คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 19 “สงครามแห่งโลกวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มิถุนายน  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 19 “สงครามแห่งโลกวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า ตอนที่ 19 ชื่อตอนว่า “สงครามแห่งโลกวิญญาณ” คำถามแรก ก่อนที่จะเข้าเรื่องบรรยายในวันนี้ ถ้าผมถามว่า …

“ท่านเชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงหรือไม่?”

มนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริง ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็น บางคนอาจบอกว่ามีประสบการณ์ เห็นมากับตาแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่แน่นะ สิ่งที่เคยเห็น อาจไม่ใช่โลกวิญญาณ หรือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณจริงๆ ก็ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่มโนวิญญาณเท่านั้นเอง พอเข้าใจไหม? คือคิดขึ้นเอง ก็ได้

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? ที่เขาบอกว่าที่เขาเห็นนั้น มันเห็นจริงๆ แต่สิ่งที่เห็นนั้น มันไม่ได้มีอยู่จริง

จะยกตัวอย่างให้ท่านดูประสบการณ์หนึ่ง สมัยก่อนไปอธิษฐานที่โรงพยาบาล พออธิษฐานเสร็จ อย่างเช่นมีอยู่รายหนึ่ง หลังจากนั้น ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ลูกชายก็โทรมา ดีใจใหญ่เลย บอกว่า …

“ตั้งแต่วันนั้น ไปอธิษฐานให้ พ่อดีขึ้นเยอะ เรื่อยๆ เลย แล้วก็หายจากโรคมะเร็ง”

หมอบอกหายจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าหายกันเอง นี่อยู่โรงพยาบาลนะ โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงด้วย ไปอธิษฐานที่ห้อง ในโรงพยาบาล แล้วก็หายป่วยจริงๆ พ่อเขาบอกว่า …

“วันที่เดินไปวางมืออธิษฐานให้ พ่อเห็นพระเยซู เป็นคนมาวางมือให้”

พ่อน้ำหูน้ำตาไหลเลย หายจริงๆ นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น แต่หายจริงๆ ประมาณสัก 8-9 ปี ก็เสียชีวิตอยู่บนนั้น ชีวิตมันก็จะเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนผมก็มั่นใจ ขอบคุณพระเยซู พอมีชีวิตเจริญเติบโตทางวิญญาณ เจริญเติบโตในถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เห็นประสบการณ์อื่นๆ อีกมากมาย ก็เริ่มตั้งคำถามในใจ แล้วก็หาคำตอบไปเรื่อยๆ ในพระเจ้า จนในที่สุด  ที่ผมไปวางมือ แล้วคุณพ่อเห็นเป็นพระเยซูมายืนวางมือให้ อาจจะเป็นมโนวิญญาณก็ได้ คือพ่อเห็นจริงๆ

การเห็นของคน ทางวิทยาศาสตร์ ก็คือจอรับภาพในสมอง มันได้รับอะไรบางอย่าง สื่ออะไรบางอย่างที่เรามองไป วิ่งเข้ามาสู่จอ และจอภาพ ก็จะผลิตภาพขึ้นมา จากสมอง บอกว่าเห็นจริง แค่นั้นเอง  นี่คือหลักการ

เพราะฉะนั้น ถ้ามีภาพตรงนี้ขึ้นมา สมองจะบอกว่าจริงๆ แต่อย่าลืมว่าสมองอาจจะคิดขึ้นมาเองก็ได้ จากข้อมูลต่างๆ ที่เก็บเข้ามา หรืออาจจะเกิดจากความเชื่อที่อยู่ในใจก็ได้ อาจจะเป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เด็กมา แม่บอกอย่าไปที่มืดๆ นะ เดี๋ยวผีหักคอๆ มันเข้าไปอยู่ในใจ ตั้งเยอะแล้ว ไม่ได้อยากให้มันอยู่ แต่มันอยู่แล้ว ตอนโตแล้วนะ กลางคืนไปที่มืดๆ ก็ไม่กล้าเดินออกไป เพราะว่ากลัวผีหักคอ แค่นั้นไม่พอ พอเดินเฉี่ยวไปนิดหนึ่ง เห็นต้นไผ่ลมพัดไหว มีคนอยู่ ถามว่าเขาเห็นคนนั้นจริงไหม? จริงเลย ตัวเขาคนเดียวเห็น แต่เพื่อนเขาอยู่ข้างๆ ไม่เห็นหรอก เพราะว่าเพื่อนเขา แม่ได้บอกว่าผีหักคอ แม่เขาอาจจะบอกว่าไล่มันไป ในนามพระเยซู เราชนะ เขาก็เลยไม่มีภาพของต้นไผ่นั้น กลายเป็นผี สำหรับเด็กคนแรก ต้นไผ่กลายเป็นผี เพราะว่าสมองเขาเห็นภาพจริง จับเข้าเครื่องจับเท็จ เครื่องก็บอกว่าเขาพูดจริง เขาไม่ได้โกหกเลย เขาเห็นผีจริงๆ แต่ถามว่าผีมีอยู่จริงไหม? ไม่จริง เป็นต้นไผ่ นึกออกใช่ไหม? นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดู จริงๆ มันเยอะกว่านี้

บางคนเห็นทูตสวรรค์ “ฉันอธิษฐานวันนั้น  ทูตสวรรค์ยืนอยู่ข้างหน้าเลย”

ทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างหน้า อาจจะเป็นมโนวิญญาณ ไม่ใช่ตัวจริง ก็ได้ จะคิดขึ้นมาเองก็ได้ หรืออาจจะเป็นทูตสวรรค์จริงๆ ก็ได้  ใครจะรู้ มันมีทั้งสองฝั่ง

หรือที่สาม อาจจะเป็นไม่ใช่มโนวิญญาณ เขาเรียกว่าเคมีวิญญาณ หมายถึงเคมีในร่างกายของเรา ถ้าผิดเพี้ยนไป มันก็สร้างภาพขึ้นมาเอง ผมมีเพื่อนหลายคนเสพกัญชา กัญชาสมัยก่อน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเห็นหนูเท่าช้าง กลัวๆ ก่อนหน้าที่จะสูบ ไม่กลัว แต่พอสูบเข้าไป เริ่มเมา ต้องไปซุกอยู่ที่ตรงซอกห้อง แล้วเวลาเขาหาย แล้วผมไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าตอนนั้น มันเกิดภาพขึ้นมา เยอะแยะไปหมดเลย น่ากลัวทั้งนั้น ยกตัวอย่าง เขาเห็นจริงๆ ถึงมีโอกาสตายได้เลย คือกลัวจนตาย

กลับมาที่คำถามว่า “ทำไมมนุษย์ ส่วนมากจึงเชื่อว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ ไม่เคยเห็น”

คำตอบก็คือ “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนแสวงหาอะไรบางอย่าง ที่ใหญ่ที่สุด ทางวิญญาณ เพราะเขารู้ว่าตัวเอง ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณเหมือนกัน มาจากวิญญาณที่ใหญ่มาก แต่ไม่รู้อะไรบางอย่าง ทำให้เขามืดบอด ไม่เห็นว่าเขามาจากไหน? เขาต้องการหาอะไรบางอย่าง ที่เป็นที่พักพิง พึ่งพิงทางวิญญาณของเขา ซึ่งผมเคยบอกท่านบ่อยๆ ใช่ไหม? สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งหมด ไม่มีสิ่งไหนที่พระเจ้าสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณเลย เป็นสิ่งมีชีวิตเฉยๆ ไม่มีวิญญาณ หรือไม่เป็นวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่น สัตว์ … สัตว์ก็จะไม่แสวงหาทางวิญญาณอย่างนี้ หรือแม้กระทั่งพืช … พืชก็จะไม่รวมตัวกันสวดมนต์ แต่มนุษย์ ตั้งแต่ดึกบรรพ์มา ตั้งแต่คนป่า ตั้งแต่ไม่ใส่เสื้อผ้า ก็ทำพิธีทางวิญญาณ เพราะเขาต้องการการปกป้อง การคุ้มครอง คือเข้าไปสวามิภักดิ์ เพื่อขอเป็นที่พักพิง พึ่งพิง แล้วไม่มีใครในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีมนุษย์คนไหน? หรือเมื่อไรก็ตาม ยุคไหนก็ตาม ที่เข้าไปแสวงหาทางวิญญาณ แบบใหญ่กว่าวิญญาณ ไม่มี จะเล็กกว่าเขาเสมอ จะเป็นลูกช้างบ้าง เข้าไปเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ยอมทุกอย่าง เพราะว่ากลัวทางวิญญาณ เพราะไม่รู้ไง ความไม่รู้ ทำให้เกิดความกลัวนั่นเอง

ตามพระประสงค์เดิมของพระเจ้า มนุษย์ถูกสร้างให้รับรู้และมองเห็นได้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ มนุษย์สามารถมองเห็นพระเจ้า มองเห็นทูตสวรรค์ได้เลย แต่พอมนุษย์กบฏต่อพระเจ้า คือบาปเข้ามา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า อยากไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ต่อต้านพระเจ้า ถูกไล่ออกมาจากโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า  เขาเรียกว่าเชื้อบาป หรือคำสาปแช่ง เข้ามาสู่มวลมนุษยชาติ ก็ทำให้ตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์มืดบอดไป  ที่เคยมองเห็น ก็กลายเป็นมองไม่เห็นทางวิญญาณ พอมองไม่เห็น ก็เลยคิดว่าไม่มี แต่ในวิญญาณก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่มี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  พยายามแสวงหา แต่ก็ไม่แน่ใจ บางคนบอกไม่มีๆ แต่แว๊บเข้ามา มันต้องมีนะ บางคนบอกมีๆ หาไปหามา หาไม่เจอ หรือไม่มี ไม่แน่ใจ แต่ในที่สุด ลึกๆ ส่วนใหญ่รู้ว่ามี เขาจะแสวงหา สิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอพระเจ้าจริง แล้วพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รับรู้ความจริงตรงนี้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ และเชื่อในสิ่งนี้ว่าแม้ว่าตาทางร่างกายจะยังมองไม่เห็นก็ตาม แต่ตาฝ่ายวิญญาณถูกเปิดออกแล้ว

พระคัมภีร์จึงบอกว่าถ้าท่านเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ด้วยตาเนื้อว่ามีอยู่จริง พระเจ้าพอใจแล้ว เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของท่านที่จะมาพบความจริง ฮีบรู บทที่ 11 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 11:1-3 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อนได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

การเชื่อและมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และชื่นชม พอใจนั้น ก็คือเชื่อว่าพระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นอยู่จริงๆ และการแสดงออกในความเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ก็คือเชื่อว่าทุกสิ่ง ที่มีอยู่ ที่เราเห็นอยู่นั้น พระเจ้าผู้นี้ เป็นผู้สร้างขึ้นทั้งสิ้น พระเจ้าจึงพอใจมาก ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าโดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น  วัตถุสิ่งของต่างๆ รอบกาย ที่มองเห็นอยู่จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา แต่เกิดจากสิ่งที่เราไม่เห็นนั่นเอง

คำว่าจักรวาล ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแค่โลก ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้  ยังมีโลกที่เรามองไม่เห็น ครอบอยู่ด้วย ขณะเดียวกันเลย ซึ่งเราเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ หรือโลกวิญญาณนั่นเอง มันมีอยู่จริงๆ เพราะฉะนั้น ใครที่บอกว่ายังไม่เคยเห็น เลยยังไม่เชื่อ ผมอยากจะบอกว่าถ้าจะนับสิ่งที่ตาเรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริงนั้น  มีจำนวนมากมายมหาศาลขนาดไหน? มันนับไม่ถ้วนเลย แต่เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริง เราก็ใช้ความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่างไร ก็เชื่อตามนั้น  คนนั้นก็จะได้พร เพราะเริ่มรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น  ฮีบรู 11:6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 11:6 “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จ ให้แก่ทุกคนที่ขยันหมั่นเพียร แสวงหาพระองค์”

 

ถ้าไม่เชื่อว่ามีโลกฝ่ายวิญญาณ ก็จบแล้ว ไม่มีทางเจอพระเจ้าเลย แล้วถ้าท่านเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นซาตาน เป็นมาร ท่านควรจะทำอย่างไร? พยายามทำให้คนนั้น ไม่เชื่อในเรื่องโลกวิญญาณก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงพระเจ้าหรอก อันนั้นแหละ ลำบากแล้ว

ในพระคัมภีร์ก็มีตัวอย่างมากมาย ว่ากันตามจริงแล้ว ไบเบิ้ลคือหนังสือวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านอ่านพระคัมภีร์ ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย อ่านเป็นแบบความคิดมนุษย์ ท่านจะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ยุ่ง วุ่นวาย งงไปหมด แต่ถ้าท่านเริ่มต้นอ่านตั้งแต่ข้อแรก ประโยคแรก คำแรก และนึกถึงแต่โลกวิญญาณว่ามันหมายถึงอะไร? ท่านมาถูกทางแล้ว หนังสือนี้กล่าวถึงโลกวิญญาณตลอดเวลา แล้วยังมีเยอะแยะมากมาย ที่ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ การต่อสู้กัน ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เช่น เรื่องของผู้เผยพระวจนะเอลีชา ใน 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 6 ที่ตอนนั้นกองทัพของกษัตริย์อารัมยกทัพมากมายมหาศาล มาตีอิสราเอล เอลีชาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าในขณะนั้น   คนรับใช้ของเอลีชากลัว มากันเยอะอย่างนี้ อิสราเอลมีนิดเดียว มีคนน้อยกว่าเขาเป็นหลายสิบเท่า แพ้เขาแน่ๆ ตายแน่ๆ กลัวใหญ่ เอลีชาบอกว่า …

“ไม่ต้องไปกลัว กองทัพเราใหญ่กว่านั้นอีก”

คนรับใช้บอก “ใหญ่ที่ไหน? มีไม่กี่คน?”

“ใครบอกเล่า?”

เอลีชาเลยอธิษฐาน “พระเจ้าขอเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้คนใช้คนนี้ ได้เห็นอะไรบางอย่างในโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเถิด”

พระเจ้าก็เปิดตาคนรับใช้คนนี้ เห็นรอบ กองทัพมหึมา กองทัพทูตสวรรค์ เต็มไปหมดเลย แค่นั้นไม่พอ พอกองทัพของกษัตริย์อารัมยกมาเยอะแยะ พระเจ้าทำให้ตาบอดหมดเลย มองไม่เห็น ในที่สุด พ่ายแพ้หมดเลย  แพ้อย่างราบคาบ

เห็นไหม? นี่คือหนึ่งในจำนวนมากมาย ทั้งเล่มเลย เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่เป็นอิสราเอลในสมัยนั้น ถ้าไม่ได้มองทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาต้องกลัวกันทุกคนแหละ เขามีอยู่นิดเดียว แต่เอลีชาไม่กลัว เพราะเอลีชา พระเจ้าสอนเขา ฝึกเขา เขาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า สอนเขาในเรื่องความเชื่อทางวิญญาณจริงๆ เขามีความเชื่อทางวิญญาณ เปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นจริงๆ ไม่ใช่มโน ถ้าพระคัมภีร์บอกเห็น คือเห็นจริง พระคัมภีร์คือถ้อยคำแห่งความเป็นจริงทั้งสิ้น แต่ถ้าหนังสืออื่น ไม่รู้ ท่านก็คิดเอาเอง มันอาจจะมโนจิตของคนคิดเอาเอง มันอาจจะมาจากความเป็นอยู่ตั้งแต่เด็กมา สร้างภาพอยู่ในตัวเอง มันอาจจะเป็นฤทธิ์มาจากยา ที่เขากินก็ได้ ไม่ได้ยาเสพติดอย่างเดียว ยาธรรมดา กินก็เป็น กินพาราฯ เข้าไปเยอะๆ ก็เป็นเหมือนกัน หรือกินยาที่เยอะๆ ทำให้เกือบตาย ก็เพ้อเจ้ออะไรออกมา ก็มีเยอะแยะ หรือกินยารักษาโรคบางอย่าง ก็ทำให้เกิดความเพี้ยนทางความคิด เหมือนกัน เคยได้ยินไหม? ที่บอกกินยาบางอย่างแล้ว ผลข้างเคียงของยา ทำให้เกิดการชอบเล่นการพนัน อันนี้เรื่องจริงนะ ไปหาดุเองแล้วกัน นี่พูดจริงๆ แต่มิได้หมายถึงคนเล่นการพนัน ทุกคนกินยานี้นะ ไม่ใช่ อันนั้นกิเลส เห็นไหมมาอีกแล้ว ก็ไม่ใช่ยาตัวนี้ทำให้เขาเล่นการพนันได้อย่างเดียว แต่การเล่นการพนัน อาจจะติดมาจากกิเลสตัณหาของตัวเอง ก็มี หรือมาจากการครอบงำ โดยวิญญาณชั่ว ก็มีอยู่จริงๆ  แล้วถามว่าใครรู้ ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราว่ารายนี้มาจากไหน? ไม่สอน ก็ไม่รู้หรอก ไม่ต้องไปเรียน ก็ได้

สรุปว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะบรรยายวันนี้เลย เป็นการเกริ่นเท่านั้น วันนี้เราจะกลับมาต่อกันที่พระคัมภีร์ดาเนียล บทที่ 10 เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ทางโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดเลย ผมจึงจำเป็นต้องปูพื้นฐานทางโลกวิญญาณให้ท่านได้รู้ก่อนว่ามันเป็นอย่างนี้ ดาเนียลตั้งแต่บทแรกที่ผมบอก เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นการบอกล่วงหน้า โดยพระเจ้า ผ่านทางทูตสวรรค์ ให้มาบอกดาเนียลว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับของโรงละคร คือโลกใบนี้ บอกอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง พระองค์กำกับหมด โลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริง และผู้ที่จะต่อต้านงานของพระเจ้า ก็มีอยู่จริง ในบทที่ 10 พระเจ้าจึงเปิดเผยให้รู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็น มีอะไรอยู่บ้าง? อะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง

ดาเนียล 10:1-10 “1 ในปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พระเจ้าทรงสำแดงเรื่องหนึ่งแก่ดาเนียล เป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องสงครามใหญ่ เขาได้รับความเข้าใจเนื้อความนี้ โดยทางนิมิต 2 ครั้งนั้น ข้าพเจ้าดาเนียลเป็นทุกข์อยู่ตลอดสามสัปดาห์ 3 ข้าพเจ้าไม่รับประทานอาหารชั้นดีหรือเนื้อ และไม่ได้แตะต้องเหล้าองุ่น หรือใช้เครื่องชโลมกายใดๆ จนกระทั่งล่วงสามสัปดาห์นั้นไปแล้ว 4 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริส ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ 5 ข้าพเจ้าเงยหน้ามองเห็นชายผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้าลินินเนื้อละเอียด คาดเข็มขัดทองคำเนื้อดี 6 กายของเขาสุกใสเหมือนบุษราคัม ใบหน้าเจิดจ้าเหมือนแสงฟ้าแลบ นัยน์ตาเหมือนเปลวไฟลุกโชน แขนขาเป็นมันปลาบเหมือนทองสัมฤทธิ์ขัดเงา และเสียงของเขาดังเหมือนเสียงคนหมู่ใหญ่  7 ข้าพเจ้าดาเนียลเพียงคนเดียวที่เห็นนิมิตนั้น ผู้คนที่อยู่กับข้าพเจ้าไม่เห็นอะไร แต่พวกเขาก็หวาดกลัวจนหนีไปหลบซ่อน 8 ข้าพเจ้าจึงถูกทิ้งไว้ตามลำพัง ข้าพเจ้าเพ่งดูนิมิตยิ่งใหญ่นี้ แล้วก็หมดเรี่ยวแรง หน้าซีดเผือดเหมือนคนตายและทำอะไรไม่ถูก 9 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินผู้นั้นพูด ขณะที่ฟังอยู่ข้าพเจ้าก็หมดสติล้มซบลงกับดิน 10 มีมือมาแตะต้องข้าพเจ้า แล้วพยุงข้าพเจ้าให้ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยมือและเข่าที่สั่นเทา”

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาเนียลในช่วงนี้ คือช่วงเวลาในปีที่ 3 ของรัชกาลกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย คือปี 537 ก่อนคริสตศักราช และเป็นปีที่ 3 หลังจากที่เปอร์เซียพิชิตบาบิโลน ย้อนนิดหนึ่ง บาบิโลนไปตีกรุงเยรูซาเล็มแตก แล้วก็กวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลย ซึ่งดาเนียล ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ถูกกวาดต้อนมา แล้วพระเจ้าก็เริ่มคุยกับดาเนียล ตอนที่เป็นเชลยอยู่ ให้นิมิต บอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ประมาณ 600 ปีก่อน ค.ศ. จนกระทั่งถึงพระเยซูกลับมาใหม่ ซึ่งเราทั้งหลายที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ก็อยู่ในนิมิตนี้ด้วย อันนี้เป็นช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง

ดาเนียลได้รับนิมิตจากพระเจ้า  หลังจากนั้น  ก็เฝ้าอธิษฐานวิงวอนกับพระเจ้า  ในหนังสือเมื่อตะกี้เราอ่านกันว่า …

“ดาเนียลเป็นทุกข์อยู่ตลอด 3 สัปดาห์ ไม่รับประทานอาหารชั้นดีหรือเนื้อ และไม่ได้แตะต้องเหล้าองุ่น หรือใช้เครื่องใช้ชโลมใดๆ เลย”

แสดงว่าก่อนหน้านี้ใช้ ถูกไหม? แสดงว่านิมิตที่พระเจ้าบอกผ่านทางดาเนียลนั้น ตามความคิดของดาเนียล ก็ต้องไม่น่าจะเป็นเรื่องดี น่าจะเป็นข่าวร้าย เพราะหลังจากที่ได้รับนิมิตแล้ว ดาเนียลก็เกิดความทุกข์ใจ อดอาหาร แสดงว่ามันไม่ค่อยจะดีมาก อาจจะเกิดอะไรบางอย่างกับตัวเอง หรือประชากรของเขาในขณะนั้น ก็เลยอธิษฐานกับพระเจ้าตั้ง 3 สัปดาห์ สำหรับดาเนียลเอง เขานึกว่าเขาเป็นตัวแทนของคนยิว คืออิสราเอลในขณะนั้น แต่ผมบอกท่านแล้วใช่ไหม? อิสราเอล สำหรับพระเจ้าแล้ว ก็คือตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวง และตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวง คืออิสราเอลนั้น หัวหน้าของอิสราเอล ที่ใหญ่ที่สุด ที่เป็นตัวแทน ที่เป็นผู้จะติดต่อกับพระเจ้านั้น เรียกว่าปุโรหิต ที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล ที่ติดต่อกับพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นตัวแทนของมนุษยชาติด้วยเช่นเดียวกัน

เขาคงคิดว่าเขาเป็นแค่ตัวแทนของพี่น้องชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่บาบิโลนนี้ ซึ่งบัดนี้ ใกล้จะครบกำหนด 70 ปีที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะให้อิสราเอลได้รับอิสรภาพ และกลับไปฟื้นฟูบ้านเมืองได้ แต่ดาเนียลเอง ก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าความหมายที่แท้จริงของนิมิตนั้น หมายความว่าอะไร? นิมิตที่บอกมาทั้งหมด ได้รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่อีกหลายอย่างยังไม่เข้าใจ ก็เลยอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้สำแดงให้เห็นชัดขึ้น

ในนี้บอกว่า “ในวันที่ 24 ของเดือนที่ 1 ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ริมแม่น้ำไทกริส ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ ข้าพเจ้าเงยหน้า เห็นชายผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้าลินินเนื้อละเอียด คาดเข็มขัดทองคำเนื้อดี กายของเขาสุกใส เหมือนบุษราคัม”

“ผู้นี้” ก็คือทูตสวรรค์ บางคนบอกพระเยซู ไม่ใช่พระเยซูนะ ทูตสวรรค์ ถ้าเป็นพระเยซู คงไม่เสียเวลามานั่งต่อสู้กับวิญญาณชั่ว อีก 21 วัน หลังจาก เป็นทุกข์และอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้า ผ่านไป เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้ว พระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาส่งข่าว ความคิดของดาเนียลตอนนั้น คงกำลังคิดว่าเราเป็นทุกข์แทบจะตาย อดอาหารมาตั้ง 3 อาทิตย์ ทำไมหนอ ข่าวเพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้เอง เพิ่งจะโผล่มา ซึ่งผมเชื่อนะว่าทูตสวรรค์เอง คงพอเดาออก ก็เลยตอบอย่างนี้ ดาเนียล 10:11-19

ดาเนียล 10:11-19 “11 เขากล่าวว่า “ดาเนียลเอ๋ย ท่านผู้เป็นที่ทรงรักยิ่ง จงใส่ใจฟังถ้อยคำที่เราจะบอกอยู่นี้และยืนขึ้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงใช้เรามาหาท่าน” เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ยืนขึ้นและตัวยังสั่นอยู่ 12 แล้วเขากล่าวต่อไปว่า “ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านตั้งใจแน่วแน่จะหาความเข้าใจ และถ่อมใจลงต่อหน้าพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็ทรงสดับคำอธิษฐานของท่าน และเรามาเพื่อตอบท่าน 13 แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางเราอยู่ถึง 21 วัน และมีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาช่วยเรา เพราะเราถูกเทพแห่งเปอร์เซียหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นั่น 14 บัดนี้ เรามาเพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องร่วมชาติของท่านในอนาคต เพราะนิมิตนั้นเกี่ยวกับกาลภายหน้า” 15 ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้นข้าพเจ้าก็หมอบซบหน้ากับดินนิ่งเงียบอยู่ 16 แล้วผู้ที่ดูเหมือนมนุษย์ ยื่นมือมาแตะริมฝีปากของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเปิดปากพูด ข้าพเจ้ากล่าวกับเขาที่อยู่ตรงหน้าว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทุกข์ใจยิ่งนักเนื่องด้วยนิมิตนั้นและทำอะไรไม่ได้ 17 นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านจะกล่าวแก่ท่านได้อย่างไร ข้าพเจ้าหมดเรี่ยวแรง แม้แต่หายใจยังแทบจะไม่ไหว” 18 แล้วผู้ที่ดูเหมือนมนุษย์ก็แตะต้องข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังวังชาขึ้น 19 เขากล่าวว่า “ท่านผู้เป็นที่ทรงรักยิ่ง อย่ากลัวเลย สันติสุขจงมีแก่เจ้า! จงเข้มแข็งในบัดนี้ จงเข้มแข็งเถิด”  เมื่อเขากล่าวดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เข้มแข็งขึ้น จึงพูดว่า “ท่านโปรดกล่าวต่อไปเถิด เพราะท่านได้ให้กำลังแก่ข้าพเจ้าแล้ว”

 

“ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านตั้งใจแน่วแน่จะหาความเข้าใจ และถ่อมใจลงต่อหน้าพระเจ้าของท่าน พระองค์ก็ทรงสดับคำอธิษฐานของท่าน และเรามาเพื่อตอบท่าน แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางเราอยู่ถึง 21 วัน และมีคาเอล หัวหน้าทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาช่วยเรา เพราะเราถูกเทพแห่งเปอร์เซียหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นั่น”

ทูตสวรรค์บอกว่าพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของดาเนียลตั้งแต่วันแรกแล้ว แล้วก็ส่งคำตอบมา ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางไว้ 21 วัน

ที่ดาเนียลต้องเป็นทุกข์ อธิษฐานถึง 3 สัปดาห์ ก็เพราะว่าการเดินทางของทูตสวรรค์มาส่งข่าว ติดปัญหาอยู่ที่วิญญาณตนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเทพเปอร์เซีย การสู้รบกันในโลกวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าเปิดให้เห็น เปิดให้เรียนรู้ว่าเป็นอย่างนี้ ทูตสวรรค์บอกอย่างนี้

แล้วทูตสวรรค์ตนนี้ หน้าตาเป็นอย่างไร? สวมเสื้อคลุมยาว ผ้าสีขาวลินิน คาดเอวด้วยเข็มขัดทอง กับอีกฝั่งหนึ่ง มีฉายานามว่าเทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ไม่ได้บอกว่าใส่เสื้อผ้าสีอะไร? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน ทั้งหมดนี้ คือภาพของสงครามทางฝ่ายวิญญาณ ที่ผมเกริ่นมาตั้งแต่ต้น ที่เรามองไม่เห็น มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ตลอดเวลาจริงๆ มันใหญ่กว่าและมันควบคุม ครอบครองอยู่เหนือโลกที่มองเห็นด้วยตานี้ ด้วยซ้ำ มันสำคัญอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่ยอมศึกษาเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ที่ตาเรามองไม่เห็น มันจึงเสียโอกาสที่ดีๆ ไปในชีวิต และเช่นเดียวกันกับโลกที่มีการควบคุมดูแล มีการแบ่งเขตการปกครองอาณาจักรต่างๆ ตามโลกที่เรามองเห็น ทุกวันนี้เป็นอยู่ ประเทศต่างๆ มีการแบ่งเขตการปกครอง มีตำแหน่งต่างๆ โลกทางฝ่ายวิญญาณ ก็มีการแบ่งเขตแดนการปกครอง เหมือนกัน จริงๆ แล้วต้องบอกว่าโลกของเรา ก็เอาแบบอย่างมาจากโลกฝ่ายวิญญาณนั่นแหละ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณเกิดก่อน  โลกที่เราเห็นทางวัตถุ ทั้งหมดนี้ ที่เราเห็นทุกวันนี้ เลียนแบบมาจากโลกวิญญาณทั้งสิ้น รวมทั้งวิหารของพระเจ้าด้วย การปกครอง กฎหมาย ทุกอย่าง โน่น ข้างบนมาก่อนทั้งสิ้น โคโลสี 1:16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

โคโลสี 1:16 “เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์”

 

ทางโลกวัตถุ ที่มีการสู้รบปรบมือกัน ทำสงครามแก่งแย่งอำนาจกันบนโลกใบนี้ มีทั้งฝ่ายรักสงบ ฝ่ายไปรุกรานคนอื่นเขา ท่านจะเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ และจริงๆ ตลอดมา

ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ ก็มีการทำสงครามแก่งแย่งอำนาจครอบครองเช่นเดียวกัน ผู้ที่ควบคุมทางโลกวิญญาณ คือพระเจ้า เป็นผู้บังคับบัญชาโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น  แต่ก็ยังมีเหล่าวิญญาณชั่ว ที่คอยขัดขวางการงานของพระเจ้า เหล่าวิญญาณชั่วนี้ นำทัพโดยซาตาน หรือลูซีเฟอร์ … ซาตาน คือชื่อตามบุคลิกของเขา คือการทำชั่ว ก็เลยเรียกว่าซาตาน ก่อนหน้านี้ เป็นเจ้าชายรุ่งอรุณ ลูซีเฟอร์ แปลว่าอย่างนี้ เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา

พระคัมภีร์บอกว่าจำนวนของทูตสวรรค์ ที่ไม่ดี ที่เป็นวิญญาณชั่ว  ซึ่งนำกองทัพ  โดยซาตาน ลูซีเฟอร์ มีน้อยกว่า มีแค่ 1 ใน 3 เพราะฉะนั้น ทูตสวรรค์ทางฝ่ายดี ฝ่ายของพระเจ้ายังคงเหลืออยู่ 2 ใน 3 บางคนก็บอก …

“ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย ให้เหลือ 3 ใน 3 ของเรา”

ก็ต้องตอบว่า “ไม่รู้ อย่ามาถาม”

พระเจ้าไม่ได้บอก บอกเมื่อไร จะมาบอกแล้วกัน

ในดาเนียลที่ทูตสวรรค์บอกว่าจะมาพบดาเนียลตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางไว้ เทพแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย ก็คือหนึ่งในบรรดาสมุนชั้นหัวหน้าของลูซีเฟอร์ หรือของซาตานนั่นเอง ซึ่งได้รับตำแหน่งดูแล ครอบครองดินแดนแถบนั้น ที่เรียกว่าเปอร์เซีย ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าปริ้นซ์ เพอร์ลาตี้ หรือแปลเป็นไทยว่าศักดิเทพ อิทธิเทพ ฯลฯ

เราจะเห็นว่าวิญญาณชั่วที่มีการแบ่งแยกการปกครอง ก็แบ่งกันอย่างที่โลกนี้ มีตัวเล็ก ตัวใหญ่ ตัวสำคัญที่สุด ก็คือซาตาน เป็นผู้บัญชาการ ตัวรองลงมา ไปปกคลุมอยู่เหนือกองทัพเปอร์เซีย หรืออาณาจักรเปอร์เซีย เป็นเทพ หรือปรินซ์ ออฟ เปอร์เซีย ก็เป็นเจ้าชายแห่งเปอร์เซียไป ในโลกวิญญาณ

ที่ผมพูดเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่ใช่เพื่อจะนำท่านไปสนใจ เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วต่อไปนี้ ก็จะไปคอยมองหา นี่มันอยู่ในตำแหน่งไหน? มันปกครองที่ไหน? มันชื่ออะไร? ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย ที่พระเจ้าได้สำแดงให้เราเห็นถึงเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางนิมิตนี้ หรือผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ก็เพื่อยืนยันให้เราเชื่อว่าโลกทางฝ่ายวิญญาณนั้น มันมีอยู่จริงๆ เราต้องเชื่อตรงนี้ เราจึงจะเชื่อได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ และพระองค์ทรงควบคุม ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เรามองเห็น และมองไม่เห็นทั้งหมดเลย  พระเจ้าต้องการให้รู้แค่นั้นเอง จึงให้ดาเนียลบันทึก นิมิตครั้งนี้ขึ้น ไม่ได้ต้องการให้ท่าน จากนี้ต่อไป มาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณกันดีกว่า ดูสิผี ตรงไหน มันใช้อะไรได้บ้าง มันทำอะไรบ้าง? ไม่ต้อง

ในขณะที่พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มีจริง พระองค์ก็ไม่ได้ต้องการให้เราไปเสาะแสวงหาเรื่องราว เขาเรียกว่าลึกลับ ลี้ลับ ที่เรายังไม่รู้ ไม่เห็น พระองค์ต้องการให้เรารับรู้ และเชื่อในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำแดงให้แก่เราแล้ว เท่านั้น พระองค์บอกแค่ไหน? ก็รู้แค่นั้น พอแล้ว ที่เหลือไม่ได้บอก ก็ให้เป็นสิ่งลี้ลับต่อไป สำหรับเรา เอเมน เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29

เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 “สิ่งลี้ลับทั้งหลาย เป็นของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา แต่สิ่งต่างๆ ที่ทรงสำแดง เป็นของเรากับลูกหลานตลอดไป เพื่อเราจะปฏิบัติตามถ้อยคำทั้งสิ้น ของบทบัญญัตินี้”

 

สิ่งลี้ลับทั้งหลาย เป็นของพระเจ้า สิ่งลี้ลับทั้งหลาย หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยให้เรารู้ จบ

ต่อไปนี้ ใครถามท่าน “สิ่งลี้ลับคืออะไร?”

ตอบเลย “คือพระเจ้าไม่เปิดเผย ก็ลี้ลับนะสิ ถ้าพระเจ้าเปิดเผย ก็ไม่ได้ลี้ลับอะไรแล้ว”

ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าเปิดเผยให้ว่าพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เป็นอย่างไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้น เป็นผลกับบรรดามนุษยชาติบนโลกใบนี้อย่างไร? อย่างนี้เป็นเรื่องลี้ลับที่พระองค์เปิดเผยให้กับเราแล้ว แต่เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เปิดเผย ก็ไม่ต้องไปรู้ ให้เป็นลี้ลับต่อไป บางครั้งพระเจ้าก็เลือกที่จะไม่เปิดเผยความลี้ลับบางอย่างให้เรารู้ หรือให้เราเห็น ซึ่งอาจเป็นเพราะสติปัญญาที่จำกัด ความไม่สามารถของเรา ที่จะเข้าใจพระปัญญาของพระเจ้า ที่มันมากกว่าเราตั้งเยอะแยะ ก็อาจจะเป็นได้ ซึ่งแนะนำเราอย่าไปยุ่ง ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเรื่องลี้ลับ ตามที่พระเจ้าบอกอย่าเข้าไปนะ เราก็ปลอดภัย ถ้าเราเข้าไป  เราอาจจะหลง เพ้อเจ้อและมันเป็นอันตรายกับชีวิตของเรา ใครก็ตาม เตือนไว้เลยเดี๋ยวนี้ ถ้ามันเป็นสิ่งลี้ลับอย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด

สมมติว่าพระเจ้านำเราเข้าไป ให้เราเห็นอะไรบางอย่าง ลี้ลับ ในอัศจรรย์อะไรบางอย่าง จงเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า น้อยที่สุด เท่าที่ทำได้

ยกตัวอย่าง พระเจ้าให้ท่านไปอธิษฐานวางมือให้กับคนอื่น แล้วปรากฏว่าทูตสวรรค์ลงมา หรือพระเยซูมาปรากฏให้คนเห็น แล้วคนนั้นได้รับอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุด แล้วคนนั้นหายโรค หรือได้รับคำตอบอย่างอัศจรรย์เลย  แล้วมาถึงท่าน เรื่องจริงเลย ท่านก็ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็กลับมาเป็นคนเดิม ไม่ต้องไปหาทางว่าคนต่อไปเป็นใคร? ถ้าทุกคนในโลกนี้ ได้อย่างนี้หมด ทุกคนมาเชื่อพระเยซูหมดแล้ว

“ถ้าคนนี้ได้อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันจะต้องเดินตาม ไปทำให้มันได้”

เสร็จ เรียบร้อย ที่เข้าใจ เพราะว่าผ่านมาแล้ว  พระเจ้าพาเข้าไปอย่างนั้นจริงๆ ถ้าไม่ใช่พระคุณพระเจ้าให้เรากลับมา ป่านนี้ตายแล้ว

สิ่งลี้ลับทั้งหลาย เป็นของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  แต่สิ่งต่างๆ ที่สำแดง เป็นของเรากับลูกหลานของเราตลอดไป  เอเมน สิ่งที่ทรงสำแดงแล้ว ก็คือสิ่งที่ให้เรารับรู้ ให้เราเข้าใจ เช่น คำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ บัญญัติของพระองค์ ที่ให้เรารู้ เราเข้าใจ ความรักของพระองค์ การสอนให้เราเชื่อฟัง ให้เราปฏิบัติตาม สิ่งเหล่านี้ เราสามารถสั่งสอนลูกของเราต่อไป มันเป็นทรัพย์สมบัติของเรา ที่พระเจ้าเปิดเผย และบอกลูกหลานเราต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติของเรา สิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยแล้ว บอกลูกหลานเราต่อไป เป็นมรดกของเรา หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือถ้าสิ่งนี้เป็นของเรา ก็คือพระเจ้าบอกแล้วว่าสิ่งลี้ลับอย่าไปยุ่งกับมัน นี่ก็คือเปิดเผยให้เรารู้แล้ว เราก็สอนลูกหลานของเรา สิ่งลี้ลับอย่าไปยุ่ง อะไรที่มันแปลกๆ น่าตื่นเต้น ออกห่างๆ ไว้ คนนี้เห็นอนาคตได้ อนาคตช่วยคนนั้น คนนี้ได้ ก็อย่าเข้าไปยุ่งเลย อยู่กับพระเจ้านั่นแหละ เอเมน พระเจ้าจึงไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง แม้ว่าจะทำนายอนาคตได้ อะไรได้ ทำอัศจรรย์ได้ ไม่ต้องไปยุ่งเลย วันทั้งวัน ยุ่งอยู่กับพระเยซูผู้เดียว พอแล้ว เอเมน มนุษย์ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน หรือไม่คริสเตียน ถูกหลอก เพราะอย่างนี้  พอเห็นอะไรอัศจรรย์ เห็นอะไรทางโลกวิญญาณแปลกประหลาด  ตื่นเต้น ถ้ากล้วยออกยาวกว่าธรรมดา แล้วไปปุ๊บ ถูกล๊อตเตอรี่ร์ทันที กล้วยก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้เราตื่นเต้น  ถ้าเราเข้าไปยุ่งวุ่นวาย เดี๋ยวก็เป็นโทษกับชีวิตของเรา นี่เล็กๆ น้อยๆ แล้วนะ รวมทั้งโลกนี้ มีอีกเยอะแยะ ที่เป็นลักษณะเช่นนี้  อะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้งทางโลกวิญญาณ ลี้ลับ ไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปยุ่งเลย อธิษฐานอยู่สงบๆ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการเอง เพราะพระเจ้าควบคุม บังคับบัญชาอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น  เอเมน

และสิ่งสำคัญที่สุด คือไม่ว่าจะเป็นวิญญาณชั่ว ที่ในพระคัมภีร์อ่านว่าเป็นเทพขนาดไหนก็ตาม จะเป็นหัวหน้า สมุนของซาตาน ระดับไหนก็ตาม หรือแม้แต่หัวหน้าเอง ก็คือลูซีเฟอร์หรือซาตาน ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ เปิดเผยแล้วในพระคัมภีร์ เป็นของเราและลูกหลานของเรา  บอกว่าพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ได้ทรงเอาชนะไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซาตานเอง วิญญาณชั่วที่เป็นสมุนซาตาน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า หรือวิญญาณชั่วทุกชนิด อะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ได้ทรงชนะหมดเรียบร้อยแล้ว 1 ยอห์น 4:4-6 ได้บันทึก

1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก 5 คนพวกนั้นมาจากโลกจึงพูดตามมุมมองของโลก และโลกก็ฟังเขา 6 ส่วนเรามาจากพระเจ้า ผู้ใดรู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา แต่ผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟังเรา เช่นนี้เราจึงรู้ว่าเป็นพระวิญญาณแห่งความจริง หรือวิญญาณแห่งความเท็จ”

 

นี่กำลังหมายถึงผู้คน 2 พวก ทางโลกวิญญาณ พวกเรา คือพวกที่รู้จักพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว เราเป็นหนึ่งในพระคริสต์แล้ว วิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว เราเป็นวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่บนโลก ไม่ได้หมายถึงวิญญาณอย่างเดียว หมายถึงมนุษย์ทุกคนด้วย ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า วิญญาณเขาไม่ใช่วิญญาณเดียวกับเรา วิญญาณเราในอดีต ก็ไม่ใช่วิญญาณในขณะนี้ ท่านพอจะเข้าใจใช่ไหม? หมายถึงอย่างนั้น และมนุษย์ถ้ายังไม่รู้เรื่อง ก็ยังอยู่ภายใต้การครอบงำของวิญญาณชั่วเหล่านี้ เหมือนเราทั้งหลาย พระคัมภีร์บอก เมื่อเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราถูกครอบงำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ใช้คำนี้เลย “ครอบงำ” เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับชั่วหรือไม่ดี แต่มันหมายถึงปฏิกิริยาของวิญญาณเราขณะนี้ ครอบงำ หมายถึงถูกคุมด้วย ความบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระเจ้า 3 พระภาค คุมอยู่ตลอด คลุมกายด้วยพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ แต่ในอดีตก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า เราก็ถูกคลุมกายด้วยความมืดบอด ความบาป วิญญาณสกปรก วิญญาณชั่ว อิทธิพลของสิ่งที่ไม่ดี ปกคลุมเราตลอด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ได้ทำลายล้างอำนาจทั้งหลายของเหล่าหัวหน้าวิญญาณชั่วเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งตัวหัวหน้าเอง ก็คือซาตานเอง ถูกทำลายอำนาจอย่างสิ้นเชิง พวกวิญญาณชั่วเหล่านี้ ไม่ว่าจะใช้ชื่อเทพอะไรก็ตาม พระคัมภีร์บอกว่าได้ถูกปลดออกจากอำนาจทั้งหมดแล้ว เอเมน โคโลสี 2:13-15 ดูว่าโลกฝ่ายวิญญาณเกิดอะไร? ตอนดาเนียลได้รับนิมิตนั้น คือประมาณ 500 กว่าปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเกิด ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน

ต้องสู้รบกันใหญ่เลย พอพระเยซูคริสต์ทำอะไรบางอย่างสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว เกิดอะไรขึ้น? โคโลสี 2:13-15

โคโลสี 2:13-15 “13 เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่านและในวิสัยบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต พระเจ้าได้ทรงให้ท่าน มีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา 14 ทรงยกเลิกหนังสือสัญญาที่ผูกมัดเราด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งขัดขวางและต่อต้านเรา พระองค์ทรงเอาหนังสือนี้ ออกไปตรึงที่กางเขน 15 และทรงปลดเทพผู้ทรงเดชานุภาพและเทพผู้ทรงอำนาจต่างๆ ลง พระองค์ได้ทรงประจานและพิชิตพวกนี้โดยกางเขนนั้น”

 

ชัดเจนมาก พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม เขียนเรื่องเหล่านี้เยอะไปหมดเลย เพราะว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว ให้มนุษย์กลับมามีอำนาจ อยู่เหนือความชั่วร้ายต่างๆ

กลับมาที่ข้อสุดท้าย ในหนังสือดาเนียล บทที่ 10 หลังจากที่ทูตสวรรค์ปรากฏกายให้เห็นแล้ว ก็ได้บอกดาเนียลว่า …

“พวกเรามา (หมายถึงทูตสวรรค์) เพื่ออธิบายให้ท่าน (ดาเนียล) ทราบ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องร่วมชาติของท่านในอนาคต”

อย่างที่ผมบอก “พี่น้องร่วมชาติ” ไม่ได้หมายถึงอิสราเอลอย่างเดียว แต่หมายถึงมนุษย์ทุกคนด้วย เพราะนิมิตนี้ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน

“เพราะนิมิตนั้น เกี่ยวกับการภายหน้า”

ภายหน้า หมายถึงตั้งแต่ดาเนียลได้รับนิมิตนี้ 500 กว่าปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด ไหลมาจนพระเยซูคริสต์เกิด ไหลมาจนกระทั่งถึงยุคเราทุกวันนี้ ที่นั่งอยู่ และไหลจากนี้ต่อไป จนกระทั่งพระเยซูคริสต์กลับมา ไหลไปจนกระทั่งพระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ใหม่ หรือเยรูซาเล็มใหม่ จนไปถึงเราไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์ หมายถึงอย่างนี้  … สรุปที่ในเอเฟซัส 1:18-21

เอเฟซัส 1:18-21 “18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าด้วย”

 

พระเจ้าต้องการให้เรารู้ตรงนี้ชัดๆ ที่เปาโลเขียนถึงคริสเตียนที่มาเชื่อแล้ว ขอพระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นถึงว่าพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้าทรงกระทำพระเยซู ตอนที่ชุบพระเยซูขึ้นมาใหม่ แล้วพระองค์ก็เอาฤทธิ์อำนาจทั้งหมดไว้ให้กับพระเยซู และให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน คำว่านั่งอยู่ที่เบื้องขวา แปลว่าเป็นผู้ครอบครอง เป็นผู้ว่าราชการทั้งหมด แทนพระเจ้าไปเลย และพระคัมภีร์บอกว่าให้เราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ทุกคนนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ท่านรู้แล้วว่าโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? พระเจ้าสอนแล้ววันนี้ ไม่มีอะไรทำอะไรท่านได้เลย เอเมน

“พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปฉัน บัดนี้ ฉันสะอาดหมดจด พ้นจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันก็กลับไปหาพระเจ้า และร่างกายฉันก็สะอาดหมดจด วิญญาณฉัน สะอาดหมดจด สามารถเป็นวิหารของพระเจ้า วิญญาณสถิตอยู่กับฉันได้ เรียกว่าการบัพติศมา การเข้าสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดา พระบุตร พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกัน และผู้เชื่อทั้งหลายมากมายที่มาเชื่อ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน พลังยิ่งใหญ่ เรียกว่าคริสตจักรสากล เป็นที่อยู่ของพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดมหาศาลแล้ว ไม่มีอะไรมาทำอะไรฉันอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะเอาความรักของพระเจ้าออกไปจากฉัน คือดึงฉันออกไปจากนี้ได้ ไม่มีทาง ฉันเอง ยังเอาออกไม่ได้เลย เพราะว่าฉันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ดองกันไปแล้ว จะมาทำให้ฉันเป็นแตงธรรมดาไม่ได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น”

ถ้าท่านทำให้แตงกวาสดเอาไปดองกับน้ำส้มสายชู กลายเป็นแตงดอง อันอร่อยแล้ว ท่านไม่สามารถทำมันกลับมาเป็นแตงกวาสดได้อีกแล้ว เพราะว่ามันดองแล้ว ตราบนั้น ถ้าท่านบัพติศมา จุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จุ่มลงไปในพระคริสต์แล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจอันไหนที่จะทำให้กลับมาเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น ฤทธิ์อำนาจ อยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ทุกอย่าง จบ ไม่ว่าท่านทำอะไรต่อไป บางคนบอกอย่างนี้ก็ไปทำบาปได้สิ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนี้  นี่เป็นพระคุณพระเจ้า ให้เราฟรีๆ ให้เราอยู่ในพระคริสต์ฟรี ทดแทนพระคุณพระเจ้า ด้วยการไปทำบาปเหรอ ไม่ใช่ ไม่ทำแล้ว จริงๆ ไม่มีใครอยากทำด้วย เพราะข้างในสะอาดแล้ว อาจจะมีหลงเหลืออะไรบางอย่างที่ทำตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ที่ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ก็ว่ากันไป คนละเรื่องกัน เดี๋ยวมันก็หมดไป แต่พุ่งวิญญาณนี้ไปที่พระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  วันหนึ่ง ร่างกายนี้ก็จะหมดไป เอเมน

แล้วเมื่อร่างกายนี้หมดไป ตายไป ไม่ได้ไปไหนเลยนะ เรายังอยู่ที่เดิม ก็อยู่ในพระคริสต์ที่เดิม ไม่ได้ไปสวรรค์ที่ไหน? ทุกวันนี้ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์จึงเขียนคำว่า “จงมองให้เห็นเถิด” “Be hole” จงมองเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณให้เห็นเถิด ทุกวันนี้ท่านก็อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระองค์แล้ว ไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย พระเจ้าก็สถิตอยู่แล้วไง

“ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์เข้ามาใกล้ๆ”

“ฉันอยู่ในตัวเธอ ไม่รู้เหรอ”

พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พอเราเรียนรู้อะไรต่างๆ เหล่านี้  มันจะเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อเราทั้งหมดเลย  พระเจ้าอยู่ในเรา  เราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************