คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2020 เรื่อง “ท่านจะพึ่งตนเอง หรือพึ่งพระเยซู” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กันยายน  2020

 เรื่อง “ท่านจะพึ่งตนเอง หรือพึ่งพระเยซู” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เราจะมาดูกันต่อเลยนะครับ ถึงเรื่อง “ท่านจะพึ่งตนเอง หรือพึ่งพระเยซู” ตอนที่ 2 ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ครั้งที่แล้วได้เรียนรู้จากมัทธิว บทที่ 5 บอกว่าพระเยซูไม่ได้มา เพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ แต่พระองค์มา เพื่อยืนยันว่าธรรมบัญญัติของพระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องถือ ต้องทำ ต้องรักษาอย่างเคร่งครัด ทุกจุด ทุกขีดต้องทำให้ครบบริบูรณ์ จึงจะบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไปอยู่กับพระเจ้าได้ในสวรรค์ สามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเท่านั้น

นี่คือหลักการ บัญญัติของพระเจ้าในเรื่องโลกวิญญาณ ต้องสะอาด บริสุทธิ์เท่าพระเจ้า จึงสามารถเข้ากับพระเจ้าได้ เป็นหนึ่งกับพระเจ้าได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ เหมือนเราเป็นลูกมนุษย์ จะเอาสัตว์ชนิดไหนมาเป็นลูกของมนุษย์ เราก็บอกว่าลูกๆ แต่ก็ไม่ใช่ลูกเราหรอก

ยกตัวอย่าง เราเลี้ยงแมว เลี้ยงสุนัข เลี้ยงนก แล้วเราก็บอกลูกๆ แต่ก็ไม่ใช่ลูกเราจริงๆ หรอก ถ้าเป็นลูกเรา ต้องเหมือนเรา ก็ต้องเป็นมนุษย์เหมือนกัน ในทางโลกวิญญาณ ในทางพระเจ้าก็เหมือนกัน จะเข้าสวรรค์ต้องวิธีนี้ แต่ความจริง ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถรักษาบัญญัติ ตามที่พระเยซูบอกได้ ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ได้ ครบบริบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว คือไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว คิดก็ไม่เคยคิดบาป มีไหม? ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถทำตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าอย่างนั้น เรารู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ พระเยซูก็รู้ พระเยซูจึงมาชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้

สรุปว่ามนุษย์ไม่สามารถพึ่งตนเองในการกระทำตัวเองให้สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ทำความดีให้ได้ดี จนกระทั่งดีครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงขนาดเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ตามบัญญัติของพระองค์เป๊ะทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีมนุษย์คนไหนไปสวรรค์ได้เลยสักคนหนึ่ง โดยพึ่งการกระทำของตนเอง  คือการรักษาความดีงาม ตามหลักการของศีลธรรม ตามบทบัญญัติ ที่พระเจ้าบัญญัติเอาไว้ สำหรับชาวยิวในหนังสือโมเสส 600 กว่าข้อ เป็นต้นๆ เท่านั้นเอง แล้วยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ที่บันทึกเอาไว้ โดยพระเจ้าเขียนบัญญัตินี้ไว้ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนเถียงไม่ได้เลยว่าบทบัญญัติ ก็คือในใจเรารู้ว่าเราทำสิ่งนี้ มันเป็นบาป เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป นั่นแหละ หนีไม่พ้น เพราะฉะนั้น มีวิธีเดียวเท่านั้น คือต้องพึ่งพระเยซู โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  เพื่อว่าเมื่อเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย? แต่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  โดยพึ่งพระเยซู

วันนี้เราจะมาดูกันต่อ อีกตัวอย่างหนึ่ง ในคำพูดของพระเยซูที่สอน เขาเรียกกันว่าบทสอนของพระเยซูบนภูเขา ในมัทธิว บทที่ 5 นี้ วันนี้ จากข้อพระคัมภีร์หนึ่งในนี้ เราจะยกตัวอย่างอีกข้อพระคัมภีร์หนึ่งที่เกี่ยวกับการพึ่งตัวเอง  หรือจะพึ่งพระเยซูดี ที่พระเยซูยกตัวอย่างให้เห็น ซึ่งทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายคนที่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ต่อจากนี้ไป เมื่อเข้าใจผิด มันก็ทำให้เกิดความหลงผิด เกิดความผิดพลาดใหญ่ยิ่ง ถึงขนาดจะไปสวรรค์หรือไม่ ก็เอามาฟังดูว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ก็มัทธิว บทที่ 6 เป็นคำอธิษฐาน ที่พระเยซูสอน ในหนังสือมัทธิว

จากครั้งที่แล้ว ในมัทธิว บทที่ 5 ว่าพระเยซูกำลังสอนว่าเราพึ่งตนเองไม่ได้  เราต้องพึ่งพระเยซูเท่านั้น จึงจะได้รับความรอด ไปสวรรค์ได้ จึงจะได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเราได้ แต่ลองอ่านถ้อยคำตรงนี้ มัทธิว บทที่ 6 ที่พระเยซูสอนเรื่องเกี่ยวกับคำอธิษฐาน แล้วลองคิดตามดูว่ามีตรงไหน? ส่วนไหนที่บอกให้เรา พึ่งการกระทำของตัวเองไหม? ลองสังเกต เพราะท่านมีพื้นฐานแล้ว ท่านจะอ่านบทอธิษฐาน ที่พระเยซูสอนชาวยิว ตอนนั้น ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น มัทธิว 6:9-15 …

มัทธิว 6:9-15 “9 ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ ได้รับการสถาปนาไว้  ขอให้พระประสงค์ของพระองค์  สำเร็จในโลก  เช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้ 12 ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์  จะทรงอภัย ให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

 

ลองอ่านตรงนี้ตามผม … “แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน” …

พระเยซูพูดกับใครตอนนี้ พูดกับชาวยิว เตือนตัวเองไว้ ถ้าเผื่อวันหลัง หรือต่อไป เราเอามาปรับให้มันเข้ากับข่าวประเสริฐของพระเจ้า หรือเกี่ยวกับตัวเราเอง ที่ไม่ใช่ยิว ได้หรือไม่อย่างไร? ค่อยว่ากันทีหลัง แต่อันดับแรกเราต้องเรียนรู้ก่อนว่ากำลังอ่านข้อความของคนอื่นเขา ที่เขาเขียนถึงกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราหรอก ดูสิว่าเขาว่าอย่างไร? นี่กำลังพูดถึงชาวยิว จะได้รู้พื้นเพว่าชาวยิวเขามีขนบธรรมเนียมประเพณี รักษากฎบัญญัติอย่างไร? เขารู้จักพระเจ้าก่อนใครเพื่อนเลย คือเป็นกลุ่มเดียวในโลกเลยที่รู้จักพระเจ้า กลุ่มเดียวในโลกเลยที่สนิทสนมกับพระเจ้ามากที่สุด ในเวลานั้น ในเวลาก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

แต่ไหน แต่ไรมา คริสเตียนทุกคนถูกสอนให้ท่องคำอธิษฐานนี้ ซึ่งเราทั้งหลายก็เคยได้รับสอนอย่างนี้นะ ให้เราท่อง เป็นบทอธิษฐานที่พระเยซูสอน กำชับเรา  เราต้องท่องจำให้ได้ว่าต้องอธิษฐานอย่างนี้ พระเยซูบอกเลย ถ้าท่านอธิษฐาน ต้องอธิษฐานอย่างนี้ แต่พระเยซูกำลังพูดกับคนยิว และหมายความว่าอย่างไร? เดี๋ยวเรามาเรียนรู้กันต่อไป เราเคยถูกสอนใช่ไหม? “เรา” ไม่ได้หมายถึงคนยิวนะ แต่เราที่เป็นคนต่างชาติ ที่มาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้วในพันธสัญญาใหม่ ตอนนี้ ในยุคนี้ เราเคยได้รับการสอนว่าให้ท่องตรงนี้ไว้ เป็นคำอธิษฐานของเราด้วย แค่นี้ก็ผิดแล้ว เพราะมันไม่ใช่ของเรา

ปัจจุบันไม่รู้มีหรือเปล่า?  หลายร้อยปีก่อน  คริสตจักรหลายแห่งในยุโรป เขาเกิดการฟื้นฟู เขาเอาบทนี้ เป็นเหมือนบัตรประจำตัวของคริสเตียน ใครเป็น คริสเตียนมีบัตรประจำตัว ต้องท่องตรงนี้ให้ได้ ถ้ารัฐบาลมา เจ้าหน้าที่มา แล้วเช็คดูว่าท่านเป็นคริสเตียนหรือเปล่า? ไหนท่องบทนี้สิ …

“ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ …”

ต้องท่องให้ครบหมด ถึงจะเชื่อว่าคุณเป็นคริสเตียนจริง นี่สมัยก่อนนี้

จะให้ท่านเห็นถึงว่าความไม่เข้าใจ การตีความที่ผิด ทำให้เกิดอะไรหลายๆ อย่างที่เลวร้ายมาก สำหรับชีวิตคริสเตียน สำหรับข่าวดีของพระเจ้าที่จะถูกบิดเบือนไป

คำถาม คือจากที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว เรื่องการพึ่งตัวเองกับการพึ่งพระเยซู จนมาถึงทุกวันนี้แล้ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ท่านอ่านถ้อยคำตรงนี้แล้ว มีคำถามหรือมีความสงสัยตรงไหนไหมครับ? มีตรงไหนที่ต้องพึ่งพระเยซู หรือพึ่งตนเองบ้าง

ในข้อ 12 สังเกตนะ ที่บอกว่า … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

“หนี้” หมายถึงหนี้ ทำอะไรผิดต่อเรา เราต้องยกโทษนั่นเอง แปลว่าอันไหนเกิดก่อน? คิด ถ้าแปลตรงๆ ตามตัวหนังสือ ตรงนี้ ก็ต้องแปลว่า …

“เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์แล้ว ดังนั้น จึงขอให้พระองค์ยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย”

คิดตาม สำหรับตรงที่เราอ่านไปตรงนี้ ตรงที่พระเยซูพูด มันถูกหมดเลย แต่เรามาดูกันต่อไปนะ ในข้อ 14 และข้อ 15 ที่บอกว่า …

“เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

ลองคิดตาม มีเงื่อนไขไหม? มี สรุปแปลว่าเราต้องอภัยให้ผู้อื่นได้ก่อน พระเจ้าจึงจะอภัยให้เรา ถูกไหม? อ้าว! คิดให้ดีๆ แล้วที่เราเรียนรู้กันว่าความรอดที่เราได้รับ เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ประทานให้เราฟรีๆ เปล่าๆ ไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็ขัดแย้งกันสิ ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่า …

“ท่านทั้งหลายรอด ก็รอด โดยพระคุณ”

พระคุณ แปลว่าฟรีๆ เปล่าๆ ไม่ใช่ โดยการกระทำของท่าน ความรอดนี้ไม่มีเงื่อนไขใดๆ อ้าว! มันก็ขัดกันกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?

อย่างที่ผมพูดอยู่เสมอว่าเวลาอ่านพระคัมภีร์ ถ้าจะให้เข้าใจความหมายที่ถูกต้อง เราต้องศึกษาดูไปที่บริบท เรื่องราวเต็มๆ ของหนังสือนั้นว่าเขียนถึงใคร? เป็นอย่างไร? มาจากไหน? อย่างไร? ถูกต้องไหม? รวบรวม แล้วมาตีความหมาย เอาแค่เราอ่าน แล้วเจาะเอาแค่นิดหนึ่งมา หรือแค่อ่าน แล้วยังไม่รู้เลยว่าเขาเขียนถึงใคร? นึกว่าเขียนถึงตัวเองหมด ไปแอบอ่านของคนอื่นมา แล้วก็มาโมเมว่าเขียนถึงฉัน แค่นี้ก็มีโอกาสผิดพลาด มโหฬารมากมายแล้ว แล้วเวลาผิดมากๆ มันเกิดความเสียหายต่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างมากมาย และบางครั้งเสียซึ่งชีวิตของผู้คนในโลกวิญญาณด้วย คือความรอดจะหายไปด้วย ไม่ใช่ได้แล้วหายไป มันไม่ได้เลย เพราะความรอด มาจากข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีที่มาถึงเขา เป็นข่าวดีที่ผิดไปแล้ว มันเลยเป็นข่าวร้าย ซึ่งนึกว่าเป็นข่าวดี ก็กลายเป็นแทนที่เขาจะมารับเชื่อในพระเยซู เขากลับกลายเป็นมารับเอาศาสนาคริสต์ไปอีกหนึ่งศาสนา เปลี่ยนศาสนาจากเดิม เป็นศาสนาคริสต์ ไม่ได้เชื่อในข่าวดีเลย เพราะไม่เชื่อในข่าวดีว่าคืออะไร?

ผมจะยกตัวอย่างข้อความมาให้ท่านดู สมมติว่าท่านได้ยินข้อความนี้ ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนี้จริงๆ แล้วเราก็เอาแค่วรรคนี้ มาใช้เลย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี  การเป็นศัตรูกันก็ดี  การโกรธกันก็ดี   การเมาเหล้าก็ดี   การนับถือรูปเคารพก็ดี

จบพอแล้ว อ่านแค่นี้ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดี ควรจะทำสิ แล้วตัดมาแค่นี้ พอแล้ว ก่อนหน้า อันดับหลัง เขาเขียนถึงใคร ยังไงก็ไม่รู้ ฉันเอาแค่นี้มาใช้ แต่ถ้าอ่านให้ครบบริบท จะเห็นว่ามันหมายความว่า …

(1) จงทำตัวให้สมกับฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า อย่าทำตัวให้เหมือนกับที่โลกนี้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเขาทำกัน ซึ่งอดีต ท่านเคยทำมาก่อน ท่านอยู่อย่างนั้น ก็คือ …

(2) การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี  การวิวาทกันก็ดี  การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี  การเป็นศัตรูกันก็ดี  การโกรธกันก็ดี   การเมาเหล้าก็ดี   การนับถือรูปเคารพก็ดี

(3) ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าคนที่ประพฤติเช่นนี้      ไม่ได้มีส่วนในการเข้าแผ่นดินสวรรค์เลย เพราะเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่ท่านเชื่อแล้ว ท่านจงอย่าประพฤติตัวเหมือนเดิมเลย มันไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันไม่สมกับเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

เห็นไหม? ตัดตอนมาเฉพาะตรงกลางอย่างเดียว ดีหมด อันนี้ท่านจะเห็นภาพ นึกออกใช่ไหม? ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันจริงๆ ทั้งบริบท แล้วสอนไปผิดๆ เอาแค่นั้นมา แล้วบอกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูถูกบิดให้เสียหายไป อันนี้สำคัญที่สุด สำคัญถึงขนาดเปาโลปกป้องเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้ามาก ถูกบิดเบือนไป  เล็กน้อยก็ไม่ได้ เพราะมันเหมือนเชื้อเล็กน้อยมาก ยอมทำตาม อนาคตมันก็เป็นผงฟูออกมา เป็นความเสียหายใหญ่โต ที่ยกตัวอย่างเช่น นิดเดียวเอง เรื่องนี้ไม่ค่อยได้สำคัญในการพึ่งตนเองกับพึ่งพระเจ้า บางครั้งพึ่งตนเองนิดเดียว แล้วเราก็บอกว่าต้องทำ พอเราต้องบ่อยๆ พึ่งตนเองบ่อยๆ ข่าวประเสริฐไปถึงคนสุดท้าย จากเรายอมให้ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ปล่อยไปเรื่อยๆ 10 ปี 20 ปีผ่านไป กระดุมเม็ดสุดท้าย มันเอียงไปหมดเลย กว่าจะมาแก้ทีหลังลำบากลำบน ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และอาจารย์เปาโลจะโกรธมาก ถ้าใครมาบิดพลิ้ว เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ และการบิดพลิ้วเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่ชัดเจนที่สุด ก็คือการพึ่งตนเองกับการพึ่งพระเยซู แค่นั้นเอง ไปอ่านดูพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด เล็งให้เห็นตรงนี้ว่าการพึ่งตัวเองกับพึ่งพระเยซู มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากๆ เลย มันมานิดเดียวเองนะ

ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์เปาโลโกรธมากเลย  ที่สอนชาวกาลาเทียบอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว  กฎบัญญัติเดิม เราไม่ได้ขึ้นอยู่แล้ว เราขึ้นอยู่กับกฎพระคุณพระเจ้า และได้รับความรอด โดยพระคุณ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประกาศข่าวประเสริฐให้ท่านได้เป็นอิสระแล้ว ท่านยังโง่ ยอมเป็นทาสเขาอีก

เพราะตอนอาจารย์เปาโลออกมา มีคนเข้าไปหว่าน เข้าไปสอนใหม่ บอกว่าถึงแม้ท่านเชื่อแล้วก็ตาม ต้องไปเข้าสุหนัต คือไปขลิบปลายอวัยวะเพศ เพื่อทำพันธสัญญากับพระเจ้า เหมือนกับยิวในอดีตด้วย ต้องรักษาบัญญัติ ต้องทำ แล้วเขาก็ไปทำตามจริงๆ อาจารย์เปาโลโกรธมาก นิดเดียวเอง

หรือแม้แต่ว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นอิสระแล้ว แต่ไม่ได้หรอก ท่านต้องรักษากฎบัญญัติที่บอกว่าอย่ากินสัตว์ที่เป็นมลทิน กินหมูก็ไม่ได้นะ กินเนื้อที่เขาเอาไปถวายลูกเคารพก็ไม่ได้นะ

อะไรอย่างนี้  เราฟังดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ ทำไมอาจารย์เปาโลต้องโกรธถึงขนาดนั้น ต้องโมโหถึงขนาดนั้น  ก็เพราะว่าปล่อยไปไม่ได้ ปล่อยไปนิดเดียว เดี๋ยวมันไปใหญ่เลย มันก็กลับมาที่กฎ คนที่เชื่อพระเจ้าไปแล้ว ได้รับความรอดไปแล้ว ไม่เป็นไร มันรอดไปแล้ว ถึงจะกลับมายอมโง่ ไปเชื่อตามกฎ มันก็รอดไปแล้ว เกิดใหม่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้อิสระ ไม่ได้รับใช้พระเจ้าดีเท่าที่ควร ก็เลยไม่สามารถส่งต่อความจริง เรื่องข่าวดีของพระเยซูให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป

นี่อาจารย์เปาโลมองถึงอย่างนี้ แล้วพระเจ้ามองถึงอย่างนี้ พระเยซูเล็งถึงอย่างนี้ พระเยซูมาปุ๊บ อันดับแรก ประกาศตรงนี้เลย สำคัญที่สุด คือจะอยู่ฝ่ายพระเจ้า โดยการเชื่อพระเยซู วางใจพระเยซู หรือจะวางใจในตัวเอง พึ่งตนเอง พึ่งในกฎบัญญัติ พึ่งในการกระทำของตนเอง แค่นี้

กลับมาที่คำอธิษฐาน เมื่อตะกี้นี้ ตรงที่บอกว่า … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

คริสเตียนทั้งหลาย ที่ได้รับการสอนมา หลายคำสอน ก็ท่องคำอธิษฐานตรงนี้ โดยไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ผมในอดีต ก็เคยท่องตรงนี้ โดยไม่เข้าใจความหมาย ก็เลยพึ่งตนเอง ที่จะพยายามยกหนี้ให้เขา เขียน list เต็มไปหมดเลย คนนี้ วันนี้ไปโกรธเขาก็ไม่ได้ คิดโกรธก็ไม่ได้ ถ้าผมยังไม่เข้าใจอยู่ แล้วมาเขียน ป่านนี้ทุกคืนผมคงต้องมานั่งสารภาพกับพระเจ้า ต้องยกหนี้ให้คนเต็มไปเลย  คือต้องอภัยให้กับคนที่เราคิดว่าเขาทำไม่ดีกับเราเยอะแยะมากมายไปหมดเลย เพราะเราต้องพึ่งพาตนเอง

เห็นไหมว่ามันเกิดความยุ่งยากอะไร? ซึ่งจริงๆ แล้วคำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังสอนชาวยิวและฟาริสี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย และสอนตอนก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก่อนที่พระองค์จะสละพระชนม์ชีพ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์รวมทั้งชาวยิวด้วย คือบทบัญญัติเดิม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราเป็นชาวต่างชาติ คำสอนนี้ สอนเรื่องของชาวยิวโดยเฉพาะ ยังบอกในนั้นเลยว่าให้ทำอะไรในลักษณะที่บอกว่าให้เราอภัยบาปผิดให้คนอื่น เหมือนที่คนอื่นอภัยบาปผิดให้กับเรา เรายังไม่รู้จักพระเจ้าเลย มันจึงไม่ใช่คำพูดที่เล็งมาถึงเรา

ก่อนที่จะมาถึงคำอธิษฐานตรงนี้ ซึ่งอยู่ในมัทธิว บทที่ 6 ที่เราอ่านกัน ในตอนเริ่มต้นคำอธิษฐานบนภูเขา พระเยซูได้พูดไว้ในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ที่เราได้เรียนกันครั้งที่แล้ว ที่พระเยซูขึ้นต้นอย่างนี้ว่า …

มัทธิว 5:17-18 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้างแต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน”

 

เห็นไหมครับ? พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว พระองค์ยืนยันว่าบทบัญญัติทั้งหมดของพระเจ้าในหนังสือโมเสสที่พวกเธอยึดถืออยู่นั้น เราไม่เกี่ยว เราไม่ใช่คนยิว เราไม่มีบัญญัตินั้น บัญญัติของเรา พระเจ้าเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกของเรา แต่ชาวยิวนอกจากเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกแล้ว ยังเขียนไว้บนศิลาอีก พระองค์ยืนยันว่าบทบัญญัติของพระเจ้าทั้งหมด พระองค์ไม่ได้มาล้มเลิก มนุษย์ทุกคนต้องได้รับโทษจากความผิดบาปที่ตนกระทำ ทุกคนเลย ตอนนี้ พูดถึงเราด้วยนะ และโทษนั้น คือต้องตกนรก โทษนั้น ก็คือไม่ได้อยู่ในสวรรค์ โทษนั้น คือไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่คนที่ไม่ดีอยู่ เรียกว่าบึงไฟ

ย้ำอีกทีนะว่านี่คือคำตรัสของพระเยซูที่กำลังพูดกับชาวยิวและฟาริสี และเป็นเหตุการณ์ที่เกิด ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก็คือก่อนที่พระองค์จะทรงไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ รวมทั้งชาวยิวด้วย ก็แปลว่าตอนนั้นมนุษย์ยังคงอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ต้องทำตามนั้น ต้องพึ่งตนเอง ไม่มีทางอื่น ยังคงต้องรักษาบทบัญญัติทุกข้อ ยังคงต้องพึ่งการกระทำของตัวเอง ยังคงต้องถวายสัตวบูชา เพื่อขออภัยในความบาปผิดของตน นี่พูดถึงชาวยิว ที่พระเจ้าดูแลเป็นพิเศษ ในสมัยนั้น  ต้องเอาสัตว์ไปถวายปีต่อปี ต้องทำอะไรต่างๆ อีกเยอะแยะที่บัญญัติพระเจ้าเขียนเอาไว้ เพราะว่าบาปผิดของมนุษยชาติ รวมทั้งชาวยิวนั้น ยังไม่ได้ถูกลบ ยังไม่ได้ถูกยกออกไปนั่นเอง มนุษย์ยังอยู่ใต้บทบัญญัติอยู่ ใต้บทบัญญัติ คือใต้การกระทำตามบทบัญญัตินั้น

พระเยซูจึงสอนให้อธิษฐานอย่างนี้  ที่บอกว่า … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้กับผู้อื่น ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นเดียวกัน”

เห็นไหม? ก็คือผู้ใดที่อยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้นต้องทำให้ได้ตามนี้ จึงจะถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า จึงจะถูกใจพระเจ้า จึงจะไม่ถูกลงโทษนั่นเอง ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นให้ได้ พระเจ้าจึงจะอภัยให้ท่าน นี่คือกฎเกณฑ์ก่อนที่พระเยซูจะมาไถ่บาปให้กับเรา รวมทั้งชาวยิวด้วย ที่ไม้กางเขน แต่ถ้าท่านไม่สามารถอภัยให้ผู้อื่นได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม พระเจ้าก็จะไม่อภัยบาปท่านด้วย มันหมายความว่าอย่างนั้น

ที่พระเยซูสอนเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้ทุกคนได้รู้ตัวเองว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ฉันทำไม่ได้นั่นเอง ฉันก็ต้องถูกลงโทษแน่นอน และไม่ว่าฉันหรือใครก็ทำไม่ได้หรอก

คำว่า “ให้อภัย” ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่นะ พระเยซูยกตัวอย่าง แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ โกรธนิดหนึ่งก็ไม่ได้ เรียกว่าไอ้โง่ก็ไม่ได้แล้ว จุดๆ หนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ต้องทำให้ครบเลย แค่คิดรำคาญคนนี้ ก็ไม่ได้แล้ว นี่พูดก่อนที่พระเยซูจะไถ่บาปให้กับมนุษย์

พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่า … “เธอจะพึ่งตนเองไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งฉัน ฉันที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยพวกเธอไง ฉันจะพาเธอไปหาพระบิดา เธอต้องเชื่อฉันลูกเดียว ไม่มีทางอื่น”

สรุปแล้ว ข้อสำคัญมีอยู่แค่นี้เองทั้งหมด  เวลาอ่าน เวลาพระเยซูพูด อยู่แถวๆ นี้ทั้งหมด  ถ้าท่านรู้ก่อน เวลาท่านอ่าน ท่านก็จะเข้าใจมากขึ้น

และพระเยซูก็สอนบอกว่าเมื่อไรก็ตามที่ท่านรู้ตัวว่าท่านไม่สามารถทำได้  ท่านก็จะรู้ตัวว่าท่านไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ท่านก็จะสามารถรู้ตัวเองว่าตัวเองป่วยอยู่ ตัวเองบกพร่องในวิญญาณ นั่นแหละพรทั้งหลาย ก็จะมาถึงท่านแล้ว เพราะท่านก็จะหาที่พึ่งที่อื่น  และที่พึ่งที่อื่น ก็เหลือที่เดียว ก็คือที่พระเยซูคริสต์บอกผู้เดียวในโลกนี้ว่าพระองค์เป็นผู้เดียวที่ช่วยเราได้  ไม่มีใครในโลกนี้บอกช่วยเราได้เลย  ทุกคนในโลกนี้ ก็จะบอกว่าให้เราช่วยตัวเองเถิด

นี่คือเป้าหมายของพระเยซู กำลังบอกว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านทั้งหลายจะไปหาพระบิดาได้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็คือทางพระเยซู  เชื่อในการกระทำของพระองค์เท่านั้น

พอมาถึงยุคพระคุณ ก็คือหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เปาโลได้สอนถึงการมีชีวิตให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ลูกแห่งความสว่าง คือเป็นลูกของพระเจ้า เราทุกคนควรทำอย่างไร? คือให้รักกัน มีความสามัคคีกัน ไม่โกรธเคืองกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ให้อภัยกันและกัน ไม่อิจฉา และจบลงที่เอเฟซัส 4:32 ลองสิว่ามันต่างกับเมื่อสักครู่นี้  ก่อนที่พระเยซูจะมาไถ่บาปอย่างไร?

เอเฟซัส 4:32 “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงอภัยแก่ท่านในพระคริสต์”

 

“ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงอภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

ถามว่าอันนี้ ใครให้อภัยก่อน มันตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่นี้ ใช่ไหม? คำอธิษฐานของพระเยซูในมัทธิว บทที่ 6 ที่บอกว่าท่านจงอธิษฐานอย่างนี้ นั่นมันหมายถึงก่อนที่พระองค์จะทำการไถ่ถอนมนุษย์ให้สำเร็จ บนไม้กางเขนนั้น เราต้องพึ่งตัวเอง พึ่งตามกฎ เราต้องอภัยให้คนอื่นก่อน พระเจ้าถึงอภัยให้เรา แต่ตอนนี้ โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงอภัยให้เราเรียบร้อยแล้ว เรายังไม่ได้อภัยให้กับคนอื่นเลยสักนิดเดียว เราได้แล้ว ถูกไหม? ก็แสดงว่าพระเจ้าได้ให้เรา โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าท่านจะอภัยให้คนอื่น หรือไม่ให้ ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านพึ่งในพระเยซู ท่านก็ได้รับการอภัย เห็นชัดยิ่งกว่าชัดเลย มนุษย์รับยากมาก เรายังไม่ได้ทำเลย พระองค์ให้เราได้อย่างไร? ก็คือพระคุณ พระองค์ทรงรู้ว่าเราทำไม่ได้ พระองค์จึงมาช่วยเรา  ดูอีกข้อหนึ่ง โคโลสี 3:13

โคโลสี 3:13 “จงอดทน อดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงยกโทษให้ท่าน”

 

“ท่านจงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงยกโทษให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว” ถ้าใครที่ยังอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ ก็ต้องพึ่งในตนเอง ก็คือต้องยกโทษให้คนอื่นก่อน โดยการกระทำให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้อภัยผู้อื่นได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือรักผู้อื่นมากเลย ให้อภัยผู้อื่นเต็มที่เลย ไม่เคยโกรธใครเลย ผู้นั้น จึงจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า ถ้าท่านอยากจะพึ่งตนเอง ก็เป็นอย่างนี้ จะเอาไหมล่ะ

หรือท่านจะพึ่งในพระเยซู พระเจ้าอภัยให้ท่านก่อน หรือท่านไม่พึ่งในพระเยซู ท่านต้องอภัยให้คนอื่นก่อน ให้ครบหมดเลย ไม่มีการโกรธใครเลย ไม่มีการว่าใครสักคนหนึ่งเลย นี่เฉพาะข้อเดียวเท่านั้นนะ  เรื่องการอภัย ยังไม่นับข้ออื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าท่านพึ่งตนเอง ท่านต้องทำให้มันดีที่สุด  ไม่โกรธเกลียดใคร ไม่เคยคิดอะไรกับใครเลย นั่นแหละพระเจ้าถึงอภัยให้ท่าน

แล้วทำได้ไหมล่ะ ก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าใครมาเชื่อในพระเยซู พึ่งในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซู และได้รับการอภัยความบาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งบาปผิดในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเองใดๆ เลย แม้กระทั่งยังโกรธคนอื่นอยู่เลย แต่เชื่อในพระเยซูแล้ว ก็ได้รับการอภัย ต้องจำเรื่องนี้ให้ดีๆ เลย และเราต้องฝืนความคิดของเรามากๆ เลยว่าเรายังเป็นคนแย่ ประพฤติไม่ดี พระเจ้าจะอภัยให้เราได้อย่างไร? พระเจ้าจะรักเราได้อย่างไร? ก็ในพระคัมภีร์เขียนไว้เช่นนั้น เดี๋ยวเราเรียนต่อไป เราจะเห็นชัด นี่เรียกว่าพระคุณ

อย่างที่ผมพูดไปเมื่อครั้งที่แล้ว มันจึงเป็นประตูแคบ ที่คนคิดไม่ถึง คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มีที่ไหน? คนจึงคิดเหมือนๆ กัน คล้ายๆ กัน คือคิดไปในทางที่ปัญญามนุษย์จะเข้าใจ เหตุผลของมนุษย์จะเข้าใจ ต้องทำดีให้กับคนอื่นสิ แล้วพระเจ้าจึงจะอวยพรเรา  ต้องทำดีกับคนอื่นสิ แล้วพระเจ้าถึงจะทำดีกับเรา ต้องให้ออกไปก่อนสิ แล้วเราถึงจะได้รับ ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ข่าวดี ข่าวดีของมนุษย์ คือไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าก็ให้แล้ว  ให้ฟรีๆ เลย ให้เปล่าๆ ไม่ว่าท่านจะทำดีหรือไม่ทำดี ก็ให้แล้ว แล้วค่อยมาว่ากัน หลังจากให้แล้ว ค่อยๆ ฝึกฝนท่านให้ทำดีเยอะขึ้น นี่ไง นี่คือข่าวประเสริฐ ซึ่งคนรับยาก พอรับยาก ก็เลยเป็นทางแคบ ไม่ค่อยมีคนเข้ามา คนไปทางกว้างหมด จะพึ่งตนเองกันหมด

พูดอย่างนี้ หลายคน ก็อย่างที่บอกครั้งที่แล้วว่ากำลังจะมาสอนให้คนไม่รู้จักทำความดีบนโลกใบนี้หรืออย่างไร? ดำเนินชีวิต โดยไม่พึ่งการกระทำของตนเองหรืออย่างไร? ต้องบอกว่าเดี๋ยวก่อน ต้องขอคิดให้ดีๆ ก่อนว่าเหมือนกับครั้งที่แล้ว ที่ผมพูดว่าทั้งหมดนี้ มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ ที่บอกว่าไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง แต่ให้พึ่งพระเยซูนั้น เรากำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น  เรากำลังเล็งถึงสวรรค์ เกี่ยวกับการเข้าแผ่นดินสวรรค์ เกี่ยวกับการเข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ในวิญญาณของเรา มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีๆ มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตัวจริงๆ เป็นวิญญาณ มันเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้อยู่ในสวรรค์ เกี่ยวกับกฎที่พระเจ้าบอกว่าเข้าสวรรค์ ต้องเข้าด้วยวิธีนี้

กฎก็คือกฎในโลกวิญญาณ ก็มีกฎ บัญญัติของโลกวิญญาณ ที่บอกว่าทุกคนต้องบริสุทธิ์ 100% ต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า 100% ใครผิดพลาดจากกฎนี้ ก็ไม่ได้เลย ต้องได้รับโทษ อันนี้เป็นกฎฝ่ายวิญญาณ และมันเป็นจริงตามนั้นตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่ง จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป  ใครจะเข้าไปอยู่กับพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ สะอาดหมดจด นิ้งเลย 100% จึงจะไปอยู่กับพระเจ้า นี่คือกฎ

กฎบัญญัติบอกไว้ว่าคนที่จะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องบังเกิดใหม่  บังเกิดใหม่  เพื่อจะได้เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า มีวิญญาณ นิรันดร์ มีวิญญาณนิรันดร์ไม่ใช่มีวิญญาณยาวๆ นะ วิญญาณที่เป็นนิรันดร์ ก็คือวิญญาณที่เป็นของพระเจ้า มีชีวิตที่เป็นของพระเจ้า มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณที่เป็นของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์

มีความคิดจิตใจที่บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ดีพร้อมเหมือนพระเยซู นี่คือกฎของการเข้าสู่สวรรค์ จะไปอยู่กับพระเจ้าเป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่มีทางอื่น นอกเหนือจากทางพระเยซูเท่านั้น ที่สามารถทำให้มนุษย์ทุกคนเกิดใหม่ได้ ก็คือทำให้มนุษย์สามารถที่จะมาตายพร้อมพระองค์ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามพร้อมพระองค์ เกิดใหม่ในวิญญาณได้ มีพระองค์ผู้เดียวทำให้เราได้ เป็นอย่างนั้น

แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็มีกฎหมาย มีกฎของมันอยู่ ซึ่งพระเจ้าก็ยืนยันและเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านั้น เช่นเดียวกัน ซึ่งเราทุกคนต้องปฎิบัติตาม อย่างที่ผมเคยบอก …

“โอ๊ย ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว อยู่กฎฝ่ายวิญญาณแล้ว ไม่สนใจกฎบนโลกใบนี้ เรื่องอื่นฉันไม่สนใจ”

เป็นคริสเตียนแล้ว ลองเดินออกจากดาดฟ้าชั้น 3 สิ คิดว่ามันจะตกลงไปไหม? แรงดึงดูดโลกยังอยู่ไหม? จำได้ไหม? มารพาพระเยซูขึ้นไปทดลองอยู่บนหอคอยวิหาร แล้วบอกโดดลงไปสิ

“อ้าว! ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเป็นฝ่ายวิญญาณแล้ว ฉันเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ฉันโดดลงไป ไม่เป็นไร”

ลองโดดดูสิว่ากฎแห่งแรงดึงดูดของโลกนี้ ที่พระเจ้ากำหนดเอาไว้นั้น มันยังอยู่ไหม? หรือเอาง่ายๆ เดี๋ยวออกไป ลองโดดลงไปในน้ำดูสิว่ามันเปียกไหม? แล้วมันจมหรือเปล่า? หรือฝนตก ท่านวิ่งออกไปสิ ดูว่าเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว มันจะเปียกไหม? มันก็ต้องเปียกนะ โดนน้ำ

เพราะฉะนั้น การอยู่บนโลกใบนี้ มันมีกฎเยอะแยะมากมายไปหมด ที่เราต้องดำเนินชีวิตามกฎเหล่านั้น  เรารู้ตัวดีอยู่ว่ามันมี ไม่ใช่บอกว่า …

“ฉันมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้กฎเหล่านั้นอีกต่อไป เพราะว่าฉันเป็นอิสระจากกฎ”

ไม่ใช่ มันหมายถึงกฎทางฝ่ายวิญญาณต่างหาก กฎบัญญัติทางโลกวิญญาณ กับกฎระเบียบทางโลกใบนี้ มันคนละเรื่อง คนละอย่างกัน ทางโลกวิญญาณ เราได้รับการอภัยหมดแล้วจริงๆ ถ้าเราเชื่อในพระเยซู ไม่มีการกล่าวโทษใดๆ อีกแล้ว เมื่อเราสิ้นลมหายใจ วิญญาณเราออกจากร่าง เราไปอยู่ในสวรรค์ รับร่างกายใหม่จากพระเจ้าอย่างแน่นอน 100%  ตามกฎที่บอกไว้ เรียกว่าเป็นความรอดนิรันดร์ตลอดไปว่าเราได้อยู่ในสวรรค์แน่นอน 100%  แต่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎระเบียบ และกฎหมายบ้านเมือง ใครที่ทำผิดกฎหมาย ต่อให้เชื่อพระเยซูแล้ว  ก็ต้องได้รับโทษเหมือนกัน ตามกฎหมายที่ระบุไว้ หรือกฎทางศีลธรรมที่ระบุไว้ ได้รับโทษหมดแหละ แม้บางครั้ง กฎหมายไม่ได้ระบุไว้ว่าต้องรับโทษทางกฎหมาย แต่ในทางศีลธรรม จริยธรรม ก็ได้รับโทษอยู่

ยกตัวอย่างเช่น เราขุ่นเคืองตลอดเวลา คนนี้เราก็ไม่ชอบ คนนั้นเราก็ไม่ชอบ เราขี้หงุดหงิดตลอดเวลา พระเจ้าอภัยให้เราหรือเปล่า? อภัยให้เราแล้ว แล้วเรายังขี้หงุดหงิด ยังไม่อภัยให้คนอื่น แล้วเกิดอะไรขึ้น  เราก็เกิดความเครียด เกิดความดัน เกิดโรคอะไรต่างๆ นอนไม่หลับ อะไรต่างๆ เปาโลบอกว่าอภัยให้กับผู้อื่นเถอะ  ก่อนที่ตะวันจะตกดิน จะได้หลับสบาย อย่างนี้ มันก็คือโทษ มันก็คือกฎอันหนึ่ง เราทำอย่างนี้ ถูกไหม?

หรือเรากินอะไรเป็นพิษ กินอาหารที่ไม่ควรกิน ทางการแพทย์ได้บอกไว้แล้วกินเหล่านี้ไม่ดี แล้วเรา ก็บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันอธิษฐานวางมือ”

แล้วกินไปๆ แล้วเกิดโรคไหม? ท่านไปคิดเอาเองแล้วกัน

อีกตัวอย่างหนึ่ง อย่างเช่น ผู้เชื่อที่อยู่ในบ้านเมืองนี้ มีกฎหมายอย่างนี้ เราก็ต้องทำตามกฎบ้านเมืองนั้น เขาเขียนไว้ ถ้าเราไปละเมิด เราก็ถูกลงโทษ ตามที่กฎหมายระบุเอาไว้อย่างนั้น ยกตัวอย่างทั่วๆ ไป เราไปฆ่าคนตาย เราไปขโมย คดโกง อย่างนี้เราก็ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายเขาระบุไว้ เราจะไปบอกไม่ได้ว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราไม่เป็นอะไร? ใช่ไหม? เห็นหรือยังว่ามันมีกฎของมันบอกไว้ เดี๋ยวจะเห็นว่าพระเจ้าก็สอนเรา ให้เรานับถือให้ความสำคัญกับกฎเหล่านี้ เช่นเดียวกัน กฎทางฝ่ายวิญญาณมันสำคัญกว่า เพราะมันต้องอยู่นิรันดร์

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง สมมติว่าเราได้ยินมาว่ากัญชารักษาโรคได้  เราก็ควรย้ายไปอยู่ประเทศที่เขาบัญญัติไว้ว่ากัญชาสามารถเอามารักษาโรคได้ อย่างถูกกฎหมาย สมมติว่าเราอยู่ในประเทศที่ระบุว่ากัญชาใช้ไม่ได้ ยังผิดกฎหมายอยู่ เราไปใช้ เราก็ถูกลงโทษ เราก็ต้องย้ายจากประเทศนี้ ไปอยู่ประเทศโน้น ที่ไม่ถูกลงโทษ

ในโลกวิญญาณก็เช่นกัน ในโลกวิญญาณบอกถ้าเรายังอยู่ในอาดัม อยู่ในอาณาจักรของความมืด เราก็ถูกลงโทษ ตายแน่นอน คืออยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต้องอยู่บึงไฟนรก เราต้องย้ายตัวเราเองไปอยู่อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายด้วยวิธีอะไร?  โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เราย้ายปุ๊บ เราก็มาอยู่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน พ้นจากกฎต่างๆ ในโลกวิญญาณ เห็นหรือยัง?  มันเป็นลักษณะเช่นเดียวกัน

อีกตัวอย่างหนึ่งยิ่งเห็นชัดว่าที่สอนไปทั้งหมดนี้ กำลังเล็งให้เห็นโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? จะพึ่งตนเองหรือพึ่งพระเยซู เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ สำหรับโลกใบนี้ ท่านต้องมีสติปัญญา ในการจะรู้ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนด้วยนะ ก็คือถ้าเราเป็นเด็กดี เชื่อฟังพระเจ้า ก็ต้องเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ควรทำ ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี แม้พระเจ้าจะอภัยให้เรา แต่เราก็ต้องรับโทษ

อีกตัวอย่างหนึ่ง เหตุการณ์ในช่วงโควิด-19 จะเห็นชัดๆ ท่านคงเคยได้ยิน ในโควิด-19 นี้ ทำให้เราเห็นบางอย่าง ในการแยกไม่ออกของผู้เชื่อ ในเรื่องของกฎทางฝ่ายวิญญาณและโลกวัตถุ เขาแยกไม่ออก เช่น กฎหมายออกมาว่าให้รักษาระยะห่าง Social Distancing ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ให้ละเว้นการไปในที่ชุมชน ที่มีคนจำนวนมาก อันนี้เรื่องจริงนะ จากข่าวที่ออกมา เราได้เห็นผู้เชื่อที่เรียกว่าคริสเตียนมากมาย ที่คิดว่าตัวเองมีความเชื่อสูงมากเลยในพระเจ้า กำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า หลายแห่งเลย ที่ไม่ยอมทำตาม โดยใช้เรื่องของพระเจ้าในโลกวิญญาณมาอ้างอิง หลายแห่ง คริสเตียนเหล่านั้น ก็ถูกลงโทษ และกำลังถูกลงโทษอยู่ และพวกเราผู้ที่รู้จักพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มีสติปัญญาจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ก็บอกว่าเอเมน มันต้องเอเมน

1 เปโตร สอนเราว่าอย่างนี้ ถูกคุมขัง ไม่ใช่ถูกคุมขังธรรมดา ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ไม่ใช่ข่าวประเสริฐเสียหายธรรมดา ทำให้ผู้เชื่อทั้งหลาย เดือดร้อนไปด้วย ท่านพอมองเห็นไหม? เหมือนปลาเน่าตัวหนึ่ง ทำให้เหม็นทั้งข้อง 1 เปโตรสอนเราว่าอย่าต้องทุกข์ทรมาน  ลำบากลำบนบนโลกใบนี้ เพราะเหตุจากการทำชั่ว หรือจากการประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายศีลธรรมบนโลกใบนี้ แต่ถ้าท่านทนทุกข์ทรมาน เพราะความเชื่อของท่านในการถูกข่มเหงรังแก เพราะว่าเชื่อพระเจ้า อย่างไม่มีเหตุผลนั้น  ท่านก็จงยินดีเถิด

1 เปโตร 4:15-16 “15 ถ้าท่านทนทุกข์ ก็อย่าให้ทนทุกข์ในฐานะที่เป็นฆาตกร ขโมย หรืออาชญากรประเภทต่างๆ หรือแม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น 16 แต่ถ้าท่านทนทุกข์ ในฐานะที่เป็นคริสเตียน ก็อย่าละอาย แต่จงสรรเสริญพระเจ้า ที่ท่านได้รับการเรียกขานตามพระนามนั้น”

 

นี่ชัดเจนเลย เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ปกติมันก็ทุกข์อยู่แล้ว โดยทั่วๆ ไป อย่าไปเพิ่มทุกข์ โดยการที่ดื้อ แล้วก็ใช้อภิสิทธิ์ในทางวิญญาณบอกว่าทำอะไรก็ได้ ไม่จริงนะ ถ้าท่านทำไม่ถูกต้อง ท่านก็ยังคงได้รับผลของมันอยู่ แล้วผลของมัน คือความทุกข์มากขึ้น ท่านก็ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่แบบเป็นลูกพระเจ้า แต่ก่อนไปอยู่สวรรค์ ท่านก็ได้รับความทุกข์มาก และท่านจะเสียใจมาก เมื่อไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ท่านเสียดายที่ไม่ได้ประกาศข่าวดีของพระเจ้าให้ได้ดีเท่าที่ควร ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในชีวิตท่านเท่าที่ควร

เพราะฉะนั้น ในกฎของโลกฝ่ายวิญญาณ มีทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะได้รับความรอด ได้รับการอภัย ได้ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็คือพึ่งในพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว พระเยซูพูดกับชาวยิวว่าเมื่อถึงวันนั้น วันไหน? วันพิพากษา วันพิพากษา คือวันสิ้นโลก ที่จะกำหนดว่าใครจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ หรือใครจะอยู่พึ่งตนเอง และจะอยู่ในบึงไฟนรก เป็นการแยกแล้ว พระเยซูกลับมาใหม่แล้ว

พระเยซูพูดกับชาวยิวว่าถึงวันนั้น ฟังให้ดีนะ พระเยซูพูดกับชาวยิวว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าไม่เคยได้เกิดใหม่เลยสักครั้งหนึ่ง เราไม่รู้จักเจ้าเลย ไม่เคยได้รู้จักกันเลย  เพราะเจ้าไม่ได้เกิดใหม่เลย ไม่ได้เกิดใหม่ เพราะเจ้าพึ่งตนเอง ถ้าเจ้ามัวแต่กระทำความชอบธรรมด้วยตนเอง และประพฤติตนตามกฎบัญญัติ เพราะต้องการเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเองนั้น ถึงวันพิพากษา เราจะไม่รู้จักเจ้าเลย ก็คือเจ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์เลย  ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย ไม่ได้บังเกิดใหม่เลย เพราะการเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับเรา รู้จักกับเรา เป็นวิญญาณเดียวกัน ต้องพึ่งทางเราเพียงทางเดียว ท่านจึงจะได้เกิดใหม่ แต่ถ้าท่านยังพึ่งตนเองอยู่ สร้างความชอบธรรมด้วยตนเอง จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ด้วยตนเอง เมื่อถึงวันพิพากษา เราจะบอกเจ้าว่าเราไม่เคยได้รู้จักเจ้าเลย

เจ้าก็จะอ้างว่าเรารู้จัก เราได้ขับผีออก เราได้อดอาหาร เราได้ถวายทรัพย์ เราได้ถวายสิบลด เราได้ทำอะไรต่างๆ ในนามของพระองค์เยอะแยะเลย ทำโน้น ทำนี้ ทำนั้น พระเยซูบอกว่าสิ่งเดียวที่เจ้าไม่ได้ทำ ก็คือวางใจในเรา”

เห็นไหม? พระเยซูกำลังบอกว่ามันสำคัญขนาดไหน? เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้า คือให้ท่านเชื่อวางใจในพระเยซู ผู้ที่จะทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรมได้ ด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ

ดังนั้น เมื่อถึงวันพิพากษา ท่านอาจจะบอกว่าเราได้ทำอย่างโน้น เราได้ทำอย่างนี้ มากมาย เพื่อพระเจ้าในนามของพระองค์ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเราไม่เคยเชื่อเลยว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อชำระเราให้พ้นจากบาปผิดทั้งหมด เราอาจจะไม่เคยเชื่อตรงนี้เลย แต่เราเชื่อเพียงว่าพระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ที่มาสอนให้เราทำความดี มาช่วยให้เราทำความดี และพึ่งในตนเองให้มากที่สุดเท่านั้น

น้ำพระทัยพระเจ้าไม่ได้ต้องการอย่างนั้นเลย น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือต้องการให้เราพึ่งและวางใจในการกระทำของพระเยซู การกระทำ การวางใจในพระเยซู ซึ่งต้องพูดย้ำตรงนี้บ่อยๆ  เพราะว่ามนุษย์รับตรงนี้ยากมาก ที่บอกว่าให้เราพึ่งการกระทำของพระเยซู อย่าพึ่งตนเอง น้ำพระทัยพระเจ้าที่มีในชีวิตของเรา อย่างเดียวที่พระองค์ต้องการให้เราทำ

มีคนมาถามพระเยซูว่า … “เราอยากรู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร เราจะได้ไปทำ พระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร เราจะได้ไปทำให้ถูกใจพระเจ้า รักษาบทบัญญัติ 10 ประการหรือ?  หรือ 20 ประการ ข้อไหนสำคัญที่สุด เราจะได้รักษาเยอะที่สุด ออกไปทำอะไร เราจะได้ไปทำให้เยอะที่สุด น้ำพระทัยพระเจ้าให้เราไปประกาศ เราจะออกไปประกาศให้มากที่สุด อันนี้พูดมาถึงเราแล้วนะ แต่จริงๆ ยังไม่ถึง เอาแค่ชาวยิวก่อน ถามพระเยซูว่าอะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ต้องการให้เราทำ เราจะได้ทำให้ถูกต้อง”

พระเยซูเปลี่ยนคำตอบเป็นเอกพจน์ เพราะว่าชาวยิวถามพระเยซูว่าการงานต่างๆ ทั้งหมด มีอะไรเยอะแยะมากมายไปหมดนั้น พระองค์ต้องการให้เราทำอะไรบ้างเยอะแยะเป็นพหูพจน์ แต่พระเยซูตอบว่าพระบิดาต้องการให้เราทำงานอย่างเดียว งานนั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซู เพราะว่าไม่มีความประพฤติอะไรของท่านเลย ที่จะสามารถช่วยท่านเองให้รอด ให้เป็นผู้ชอบธรรม ให้เข้าสวรรค์ได้ ในสายพระเนตรของพระเจ้า และนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าเพียงอันเดียวเท่านั้น ที่ต้องการให้ท่านกระทำบนโลกใบนี้ ถ้าหมดโลกใบนี้แล้ว มันช้าไปแล้ว

นี่กำลังพูดกับชาวยิว เดี๋ยวเราสามารถเอามาปรับให้เข้ากับเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิวได้ วางใจในพระเยซู ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้กับทุกคน  งานชิ้นเดียว  ที่เราต้องทำบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนชาวยิวหรือไม่ชาวยิวก็ตาม น้ำพระทัยพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ทำ อันเดียวเท่านั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พึ่งในพระองค์ว่าช่วยให้ท่านเข้าสวรรค์ได้ น้ำพระทัยของพระเจ้า คือให้เราเชื่อและวางใจในพระเยซู ไม่ใช่เชื่อในการกระทำของตนเองว่าตนเองเกิดใหม่ได้  มันเป็นไปไม่ได้ ตัวเองทำให้ตัวเองบริสุทธิ์สะอาด มันเป็นไปไม่ได้

ถามว่าน้ำพระทัยพระเจ้ามีเช่นนั้น แก่ชาวยิวและมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะอะไร? เพราะว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก รักมากเท่ากับแก้วตาดวงใจของพระองค์ ต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด แต่เขาจะต้องตัดสินใจ มีอันเดียวเท่านั้นที่เขาต้องตัดสินใจ มีอันเดียวที่เขาต้องทำ  ก็คือต้องเชื่อและวางใจในพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาป จากนรก แล้วไปอยู่ในสวรรค์ได้ มีอันเดียวที่ต้องทำแค่นั้น น้ำพระทัยด้วยความรัก ความสุข ความห่วงใย รักเราทุกคนดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************