คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ตอน 11 “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา”
โดย นคร เวชสุภาพร
เราเป็นใครในพระคริสต์ สัปดาห์นี้ ก็เป็นตอนที่ 11 แล้วนะครับ
เหมือนเดิม เรามาทบทวนประเด็นที่ได้ บรรยายกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อน ซึ่งจะได้สรุปชื่อเรื่องด้วยว่าสัปดาห์ที่แล้ว ใช้ชื่อเรื่องอะไร? ครั้งที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูและอาดัม … อาดัมและอีฟ ก็คือบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เปรียบเทียบให้เห็นว่าก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้านั่น ก่อนที่เราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามีธรรมชาติลักษณะ เรียกว่านิสัย ธาตุแท้ในตัวจริงของเรา ในวิญญาณของเรา เหมือนใคร? เหมือนอาดัม แต่หลังจากที่ได้มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูแล้ว ธรรมชาติลักษณะของเรา ก็เปลี่ยนไป คือเปลี่ยนมาเหมือนพระเยซู
ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เหมือนพระเยซู”
คือก่อนที่เราจะมาอยู่ในพระคริสต์นั้น สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะนิสัยของอาดัม สิ่งนั้นก็เป็นจริง สำหรับเราและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย นี่คือกฎระเบียบ นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ พระคัมภีร์เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เช่น อาดัมกบฏ … กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราก็มีลักษณะนิสัยเหมือนกัน คือกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อาดัมไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ไม่เชื่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เป็นคนบาป นี่พระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างนั้น
แต่หลังจากที่เรามาเชื่อพระเจ้า มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พอเชื่อพระเจ้า ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ การอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือมาเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มารับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงไถ่เรา ให้พ้นจากความบาป เวรกรรมทั้งปวง
พอมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ข้อความเมื่อตะกี้นี้ ก็จะถูกเปลี่ยนไป เป็นสิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ผมไม่ได้พูดของผมเอง พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดอย่างนี้ สิ่งที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซู หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษ อยากให้พวกเราได้คุ้นหูไว้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Divine Nature”
พูดตามสิ “Divine Nature”
ให้มันเข้ากับยุค AEC เรากำลังเข้าอยู่ในยุค AEC
ตกลงธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า เรียกว่า “Divine Nature”
“Divine Nature” ก็คือธรรมชาติของพระเจ้า เราได้เข้าไปมี่ส่วนร่วมในธรรมชาติของพระเจ้า พูดง่ายๆ อย่างนี้ แปลตรงๆ ตามภาษาชาวบ้าน
สิ่งที่เป็นจริง ก็คือพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า นี่คือ Divine Nature ของพระเยซู เราบอกเราเหมือนพระเยซู ดูสิว่าธรรมชาติของพระเยซูเป็นอย่างไร?
ธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซู ก็คือยกตัวอย่างเช่นพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราก็ได้รับสิทธิ เป็นลูกของพระเจ้าด้วย เห็นไหม? เพราะเราเข้าไปมีส่วนร่วม พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น
พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เราเชื่ออย่างนั้นไหม? ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น นั่นเป็นจริง เราก็ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น เราก็ต้องเชื่ออย่างนี้ เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เราได้เข้าไปเป็นหนึ่ง ได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature เข้าไปมีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์
นี่คือเนื้อหา ประเด็นหลักที่เราคุยกันไปครั้งที่แล้ว เพราะฉะนั้น เรามาตั้งชื่อกัน ควรจะใช้ชื่ออะไร? เราตั้งชื่อนี้ก็แล้ว “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” ดีไหม? จำง่ายดี
สรุป “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 10 ชื่อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”
ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น ในพระคริสต์”
นี่ตอน 10 นะครับ ครั้งที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ที่ข้อพระคัมภีร์ที่ย้ำยืนยันกับเรา ในเรื่องนี้นะครับ เรามาอ่านทบทวนสักนิดหนึ่ง 2 เปโตร 1:3-4 เราต้องยืนหยัดอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์เท่านั้น 2 เปโตร 1:3-4 เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น
2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”
ประทานพันธสัญญาเหล่านี้คือใครรู้ไหม? พระเยซู พระเจ้า พระบิดา สัญญาว่าจะประทานพระเยซูมา ประทานมาให้แล้ว เกิดอะไรขึ้น … เกิดอย่างนี้ขึ้น พูดตามผมนะครับ
“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”
อีกครั้งหนึ่ง พูดชื่อตัวเองดังๆ เลย “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”
ผ่านทางพระเยซู เราได้รับตรงนี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ก็คือทั้งหมดที่พูดไปเมื่อตะกี้นี้ ที่ยกตัวอย่างว่าลักษณะของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป สะอาดบริสุทธิ์ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เราไม่ได้คู่ควรกับสิ่งเหล่านี้เลย เราเป็นคนบาป แต่เราได้รับสิ่งเหล่านี้ โดยพระคุณ เรียกว่าฟรีๆ ฟรีเลยนะครับ เราเรียกว่าพระคุณ เราเรียกว่า Amazing Grace … Grace ก็คือพระคุณ … พระคุณ คืออะไรก็ตามที่เราได้มาฟรีๆ โดยที่ไม่สมควรจะได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ
เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ก็จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางตอนนี้ ก็คืออะไร?
- รับพระคุณพระเจ้าตรงนี้ ที่ทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซู แล้วก็ได้รับธรรมชาติลักษณะ ที่เหมือนพระเจ้าเข้าไปอยู่ในตัว หรือถ้าไม่อย่างนั้น
- คือพยายามทำด้วยตัวเองต่อไป สั่งสมความดีไปเรื่อยๆ ที่ตัวเองคิดเองว่ามันดี และจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป
ใครที่จะเลือกทางที่ 2 นี้ ผมก็จะอยากบอกว่าก็เอาที่สบายใจแล้วกัน ต้องบอก ขออวยพรให้โชคดีจริงๆ เลย ผมเองก็เคยเดิน เราในที่นี่ทั้งหมด ก็เคยเดินทางที่สองมาแล้ว มันเป็นอย่างไร ก็อยากจะอวยพร อธิษฐานให้ท่านที่เลือกทางที่สองอยู่ ก็บอกว่าก็ขอพระเจ้าอวยพรก็แล้วกัน ถูกไหม? พอดีตอนนี้เขากำลังฮิตนะ อะไรสติ๊กเกอร์ที่บอกว่า “เอาที่ตามใจแล้วกัน” “เอาที่สบายใจก็แล้วกัน” “ไม่รู้สินะ” อันนี้ก็อีกอันหนึ่ง
เดี๋ยวนี้มีอะไรแปลกๆ สติ๊กเกอร์ วันทั้งวันไม่ได้ทำอะไร? บางคนนั่ง ก้มจอ ดูจอเล็กๆ สี่เหลี่ยม บางคนก็จอเล็ก บางคนก็จอใหญ่ บางคนอายุ 70, 80 ก็มีจอเหมือนกัน แต่จอเบ้อเริ่มเทิ่มเลย วันนั้นเห็นอาม่าคนหนึ่ง เอาไอแพทขึ้นมาโทรศัพท์ มันโทรศัพท์ได้ด้วยนะ แต่มันต้องโทรผ่านทาง Face time กับทางไลน์ใช่ไหม? ไม่ได้ยิน พอพูดใกล้ๆ แต่พออยากดูหน้า ก็เอาไปไกล แล้วพูดดังๆ ท่านลองคิดสภาพดู สมัยนี้ ในยุคปัจจุบัน เราไม่นึกว่าเกิดมา จะได้เห็น ยุคปัจจุบัน มันเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้ พอไปกินอาหาร ไม่มีใครพูดกับใครเลย ทุกคนก้มหน้าหมด ก่อนหน้านี้ ก่อนอาหาร ต้องอธิษฐาน แต่เดี๋ยวนี้ ก็ต้องเคารพ … เคารพอะไร? ไอโฟน ไอแพท ไออะไรต่างๆ ทุกคนเคารพหมด สมัยก่อนต้องเรียกนะ ร่วมใจกันอธิษฐาน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดเลยนะ รู้กันเลย ร่วมใจกัน ก้มศีรษะลง คำนับ 3 ที คำนับไอแพท คำนับไอโฟน ฯลฯ
มีสองทางให้เลือก สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
ทางหนึ่ง ก็คือรับพระคุณจากพระเจ้า แล้วก็มามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ โดยรับเอาฟรีๆ เลย
หรือทางที่สอง คือทำด้วยตัวเอง สั่งสมด้วยตัวเองต่อไป ที่ตัวเองคิดว่ามันจะช่วยได้
เพราะว่าโดยกำลังของมนุษย์ทุกคน ความสามารถของมนุษย์ เราหรือมนุษย์ทุกคน ไม่สามารถเป็นผู้สร้าง ไม่สามารถเป็นผู้ก่อให้เกิดความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมยินดี สันติสุข ความสงบสุข หรือแม้กระทั่งความพอเพียง ก็ตาม ที่มนุษย์ทุกคนอยากได้ อยากจะหลุดพ้นจากบาป มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถกระทำได้ด้วยตัวเองจริงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น
พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับท่าน เคยได้ยินใช่ไหม? พระเยซูเป็นทุกสิ่ง สำหรับเรา สำหรับท่าน … ท่านในที่นี่ หมายถึงใครครับ หมายถึงผู้ที่เชื่อในพระเยซูใช่หรือไม่ใช่? ใช่ไหม? ไม่ใช่แค่นั้น แต่ท่านในที่นี่ คือมนุษย์ทุกคน จะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นทุกสิ่ง สำหรับท่าน พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม ทรงเป็นความชื่นชมยินดี เป็นสันติสุข เป็นความพอเพียง ให้กับมนุษย์ทุกคน ให้กับท่าน มนุษย์เพียงแต่ให้พระองค์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว มาอยู่ในใจของเขา เข้ามาในวิญญาณของเขา มนุษย์ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เข้ามาธรรมชาติเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย
พระเยซูจึงบอกว่าให้เราทั้งหลาย ผู้เป็นมนุษย์ เป็นผู้รับเฉยๆ ไม่ต้องกระทำ เป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่ต้องกระทำ ซึ่งมนุษย์ทำใจอยาก เพราะมนุษย์อยากจะทำด้วยตัวเอง นี่ปัญหามันอยู่แค่นี้ แต่พระเยซูบอกได้ฟรีๆ เราบอก มันจะเป็นไปได้อย่างไร? อะไรมันได้มาฟรีๆ อย่างนี้เหรอ? แล้วของดีมากมายขนาดนี้ ขนาดได้เป็นลูกพระเจ้า รับฟรีๆ เหรอ มนุษย์ทำใจไม่ได้ พระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำให้เอง เรารับอย่างเดียว ในพระคัมภีร์บันทึกตรงนี้เยอะแยะ ซึ่งเป็นข้อความที่มันง่าย แต่มันเชื่อยากจริงๆ เอเฟซัส 2:8-10 บันทึกตรงนี้ ให้เราเห็นชัดเจนขนาดไหน?
เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”
ความรอดนี้ รอดจากอะไร? รอดจากความไม่ชอบธรรม เห็นไหม? ความไม่ชอบธรรม นี่คือนักโทษ ยังติดอยู่ในภาระ ยังเป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ ยังเป็นหนี้บาปเวรกรรม
รอดจากอะไร? รอดจากความบาป รอดจากความไม่บริสุทธิ์ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เห็นหรือเปล่า? รอดจากการไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่ลูกพระเจ้า กลายมาเป็นลูกพระเจ้า นี่ตรงนี้ รอดมันมีแค่นี้เองแหละ โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซู ในข่าวดีของพระเยซู ได้ทำให้เราได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็น … ที่เราเรียนกันไป ได้มาอยู่ในพระคริสต์ เป็นอะไร? เป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับพระเยซูและสามพระภาค พระเจ้า พระวิญญาณ, พระเจ้า พระบุตร พระเยซู, พระเจ้า พระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่า Divine Nature เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแค่นี้เอง ชีวิตจึงเต็มไปด้วยอะไร? ความครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิต เหมือนพระเยซูได้ตรัสเสมอ และก็ได้บอกเราทั้งหลายว่าพระองค์ได้มา เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับชีวิต และมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความพอเพียงทุกอย่าง การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวัง และเต็มไปด้วยพลังเปี่ยมล้น นี่พระเยซูบอก พระองค์มา เพื่อให้เราได้รับชีวิต อิสระ Free indeed ยอห์น 10:10 ใช่ไหม? บันทึกไว้อย่างนี้ ใช่ไหม? ผมอ่านให้ฟังนะ พระเยซูตรัสนะครับ
ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้น มาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”
คำว่า “ครบบริบูรณ์” ไม่ใช่มีร่างกาย 32 อย่าง ไม่ใช่ คำว่า “ครบบริบูรณ์” หมายถึงโลกวิญญาณ ครบถ้วนในวิญญาณที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการอยากจะเป็น เพราะว่าวิญญาณมาจากพระเจ้า แต่มันถูกทำให้บาปและหลุดออกจากพระเจ้าไป ไปเป็นทาสของมาร มันไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันเป็นง่อยอยู่ เขาเรียกว่าพิการอยู่ แต่พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ มารักษาความง่อยในวิญญาณให้หาย กลับมาเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ เหมือนเดิม มาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม เรียกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ใช้สิทธิของเรา ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เชื่อไปแล้ว จริงหรือไม่จริง? จริง พอเจอพระเยซู เราก็หยุดทุกอย่าง เราพอเพียงแล้ว เรารู้สึกว่าเราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
คราวนี้ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คืออะไรรู้ไหมครับ? คืออยากได้ความชื่นชมยินดี อย่างที่พระเยซูบอก อยากมีสันติสุข อยากมีความพอเพียง อย่างที่พระคัมภีร์บอก จากพระเยซูคริสต์อย่างนี้เหมือนกัน อยากได้ตามวิถี หรือวิธีการ หรือความคิดของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ และเราจะมาบรรยายกัน มาคุยกันเรื่องนี้แหละ เรื่องเกี่ยวกับความคิดของเรา เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราคิดอย่างนี้ เราอยากได้สันติสุข อยากให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ตะกี้พระเยซูคริสต์บอกว่ามาให้เรามีชีวิตอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่เราคิดว่าชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น เราควรจะเป็นอย่างนี้ วิธีการเราก็จะทำอย่างนี้ เพื่อจะให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเรามาบรรยายกันวันนี้ มาคุยกันในวันนี้ว่าพระเจ้าคิดอย่างนั้น เหมือนกับเราหรือเปล่า?
พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าความคิดของเรา ไม่มีทางที่จะเหมือนกับความคิดของพระเจ้าได้เลย วันนี้ เราจะมาดูด้วยความคิดของพระเจ้าอย่างไง? แล้วความคิดของเราเป็นอย่างไร? ต่างกันอย่างไร? แม้ว่าขณะนี้ เราจะเข้ามาเชื่อในพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วก็ตาม ความคิดเก่าๆ ของเรา มันตรงกับพระเจ้าไหม?
อิสยาห์ 55:8-9 “8 “เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศดังนั้น 9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น”
พูดตามผม “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของพระเจ้า ก็สูงกว่าทางของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) และความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ฉันนั้น”
คืออย่างนี้ คือเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์แล้ว เรายังอยากได้สันติสุข อยากได้ความพอเพียง อยากได้ความชื่นชมยินดี ตามความคิดของเราเอง ตามวิถีทางของเราเอง ที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น เช่น …
พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราคิดอย่างนี้ไหม? เช่น เราขับรถอยู่บนถนน รถติดอยู่ เราก็คิดว่า.-
“ถ้าฉันเชื่อพระเยซู พระองค์ก็น่าจะทำให้ถนนมันโล่ง รถไม่ติดเลย”
ใช่หรือไม่ใช่? ไม่ใช่ แล้วทำไมอธิษฐานหายครั้งว่า.-
“พระเจ้าของเมตตา เปิดประตูให้รถมันว่าง”
สั่งการ “รถจงขยายออกไป จงไม่ติด” อะไรอย่างนี้
ทำไมสั่งล่ะ เพราะอยากได้ใช่ไหม? เห็นไหม? หรือ …
“ถ้าฉันเชื่อพระเยซู ฉันไม่น่าจะป่วยเลย”
โอโห้! นี่โดนใจ “ฉันไม่น่าจะป่วยเลย”
เราคิดเองว่า “เชื่อพระเยซู ฉันไม่ควรป่วยแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้าจะป่วยได้อย่างไร?”
ถูกหรือไม่ถูก
“ถ้าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว หนี้สินฉันควรจะหมดไป”
ผมจะบอกอะไรให้กับท่านนะครับ คนป่วยจำนวนมากมายที่ผมไปเยี่ยมมา ตลอด 20 กว่าปีนี้ ทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต และอีกหลายโรค ก็เป็นผู้ที่เชื่อพระเยซูมาหลายปี บางคนเป็นสิบปีก็มี ทุกวันนี้บางคนก็ยังป่วยอยู่ก็มี และไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้นะ แต่เพราะพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีกว่า ที่จะให้เขาป่วยมากกว่าที่เขาหายโรค หลายคนเปลี่ยนความคิด
พูดง่ายๆ ก็คือเขาอาจจะมีคุณค่าต่อพระองค์ ในขณะที่ป่วยอยู่ มากกว่าในขณะที่หายโรค ก็ได้ ไม่มีใครเอเมนเลย เงียบสนิท เครียด แต่วันนี้เป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงความคิด ให้เหมือนพระเจ้า เพราะเราทั้งหลายที่เชื่อ พระเยซู เรารู้ใช่ไหม? ตลอดเวลาว่าพระคัมภีร์บอกเราว่าให้เราอยู่บนโลกนี้ แบบโลกนี้ เป็นที่อาศัย เพียงชั่วคราว ไม่ใช่บ้านของเรา และที่สำคัญระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ต้องการให้เรา มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ติดสนิทกับใคร? กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ให้ติดสนิทจริงๆ คิดเหมือนพระองค์
เหมือนที่เปาโลได้บอกว่าพระเจ้าได้ให้เปาโล ทุกข์ทรมานจากหนามในเนื้อ และอธิษฐานวิงวอนพระเจ้า ให้เอาหนามนี้ออกมาจากตัวของเขา เขาอธิษฐานมาตลอด สู้ เหมือนเราทั้งหลายในที่นี่ ไม่ไหว ก็เนื้อหนัง มันอยากจะสบาย นี่คือตัวอย่าง
แล้วพระเจ้าตอบเปาโลว่าอย่างไร? เราลองมาติดตามเรื่องนี้ดูนะครับ ใน 2 โครินธ์ 12:7-10 จะได้รู้เส้นทางว่าเราควรเดินอย่างไร ให้เหมือนพระเจ้า … พระเจ้าคิดอย่างไรน๊า ต้องไปหาในพระคัมภีร์ว่าเป็นอย่างไร? 2 โครินธ์ 12:7-10 นี่คือประสบการณ์และชีวิตของเปาโล เราจะได้เห็นชัดเจนขึ้น
2 โครินธ์ 12:7-10 “7 เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าผยอง เนื่องด้วยการทรงสำแดงอันยิ่งใหญ่เลิศล้ำเหล่านี้ จึงทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า เป็นทูตของซาตาน คอยทรมานข้าพเจ้า 8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘พระคุณของเรา เพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ ในความอ่อนแอ’ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใด ที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”
พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเปาโล แต่ไม่ใช่ด้วยวิถี หรือวิธีการที่เปาโลอยากได้ เปาโลอยากได้ ให้เอาหนามในเนื้อออกไป เอาความทุกข์ยากออกไป เอาความลำบากออกไป แต่คำตอบของพระเจ้า คืออะไร?
“พระคุณของเรา เพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มในความอ่อนแอ (ของเจ้า)”
ลองนึกถึงชีวิตเรา ลองใส่ชื่อเราลองดูสิ
“พระคุณของพระเจ้า เพียงพอสำหรับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มในความอ่อนแอของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”
หลับตาแป๊บหนึ่ง นึกถึงที่ตะกี้เราพูดไป ให้มันเข้าไปลึกๆ ในชีวิตของเราสิว่าเราทำได้ไหมอย่างนี้ พระเจ้ากำลังตอบเราอย่างนี้ เรากำลังอธิษฐานขออะไรตั้งเยอะ เหมือนกับเปาโลที่ขอ พระเจ้ากำลังตอบเราอย่างนี้ว่าพระคุณของพระองค์พอเพียง สำหรับเราแล้ว ชีวิตคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าในพระคริสต์ ก็ควรจะเป็นแบบที่เปาโลกำลังอธิษฐาน เมื่อตะกี้นี้ เราไม่ได้วิงวอนขอพระเจ้าช่วยทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากความทุกข์ยากลำบาก แต่เราวิงวอน ทูลขอพระเจ้าช่วยทำให้เรา เข้มแข็งขึ้น ถูกไหม? แล้วนำพาเราก้าวผ่านความทุกข์ลำบาก และท่ามกลางทุกสถานการณ์ นี่คือที่เรียกว่าความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน
ที่เปาโลมีหนามในเนื้อ ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ว่าเพราะเปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ตอนเป็นๆ นะครับ จะด้วยวิญญาณหรือด้วยอะไรก็มิทราบ พระคัมภีร์ไม่ได้บอก … บอกแต่ว่าเปาโลได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้เห็นอะไรบางอย่างในสวรรค์ ซึ่งก็เลยมีคนเขาวิเคราะห์กันว่าพระเจ้าเกรงว่าหลังจากที่กลับมาบนโลกนี้แล้ว เปาโลเอาจจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง จากการได้รู้จักพระเจ้า ได้เห็นการสำแดงมากมายกว่าคนอื่นเขา สนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวมากมาย เดี๋ยวกลัวจะเหลิง จะเย่อหยิ่ง พระเจ้าเลยทำให้เปาโลมีหนามในเนื้อ ซึ่งหมายถึงมีความเจ็บป่วยหรือทรมาน จากอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ระบุอะไรชัดเจน เพื่อให้เปาโลมีความถ่อมใจตลอดเวลา ซึ่งการถ่อมใจ เป็นหัวใจในการสนิทกับพระเจ้า การทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องถ่อมใจ … ถ่อมใจ คือเชื่อลูกเดียว ไม่ได้คิดเอง
เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คนที่ก่อนจะมารู้จักพระเจ้า ก็เคยมีชีวิตที่สำเร็จครบถ้วนตามแบบมนุษย์ เจริญรุ่งเรือง มีชีวิตที่สุขสบาย พร้อมทุกอย่าง แล้วก็เลยทะนงตน เย่อหยิ่ง คิดว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องมีพระเยซูก็ได้ ใครมาประกาศข่าวดีให้ผม เรื่องพระเยซูสมัยนั้น ผมไม่เห็นจะสนใจ เพราะผมคิดว่าผมพอแล้ว ผมช่วยเหลือตัวเองได้ ขนาดนั้น โอเค ดีแล้ว เห็นไหม? ผมเย่อหยิ่งไหม? ผมไม่ฟังเขาเลย จนกระทั่ง มาเจอกับปัญหาที่มันรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว สุดท้าย ถึงมาหาพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พระเจ้าอาจจะใช้ ในการนำพามนุษย์ ซึ่งตกอยู่ในความบาป ความมืดนั้น ให้มารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นั่งที่นี่ เกือบ 100% ถ้าให้ขึ้นมาเป็นพยานตอนนี้ เล่ากันไปถึงสิ้นปี ไม่หมดเลยนะ ทุกคนขึ้นมา จะบอกว่า.-
“แต่ก่อนนี้ ผมเย่อหยิ่งมากเลยครับ ผมคิดว่าผมไปรอดแล้ว ตอนก่อนมาเชื่อพระเจ้า ผมตกระกำลำบาก ปัญหามันเยอะมากเลย”
“อะไรบ้าง?”
แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ ไม่มีใครมาเชื่อพระเจ้า เพราะมีความสุขมากเลย ดีใจมาก แต่ละอย่างดียอดเยี่ยมหมดเลย มาเจอพระเจ้า รับเชื่อเลยทันที มีไหม? ขอยกมือขึ้น มีสักคนไหม? ไม่มี น้อยมาก นอกจากว่ามาจากครอบครัวที่มาจากคริสเตียน แล้วค่อยๆ กลืนเข้าไปในความรู้จักพระเจ้า
หรือแม้กระทั่ง หลังจากที่รู้จักพระเจ้าแล้ว มาเชื่อแล้ว ซึ่งแม้ว่าวิญญาณของเราจะได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่อย่างที่บอกว่าเนื้อหนังร่างกาย ก็ยังมีสัญชาตญาณบาปอยู่ ซึ่งมาจากอาดัมที่เราเรียกว่าเชื้อบาปมันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้วก็จริง คือยังมีอุปนิสัย ธาตุแท้เดิมอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ ที่จะไปทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าบาป หรือไม่ก็อาจจะเพลิดเพลินไปกับพระพรทางโลกมากมายที่พระเจ้าอวยพรให้ แล้วก็เริ่มต้นหยิ่งอีกแล้ว เอาอีกแล้ว เย่อหยิ่ง อวดดีอีกแล้ว มันเป็นธรรมชาติ เป็นทาสแท้ของมนุษย์ทุกคน มันเป็นอย่างนี้
อ้าว! บอกพร้อมกันเลย “มนุษย์ทุกคน ไม่เว้นฉัน”
มันเป็นอย่างนี้จริงๆ นี่พระคัมภีร์สอนเรา เพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่าศัตรูเราคือใคร? ศัตรูเราก็คือตัวฉกาจ ที่สำคัญที่สุด ก็คือตัวเราเอง ไม่ต้องไปมองที่ไหน? หันหน้าเข้าหากระจกเลย พระเจ้าก็จะมีวิธีที่จะคอยดึงเรา ช่วยเรา พระเจ้าจะมีวิธีของพระองค์ โดยให้เรามีหนามในเนื้อ แบบเดียวกันเปาโลเหมือนกัน ให้เรามีสิ่งที่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เราจะได้ไม่หนีไปไหน? ไม่อย่างนั้น ให้เราสำเร็จๆ ดีๆ ไปหมด เดี๋ยวเราก็จะเตลิดไปตามทางของธาตุแท้ของอาดัม ที่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่
เหมือนชาวนา ที่เลี่ยงอะไรไว้ไถ่นา เลี้ยงควาย ก่อนจะใช้งานได้ ต้องทำการ เขาเรียกว่าสนตะพาย ต้องสนตะพายก่อน วิธีการสนตะพายเขาทำอย่างไรรู้ไหมครับ? เขาใช้ไม้แหลมๆ เจาะที่ผนังรูจมูกของควายให้ทะลุ แล้วก็ร้อยเชือกคล้องมาด้านหลัง ทำไมต้องสนตะพายท่านทราบไหมครับ? ท่านเห็นเชือกไหม? เชือกนั้นมันถูกสนตะพาย คือร้อยเข้าไปในจมูกของควาย ทำไม? ก็เพราะว่าควายเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และมีแรงมาก ถ้าเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เราก็ใช้งานมันไม่ได้ การสนตะพาย ก็เพื่อที่จะควบคุม คือถ้าหากมันดื้อ ไม่ทำตามคำสั่ง เขาก็จะดึงเชือกที่สนตะพายไว้ พอดึงปุ๊บ เมื่อดึงแรงๆ มันจะทำให้เชือกไปสีกับเนื้อโพรงจมูก ซึ่งเป็นเนื้ออ่อนข้างในของจมูกควาย พูดง่ายๆ คือทำให้มันเจ็บนั้นเอง เพื่อจะได้ยอมทำตามคำสั่ง
มนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ผมไม่ได้หมายความเช่นเดียวกับควายนะ อย่าเข้าใจผิด ผมหมายถึงว่าหลายครั้ง มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละ หลายครั้งที่เราหลงทำ หรือหลงไปทำ หรือทำโดยไม่หลง แต่ทำบ่อยๆ คือสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า สิ่งที่ไม่เป็นน้ำพระทัย เราไปทำ เพราะว่าเราทำบาปนั้น หรือดื้อกับพระเจ้า บาป คือการไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเรียกว่าดื้อกับพระเจ้า ด้วยเหตุมาจากอะไร? มาจากความเย่อหยิ่งในชีวิตของเรา เย่อหยิ่งในเนื้อหนังนั้น เรายอมมันไง เราหลงไปกับมัน นั่นคือสัญชาตญาณบาปที่อยู่ในร่างกายของเรา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม
เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเจ็บปวด เพื่อให้พระเจ้าสามารถควบคุมชีวิตเราได้ ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ประสบการณ์ของเปาโล เพราะพระเจ้าต้องการนำเราไปในทิศทางที่ดี และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ซึ่งดีกว่าที่เราจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองอย่างมากมาย เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าต้องการอย่างนี้มากกว่า เราคิดของเราอย่างนี้ว่า.-
“เจ็บป่วยมันไม่ดี เจ็บ มันไม่ดี มีปัญหา มันไม่ดี”
แต่พระเจ้าบอกว่า “ดีกว่าตั้งเยอะเลย ดีกว่าเธอไปลงเหว”
พอเข้าใจไหม? พระเจ้ามองอีกอย่างหนึ่ง เรามองอีกอย่างหนึ่ง นี่คือตัวอย่าง ความคิดของเรากับความคิดของพระเจ้า วิธีการของเรากับวิธีการของพระเจ้า มันคนละเรื่องกันเลย พระเจ้าจะช่วยเรา แต่เราบอกพระเจ้าไม่เมตตาเรา เลยทำให้เราเจ็บปวด
ในคืนวันพฤหัสฯ ก่อนพระเยซูจะถูกทหารอายัดไปตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ใช่ไหมครับ? พระองค์อยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ก็ต้องกลัว กลัวเจ็บปวด เพราะรู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บปวดมาก พระองค์ก็กลัว เหมือนมนุษย์ทุกคนแหละที่กลัว เพราะพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ พระเยซูจึงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า.-
“ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไปให้พ้น (ถ้านะ) ถ้าเป็นไปได้ พระเจ้าไม่ให้เขาเอาไปตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม?”
ถ้วยนี้ ก็คือความทุกข์ทรมาน ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าจะต้องเผชิญ พระเยซูอธิษฐานให้ถ้วยนี้เลื่อนไปก็จริงๆ ไม่อยากจะเข้าไปก็จริง แต่พระเยซูจบคำอธิษฐานว่าอย่างไรครับ?
จบว่า “แต่ทั้งนี้ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”
เพราะพระเยซูทราบดีว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า ทางของพระเจ้า ความคิดของพระเจ้านั้น ดีกว่าของพระองค์อย่างแน่นอน เอเมน นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เราได้เห็น
พระเจ้าจึงบอกว่า “พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”
พระเจ้าจึงพูดคำนี้ เป็นตัวอย่างให้กับเปาโลและพวกเราทั้งหลาย
พระเจ้าตอบเราว่า “พระคุณของเรา ก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”
พระคุณของพระเจ้าคืออะไร? ก็คือพระองค์ทรงไถ่บาปเราแล้ว รักเรามาก สำแดงความรักของพระองค์ด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราแล้ว ยอมทุกอย่างแล้ว … แล้วนึกเหรอว่าพระองค์จะปล่อยให้เราเจ็บปวดอย่างนี้ต่อไป โดยไม่แย่แส มันต้องมีอะไรดีกว่านั้นแน่นอน พระองค์จึงบอกว่า.-
“พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า” เอเมน
ให้เราพูดพร้อมกัน “พระคุณของพระเจ้า เพียงพอสำหรับฉัน เอเมน จำไว้”
พูดให้ใครฟัง? ตัวเอง ตอนนี้มันจำได้ แต่ตอนที่อื้อหือ …. นะ แล้วแต่อื้อหือตรงนั้น คืออะไร ต่างคนต่างใส่เข้าไปเอง ก็แล้วกันเนอะ
การกระทำที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรา อย่างที่เคยพูดว่าแบบไหนใหญ่กว่ากัน ระหว่างพระเจ้าทำให้พายุสงบ เพื่อให้เราผ่านไปได้ง่ายๆ หรือพระเจ้าให้เราสงบ แล้วนำพาเราผ่านทางพายุโหมกระหน่ำอย่างหนัก แบบไหนอัศจรรย์กว่า แบบที่สองอัศจรรย์กว่า
เปาโล ผู้ซึ่งบอกเรา และแนะนำเคล็ดลับให้กับเรา ในการที่จะจดจ่ออยู่กับสวรรค์ใช่ไหม? Set your mind ตั้งโปรแกรมไว้ที่สวรรค์ อยู่กับตำแหน่งของเราในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง เต็มไปด้วยชัยชนะ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์อย่างดีในเรื่องนี้ เพราะชีวิตเปาโลผ่านมาแล้ว เปาโลจึงสอนเราในเคล็ดลับตรงนี้ ให้เราตั้งจดจ่อไว้ที่สวรรค์ Set your mind above where Christ is. ก็คือตั้งโปรแกรมความคิดของเราไว้ที่สวรรค์ ตรงที่พระเยซูสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และวิญญาณของเราก็นั่งอยู่ที่นั้นด้วย นี่เปาโลสอนเราเคล็ดลับ นี่เพราะเปาโลผ่านมา เปาโลรู้ว่านี่คือหัวใจสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้อย่างมีชัยชนะ
อย่างตอนที่เปาโลมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เปาโลได้พบพระเยซูในระหว่างการเดินทางไปดามัสกัส ไปจับคริสเตียนมาทรมาน ตอนนั้นยังไม่ได้เชื่อ ในขณะระหว่างทางเจอพระเยซู เสร็จแล้วก็ตาบอด พอตาบอด แล้วอย่างไร? พระเจ้าก็รักษาเปาโลให้หายจากตาบอด แบบอัศจรรย์มากเลย มากๆ เลย ไม่ต้องเล่ารายละเอียดนะครับ เปาโลก็ดีใจมากเลย รับเชื่อพระเยซูเลย ดีใจได้รับการอัศจรรย์ใหญ่เลย ต่อมา ก็เริ่มประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่ง เปาโลถูกฝูงชนทำร้าย ข่มเหง เนื่องจากไปประกาศข่าวประเสริฐ เอาหินขว้างจนตาย แล้วเอาศพไปโยนทิ้งนอกเมือง แล้วก็มีพวกคริสเตียนคนอื่นๆ เข้ามาอธิษฐานให้ ปรากฏว่าพระเจ้าชุบเปาโลให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ เป็นขึ้นจากตายเลยนะ เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อีกแล้ว ฟื้นจากความตายเลย ขอบคุณพระเจ้ากันใหญ่
นี่ประสบการณ์ของเปาโล เอามาเล่าให้ฟังนิดเดียว แต่จริงๆ มีเยอะ ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีเหตุการณ์อีกเยอะแยะมากมาย ที่เปาโลต้องเผชิญ หลังจากที่ได้พบพระเยซูแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว อย่างเช่น เรือแตก อดอาหาร ติดคุก ถูกเฆี่ยน ทุกครั้งเปาโลก็รอดชีวิตมาได้ แบบที่เรียกว่าอัศจรรย์ทั้งนั้นเลย สุดท้าย พระเจ้าก็บอกให้เปาโล เดินทางไปกรุงโรม ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วเปาโลก็รู้ว่าเดินทางไปครั้งนี้ พระเจ้าบอกแล้วว่าไปเที่ยวนี้ จะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการถูกตัดคอ ถูกประหารชีวิต เปาโลก็เดินทางไป และก็ได้ประกาศที่นั่นจริงๆ และก็ได้เป็นไปตามนั้นจริงๆ ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยการให้เขาจับไปตัดคอ ประหารชีวิต ด้วยสันติสุขในพระเจ้า ด้วยความยินดี
นี่เปาโลคนเดียวกันนี้ ตายจริงๆ แล้วคราวนี้ ไม่ฟื้นอีกแล้ว ตายจริงๆ เลย ถามว่าตอนถูกตัดคอ พวกคริสเตียนที่รู้จักเปาโล รวมทั้งเปาโลอธิษฐานไหม? อธิษฐาน เหมือนเดิมไหม? เหมือนเดิม พระเจ้าทำอัศจรรย์กับเปาโล สมมติว่า 50 ครั้งแล้ว แน่นอน หลุดอีกแน่นอน 100% ง่ายกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ จักรพรรดิโรมไม่สามารถทำอะไรเปาโลได้เลย อธิษฐานๆ ในที่สุด ทำไม ในที่สุด เสร็จด้วยกัน ถูกตัดคอ แล้วคริสเตียนเหล่านั้น คิดเอาเองนะ คริสเตียนเหล่านั้น ก็คงไม่รู้จะพูดอะไรกัน ทำไมมันเป็นอย่างนี้แหละ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่คือทางของพระเจ้า ซึ่งเปาโลเอง ก็พร้อมที่จะตาย เพราะเขาพูดอย่างนั้นแล้ว เขาพร้อมที่จะตาย เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะเขารู้วิธีการที่จะขอบคุณพระเจ้า เขารู้วิธีการที่จะตั้งความคิดไปไว้ที่โลกฝ่ายวิญญาณ … โลกฝ่ายวิญญาณคือที่ไหน? ที่สวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และเขาอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เขามอบให้พระองค์ทุกอย่าง เอเมน
นี่แหละ คำพยานอันยิ่งใหญ่ของเปาโล ไม่ใช่คำพยาน คือฆ่าก็ไม่ตาย ไม่ใช่ สุดท้ายทำไม? ไม่ต้องจับ เดินไปให้เขาจับเลย ให้เขาฆ่าให้ตาย ก็เหมือนพระเยซู คล้ายๆ กัน เพราะว่าเขารู้แล้วว่าคืออะไร? หลุดไปแล้ว ไม่กลัวเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดแบบมนุษย์ มองด้วยสายตาแบบมนุษย์ เราอาจบอกว่าไม่เห็นอัศจรรย์ตรงไหนเลย การที่เปาโลตาย ไม่เห็นอัศจรรย์เลย ไม่เห็นถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย ถวายเกียรติแด่พระเจ้าต้องเหมือนเดิมสิ พอถูกฟัน คอกระเด็นไป คอกระเด็นกลับเข้ามาใหม่ เดินออกมา อย่างนี้สิ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อ้าว! ตอนถูกหินขว้างยังเป็นขึ้นมาใหม่ได้ แล้วทำไมตอนนี้ถูกตัดคอไป ใครเอาคอมาต่อให้หน่อย คงถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่านี้อีกเยอะ แล้วคิดอย่างนั้นในสายตาแบบมนุษย์ นี่คือวิธีการแบบมนุษย์ คิดแบบมนุษย์ ที่ตะกี้เราพูดกันว่า.-
“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด ความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเรา มนุษย์ฉันนั้น”
ตะกี้เราหัวเราะ จริงๆ เราคิดแบบนั้นบ่อยๆ หัวเราะตัวเอง บอกว่าหัวกระเด็นไป เอาหัวกระเด็นกลับมา หัวเราะคริๆ แล้วบางทีท่านทั้งหลาย บางครั้ง ทุกวันนี้อธิษฐานอะไรบางอย่าง จะให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ยากกว่านี้อีกเยอะนะ ท่านก็ยังอธิษฐานอยู่เลย
เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน? มุมแบบมนุษย์ คือมองด้วยตาทางฝ่ายเนื้อหนัง มองทางฝ่ายวัตถุ มองตามระบบของโลกนี้ หรือมองตามตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดออก ตั้งความคิด จดจ่อ จับจ้อง Set mind ไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และวิญญาณของเรา ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองตรงตำแหน่งไหน? เราอยู่เวทีไหน? เวทีบนโลกนี้ หรือเวทีในสวรรค์ เวทีบนโลกวัตถุนี้ หรือเวทีบนโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ตรงไหน? เราชกกับมาร ชกกับความบาป อยู่ตรงไหน? อยู่เวทีไหน?
นี่คือสิ่งที่เปาโลได้ตั้งความคิดของเขา ก็คือ Set mind ของเขาไว้ที่นั้น คือที่โลกฝ่ายวิญญาณ เขาจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในทุกสถานการณ์ และมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี มีความสงบสุข มีความพอเพียงได้ในทุกสถานการณ์ เพราะว่าเขาตั้งความคิดของเขาไว้ จดจ่อของเขาไว้ ชีวิตของเขาไว้ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หรือเรา หรือเปาโล หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่กับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู
“แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ”
แค่หลับตา เราก็ไปอยู่บนนั้นแล้ว เอเมน เพราะฉะนั้น มีอะไรเกิดมาตอนนี้ ทำอะไร? หลับตา แค่หลับตา แล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ตั้งความคิดเราไปที่สวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะเราอยู่ที่นั้น ที่นั่นเราชนะ 100% ถ้าเราไม่ตั้งที่นั้น เราตั้งบนโลกนี้ เรา … ภาษาจีน เขาเรียกว่าซี้แหงแก๋ … ชีช้ำ … ชีช้ำ แปลว่าอะไร? น่าสงสาร
เพราะฉะนั้น อย่าเลย เราอุตส่าห์มาเชื่อพระเยซูแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตั้งตรงนั้น ตรงนั้นเราชนะตลอด 1 เธสะโลนิกา 5:18 เปาโลจึงเขียนคำนี้ บอกเรามาตลอด ให้ Set mind หรือตั้งโปรแกรม จดจ่อไว้ที่สวรรค์แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ คือ 1 เธสะโลนิกา 5:18 บันทึกอย่างนี้ คือ.-
1 เธสะโลนิกา 5:18 “จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์”
เอเมน … เปาโลผ่านมาเยอะ เปาโลรู้ว่าถ้าเราตั้งความคิดของเราไว้ที่พระเยซูคริสต์ ตั้งความคิด จดจ่อไว้ในเบื้องบน ในสวรรค์ ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวา แล้วเราอยู่ที่นั้นด้วย ตั้งความคิดของเราจดจ่อไว้ที่โลกวิญญาณ เราจะสามารถพูดออกจากปากของเรา ในทุกสถานการณ์ว่าขอบคุณพระเจ้า มิฉะนั้นเราขอบคุณไม่ออกหรอก ถ้าเราจะมองอยู่แค่บนโลกนี้ เราช็อคอยู่บนโลกนี้ เราโดนมันซัด โดนมันฮุกซ้าย ฮุกขวา ฮุกหน้า ฮุกหลัง จนเราบอกว่า.-
“พระเจ้าช่วยด้วย”
แทนที่เราจะบอกว่า “ขอบคุณพระเจ้า”
เราก็จะบอกว่า “ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น อย่างนี้ ทำไมแย่จริงๆ เลย ชีวิตเราลำบากลำบนจังเลย”
อะไรถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่า มันก็ไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าเรารู้เคล็ดลับว่าเราควรจะสู้ที่ไหน? เวทีเราอยู่ที่ไหน? เวทีเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ เราแพ้หลุดลุย แพ้แบบไม่ได้ถวายเกียรติต่อพระเจ้าด้วย แล้วทุกข์ทรมานด้วย แน่นอน เราอาจจะได้รับความรอด ไปสวรรค์จริง แต่ชีวิตบนโลกนี้ มันทุกข์ทรมาน แล้วมันไม่ได้เป็นพยานให้กับใครเลย คนที่เป็นคริสเตียนหลายคน หลายคนในอดีตมา จนถึงทุกวันนี้ เราจึงเห็นอัศจรรย์ในชีวิต แต่ทำไมเขาทำได้ ขนาดคนจับเขาไปตรึงกางเขน จับเขาไปเผาไฟ เขาเฉยๆ เลย แสดงว่าเขาฝึก พระเจ้าให้เขาฝึก เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในอนาคตอันใหญ่นี้ พระเจ้าฝึกเขาจนกระทั่งเขาพุ่งไปที่โลกวิญญาณได้อย่างชัดเจนแจ่มใส ให้ทำอะไรบนโลกใบนี้ เชิญทำไปเลย เขาชนะไปแล้ว เพราะเขาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาขอบคุณพระเจ้าได้ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น เราทำได้เหมือนกับเขาเหมือนกัน เพราะพระเจ้าจะเสริมกำลังให้กับเรา ตามหน้าที่ของเรา ที่จะทรงใช้เราในอนาคต ตามที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:8-9 ที่บอกว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้พระคุณความรอด เพื่อเราจะได้กระทำดีตามน้ำพระทัยของพระองค์ … พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่รู้ ทำอะไรไม่รู้ แต่พระองค์จะให้กำลังกับเราสามารถทำให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เอเมน
เพราะฉะนั้น เหมือนเพลงขอบพระคุณ ที่เราร้องกันบ่อยๆ ว่าให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ เราขอบคุณพระเจ้า ในยามที่เรามีความสุขก็ได้ หรือในยามที่เรามีทุกข์ ก็ยิ่งดี ไม่ใช่ทุกข์ดีนะ หมายความว่ามันหมายถึงเรามีความทุกข์ แล้วพึ่งพระเจ้าได้ดี ไม่ใช่เราเป็นพวกซาดิสต์อยากจะมีความทุกข์ ไม่ใช่ หมายถึงว่าถ้าจำเป็นต้องมีความทุกข์ เรายังขอบคุณพระเจ้าได้ นี่ดี … ดีกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว เราควรขอบคุณพระเจ้าในยามที่เรามีความทุกข์มากกว่าตอนมีสุขด้วยซ้ำ เพราะตอนมีสุข ให้ขอบคุณพระเจ้านั้น ใครๆ ก็ทำได้ ไม่รู้ว่าคนนี้เชื่อพระเจ้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่สามารถพิสูจน์ว่าคนนี้เชื่อพระเจ้าได้หรือไม่ เพราะใครๆ ก็สามารถทำได้อย่างนี้ ได้ดีมา ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ตอนที่ไม่ดี ในสายตามนุษย์ไม่ดี ตามสถานการณ์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ ตามวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ เขาเรียกว่าไม่ดี แต่คนนั้นยังสามารถ ขอบคุณพระเจ้าได้ อันนี้เยี่ยมมากเลย ถูกไหม?
ในตอนที่เราต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบาก แล้วพระเจ้านำพาเรา ให้เรามีกำลัง มีความสงบ สันติสุข ที่จะเดินผ่านความทุกข์นั่นไปได้ ตรงนี้แหละเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่เราสมควรต้องเรียกว่าขอบพระคุณเป็นอย่างมากกว่า ยิ่งกว่า ยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ
เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? ทั้งหมดนี้ เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? ที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ ทุกพื้นที่ชีวิต เคล็ดลับอยู่ที่ตั้งความคิดของเราไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นใครในพระคริสต์
ให้พูดพร้อมกันว่า “ฉันเป็นใครในพระคริสต์ ฉันเป็นใครในพระคริสต์”
ท่านลองพูดแบบเย่อหยิ่งมากๆ สิ เย่อหยิ่งในวิญญาณนะ ไม่ใช่ทางวัตถุ ท่านลองพูดแบบเย่อหยิ่ง
“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ รู้ไหม? ความทุกข์จะมาทำอะไรฉันได้”
เข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ ฉันเป็นใคร? แล้วก็เบ่ง อันนั้น มันทางโลกวัตถุ ตายแน่เหมือนกันซี้แหแก๋ นี่หมายถึงทางโลกวิญญาณ ให้พูดด้วยความเย่อหยิ่งในวิญญาณที่ถูกต้อง
“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มาเลยปัญหา ถ้าพระเจ้าให้เกิดปัญหาขึ้น ฉันสามารถฟันฝ่าไปได้ เอเมน ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในวิญญาณของฉัน รวมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ”
นี่คือเคล็ดลับ นี่แหละคือเคล็ดลับ ในการที่จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และผ่านทุกสถานการณ์ในชีวิต ที่พระเจ้าจะนำพาเราผ่าน เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ โดยจากข้างในวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเรา และทรงนำวิญญาณของเรา ที่เราจะสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ ตามน้ำพระทัยพระองค์ ที่พระองค์จะทรงใช้เรา กระทำสิ่งดี ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา ล่วงหน้าไปแล้ว ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ และเมื่อนั้น เราก็จะสามารถร้อง เหมือนที่เปาโลบอก ในขณะที่ทุกข์ยากได้ว่า.-
“โปรดให้ลูกขอบพระคุณ ไม่ว่าลูกจะเจออะไร”
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************