบือนถ้อยคำพระเจ้านิดๆ หน่อยๆ  เมื่อเราจำถ้อยคำพระเจ้าได้ มันก็บิดเบือนนิดหนึ่ง แต่ความเสียหายเยอะเลย  ยกตัวอย่างเช่น 1 เปโตร 2:24 ที่เรารู้จักกันดีนะ

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

ถ้าเราอ่านตรงนี้ และยึดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เรียนรู้มาเมื่อสักครู่นี้ เราก็จะเข้าใจได้ว่ามันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว โลกวิญญาณเท่านั้น ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว ทางวิญญาณ หายจากโรคบาป  หายจากการอธรรม กลายเป็นผู้ชอบธรรม หายจากบาป  เป็นผู้ชอบธรรม ซึ่งเป็นความจริงนั่นเอง  แต่มันบิดเบือนนิดๆ หน่อยๆ อย่างที่บอก  แต่ถ้าเราไม่ยึดตามแก่นแท้ของโลกวิญญาณ เราก็อาจถูกหลอกได้ เช่น เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว โดยรอยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ได้รักษาเราให้หายจากโรคแล้ว เราไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ปวดไข้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็แสดงว่าไม่เชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกันใหญ่เลย  กลับกันเลย แสดงว่าไม่เชื่อพระเจ้า  เชื่อไม่พอ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามทำ  มีความเชื่อให้มากขึ้น  ก็มีความรู้สึกฟ้องผิดในตัวเองอีก มีความรู้สึกอยู่ห่างจากพระเจ้ามากขึ้น มีความรู้สึกพระเจ้ากับเราอยู่คนละฝ่าย ไม่ใช่เลย ไม่ถูกเลย

ซึ่งผมเองก็ถูกหลอกอย่างนี้มาเยอะ มานานแล้ว แรกๆ  คิดว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าตัวเองอยากได้ ก็พยายามสร้างความเชื่อด้วยตัวเอง วางรากฐานบนถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งอ้างว่าเป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ถูกหลอก บิดนิดหนึ่ง  บนถ้อยคำพระเจ้าที่ดูเหมือนเป็นถ้อยคำพระเจ้า อ้างถ้อยคำพระเจ้า แต่ถูกหลอกให้เข้าใจผิด  สร้างความเชื่อของตัวเอง บนรากฐานของถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า  วางรากฐานบนกิเลส ตัณหา บนสิ่งที่ตัวเองอยากได้  แล้วก็คิดว่านั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า  เห็นไหม?

สิ่งที่ตัวเองอยากได้ คืออะไร?  คืออยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะสำเร็จ พออยากได้สิ่งเหล่านี้ ก็วางรากฐานบนความเชื่อ  บนสิ่งเหล่านี้แหละ บนสิ่งที่ตัวเองอยากได้  และเข้าใจผิดว่านั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะต้องร่ำรวย ให้ออกไป  แล้วสมบัติของท่านจะเพิ่มพูนขึ้น  ยัด สั่น แน่น พูนล้น 100 เท่า 1000 เท่า ฟังดูคล้ายๆ เราเคยอ่านถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้านี่นา เห็นไหม? หรือเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วจะหายป่วย มาเชื่อพระเจ้าสุดใจแล้ว วางมืออธิษฐานแล้ว หายทุกโรคเลย

สิ่งเหล่านี้ มาจากส่วนหนึ่งในถ้อยคำพระเจ้า แล้วเอาไปใส่กิเลสตัณหาของตัวเอง  ถูกหลอกนั่นเอง  โปรแกรมความคิดในสมองเก่าๆ มันยังอยู่ มันผสมกิเลสตัณหาของตัวเองที่อยากได้เข้าไป แต่มันไม่ใช่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้าที่บอกให้เราเชื่อ เพราะนั่นคือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้วเท่านั้น อันนี้ไม่ได้อยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว บนโลกใบนี้ ที่ไม้กางเขน  รวมความ ก็คือมันพยายามทำให้เราเชื่อแบบผิดๆ ทำแบบผิดๆ แล้วพอไม่ได้อย่างที่เชื่อ ซึ่งมันก็ไม่ได้แน่นอนแหละ  มันเป็นไปไม่ได้  ในที่สุด เราก็จะเศร้าและสับสน สงสัยในพระเจ้าของเรา เห็นไหม?  ดึงเราออกห่างจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละข้างกับพระเจ้า  แล้วเกิดอะไรขึ้น? พระเจ้าก็เสียใจ  ไม่ชื่นชมยินดี  แล้วมันก็มาหลอกเราอีก พระเจ้าโกรธ พระเจ้าแค้น พระเจ้าโมโหที่ความเชื่อเราน้อย พระเจ้าบ้วนเราทิ้งแล้ว อะไรอย่างนี้  มันก็พยายามยุแยงให้ครอบครัวแตกแยก ทำให้ครอบครัวของพระเจ้า เรากับพ่อของเราแตกแยกกัน เพราะมือที่ 3 นี่แหละ

พระเจ้าต้องการให้เปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  ก็เพราะอย่างนี้ เปลี่ยนแปลงความคิดในสมองเสียใหม่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง  ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  นี่คือหัวใจหลักเลย คือเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  ให้เราวางรากฐานอยู่บนเฉพาะ ความเป็นจริงจากถ้อยคำของจริงๆ อะไรที่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็ให้รู้ว่านั่นมันเป็นเรื่องจริงๆ  มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกวัตถุเลย  ต้องสังเกตให้ดี อย่างเช่นในหนังสือ 2 โครินธ์ 8:9  แถมอีกนิดหนึ่งก็ได้ ลองอ่านดูสิ …

2 โครินธ์ 8:9 “เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าแม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์”

 

เห็นไหมอ่านแค่นี้ แทบไม่ต้องอธิบายแล้ว เพราะอธิบายมาเยอะแล้ว ท่านสามารถเข้าใจว่าคืออะไร? มันเกี่ยวเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น แต่ถ้าท่านเอามาตีความเป็นโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้  ท่านก็จะเจ็บปวดรวดร้าว เสียใจ สงสัย เหน็ดเหนื่อย แล้วพระเจ้าก็ไม่ชื่นใจ เสียใจเช่นเดียวกัน เพราะลูกเราถูกหลอก ใน 1 ยอห์น 4:4 กับข้อ 15 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

1 ยอห์น 4:4,15 “4 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ที่อยู่ในโลก

            15 ”ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า     พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า”

 

เห็นไหม? มารก็จะมายุแยง นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ มารก็จะมายุแยง ทำให้เรารู้สึกกร่างเลย ฉันใหญ่มาก ก็เอาความยิ่งใหญ่นั้น ยกตนข่มท่าน ข่มเหงคนอื่น โดยไม่รู้ตัว ข่มเหงคนอื่นนะ แทนที่จะให้คนอื่นข่มเหง

“ฉันมีพระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน ยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ฉันทำอะไรก็ต้องสำเร็จ ไม่มีใครขวางได้ ฉันทำธุรกิจอะไร ก็ต้องสำเร็จ ไม่มีใครขวางได้  ไม่มีใครเอาเปรียบฉันได้ ฉันทำอะไรยิ่งใหญ่เสมอ เพราะพระเจ้าของฉันยิ่งใหญ่ สถิตอยู่กับฉัน”

แต่พระเยซูบอกเราว่าอย่างไร? … “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ท่านเป็นผู้เชื่อเรา  เราเกิดมาเป็นผู้รับใช้เขา ท่านเป็นสาวกของเรา เป็นผู้เชื่อในเรา ก็รับใช้เขา อดทน รับใช้ ยอมให้เขาทำ  อยู่ด้วยความสงบ เขาตบหน้าข้างซ้าย ให้ข้างขวาอีกด้วย”

เป็นผู้ที่ให้ ไม่ใช่มารับ  อะไรอย่างนี้ เห็นไหมครับ?

นี่คือโลกวิญญาณจริงๆ ถ้าถูกหลอก แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ท่านคิดดู ความประพฤติจะออกมาอย่างไร  โดยที่ไม่รู้ตัวด้วย  เพราะมันถูกหลอกมาแล้ว เพราะฉะนั้น  หัวใจ คือต้องเปลี่ยนแปลงโปรแกรม ความคิด สมองเสียใหม่ ในโปรแกรมเก่าๆ มันอยู่ในสมอง  ที่ผมใช้คำว่า “โปรแกรม” เพราะว่ามันเป็นเหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นอัตโนมัติ โปรแกรมนี้ทำงานอย่างไร? ถ้าโปรแกรมยังอยู่ มันทำงานตามโปรแกรม โปรแกรมนี้บันทึกอะไรไว้  มันก็ทำตามนั้น โปรแกรมในสมอง ในความคิดของเรา ก่อนเชื่อ มันยังอยู่ ถ้าเราไม่เปลี่ยน ความประพฤติก็ไม่เปลี่ยน เพราะโปรแกรมเหล่านี้ เป็นตัวสั่งงานให้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ทำตามโปรแกรม หรือความคิด ในสมองเหล่านั้น สมองสั่งการ ร่างกายก็ทำตาม

พระเจ้าได้ไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์ได้ช่วยให้เรารอด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจ ก็ใหม่เอี่ยม  ไม่มีที่ติ แต่ร่างกายที่ได้รับการชำระแล้ว ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ถึงแม้จะชำระให้สะอาดหมดจดด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  ภายใต้เนื้อหนังเก่าที่ตกลงไปภายใต้ความบาป มันเสื่อมสลายไป มันรอวันหนึ่งที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่มา  แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง ยังอยู่ในร่างกายเก่าที่ต้องตายอยู่นี้ เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน  ร่างกายเก่าที่มีสื่อในการรับอิทธิพลจากความบาป หรือการเป็นศัตรูของพระเจ้าที่อยู่ภายนอกเข้ามาได้ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องยุ่งกับโปรแกรมนี้แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีคลื่นความถี่ที่ส่งเข้ามาต่อต้านความจริงของพระเจ้าอยู่ ตราบนั้นยังคอยเช็คโปรแกรมนี้  และต้องเปลี่ยนความคิดนี้อยู่เสมอ

คืออย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีนะ ผมพยายามเรียบเรียงและยกตัวอย่างมาให้เห็นชัด เพื่อท่านจะได้เห็นภาพว่าทำไมพระเจ้าจึงให้เราให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนโปรแกรมความคิดเสียใหม่ เพื่อความประพฤติเราจะได้เปลี่ยนแปลงไป  ไม่ใช่มอบถวายอวัยวะทุกส่วนให้กับพระเจ้าเท่านั้น  มอบไป แต่ต้องรับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ด้วย 2 สิ่งเท่านั้นที่ต้องทำร่วมกัน และ 2 สิ่งนี้ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  เปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดเสียใหม่

ความคิดของเราสามารถรับสื่อแห่งความชั่วร้าย สกปรก เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับความดีงามของพระเจ้าได้ จากระบบของโลกนี้  เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความชั่วร้ายเหล่านี้ ศัตรูของพระเจ้าเหล่านี้  มันส่งกระแสออกมา เข้าไปในร่างกาย ในความคิด ในสมองของเราได้ ซึ่งเป็นบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านความจริงของพระเจ้า  ต่อต้านผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  โดยเฉพาะเลย เพราะผู้ที่เชื่อเท่านั้น จะมีความจริงอยู่ในตัวเขา มันก็มา เพื่อจะต่อต้านความจริง โดยส่งเข้ามาทางความคิด กระตุ้นในความคิดของเรา

สำคัญตรงที่เราต้องรู้ว่าความคิด ไม่ใช่ตัวเรา ที่เกิดใหม่แล้ว ทั้งวิญญาณและความคิด จิตใจ ซึ่งเหมือนพระเยซู ความคิดอาจจะเป็นอย่างอื่นเยอะแยะไปหมดเลย  แต่ตัวเราจริงๆ เลย คือความคิด จิตใจของเราที่เกิดใหม่  เป็นเหมือนพระเยซูทั้งสองส่วนเลย  คือทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ เพราะฉะนั้น ความคิดไม่ใช่ตัวของเรา  ความคิดอาจจะเป็นไปกับความจริงว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเยซู หรือความคิดอาจจะต่อต้านกับพระเจ้าว่าเราไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู เรายังเป็นคนสกปรกอยู่ก็ได้ เห็นไหมครับ ความคิดไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา เราชอบคิดว่าเราคิดอย่างนี้ เรารู้สึกอย่างนี้  เป็นตัวเรา เรามันแย่  เราไม่แย่ เพราะความจริง ก็คือความจริง  คือตัวเราเป็นเหมือนพระเยซู จะแย่ได้อย่างไร?

ความคิดอย่างนี้ มันมาจากข้างนอกตัวเรา  ส่งกระแสกระตุ้น มีพลัง อิทธิพล ทำให้เราคิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน เจ้าความคิดเหล่านี้  มันมาจากข้างนอกตัวเรา  ส่งกระแส กระตุ้น มีพลัง อิทธิพล กระตุ้นให้เรา ทำให้เราคิดตามมันก่อน แล้วก็เริ่มเชื่อตามมันก่อน  และในที่สุด ก็ทำตามมัน  คิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน  “มัน” คือศัตรูต่อพระเจ้า ศัตรูของพระเจ้า คิดตามศัตรูของพระเจ้า เชื่อตามศัตรูของพระเจ้า และในที่สุด ก็ทำตามศัตรูของพระเจ้า คือบาปนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เวลาเราทำบาป ก็มาจากความคิด เริ่มทำบาป เชื่อในความบาป  และมันมาจากใครทั้งหมดนี้  มาจากเจ้าของบาป ที่อยู่นอกตัวเรา นั่นเอง ไม่ได้มาจากตัวเราเลย  ในตัวเราสะอาดหมดจด พระเจ้าครอบครองอยู่แล้ว คิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน  ตามความเคยชิน ตามสัญชาตญาณบาป ก่อนที่เราจะรู้จักพระเจ้า  ซึ่งเรายังเป็นคนบาปอยู่ เรามีสัญชาตญาณเดิม ความเคยชินเดิมๆ ที่อยู่ในโปรแกรม ที่ผมใช้คำว่าโปรแกรม แต่บัดนี้ ขณะนี้  ที่เราเชื่อในพระเยซูแล้ว ความจริง ก็คือเราไม่ได้เป็นทาสของมันอีกต่อไป เพราะฉะนั้น อย่ายอมให้มันมีอิทธิพลต่อความคิดของเราเหมือนเดิมได้อีกแล้ว อย่าไปเชื่อมันอีกต่อไป เราเป็นอิสรภาพจากมันแล้ว แต่ตรงกันข้าม ให้ความคิดจิตใจ แบบพระคริสต์ในเรา ที่เกิดใหม่แล้ว ให้มีอิทธิพล เข้าครอบครอง แทนที่ คือเรามีความคิดจิตใจใหม่ ที่บังเกิดใหม่  ที่เรารับเชื่อ  ความคิดจิตใจใหม่ที่อยู่ภายในตัวเรา เอาความคิดจิตใจที่อยู่ในพระคริสต์ที่เป็นความจริง เข้ามาครอบครองความคิด เข้ามาอยู่ในโปรแกรมใหม่ เอาโปรแกรมเก่าออกไป เชื่อพระเจ้า และทำตามเหมือนดั่งเป็นทาสของพระคริสต์เลย ความคิดจิตใจที่เป็นแบบพระคริสต์ ที่อยู่ในความคิดจิตใจของเรา  เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา  มาพร้อมวิญญาณใหม่ของเรา  ให้ครอบครองเข้าไปที่ความคิด โปรแกรมสมองของเรา  พอครอบครองแล้ว มันก็จะนำไปสู่ความเชื่อฟังต่อพระเจ้า ดั่งชนิดเป็นเหมือนทาสเลย  โปรแกรมที่เปลี่ยนใหม่ ในความคิดของเรา ในสมองของเรา ก็จะเชื่อฟังต่อพระคริสต์ ดั่งเป็นทาส

เมื่อเราเป็นทาส ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนเราเป็นอย่างนั้นแล้ว คือเชื่อในพระเจ้า เหมือนดั่งเป็นทาสของพระคริสต์ ทุกเซลในตา หู จมูก กาย สมอง ความคิดของเรา ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ล้วนปกคลุมไปด้วยชีวิตของพระคริสต์ เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี  ขณะเดียวกัน ทุกเซลกำลังถูกต่อต้าน และถูกโจมตีด้วยศัตรู ซึ่งก็คืออิทธิพลของความบาปในโลกนี้  ท่านเดินไปไหนก็ตาม ในร่างกายของท่าน  ทุกเซลเต็มไปด้วยรัศมี สง่าราศีของชีวิตของพระคริสต์ ที่ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในนั้นตลอดเวลา แต่ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รอบตัวท่านทั้งหมด มันคือศัตรูต่อพระเจ้า  ต่อความจริง ต่อสง่าราศี  ทุกเซลที่อยู่ในตัวท่าน มันต่อสู้กันตลอด จะส่งเข้ามา พยายามที่จะแฮกส์เข้ามาในตัวของท่านให้ได้ โดยจะเข้าไปอยู่ที่สมองของท่าน เพื่อที่จะสั่งการให้ได้ มันพยายามต่อสู้ แทรกตัวเข้ามา มีอิทธิพลเหมือนแต่ก่อนนี้ ที่มันเป็นเจ้าของอยู่ มันถูกขับออกไปแล้ว ตอนนี้มันอยากจะเข้ามาอยู่เหมือนเดิมมากเลย

เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร? อย่ายอมมันเด็ดขาด พระคัมภีร์ก็บอกว่าอย่ายอมมันเด็ดขาด พระเจ้าบอกอย่ายอมมันเด็ดขาด พระวิญญาณบอกอย่ายอมมันเด็ดขาด อย่ายอมให้มันทำเหมือนแต่ก่อนนี้ อย่ายอมมันเด็ดขาด ถ้าพลั้งพลาดไป ยอมมัน ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมาใหม่ ด้วยกำลัง พลังจากภายใน  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน  พระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่าน  เหมือนดั่งที่เราร้องว่า “พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก” เอามาใช้ตรงนี้เลย พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก คือทางวิญญาณ คือพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค เป็นใหญ่กว่ากระแสของระบบศัตรูของพระเจ้า ที่เป็นบาปรอบข้างเรา ที่พยายาม จะผลักดัน เข้ามาโจมตีความคิดของเรา ให้เราเชื่อฟังมัน  และประพฤติตาม คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ประพฤติชั่วนั่นเอง  มีแค่นี้เอง

วันนี้ เราได้เรียนรู้แล้วว่า 2 สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา อยากให้เราทำ ขอร้องให้เราทำ แล้วเราก็มีอิสระ เสรีภาพที่จะตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่ทำ เป็นการตัดสินใจของเราเอง แต่เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า  ที่ทรงรักเรามากขนาดไหน? ในพระเยซูคริสต์ ก็จงยอมให้พระองค์กระทำเถิด จงยอมมอบอวัยวะทั้งสิ้นในร่างกายของท่านให้กับพระองค์ และยอมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่  โปรแกรมความคิดจิตใจเสียใหม่  เพื่อท่านจะได้มีความประพฤติที่เป็นไปด้วยกันกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าก็จะชื่นใจ พระเยซูก็จะชื่นใจ พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ต้นไม้และผลของมัน (วิญญาณภายในและผลของมัน)

 

มัทธิว12:33-37 “33“จงทำให้ต้นไม้ดีและได้ผลดี หรือทำให้ต้นไม้เลวและได้ผลเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในดีก็จะส่งผลดี คือเชื่อฟังพระเยซูถ้าวิญญาณภายในเลวบาปชั่วก็จะส่งผลเลว คือต่อต้านปฏิเสธเป็นศัตรู) 34 โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร? ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ (โอ้มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัมท่านทั้งหลายเป็นคนบาปคนชั่วในวิญญาณ จะพูดยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเราต่อต้านความดีของพระเจ้า) 35คนดีก็เอาของดีมาจากคลัง แห่งความดีในตัวของเขา  คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลัง แห่งความชั่วในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าคำที่ไม่เป็นสาระทุกคำ ซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำ เหล่านั้นในวันพิพากษา (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่ท่านพูด เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป)  37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด หรือถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน” (ฉันนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาป ที่อยู่ในตัวท่านในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

 

พระเยซูเท่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนวิญญาณของท่าน จากต้นไม้เลว ให้เป็นต้นไม้ดีได้

 

พระเจ้าอวยพรครับ