คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 7 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอน 3 “การกินการอยู่” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 7

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอน 3

“การกินการอยู่” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาฟังกันต่อ สำหรับซีรี่ย์ชุด แนวทางการดำเนินชีวิต 4 ขั้นตอน เชื่อแล้ว  รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน  และวันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่ 3 วางใจ ใช้ชื่อเรื่องว่า “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ” ตอนที่ 3 ในเรื่องวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ที่ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ เราได้เรียนรู้เรื่องการเชื่อและวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเรา ทั้งในเรื่องโลกวิญญาณและการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีทั้ง 2 ด้าน ซึ่งถ้าเราฝึกฝนให้วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเราได้ ในทุกเรื่อง ตามที่พระคัมภีร์สอนเอาไว้ เราก็จะได้รับสันติสุข ความสงบสุข สามารถอดทนรอคอยได้ตามเวลาของพระเจ้า ที่ทรงสัญญาไว้ในพันธสัญญาของพระองค์ คืออีกแป๊บเดียว อีกไม่นาน เราก็จะได้พักผ่อนอย่างมีความสุข ไม่ใช่สันติสุข มีความสุขนิรันดร์ รออีกแป๊บเดียว

วันนี้เราจะมาคุยกันต่อที่หัวข้อที่คุยค้างไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว คือวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในเรื่องการกิน การอยู่ และความร่ำรวยทรัพย์สมบัติ เกี่ยวกับโลกใบนี้ โดยตรง

หลักพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องการวางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ในเรื่องการกิน การอยู่ ในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ที่เราได้เรียนรู้ไปบ้างครั้งที่แล้ว หลักพื้นฐาน คือให้เชื่อตามที่พระคัมภีร์ได้บอกเอาไว้ว่ามันเป็นอย่างไร? ทัศนะคติเป็นอย่างไร? พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราจำเป็น ในการดำเนินชีวิตไว้บนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ตามความจำเป็นของเรา ผู้สรุปความจำเป็นนี้ คือพระเจ้า

ในถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูพูดในหนังสือมัทธิว บทที่ 6 ครั้งที่แล้ว เรายกขึ้นมา พระเยซูบอกดูนกในอากาศซิ แล้วก็ไม่ให้เราแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ แต่บอกว่าพระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่าท่านต้องการอะไร? หรืออะไรที่จำเป็นในชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านจำเป็นต้องได้รับอะไร? พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินว่าความจำเป็นของเราคืออะไร? ใน 2 โครินธ์ 9:8 ครั้งที่แล้วเราก็ได้อ่านข้อความนี้ เรามาอ่านอีกครั้งหนึ่งว่าพระองค์ทรงตรัสไว้อย่างไรว่าเราจำเป็น มันเป็นลักษณะอย่างไร?

2 โครินธ์ 9:8 “พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

 

“เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่างที่จำเป็น”

แสดงว่าการมี ก็มีความจำเป็นบางอย่าง บางครั้งก็ไม่จำเป็น ทำดีเกินไป  เพื่อตัวเอง ไม่ใช่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า และครั้งที่แล้ว เราได้เรียนถึงเคล็ดลับ จากอาจารย์เปาโล อยู่ในฟีลิปปี 4:12-13

ฟีลิปปี 4:12-13 “12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือ เป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

แต่ก่อนที่เราจะสามารถฝึกตามเคล็ดลับนี้ เราต้องเข้าใจในพื้นฐานของความจริงก่อน ตามหลักพระคัมภีร์ว่าคืออะไร? จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลมา พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้มีแต่ความสุข ไม่ใช่ความสุขอย่างเดียว แถมความสบาย อยู่ท่ามกลางสิ่งดีๆ และสิ่งสวยงาม เป็นมนุษย์ที่ครอบครองทุกอย่าง ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เจ้าของอย่างเดียว เป็นเจ้านายของสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น

ตรงนี้จึงเป็นธรรมชาติวิสัย จิตใต้สำนึกของมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ ก็ยังอยู่ ในจิตใต้สำนึกเรา พระเจ้าสร้างไว้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่มนุษย์ทุกคนอยากจะร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ในการงาน อยากจะเป็นนายคน อยากอยู่อย่างสบายๆ ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ไม่ต้องลำบากลำบนทำมาหากิน ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในจิตใต้สำนึกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ ตั้งแต่เมื่อตอนเริ่มต้น ก่อนจะล้มลงไปในความบาป และคำสาปแช่ง

เป็นเพราะว่ามนุษย์ได้ล้มลงไปในความบาป ตกอยู่ในความสาปแช่งไปแล้ว โลกทั้งใบ จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับที่อยู่ในใจของเรา  เราอยากสบาย แต่ข้างนอก มันมีแต่ความทุกข์ทั้งหมด แต่มันเป็นเรื่องจริง มันต้องฝืนกันไง พื้นฐานเหล่านี้เราต้องเรียนรู้ เพื่อจะรู้ว่าเราควรจะอยู่อย่างไร? ท่ามกลางสิ่งที่เป็นความจริงเหล่านี้ ที่พระเจ้าสอนเรา หลายๆ คน ถึงแม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว คริสเตียนหลายคน รวมทั้งเราด้วย ก็ยังคงถูกชักจูงด้วยจิตใต้สำนึกนี้ คืออยากจะสุขสบาย อยากประสบความสำเร็จในการงาน อยากครอบครองสมบัติ อยากจะเป็นเจ้านายของสรรพสิ่ง ก็เลยตีความสิ่งที่ตัวเองอยากได้ให้มันเข้าข้างตัวเอง นี่หมายถึงคนที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว

เช่นพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสามารถกระทำให้ทุกสิ่งตามที่เราจำเป็น พระเจ้าบอกว่าอย่างนั้น ก็ไปแปลเองว่าหมายถึงพระเจ้าจะให้ทุกสิ่งที่เราอยากได้ เอาจำเป็นออกไปซะ ใส่คำว่าอยากได้ ในใจเราอยากได้อย่างนั้น รวมทั้งความร่ำรวย ทรัพย์สมบัติเงินทองด้วย  อยากได้ พระเจ้าสัญญาว่าจะจัดเตรียมความร่ำรวยไว้ให้อย่างไรล่ะ พระคัมภีร์บอกว่าเราจะได้รับสันติสุข ได้รับความสงบสุข ก็ไปแปลเอง ไปเข้าใจเองเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากได้  คือเราจะได้ความสุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนักแล้ว พระเยซูบอกมาพัก หายเหนื่อย และเป็นสุขแล้ว เข้าข้างตัวเอง

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปให้สำเร็จ ฟีลิปปี 1:6 ก็ไปตีความว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะทำธุรกิจสิ่งไหน ก็ตามบนโลกใบนี้ พระเจ้าจะประทานความสำเร็จให้กับฉันอย่างแน่นอนง่ายๆ ฮาเลลูยา เพราะพระเจ้าอยู่กับฉันแล้ว เห็นอะไรบางอย่างไหม?

รวมความ คือคิดเองตามที่จิตใต้สำนึกตัวเองต้องการนั่นเอง คือเหมาเอาเองว่าพระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน เพื่อเราแล้ว เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบสบายๆ ตามที่จิตใต้สำนึกเราอยากได้ด้วย ผู้เชื่อหลายคนจึงถูกชักจูง ทั้งจิตใต้สำนึกของตัวเอง บวกกับการล่อลวงของมารอีกต่างหาก ถามว่ามารทำอย่างไร? ล่อลวงเพื่ออะไร? ก็เพื่อที่จะต้องการทำลายข่าวดีของพระเยซูคริสต์ให้เสียหาย ให้มันวิปริตด้วย มันดันเราให้ทำในสิ่งที่ไม่มีทางได้ แล้วทำให้เราเบื่อหน่าย พระเยซูไม่จริง ข่าวดีของพระเยซู ข่าวประเสริฐของพระเยซูก็เลยเสียหาย โดยการล่อลวงผ่านทางกิเลสตัณหา ทางฝ่ายเนื้อหนัง จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด หลงผิด โดยไม่เจตนา ผู้เชื่อหลายคนไม่ได้เจตนา แต่มันเป็นมาเองโดยอัตโนมัติ จากข้างใน และจากมารที่อยู่รอบข้าง ทำงานอยู่บนโลกใบนี้ พยายามผลักดันให้เราไปเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงผู้เชื่อ

มีการประกาศว่าพระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินแน่ แม้เราก็ยังเคยสอนอย่างนั้น พระเยซูทรงกระทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พระองค์ได้แบกรับเอาบาป แทนพวกเราแล้ว รวมทั้งรับเอาความยากจน ความลำบาก ความขัดสน ปัญหาทุกอย่างในชีวิต แทนเราด้วย เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน ต้องไม่ลำบากไม่ขัดสนแล้ว ผู้เชื่อทุกคนได้รับความร่ำรวย ในทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ อย่างเรียบร้อยไปแล้วด้วย ให้ใช้สิทธิของตนเองในฐานะผู้เชื่อ อ้างพระนามพระเยซูเลย เรียกร้องสิทธิเอาเองเลย และถ้าความเชื่อเรามีมากพอ เราจะต้องได้รับอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มีบางคนเริ่มต้นประกาศแบบนี้

เพราะจากความเข้าใจผิดอย่างที่ตะกี้นี้บอก ได้รับการสอนต่อๆ กันมาเรื่อยๆ แล้วอีกอย่างหนึ่ง จิตใต้สำนึกเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็เลยหลงไป ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงใคร พอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ได้มารู้ความจริง ได้มาเข้าใจทีหลัง หลายคนก็หยุด หันหลังกลับ และเปลี่ยนท่าทีในการประกาศความเชื่อ ในพระคัมภีร์เสียใหม่ ในเรื่องข่าวดีของพระเยซู แต่ว่าก็ยังมีบางคน ที่ถึงแม้จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถสู้กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังได้ ยังคงดำเนินการต่อไป จากเดิมที่ทำไปโดยไม่ได้เจตนาจะหลอกลวง ก็กลายเป็นมีเจตนาเป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้เลย เป็นไปตามเจตนารมณ์ข้างใน กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง และการโกหกหลอกลวงของมาร ก็เลยทำไป ใน 1 ทิโมธี 6:9-10 ก็เลยบอกว่าทำต่อไป มันจะเกิดอะไรขึ้น

1 ทิโมธี 6:9-10  “9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน  เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง  เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ  บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว  ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

เพราะการรักเงินความสุขสบายบนโลกใบนี้นั่นแหละ  เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะความอยากที่จะได้   อยากที่จะมีทรัพย์สมบัติ ความสะดวกสบายบนโลกใบนี้ นั่นแหละ เป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ เห็นแก่สิ่งเหล่านี้ เห็นแก่ความสบายนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทำให้ตัวเองต้องปวดร้าวแทน ทำให้คนอื่นปวดร้าวไปด้วย  ด้วยความทุกข์โศกนานาประการ มันฟังดูแล้วเฉยๆ นะ แต่ลองคิดไปเรื่อยๆ นี่พูดถึงผู้เชื่อด้วย ชัดๆ เลยนะ

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมเอง และเราในคริสตจักรแห่งนี้ เลิกการเทศนา และไม่สนับสนุนการบรรยายเทศนาข่าวดีแบบเน้นย้ำความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทองแบบนี้อีกต่อไป หลายคนเข้าใจผิด เดี๋ยวนี้ผมความเชื่อลดลงแล้ว ไม่สอนเรื่องความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่จะทำให้ท่านเกิดสันติสุขและเป็นความจริงมากกว่า อยากให้ท่านมีสันติสุขและความจริง ไม่อยากให้ท่านต้องพบกับความทุกข์โศกต่างๆ นานา ความปวดร้าวระทม

พระคัมภีร์สอนให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกสิ่ง ซึ่งรวมทั้งความร่ำรวย  ทรัพย์สินเงินทอง ที่พระองค์ทรงประทานให้ ทรัพย์สินเงินทองไม่ได้เป็นรากเหง้า ไม่ได้เป็นความชั่วร้าย แต่การรักเงินทองและความโลภต่างหาก คืออยากได้ แต่ไม่ได้มาจากพระเจ้านั่นแหละ เป็นความชั่วร้าย และถ้าเราไม่หยุดมัน เราก็จะประสบกับความปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานับประการ ทุกข์จริงๆ เกือบทุกท่านในที่นี้ก็คงจะพอทราบว่าตัวผมเอง เคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาเยอะ เคยผ่านประสบการณ์ในการประกาศ แบบที่เล่าให้ฟัง เมื่อตะกี้นี้ แล้วพระเจ้าก็สอนผม สอนอย่างไร? สรุปก็คือให้สามารถขอบคุณ พอใจตอนร่ำรวย อันนี้ใครๆ ก็ทำได้  ไม่ต้องสอนแล้วนะ  ให้สามารถขอบคุณ พอใจตอนร่ำรวย และสามารถรับได้ ขอบคุณได้ในยามขัดสน ในยามเป็นหนี้สินเขา พระเจ้าได้สอนให้ผม มีความเข้าใจในเรื่องความพึงพอใจในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ เพื่อที่จะสามารถวางใจ มอบทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ไว้ที่พระองค์ให้เป็นผู้นำทางได้ แล้วผมก็พบความจริงแล้วว่าสันติสุข ที่ได้รับนั้นมีมากกว่าความสุขและสันติสุข ที่เคยได้รับจากการพยายามด้วยตัวเองมากมายเหลือเกิน มากกว่าเยอะเลย ฮาเลลูยา อยากจะบอกขอบคุณพระเจ้ามาก

ถ้าใครมาสัมภาษณ์ส่วนตัว ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ ตลอดระยะเวลาประมาณ 10 กว่าปีมานี้ ผมไม่ได้มาบรรยายวันนี้ ไม่ได้มาพูดความจริงวันนี้ ที่จะต่อต้านคนที่มั่งมี ร่ำรวย ไม่ใช่ ผมขอบคุณพระเจ้า สำหรับคนที่มั่งมีร่ำรวย แต่ผมต่อต้านคำสอนที่ว่าพระเจ้าได้ทำให้ท่านร่ำรวยแล้วในพระเยซูคริสต์ ผมต่อต้านตรงนี้มากกว่า ตรงนี้มันไม่จริง ถ้าท่านร่ำรวย เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้ท่านร่ำรวย ผมยินดีด้วย สนับสนุนด้วย ฮาเลลูยาด้วย แต่ผมกำลังต่อต้านคำสอนที่บอกว่าพระเจ้าได้ทำให้ท่านผู้เชื่อร่ำรวยเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เรียกร้องสิทธิ์ของท่านเลย เอาความร่ำรวย ซึ่งเป็นของคุณแล้ว ที่พระเจ้าทำให้แล้ว ทวงคืนจากมารเลย สั่งมารให้มันปล่อย เอาความร่ำรวย มาให้ฉัน ด้วยความเชื่อที่ท่านต้องสร้างขึ้นมาเอง ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม?

เงื่อนไข คือคุณต้องมีความเชื่อให้พอ ต้องเชื่อมากขึ้น ต้องพยายาม ถึงจะได้รับ พระเจ้าพร้อมที่จะให้คุณแล้ว หรือบางท่านบอกว่าได้ให้แล้วด้วย เพียงแต่คุณเชื่อไม่พอ เลยยังไม่ได้ พระองค์ทรงให้เรียบร้อยแล้ว ใช้นามพระเยซูคริสต์เลย อ้างเลย  ซึ่งคำสอนเหล่านี้ มันไม่ใช่ความจริงตามพระคัมภีร์ พูดเพราะว่าผ่านมาแล้ว 10 กว่าปี 20 ปีแล้ว มันไม่ใช่ พระสัญญาของพระเจ้าที่จะทำให้คุณร่ำรวย มั่งมีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ไปอ่านพระคัมภีร์จะเห็นชัดเจน ยอมนิ่งๆ สงบใจลง ถ่อมใจลง อธิษฐาน แล้วก็ค่อยๆ อ่านพระคัมภีร์ไป ท่านจะพบความจริงอย่างแน่นอน ผมมั่นใจเลย คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเชื่อพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในท่าน หรือจะเชื่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่มารส่งเข้ามาจากข้างนอก เข้ามาในความคิดของท่าน ยังอยากจะสุขสบาย อยากจะตรงนี้อยู่ อยากตรงนั้นอยู่ ท่านจะเชื่อใคร?

พระสัญญาของพระเจ้า คือพระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เราจำเป็น นี่คือพันธสัญญาของพระเจ้า พื้นฐานของข่าวประเสริฐ พระองค์ได้จัดเตรียมทุกสิ่งที่เราจำเป็นให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็น สำหรับแต่ละคน ส่วนสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือจากความจำเป็น มีไหม? มี ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของพระองค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา มันเกินความจำเป็น แต่ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาตอนนี้ พระเจ้าจะจัดเตรียมให้ เพราะเขาจำเป็นแล้ว ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินว่าพระองค์จะประทานอะไรให้ใครเมื่อไร? อย่างไร? เป็นหน้าที่ของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้าตามพื้นฐานทั่วๆ ไป ผู้เชื่อทั้งหลาย ตามที่พระเยซูบอก พระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้า แล้วว่าเราจำเป็นต้องมีอะไร? และพระองค์ทรงเตรียมสิ่งที่เราจำเป็นไว้ให้แล้ว พอแล้ว เพราะฉะนั้น ความจำเป็นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราต้องอธิษฐาน พออธิษฐาน ก็เกิดความจำเป็น ไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่เราไปอธิษฐานเยอะๆ หรือเรียกร้องสิทธิ์ของเรามากๆ ใช้ความเชื่อ เพิ่มพูนพลังความเชื่อเราเยอะๆ ในเรื่องใดๆ แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ใช้คอมมอนเซ้นต์แค่นี้ ก็เห็นนะว่ามันมีเหตุมีผลว่ามันควรจะเป็นเช่นไร มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านได้สร้างความเชื่อมากเท่าไรด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเลย ผมประสบการณ์ก่อนหน้านั้น อธิษฐานๆ เรียกร้องสิทธิอะไรต่างๆ บางครั้งมันก็ได้นะ แต่หลายครั้งมันไม่ได้ ก็เลยสงสัยว่าทำไมหลายๆ ครั้งมันไม่ได้ สร้างความเชื่อมากเท่าไร มันก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย พอตอนหลังเลิกเชื่อแบบนี้ มาวางใจในพระเจ้ามากกว่า ไม่อธิษฐานเลย กลับได้มากกว่าอีก มันมาได้อย่างไร? นี่แหละคือสิ่งที่เป็นประสบการณ์จากพระคัมภีร์จริงๆ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

หรือบางคน พยายามเขย่าบัลลังก์พระเจ้า ไม่อย่างนั้น พระพรไม่ได้ ความร่ำรวยไม่สำเร็จ เพราะคุณเขย่าไม่พอ ต้องเขย่ามากกว่านี้ เขย่าด้วยวิธีอะไร? อดอาหารเลย เขย่าเลย  พระเจ้าทนไม่ไหวหรอก เห็นลูกของพระองค์ทรมานอย่างนี้ ต้องให้แน่ๆ อัดเข้าไปๆ คุ้นๆ ไหม? ยังมีอีกเยอะ จำไม่ได้ดีกว่านะ ดีกว่าจำได้ จำแล้วน่าขำ แต่ตอนที่คนทำอยู่นั้น ไม่น่าขำ เขาเอาจริงนะ ทุกข์ทรมานจริง ตามพระคัมภีร์เลย พยายามเขย่าบัลลังก์ของพระเจ้าหน่อย เดี๋ยวพระเจ้ารำคาญให้เอง เคยได้ยินใช่ไหม? พยายามตื้อหน่อย อธิษฐานทุกวัน เดี๋ยวพระเจ้ารำคาญ จะให้เราเอง

หรือบางคนสอนว่าให้เราถวายออกไปเยอะๆ ยิ่งถวาย ยิ่งจะได้รับกลับมา ให้ออกไปรับใช้เยอะๆ เอาเวลาให้กับพระเจ้าเยอะๆ ออกไปประกาศเยอะๆ นำผู้คนมาเชื่อพระเจ้ามากๆ จะได้พระพรตรงนี้  หรือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแม้กระทั่ง เรารักพระเจ้ามากเท่าไร? คุณต้องรักพระเจ้ามากๆ พระเจ้าถึงจะประทานความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง เปล่าเลย ความรักในพระเจ้า เป็นความรักที่พระเจ้าประทานให้กับเรา เราไม่มีทางรักพระเจ้าได้เลย จนกว่าพระเจ้าจะรักเราก่อน แล้วประทานวิญญาณแห่งความรักมาให้เราเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งความรัก แล้วเราจึงรักพระเจ้า ตอบแทนได้  และรักตลอดไปเลย รักเท่ากับทุกคน ถ้าใครเกิดใหม่ก็รักพระเจ้าเท่ากัน หรือแม้กระทั่ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้เชื่อคนนั้น ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อตามพระคัมภีร์ ขยันหมั่นเพียร ประหยัดตามพระคัมภีร์ ตามถ้อยคำของพระเจ้าทุกอย่างเลย เชื่อฟังทุกอย่างเลย แล้วจะต้องร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง ประสบผลสำเร็จในชีวิตแน่นอนบนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่? ตอบว่าไม่ใช่ ต่อให้คุณรักษาทุกอย่างให้เรียบร้อย ดีหมดแล้ว

หลายครั้งเราก็เกิดวิกฤตในชีวิตเหมือนกัน โลกใบนี้โควิดเกิดขึ้น อยากถามว่าโควิดเกิดทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ประสบเหมือนกันไหม? เหมือน เอาเฉพาะคนเชื่ออย่างเดียว คนที่เชื่อน้อยกับคนที่เชื่อมาก คนที่อธิษฐานน้อย คนที่อธิษฐานมาก ประสบเหมือนกันไหม? ก็เหมือนกัน ก็อยู่ในโลกใบนี้ อยู่ในที่เดียวกัน เขาเดือดร้อน เราก็ต้องเดือดร้อนด้วย เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ แต่เรามีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราภายใน พระองค์จะทรงนำเราเดินไปทีละก้าวๆ และเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับชีวิตของเรา ให้เราวางใจในพระองค์ ตรงนี้มากกว่า ที่เราควรจะสังเกต และใช้คอมมอนเซ้นต์ในการไตร่ตรองดู หรือที่บางคนอธิษฐานบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า ลูกกำลังจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”

ถามว่าเวลาเราอธิษฐานว่าจำเป็น ต้องการสิ่งนี้ ความจำเป็นนี้ มันตรงกับความคิดของพระเจ้าว่าเราจำเป็นหรือไม่? หรือเราบอกจำเป็น แต่พระเจ้าบอกไม่เห็นจำเป็นเลย  นึกออกใช่ไหม? มันตรงกับความจำเป็นที่พระเจ้าคิดหรือเปล่า?  ความพอเพียงของท่าน มันเหมือนกัน หรือเท่ากันกับความพอเพียงที่พระเจ้าคิดให้กับท่านหรือไม่? ท่านบอกแค่นี้ ไม่พอเพียง แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่าท่านพอเพียง หรือท่านอาจจะบอกว่าแค่นี้ เราพอเพียง พระเจ้าบอกเท่าที่เธอมี พอเพียง มันคือร่ำรวยแล้ว ความคิดของมนุษย์ จะไปเทียบอะไรกับความคิดของพระเจ้า พระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดี เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ อย่างที่บอกแล้ว เราวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ และถ้าเราวางใจในพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดใจได้อย่างนี้ พระเจ้าจะพาเราไปที่ร่ำรวยที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แน่นอน บางคนอาจจะถามทำไมตะกี้บอกพระเจ้าไม่พาไปในความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งบนโลกใบนี้ พระเจ้าพาไป  แต่ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งบนโลกใบนี้ในทัศนคติของพระเจ้า มันไม่เหมือนกับที่เราคิด ความคิดของมนุษย์คิดว่าความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง คือมีทรัพย์สิน ร่ำรวย มีชื่อเสียงใหญ่โต ประสบผลสำเร็จ ทำอะไรก็สำเร็จหมดทุกอย่าง เป็นเจ้าคนนายคน อยู่สบายๆ นั่นคือความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ แต่พระเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามทัศนคติของพระเจ้า คือผมคิดออกมาให้ชัดเจนเลย เอาไปจำเป็นตัวอย่าง เอาไปท่องก็ได้ คือทัศนคติของพระเจ้าในการเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมั่งคั่ง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือมีเงินทอง แต่ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนไม่มีเงินทอง ไม่มีเงินทอง แต่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็เหมือนมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล เอาเกลับไปคิดดู ค่อยๆ เอาไปมองดู และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่าน ท่านจะเห็นอะไรบางอย่างว่าความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในทางพระเจ้า มันคืออะไร?  พระองค์กำลังพาเราไปที่นั่นแหละ เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในโลกเลย

เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าคนนี้รวย หรือไม่รวยในทางพระเจ้า ง่ายนิดเดียว คนที่ร่ำรวยในทางพระเจ้า จะมีอาการให้ออกไป แจกจ่ายออกไป แบ่งปันออกไป แล้วไม่กังวลกับการสั่งสมทรัพย์สมบัติเอาไว้บนโลกใบนี้ ไม่กลัวหมด แต่ละคนที่มั่งมี ในทางพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ กระซิบให้ คราวนี้ใครอยากร่ำรวยในทางพระเจ้า พระเจ้ากำลังพาเราไปตรงนี้แล้ว ไม่ยาก ง่ายด้วย พึ่งพระเจ้า

อยากถามว่าคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้า ที่มีความมั่งมี ร่ำรวย แบบโลก กับคริสเตียนที่แบบโลกเรียกว่ายากไร้ ยากจน ท่านคิดว่าอย่างไหนมีมากกว่ากัน? พูดง่ายๆ ว่ามองตามตามองเห็นในโลกใบนี้ คริสเตียนที่รวยและประสบผลสำเร็จ ในกิจการงาน กิจการเงิน มีชื่อเสียงร่ำรวยมหาศาล มีกี่คน และคริสเตียนที่ยากไร้ ยากจน ไม่มีบ้านจะอยู่ อยู่กระต๊อบมีกี่คน? ใครมากกว่ากัน? นี่ก็คอมมอนเซ้นต์เหมือนกัน ท่านสามารถมองดูได้ แล้วก็ถามพระเจ้าดูว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เดี๋ยวพระเจ้าก็จะบอกท่าน ตามที่ผมได้นำพาท่านมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพื้นฐานมันควรจะเป็นอย่างไร?

เรามาเรียนรู้กันต่อถึงทัศนคติของอาจารย์เปาโลในเรื่องการกิน การอยู่ และทรัพย์สินเงินทอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าอาจารย์เปาโลสอนให้เราคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทัศนคติอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ทิโมธี 6:1-5 บอกเอาไว้อย่างนี้ชัดเจนมากเลยนะ

1 ทิโมธี 6:1-5 “1 คนทั้งปวงที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส พึงถือว่าเจ้านายของตนสมควรได้รับความเคารพนับถืออย่างเต็มที่ เพื่อจะไม่มีใครมาว่าร้ายพระนามของพระเจ้า และคำสอนของเราได้ 2 ส่วนคนที่มีเจ้านายเป็นผู้เชื่อ  ก็ไม่ควรจะแสดงความนับถือต่อเจ้านายน้อยลง  เพราะเหตุที่เป็นพี่น้องกัน ตรงกันข้าม เขาควรจะรับใช้เจ้านายให้ดียิ่งขึ้น เพราะคนที่ได้ประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้เชื่อ และเป็นที่รักของเขา ท่านจงสั่งสอนและกำชับให้เขาทำเช่นนี้ 3 ถ้าผู้ใดสอนหลักข้อเชื่อเท็จ และขัดกับคำสอนอันมีหลักขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา และคำสอนในทางพระเจ้า 4 ผู้นั้นก็จองหอง ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย เขามัวแต่หมกมุ่นกับการถกเถียงโต้แย้งเรื่องคำต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการอิจฉา การแก่งแย่งชิงดี การใส่ร้าย การระแวงกันอันร้ายกาจ 5 และการบาดหมางแตกร้าวระหว่างผู้มีใจเสื่อมทราม ซึ่งถูกฉกชิงความจริงไป และคิดว่าทางพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทำกำไร”

 

ครั้งที่แล้ว ได้เรียนรู้เรื่องเคล็ดลับของอาจารย์เปาโลในเรื่องนี้ คือการเรียนรู้จักการพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ขัดสนหรือร่ำรวยก็ตาม เมื่อตะกี้นี้ใน 1 ทิโมธี 6:1 ที่บอกคนทั้งปวงที่อยู่ใต้แอกของความเป็นทาส คือคนที่เชื่อพระเจ้า แล้วเป็นทาสอยู่ ไม่ใช่เป็นคนงานแบบพนักงานบริษัท แต่เป็นทาส สมัยก่อนยังมีทาสอยู่ ทาสก็คือเป็นทาส หนักกว่าผู้รับใช้ หนักกว่าการเป็นพนักงาน คนที่เชื่อและเป็นทาสอยู่ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้ใช้นามพระเยซูสั่งการให้เราเป็นอิสรภาพ เพราะพระเยซูปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว ปลดปล่อยเราที่ไม้กางเขน เรียบร้อยแล้ว เราเป็นไทแล้ว ในนามพระเยซู พระวิญญาณอยู่ที่ไหน เราเป็นอิสระที่นั่น เราเป็นไทแล้ว ใช่หรือไม่? อ่านดู ไม่ใช่ คนที่เป็นทาสอยู่ ก็จงเป็นทาสต่อไป ไม่ใช่เป็นทาสธรรมดา แถมได้ทำให้เจ้านาย ที่ไม่ใช่คริสเตียน สมควรได้รับความเคารพอย่างเต็มที่ มากกว่าเดิมอีก ตั้งใจกว่าเดิม  ทำให้เขาดีกว่าเก่าด้วย เพราะเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสมควรทำอย่างนั้น เพื่อว่าพระนามของพระเจ้าได้รับเกียรติ

แสดงว่าอาจารย์เปาโลจะบอกทาสคนนี้ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว จงพึงพอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือเป็นทาสเขา มันรวยที่ไหน แค่เราเป็นพนักงานบริษัท ในสภาวะเงินเดือนที่ต่ำที่สุด  แค่นั้น เราก็รู้สึกด้อยแล้ว  มาเชื่อพระเจ้าแล้วทำไมยังทำงานบริษัทนี้ ได้เงินเดือนนิดเดียวเอง พระเจ้าให้พระองค์ได้รับเกียรติหน่อย ยกลูก โปรโมทลูกให้ขึ้นมา ให้ได้รับเงินเดือนสูงหน่อย อย่างนั้นหรือ? ลองเอาไปคิดดูเองว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร?

ส่วนคนที่มีเจ้านายเป็นผู้เชื่อ ก็ไม่ควรแสดงความนับถือต่อเจ้านายน้อยลง เพราะเหตุที่เป็นพี่น้องกัน ตรงกันข้าม ควรจะรับใช้เจ้านายให้ดียิ่งขึ้น  เพราะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้เชื่อและที่รักของเขา ท่านจงสั่งสอนและกำชับเขาให้ทำเช่นนี้ ตะกี้นี้นายไม่เชื่อพระเจ้า แต่ตอนนี้นายเชื่อพระเจ้าแล้ว ฮาเลลูยา ต่อไปนี้งานเราเบาลงแล้ว เพราะนายก็เชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นพี่น้องกันในฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ เราเท่ากันหมดแล้ว พอเจ้านายจะสั่งให้ทำงาน สั่งผมได้อย่างไร? เราเท่ากันแล้วนะ  เราเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ อย่าซ่านะ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษหรอก ลงโทษเจ้านาย ขู่เจ้านายอีก ยิ่งถ้าเจ้านายมาเชื่อทีหลัง ยิ่งไปกันใหญ่เลย ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าการหาประโยชน์ จากข่าวดีของพระเยซู มาเป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่พระเยซูบอกไม่ใช่เลย เจ้านายมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งดีใหญ่เลย รับใช้ให้มากกว่าเดิมเลย เพราะว่าสิ่งที่เรากระทำ รับใช้อยู่ เป็นประโยชน์ เป็นผลดีให้กับเจ้านายที่เป็นที่รักของเราด้วย เพราะว่าเป็นพี่น้องของเราในพระคริสต์แล้ว ทำให้มากขึ้นเลย เห็นอะไรบางอย่างไหม? คอนเชป ทัศนคติอะไรในชีวิตบางอย่างที่เกี่ยวกับความสุขสบายบนโลกใบนี้  เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ควรจะเป็นเช่นไร มันควรจะเห็นชัดและตาเปิดออกได้แล้วสักทีหนึ่ง

“ท่านควรจะสั่งสอนและกำชับให้เขาทำเช่นนี้ ถ้าผู้ใดสอนหลักข้อเชื่อเท็จและขัดคำสอน อันมีหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา และคำสอนในทางพระเจ้า ผู้นั้นก็จองหอง ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย  เขามัวแต่หมกมุ่นในการถกเถียง โต้แย้งเรื่องคำต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดการอิจฉา การแก่งแย่งชิงดีกัน ใส่ร้าย การระแวงกัน อันร้ายกาจ

ข้อที่ 5 สำคัญเลยนะครับ … “และการบาดหมาง แตกร้าวระหว่างผู้ที่มีใจเสื่อมทราม ผู้ที่มีใจเสื่อม ก็คือเอาข่าวดีของพระเจ้าไปบิดพลิ้ว ถูกฉกชิงเอาไปจากความคิดจิตใจของเขาแล้ว และเมื่อไม่มีความจริง และคิดว่าทางของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นช่องทางหาเงินทอง หากำไร หาประโยชน์ใส่ตัว หาความสำเร็จ หาความเจริญรุ่งเรือง ท่านพอจะเห็นภาพหรือยัง?

เพราะฉะนั้น เราผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้สอนหรือไม่สอนก็ตาม เหมือนเราสอนไปในตัว ชีวิตของเราเป็นแบบอย่าง เราต้องคอยหมั่นสังเกตตัวเองว่าเรากำลังใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน แสวงหาประโยชน์ส่วนตัวหรือเปล่า? ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ เพราะมันมีโอกาสเป็นไปได้มาก เพราะมันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราอยู่แล้ว ที่เราอยากจะได้ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิต มันมีโอกาสมาก

ทางของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า คือในโลกฝ่ายวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระพรทางฝ่ายวิญญาณมากมาย ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ นานัปการเยอะไปหมด พระวิญญาณก็สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเราแล้ว และอะไรต่างๆ ที่เตรียมตัว เตรียมพร้อมให้กับเราในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้วนั้น มันควรทำให้เราพึงพอใจได้แล้ว ทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว ถ้าเราพึงพอใจในโลกฝ่ายวิญญาณ พระพรทางฝ่ายวิญญาณที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เราเป็นพี่น้องกับพระเยซูแล้ว ไม่มีใครจะเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว มันไม่ควรจะมีอะไรที่สำคัญและมีค่ามากกว่านี้อีกแล้ว เหมือนที่พระเยซูบอกว่าไข่มุกเม็ดงาม เราได้แล้ว เราขายหมด ทิ้งทุกอย่าง เพื่อรักษาตรงนี้ไว้ เราควรจะสังเกตตรงนี้มากกว่า ในทางพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราควรจะคอยสังเกตดูว่าเราพึงพอใจในข่าวดีของพระเจ้าถูกต้องไหม? เราใช้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนหรือเปล่า?

ยกตัวอย่างว่าเราคอยสังเกตหรือไม่ว่าเมื่อไรเจ้านายจะขึ้นเงินเดือนให้เราสักที อธิษฐานมาตั้งนานแล้ว  คนข้างๆ เขาไม่เชื่อพระเจ้า เขายังได้ขึ้นเงินเดือนเลย 6 เดือนข้างหน้า เราควรจะได้รับเงินเดือนขึ้นแล้วนะ เราทำอย่างถูกต้องหมดทุกอย่าง เราก็อธิษฐานเยอะแล้ว             เราไม่ควรจะคอยสังเกตอย่างนี้ถูกไหม? ถ้าเราสังเกตอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่พอใจ เรากำลังใช้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ใส่ตัวแล้ว นี่มันเห็น ถึงมันยังไม่ชัด แต่ว่าอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะชัดขึ้นแล้ว ไม่ใช่คอยสังเกตว่าเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว เมื่อไรจะร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขาสักที วันๆ หนึ่ง อธิษฐานไป ฟังถ้อยคำพระเจ้าไป ก็คิดไป เมื่อไรพระเจ้าจะให้เรารวยเหมือนคนข้างบ้านสักที เหมือนคนอื่นเขาสักที ไม่ใช่คอยสังเกตว่าเวลาเราถวายเงิน เวลาเราให้กับพระเจ้า ก็คอยหวัง สังเกตว่าให้ออกไปแล้ว เมื่อไรจะได้รับกลับคืน มองในท้องฟ้า มองไปในโลกวิญญาณ หลับตาไปก็เห็นใบหน้าเธอ ใคร? ธนบัตรลอยมา เพราะเราให้ออกไปแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า? เราสังเกตอย่างนั้นไหม? หรือให้เวลารับใช้พระเจ้า ให้อะไรต่างๆ ที่เราคิดว่าเราถวายพระเจ้า จะเป็นเวลาอธิษฐาน หรือถวายทรัพย์ หรือรับใช้อะไรก็ตาม เราคอยสังเกตไหมว่าเมื่อไรพระเจ้าจะอวยพรเรากลับคืนสักที ใช่ไหม? และคนก็ชอบพูดอย่างนี้ คนอื่นก็ชอบพูดอย่างนี้

“มาคริสตจักรเป็นประจำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะอวยพร”

คำว่า “อวยพร” นั้นคืออะไร? เราคิดเองอีกว่าใช่พระเจ้าอวยพรจริง แต่อวยพรให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เป็นไปตามสิ่งที่พระองค์คิดว่าดี ไม่ใช่อวยพรไปตามเราคิดอยากได้ ก็ใส่กันใหญ่เลย มาโบสถ์เป็นประจำทุกอาทิตย์ จะได้รับพระพร จำไว้เลยว่าต่อไปนี้ใครบอกว่าเราจะได้อะไรจากการกระทำของเรา จงตอบไปเลยว่าเราจะได้รับพระพรตามที่พระเจ้าได้เห็นว่าสมควรที่เราจะได้รับอย่างไร? เราไม่รู้หรอก มันดีกับเราแล้วล่ะ เอเมน ไม่ใช่อะไรก็อวยพร แล้วคิดถึงเรื่องวัตถุอย่างเดียว มาถวายทรัพย์หน่อย ขอพระเจ้าอวยพร พระเจ้าอวยพรแล้ว ฉันถวายทรัพย์ออกไปแล้ว สิ้นเดือนนี้ เงินเดือนขึ้นแน่ ไม่ใช่สิ้นเดือนนี้ ก่อนหน้าสิ้นเดือนนี้ ก็ได้รับรางวัลจากตรงนี้แล้ว อยากจะได้ แค่นั้นไม่พอบางคนหวังมากกว่านั้นอีก ยิ่งหนักเลย ให้ออกไปแล้วหวัง …

“ฉันให้ 100 ผู้รับใช้บอกให้ไป 100 ได้กลับมา 30 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง 100 เท่าบ้าง อยากได้เยอะๆ อธิษฐานมากๆ ใช้ความเชื่อเยอะๆ ก็จะได้ 100 เท่า”

คูณใหญ่ วันทั้งวันคูณ 100×100 มันกี่ตังค์ เห็นพระเจ้าเป็นสลอธแม็กซีน ใส่เข้าไปเท่าไร ดึงออกมา เพราะเราต้องการเป็นไปตามความคิดของเราเอง และเราก็ใช้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์มาเป็นเครื่องมือ อย่างนี้เขาเรียกว่าเครื่องมือในการหากิน เอาถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เอาพระนามของพระองค์มาใช้ในการหาประโยชน์เข้าส่วนตัว โดยจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถ้ารู้ ควรจะเลิกซะ การเลิก ไม่ใช่เลิกอย่างเดียว พอเราเลิกเมื่อไร? เท่ากับเราไม่เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นเขาด้วย ซึ่งการไม่เป็นตัวอย่างให้กับเขา บางครั้งก็ยังเผลอไปทำเลย  อย่าว่าแต่ไม่เลิกเลย ไม่เลิกยิ่งหนักใหญ่

อย่างเช่น  เราชอบใช้ตรงนี้ผิดๆ  ผมจะเห็นเสมอเลย  ตั้งแต่ในอดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แล้วยังเห็นคนใช้อยู่เยอะ และทำความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนที่เอาไปใช้เยอะมากมายเลย ฟีลิปปี 4:13 บอกว่านี่คือเคล็ดลับของอาจารย์เปาโล คือ …

“ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี จะขัดสนหรือมั่งมี จะร่ำรวยหรือยากจนก็ตาม ข้าพเจ้าเผชิญทุกสถานการณ์เหล่านี้ได้ โดยพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ผู้ประทานกำลังให้กับข้าพเจ้า”

แต่ก็มีคนสอนอย่างนี้ แล้วก็มีคนเอาไปเชื่ออย่างนี้ ด้วยความหลงผิด อยากจะได้ตามกิเลสตัณหาของตนเอง อันนี้เห็นชัดๆ เลยนะ จากประสบการณ์จริงๆ แต่ก่อนนี้ผมเคยสอนอยู่ในชั้นเรียนพระคัมภีร์ แล้วก็เห็นมีคนเอาไปสอนตรงนี้ แล้วมีคนเอามาใช้ ผมยังเอามาใช้เลย แล้วเคยบอกคนอื่นด้วย แต่บอกไม่เยอะนะ พูดตรงๆ ไม่กล้าบอกเยอะ ผมมีหน้าที่สอนในชั้นเรียนของผู้รับใช้ในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ เพราะเป็นนักดนตรีอยู่ สอนร้องเพลง สอนโน้ต สอนเล่นกีต้าร์ สอนเครื่องดนตรีพื้นฐาน แล้วผมก็ใช้ตรงนี้ แล้วเขาก็ใช้กันทั่วไปแหละ คนมาเชื่อพระเจ้าแบบนี้ ใช้ลักษณะนี้ ใช้ข้อความนี้เสมอ อะไรเกิดขึ้นมา ก็ฟีลิปปี 4:13 …

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

ผมก็สอนไป แล้วก็บอกเขา เพราะการสอนตรงนั้น คือสอนให้ผู้คนออกไปเป็นผู้รับใช้ เขาต้องไปนำเซล ก็มีการร้องเพลง มีการนมัสการ พูดตรงๆ ทุกคนไม่ได้มีของประทานเหมือนกันหมด บางคนทำกับข้าวไม่เอาไหนเลย ทำอย่างไรก็ไม่เอาไหน แต่บางคนทำกับข้าว ทำอย่างไรก็อร่อย ตรงนี้ไม่ชัดเท่ากับ บางคนเล่นอะไรก็เพี้ยนหมด ร้องอะไรก็เพี้ยนหมด เล่นดนตรี บางคนเล่นไม่ได้หรอก เพราะหูยังไม่รู้เลยว่าโน้ตเป็นอย่างไร? จังหวะก็ไม่ถูก เขาตบจังหวะกัน แต่บางคนก็ตบไม่เป็นจังหวะ อย่างนี้ นักดนตรีทุกคนก็รู้ เขาไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับเอาเขาไปฝึกเท่าไร? เอาเป็ดไปฝึกให้พยายามเดินเหมือนไก่ เดินไม่ได้หรอก แต่เราไปบอกเขาว่าฟีลิปปี 4:13 ต้องใช้ความเชื่อสิ เอาไปท่องเยอะๆ เลย ในนี้เขาบอกว่า …

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ข้าพเจ้าจะเป็นนักดนตรีให้ได้ ข้าพเจ้าจะเป็นนักนมัสการ เป็นผู้นำนมัสการในทีมนมัสการให้ได้ ในนามพระเยซู โดยการเสริมกำลังของพระเยซู ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำได้ๆ”

แล้วคนเหล่านี้ก็พยายาม แล้วบางคนพยายามมาก จนกระทั่งลืมตัวไป นึกว่าทำได้จริงๆ พยายามสมัครเข้ามา ในทีมนมัสการของคริสตจักร ผู้นำกลัวมาก เพราะเขาคิดว่าเขาทำได้ แต่เวลาร้องเพี้ยนกว่าชาวบ้านเขาไง แล้วยิ่งมาเป็นผู้นำนมัสการอยู่ข้างหน้า ผู้นำเพลง นึกออกไหม? ผู้นำคนอื่นเขาด้วย ก็เละเลย

อยากให้ท่านได้เห็นภาพจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ คือเราเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันอันตรายมาก เพราะไม่ได้เอาไปใช้แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ใช้ในทางอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ก็เอาไปใช้ในเรื่องว่า …

“ในนามพระเยซู ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าลงทุนทำธุรกิจ อยากเป็นนักธุรกิจ ที่เจริญรุ่งเรือง จะเอาเงินมาถวายพระเจ้า เอาเงินสร้างโบสถ์ เอาเงินมาประกาศรับใช้เยอะแยะมากมายไปหมด ข้าพเจ้าทำได้ในนามพระเยซู”

ในชั้นเรียนนั้นนะ ในโบสถ์ทุกวันนี้ ก็มีอย่างนี้แหละ …

“ในนามพระเยซู ฉันสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉันสามารถทำธุรกิจนี้ได้ ทำการค้านี้ได้”

แล้วก็ไปกู้เงิน กู้หนี้ใหญ่มากมาย เพราะฉันทำได้ พยายามฝืนความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็ข่มตัวเองด้วยถ้อยคำพระเจ้าที่เอามาใช้แบบผิดๆ แบบนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เกิดตามที่ตะกี้นี้บอกไว้ โศกนาฎกรรมเกิดขึ้น เพราะความเชื่อผิดๆ อย่างนี้  เกิดหนี้สิ้นรุงรัง หนี้สินล้นพ้นตัว ครอบครัวก็พังพินาศ เสียหาย แตกกระเจิงไปหมด อยู่ในความทุกข์โศกเศร้าต่างๆ นานาอย่างมากมาย

นี่คือเหตุผลหนึ่ง ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเป็นจริงๆ มันอันตราย ฟังดูแล้วเหมือนมันไม่อันตราย มันธรรมดา แต่จริงๆ แล้วมันอันตรายมากเกินกว่าที่เราจะคิด พระคัมภีร์โดยผ่านทางอาจารย์เปาโล จึงพยายามกำชับเราตรงนี้ว่าจงสอนให้มันถูกต้อง  พูดอีกครั้งหนึ่ง เราไม่ได้ต่อต้านความมั่งคั่งร่ำรวย เราไม่ได้กำลังพูดถึงว่าเราไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยกับคนที่มีความมั่งคั่งร่ำรวย แต่เรากำลังพูดว่าเราพอใจ วางใจในพระเจ้า ผู้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้เราดีกว่า เกินกว่าความสามารถของเราที่เราจะคิดเองได้ ถูกไหม? ถ้าจะร่ำรวย ก็ขอให้มาจากพระเจ้าจริงๆ วางใจในพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพระเจ้าจะให้ฉันมีถึงขนาดนี้ ถูกไหม? แล้วอย่างที่บอกแล้วว่าจิตใต้สำนึกเดิมของเรา ก็ยังมีอยู่ เราทุกคนก็ล้วนอยากร่ำรวย อยากอยู่อย่างสุขสบาย  อยากประสบผลสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น มันโลภทุกคนแหละ

เพราะฉะนั้น ที่มาพูดนี้ ไม่ใช่พูด เพื่อต่อต้าน เพราะตัวเราเอง ก็เป็น ผมเองก็เป็น แต่รู้ว่าอะไรไม่ถูก ก็จะมาชี้แจงและบอกว่าอย่าทำนะ ระวัง … ระวังความโลภทุกชนิด พระเยซูบอกว่าจงละห่าง เว้นห่างจากความโลภทุกชนิด  และความโลภนี้ ในจิตใต้สำนึกนี้ เขาเรียกว่าไม่เข้าใครออกใคร มีกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อเก่าแก่ขนาดไหน? มีความรู้มากขนานไหน? ผู้รับใช้เก่าแก่ขนาดไหน? ผู้สอน แม้จะเป็นศิษยาภิบาล ก็ไม่ถูกละเว้นจากความโลภนี้เลย

มียายคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ซื้อล๊อตเตอร์รี่ให้หลานตรวจ หลานตรวจเจอคุณยายถูกรางวัลที่ 1 ทั้งชุดเลย เป็นเงิน 30 ล้าน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีเงินล้านอย่างนี้ หลานก็เลยกลัวว่ายายจะตื่นเต้นจนช็อค เพราะยายเป็นโรคความดัน โรคหัวใจอยู่ ก็ไปปรึกษาศิษยาภิบาลให้ช่วยคุยกับคุณยายหน่อย ศิษยาภิบาลก็ไปคุยกับคุณยาย เริ่มต้นถามไถ่เรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าเรื่องว่า …

“ถ้าอยู่ๆ ยายเกิดมีเงินขึ้นมาสักล้านหนึ่ง ยายจะเอาไปทำอะไร?”

ยายก็บอกว่า … “คงถวายโบสถ์สักแสนหนึ่ง แล้วก็ให้หลานนิดๆ หน่อยๆ แล้วที่เหลือก็เก็บไว้ เพื่อรักษาสุขภาพ”

ศิษยาภิบาลเห็นว่ายายไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก ก็บอกว่า … “ดีๆ”

ก็เลยถามต่อ รู้สึกว่ารับได้แล้ว … “แล้วถ้าเกิดยายได้เงินสัก 30 ล้านล่ะ ยายจะเอาไปทำอะไร?”

ยายก็ตอบว่า … “ยายเองก็แก่แล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก ก็คงเก็บเงินไว้ใช้นิดหนึ่ง แล้วก็แบ่งให้หลาน แล้วก็อาจจะถวายให้อาจารย์สัก 10 ล้าน … ใครอยู่ข้างนอกๆ มาช่วยหน่อยๆ อาจารย์ช็อคไปแล้ว”

ยังไม่ได้พูดต่อเลยว่าจะเอาไปทำอะไรอีก ยังไม่พูดจบเลย เรียกคนข้างนอกเข้ามาช่วย อาจารย์ช็อค ตกใจ ได้เงิน 10 ล้านอยู่ดีๆ ไม่นึกไม่ฝัน

ความโลภไม่เข้าใครออกใคร เป็นได้ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย นี่คือสิ่งที่บอกว่าจิตใต้สำนึกเดิมของเรายังมีอยู่ ทุกคนก็ยังอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย ความสำเร็จบนโลกใบนี้ เราจึงทำตามคำสอนของพระเจ้าว่าให้เราขยัน สัตย์ซื่อ ไม่โลภ ไม่โกง รู้จักการให้ออกไป ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด เท่าที่กำลังเราจะทำได้ ส่วนผลที่จะเกิดขึ้น ก็ฝากไว้ วางใจในพระเจ้า ให้พระเจ้าจูงมือเราเดินทุกวัน ฝากการตัดสินใจทุกอย่างไว้ที่พระองค์ว่า …

“ตัดสินใจไปเลยพระองค์ว่าจะให้ลูกมีแค่ไหน? เท่านั้นแหละ เอเมน”

1 ทิโมธี 6:6-11 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ให้มันชัดๆ ลงไปเลย “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวน ให้ทำบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ  บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทำให้ตัวเอง ต้องปวดร้าวด้วยความทุกข์โศกนานา 11 ส่วนท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และใฝ่หาความชอบธรรม ใฝ่หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน”

 

“ส่วนท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  และใฝ่หาความชอบธรรม ใฝ่หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน ไม่ใช่ใฝ่หาความโลภที่จะมั่งมีร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง ประสบผลสำเร็จแบบโลกนี้ อีกต่อไปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้”

1 ทิโมธี 6:17-19 “17  จงกำชับบรรดาผู้ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งทะนงหรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้า ผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา 18 จงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี  ร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน 19 การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า เพื่อเขาจะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้”

 

เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่อาจารย์เปาโลบอก ก็คือความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เรามีอยู่ ให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ไม่โลภ ที่อยากจะได้ทรัพย์สินเงินทอง ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นทุกข์นัก แต่ถ้าเผื่อฝากและวางใจในพระเจ้าแล้ว พระองค์เห็นว่าเราจำเป็น อวยพรให้เรามั่งมี ร่ำรวยขึ้นมา อันนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ตอบตัวเองเลยว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ ฉันร่ำรวยขึ้นมา ฉันไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น คิดอยู่เหมือนกันบ้างนิดหนึ่ง แต่ก็พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว มีแค่นี้ ก็ดีอยู่แล้ว แต่พระเจ้าก็ให้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย อันนี้ช่วยไม่ได้ เป็นหน้าที่ของพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าใครควรจะเป็นอยู่อย่างไร และว่ากันตามจริง ผู้มั่งมีในทางของพระเจ้า คือผู้รับใช้พระเจ้า มีงานหนักมากขึ้นกว่าเราอีก คือเขาต้องดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้าต่างๆ เหล่านั้น และใช้ให้ถูกต้อง แล้วก็เจอกับการทดลองมากกว่าเราอีก เพราะว่าทุกวันก็เจอแต่เงิน ดูแลเงินทองเหล่านั้น และจะไม่ให้รักเงินทองเหล่านั้น มันยากกว่าที่เราไม่มีเลยดีกว่า

ในนี้บอกว่าเพราะฉะนั้น คนที่พระเจ้าใช้ให้เป็นผู้ที่ดูแลทรัพย์สินเงินทอง เกิดความร่ำรวยขึ้นมาทำอย่างไร?  จงกำชับบรรดาผู้คนที่ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งยโส ทนง หรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติที่ไม่จีรังยั่งยืน ก็คือนึกว่าตัวเองทำเอง อย่างที่บอก ทรัพย์สินเงินทองที่พระเจ้าให้มา อาจจะหลงไปติดยึด นึกว่าเป็นของเรา หนักเลยคราวนี้ ให้มีความรู้สึกว่ามีก็เหมือนไม่มี อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าให้มา ก็ดูเหมือนไม่มี ก็คือไม่ไปติดยึด เพราะรู้ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้น มันไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้า ผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา อวยพรเรา ไม่ใช่ให้เรามีความทุกข์ยากลำบาก อวยพรเราให้เรามีความเบิกบานใจในทุกสถานะ ไม่ว่าจะสถานะอย่างไรก็ตาม และจงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ร่ำรวยทรัพย์สินไม่พอ ร่ำรวยในการทำดี คือเอาทรัพย์สินเหล่านั้นมาทำในสิ่งที่ดีๆ เอื้อเฟือเผื่อแผ่เต็มใจแบ่งปัน ไม่เก็บเอาไว้ การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์ไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า หมายถึงสำหรับอนาคต เพื่อเขาจะรับชีวิต อันเป็นชีวิตแท้

รางวัลในยุคหน้า หมายถึงในสวรรค์เท่ากันทุกคน แต่นี่หมายถึงในอนาคต คือเราชื่นใจที่รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ชื่นใจที่เรามีทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ แต่ชื่นใจ ที่เราเอาทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าให้มา เอาไปช่วยเหลือเผื่อแผ่ให้กับผู้คน ไม่ได้เก็บเอาไว้ให้ออกไป และนี่คือหลักการที่คริสตจักรอภิสุทธิสถาน ก็ใช้มาตลอด คือบัญชีคริสตจักรจะไม่มีเงินเหลือเลย มีเงินพอใช้ทุกที เพราะว่าเรามีประสบการณ์ในการมีเข้ามาเยอะๆ แล้วก็มีประสบการณ์ในการมีน้อยลง แต่ไม่ว่าจะมีเยอะหรือมีน้อย  เราพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แล้วก็ทำสิ่งนี้ ก็คือมี เราก็ให้ออกไป เรามั่นใจในพระเจ้า และเชื่อฟังในพระเจ้าว่าพระเยซูอาจจะกลับมาวันพรุ่งนี้  ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่นั้น มันไม่จีรังยั่งยืน วันนี้สามารถเอาไปใช้ตรงนี้ได้ ช่วยเหลือหน่วยงานตรงนี้ ช่วยเหลือประชากรของพระเจ้าตรงนี้ เราให้เลย  บางคนตกใจว่าคริสตจักรนี้ เล็กๆ ทำไมมีเงินเยอะ ไม่เยอะหรอกครับ ใจใหญ่ ให้ออกไปเลย เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้มา แล้วพระเจ้าก็ให้มาจริงๆ ไม่เคยขัดสนเลย แม้แต่นิดเดียว ให้มามาก ก็ให้ออกไปมาก เพราะเราไม่เคยคิดที่จะไปกู้หนี้ยืมสินมาให้เขา มีเท่าไรก็ให้เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ท้าพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นจริงตามนั้น  มีสันติสุขตามนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จงวางใจในพระเจ้าในสิ่งนี้เถิด จงวางใจในพระเจ้าในการกิน การอยู่ ทรัพย์สมบัติสิ่งของ ความสำเร็จบนโลกใบนี้ ทำให้ดีที่สุด และวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ทุกคนที่จะเข้าใจได้

สุภาษิต 3:5-6 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งพาความเข้าใจ ความรอบรู้ของตนเอง จงถ่อมใจ ยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจนก็ตาม แล้วพระองค์จะทรงกระทำทางของเจ้าให้ราบรื่น คือไม่ว่าจะสำเร็จในทางธุรกิจ สำเร็จในทางโลกหรือไม่ก็ตาม ไม่เป็นไร แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว พระองค์ทรงรู้ ทรงเข้าใจว่าอะไรดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เพราะฉะนั้น วางใจให้พระองค์เป็นผู้ตัดสิน ดีกว่าวางใจในตนเอง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************