คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2021
เรื่อง “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองไปที่ใด?”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องราวของความทุกข์ยากลำบากที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ รวมทั้งสถานการณ์โลกด้วย นอกเหนือจากการดูแลเรื่องปากท้อง เรื่องการรักษาสุขภาพอนามัย ปกป้องให้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งที่พวกเราต้องการเป็นอย่างมากในตอนนี้ ก็คือความหวัง คือกำลังใจ การหนุนใจ ใช่ไหมครับ แน่นอนสิ่งที่เราต้องการ อาจจะขาดแคลนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การกิน การอยู่ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือความหวัง ความหวังเราอยู่ที่ไหน? เราต้องการความหวัง ต้องการกำลังใจ ต้องการการหนุนใจอย่างจริงๆ ของแท้ และจริงๆ ที่จะพยุงเราผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ ข่าวสารข้อมูลรายล้อมพวกเราในขณะนี้ เกือบทั้งหมด มีแต่ข่าวร้ายทั้งนั้น ข่าวติดลบทั้งนั้น ทำให้เกิดความเครียด ช่วงนี้ไม่ว่าจะไปอ่านข่าวที่ไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียวมีเดีย ทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวใหม่ ข่าวใช่ ไม่ใช่ ส่วนใหญ่เป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น มาถึงพวกเราในแต่ละวัน เขาเรียกว่ากองขยะ เต็มไปหมดเลย
เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหวังใจ เกิดความหนุนใจ เกิดกำลังใจในการดำเนินชีวิตเลย แต่ตรงกันข้าม เกิดความเครียด เกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจ โควิดยังไม่ติด ที่ติดแล้ว ก็คือความกังวล ความวิตก ท้องอืด ท้องเฟื้อ ปวดเมื่อยอะไรต่างๆ เหล่านี้ มาก่อนโควิดอีก เพราะข่าวร้ายเหล่านี้ หลายคนมัวแต่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ลืมคิดถึงด้านจิตใจไปว่าจิตใจสำคัญกว่าร่างกายอีก เพราะฉะนั้น เราต้องดูแลเรื่องของร่างกายไปด้วยพร้อมๆ กัน ไม่เช่นนั้น เราจะสะสมความเครียด แล้วเกิดการจับป่วยต่อร่างกายเราขึ้นมาแทนที่ ก็ได้
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้คำตอบกันไปแล้วว่า “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับลูก” และ “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกๆ อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” คำตอบเราก็รู้แล้ว คือพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นกับลูก คำตอบสั้นๆ เพราะมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจเอง พระเจ้าให้สิทธิในการมีอิสระในการตัดสินใจของมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ตัดสินใจผิดพลาดไป ตั้งแต่สมัยเริ่มต้น จนตกลงไปในความบาป ความทุกข์ยากลำบาก จึงเข้ามาสู่มวลมนุษยชาติทั้งปวง เท่าเทียมกันหมด นี่คือคำตอบว่าพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น บนโลกใบนี้กับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงรัก เพราะว่าพระองค์อนุญาตให้เราตัดสินใจด้วยตัวเราเอง แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่อยากให้เป็น คืออยากให้เราเชื่อฟังนั่นเอง
และพระเจ้าอยู่ที่ไหน ตอนที่เกิดความทุกข์ยากลำบาก เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่ที่ไหน? คำตอบ ก็คือพระเจ้า ก็อยู่ในตัวเรานั่นเอง พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราเลย ทั้ง 3 พระภาค นำพาเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขา เงามัจจุราช ไม่ต้องกลัวอะไรลูก ไปด้วยกัน ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่ห่างเราเลย นี่คือคำตอบของ 2 หัวข้อที่ได้เรียนรู้กันไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
และวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันต่อว่าท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนมีความมืด หรือสิ่งเลวร้ายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลก และเหนือมนุษย์ทั้งปวง ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เราควรจะมองไปที่ใด? ชื่อเรื่องการบรรยายวันนี้ ก็คือ “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองไปที่ใด?” ในยามเกิดความทุกข์ลำบากไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในขณะนี้ ลองถามตัวท่านเอง ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญเหล่านี้ ท่านมองไปที่ใด? ฉันมองไปที่ไหน? นึกในใจว่าท่านกำลังมองไปที่ไหน? ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก ท่ามกลางปัญหา ความยุ่งยาก ท่ามกลางผลกระทบโควิด-19 ทุกรูปแบบ เรามองไปที่ไหน? มีคำตอบให้เลือกอยู่ 2 ข้อ ก็คือ …
(1) มองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่
(2) มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น
ท่านเลือก 1 หรือ 2 หรือท่านกำลังเลือก 1 หรือ 2 หรือท่านได้เลือกไปแล้ว คือ 1 หรือ 2 หรือท่านกำลังอยู่ในข้อ 1 หรือข้อ 2 มองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่ หรือ 2 มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น ลองถามตัวเองขณะนี้ …
“ฉันมองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ รอบข้าง ความเดือดร้อน หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หรือฉันมองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นความหวังในพระคริสต์”
ชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ได้เป็นคริสเตียน รู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า ผมอยากยกตัวอย่างเหมือนนั่งรถไฟเหาะ จำได้ไหมสมัยเด็กๆ เราชอบไปเล่นรถไฟเหาะ รถไฟตีลังกา ก็ได้ ในสวนสนุก มนุษย์ทุกคนเหมือนนั่งอยู่ในรถไฟเหาะ เพียงแต่ถ้าไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระเยซูสถิตอยู่ด้วย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็คือนั่งรถไฟเหาะตัวคนเดียว แล้วแถมไม่มีเข็มขัดรัดอีก ท่านลองคิดดู ต้องใช้กำลังตัวเองในการยึด จับราวให้แน่น เข็มขัดก็ไม่มี กลัวก็กลัว แล้วออกเดินทาง พอถึงที่สูง ก็สบาย ยิ้ม ดูวิว แป๊บเดียว ลง ต้องหลับตา ตะโกนดังลั่น ว๊ายยยย แรกๆ มันลงไปเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว หายใจได้นิดเดียว มาอีกแล้ว ตอนลง เขาเรียกว่าความทุกข์ยากลำบากเข้ามา แล้วเราต้องใช้ตัวเราเองจับอยู่อย่างนั้น แล้วเราจะไปถึงที่หมายไหม มันหนักกว่านั้น หลายครั้ง ไม่ใช่ลงอย่างเดียว มันหมุนตีลังกา เขาเรียกรถไฟตีลังกาแล้ว มันหมุนอย่างนี้เลย แล้วเราเอากำลังตัวเองยึดอยู่ พอไหวหรือ? จะได้สักกี่หมุน? หรือกี่ครั้ง?
แต่สำหรับคริสเตียน ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เมื่อมีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็เหมือนนั่งในรถไฟเหาะนี้ ไม่ใช่มีพระเจ้าอย่างเดียวนะ พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีแล้ว ให้เรามองไปที่ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้ข่าวดีนี้ ซึ่งเป็นความจริง ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์คาดไว้ที่เอว พูดง่ายๆ ว่านั่งรถไฟเหาะ แล้วคาดเอวด้วยข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อนั้น แล้วก็เอามือจับราวเหมือนกัน ไม่พอ พระเยซูยังนั่งข้างๆ ไม่ใช่นั่งข้างๆ คลุมตัวเราอยู่เลย กอดเราอยู่ตอนนั้น อยู่กับเราตอนนั้น แล้วก็บอกเราว่าไปด้วยกัน นี่แหละ รถไฟเหาะมันก็เป็นอย่างนี้เสมอ สำหรับคริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว ไปด้วยกัน พอถึงเวลาลงเหว ก็คือเวลาขาลง เกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้นมา เราก็เหมือนเดิม มันเคยชิน มันก็ต้อง (ขอโทษที) มันก็ต้องแหกปากร้อง ตกใจ แล้วก็หลับตา แต่ในขณะหลับตา เราเห็นพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราเห็นเอามือจับ หลับตา สัมผัสได้ว่าเราคาดเข็มขัดอยู่ ก็ตกใจ ว๊ายยยย แต่ลึกๆ ก็คือเรามีความหวัง เราปลอดภัยแน่นอน เพราะเรารัดเข็มขัดแล้ว นี่แหละ แล้วมันก็ขึ้นมา ดู ชมวิวปุ๊บ เดี๋ยวลงอีกแล้ว จะลงมากถึงขนาดตีลังกากี่ตลบก็ตาม เข็มขัดก็รัดเราไว้อยู่ แล้วพระเยซูก็โอบกอดเราอยู่ เราก็แค่ตกใจ แล้วก็สนุกสนานไปกับความทุกข์ลำเค็ญ ตีลังกา หมุน เหมือนรถไฟเหาะนั้น
นั่นแหละสิ่งที่ผมอยากยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ เลย คือมันแตกต่างตรงที่เราไม่พึ่งพากำลังของตนเองอีกแล้ว แต่เราพึ่งพากำลังของพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าสมัยก่อนเราไม่รู้จักพระเจ้าเลย ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราพึ่งพาตนเอง เราพึ่งพากำลังของตนเอง เข็มขัดก็ไม่มี เราก็ไม่มีความหวัง
เพราะฉะนั้น ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นความจริง ความจริงที่ไม่ตาย ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีพระเยซูคริสต์เป็นผู้นำ สถิตอยู่ภายใน และเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของผู้เชื่อ ท่านลองนึกถึงภาพว่านี่คือความเป็นจริง นี่คือข่าวดีของพระเยซู ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีพระเยซูสถิตอยู่ภายใน เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา ไปไหน ไปกับเราตลอดเวลา มีพระเยซูคริสต์ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา นี่คือความจริงของข่าวดี
ท่านเชื่อไหมว่าพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ถ้าถามคริสเตียนทุกคน ผู้เชื่อทุกคน ก็แน่นอนนี่คือเริ่มต้นของความเชื่อ ในข่าวดี ก็คือต้องเชื่อว่าพระเยซูได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเรา ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อแน่นอนอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อแบบนี้ คือเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านก็ต้องเชื่อด้วยว่าพระเยซูผู้นี้ สถิตอยู่ในท่าน เป็นความจริง อันเดียวกันกับตอนที่เริ่มต้น เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน พระเยซูตายที่ไม้กางเขนเป็นความจริง พระเยซูสถิตอยู่ในท่าน ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน เหมือนๆ กัน เป็นความจริงที่สำคัญ
ความเชื่อ ก็คือการจดจ่อ หลับตา มองไปที่สิ่งที่ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ ซึ่งตาฝ่ายเนื้อหนัง ตาฝ่ายร่างกาย มองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้ เราจึงเรียกว่าความเชื่อ ไม่ใช่ความเชื่อ แล้วไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไร ไปเชื่อลมๆ แล้งๆ ไม่ใช่ เชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่ได้บันทึกเอาไว้ บอกว่านี่คือความจริง แล้วเราก็จดจ่อ มองไปที่ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านั้น ที่บันทึกเอาไว้ หลับตามอง ถ้าลืมตาไม่เห็น ลืมตา ก็จะเห็นสิ่งที่สัมผัสแตะต้องได้
ความทุกข์ลำบากต่างๆ บนโลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ สัมผัสได้ แตะต้องได้ มีผลกระทบต่อชีวิตของเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ เหตุก็เพราะว่าความอ่อนแอของร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ซึ่งมันตกอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ แม้ว่าเราเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม เนื้อหนัง ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ตกอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย เพียงแต่ว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา แล้วช่วยให้เรารอดทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า อยู่ภายใต้อวัยวะที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย คือต้องดำเนินไปสู่ความตายอยู่
และนอกเหนือจากนั้น ร่างกายนี้ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังมีอิทธิพลของความบาปและกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คือความเคยชิน ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่แอบแฝงอยู่ ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ก็จะเกิดความทุกข์เหล่านี้ เพราะเนื้อหนังร่างกายที่อ่อนแอตรงนี้แหละ
และเนื้อหนังร่างกายที่อ่อนแอ มันจะส่งผลมาเป็นอย่างไร? เราก็เห็นๆ อยู่ เช่น แก่ เจ็บ ตาย กลัว วิตกกังวล เครียด ท้อแท้ ซึมเศร้า โกรธ เกลียด วิวาท ทำร้ายกัน แก่งแย่งกัน ฆ่ากัน ทำลายกัน นี่คือกระทบต่อร่างกายที่อ่อนแอของเรา ผู้เชื่อ ทำให้เราเกิดความทุกข์
เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคน ก็จะทุกข์อย่างนี้แหละ เพราะร่างกายที่มันอ่อนแอ และรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เกิดความทุกข์ ถ้ารับได้ มันก็ไม่เกิดความทุกข์ แต่นี่รับไม่ได้ เพราะร่างกายมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของความบาป ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ และยังทำงาน มีอิทธิพลอยู่ในร่างกายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูมาช่วยเราแล้ว เราจะเรียนรู้กันต่อไปว่ามาช่วยขนาดไหน? เราเริ่มต้นที่โรม 8:10-11 ในวันนี้ก่อน ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”
ข้อ 10 “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน ผู้เชื่อแล้ว ถ้าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณ จิตใจภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซู เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”
ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู วิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่ จิตใจของท่านได้ถูกเปลี่ยนเป็นใหม่ทั้งสิ้น วิญญาณเหมือนพระเยซู จิตใจก็เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย แต่อาศัยอยู่ในร่างกายที่ยังอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย คือต้องเสื่อมโทรมไปสู่ความตายนั่นเอง
ข้อ 11 บอกว่าอย่างนี้ … “และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระวิญญาณผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซูให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นเดียวกัน”
พูดง่ายๆ ก็คือแม้ว่าร่างกาย อวัยวะภายนอกนี้ จะต้องตาย เสื่อมสลายไปก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระวิญญาณที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเดียวกันนี้ ก็จะประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอกนี้ด้วย
พระคัมภีร์เขียนให้เห็นชัดเจนเลย ให้เห็นถึงรายละเอียดเลยว่าชีวิตแบบนิรันดร์ของพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา พระวิญญาณจะปกคลุมอยู่เหนือทุกส่วนในร่างกายของเรา ทุกเซลเลย นั่นหมายถึงขณะที่อวัยวะทุกชิ้นในร่างกายนี้ หัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท ตา หู จมูก ลิ้น สมอง พูดง่ายๆ ทุกเซลในร่างกายของเรา กำลังเสื่อมโทรม เสื่อมสลาย เสียหาย เจ็บป่วย เป็นทุกข์ ไปสู่ความตาย แน่นอน ไปสู่ความตาย เพื่อลงไปสู่ดิน สู่ความสูญสิ้น ในขณะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน ก็กำลังให้พลังชีวิตแบบพระคริสต์ ให้ฤทธิ์เดชแบบพระคริสต์ ปกคลุม ควบคุมอยู่เหนืออวัยวะต่างๆ ที่กำลังเสื่อมสลาย เสียหายอยู่นั้น ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าจะนอนหรือตื่น ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก พระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้พลังฤทธิ์เดชแบบพระเยซูคริสต์ ให้กับเนื้อหนังร่างกาย อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน พระวิญญาณช่วยเราให้สามารถที่จะชื่นชมยินดี ทรหด อดทน เต็มไปด้วยสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้ได้ ด้วยพลังชีวิต ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ในขณะที่อวัยวะต่างๆ เหล่านี้เสื่อมโทรมไป ทุกข์ลำบากไป ขณะเดียวกันมีพลังอะไรบางอย่าง มีฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาเสริมให้ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความอดทน รับได้กับสิ่งเหล่านี้ มีความหวังกับสิ่งเหล่านี้
ให้พลังชีวิตกับเรา ในทุกอวัยวะในร่างกายที่ต้องตายนี้ ที่ได้รับความทุกข์นี้ จะให้พลังนี้ไปจนกระทั่งถึงสิ้นสุด ขบวนการเสื่อมสลายในที่สุด คือหมดลมหายใจ บนโลกใบนี้ แล้วก็กลับไปสู่ดิน วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะนำวิญญาณของเรา พร้อมทั้งจิตใจที่เหมือนพระเยซูนั้น ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยพระสิริ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเลยทีเดียว เรียกว่าร่างกายสวรรค์ที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย ไม่ได้ตกอยู่ใต้ความเสื่อมโทรมอีกต่อไป เป็นร่างกายนิรันดร์ เป็นร่างกายอมตะ
สรุป ก็คือโลก และทุกสิ่งบนโลก กำลังต่อต้าน ทำร้าย ทำลายเรา ให้สูญสิ้น ตามกฎของความบาปและความตาย แต่พระเยซูผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา กำลังเสริมสร้างเราขึ้นใหม่ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ในเรา ฮาเลลูยา
นี่คือความหวังของเรา ในขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ และเรามองไปที่พันธสัญญาของพระเจ้า ที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ สัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มันเป็นจริงตามนั้น เรารู้อยู่ภายในจิตใจของเรา 2 โครินธ์ 4:16-18 ย้ำยืนยันในเรื่องนี้อีกว่า …
2 โครินธ์ 4:16-18 “16 “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างหล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”
ข้อ 16 เริ่มต้น “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ กลัว เครียด ซึมเศร้า แม้ว่ากายภายนอกเรากำลังทรุดโทรมไป”
ท่านสามารถพูดตามนี้ได้ไหมว่า … “ฉันไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ไม่กลัว แม้ว่ากายภายนอกนี้ ตับ ไต ไส้ พุง อวัยวะทุกชิ้นนี้ กำลังทรุดโทรมไปสู่ความตาย ฉันไม่กลัว ฉันไม่ท้อแท้ ฉันไม่วิตกกังวล”
คำว่า “ท้อแท้” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษ หลายฉบับได้ใช้คำว่า “Lost Heart” ที่แปลเป็นภาษาพูด เรามักใช้คำว่า “ถอดใจ ท้อแท้ หมดหวัง”
“ฉันไม่หมดหวังเลย แม้ว่าจะเจ็บป่วย ฉันไม่หมดหวังเลย แม้ว่าจะทนทุกข์อยู่ตอนนี้ ฉันไม่หมดหวังเลย แม้จะเครียดกับความกดดัน จากผลกระทบของโควิด-19 ในขณะนี้มาก เท่าไรก็ตาม ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่าฉันอยู่ในความทุกข์ แต่ฉันมีความหวังในความทุกข์เหล่านี้” มันแปลว่าอย่างนี้
เราไม่ท้อแท้ หรือเราไม่ถอดใจจากเหตุที่ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไปก็จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เห็นอยู่จริงๆ จับต้องมองเห็นได้ มันกำลังทุกข์
คำว่า “กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป” ตรงนี้หมายรวมถึงทั้งการเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่เป็นไปตามธรรมชาติ ความเสื่อม ความแก่ที่เป็นไปตามอายุขัย ความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้าย โรคเรื้อรังต่างๆ รวมไปถึงความเครียด จนนอนไม่หลับ รวมถึงความทุกข์ทรมาน ทุกรูปแบบ เป็นผลกระทบมาจากเรื่องอะไรก็ตามที่เราได้รับอยู่ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม บางครั้งอาจจะทุกข์มาจากความสูญเสีย ในสิ่งที่รักไป สูญเสียคนที่รัก หรือบางครั้ง เหมือนกับสิ่งที่อยากทำ ก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ไม่อยากทำ ก็ไปทำ มันวุ่นวายไปหมด สิ่งที่ต้องการกลับไม่ได้ สิ่งที่ไม่ต้องการกลับได้มา โลกใบนี้มันช่างวุ่นวายเหลือเกิน
ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนมีส่วนในกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไปทั้งสิ้น อย่างนี้แหละ มันกำลังนำเราไปสู่ความตาย ความทุกข์ลำบากนั่นเอง เป็นเรื่องของกฎของความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ และมนุษย์ทุกคนก็อยู่ใต้กฎนี้ทั้งสิ้น
แต่ถึงแม้ว่าเราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ คือความทุกข์ลำบากเหล่านี้ ก็ตาม เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ เต็มไปด้วยความหวัง ในถ้อยคำตรงนี้ได้บอกต่อว่าเพราะถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังทุกข์ ลำบาก เครียด ท้อแท้ เห็นๆ อยู่ แต่ตัวตนภายในของเรา ซึ่งก็คือวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์นั้น กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวันๆ ในขณะเดียวกันกับที่ร่างกายกำลังทรุดโทรมไป แต่วิญญาณข้างในของเรา ที่เป็นตัวจริงๆ เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่อยู่นิรันดร์นั้น ที่บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ที่เหมือนทั้งวิญญาณและที่เหมือนทั้งจิตใจนั้น โตขึ้นทุกวันๆ ตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเชื่อพระเยซู และได้บังเกิดใหม่แล้ว จนถึงวันนี้ มันก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ โดยได้รับการเลี้ยงดูจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรานั่นเอง เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?
นี่คือความหวังใจของเรา ข้างนอก คือสิ่งที่มองเห็นอยู่ อาจดูเสื่อมโทรมลงทุกวันๆ แย่ลงทุกวัน ทุกข์มากขึ้นทุกวัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ ไม่สิ้นหวัง เพราะเรารู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน รู้ได้อย่างไร? ก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจของเรา ถามคริสเตียนว่ารู้ได้อย่างไร? ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็จะตอบว่า …
“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”
มีอะไรบางอย่างยืนยันอยู่ในใจ มีอะไรบางอย่างย้ำยืนยัน เป็นพยานอยู่ในใจว่ามันใช่ มันถูกต้องในความหวังนี้ มันจับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่หวังไว้ สิ่งนั้น ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลายผู้เชื่อ และวิญญาณเราทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่แหละเป็นตัวยืนยันว่า … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” นี่คือความหวังของเรา
มาดูข้อ 17 กันต่อ อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เราเกิดความมั่นใจ ที่บอกว่ากายภายนอกกำลังทรุดโทรมลง แต่ตัวตนที่แท้จริงข้างใน กำลังเจริญเติบโตขึ้นใหม่ทุกวัน หมายความว่าอะไร? เรามาค่อยๆ วิเคราะห์กันต่อ ในข้อ 17 บอกว่า … “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างหล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย” ฮาเลลูยา
สังเกตให้ดี ในข้อนี้ ใช้คำว่า “เปรียบ” ก็แปลว่ามีการเปรียบเทียบของสิ่งต่างๆ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ดูสิว่าเขาเปรียบอะไรกันอย่างไร? ถ้อยคำตรงนี้กำลังเปรียบเทียบระหว่าง …
(1) ความทุกข์ยากลำบาก
(2) สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าที่อยู่ในเรา
มาดูลักษณะของ 2 สิ่งนี้ ที่เราเปรียบเทียบกัน
(1) ความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังรับอยู่ในขณะนี้นั้น นึกถึงความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ว่าจะมาจากผลกระทบจากโควิด-19 หรือได้รับมาก่อนหน้าโควิด-19 จะมีด้วยซ้ำไป ได้รับมาตั้งแต่เมื่อไร? ได้รับมาตั้งแต่ 3 ขวบ 7 ขวบ 10 ขวบ 50 ขวบ 60, 70 เพิ่มไปเมื่อไรก็ตาม มากขึ้นเมื่อไรก็ตาม เรื่องอะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้ ที่ท่านได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น คือขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้อยู่นั้น มันเป็นสิ่งชั่วคราวเท่านั้น และเป็นสิ่งเล็กน้อย ต้องใช้คำนี้เลยนะ เพราะภาษาเดิมแปลจริงๆ ต้องใช้สำเนียงเสียงช่วยด้วย คือไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ต้องเรียกว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย (ใช้เสียงเล็กน้อยจริงๆ) มากเลย นี่คือลักษณะของสิ่งที่หนึ่ง
(2) สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ นี่เทียบกัน สง่า ราศี พระสิริของพระเจ้า อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์ นิรันดร์ ตะกี้นี้บอกว่าความทุกข์ยากลำบากชั่วคราว อันนี้บอกสง่าราศีอันยิ่งใหญ่นิรันดร์ ตะกี้บอกความทุกข์ยากลำบากเล็กน้อย มาเทียบกับสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สมบูรณ์ เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนใช่ไหมครับ?
อันแรก คือความทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งเล็กน้อยยยยยย มากเลย ในขณะที่สง่าราศี พระสิริของพระเจ้า เป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ และยิ่งใหญ่ มโหฬาร มากมาย
นี่คือที่บอกว่าสองสิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เหมือนกับฟ้ากับเหว เปรียบกันไม่ได้เลย สูงสุด กับต่ำสุด หาไม่เจอเลย ต่ำสุด อยู่ขนาดไหน? ฟ้ากับเหว หรือเหมือนกับเงาและของจริง เงาอยู่ถึงเมื่อไร? แป๊บเดียว ของจริงอยู่นิรันดร์ นี่คือการเปรียบเทียบกันระหว่างเล็กน้อยยยยย ชั่วคราวกับความยิ่งใหญ่ ถาวร นิรันดร์
เห็นอะไรบางอย่างหรือยังว่าท่านมองไปที่ไหน? สำคัญไหม? ท่านมองไปที่สิ่งที่เล็กน้อยยยย ชั่วคราว มองไปที่เงา หรือท่านกำลังมองไปที่สิ่งของที่ยิ่งใหญ่ ถาวร และอยู่นิรันดร์ ของจริง ไม่ใช่เงา ของจริงเลย โรม 8:18 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ เป็นตัวย้ำยืนยัน อยากให้ท่านดูถ้อยคำตรงนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนในการมองไปที่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีท่าที มองไปที่ความทุกข์ยากลำบากนั้น ในลักษณะอย่างไร? …
โรม 8:18 “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”
“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า …” เห็นอะไรบางอย่างไหม? …
“เพราะฉันเชื่อ ฉันจึงเห็น” พูดง่ายๆ
“เพราะว่าฉันหลับตาเห็นนั่นเอง”
“เพราะฉันเชื่อ ฉันหลับตา จึงเห็น ลืมตาไม่เห็น”
“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ได้สำแดงในเราทั้งหลาย”
“เมื่อหลับตา เต็มไปด้วยความเชื่อ ฉันจึงเห็นว่าชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ภายในวิญญาณของฉัน และจิตใจของฉัน ที่บังเกิดใหม่นั้น มันยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบารมี เต็มไปด้วยสิริมากมายขนาดไหน?
เมื่อหลับตา จึงเห็น ที่ผมเคยบอก มองในกระจก แล้วตกใจ เพราะว่ามองไปทีไร ก็เห็นใบหน้าตัวเองแก่ลงทุกวัน เต็มไปด้วยความทุกข์ ลำบาก มีปัญหาโน้น ปัญหานี้ แต่มองกระจก แล้วหลับตา คราวนี้ยิ้มแฉ่งเลยนะ คือ …
“หลับตามองด้วยความเชื่อ สายตาวิญญาณเปิดออก เห็นตัวจริงๆ ของฉันที่อยู่ข้างใน คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน และนอกเหนือจากนั้น ยังเห็น 3 พระภาคของพระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วย เอเมน”
เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์ลำเค็ญมากมายมหาศาล เราควรจะหลับตาเดิน แต่อย่างที่บอก ไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์กับเราเลย จะทำลายเราลูกเดียว ไม่ใช่ พระเจ้าสามารถทำให้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับชีวิตของเรา ที่พระองค์ทรงรักได้ด้วย พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด มีความสามารถ มีสติปัญญาล้ำเลิศ พระองค์ไม่ได้เป็นคนเอาความทุกข์ยากลำบากมาให้กับเรา เรารู้แล้ว จากการเรียนรู้เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าความทุกข์ยากลำบากจะเกิดขึ้นกับลูกๆ ของพระองค์เพราะลูกๆ ของพระองค์ไม่เชื่อฟัง แต่พระองค์ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยความสามารถ พระองค์สามารถเอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกนั้น มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น โอเคไม่เป็นไร เกิดขึ้นปุ๊บ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดผลดี สำหรับลูกของตัวเองเสียเลย นี่มันเป็นอย่างนั้น
ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยยยยมาก และเป็นเพียงแค่ชั่วคราว แต่พระเจ้าเอากลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็คือใช้มันให้เป็นการเสริมสร้าง หล่อหลอมและเตรียมเรา ในการเข้าสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบนิรันดร์ ในอนาคตนั่นเอง ซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่าง ทุกประการ
พูดง่ายๆ ว่าเป็นการตระเตรียมเราเข้าไปสู่การรับความรอด จากพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบนั่นเอง เพราะขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์แล้วก็จริง แต่มันยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าวิญญาณและความคิดจิตใจเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว จบสิ้นไปแล้ว ได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา แต่เรายังสวมร่างกายเก่า ซึ่งตกอยู่ใต้ความบาปและความตาย ในความทุกข์ทรมานเหล่านี้ อย่างที่บอก มันยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์และแถมยังอยู่ในโลกเดิม โลกเก่า ที่เต็มไปด้วยระบบของความบาปและความสาปแช่ง ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้
เพราะฉะนั้น มันยังไม่เป็น Full option ของความรอดนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะความรอดนิรันดร์นั้น จะได้รับก็ต่อเมื่อ ขาด Option อีก 2 อย่างที่ยังไม่ได้รับ ก็คือ …
(1) ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา
(2) โลกใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นใหม่ และสรรพสิ่งบนโลกใหม่เอี่ยมเลย เป็นสวรรค์ใหม่เลย ให้กับเราทั้งหลาย แทนโลกใบนี้ ที่จะอยู่กับพระองค์เป็นนิรันดร์
สองสิ่งนี้ เรายังไม่ได้รับไง แต่สิ่งที่เราได้รับไปแล้ว ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์ไปเรียบร้อยแล้ว รอเพียงร่างกายใหม่ ร่างกายที่มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย และรอไปอยู่ในโลกใหม่ หลังจากโลกใบนี้สิ้นสุดลง ถูกทำลายหมดสิ้นลงแล้ว พระเจ้าทรงประทานโลกใหม่ สรรพสิ่งบนโลกใหม่ๆ ให้กับเราทั้งหลาย ได้อยู่อาศัย นั่นแหละคือ Full option ของความรอด นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ผู้เชื่ออย่างเต็มบริบูรณ์นั่นเอง
ขนาดไม่เต็มบริบูรณ์ ตอนนี้ก็ยังโอ้โห ขอบคุณพระเจ้ามากมายเลย แต่ยังมีความหวังไว้ว่าเมื่อไรจะถึง Full option สักที และความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่เรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความลำเค็ญเหล่านี้ จงมองให้เห็นเถิดว่าความหวังเราอยู่ที่ไหน? ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ให้เป็นตัวเสริมสร้าง ให้เรามีกำลัง ให้เรามีความหวังชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่เราหวังไว้ คือร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เราจะสวมในอนาคต รวมทั้งโลกใหม่นั้น มีอยู่จริง และชัดเจนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประทานความจริงนี้ ชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในอวัยวะทุกส่วน ทุกระบบในร่างกายนี้ที่มันกำลังเสื่อมสลายไป ให้หล่อเลี้ยง ด้วยพลังเสริมนี้ตลอดเวลา ให้รู้ว่าขณะที่ทรุดโทรมลงไป เราจะมีชีวิตใหม่ เรามีความหวังอยู่ในพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โรม 5:3-4 จึงได้บันทึกไว้ลักษณะนี้ว่า …
โรม 5:3-4 “3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจ”
เพราะเหตุนี้แหละ ที่อธิบายให้ฟังไปเมื่อสักครู่นี้ ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เราจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย ไม่ได้ชื่นชมยินดีที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่เหมือนพระเยซู แต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เรากำลังเดินทางไปสู่สิ่งใดที่เราหวังไว้? พระเจ้ากำลังทำอะไร? เราจึงสามารถมีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้
พูดง่ายนะครับ แต่เวลาเผชิญอยู่ ลำบากมากจริง เพราะขณะที่เราลืมตามองดูในสิ่งที่มองเห็น คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันดูเหมือนทุกข์สาหัสจริงๆ เลย เมื่อไรจะหมดทุกข์สักที ทั้งๆ ที่ความจริง มันแป๊บเดียว พระเจ้าบอกเรา แต่เราหลับตา เรามองเห็นชีวิตนิรันดร์ ความสุขนิรันดร์ที่รอเราอยู่ และเราได้รับมัดจำไปแล้ว เราจึงสามารถชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น มันก่อให้เกิดผลดีในชีวิตของเรา พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ก่อให้เกิดผลดี
“เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก ความกดดัน ความท้อแท้ ความลำบาก ความเครียด ความกลัว ความเสื่อมสลายของร่างกาย ผมหงอก ตาเริ่มมองไม่เห็น สายตาเริ่มยาว ประสาทเริ่มเสียลง เดินทรงตัวไม่ค่อยได้ เจ็บโน่น เจ็บนี่ เข่าตึง เข่าทรุด เข่าเสีย หัวใจเต้นผิดปกติ กินยาลดความดัน เป็นโน่น เป็นนี่ ไม่เป็น ก็โดนโน่นโดนนี่ โดนนั่น เครียดไปหมดเลย แต่เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ตะกี้บอก คือความทุกข์ลำบากเหล่านี้ มันทำให้เราเกิดความอดทน ความอดทนเยอะๆ ทำให้เกิดความทรหด เขาเรียกว่าทรหดอดทน แล้วเกิดมีประสบการณ์ขึ้นมา แล้วประสบการณ์นี้ทำให้เราเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ มีกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็งขึ้น ที่พระเจ้าจะสามารถใช้ได้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง ในชีวิตนิรันดร์นั่นเอง และความหวังนี้ ทำให้เราเกิดความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เรามองไม่เห็น แต่เรารู้อยู่ในใจ และทำให้ความรู้อยู่ในใจ และความเชื่อในความรอดตรงนี้ ในความหวังตรงนี้ มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจน แน่ใจมากยิ่งขึ้น คือมีกล้ามเนื้อของวิญญาณ กล้ามเนื้อของความเชื่อและความหวังใหญ่ขึ้น
ผมนึกถึงภาพ เหมือนคนเข้ายิม ทุกคนที่เข้ายิมหรือฟิตเนส ถามว่าเข้าไปทำอะไร? เข้าไปทรมานตัวเอง หลักการ คือทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน เกิด สเตทต่ออวัยวะในร่างกาย กล้ามเนื้อเหล่านั้น เพื่อจะใช้ความอดทน จะเห็นชัดเลย ยกน้ำหนัก จะให้กล้ามเนื้อขึ้น ต้องยกให้มันหนักเข้าไว้ หนักขนาดกล้ามเนื้อนั้นๆ เกือบจะรับไม่ไหวแล้ว ให้มันเกิดความกดดัน เกิดความทุกข์ต่อกล้ามเนื้อนั้น พอทุกข์ปุ๊บ แล้วปล่อยให้มันพัก มันก็จะเสริมสร้างตัวเองขึ้นมา เพื่อจะรอรับความทุกข์อันต่อไป ตามธรรมชาติ เผื่อมีความทุกข์ขึ้นมา จะได้รับได้ เกิดความอดทน ความอดทนทำให้เกิดกล้ามเนื้อค่อยๆ แข็งแรงขึ้น เกิดเสริมสร้างขึ้น พอได้ระดับหนึ่งปุ๊บ ก็ต้องยกหนักขึ้นอีก เพื่อให้เกิดความทรหด ให้กล้ามเนื้อนั้นได้เสริมสร้างขึ้นอีก เป็นขั้นเป็นตอน เสริมสร้างขึ้นเรื่อยๆ อดทน ทรหด
ทรหดแล้วก็มีความทรหดมากขึ้น มีประสบการณ์ทรหดนั้น แล้วก็เกิดอุปนิสัยใหม่ของร่างกาย อุปนิสัยใหม่ของกล้ามเนื้อนั้น ก็เกิดขึ้น คือกล้ามเนื้อที่เล็กๆ ก็กล้ามใหญ่ขึ้น มีกำลังมากขึ้น เอาไปประกวดเพาะกายได้ เบ่งกล้ามออกมาสวยงาม
ถามว่าเขาทุกข์ทรมาน เพราอะไร? เพราะหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะได้ตามรูปที่บอกไว้ จะได้เพาะกายกล้ามเนื้อ นักเพาะกาย ถ่ายรูปมาสวยๆ กว่าเขาจะได้อย่างนั้น เขาทำความทุกข์ยากลำบากให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อเหล่านั้น เป็นเวลานานเท่าไร? อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า นานเท่าไร? เพราะฉะนั้น ก็ลักษณะเดียวกันในโลกวิญญาณ
พระเจ้าทราบดีหมดว่าคนไหนเหมาะสมอย่างไร? ไม่ใช่เข้ายิม ทุกคนก็ทำได้เท่ากันหมด ทุกคนเข้ายิม ยกน้ำหนักเท่ากันหมด ทุกคนเข้ายิมยกน้ำหนักตั้งแต่ 2, 3 กิโลฯ แล้วไปถึง 100 กิโลฯ ได้ เราเข้าไปใหม่ๆ สรีระร่างกาย อาจไม่ได้เท่ากับนักเพาะกายคนนี้ หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าเลย เพราะเราต้องเกิดมาเป็นเขา จะไปเปรียบเทียบกับเขา ทำตามเขา ไม่ใช่อย่างนั้น เทรนเนอร์คงไม่ทำอย่างนั้นกับเรา เทรนเนอร์ก็คงดูแลเราว่าสรีระร่างกาย ความสามารถของกล้ามเนื้อของเราขณะนี้ และด้วยการเกิดของสายพันธุ์ เชื้อชาติของเรา ขณะนี้ เรารับได้ขนาดไหน? ก็ค่อยๆ ฝึกไป ค่อยๆ ตามแต่ความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เห็นไหมครับ? ไม่ใช่เข้าไป ก็อยากจะเป็นนักเพาะกาย เหมือนคนที่เขาทำซะสวยเลย …
“ผมอยากได้แบบนั้นบ้าง?”
“ฉันอยากได้แบบนี้บ้าง?”
เทรนเนอร์บอก … “ไม่ได้หรอก ต้องไปเกิดใหม่ เป็นไปไม่ได้หรอก” อะไรต่างๆ เหล่านี้
เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็เป็นเหมือนเทรนเนอร์ ทรงทราบดีว่าแต่ละคนมีคุณสมบัติ มีความสามารถ มี DNA จากพ่อแม่ที่เกิดมา จากเชื้อพันธุ์ที่เกิดมา มีโรคประจำตัวอะไรไหม? เป็นอย่างไรไหม? รับได้ขนาดไหน? พระองค์ทรงทราบดี พระองค์จึงจัดเตรียมให้แต่ละคนรับได้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระองค์จัดเตรียมให้เหมาะสำหรับแต่ละคน พอดีๆ พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่เกินกว่าที่เราจะรับได้
ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่เกินกว่าที่เราจะรับได้ แต่พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ สัตย์ธรรม พระองค์ทรงเตรียมแผนการบอกให้กับเราเรียบร้อยแล้ว คือให้เราได้พัก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อต่อไป ไม่ให้ถึงขนาดบาดเจ็บนั่นเอง เทรนเนอร์ที่ไม่ดี ก็คือทำตามใจคนออกกำลังกาย อยากจะทำอย่างนี้ ปล่อยให้ทำไป ยกน้ำหนักเกินกว่าตัว ที่จะสามารถทำได้ ก็เกิดความบาดเจ็บ พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น
ดังนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่า 2 สิ่งนี้ มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย คือ …
(1) ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อยมาก และเป็นสิ่งชั่วคราว เหมือนเงา
(2) สง่า ราศี และพระสิริของพระเจ้า ที่ได้ทรงสำแดงในเราเรียบร้อยไปแล้ว และได้สัญญากับเราว่าจะให้กับเรา หลังจากเราจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ครบถ้วนถาวรนิรันดร์ เปรียบกันไม่ได้เลย
เมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว เราจะจดจ่อ จดจ้อง มองไปที่ใดในชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว ความจริงเหล่านี้ลงไปอยู่ในจิตใจของเราแล้ว เราจะจดจ่อชีวิตของเรา จิตใจของเรา จดจ่อมองไปที่สิ่งไหน? สิ่งที่มองเห็น หรือสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่เป็นความทุกข์ยากลำบาก ที่มองเห็นอยู่ หรือสง่าราศี พระสิริพระเจ้า การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ และชีวิตนิรันดร์แบบสมบูรณ์แบบ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ในโลกวิญญาณ และในสวรรค์เบื้องหน้านั้น เราจะมองไปที่ใด
คำตอบ สรุปจบอยู่ในข้อ 18 ที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เราวิเคราะห์ด้วยกัน ข้อ 18 นี้ เป็นบทสรุปที่เยี่ยมยอดมากเลย 2 โครินธ์ 4:18 …
2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”
แทบจะเอาไปท่อง หรือเอาไปคิดไตร่ตรองกันได้อย่างสงบเลยนะ … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น มันเป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ยั่งยืน เป็นเหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นถาวรนิรันดร์”
ผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร? ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นกับเราก่อนโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร? ความทุกข์ทางกาย ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนจะเสื่อมไป ไตจะเสียไป ตับจะแย่ไป ลำไส้จะเป็นมะเร็ง คือทุกคนเป็นมะเร็งอยู่แล้ว ถ้ามีอายุแก่พอนะ เป็นมะเร็งกันทุกคนแหละ เพราะมันเสื่อมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม ไม่ว่าความทุกข์ในรูปแบบลักษณะใดก็ตาม มันเหมือนเงา แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มันถาวรนิรันดร์
สิ่งที่มองไม่เห็น คือสิ่งที่สามารถเห็นได้ โดยการหลับตา หลับตาแล้วเห็นถ้อยคำพระเจ้า เขียนเอาไว้ สัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ หลับตา แล้วเห็นโลกวิญญาณ …
“หลับตา แล้วเห็นชีวิตของฉันได้เกิดใหม่ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และมีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้ว เดี๋ยวนี้ ในขณะนี้ อยู่อาศัยในร่างกายเดิมนี้อยู่ ชั่วคราว แป๊บเดียวเอง และเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง จบลง จะกี่ปีก็ตาม วิญญาณของฉัน ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของฉัน รวมทั้งความคิดจิตใจของฉันเป็นเหมือนพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะนำไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซู ตอนเป็นขึ้นจากความตาย ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ฉันจะไปสวมในร่างกายนี้ และฉันก็จะอาศัยอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียม สร้างให้ ในวันที่โลกใบนี้สิ้นสุดลง โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่ไม่มีมารซาตาน ไม่มีความบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ก็คือไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป (ถามว่านานเท่าไร?) เป็นนิจนิรันดร์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ร่างกายที่ไม่ต้องทนทุกข์ เครียด ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เหมือนพระเยซู จะเป็นร่างกายของฉัน และเป็นร่างกายที่ไม่ต้องมาต่อสู้กับความบาปอีกต่อไป ไม่ต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป เพราะมันไม่มีแล้ว และฉันจะอยู่ในโลกใหม่ ที่มีสัตว์เลี้ยงที่ฉันรัก แต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่สร้างใหม่ เกิดใหม่ พร้อมๆ กับโลกใหม่ ต้นไม้ใหม่ ธรรมชาติใหม่ สวยสดงดงามกว่าสมัยสวนเอเดนอีกด้วยซ้ำไป แล้วฉันจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้าชั่วนิรันดร”
นี่คือ Full option ของความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ที่เราควรจะมองไปที่นี่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในขณะนี้ เราควรจะหลับตา แล้วมองสิ่งเหล่านี้ ควรจะหลับตา ผ่านทางความเชื่อ ผ่านทางถ้อยคำ คำสัญญาจากพระเจ้า เห็นถึงความจริงเหล่านี้ ที่เกิดขึ้น และขอบคุณพระเจ้า และรับรู้ได้ ด้วยวิญญาณของเรา ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างใน เรารู้ว่ามันใช่ เรารู้ว่ามันจริง เรารู้แม้กระทั่งเราหลับตา เราก็เห็นชัดเจน เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา ได้รับการยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ได้รับการยืนยันจากตัวเราเอง คือวิญญาณที่อยู่ภายใน และจิตใจของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นความจริงทุกประการ เรามีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ
**************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความจริง 3 ประการ ที่ทำให้ท่านชนะ โควิด-19 อย่างเด็ดขาด
(1) พระเจ้าพระบิดาพูดกับท่านว่า …
“เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย”
(2) พระเยซูพูดกับท่านว่า …
“เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่านในร่างกายของท่าน”
(3) พระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับท่านว่า …
“ท่านเป็นลูกของพระเจ้าและเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”
(4) ท่านพูดกับตัวเองว่า …
“God is for me who can be against me”
“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากความกลัวและความวิตกกังวล ความจริงจะนำท่านสู่ชัยชนะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม”
“เพราะว่าพระเจ้ารักผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มาก จนถึงขนาดยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่สูญสิ้น (พินาศ) แต่จะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป พระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกนี้ เพื่อตัดสินลงโทษโลกนี้ แต่เพื่อช่วยโลกนี้ให้รอดพ้น คนที่ไว้วางใจพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่คนที่ไม่ไว้วางใจก็ได้ถูกตัดสินลงโทษไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระเจ้า” ยอห์น 3:16-18
เราไม่สามารถพึ่งความดีกระทำความดี เพื่อไปสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้ แต่เราพยายามทำดี เพื่อจะได้มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
พระเจ้าไม่ได้รอตอบคำอธิษฐานของเรา ตามที่เราต้องการ เราต่างหากที่รอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ จงอดทนรอให้พระเจ้า ทำตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่แผนการของเรา เพราะพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ
พระเจ้าอวยพรครับ