คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤษภาคม  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์”  ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่องนี้นะ “สำเร็จแล้ว … เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์”

“สำเร็จแล้ว” คือแผนการของพระเจ้าที่ช่วยกู้มวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากโทษของความบาปและความตาย และถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โทษของความบาปและความตาย คือการตายในวิญญาณ สำคัญมากๆ คือการไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตาบอด ไม่เห็นพระเจ้า ในวิญญาณตาบอด กระเด็นจากพระเจ้าไป ออกไปจากสวนเอเดน อยู่คนละขั้วกัน นั่นเขาเรียกว่าโทษของความบาป ความตาย  ดังนั้น “สำเร็จแล้ว” คือบัดนี้ เรากับพระเจ้าคืนดีกันได้แล้ว นี่กำลังพูดถึงมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่ผู้เชื่อเท่านั้น

เมื่อ 2,000 ปีก่อน มวลมนุษยชาติมีตัวแทนผู้หนึ่ง ชื่อ เยซู ชาวนาซาเร็ธ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ไปชำระหนี้ให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว ใครเชื่อ ไปใช้สิทธิ์ เขาก็ได้รับสิทธิ์นี้ไปทันที เอเมน อันนี้แถม วันนี้ไม่ได้พูดเรื่องนี้

และสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หลังจากสำเร็จแล้ว ก็คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ซึ่งพระคัมภีร์มีเรียกอาณาจักรสวรรค์นี้ว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรืออาณาจักรของพระเยซู หรืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในโรม บทที่ 8 เป็นบทสรุปที่เราได้เรียนแล้วว่าหลังจากแผนการของพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว หลังจากที่อาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรพระคริสต์ได้ถูกตั้งขึ้นบนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น หัวใจสำคัญที่สุด ก็คือ โรม 8:1 ที่บอกว่า … “ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์”  คนที่จะได้อย่างนี้ ต้องเชื่อในข่าวดี แล้วมาต่อที่ข้อ 2 ที่ เป็นการขยายความเหตุและผลว่าทำไมบรรดาผู้ที่ได้ย้ายสำมะโนครัว ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ด้วยความเชื่อ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ อีกต่อไป เพราะอะไร? และบรรยายว่าคุณลักษณะหรือตัวตนที่แท้จริง หรือธรรมชาติ หรือเราใช้คำให้ชัดๆ ว่า “สันดาน” ของผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? แตกต่างจากพวกที่อยู่ในอาณาจักรเดิมอย่างไร?

แล้ววันนี้ เราจะมาต่อกัน ข้อ 11 ซึ่งยังคงเป็นเรื่องเดียวกัน ผลจากความสำเร็จแล้ว พระเยซูบอก ผลจากการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือผู้ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักพระคริสต์แล้ว ผู้ที่ได้เชื่อแล้ว เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว โรม 8:11 เราเริ่มต้นเลย

โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน   พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ผมจะไปช้ามากๆ เพราะว่าช่วงประมาณไม่กี่ข้อ เป็นข้อที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่ผมบอกว่าถ้าท่านจะเรียนพระคัมภีร์ จะอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระคัมภีร์ มองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าใครไม่มองไปที่นั่นจะไม่มีทางเจอ เพราะฉะนั้น ผมจะไปช้าๆ

“ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย สถิตในท่าน” “ท่าน” ในที่นี้หมายถึงผู้ที่เชื่อในข่าวดีแล้ว  ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ที่เรียกว่าสวรรค์แล้ว ซึ่งใครก็ตามที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์แล้ว พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของเขา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเขา มาอยู่ด้วยกันกับวิญญาณของเขา ที่ได้เกิดใหม่ และตรงนี้บอกว่าเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่านแล้ว พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย  คือพระบิดาผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย จะประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่กับเราผู้เชื่อ จะให้ชีวิตกับกายนี้ด้วย

ส่วนใหญ่จะตีความว่าประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตาย หมายถึงร่างกายใหม่ ที่พระคัมภีร์พูดถึงในหนังสือวิวรณ์ ที่เราต้องคอยรอรับ หลังจากที่พระเจ้าได้สร้างโลกใหม่แล้ว หลังจากที่พระเจ้าได้สำเร็จการงานทั้งหมด พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้ว เหตุการณ์ทั้งหมด ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงในหนังสือโรม ในขณะนี้ ที่เราเรียน ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น เพราะสำเร็จแล้ว

–  อาณาจักรสวรรค์จึงมาตั้งอยู่แล้ว

–  บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว

–  พระเยซูเอาชนะโทษของความบาปและความตายแล้ว

–  เราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว

–  เราได้นั่งในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาแล้ว

–  พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเราแล้ว

–  ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายแล้ว

–  ตัวใหม่ได้เกิดใหม่แล้ว

“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ได้ประทานชีวิตแก่กาย ซึ่งต้องตายของท่านด้วย (แล้ว)”

อันนี้ท่านเริ่มเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องรอให้ได้ร่างกายใหม่ มันคือร่างกายนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดา ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ให้มาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณนี้ก็จะให้ชีวิตแก่ท่านแล้ว ด้วย  มันไปพร้อมกันเลย กายที่ต้องตาย ก็คือร่างกายของเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่วันหนึ่ง จะต้องสิ้นอายุขัย เน่าเปื่อย กลายเป็นดิน แต่วิญญาณเราจะอยู่นิรันดร์กับพระเจ้า ซึ่งคำว่า “นิรันดร์” นี้ ไม่ใช่คนที่เชื่อ คนไม่เชื่อ ก็นิรันดร์เหมือนกัน นรกนิรันดร์ อยู่คนละข้างกับพระเจ้านิรันดร์ ถ้าเป็นผู้เชื่อ รับสิทธิ์เขา อยู่ในสวรรค์ ที่เดิม แล้วที่บอกว่าพระเจ้าได้ประทานชีวิตให้แก่กายของเรา ซึ่งต้องตายด้วย หมายความว่าพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของท่าน  ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณของท่าน ให้เป็นรูปร่างหน้าตาเก๋ไก๋ บางคนบอก ถ้าให้ชีวิตกับร่างกาย ที่เป็นอยู่นี้  มะเร็งมันควรหายสิ อ้าว! มาแล้ว ตื่นมาหน้าตายังโทรมอยู่เหมือนเดิมเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น ลองคิดดู มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่คำว่า “ประทานชีวิตให้แก่กายของท่านที่ต้องตายด้วยแล้ว” ความหมายคือเมื่อท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว วิญญาณของท่าน  ก็จะเป็นเหมือนพระคริสต์ เมื่อวิญญาณของท่าน เข้าสนิทอยู่กับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณท่านมีลักษณะเหมือนพระคริสต์ เป็นวิญญาณแห่งความดีงาม มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง

พระเจ้าก็จะทำให้ร่างกายของท่าน เป็นเครื่องมือของพระองค์ ที่พระองค์จะใช้ได้ ในการสำแดงพระสิริของพระองค์ สง่าราศีของพระองค์ ความดีงามของพระองค์ ร่างกายที่ตายของท่าน นี่แหละคือชีวิตที่พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา พระวิญญาณจะให้ชีวิตของพระเจ้ากับเรา ในร่างกายนี้ ร่างกายที่มันต้องตาย ร่างกายที่ต้องอยู่ 80, 90 ปี ร่างกายที่เคยขี้โกรธ ขี้งอน หลายขี้เลย พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์เลย โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง ให้สติปัญญา ค่อยๆ ฝึกฝนเราไป ให้สำแดง ลักษณะความดีงามของพระเจ้า เหมือนถ้อยคำพระเจ้า บอกว่ากายของเรา ก็คืออวัยวะของพระคริสต์ พระเจ้าสามารถใช้เรา เป็นเครื่องมือในการแสดงความรัก ความเมตตาของพระองค์ ทุกอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถที่จะสำแดงความรักของพระเจ้าออกมาได้ทั้งสิ้น จากวิญญาณของเรา ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์กับเราวิญญาณที่เกิดใหม่ เอเมน สิ่งเหล่านี้ สามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่จะใช้ได้  ในร่างกายนี้ทั้งหมด  มันหมายความว่าอย่างนี้

นี่คือความหมายที่ว่าพระเจ้าประทานชีวิตของพระองค์แก่กายที่ต้องตายของเราด้วย เดี๋ยวนี้ กายนี้ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า น่าจะต้องตาย แต่พระเจ้ามาใช้ตรงนี้ มีประโยชน์ในทางของพระองค์ ให้มีชีวิตของพระองค์ อยู่ในนี้ ขณะที่ตามองไป ก็มองในสายพระเนตรของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราแล้ว สอนเรามองแบบพระเจ้า คิดแบบพระเจ้า เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า”

ชื่อเพลง “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”  เห็นได้อย่างไร? เพราะคุณใช้เครื่องมือต่างๆ ในร่างกายนี้ ทำอะไรหลายอย่าง ฉันเห็นราศีของพระเป็นเจ้า ผ่านทางการกระทำของคุณ  คุณเป็นคนอดทนนาน คุณเป็นคนกระทำคุณให้ เป็นคนไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง คุณยอมเขาได้ทุกอย่าง คุณไม่โลภ คุณมีแต่ให้เขา นี่ไง ถามว่าใครเป็นคนทำ? เราเหรอ มีส่วนนิดหนึ่ง แต่ใคร? พระเจ้าถูกครึ่งหนึ่ง ในนี้บอกว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์เข้ามา เพื่อให้พระวิญญาณนี้ให้ชีวิตกับเรา ชีวิตของพระเจ้า

โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

 

“เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น”

วิสัยบาป ก็คือเนเจอร์ของความบาป สันดานบาป

คำว่า “พันธะ” ตรงนี้ ภาษาเดิม หมายความว่าเหมือนเรามีพันธะต่อแบงค์ เราต้องจ่ายหนี้เขา พูดง่ายๆ พันธะตรงนี้ คือหนี้

ตรงนี้บอกว่าเรายังมีหนี้อยู่ แต่ไม่ใช่หนี้บาป เพราะว่าหนี้บาปได้ถูกชำระไปเสร็จสิ้นหมดแล้ว จ่ายหมดแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน เพราะฉะนั้น ในนี้บอกว่าหนี้นี้ ไม่ใช่หนี้บาป แต่หนี้ที่เรายังมีอยู่ คือหนี้บุญคุณ หรือหนี้แห่งพระคุณของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่ได้เป็นหนี้แห่งบาปแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของบาปอีกต่อไป ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป แต่เราเป็นหนี้แห่งพระคุณพระเจ้า เราจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ข้อ 13 บอกว่า “เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

ภาษาเดิมบอกว่า … “เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตอยู่ในบาป เป็นทาสบาปอยู่ ยังอยู่ในอาณาจักรเดิมอยู่ ยังอยู่ในอาดัมอยู่”

ท่านไม่เปลี่ยน ท่านไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านยังอยู่ในความบาป ถ้าอยากจะหลุดออกมา ท่านจำเป็นต้องตาย ไม่ใช่ร่างกายตาย แต่วิญญาณท่านต้องตาย ร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน พระเยซูทำให้ท่านแล้ว ถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านไม่มีวันได้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของวิสัยบาปนี้ได้เลย แต่ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้ประหารการกระทำชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ฆ่ามัน โดยเชื่อในพระเจ้า  เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พอเชื่อในข่าวดีของพระเยซูปุ๊บ พระองค์จะบัพติศมาเราด้วยไฟ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไฟ ก็คือสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จเข้ามาชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย กายอันชั่วร้ายนั้น ก็จะจบไป บาปทำอะไรเราไม่ได้ ตรงนี้ ภาษาพระคัมภีร์เขาใช้คำว่า “เราก็จะตายร่วมกับพระเยซู” และ “ตายต่อบาป” หมายถึงต่อไปนี้ บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว ท่านตายแล้ว เตะท่านก็ไม่ได้  บังคับท่านก็ไม่ได้  เพราะตายแล้ว

ในข้อ 12 อาจารย์เปาโลกำลังกล่าวเตือนไปถึงกลุ่มคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับตัวแล้ว ที่ยังทำตัวเหมือนกลุ่มที่ยังไม่เชื่อ ยังปฏิบัติตัวเหมือนกลุ่มที่ยังไม่เชื่อ ยังขุ่นเคือง ยังโมโห ยังยกคนนั้นใหญ่ คนนี้ใหญ่ ยังอิจฉาริษยา ยังทำตัวแบบเดิมๆ ยังปล่อยให้ตัวเอง เป็นไปตามกระแสของโลกนี้ เป็นไปตามเชื้อบาปของโลกนี้ ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เปาโลกำลังบอกว่าท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว ไม่ได้เป็นหนี้ใครแล้ว ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป ทำไมไปยอมมันอีกล่ะ เราไม่จำเป็นต้องติดยานี้ตลอดชีวิตของเราได้นะ มาสิ มาหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ หาวิธี อธิษฐาน คือเข้ามาปรึกษากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา จะบอกเรา จะสู้กับมันเพื่อเรา  เราก็จะได้มีผลของพระวิญญาณออกมา เต็มไปด้วยความรัก ความอดทนนาน ไม่ขี้โกรธ ขี้อิจฉา ความรักของพระเจ้าก็จะขึ้นมาในเรา  มาแทนที่ จะมากหรือน้อยก็ตาม มันหมายถึงอย่างนั้น

แล้วที่บอกว่าถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย ก็คือถ้าท่านยังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าสันดานบาป อาณาจักรนรก อาณาจักรความมืด  ท่านต้องเชื่อและต้องตายพร้อมกับพระเยซู คือตายต่อบาป เพื่อท่านจะได้เกิดใหม่ได้ คนที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็คือคนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ และยังไม่ได้เกิดใหม่นั่นเอง และคนเหล่านี้ เมื่อยังไม่เกิดใหม่ เขาอยากเกิดใหม่ เขาจำเป็นต้องไปตายเสียก่อน ถ้าไม่ตาย ก็ไม่เกิดใหม่

สำหรับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรพระคริสต์แล้ว ท่านได้ตายต่อบาปไปแล้ว บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว … แล้วตอนนี้ ท่านได้รับชีวิตใหม่แล้ว ท่านมีพระวิญญาณอยู่ด้วยแล้ว เพราะฉะนั้น จงดำเนินชีวิตของท่าน ภายใต้พระวิญญาณเถิด ขอร้อง ไม่ควรดำเนินชีวิตตามการควบคุม หรือเป็นทาสวิสัยบาป อีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่ได้เป็นเจ้านายเราอีกต่อไปแล้ว เพราะหนี้สินต่างๆ เราจ่ายหมดแล้ว เราเป็นอิสระหมดแล้ว ประกาศอิสรภาพสิ อย่าไปยอมมัน มันหมายถึงแค่นี้

ข้อที่ 13 บอกว่า “ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

คำว่า “ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน” ตรงนี้หมายถึงการตายร่วมกับพระเยซู พอเราเชื่อในข่าวดีปุ๊บ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระวิญญาณจะสอนท่านเอง ท่านฟังไปก่อน การตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน คือการประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกาย คือการประหารตัวเก่าของเรา ที่เป็นตัวบาป ฆ่ามันให้ตาย โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราได้สิทธิ์ทันที ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เราอยู่ตรงนั้นแหละ เราอยู่ในนั้น  เราอยู่ในพระเยซู พอเราเชื่อพระเยซู มันเกิดผลทันทีเลย เราย้อนกลับไป 2,000 ปีก่อน เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู

เพราะฉะนั้น พอเราตายพร้อมกับพระเยซูปุ๊บ วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  การตายร่วมกับพระคริสต์ที่ไม้กางเขน กายเดิมของเราที่อยู่ภายใต้เชื้อบาป เป็นทาสของวิสัยบาป เป็นทาสของสันดานบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู ไม่ใช่ตายไปเมื่อตอนที่เรารับเชื่อ เมื่อ 10 ปีก่อน มันเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีแล้ว แต่เราพึ่งรู้ เราพึ่งใช้สิทธิของเรา

กาลาเทีย 2:20  “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

 

“ข้าพเจ้าได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว”

“ข้าพเจ้า” คือผู้ที่เชื่อ หมายถึงเปาโล … เปาโลกำลังบอกเขาเชื่อแล้ว เขาถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่พระคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เขาก็ถูกตรึงแล้ว “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป” เราตายไปแล้ว “พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ ก็คืออาณาจักรพระคริสต์ที่เราได้เป็นขึ้นมาอยู่ในพระคริสต์ ที่เรามีวิญญาณเหมือนพระคริสต์ “ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ในขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตร” เห็นหรือเปล่า พอเราเชื่อในพระบุตร เราก็ได้สิทธิ เราที่ทำมาแล้วเมื่อ 2,000 ปี ที่เปาโลพูดนี้ แค่หลายสิบปีเท่านั้นเอง มาอีกข้อหนึ่ง โรม 6:6 ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู จะใช้ Tense นี้ทั้งหมด ใช้คำว่า “ได้” และ “แล้ว”

โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาป อีกต่อไปแล้ว”

 

ท่านจะยิ่งชัดขึ้น เมื่อเติมคำว่า “แล้ว”

“เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว” เมื่อ 2,000 ปีแล้ว “เพื่อกายบาป” ตัวที่ตายไป มันเป็นตัวบาป “จะได้ถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสของมันอีกต่อไปแล้ว” เราไม่เป็นทาสมันแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี เหมือนกับเรา เขาก็เป็นทาสของความบาป ต้องใช้หนี้อีกต่อไปหรือไม่? ตอบ  “ไม่”  ภาพมันเป็นอย่างนี้ เขาไม่ได้เป็นแล้ว แต่ที่เขายังไม่รู้ เพราะว่าเขาถูก god of this world ก็คือผู้ควบคุมระบบเสียหายของโลกนี้ มันปิดบังตาเขาไว้ เขาไม่เห็น ถ้าเขาเห็น เขาจะรับแน่นอน เหมือนอย่างเราทั้งหลายที่เห็นแล้ว เราจะมองคนที่ไม่เชื่ออีกสภาพหนึ่ง ไม่มีอะไรเลย พระเยซูจึงบอกว่า The truth has make you free อะไรทำให้ท่านเป็นอิสระ พระเยซูไม่ได้บอกว่าพระองค์ได้ทำให้เราเป็นอิสระ พระองค์บอกว่าความจริง เพราะพระเยซูทำเสร็จไปแล้ว ไม่ต้องพึ่งพระเยซูแล้วตอนนี้ พึ่งความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พอรู้สิทธิ์ ก็จบแล้ว พระเยซูไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมเลย  พระองค์ไม่ต้องมาตายอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องถูกเขาทรมานอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องเลย พระองค์ไม่ต้องรีบมาช่วยเราชำระบาป เพราะชำระให้หมดเลยมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะมีอีกเท่าไร? อีกพัน อีกหมื่นล้านคน ถูกไหม?

สิ่งที่เราต้องพึ่ง คือความจริง … ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงทำให้มนุษย์เป็นอิสระ เขาเป็นอิสระแล้ว เขาถูกหลอก มารจึงมีชื่อหนึ่งในขณะนี้ว่าไอ้ตัวหลอกลวง มันหลอกตลอด เพื่อไม่ให้คนไปรับสิทธิของเขาที่ตัวแทนของมนุษยชาติผู้หนึ่ง ได้มาทำให้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ผู้นี้มีชื่อว่า “เยซูคริสต์” เขาได้สร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “สวรรค์” แล้ว แล้วก็พามนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล เข้ามาหาพระองค์ ย้ายมาจนหมดแล้ว ไม่มีอะไรย้ายมาแล้ว แต่ถ้าคนนั้นไม่เชื่อในสิทธิของเขา เขาไม่รับ เขาก็ไม่ยอมมา แค่นั้นเอง แล้วถ้าเขาเข้ามา เขาต้องไปสู้กับมารไหม? ไม่ต้อง เดินเข้ามาเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย อาวุธอย่างเดียวของมาร ก็คือการหลอกลวง ปิดบัง ไม่ให้เขาคนนั้น รู้ความจริง เพราะความจริงจะทำให้เขาเป็นอิสระ แค่นั้นเอง  ข่าวดีของพระเจ้าจึงจะแถไปแถมา ไม่ได้พูดเจาะตรงนี้เลย เพราะว่ามันถูกมารล่อลวงหลายอย่างหลายประการ ก็คือเกือบดี จะให้เป็นสีขาว มันก็ทำให้เป็นสีเทาๆ อะไรประมาณนี้ ผู้คนก็เลยไม่เข้าใจ ทำไมมันรับยากรับเย็น จริงๆ มันไม่มีอะไร? รับง่ายมาก แต่ฟังแล้วดูเหมือนยาก เพราะเราถูกหลอกมาเยอะ พอโผล่มาได้ทีหนึ่ง เหนื่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทุกวันนี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า สถิตในสวรรค์สถาน ไม่ได้ยืนอยู่ ถ้ายืนอยู่ แปลว่าต้องทำอะไรสำเร็จแล้ว นั่งอยู่เท่านั้น แล้วก็มอง คอยลุ้น …

“เชื่อทีสิๆ เชื่อหน่อย เชื่อมารอีกแล้ว ง่ายขนาดนี้ เอาหน่อยน่า”

ลุ้นมากเลย พอคนหนึ่งรับเชื่อ ดีใจทั้งสวรรค์หมดเลย โคโลสี 2:12 ซ้ำไปที่เดิมอีกจะได้จำแม่นๆ นึกในใจนะ ใส่คำว่า “ได้” เข้าไปในใจ ใส่คำว่า “แล้ว” เข้าไปในใจ หรือจะตะโกนออกมาก็ได้

โคโลสี 2:12  “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

 

“ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา” นึกถึงลงน้ำใช่ไหม? ยอห์น บัพติศโต ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตอนที่พระเยซูบังเกิดเป็นมนุษย์ และทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ได้เผยพระวจนะไว้ว่าพระเจ้าให้เขามา เพื่อเตรียมงานไว้สำหรับพระเยซู โดยหลักการของเขา คือกำลังบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนเขารอมาตั้งนาน ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ หลายพันปีก่อนที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะส่งมาซีฮาห์และได้มาเกิดแล้ว อีกไม่นานจบแล้ว ให้เขาเตรียมใจของคนในชาติหรือ มนุษย์ตอนนั้น ให้เป็นเงา เหมือนกับที่โมเสสสร้างวิหารที่ทำด้วยมือ คือพลับพลา ซึ่งเล็งถึงสวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ที่จะมาบังเกิดขึ้น  ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และมาถึงวันเพ็นเตคอส มันคือเงา

คนที่เชื่อในพระเจ้า สมัยก่อน เขาต้องเชื่อในผู้เผยพระวจนะ งานรับใช้ของยอห์น ก็คือให้บอกคนที่เชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เป็นข่าวดี คนที่กลับใจว่าจะเชื่อพระเจ้า จะรักพระเจ้า จะไม่ดำเนินตามทางของโลกนี้แล้ว อยากจะชำระบาป ให้มาหายอห์น บัพติศโตจะจุ่มเขาลงไปในน้ำ เป็นการประกาศว่ากลับใจใหม่ เป็นการสำแดงออกว่ากลับใจใหม่ มีคนไปถามยอห์นว่าเขาคือพระคริสต์ใช่ไหม?  ยอห์นตอบว่าที่เขารอคอยมาแล้ว คนๆ นี้จะไม่มาทำอย่างนี้แล้วนะ ที่ฉันทำเป็นเงาให้ดู แต่คนที่มาใหม่ คือพระเยซู เขาจะมาบัพติศมาท่านด้วยไฟ ก็คือโดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น

ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา พอเราอ่านอย่างนี้ เราไม่เข้าใจ เรานึกว่าบัพติศมา เป็นภาษา เท่ห์ คงเป็นภาษาศาสนา อะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้ง ไม่มีอะไรเลย ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีจุ่มลงไปในน้ำ หรือจุ่มลงไปในอะไรก็ได้ ไม่ใช่ในน้ำอย่างเดียว ยอห์น บัพติศโตใช้น้ำ เพื่อเล็งให้เห็นถึงน้ำ คือพระวิญญาณ บัพติศมาจริงๆ แปลว่าจุ่มลงไปเฉยๆ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันเฉยๆ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันเฉยๆ อากาศกับอากาศเข้ากันได้ น้ำกับน้ำ ก็เข้ากันได้ น้ำมันกับน้ำมันเข้าได้ น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ อะไรอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา ก็หมายความว่าเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระเยซู ก็คือตาย ในพิธีบัพติศมา คือตอนที่พระวิญญาณจุ่มท่านลงไปในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้ท่านได้เกิดใหม่ ก่อนเกิดใหม่ ท่านก็ต้องตาย ตัวเก่าท่านตาย วิญญาณท่านตายหมดเลย ปิ๊งขึ้นมาเกิดใหม่ สัญลักษณ์ที่ยอห์น บัพติศโตทำ ก็คือจับคนกดลงไปในน้ำ พอขึ้นมาจากน้ำ ถือว่าเกิดใหม่ เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะมาทำ อีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นเอง

ต่อไปบอก “และทำให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์” “กับพระองค์” ท่านตายไปพร้อมกับพระเยซู แล้วท่านก็เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู เมื่อ 2,000 ปี

“และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในข่าวดี” พอท่านเชื่อข่าวดีปุ๊บ โดดลงไป 2,000 ปีเลย ใครก็ตามวันนี้ ที่ยังไม่เชื่อ พอเชื่อในข่าวดีปุ๊บ เขาโดด ไทม์แมชีนวิ่งไปที่ 2,000 ปีที่แล้ว เขาตายกับพระเยซู ไปพร้อมกับพระเยซูเมื่อวันศุกร์ ตอนบ่ายสามโมง และเขาเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูเมื่อวันอาทิตย์ทันที รับปุ๊บ เป็นแพตเกจ ผ่านทางความเชื่อในสิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้กับเขา เป็นข่าวดี ในนี้บอกว่าผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย คือเชื่อมั่นเลยว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว มันจริงๆ สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ฉันเชื่อแล้ว ทันทีทันใด ไทม์แมชีนวิ่ง ชีวิตท่านวิ่งไปที่อดีต 2,000 ปีที่แล้ว

กลับมาถึงปัจจุบัน  ท่านก็เป็นอย่างที่เขาบอกในพระคัมภีร์ว่าวิญญาณท่านใหม่เอี่ยมเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์หมดจดไร้ที่ติ มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซูเลย แต่ว่ายังอยู่บนโลกนี้อยู่ ยังมีปัญหาอยู่ จริงๆ จบงานแล้วล่ะ เอาวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เอาความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ไปอยู่สวรรค์เลย จริงๆ ไปอยู่สวรรค์แล้ว ไม่ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถามว่าทำไมไม่ให้เรากลับไป เพราะต้องใช้งานเราไง เหมือนที่เปาโลบอก ข้าพเจ้าอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ รับใช้ไป  แต่ถ้าตาย ก็ได้กำไร ไปดีกว่าเยอะ แต่จำเป็นต้องอยู่ เพื่อท่านทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เปาโลบอก เพื่อท่านทั้งหลาย ถ้าผมไป ใครจะมาพูดล่ะ พระเจ้าก็ใช้ผม ซึ่งเป็นคนชอบศึกษา ชอบค้นคว้า ผมก็ไปค้น ถามว่าใครทำ พระเจ้าทำหมด ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย  ใครมีอะไรก็ทำ ในส่วนของเรา ถ้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ถ้าเราเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราความคิดจิตใจเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว แล้วเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังหายใจอยู่ ตราบนั้น พระเจ้ามีงานใช้เราแน่นอน เพราะถ้าไม่มี พระองค์เอากลับไปแล้ว

เมื่อเรายังอยู่บนโลกนี้ ในโรม บทที่ 12 ข้อ 1 จึงบอกอย่างนี้ เมื่อฟังมาอย่างนี้ พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าขอร้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณพระเจ้า ให้ท่านทั้งหลาย เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือให้มาจดจ่ออยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในตัวเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะค่อยๆ เตือนเรา ปลอบใจ ปลอบโยนเรา ไม้อ้อซ้ำแล้ว พระองค์ก็จะไม่หัก ไม่ทำลาย ไม่ใช่จะตีสอน จะทำโน่นนี่ ไม่ใช่ เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ลูกเอ่ย อย่างนี้ไม่ดีๆ ค่อยๆ ทีละนิดๆ แล้วก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

นี่เป็นภาพของพระคุณ ของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีของพระเจ้า  ซึ่งเป็นข่าวดีแท้ๆ 100% แล้วถ้าท่านรู้อย่างนี้แล้ว พอท่านไปอ่านเองต่อไปในหนังสือโรม บทที่ 8 ท่านจะเห็นชัดเลย ไล่ต่อไปเรื่อยๆ เปาโลกำลังจะให้เห็นชัดๆ ถ้ามาเชื่อแล้ว มาอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่เชื่อ มาอยู่ที่ไหน? ถ้าเชื่อในข่าวประเสริฐ ถ้าไม่เชื่อ แล้วเป็นอย่างไร? ถ้าเชื่อแล้ว ก็ไม่ควรที่จะไปทำเหมือนคนไม่เชื่อ เราไม่จำเป็นต้องไปทำอย่างนั้นแล้ว แต่ถ้าทำ มันก็เป็นโทษสำหรับชีวิตของเรา วิญญาณเราได้รับความรอด มันก็จะรอด เหมือนรอดในไฟ มันทุกข์ทรมาน ก็บอกแล้วอย่าทำ อย่าโลภ โลภแล้วเจ็บตัว ก็บอกแล้วอย่ากิน เตือนตั้งหลายครั้งแล้ว อย่ากินๆ กิน แล้วเป็นมะเร็ง เดี๋ยวก็จะมาโอดครวญกับพระเจ้า ก็บอกอย่ากินไง แต่ไม่ฟัง ปากอยาก ลิ้นไปแตะ อดไม่ไหว น้ำตาล แป้ง ไปกิน แล้วผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หนึ่งในนั้น คือรู้จักบังคับตนเอง ผมไม่ได้พูด ไม่ได้บังคับนะ แต่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันหนึ่ง คือเราสามารถบังคับตัวเองได้ อ้วนไป ก็กินให้มันน้อยหน่อยสิ เข้าใจไหม? แล้วมันไม่ได้สำคัญอะไร? ต่อให้ไม่เชื่อพระวิญญาณ รับโทษไป มันทุกข์ทรมาน  เป็นโรค เป็นอะไร? ก็ทุกข์ทรมานไป แต่วิญญาณเขาก็ไปสู่สวรรค์เหมือนเดิม มันคนละเรื่องกัน แต่มันไม่ถวายเกียรติต่อพระเจ้าเท่าที่ควร แล้วถามว่ามีคนทำได้ 100% ไหม? ไม่มีครับ ไม่มีทำถูกต้องตามพระวิญญาณหมด  100% ทุกอย่างดีหมดเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอ่อนแอ พระเจ้าจึงส่งพระบุตรของพระองค์มาทำ แล้วไม่ใช่เพราะพระเยซูทำให้ แล้วเราก็เลิกทำเลย ต่อไปนี้ ฉันจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำไป อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ก็อย่าไปทำ  อะไรที่เป็นการเสริมสร้าง ก็ทำไป อะไรที่ไม่เสริมสร้าง ก็อย่าทำ จบ ทำ ก็เดือดร้อนคุณเองแหละ มันเห็นชัดๆ เลย ไม่มีอะไร ที่ยกตัวอย่างนี้ มันเห็นชัดสุด มองเห็น เพราะเป็นวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ เรื่องการกิน

สูบบุหรี่ดีไหม? เป็นบาปไหม? กินเหล้าดีไหม? เป็นบาปไหม? เห็นไหม? พระวิญญาณสอนไหม อย่ากินเลย กินนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร อย่ากินจนเมา พระวิญญาณสอนไหม คนนี้ต้องเลิกเหล้าแล้ว ตอนมาเริ่มเชื่อนั้น กินไปเยอะแล้ว ตับมันจะแข็งอยู่แล้ว แล้วพระวิญญาณจะอยู่เฉยๆ เหรอ ตับแข็ง พระวิญญาณพยายามที่จะกล่อมเกลา ให้ความรู้กับเขา ไม่ใช่พระวิญญาณเข้ามาตบ หยุด ไม่ใช่ ค่อยๆ นะ วิธีใด …

ยกตัวอย่าง เขามาโบสถ์ เขาอาจจะฟังเทศนา คนเขาเทศนาเรื่องสำเร็จแล้ว ฟังไปฟังมาได้อยู่คำเดียวเองว่าให้เลิกเหล้า ขับรถออกไป ไปเจอรถเมล์ ข้างหลังเขาเขียนว่า “เลิกเหล้าดีกว่า” พระวิญญาณบริสุทธิ์จะใช้วิธีนี้ กลับไปเล่นเปิดเฟสบุ๊คจะชวนเพื่อนไปกินเหล้า เปิดมาหน้าแรก เขียนว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” บ่อยๆ ชักจะเริ่มสำนึกได้ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้

เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย เต็มไปหมด ถามว่าพระวิญญาณทำงานเต็ม 24 ชั่วโมงไหม? เต็มตลอด แต่เราก็ดื้อตลอด เพราะเป็นธรรมชาติบนโลกใบนี้ มันทารุณ พระเยซูจึงบอกว่ามันต้องทุกข์ยากลำบาก เมื่ออยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่ามันคนละขั้วกัน ขั้วที่เราเกิดใหม่แล้ว เราไม่อยากจะทำอย่างนั้นอีกแล้ว แต่ขั้วในโลกใบนี้ ที่เรายังอยู่ มันพยายามดึงใจเราให้พยายามทำสิ่งที่เหมือนเดิม มันเลยตีกันไง เดินอยู่บนโลกนี้ ที่มันตีกันกับวิญญาณของเราข้างใน สนุกไหมล่ะ เปาโลจึงบอกไม่สนุกเลย อยากกลับบ้านไปหาพระเจ้าดีกว่า มันเหนื่อยเหลือเกิน คนอื่นไม่รู้จักพระเจ้ายังสบายกว่าเลย แม้เขาทำอะไรไม่ดี เขาก็ไม่รู้สึกฟ้องผิดมากมายนัก แต่เราทำนิดหนึ่ง ก็โห้ พระเจ้าอภัยสิ เพราะข้างในเราไม่อยากทำไง นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เราค่อยๆ ฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป แล้วก็ค่อยๆ ไปทีละนิดทีละหน่อย ได้เท่าไร ก็เอาเท่านั้น ก็ว่ากันไป อดทน จนถึงวันที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่ามันจบ ก็คือเรากลับไปอยู่ในโลกวิญญาณ หรือไม่พระเยซูก็กลับมาใหม่ ก็คือโลกใบนี้จบแล้ว อันใดอันหนึ่ง เกิดขึ้น เราก็รอถึงวันนั้นแล้วกัน  วันที่จบ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่จบดีแน่นอน เพราะเรามีความหวัง 100%

เปาโลจึงพูดไว้ในหนังสือฟีลิปปี 1:6 บอกว่า “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในพวกท่านทั้งหลาย เชื่อแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัย จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือมันสำเร็จไปแล้ว”

            ปล่อยไปตามน้ำ คือพูดง่ายๆ ข้าพเจ้ามั่นใจเลย ยังไง พระเจ้าก็พาท่านไปรอด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง เบาหวาน เป็นอะไรก็แล้วแต่ ไปรอดแน่ แต่ถ้าท่านเงี่ยหูฟังมากๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าท่านควบคุม มีการบังคับตนเองเยอะๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย ถ้าท่านมุ่งไปทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เยอะๆ ท่านก็ทุกข์น้อยหน่อย แต่จำไว้ ไม่มีใครทำได้ 100%  เพียงแต่ทุกข์น้อย หรือทุกข์เยอะ ถ้าท่านโลภ ท่านก็ทุกข์มากหน่อย ถ้าท่านกินไม่เป็นเรื่องเป็นราว ท่านก็ทุกข์มากขึ้น เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

***********************