คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2021
เรื่อง “พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่ด้วย”
โดย นคร เวชสุภาพร
“พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่ด้วย” นี่คือหัวข้อเรื่องในวันนี้ สัปดาห์ที่แล้วเราฉลองวันอีสเตอร์ ใช้หัวข้อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” เนื่องจากพระคัมภีร์จะใช้ 2 คำนี้ คือ …
“พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย” หรือ …
“พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่” หรือ …
“พระเจ้าชุบพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่” อีกคำหนึ่งที่ใช้ ก็คือ …
“พระเยซูบังเกิดใหม่”
“เกิดใหม่แล้ว” … ใช้คำเดียวกัน
เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาบรรยาย มาเรียนรู้กันถึงถ้อยคำนี้ ที่บอกว่า “พระเยซูบังเกิดใหม่แล้ว ฉันก็บังเกิดใหม่แล้ว” ทำให้เห็นภาพชัดขึ้น ง่ายขึ้นในการบังเกิดใหม่ ในการเป็นขึ้นจากความตายของเรา พร้อมกับพระเยซู
การเป็นขึ้นจากตาย คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง การเป็นขึ้นจากตายในวันที่ 3 ของพระเยซู หลังจากถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด และมีผลต่อมนุษยชาติแต่ละคนบนโลกใบนี้ สำคัญที่สุดเลยว่าไม่ได้มีผลต่อส่วนรวมเฉยๆ แต่มีผลต่อแต่ละคนเลย ถ้ามนุษย์คนนั้นเชื่อในข่าวดีนี้ ก็จะมีผลกระทบไปถึงตัวเขาเลยทันที ถ้าท่านเชื่อและรับเอาข่าวดีนี้
ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าท่านเชื่อและรับข่าวดีนี้ ซึ่งคือความจริงนี้นั่นเอง ความจริงนี้ได้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว เป็นจริงๆ ตามนี้ ใครที่เชื่อ ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่สำคัญที่สุด ในตัวตนแท้จริงในวิญญาณ และจิตใจข้างในของท่าน เปลี่ยนแปลงทันทีที่ท่านเชื่อ
การเป็นขึ้นจากตาย การบังเกิดใหม่ของพระเยซู มีผลต่อท่าน มนุษย์แต่ละคน เป็นการส่วนตัว จึงเป็นความจริงที่สำคัญที่สุด ที่มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้ จำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อใช้สิทธิ์ของตนเอง ที่พระเจ้าได้ทำให้แล้ว ถ้าไม่ใช้ ก็เสียดายมาก ของใคร? ของเขาเลยนะ เป็นการส่วนตัว ถ้าท่านใช้สิทธิของท่านตรงนี้ ผล ก็คือ ท่านจะได้ไม่ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามลำพังคนเดียว มีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ไม่ต้องหวาดกลัว วิตกกังวลว่าจะทำอย่างไร? จะไปอย่างไรดี? ตายแล้วจะไปไหน? วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น? ไปดูดวง? ดูอะไรต่างๆ มันไม่มีความหวังอะไรเลย ไม่มีเป้าอะไรเลย
แต่ถ้าท่านใช้สิทธิของท่าน … ท่านจะมีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย สถิตอยู่กับท่าน เป็นผู้พาท่าน นำท่าน จูงมือท่าน เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยทีเดียว ทันทีเลย ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป ความหวังทั้งหลายก็อยู่ในพระองค์ และท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทันที ในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หรือวินาทีแรก ที่ท่านเปิดใจเชื่อข่าวดีนี้ ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเองเลย
อย่าหาว่าท้าเลยนะ แต่ก็ท้าจริงๆ แหละ มาชิมเลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ถ้ามิฉะนั้น ความจริงนี้ไม่มาถึงทุกวันนี้หรอก เป็นพันๆ ปีแล้ว
การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ของพระเยซูคริสต์ คืออันเดียวกัน เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของข่าวดี ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ที่เชื่อทุกคน ได้เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากตาย และการบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งเป็นหลายๆ พันปี ด้วยความรักมนุษย์อย่างมากมาย เพื่อว่าท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่และพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับท่าน เดินกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี่ยวนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย จนกระทั่งถึงนิรันดร์ อยู่กับท่านเดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเน้นให้ชัดๆ ว่าท่านจะสามารถอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลยทันที มีประสบการณ์อยู่กับพระองค์เดียวนี้เลยทันที จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์ อย่างที่ตะกี้นี้ที่ผมบอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ ท่านไม่ใช้สิทธิของท่านหรือ? ผมเสียดายมากๆ เลย หลายท่านยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ โดยเฉพาะในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านจะพึ่งใคร? ท่านจะพึ่งวัคซีนหรือ? หรือจะพึ่งรัฐบาล? หรือท่านจะพึ่งเงินที่ท่านมีอยู่เยอะแยะล้นฟ้า? หรือจะพึ่งใคร? ในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด มันเป็นปัญหาที่ยุ่งยากวุ่นวายไปหมด ซึ่งในอดีตมีเรื่องราวที่เป็นอุปสรรค์ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้อีกเยอะแยะ แล้วเขาพึ่งใครกัน? เขาถึงจะได้รับความรอด ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ เราไปดูในอดีตได้ ก็พึ่งในพระเจ้า ผู้ทรงนำพาเขาได้
นี่แหละ เราต้องพึ่งในพระเจ้าในขณะนี้ จะกิน จะอยู่ จะดำเนินชีวิตอย่างไร? ด้วยความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อไปหรือ? อะไรต่างๆ เหล่านั้น เฉพาะเหตุการณ์ในตอนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะน่าเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เข้ามาใช้สิทธิของท่าน ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป แต่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าปราศจากการบังเกิดใหม่ของพระเยซู คือการเป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อของเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูหรือเชื่อในพระเจ้า ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพระเยซูตรัสว่าผู้ที่จะเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องบังเกิดใหม่ ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์
เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย พระเจ้าทำให้พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้มีโอกาสได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ด้วย เอเมน เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันในวันนี้เพิ่มเติม 1 โครินธ์ 15:17-22 …
1 โครินธ์ 15:17-22 “17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์ ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง 20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”
สรุปรวมในนี้ ก็คือถ้าเกิดพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นจากความตาย ไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ถูกไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น ในนี้บอกว่าท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน ในอาดัม บรรพบุรุษเดิมของเรา ซึ่งตายทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ถ้าพระเยซูไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ยังเป็นคนเดิม ที่อยู่ในบาป ในอาดัม ในความตาย ทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตายขาดจากพระเจ้า ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่ในนี้บอกว่าแต่ว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่จริงๆ ก็คือเราก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเราได้ใช้สิทธิของเรา ได้เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เราก็มีชีวิต บังเกิดใหม่ อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระคริสต์ บริสุทธิ์ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เราก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น เป็นขึ้นมาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แต่วิญญาณและจิตใจ เป็นขึ้นมาก่อน ทันทีทันใดเลย ส่วนร่างกายเป็นขึ้นมาใหม่เหมือนกัน แต่รอก่อน รอให้ร่างกายเดิม หมดเวลาของเขาที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้เราเรียบร้อยทันทีเลย เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ใน 1 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย (เป็นขึ้นจากตาย) บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ของพระเยซูคริสต์”
“พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังใจอันยืนยง” ก็คือหวังใจในนิรันดร์เลย ไม่ใช่เดี่ยวนี้อย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ “โดยการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ ของพระเยซูคริสต์” นี่ชัดมากเลย
เราบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ของพระเยซูเช่นเดียวกัน คล้ายๆ ในอดีตที่เราอยู่ในความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป ในอาดัม บรรพบุรุษของเรา บัดนี้ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นลูกของพระเจ้า
เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าท่านหรือฉันเชื่อ และใช้สิทธิ์ ฉันก็เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็สามารถเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์ ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายได้ อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? อย่างนี้ไม่เรียกว่าอัศจรรย์หรือ? แล้วทดลองได้ไหม? ชิมได้ไหม? ชิมได้ แล้วใครจะรู้? ส่วนตัวท่านจะรู้เลยว่าวิญญาณและจิตใจท่าน ได้บังเกิดใหม่ มันเป็นอย่างไร? ท่านจะมีประสบการณ์แห่งการเป็นขึ้นจากความตาย ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย จนไปถึงนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณ จิตใจ ทันทีเลย ส่วนร่างกายรอก่อน รอให้หมดหน้าที่บนโลกใบนี้เสียก่อน
ถ้าเชื่อ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณที่บังเกิดขึ้นแล้ว พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้ตายที่ไม้กางเขนแล้ว ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และปัจจุบันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ทุกสิ่งเหล่านี้ได้ถูกบันทึก และสถาปนาอยู่ในโลกวิญญาณ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในโลกวิญญาณอย่างนั้นเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าใครเชื่อความจริงตรงนี้ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกวิญญาณทันทีของคนที่เชื่อนั่นแหละ ในโลกวิญญาณ ตัวเขาเป็นวิญญาณและจิตใจที่ติดมากับวิญญาณนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีเลย คนที่รับสิทธิ์ในข่าวดีนี้ ก็คือคนที่ยอมรับว่าเป็นความจริง และใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขา ก็คือคนที่ยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดตัวตน แท้จริงในโลกวิญญาณ ก็คือเขาถ่อมใจลง
ถ่อมใจลง ไม่เย่อหยิ่งแล้ว เย่อหยิ่งอย่างไร? ไม่พึ่งตนเองอีกต่อไปว่าตนเองทำได้ พึ่งในความดี ไม่พึ่งแล้ว ยอมรับว่าตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้ พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องมีที่พึ่ง อันถาวร อันดับแรก ต้องถ่อมใจตรงนี้ก่อน ถ่อมใจยอมรับว่าตนเองพึ่งตนเองไม่ได้ เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนบาป ตัวนี้ลำบากมากเลยที่จะยอมรับ
ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป คือยอมรับว่าตัวเองเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับความดีงาม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขอพระเจ้าให้เข้ามาช่วย ขอพระเยซูให้เข้ามาช่วย นี่แหละ คือคนที่จะใช้สิทธิ์ของเขา พระเจ้าก็จะเข้ามาตามที่เขายอม และเข้ามาช่วย โดยเริ่มต้นผ่าตัดทางวิญญาณ พาเขาเข้าไปสู่โลกวิญญาณ มิติวิญญาณ เพื่อทำการรักษา เยียวยาชีวิตของเขาทันที เพราะโลกของพระเจ้า เรียกว่าโลกของสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นโลกสวรรค์ โลกวิญญาณที่มีพระเจ้า โลกของพระเจ้า เราเรียกกันว่าโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ ก็สถิตอยู่ที่นั่น ในโลกวิญญาณ และพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ แปลว่าพระองค์ทรงเป็นอยู่ ชื่อของพระเจ้าพระบิดา ก็บอก พระองค์ชื่อว่าเราเป็น
เพราะว่าพระองค์ไม่มีอดีต และไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน คือพระองค์เป็นอย่างนั้น หมายถึงในมิติโลกวิญญาณ มันไม่มีกาลเวลา ไม่มีว่าอดีต 3 ชั่วโมงที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว 3,000 ปีที่แล้ว ไม่มี มีแต่เกิดก็เกิดเลย สถาปนาอยู่ที่นั่น เมื่อเรายอมรับว่าตัวเราเองเป็นคนบาป ต้องการการช่วยเหลือ เปิดใจให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัด พระเจ้าก็เข้ามาในวิญญาณของเรา แล้วก็ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ด้วยวิธีการที่บันทึกไว้ในโรม 6:3-6 เพื่อจะย้ำให้ท่านเห็นชัดๆ เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน อันดับแรกเลยที่เราเข้าไปในสิทธิ์ปุ๊บ มันจะเกิดขึ้นทันที พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู ข่าวดีนี้ปุ๊บ ใช้สิทธินี้ พระเจ้าผู้เป็นวิญญาณเข้ามาในมิติโลกฝ่ายวิญญาณ เข้ามาที่วิญญาณของเรา และทำสิ่งนี้แหละ เราเรียกกันว่าผ่าตัดฝ่ายวิญญาณแล้วกัน …
โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาป ในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”
“ท่านรู้ไหม?” เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ทันทีที่เชื่อในข่าวดีนั้น ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกพระเจ้านำเราเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ จำตรงนี้ไว้ให้ดี
เข้าไปในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผ่าตัดเอาวิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระเยซู พอเข้าไปในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีทันใด ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระเยซูคริสต์ ทางวิญญาณและจิตใจของเรา ที่พระเจ้านำออกมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูตาย เราก็ตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น
ข้อ 4 จึงบอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการเข้าส่วนร่วมในความตาย ถูกฝังไว้ในความตายร่วมกับพระเยซู เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิต บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย” ตายไปกับพระเยซู ก็เพื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น
ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราเชื่อและพระเจ้าผ่าตัดวิญญาณเราแล้ว ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในความตาย เราตายร่วมกับพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่เช่นเดียวกัน
นี่คือวิธีการของพระเจ้า ที่เข้ามาเยียวยารักษาวิญญาณและจิตใจของเรา รวมทั้งร่างกายด้วย
ข้อ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราที่อยู่ในบาป ในอาดัมนั้น นึกภาพนะ นี่คืออดีตก่อนที่เราจะเปิดใจรับเชื่อ พอรับเชื่อปุ๊บ ตัวเก่า ที่อยู่ในบาปอยู่ในอาดัมนั้น ที่สกปรก โสโครกนั้น ถูกตรึงตายไว้กับพระองค์ คือพระเยซูคริสต์แล้ว เพื่อตัวบาป ตัวเก่านั้น จะได้ถูกขจัดออกไป ก็คือตายไป เพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของมาร ของความบาปอีกต่อไป โคโลสี 1:13-14 ได้บรรยายภาพให้เห็นชัดเจน อย่างที่ผมบอกว่ามิติของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร? และพระองค์ทรงรักษาเยียวยา เมื่อเรารับเชื่อในข่าวดีนี้อย่างไร? โคโลสี 1:13-14 …
โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”
ในมิติโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ หรือที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น ปรากฏว่าในนี้ อธิบายให้เห็นชัดเลยว่ามีอยู่ 2 แห่ง …
แห่งหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรของความมืด
แห่งที่สอง คืออาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรารู้แล้ว พระองค์บอกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง
ปรากฏว่าในโลกวิญญาณมี 2 สถานที่ … สถานที่หนึ่งเรียกว่ามืด อีกสถานที่หนึ่งเรียกว่าสว่าง … สถานที่สว่าง เรียกว่าในพระบุตร หรือว่าในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น ในสถานที่มืด ก็ต้องใช้คำว่าในอาดัมนั่นเอง จะเห็นภาพแล้วนะ ชัดมากเลย
การผ่าตัดของพระเจ้า คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ถ้าไม่ยินยอม อยู่ดีๆ พระองค์เข้าไปทำอะไรไม่ได้เลย เขาต้องยินยอม คือเปิดใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เปิดใจเชื่อ เขาเรียกว่ายินยอม พอยินยอมปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาผ่าตัด ก็คือย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ออกจากในอาดัม ไปสู่ในพระคริสต์ จากความตายมาบังเกิดใหม่ จากการเป็นทาสมาร ทาสความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า มากลายเป็นลูกของพระเจ้า ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์นั่นเอง ซึ่งก็หมายถึงอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ก็คือผ่าตัดเอาวิญญาณมนุษย์ทันทีเลย ออกจากความพินาศในนรกมาอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้าทันที มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จึงจำเป็นและจะต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในอาดัม หรือในพระเยซูคริสต์
ต่อให้ท่านบอกไม่เชื่อๆ เรื่องนี้ ต่อให้เชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นเรื่องจริงแน่นอน พระเจ้าอธิบายให้ฟังแล้ว ให้ท่านเลือกเอง ท่านจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณนี้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูในการตาย และการถูกฝังในอุโมงค์ของพระเยซูทำให้เราได้รับการอภัย จากความบาปผิดทั้งหมดทั้งปวง ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคตทั้งหมดเลย
การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู หรือการบังเกิดใหม่ของพระเยซู ก็ได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ด้วยพระคุณของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าประทานให้ฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แค่นั้นยังไม่พอ ด้วยพระคุณซ้อนพระคุณ อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้ายังได้ประทาน ไม่ใช่ยกโทษให้เฉยๆ แต่ยกโทษแล้ว เปลี่ยนหัวใจและวิญญาณใหม่ให้เรา เปลี่ยนแกนของชีวิตของเรา จากความชั่ว มาเป็นความดี จากความเลว มาเป็นผู้ชอบธรรม จากวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณลูกของพระเจ้า เรียกว่าเกิดใหม่ทันที รับเรามาเป็นลูกของพระองค์ เข้ามาอยู่ร่วมกันกับพระองค์ กับครอบครัวของพระองค์ ในวัง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนั่นเอง ซึ่งรับเข้ามาอยู่เมื่อไร? ต้องรอให้ตายไปก่อนไหม? ไม่ต้อง เริ่มต้นทันทีเลย ประสบการณ์นี้ เดี๋ยวนี้เลย ณ ขณะที่ท่านเปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน เขาถึงเรียกกันว่าพระคุณมหัศจรรย์ พระคุณอันยิ่งใหญ่ โคโลสี 2:9-10 จึงบันทึกอย่างนี้ว่า …
โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ (ผู้เชื่อทั้งหลาย) 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ เหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”
นี่กำลังพูดถึงผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ได้รับการผ่าตัด ได้รับการย้ายวิญญาณและความคิดจิตใจ ตัวจริงๆ ของเขาเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว
ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ต้องจำให้ได้ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ ในขณะนี้ “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์” หมายถึงผู้เชื่อทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ “และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ เหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น” ผลของการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผลของมัน คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์ นึกถึงเราแต่ละคน พอเราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ สิ่งนี้เกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ในชีวิตของเรา คือความบริบูรณ์ในพระคริสต์
ท่านอยากถามว่า … “พอฉันรับเชื่อแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เกิดใหม่พร้อมพระองค์แล้ว ฉันได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์เป็นอย่างไร?”
“ความบริบูรณ์ในพระคริสต์ คืออะไร?” พระคัมภีร์ในนี้เขียนเอาไว้ ในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกาย (ผู้เชื่อคนนั้น) ก็แปลว่าพระเจ้ามีพระลักษณะอย่างไร? พระเจ้าเป็นอย่างไร? พระคริสต์ก็เป็นอย่างนั้น และพระคริสต์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร? ผู้เชื่อคนนั้นก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อเปิดใจเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ทันทีเลย ก็ได้รับตรงนี้เข้าไปแล้ว
มันน่าตกใจใช่ไหม? แล้วไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนไม่ค่อยอยากจะเชื่อตรงนี้ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจเลยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่สามารถใช้สติปัญญาของมนุษย์เลย 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกซ้ำลงไปอีกอย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้า ถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”
“แบบนี้สิ” ในบริบทนี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก
แบบนี้สิ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทำให้ความรักของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ ตามเป้าหมายของพระองค์ ในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย และทำให้พวกเราทั้งหลายมีความมั่นใจในวันพิพากษา คือเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว มีวันหนึ่ง วันแห่งการพิพากษา ที่พระเจ้าจะมาตัดสินบนโลกใบนี้แล้ว ที่เรียกว่าวันสุดท้ายของโลกใบนี้ เราก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะว่าในวันพิพากษา เราสบายมากเลย พิพากษาว่าใครดีใครชั่ว ใครจะไปอยู่ในสวรรค์ เพราะเราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว
ในนี้บอกว่าก็เพราะชีวิต จิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่บนโลกนี้นั้น เรามั่นใจ ไม่ใช่มั่นใจ เพราะเราทำดี หรือมั่นใจ เพราะเรามีความเชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า หลังความตาย เราจะไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ ในนี้บอกว่าอะไร? เรามีความมั่นใจ ก็เพราะว่าชีวิต ทั้งวิญญาณและจิตใจของเราในขณะนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว วิญญาณและจิตใจขณะที่เราอยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิต จิตวิญญาณของพระคริสต์ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เราเป็นเหมือนพระองค์เดี๋ยวนี้เลย ก็มั่นใจสิ ในวันพิพากษาก็สบายสิ ถามว่าบริสุทธิ์เท่าไรในวันพิพากษา บริสุทธิ์จากบาปเท่าไร? ไม่ใช่ 90% แต่ 100% เท่าๆ กันกับพระเยซูเลย แล้วไม่มั่นใจว่าจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นขึ้น และเป็นสภาพของตัวตนแท้จริงของฉัน เดี๋ยวนี้แล้ว พระเจ้าทำให้เป็นขึ้นจากความตาย และบังเกิดใหม่ โดยการประทานวิญญาณดวงใหม่ให้กับเรา ใจใหม่ให้กับเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่ใช่ 2 อย่างนี้เท่านั้น แต่ในอนาคตอันใกล้ ทั้งร่างกายก็ใหม่ด้วย เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้เผยพระวจนะแผนการเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเอเสเคียล 36:26 … พระเจ้าจะประทานใจใหม่และวิญญาณใหม่ …
เพราะฉะนั้น โคโลสี 3:1-4 พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราจดจ่อในเรื่องจริงเหล่านี้ อย่าให้มันหลุดออกจากความคิดจิตใจเราไป อย่าให้มันหลุดออกจากความรู้ความจริงในเรื่องนี้ไป เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นจริงๆ และมีผลกระทบต่อความเชื่อ และมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ต่อวิญญาณของเราจริงๆ …
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
ให้เราจำภาพนี้ให้ได้ว่ามันเกิดขึ้น พระคัมภีร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราลืม เพราะมันเป็นเรื่องโลกวิญญาณที่เกิดขึ้น
สรุปของข้อความตรงนี้ ก็คือเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระเจ้าได้ชุบท่านให้เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ มีความบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ให้จดจำตรงนี้ไว้ อย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้มากนัก แต่ให้ฝักใฝ่และจดจ่ออยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ตัวเก่าของเรา ที่เต็มไปด้วยความบาป สกปรก มันตายไปแล้ว มันไม่อยู่ ถูกขจัดออกไปแล้ว ตอนนี้ท่านได้ถูกให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม มันคนละเรื่องกับตัวท่านที่เป็นอยู่
นอกจากความคิดจิตใจและวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ กลับมาอีกทีหนึ่ง ท่านก็จะได้รับร่างกายใหม่ ปรากฏพร้อมกับพระองค์ ด้วยร่างกายที่บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ต้องกลัวโควิดอะไรต่างๆ ไม่ต้องมีการทำบาป ไม่ต้องมีภาระในการวิตกกังวล กลัว ไม่ต้องต่อสู้กับความบาปอีกต่อไป เพราะว่าร่างกายใหม่ท่านจะไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลความบาปเลย แม้แต่น้อย และไม่มีใครจะมาล่อลวงท่านอีกแล้ว เพราะมารก็ถูกตัดสิน จบไปแล้ว ในโลกใหม่ วิญญาณใหม่ ไม่มีการล่อลวงของบาปอีกต่อไป ให้เราคิดแต่เรื่องเหล่านี้ นี่คือเคล็ดลับที่พระเจ้าได้สอนเรา เมื่อเราเปิดใจเชื่อในพระเยซูแล้ว
เหตุการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบ ถามว่าทุกข์ใจไหม? เดือดร้อนไหม? เดือดร้อน กังวลไหม? กังวล กลัวไหม? กลัวสิ เป็นมนุษย์ทำไมไม่กลัวล่ะ ความกลัวเป็นสิ่งที่ดีด้วยนะ กลัว เราจึงใส่หน้ากากอนามัยไง กลัว เราจึงไม่ไปร่วมกับคนอื่นที่เขาไปในที่ชุมนุมชน ที่เขาไม่ระมัดระวังกัน ที่เขาไม่กลัว เอาเชื้อมาติดที่บ้าน คนอื่นเดือดร้อนด้วย อย่างนี้เรียกว่าความกลัว วิตกกังวลมันเป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่คนที่เชื่อในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์เดี๋ยวนี้เลยทันที หนึ่งอย่างที่เขาจะไม่กลัวเลย ก็คือในโลกวิญญาณเขาจะไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวความตาย พูดถึงความตาย ยิ้ม หัวเราะเลย แต่อาจวิตกกังวล กลัวในวิธีตายมากกว่าว่ามันจะเป็นอย่างไร? แต่จะกลัวอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็จะปลอบโยน พระเจ้าก็จะให้สติปัญญา ในขณะนั้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะให้เราสามารถรับกับสถานการณ์ที่พระองค์ทรงให้เราเผชิญได้อย่างแน่นอน พระองค์จะทรงจูงมือเราผ่าน เหมือนที่พระเยซูคริสต์ก็ได้รับการทดลองความเชื่อ เหมือนกัน พระเจ้าก็นำพระองค์ในที่สุด ก็ผ่านเป็นไปตามแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น
ยกตัวอย่าง เราวิตกกังวลว่าไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้เพียงพอ ลำบากลำบน จะทำอย่างไรดี กังวลไป ก็ไม่เป็นไร? แต่อธิษฐาน เดี๋ยวถึงเวลา มันก็ผ่านไป แต่จะผ่านไปด้วยวิธีตอบคำอธิษฐาน เหมือนเป๊ะเลย หรือไม่เหมือน ไม่ตอบคำอธิษฐานเรา แต่ว่าให้ดีกว่านั้นอีก แต่เราต้องอดทนรอคอย แต่ในที่สุด พระเจ้าก็พาเราผ่านได้ พระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สถานการณ์จะดีหรือไม่ดีก็ตาม พระองค์จะให้มันทำงานร่วมกัน เป็นผลดีสำหรับเรา ผู้ที่รักพระองค์เสมอ เอเมน
พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย หรือก็คือบังเกิดใหม่แล้ว ถ้ามนุษย์ผู้ใดเชื่อ มนุษย์ผู้นั้นก็เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วย นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ประกาศดังลั่นเลยว่ามันเป็นความจริงอย่างนี้ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ซึ่งไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงในโลกวิญญาณนี้จะส่งผลให้กับท่าน และมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะบอกว่ารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ หรือกฎทางโลกวัตถุ ทุกคน ทุกผู้ ทุกนาม เมื่อทำถูกกฎนั้น ก็ต้องรับผลตามกฎนั้น เหมือนกันทั้งสิ้น ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท
ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ โลกวิญญาณก็มีอยู่จริง อย่างเช่น มนุษย์เป็นวิญญาณ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นวิญญาณจริงๆ ถ้าจะมีอะไรที่เป็นเหตุผลสักนิดหนึ่ง แต่ไม่สามารถเป็นเหตุผลที่ชัดเจน จับวิญญาณมนุษย์มาให้ท่านเห็นว่า X-ray แล้วว่าข้างในเป็นวิญญาณทำไม่ได้ แต่เหตุผลหนึ่งที่พอจะคุยกันได้ ก็คือไม่มีสัตว์ในโลกใบนี้ ชนิดไหนเลย ที่รวมตัวกันแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนแรงดึงดูดของโลกเช่นเดียวกัน ก็มีอยู่จริง แต่เรามองไม่เห็น โยนของขึ้นฟ้า มันก็ตกลงมาบนดิน เหมือนลม มีอยู่จริง มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริง
พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องจริง มีอยู่จริง ส่งผลอย่างไรต่อผู้เชื่อจริงๆ และส่งผลอย่างไรต่อผู้ไม่เชื่อจริงๆ ด้วย บันทึกเอาไว้เสร็จเลยนะว่านี่คือข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้ ให้กับมนุษย์แล้ว ใครเชื่อก็ได้รับตามกฎ แล้วถ้าไม่เชื่อล่ะ ไม่เชื่อก็ได้รับตามกฎเหมือนกัน กฎนั้นว่าอย่างไร? ยอห์น 3:16-18 บอกไว้ว่าอย่างนี้ …
ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้า ไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาในโลกเพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
“เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตร” ก็คือเชื่อในข่าวดีนี้ ที่พระเยซูมาประกาศนี้ ว่าพระองค์มาทำอะไร? เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว คนไหนที่เชื่อก็จะไม่พินาศ คือไม่ตาย ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ไม่ต้องอยู่ในความมืด คำสาปแช่ง แต่มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย มีชีวิตนิรันดร์ แปลว่ามีชีวิตเหมือนพระเยซู … พระเยซูมีชีวิตเหมือนพระเจ้า แต่เขาที่เชื่อนั้น ก็จะมีชีวิตเหมือนพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์
แต่ถ้าไม่เชื่อล่ะ ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม พูดง่ายๆ อยู่ในสถานที่เดิม อยู่ในโลกวิญญาณ ก็คือไม่ยอมย้ายไป ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศนั้นเอง ชัดเจนเลยนะ
สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ คือเปิดใจยอมรับความจริงนี้ แม้ว่ามันจะหินมากก็ตาม ความจริงนี้ แม้ว่าจะไม่เข้าใจก็ตาม มีความรู้สึก ต้องคิดอย่างนี้ คือฟังดูแล้วมันไร้สาระ ไร้เหตุผลจริงๆ เลย พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา พระเยซูถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราเข้าไปอยู่ในพระเยซู อะไรก็ไม่รู้ ฟังก็ไม่รู้เรื่องเลย แน่นอนเราจะต้องต่อต้านและไม่เห็นด้วย และคิดไม่ออก เพราะในขณะที่เราคิดอยู่ ต่อต้านอยู่นั้น ข้างในตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณที่เป็นตัวตนของเรา จิตใจของเรานั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ มันต่อต้านอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะรอให้เข้าใจทั้งหมดเลย แล้วค่อยมาเชื่อ ให้มันมีเหตุผลหน่อยสิ ท่านจึงจะมาเชื่อ ท่านจะไม่มีโอกาสได้เชื่อ ไม่มีโอกาสใช้สิทธิของท่านเลย
เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์จึงบอกข่าวดี เป็นฤทธิ์เดช … ฤทธิ์เดช คือพลังอำนาจอัศจรรย์ ไม่ใช่พลังอำนาจเฉยๆ พลังอำนาจ เรายังดูไม่อัศจรรย์ ถ้าบอกว่าฤทธิ์เดชมันเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ ไม่ใช่มือมนุษย์แล้ว เป็นอัศจรรย์ มหาอัศจรรย์แล้ว
ข่าวดีที่เป็นฤทธิ์เดช ทำให้ผู้ที่เชื่อได้รับความรอด พิสูจน์ได้ด้วย แล้วสามารถรู้ได้ด้วย เพราะถ้าท่านเข้ามามีประสบการณ์ ท่านจะรู้จักในวิญญาณของท่านเอง จากจิตใจของท่านเองว่าคำว่าฤทธิ์เดชเป็นอะไร? เป็นอย่างไร? ทำงานอย่างไร? ทำงานในจิตใจท่านอย่างไร? และเกิดผลอย่างไร? ถ้าท่านไม่เข้าไปชิม นั่งคุย นั่งฟังอย่างนี้ ท่านก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจ รอให้เข้าใจ ไม่ทันอยู่แล้ว ไม่ทันการ โรม 10:9 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าฤทธิ์เดชเกิดขึ้นได้อย่างไรในชีวิตของท่านทั้งหลาย …
โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ช่วยให้รอด และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ท่านก็จะได้รับความรอด (เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่)”
แค่นี้เอง ฤทธิ์เดชนี้เกิดขึ้นง่ายนิดเดียว ถ่อมใจลง เปิดใจต้อนรับแค่นั้นเอง ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตายในโลกวิญญาณจริงๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ ได้รับการย้ายจากอาณาจักรในโลกวิญญาณแห่งหนึ่ง มาสู่อีกแห่งหนึ่งที่ดีกว่ามากมาย เอเฟซัส 2:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) พร้อมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”
ใครน๊าที่เป็นขึ้นจากความตาย? “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา” คำว่า “ทรงให้เราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่)” ก็คือผู้ที่เชื่อ แค่นั้นเอง มนุษย์ที่เชื่อ ไม่ใช่มนุษย์ที่ทำความดีมากๆ มนุษย์ที่รักพระเจ้ามากๆ ไม่รู้ รักแล้วทำอะไรขนาดไหนก็ไม่รู้? แต่มนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูมาช่วยให้รอด แค่นั้นเอง พระองค์ทรงให้มนุษย์ผู้ที่เชื่อนั้น เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ “พร้อมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”
“ในพระเยซูคริสต์” เมื่อบังเกิดใหม่ ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว บัดนาว
จำตอนพระเยซูถูกจับไป ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พวกหัวหน้าทางศาสนา พวกฟาริสี พวกคายาฟาสไต่สวนพระเยซูแบบศาลเตี้ยเลยนะ …
“ไหนบอกว่าอย่างไร? ไหนบอกว่าอย่างนี้? ไหนบอกจะทำลายวิหารใน 3 วัน?”
เอาพยานเท็จอะไรต่างๆ มาใส่ร้ายพระเยซู เพื่อจะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน หาความผิดของพระเยซูให้ได้ แล้วคำสุดท้ายบอกว่า …
“ท่านจงบอกเรามาว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้า ที่จะมาช่วยมวลมนุษย์ เป็นพระเมซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าเจิมไว้อย่างนั้นหรือ? เป็นใช่ไหม?”
แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? มัทธิว 26:64 พระเยซูตอบว่าอย่างนี้ …
มัทธิว 26:64 “พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านพูด เราขอบอกท่านทุกคนว่าในอนาคต ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
พระเยซูบอกว่า “ก็ใช่นะสิ ฉันเป็นคนนั้น และเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ที่ถูกเจิมตั้งไว้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น จากบาป ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่นมนานมาแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของท่าน ฉันเป็นผู้นั้นแหละมาแล้วตอนนี้”
และแค่นั้นไม่พอยังได้บอกไว้ว่า … “และในอนาคต คือหลังจากที่ท่านจับฉันไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นจากความตาย หลังจากนั้น ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
คือในวันสุดท้ายพระองค์จะกลับมาใหม่อีกทีหนึ่ง ท่านจะเห็นพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับมนุษย์ 40 วัน แล้วลอยขึ้นไปกับเมฆ เข้าไปในสวรรค์ และพระองค์จะกลับมาใหม่ อย่างนี้ เช่นเดียวกัน มาพร้อมกับเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ จนจบสิ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะเห็น และสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ มันไกลตัวมากเลย เพราะว่าในขณะที่พูดนี้ ในนี้บอกอนาคต ก็คือพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่ถูกฝังไว้ ยังไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แต่เดี่ยวนี้พระเยซูได้ถูกตรึงตาย ที่ไม้กางเขนแล้ว ฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียบร้อยแล้ว และได้รับการแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว ใครที่เชื่อเรื่องนี้ เปิดใจต้อนรับ พระเจ้าก็จะย้ายวิญญาณของเขา ผ่าตัดวิญญาณของเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์เลย ณ บัดนี้ทันทีที่เชื่อ
ท่านเต็มใจไหม? ถ่อมใจไหมที่จะเชื่อในเรื่องนี้ โดยที่ไม่ต้องเข้าใจ และไม่ต้องหวังว่าวันหนึ่งจะเข้าใจ ไม่มีทาง ท่านเต็มใจไหมที่จะถ่อมใจถึงขนาดนั้น ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีนี้ ท่านก็ได้รับการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้ตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว และถ้าท่านทำอย่างนั้นในขณะนี้ ท่านก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นมรดกนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราทั้งหลายร่วมกับพระเยซูคริสต์
อยากจะถามท่านว่าถ้าท่านได้รับตรงนี้แล้ว ท่านอยากจะได้อะไรอีก? ท่านกลัวอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ? ในเมื่อขณะนี้ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจของเราที่จะอยู่นิรันดร์กาล อยู่กับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว และยังแถมครอบครองอาณาจักรสวรรค์นั้นร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ และพระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ในร่างกายของเราขณะนี้ ดำเนินชีวิตไปด้วยกัน ในโลกวิญญาณ เรานั่งอยู่เบื้องบนสูงสุด แต่ในโลกวัตถุ เรายังดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้
บนโลกใบนี้ ก็มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก ความวิปริตต่างๆ ซึ่งเราต้องเผชิญ แต่เราจะกลัวอะไร ในเมื่อข้างในเรา ตัวจริงๆ เรา นอกจากเราจะบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์หมดจดเหมือนพระเยซูแล้ว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ จูงมือเราเดินทุกวัน เราจะไปกลัวอะไร? เราจะไปกลัวโควิดหรือ? โควิดทำอะไรเราได้ โควิดทำได้ แต่พระเจ้าอยู่เหนือโควิด คำว่า “ทำได้หรือไม่ได้” ไม่ได้หมายถึงว่าทำให้เราป่วยได้ไหม? เราอาจจะป่วยจากโควิดก็ได้ ไม่ต้องป่วยจากโควิด ป่วยจากโรคอื่นๆ เยอะแยะไปหมดได้ แต่มันไม่สามารถทำให้เราตายได้อีกแล้ว เพราะเราเป็นขึ้นจากความตายแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายนิรันดร์
พระเจ้าสามารถพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความอดทนเหล่านี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจที่อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์มีฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์อยู่ ฤทธิ์เดชอำนาจของการเป็นขึ้นจากความตายนี้ พระคัมภีร์บอกกระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลายที่เชื่อ อยู่ในเรา ก็คืออยู่ในวิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่นั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ เรียกว่าฤทธิ์เดชอำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ กลัว ก็กลัวในเรื่องโลกวัตถุ ตามภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้ เหตุการณ์ต่างๆ วิตกกังวลได้ แต่อธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์เหล่านั้น พระองค์จะทรงทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ดูเหมือนไม่ดี บางอันดี บางอันไม่ดีบ้าง แต่รวมกันแล้ว พระองค์ทำให้เป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์เสมอ พระองค์ยังให้เราอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว ก็จริง เพื่อใช้เราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดี ตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เราแต่ละคน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง
เพราะฉะนั้น จงยืนหยัดอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ เพราะให้ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้ ท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์สะอาด เต็มไปด้วยฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีอะไรทำร้ายท่านได้เลยในพระเยซูคริสต์ เพราะ ฉะนั้น จดจ่อจิตใจของท่านไปที่ในพระเยซูคริสต์ ในฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล หาที่เทียบไม่ได้เลย ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเรา ดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม” (ยอห์น 15:11)
ถ้อยคำพระเจ้ากำลังบอกเราว่าปัญหาความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เราต้องเจอแน่ๆ หนีไม่พ้น เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงอนุญาต ให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับท่านก็ตาม พระองค์ก็จะทรงประทานความชื่นชมยินดีให้แก่ท่านด้วย
โดยผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ เราก็จะสามารถมีสันติสุขได้ ท่ามกลางสภาพปัญหา และความทุกข์ยากลำบาก และทุกสถานการณ์
เพราะเรามีความหวังเต็มเปี่ยมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ หลังความตาย
ถ้อยคำพระเจ้าย้ำยืนยันกับเราว่าผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อจากใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับผู้นั้น และพระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาช่วยนำทางชีวิตของเรา ในระหว่างที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และเป็นมัดจำในพระสัญญาของพระองค์ที่จะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เรา
“เรารู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา เราได้เห็นและได้เป็นพยานว่าพระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ถ้าผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงอยู่ในผู้นั้น และเขาก็อยู่ในพระเจ้า” (1 ยอห์น 4:13-15)
พระเจ้าอวยพรครับ