คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2017
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอบจบ
ตอน 23 “วาระสุดท้าย ตอน 2”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของการบรรยาย “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 23 ดาเนียล 12:7 …
ดาเนียล 12:7 “ชายผู้สวมเสื้อผ้าลินิน ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำ ก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าได้ยินเขาปฏิญาณอ้างพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า “จะเป็นหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง ในที่สุด สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จสมบูรณ์”
“เมื่ออำนาจของประชากรของพระเจ้าหมดสิ้นลง” คือเมื่อพลังการต่อสู้ของฝ่ายพระเจ้า ของคริสเตียนหมดลง แพ้ สิ่งทั้งปวงนี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์
ก็คือในยุคสุดท้าย ผู้คนของพระเจ้าจะถูกข่มเหงรังแก ถูกทำลายล้าง จนไม่มีอำนาจเหลืออยู่เลย ถูกโจมตี ถูกทำสงคราม จนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ถึงเวลานั้น สิ่งเหล่านี้ ก็จะสำเร็จ สมบูรณ์
คำว่า “สำเร็จ, สมบูรณ์” ภาษาฮีบรูเดิม แปลว่าอวสาน จบ ครบบริบูรณ์ โลกที่วิปริตนี้ จะจบสิ้นอย่างบริบูรณ์ เริ่มโลกใหม่ ฟ้าใหม่ เมื่อถึงเวลานั้น ประชากรของพระเจ้าจะได้รับชัยชนะนิรันดร์ ได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล ได้ครอบครองสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดให้ใหม่ โลกที่ถูกสร้างใหม่ โลกที่ตบแต่งขึ้นมาใหม่ โลกเก่าหมดไปแล้ว บัดนี้เป็นโลกใหม่ ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะครอบครองร่วมกับพระคริสต์นิรันดร์ นั่นแหละคือความหวังของเรา
แต่เวลานั้น ที่จะมาถึงเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ พระเจ้าแค่ต้องการให้เรารับรู้เท่านั้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่ต้องการให้รู้ว่าเมื่อไร?
คำว่า “หนึ่งวาร” “สองวาระ” หรือว่า “ครึ่งวาระ” ก็เป็นเพียงแค่กำหนดเวลาของพระเจ้า ซึ่งมันเกินกว่าความเข้าใจหรือความคิดและสติปัญญาของมนุษย์ว่ามันคืออะไร?
ดาเนียลก็เหมือนพวกเรานี่แหละ พอได้รับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ก็อยากรู้ต่อไปอีกว่าแล้วเมื่อไรมันจะเกิดขึ้นอีกนะ เพราะได้รู้คำตอบแล้วว่าเป็นวาระหนึ่ง ครึ่งวาระ หรือวาระอะไรก็แล้วแต่ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทูตสวรรค์ก็เลยบอกดาเนียลอย่างนี้ว่าไม่เข้าใจใช่ไหม? ไม่เป็นไร? มาดูดาเนียล 12:9-12 เรามาต่อวันนี้
ดาเนียล 12:9-10 “9 เขาผู้นั้นตอบว่า ‘ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย 10 คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ ส่วนคนชั่วยังคงทำชั่วต่อไป ไม่มีคนชั่วคนใดจะเข้าใจ แต่ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ 11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน จนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข”
จุดสูงสุดของหนังสือดาเนียล ทั้ง 12 บท มาอยู่บทที่ 12 ตอนท้าย เพราะฉะนั้น ท่านต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษ มากกว่า 12 บทที่เรียนมาแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านต้องจำไว้ นี่คือความหวังให้เราเห็นชัดเจน นี่คือคำตอบของทูตสวรรค์
“ดาเนียลเอ๋ย จงไปตามทางของท่านเถิด เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ถูกเก็บงำและประทับตราไว้ จวบจนวาระสุดท้าย”
นี่คือคำตอบ ไม่เข้าใจเลย อยากจะเข้าใจมากกว่านี้ นี่ดาเนียลได้รับคำตอบจากพระเจ้าแล้ว ก็เหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็กว่าคงประมาณนี้นะ
“เด็กน้อยดาเนียลเอ๋ย เจ้าฟังอย่างไรก็คงไม่เข้าใจหรอก อย่าไปสนใจเรื่องวันเวลาเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องลี้ลับ ฟังแล้วก็เก็บไว้ แล้วก็ใช้ชีวิตไปเถอะ จะทำอะไร ก็ไปทำ เพราะอีกไม่กี่วัน เจ้าก็จะต้องตายแล้ว เก็บเรื่องไว้สำหรับอนาคต เราจะติดต่อกับลูกหลานของเจ้าในอนาคตต่อไปภายหน้า”
อะไรประมาณนั้น ไว้พอถึงเวลา มันก็จะเกิดขึ้นเองแหละ ก็คือถึงเวลา ลูกหลานของเจ้า ในอนาคตเขาจะรู้เอง คือเรานั่งอยู่ที่นี่ ดาเนียลที่พูดอยู่นี้ ประมาณ 2,000 กว่าปี แต่ยังมีเพิ่มเติมอีกในข้อ 11, 12
ดาเนียล 12:11-12 “11 “ตั้งแต่ยกเลิกการถวายเครื่องบูชาประจำวัน จนถึงวาระที่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ถูกตั้งขึ้นเป็นเวลา 1,290 วัน 12 ผู้ที่รอคอยและอยู่จนครบ 1,335 วันก็เป็นสุข”
จริงๆ ไม่อยากจะบอกเป็นวันเลย เพราะมันก็ไม่รู้อยู่ดี จริงๆ พระเจ้าให้รู้แค่นี้ น่าจะพอแล้วนะ นี่ทูตสวรรค์แถมอีกนิดหนึ่ง ผมอ่านถ้อยคำตรงนี้ ก็ยังคิดเองว่าเหมือนทูตสวรรค์แหย่ดาเนียลเล่นๆ อยากรู้มาก เอาตัวเลขให้ เมื่อกี้ยังบอกว่าคือวาระหลายวาระเป็นกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางไว้ เป็นโค้ด ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก แล้วมาตรงนี้กลับมาบอกเป็นตัวเลข 1,290 วัน 1,335 วัน ซึ่งจริงๆ มันอาจจะเป็นโค้ดก็ได้ ท่านรู้ไหม? 2,000 กว่าปีนี้ มีผู้ทำทฤษฎีเรื่องเกี่ยวกับวัน มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? นับไม่ถ้วน ทุกทฤษฎีก็ผิดหมด ก็ยังมีคนอยากรู้จริงๆ 1290, 1335 แปลว่าอะไร? ยิ่งมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่ข้อมูลท่วมโลก แบบปัจจุบัน อินเตอร์เนตแบบนี้ พยายามค้นหากันใหญ่ เอาอันโน้นมาใส่อันนี้ เอาตัวเลขมาใส่ เอาเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วย
มีนักศาสนศาสตร์เยอะแยะไปหมด ที่จะพยายามตีความจากตัวเลขในพระคัมภีร์ แล้วพยายามจะหาให้ได้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเวลาเท่าไรกันแน่ ความพยายามแบบนี้ เหมือนเรากำลังพยายามจะต่อภาพจิ๊กซอ ประมาณแสนชิ้น เป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ แถมแสนชิ้นที่ให้มา มันหายไป 6,000 ชิ้น ต่อรูปอะไรก็ไม่รู้นะ สมมติว่าเป็นรูปท้องทะเล มันเหมือนกันหมด ต่อให้ถูกไหมล่ะ มันเหมือนอย่างนั้น แต่คนเราก็อยาก พระเจ้าบอกแล้ว ก็ยังอยากทำอยู่ จริงๆ แล้ว ถ้าพระเจ้าบอกตัวเลข กำหนดเวลาว่าเป็นกี่วัน? กี่เดือน? กี่ปี? ตรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าให้เรามาตีความว่าจะเป็นระยะเวลาเท่านั้น เท่านี้แน่นอน แต่ย้ำให้เราแน่ใจว่ามันมีเวลากำหนดแน่นอน จากพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ ดูอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เจ้ารู้ไป ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วรู้ว่าใจเจ้าอยากจะรู้ ก็เลยบอกได้แค่นี้ มันเหมือนเวลาคนถามผม ผมฟังคนร้องเพลง เราเป็นนักดนตรี เราเรียนดนตรีมา เรียนรู้วิชาการดนตรี มันก็มีความรู้นิดหนึ่งติดตัวมา คนที่ไม่ได้เรียน เขาก็ไม่รู้
“เอ๊ะ! คุณร้องตรงนี้ มันเพี้ยนนะ”
เขาบอก “มันเพี้ยนอย่างไร? ผมฟังแล้วไม่เห็นเพี้ยน”
“แต่เราว่ามันเพี้ยนนะ”
แล้วเอาอะไรมาบอกว่าเพี้ยน เราก็ใช้วิชาความรู้ ที่มันเพี้ยน โน้ตทั้งหมด ควรจะเป็นตัวเดิม แต่คุณร้องไป มันเร็วไปนิดหนึ่ง ตัวชาร์ปไปนิดหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งเสียง แต่ประมาณเกือบๆ ครึ่งเสียง แล้วถ้าคุณร้องเอื้อนอีกนิดหนึ่ง ลากนิดหนึ่งให้ครบตัวชาร์ปจริงๆ ก็จะตรงนะ ถามว่าเขาเข้าใจที่ผมอธิบายไหม? เขาไม่ได้เรียนรู้ เขาไม่เข้าใจ ผมบอกเขาว่ามันเพี้ยน ก็เพี้ยนจริงๆ เขามั่นใจในผมว่าผมมีความรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ บอกว่าเพี้ยน เขาก็อาจจะไม่เชื่อผม ผมก็อธิบายให้ฟัง ถามว่าอธิบายนั้น เขารู้เรื่องไหม? ไม่รู้ แต่เขามีความมั่นใจและความเชื่อถือผมมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ผมว่าพระเจ้าก็จะอย่างนั้นแหละ พระองค์ทรงรู้ควบคุมทุกอย่าง อธิบายอย่างละเอียดเลย ถามว่าเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่รู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ พระองค์วางไว้เป๊ะๆ แน่นอน
และเมื่อครบกำหนดตามที่พระเจ้าวางไว้นั้น วาระสุดท้าย ก็คือตอนอวสาน จะมาถึงอย่างแน่นอน ตามที่พระเจ้ากำหนดเวลาไว้ อาณาจักรของพระคริสต์จะเจริญเติบโตขยายกว้างขวางไปเรื่อยๆ จนคลุมโลกใบนี้เลย เชื่อไหม? เชื่อ เมื่อไร? ไม่รู้ คริสตจักรถูกข่มเหงอย่างรุนแรง แต่เลยมา 2,000 ปี ทุกวันนี้คลุมโลกเลย ยิ่งไปดูตะวันออก ยุโรปทั้งหมด มีแต่ไม้กางเขนเต็มไปหมด คริสตจักรเต็มไปหมด
ผมจะบอกให้ท่านฟังว่ามีคนเชื่อในพระเยซู เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูมากขึ้นทุกวัน แต่ละวินาทีเลย แต่โรมันไม่มีแล้ว เหลือแต่ซากของจักรวรรดิโรมัน ตามกำหนดไว้ของพระเจ้า
มีคนถามพระเยซูว่าแล้วเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระเยซูก็ไม่รู้เหมือนกัน ในมัทธิว 24:36-39 …
มัทธิว 24:36-39 “36 ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ 37 ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์มาก็เป็นอย่างนั้น 38 เพราะในวันเวลาก่อนน้ำท่วมโลก ผู้คนกินดื่ม แต่งงาน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ 39 พวกเขาไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น จนถูกน้ำท่วมกวาดล้างไปหมด เมื่อบุตรมนุษย์มา ก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ”
นี่พระเยซูตรัสเอง ไม่มีใครรู้วันเวลา ที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น คือวาระสุดท้าย แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ
คำว่า “เหตุการณ์เหล่านั้น” ก็คือเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงในวาระสุดท้ายก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่โลกใหม่จะถูกสถาปนาขึ้น และมนุษย์ทุกคนต้องเข้าสู่การพิพากษาในขณะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกอย่างชัดเจนเลย จะมีกำหนดให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตายเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น และวิญญาณออกจากร่างได้แค่ 1 ครั้ง และวิญญาณนั้นยังอยู่ ไม่ได้สูญสิ้นไป แต่รอการพิพากษา ไม่ว่าทำดีหรือทำชั่ว ก็จะไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อรอการพิพากษา แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์เตือนเอาไว้เลยว่าเมื่อถึงวันนั้น ไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษา เราทั้งหลายไม่มีชั่วแล้ว เพราะว่าชั่วตรงนี้ คือบาป … บาปเรา พระเยซูเอาไปหมดแล้ว จึงเตือนเราให้เชื่อตรงนี้ เตือนผู้ที่ยังไม่เชื่อ ให้เชื่อตรงนี้ เตือนผู้ที่เชื่อแล้ว อย่าทิ้งตรงนี้ไป เราเชื่อในพระเยซู เราได้รับการชำระบาป … บาปได้ถูกเอาออกไปแล้ว ไม่มีความชั่วใดๆ ในโลกใบนี้เลย นอกจากบาปอย่างเดียว
เมื่อพูดถึงการทำชั่ว พูดถึงคนชั่ว ก็คือบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเอาแทนไปได้เลยว่ามีแต่ดีกับบาป และไปยืนต่อหน้าของพระเจ้าในวันสุดท้าย ไม่มีคนไหนที่เป็นคนดีเลยสักคน พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ พระเจ้ามองมา ไม่มีดีเลย เพราะทุกคนเป็นคนบาป ยกเว้นบาปนั้น ได้ถูกชำระแล้ว โดยการหลั่งโลหิตโดยพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ไม่มีการหลั่งโลหิต ไม่มีการชำระบาป ไม่มีการจ่าย สตังค์ คืนให้กับแบงค์ … แบงค์ไม่ยกหนี้ให้กับเรา … เรายังคงเป็นหนี้แบงค์อยู่ ไม่ว่าเราจะไปกราบสักเท่าไร? เราจะบอกเราอุทิศตนทำความดี จากนี้ต่อไปเท่าไร? ไม่ว่าเราจะไปขอขมาเขาเท่าไร? ขอโทษแล้วขอโทษอีก น้ำตาเป็นสายเลือด บอกว่า …
“ไม่ทำอีกแล้วๆ”
แบงค์ก็บอกว่า “สงสารเจ้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ต้องขึ้นสู่พิพากษา เอาเงินมาคืน จึงจบกัน”
พระเจ้าก็เหมือนกัน สำหรับพระเจ้าเลือด คือชีวิต ต้องเอาชีวิตมาเท่านั้น ถึงได้รับการยกโทษ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะร้องไห้สักกี่ครั้ง? ไม่ว่าจะอดอาหารสักเท่าไร? ไม่ว่าจะทำดีมากสักเท่าไร? ไม่ว่าจะสะสมความดีขนาดไหน? ไม่ว่าจะเสียสละมากขนาดไหน? จะขายบ้านขายช่อง ขายชีวิตตัวเองก็ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเจ้าอยากจะช่วย แต่ทำไม่ได้ เอาอย่างเดียวมาเท่านั้น คือชีวิต และชีวิตให้มาแล้ว คือพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิต ยอมสละชีวิตของตัวเอง ยอมไถ่บาปให้กับเรา นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไปหาพระเยซูซะ
วาระสุดท้าย คือวาระที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ และมนุษย์จะรับการพิพากษา อย่างที่ตะกี้อธิบายไป ส่วนเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ อาจจะเกิดขึ้นสัปดาห์หน้าก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นปีหน้าก็ได้ อาจจะเกิดขึ้นอีก 100 ปีก็ได้ เราไม่รู้
ในข้อนี้ยังบอกว่า “ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร? เมื่อบุตรมนุษย์มา ก็เป็นอย่างนั้น”
เป็นการขยายความเพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดเจนว่ากำหนดเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ เหมือนตอนเกิดน้ำท่วมโลกในยุคโนอาห์ มนุษย์ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ทั่วๆ ไป แต่มีพวกเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าแถวๆ นี้ พระเจ้าบอกกำลังมาแล้ว ถามว่าเขารู้มากกว่าคนอื่นได้อย่างไร? เพราะเขาจดจ่อ เชื่อในพระเจ้า ก็คือโนอาห์และครอบครัว พระเจ้าบอกว่าแถวๆ นี้แหละ เขาไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกไหม? เขาก็ต่อเรือไป เขาต่อเรือ เพราะเขาเชื่อว่าน้ำจะต้องท่วมแน่ๆ
คนเหล่านี้ คือคนที่ได้รับความรอด ก็เหมือนคริสเตียน เราเชื่อ เราไม่รู้ เราไม่คาดหวังหรอกว่าอาจจะเป็นพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่จะมาเมื่อไรก็ตาม เราพร้อมหรือยัง? พรุ่งนี้พระเยซูมา พร้อมหรือยัง? วันนี้ท่านยังไม่ได้อธิษฐานเลย ตะกี้ยังไม่ได้ถวายทรัพย์เลย เมื่อกี้ขึ้นรถเมล์มา ยังด่าเขาอยู่เลย ยังหงุดหงิดกับเขาเลย ยังว่าเขาอยู่เลย แถมป้ายรถเมล์ตั้งไกล กว่าจะเดินเข้ามาถึงโบสถ์ มาสายเลย บ่น มาตลอดทางเลย แล้วพระเยซูมาเลย พร้อมไหม? พร้อม
ถามว่า “ทำไมพร้อม?”
“เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ฉันแล้ว ฉันไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เพราะว่าฉันทำดี ฉันทำเอง แต่เพราะฉันเชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับฉัน เอเมน”
พระคัมภีร์ตรงนี้จึงอธิบายให้เราเห็นภาพว่าวาระสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันก็จะเป็นแบบนี้แหละ เหมือนที่พระเยซูอธิบายเทียบกับโนอาห์ โผล่ออกมาทันที เราเป็นพวกที่ถือตะเกียงมีน้ำมันอยู่ เราก็สบาย เราเป็นผู้ที่เชื่ออยู่แล้ว คนอื่นอาจจะไม่รู้ตัว แต่เรารู้ตัวตลอดเวลา เพราะเราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่บาป เพราะเราเชื่อในพระเยซู และรู้จักถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเยซูเป็นใคร? และช่วยเรารอดด้วยวิธีใด ตรงนี้ต่างหาก ที่ทำให้เราพร้อมและเชื่ออยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ วิญญาณเราสะอาดหมดจด
จำที่ผมเคยพูดได้ไหม? วิญญาณเราไม่ได้มีแสงสว่าง วิญญาณเป็นความสว่างอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นอยู่ เรารู้ตลอดเวลา พร้อมตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนั้น และถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้กำหนดเวลาอย่างชัดเจนว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราก็ไม่สนใจ เพียงแค่เรารู้และมั่นใจว่าสิ่งนี้ มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส มันจะเกิดขึ้นแน่นอน ตามพระคัมภีร์ได้บอกไว้ และหลังจากที่ความทุกข์ลำบากอย่างแสนสาหัสแล้ว หมายถึงความพ่ายแพ้ของคริสเตียน อย่างราบคาบบนโลกใบนี้แล้ว นั่นแหละ คือจุดสำคัญ กลับเปลี่ยนเลย คือการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำเอาชัยชนะนิรันดร์มาให้กับพวกเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์ นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ
ในข้อที่ 8 ที่บอกว่า “คนเป็นอันมากจะถูกถลุง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ”
“คนเป็นอันมาก” ในบริบทนี้ หมายถึงบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย
ที่ข้อก่อนหน้านี้บอกว่า “ต้องถูกข่มเหงรังแก และต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส แบบที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน”
ก็คือเป็นการถลุงให้เขาบริสุทธิ์ คนที่ไม่เชื่อ กลับเชื่อ นี่พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ขณะที่ยุคสุดท้ายมาถึงคนที่ไม่เชื่อถูกถลุง กลับกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้า เพราะเห็นถ้อยคำพระเจ้าที่บอกนิมิตนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดขึ้นอย่างนั้น กลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซู ยิ่งถลุงเท่าไร? ยิ่งเชื่อ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เมื่อสมัยจักรพรรดิ์เนโร ในยุคเริ่มต้นแรกๆ ของจักรวรรดิ์โรมัน ที่ข่มเหงคริสเตียนอย่างหนัก ยิ่งข่มเหง ยิ่งเอาคริสเตียนไปตรึงไม้กางเขน เผาทั้งเป็น ยิ่งฆ่าตายเท่าไร? ยิ่งมีคนเชื่อมากขึ้น เพราะมันเป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเหตุผลมนุษย์เลย ในอนาคตมันก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้ แต่มากกว่า ถ้าพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา
สมมติ นั่งอยู่ตรงนี้อีกชั่วโมงหนึ่ง พระเยซูกลับมา ถามว่าใครจะถูกข่มเหงรังแก ก็คือเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่ายังไม่ได้มาวันพรุ่งนี้หรอก เพราะวันนี้เรายังไม่ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก หรือบางคนโดนหนัก อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นยังไม่หนักพอ อันนี้มันหนักทั่วไป หนักเฉลี่ยกัน ทุกคนโดนหมด แต่เราก็รู้ว่าพวกเราในนี้ ที่จะถูกข่มเหงรังแก แต่ก็คือพวกคริสเตียน พวกที่เป็นของพระเจ้า พวกที่พระเจ้าบอกรักมาก ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเขานั่นแหละ แล้วทำไมอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ที่ให้พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ด้วย เอเมน
แล้วท่านคิดว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะทนได้ไหม? ทนได้แน่นอน เพราะเรามั่นใจว่า …
(1) มันเป็นเพียงความทุกข์ยากลำบาก เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะพระเจ้าบอกเราก่อนแล้วว่ามันมีกำหนดเวลาของมัน และมันมีจุดจบของมัน กำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า
(2) สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันคุ้มค่ามากมหาศาล เอเมน
พระเจ้าบอกให้เรามีความหวังใจแบบนี้ว่ามันทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสจริง แต่มันแค่สั้นๆ มันจบนะ หลังจากจบ แล้วสุขนิรันดร์
เพราะเมื่อครบตามวาระที่พระเจ้าวางไว้ ชัยชนะ ก็จะเป็นของเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ สุดท้ายแล้ว เราจะเป็นผู้ที่ชนะนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร? เราก็ชนะนิรันดร์เท่านั้น ช่วงแรกเป็นความทุกข์ใจ ทรมาน แต่ทุกข์ใจ เพื่อที่จะไปสู่ความมีชัยนิรันดร์ถาวร
ยกตัวอย่างเหมือนเราไปหาหมอนวดจับเส้น สมมติเราเป็นอัมพาต เส้นปวดเมื่อย เขาต้องจับให้ถูกเส้น พอถูกเส้นเขาจะขยี้ หมอนวดนะมัน แต่คนไปรักษาเจ็บ แล้วหมอนวดก็จะบอกว่ามันถูกเส้นแล้ว ยิ่งเจ็บ มันยิ่งหายเร็ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เดินได้แล้ว แขนขาก็เป็นปกติแล้ว ไม่ต้องทนปวดตลอดชีวิต แล้วมันเป็นจริงตามนั้น นี่แผนไทย นี่เรื่องจริง เห็นไหม?
หรือท่านเคยไปทำฟันไหม? ท่านกลัวที่สุด คือเสียงกรอฟัน เมื่อไรมันจะจบสักที แล้วหมอฟันก็ชอบมาถามตอนนั้น เจ็บไหม? เสียวไหม? ขอโทษทีนะ แล้วเราจะพูดได้อย่างไร? ปากติดอยู่ จะเปิดปากบอก ไม่ไหวแล้ว ก็เปิดไม่ได้ พูดไม่ออก แต่เรารู้ว่าหลังจากนั้น ฟันเราก็ไม่ผุ เราไม่ปวดตลอดไป เราจะหาย เราทนได้ มันอีกแป๊บเดียว เราก็นั่งนับ เดี๋ยวก็จบแล้ว เหงื่อแตก หมอก็มาซับๆ อีกแป๊บเดียวๆ พอเสร็จปุ๊บ โล่ง
หรือตัวอย่างสุดท้าย ยิ่งในช่วงวันแม่จะเห็นชัด ก็คือแม่ที่ตั้งท้องลูก คลอด เจ็บปวดสุด ไหนจะแพ้ท้อง นอนก็ไม่ได้ เพราะยิ่งใกล้ๆ คลอด ท้องป่อง หายใจก็ไม่ออก ยิ่งไปคลอด ทรมาน บางคนร้องไห้น้ำตาเล็ด แต่พอลูกคลอดออกมา เขาอุ้มลูกไปให้ดู น้ำตาไหล ชื่นชมยินดี ก็ทนมาทั้งหมด ตั้ง 8 เดือน 9 เดือน 10 เดือนได้ เพราะมีความหวังว่าเขาจะชื่นชมยินดีเมื่อเห็นลูก ลูกในไส้ของเขา ที่เขาให้กำเนิด ลองให้เขาทำอย่างนั้นดู แล้วไม่มีลูก ทำจนจบสุดท้ายบอกไม่มีอะไรหรอก ทำเล่นๆ ไม่มีกำลังใจเลย คงไม่มีใครยอมทนถึงขนาดนั้นหรอก ที่ทนเพราะว่ามีความหวังรอไว้สุดท้าย พระเจ้าก็เหมือนกัน พระคัมภีร์จะชอบยกตัวอย่างนั้นว่าความทุกข์ทรมาน วาระสุดท้าย เหมือนหญิงคลอดบุตร มันทรมานจริง แต่มันมีความสุข รออยู่ข้างหน้า
สรุปรวมทั้งหมดแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากลำเค็ญในยุคสุดท้ายมีอยู่ 2 ปัจจัย ก็คือ …
(1) เรารู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว
(2) เรารู้ว่าตอนจบมันดี มีอะไรดีๆ ที่รออยู่ พูดง่ายๆ ว่ามีความหวังนั่นเอง เจ็บปวดชั่วคราว แต่ว่ามีความนิรันดร์ ตรงนี้ต่างหาก
ดาเนียล 12:13 “ส่วนท่าน จงไปตามทางของท่านจวบจนวาระสุดท้าย ท่านจะพักสงบ และเมื่อสิ้นยุค ท่านจะเป็นขึ้นมา เพื่อรับมรดกส่วนของท่าน”
แปลความหมายได้ว่าตอนนี้ ท่านได้รับรู้เหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบางส่วน เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ท่านก็ไม่ต้องไปสนใจมันมากนักว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? รู้แต่ว่าท่านตายก่อน อยู่ไม่ถึงหรอก คือพักสงบ และหลังจากนั้น ท่านก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
พระเจ้าบอกดาเนียลว่า “เธอจะตายก่อนสิ้นยุคที่จะมาเกิดขึ้น เธอไม่ต้องไปวุ่นวายกับมันมาก เพียงแต่จดๆ ไว้ ปิดๆ ไว้ เดี๋ยวข้างหลังมา เขาจะมาเปิดดูเอง เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเขาเอง พอเธอตายไป หลังจากนั้น เธอก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่นั้น ดาเนียลจะได้เป็นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรับมรดกของดาเนียล คือชัยชนะที่พระคริสต์ได้มอบให้กับท่าน คือชีวิตนิรันดร์ คือการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง คือครอบครองร่วมกับลูกๆ หลานๆ เหลนๆ ผู้ที่เชื่อในอนาคต คือปัจจุบันนี้ ก็คือคริสเตียนทั้งหลายที่ดาเนียลไม่รู้ว่ามีคริสเตียน ดาเนียลรู้ว่ามีพงศ์พันธุ์ที่จะมีประชาชาติที่จะเชื่อในพระเจ้าต่อจากเขา แต่เรารู้แล้วตอนนี้ว่าผู้ที่เป็นขึ้นจากความตาย ก่อนเรา คือใคร? เมื่อพระเยซูกลับมา เราก็จะเป็นขึ้นมาด้วย แต่ไม่ใช่เราเป็นก่อนนะ พวกดาเนียลเป็นก่อน หนังสือเธสะโลนิกาก็บอกไว้อย่างนั้น ดาเนียลจะเป็นขึ้นจากความตาย แล้วถ้าเรายังอยู่ เรายังไม่ตาย เราก็ลอยไปหาดาเนียล ไปหาพระเยซู แล้วเราก็ร่วมครอบครองพร้อมกัน ใครจะเป็นขึ้นก่อนไม่สำคัญ … สำคัญตรงที่ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์พร้อมกัน ระหว่างในอดีตจนถึงปัจจุบัน เอเมน
นี่คือความหวังของเรา นี่ดีที่สุดแล้ว นี่คือมรดก ในพระคัมภีร์เขียนตรงนี้ว่าเป็นมรดก ท่านรับมรดกของท่าน บอกดาเนียลว่า …
“เชื่อพระเจ้า แล้วตายไปเถอะ เธอพักผ่อนสงบไป เดี๋ยวถึงเวลา เธอก็มารับมรดกนิรันดร์”
เราก็เหมือนกัน ถ้าพรุ่งนี้เราตายไป พักสงบ เดี๋ยวถึงเวลา เราก็ไปรับ มรดกนิรันดร์
คำตอบของทูตสวรรค์ตรงนี้ ไม่ได้มาถึงดาเนียลแค่คนเดียว แต่มาถึงเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ด้วยว่าเราจะได้พักสงบ คือถ้าเผื่อเราตายก่อนวันสิ้นยุค เพราะฉะนั้น ท่านอยากตายไหมตอนนี้? ตายก่อนก็ดี จะไม่ต้องเข้าสู่ความทุกข์ยากลำบาก ไม่ต้องเข้าไปสู่วาระของการข่มเหงคริสเตียน อย่างรุนแรงก่อนสวรรค์นิรันดร์ลงมา แต่เราเลือกไม่ได้ เพราะพระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าท่านจะได้พักเมื่อไร? เวลาทำงาน ก็ทำไป ไม่อยากทำงาน ก็ต้องทำไป ถ้าไม่ทำ ก็จะถูกลากไปทำ
เราสรุปจากเรื่องราวทั้งหมดของดาเนียลที่เราเรียนรู้กันมา 22 ตอน ก็เพื่อจะโยงมาถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะหนุนใจพวกเราทุกคน ที่เชื่อในพระองค์ เหมือนที่พระองค์ทรงหนุนใจดาเนียลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นภายใต้มหาจักรวาลนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุม การกำหนดของพระองค์ทั้งสิ้น เอเมน โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ ก็เปรียบเหมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนบทและกำกับ ส่วนพวกเราแต่ละคน ก็เปรียบเสมือนตัวละครในบทบาทต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้แล้ว พวกเราก็มีหน้าที่เพียงแค่ดำเนินชีวิตไปตามบทบาทที่พระเจ้าวางไว้ ด้วยความอดทนและเชื่อฟังเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อฟังก็ทุกข์ทรมานมาก แต่ยังไงก็ต้องไปตามนั้นอยู่ดี เพราะฉะนั้น เชื่อฟัง ก็จะได้ลำบากน้อยหน่อย เพราะต้องตามนั้นอยู่ดีเหมือนกัน และบางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้ทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น ก็เพื่อนำไปสู่แผนการใหญ่ของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง คือให้พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ในชนชาติอิสราเอล ในช่วงอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง นี่คือแผนการใหญ่
แผนการใหญ่ ก็คือพระเยซูต้องมาตาย ที่ไม้กางเขน แผนการใหญ่ ก็คือมนุษย์ทุกคนต้องได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก
แผนการใหญ่ของพระเจ้าจะไม่เกี่ยวกับคนๆ หนึ่ง บนโลกใบนี้ แต่เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งมวล พระเจ้าทรงทราบดีว่าพระองค์ทรงกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร? และพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงอนุญาตให้ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ให้เป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น เราอาจจะไม่เข้าใจ เราอาจจะถามโน่นถามนี่ ผมจะบอกให้ ทุกครั้งที่เราไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่เราตั้งคำถาม ทุกครั้งที่เราบ่นว่าทำไม? เพราะเรากลัวและเราเห็นแก่ตัวนั่นเอง เพราะเชื้อบาปอยู่ในเรา แต่เป็นบาปที่ไม่สามารถกัดเราได้แล้ว มันยังอยู่กับเรา แต่มันไม่สามารถทำอันตรายเราได้แล้ว เพราะเราตายต่อบาปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ เอเมน
แต่ก่อนนี้ เราไม่เชื่อพระเยซู มันทั้งข่มขู่ ทั้งกัด ทั้งกินเรา ตอนนี้มันกัดเรา กินเราไม่ได้แล้ว มันได้แค่อยู่กับเรา และเห่าไปวันๆ หนึ่ง ไม่ต้องไปกลัวมันเลย
ประเด็นสำคัญ คือบางครั้งพระเจ้าทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบาก บางอย่างเกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ เพื่อนำไปสู่แผนการใหญ่ของพระองค์ แต่ละคน เข้าไปตามขนาด และหน้าที่ ตามกำหนดที่พระเจ้าวางไว้ให้แต่ละคน
การอยู่เพื่อพระคริสต์ คืออยู่เพื่อรับใช้ เพื่อแผนการใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จ คือมนุษย์ทุกคนมาถึงซึ่งความรอด จากบาป ในพระเยซู นี่คือความหวังใจ นี่คือความต้องการของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว พระองค์ต้องการจะรวบรวมผู้คนให้มากที่สุด ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ทั้งนั้น เป็นพระฉายของพระองค์ทั้งนั้น เข้ามาอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน ท่านเข้าใจไหม? ความทุกข์ทรมาน ที่ต้องเห็นลูกคนหนึ่งตกนรกไป มันทรมานมากมายอย่างไร? ท่านลองนึกภาพเอาเองแล้วกัน พระองค์ได้สัญญาแล้วว่าในขณะที่เราต้องอยู่ในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระองค์จะอยู่เคียงข้างเรา และคอยช่วยเหลือเรา
ทุกถ้อยคำของพระองค์ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ จะพูดอย่างนี้เสมอว่า …
“เวลาทุกข์เราอยู่กับเจ้านะ เราจะช่วยเจ้า”
“แล้วทำไมต้องมีทุกข์อยู่บ่อยๆ”
เพราะมันจำเป็นไง ใช้งานลูก … ลูกก็ต้องเหนื่อยสิ ก็จะใช้ ถ้าไม่ใช้ ก็เอากลับไปแล้ว ถ้ายังอยู่ ก็ต้องใช้ พระเจ้าก็จะบอกเราเสมอว่าทนแค่แป๊บเดียว …
“ไหนบอกทนแป๊บเดียวไง นี่ตั้งนานแล้ว ตั้ง 4 ปีแล้ว 10 ปีแล้ว 20 ปีแล้ว”
เราเทียบ 20 ปีกับอะไร? ขึ้นอยู่กับที่เราเทียบ แต่พระเจ้าบอกทนอยู่แป๊บเดียวเอง อีกนิดเดียว เพื่อแผนการของพระเจ้าจะได้สำเร็จ พระเจ้าใช้เราอีกแป๊บเดียว พระเจ้าเทียบกับสวรรค์นิรันดร์ ที่เราจะไปอยู่กับพระองค์ เราทุกข์แค่นี้ เทียบกันไม่ติดเลย เทียบได้ตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเทียบ เราก็จะสามารถเผชิญได้กับความทุกข์ยากต่างๆ นานา เหมือนกับผู้เชื่อต่างๆ มากมายที่พระเจ้าใช้เขา แล้วเขาก็ทนได้ เหมือนกับเปาโล เปโตร ตายก็ยังยอม ถูกตรึงที่ไม้กางเขนก็ไม่เป็นไร? เพราะเขาเทียบกับสิ่งที่เขาจะได้ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ซึ่งมีอยู่แน่นอน 100% เพราะเขารู้อยู่ในใจแล้วว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเสร็จแล้ว สวรรค์สร้างเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ทุกวันนี้เป็นของเราไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันเป็นของเราแล้ว เลยมีกำลังใจ
พระคัมภีร์บอกโลกใบนี้วิปริต ถ้าไม่วิปริตร พระเยซูคงไม่กลับมา เพื่อจะสร้างโลกใหม่ เขาจึงบอกว่า …
“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว
สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน
ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน
แต่ฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”
สวรรค์ใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว รอวันครบถ้วนบริบูรณ์ รอใคร? รอพี่น้องของเราอีก อาณาจักรพระคริสต์กำลังครอบคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ตามคำทำนาย สมัยดาเนียลไม่มีผิด และทุกคนที่เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ถูกปรับตัวให้เป็นทหารทุกคนเลย ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม
แล้วเรากำลังรออะไร? เรากำลังรอร่างกายใหม่ ร่างกายที่อยู่นี้ มันกำลังจะเน่าเปื่อยไปทุกวัน มันแก่ไปทุกวัน มันจะต้องตายไปในทุกวัน ค่อยๆ ตายไป ในที่สุด จะหมดลมหายใจ แต่วิญญาณที่เกิดใหม่ มันจะมีสง่าราศี เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วมันกำลังรอคอยร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันนั้น เราเป็นขึ้นมาใหม่ คือเราจะได้รับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งเป็นร่างกายที่จะไม่มีความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เหมือนทุกวันนี้ ไม่มีปัญหาอีกต่อไป นิรันดร์ ตอนนี้เราอยู่กับพระเยซู และพระเยซูก็อยู่กับเรา จะกี่วัน? กี่เดือน? กี่ปี? ขอพระเจ้าเมตตาช่วยให้เรามีความอดทนได้ พระองค์จะค่อยๆ พาเราอดทน เดินไปกับพระองค์ผ่านพ้นไปแน่ๆ เพราะไม่มีอะไรเกินกว่าที่เราจะรับได้ พระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นนั้น วิวรณ์ 21:1-5 สุดท้าย เราจบตรงนี้ว่านี่คือความหวังของเรา
วิวรณ์ 21:1-5 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไปเพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้”
เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***************************************