คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2020
เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิต” ตอน 1
“ท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้คำบรรยายจะใช้หัวข้อเรื่องว่า “ที่เรารอด ก็รอด โดยพระคุณ” รอดจากอะไร? รอดจากความบาป รอดจากคนบาป มาเป็นคนชอบธรรม รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ ต้องใช้หนี้บาป คำสาปแช่ง มากลายเป็นลูกพระเจ้า พ้นคำพิพากษา พ้นทุกข์ หมดหนี้ หมดสินนั่นเอง ไม่ต้องไปจ่ายอะไรใครอีกแล้ว นั่นคือคำว่า “รอด” รอดจากการอยู่ในอาณาจักรของความมืด เป็นทาสมารซาตาน มาอยู่ฝั่งอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า นี่เรียกว่ารอด ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้น รอดโดยการกระทำของเรา เปล่า โดยพระคุณ จึงใช้หัวข้อเรื่องว่าที่เรารอด ก็รอด โดยพระคุณ
เนื่องจากมีคำถามเข้ามา หลังจากที่ 3, 4 อาทิตย์ที่ผมได้พูดถึงเรื่องนี้เยอะ เรื่องเกี่ยวกับความรอด เรื่องที่เราจะฝากความหวังไว้ที่พระเยซู ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และท้าทายให้พี่น้อง ที่รับชมทางบ้าน ได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าดีเพียงใด และจริงหรือไม่ หลายท่านก็ได้พิสูจน์จริงๆ แล้วก็ได้ยอมรับ ได้ถ่อมใจรับความรอดนี้ ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือได้รับความรอดนั่นเอง ก็เลยมีคำถามมาถามว่าเมื่อได้รับความรอดแล้ว จากที่ฟังแล้ว ก็ทำตามที่ผมได้ท้าทายไปแล้ว ถามว่าที่ผมพูดย้ำๆ อยู่บ่อยๆ ว่าข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีนั้น ความรอดที่จะได้รับ ก็คือการได้รับการชำระให้พ้นจากบาปเวรกรรม ได้รับการล้างบาปจนหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรเลยสักนิดหนึ่ง เป็นผู้ชอบธรรม แล้วเป็นลูกพระเจ้าด้วย เขาก็ถามว่าเมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เชื่อตามที่บอกแล้ว ได้เกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ต้องทำอะไรบ้าง? หลายคนก็คิดอย่างนั้น วันนี้ก็เลยต้องมาอธิบายตรงนี้ว่าต้องทำอะไรต่อ ถามว่าต้องไปโบสถ์ ซึ่งหมายถึงคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ไหม? ต้องอ่านพระคัมภีร์ไหม? ต้องอธิษฐานก่อนกินข้าวไหม? อะไรอย่างนี้เป็นต้น ต้องอธิษฐานก่อนนอนไหม? เคยได้เห็นในหนัง เขาเลยถามว่าต้องทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่?
วันนี้ก็เลยจะมาตอบคำถามเรื่องนี้ และอย่างที่ผมบอกอยากรู้ความจริงอะไร? ต้องการศึกษาอะไร? ก็ต้องไปดูที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ก็คือหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าบันทึกไว้ว่าอย่างไร? พระเจ้าว่าอย่างไร? ในเรื่องนี้
เพราะฉะนั้น จะตอบคำถามว่าหลังจากที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง เอเฟซัส 2:8-10 คือหนทางที่เราจะเสาะแสวงหาคำตอบว่าหลังจากเชื่อแล้ว เราต้องทำอย่างไร?
เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”
“เพราะท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง” ก็คือไม่ได้มาจากตัวท่านทำเอง ไม่ใช่เพราะท่านทำดี ท่านถึงได้รับความรอด พระเจ้าจึงเมตตา เปล่าไม่ใช่ แต่เป็นของประทาน คือ Gift เป็นของขวัญ แปลว่าให้เปล่าๆ ฟรีๆ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อใครจะอวดได้ ก็คือไม่ใช่ความรอดจากการประพฤติดีของเราว่าเราประพฤติดีเยอะแยะมากมาย เราจึงสมควรได้รับความรอด พระเจ้าเห็นว่าเราทำดี จึงได้ประทานให้ ไม่ใช่เลย ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่สามารถมาอวดตรงนี้ได้ว่าเราทำดี จึงได้สิ่งนี้ ที่ดีๆ ตอบแทนกลับมา คือพระเจ้าเห็นว่าเราทำดี จึงให้เรารับความรอด ไม่ใช่นะครับ
ถามว่าหลังจากที่รับเชื่อแล้ว ได้รับความรอดนี้แล้ว ได้เกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการที่เปิดใจ ถ่อมใจ เปิดปาก ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว และยอมรับสิ่งเหล่านี้ รับสิทธิในสิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ ยอมรับเชื่อนั่นเอง ก็ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า ได้ถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า ทันทีเลย
ถามว่าหลังจากที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์หรือเปล่า? ต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวันไหม? ถึงได้เป็นลูกพระเจ้า ต้องอธิษฐานก่อนอาหารทุกมื้อ หรืออธิษฐานก่อนนอนไหม? จึงจะได้เป็นลูกพระเจ้า ต้องหาเวลาเงียบๆ คุยกับพระเจ้าไหม? ถึงจะได้เป็นลูกพระเจ้า บางคนถึงขั้นถาม อันนี้เรื่องจริงนะต้องไปเปลี่ยนสถานะในบัตรประชาชนไหมว่านับถือศาสนาอะไร?
ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะไปโบสถ์ก็ดี อ่านพระคัมภีร์ก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ใครๆ ก็รู้ มีประโยชน์ทั้งนั้น แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าให้เราต้องทำ ถึงจะได้รับความรอด ถึงจะได้เป็นลูกพระเจ้า มันอาจจะควรทำ แต่ไม่ได้บอกต้องทำ ถึงจะได้สิ่งเหล่านั้น การได้เป็นลูก การรอดจากความบาป รอดจากนรกนั้น มันรอดไปแล้ว ด้วยความเชื่อ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ต้องทำสิ่งเหล่านี้จึงจะได้รับความรอด เพราะบางคนคิดว่าเป็นเหมือนศาสนา ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ทางศาสนาอะไรต่างๆ เหล่านั้นว่ามาถึงปุ๊บ จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อรักษาความรอดที่ได้แล้ว ต้องรักษาฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกไม่ต้องรักษา มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อได้รับความรอด ก็รอดเลย เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกพระเจ้าเลย ไม่ใช่ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะคิดว่าเป็นกฎข้อบังคับ มาเป็นลูกพระเจ้า แล้วต้องทำอันนี้ มาเป็นลูกพระเจ้า แล้วมีข้อบังคับอย่างนี้ ไม่มีเลย ไม่มีคำว่าต้อง
ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าพอเราเชื่อ เราเป็นลูกพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา พอพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา พระคัมภีร์บอกว่าที่ไหนที่พระวิญญาณสถิตอยู่ ที่นั่นมีอิสรเสรี ไม่มีการบังคับว่าอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พระองค์ให้ความรัก ความเมตตาต่อเรา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตเรา เราได้รับการเป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาป โดยพระคุณ (พระคุณ แปลว่าไม่สมควรที่จะได้รับ แต่ได้รับ) ผ่านทางความเชื่อ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกว่านี่คือข่าวดี สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง คือฉันไม่ได้ทำเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นของให้เปล่า เป็น Gift เป็นของประทานจากพระเจ้าที่ให้ฟรีๆ ต้องจำขึ้นใจเลย เพราะถ้าท่านจำขึ้นใจอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถสรุปได้ทันเลยว่าอะไรที่เราต้องทำ อะไรที่เราไม่ต้องทำ
สรุป คือเราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง เพราะเราได้รับความรอด โดยพระคุณ เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับความรอด รอดจากบาป รอดจากนรก ไปสวรรค์ ไม่ต้องทำแล้ว พระเยซูทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเพียงแต่ไปรับเอา เชื่อเอาทั้งหมด เป็นแพ็คเกจเลย สิ่งเดียวที่เราต้องทำ ซึ่งเราทำไปแล้ว ก็คือเปิดใจ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาป ช่วยฉันได้ เชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ พระเจ้าไม่บังคับเรา บังคับไม่ได้ด้วย พระเจ้าให้อิสรภาพ สำหรับเรา มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
เรายอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราเหนื่อยเหลือเกินที่จะสะสมความดี เดี๋ยวก็ทำชั่ว เดี๋ยวก็ทำดี เรายอมรับว่าทำไม่ได้ พอยอมรับว่าทำไม่ได้ปุ๊บ เราเปิดใจยอมรับว่าข่าวดีที่มาถึง คือเมื่อเราทำไม่ได้ พระเยซูคือผู้ที่มาช่วยเรา พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือช่วยให้เรารอดจากบาป รอดจากการกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น ลบบาปให้กับเรา เราเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของเรา นั่นแหละ คือสิ่งที่เราต้องทำ พอเราเปิดใจต้อนรับปุ๊บ พระเยซูก็อภัยให้ แล้วเราก็ได้สิทธิที่พระเยซูทำทั้งหมดให้กับเรา คือได้บังเกิดใหม่ พ้นจากบาป เป็นลูกของพระเจ้าด้วย
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าสิ่งที่เราต้องทำ มีสิ่งเดียว และเราทำไปแล้ว คือถ่อมใจลง และยอมรับว่า …
“พระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ของฉัน ฉันเป็นคนบาป ก็คือคนป่วยในวิญญาณที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ รู้เลยว่าฉันทำความดีอย่างไร? ก็ไม่มีทางลบเอาความบาป ที่ฉันเคยทำที่อยู่ในใจฉันออกไปได้ ไม่มีทาง ทำดีขนาดไหน ก็ไม่มีทางออกไปได้ ฉันยอมรับว่าฉันอ่อนแอ ฉันยอมรับว่าฉันป่วยทางวิญญาณ ฉันต้องการหมอ”
พระเยซูบอกว่าคนที่นึกว่าตัวเองแข็งแรงดี ไม่ต้องการหมอหรอก แต่คนที่ป่วย เขาต้องการหมอ และพระองค์ คือแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักษาโรคทางฝ่ายวิญญาณนี้ให้หาย เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่คนนั้น ต้องยอมรับว่าตัวเองป่วย คือป่วยทางวิญญาณ เป็นบาปอยู่ และต้องการการช่วยเหลือ
สรุปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราได้รับความรอด ความช่วยเหลือจากพระเยซู โดยความเชื่อ ผ่านทางพระคุณของพระเจ้า ให้เราเป็นของขวัญฟรีๆ เอเมน
ถ้าจะหาคำตอบจากพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำอะไร? ต้องการนะ ไม่ใช่บังคับเรา ไม่ได้สั่งเรานะ พระเจ้าต้องการอะไรจากเรา ให้เราทำ เพื่อประโยชน์ของชีวิตเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หลังจากที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รับเชื่อในพระเจ้า เกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเรามากเลย อยากให้เราทำ เพื่อประโยชน์ของเราเอง เปิดไปดูโคโลสี 3:1-4
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
4 ข้อนี้ คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์แล้วกระทำ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือจงหมั่นรับรู้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ให้รับรู้ในโลกวิญญาณมีจริงๆ และเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ และตำแหน่งของเราในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่พระเจ้าบอกว่าตำแหน่งของเราในโลกวิญญาณ ก็คือเราเป็นลูกพระเจ้า และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรากระทำเพียงสิ่งเดียว อยู่ในข้อนี้ ถ้าท่านยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านกระทำแค่นี้ ส่วนรายละเอียดต่างๆ มันจะมาจากตรงนี้แหละ ถึงจะถูกต้อง
โคโลสี 3:1 บอกว่าในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ก็คือเมื่อเรารับเชื่อปุ๊บ พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณของเรา จากในอาดัม อยู่ในความมืด มาอยู่ใน DNA ของพระเยซูคริสต์ เป็นแสงสว่าง เป็นความรอด เป็นลูกของพระเจ้า และเราได้บังเกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเกิดใหม่ เราก็เกิดใหม่ด้วย ในนี้บอกว่าอย่างไร? ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันมองไม่เห็น มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ และเกิดขึ้นจริงๆ พระเจ้าต้องการให้เรารู้ความจริงเหล่านี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูคริสต์บอก
ความจริงเหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่มันเป็นอยู่ และมันมีอยู่จริง ในโลกวิญญาณ และพระเจ้าทรงทราบดี สิ่งเหล่านี้พระองค์จึงอธิบายสอนไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตลอด มิฉะนั้น เราก็จะมองแต่สิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน มือสัมผัสได้ กายสัมผัสได้ พูดง่ายๆ คือตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสได้ เราก็นึกว่าสิ่งเหล่านี้จริง แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลพูดกลับกัน ตา หู จมูก ลิ้น กายที่จับต้องมองเห็นได้ สิ่งของบนโลกใบนี้ ในขณะนี้มันไม่จริง มันไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปแล้ว เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลง ทั้งโลกใบนี้ มันก็จบลง ไม่เหลืออะไรเลยสักนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น มือจับไม่ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กายจับไม่ได้ แต่วิญญาณรู้ พระเจ้าบอกนั่นมีอยู่จริง และมันจะอยู่ถาวรนิรันดร์ คือไม่เปลี่ยนแปลง มันจะอยู่นิรันดร์กาลอย่างนั้นเลย
สมมติถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้บอก เราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกพระเจ้า เราก็จะเป็นลูกพระเจ้าอย่างนี้แหละในโลกวิญญาณ และตลอดไป โลกวิญญาณจะชัดเจนขึ้น ในขณะที่โลกวัตถุกำลังสูญสิ้นไปทุกวันๆ ดูง่ายๆ อย่างเช่นร่างกายของเรา ปัจจุบันที่เราจับต้องมองเห็นได้ ร่างกายนี้ถูกสร้างมาจากโลกใบนี้ มันกำลังสูญสิ้นไป ท่านเห็นไหม? ร่างกายท่านไม่แก่ลงไปทุกวันเหรอ ท่านอาจจะบอกว่าพระคัมภีร์ไม่ถูก แต่ท่านเห็นไหม ท่านแก่ทุกปีๆ และวันหนึ่งท่านก็จะต้องตายจากโลกนี้ไป นั่นคือความเสียหาย ความสูญสิ้นของวัตถุสิ่งของที่ตามองเห็น จับต้องได้ มันจะจบลงไป แต่วิญญาณของท่านที่มองไม่เห็น ที่อยู่ข้างในตัวของท่านในขณะนี้ มองไม่เห็น แต่ตัวนี้จะไม่มีวันสูญสิ้นเลย มันจะอยู่ในโลกวิญญาณตลอดไป เพียงแต่จะอยู่ ณ สถานที่ไหน? อาณาจักรไหน? อาณาจักรแห่งความมืด หรืออาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรที่เรียกว่าทาสของมาร หรืออาณาจักรที่เรียกว่าทาสพระคริสต์ หรือลูกของพระเจ้า อาณาจักรที่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมทุกข์ทรมาน หรืออาณาจักรที่เต็มไปด้วยสันติสุข และความสุขตลอดชีวิต
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์สถาน ในนี้บอกเบื้องบน คือที่ไหน? ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ก็คือที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ซึ่งเราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย ให้เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เหมือนให้เราหลับตาเห็น จงมองให้เห็นเถิด ให้เราหมั่นคิดและหมั่นฝึกฝนตนเองให้เห็นโลกวิญญาณนี้ชัดเจนตลอดเวลา
ข้อ 2 บอกว่าจงให้ความคิดของท่านจดจ่อไว้ที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก เห็นไหมครับ? มองดูตัวเองในกระจก มองทะลุเห็นโลกวิญญาณสง่าราศีเหลือเกิน เป็นลูกของพระเจ้าที่สวยหล่อ ดีเยี่ยม บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ … ศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้ หมายถึงเป็นความบริสุทธิ์ที่ถูกแยกส่วนถวายแด่พระเจ้า ความหมายของคำแปลว่าอย่างนี้ พระเยซูถวายเราให้กับพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีตำหนิอะไรแม้แต่นิดเดียว เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก งดงามมาก อย่าไปมองดูโลกวัตถุ ในนี้บอกว่าฝ่ายโลก อย่าไปดูร่างกายฝ่ายโลกที่มันแก่ลงทุกวัน หรือมันไม่หล่อ ไม่สวย ตามที่เขาบอก ไม่สนใจเลย สนใจโลกวิญญาณที่เป็นจริงตรงนี้ดีกว่า
ข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า”
คำว่า “ตายแล้ว” หมายถึงตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นตัวบาป วิญญาณบาป และจิตใจที่เต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย โดยกำเนิดใน DNA อาดัม ได้ตายไปแล้ว จบสิ้นไปแล้ว และบัดนี้ ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ชีวิตของท่าน คือลูกของพระเจ้า ฐานะลูกของพระเจ้าได้ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในการควบคุมดูแล ในการครอบครอง ในการโอบอุ้มของพระคริสต์
พระคริสต์ คือใคร? ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมกันเป็นอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรของพระคริสต์ เราอยู่ในนั้น วิญญาณเราถูกซ่อนอยู่ แอบอยู่ในนั้น ในขณะนี้
ฟังขนาดนี้ ท่านยังงง ก็ต้องงงแน่นอน ไม่งงได้อย่างไร เพราะในนี้ พระเจ้าบอกว่า “จงให้ใจท่านจดจ่ออยู่” ก็คือสม่ำเสมอ ตลอดเวลา ไม่ใช่วันนี้วันเดียว มาฟังคำบรรยายแล้ว เลิกจดจ่อ จดจ่อทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ทุกวินาทียิ่งดี
ข้อ 4 บอกว่า “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
ในนี้บอกเมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ที่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยร่างกายเต็มด้วยสง่าราศี แล้วก็ลอยเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ ให้กับคนมากมายได้เห็น แล้วบอกด้วยว่าเราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นแหละเป็นวันที่พระเยซูปรากฏ จะมีวันหนึ่งที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้ง ให้มนุษย์ได้เห็นทุกคน วันนั้นจะเป็นวันที่ ท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ วิญญาณของเรา ที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เวลาที่พระเยซูคริสต์ปรากฏพระองค์เอง ด้วยร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่ปรากฏให้กับสาวกได้เห็น ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายถึง 40 วัน ร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เต็มด้วยสง่าราศี เมื่อมาปรากฏอีกครั้งหนึ่ง เราทั้งหลาย ที่วิญญาณขณะนี้ซ่อน อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็จะปรากฏด้วยเช่นเดียวกัน ก็คือวิญญาณของเรา ก็จะเข้าไปสวมร่างกาย ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่พระเจ้าได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย และเตรียมวันเวลาไว้ ที่เราจะสวมวิญญาณเรา เข้าไปสู่ร่างกายของเรา ที่เป็นขึ้นจากความตาย
พูดง่ายๆ ว่าเราก็จะเป็นขึ้นจากความตายในวันนั้น พร้อมๆ อย่างสมบูรณ์กับพระเยซูทันที ก็คือวิญญาณเราที่เป็นลูกพระเจ้า ก็ได้สวมเข้าไปในร่างกายใหม่ ร่างกายที่เรียกว่าร่างกายทิพย์ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นร่างกาย เหมือนพระเยซูไม่มีผิด ตอนพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็จะมีร่างกายอย่างนั้น ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู และก็มาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูมาปรากฏ มาพิพากษาโลกใบนี้ เราก็มาด้วย มาเป็นกองทัพเลย เรียกว่ากองทัพผู้ชอบธรรม กองทัพผู้เป็นลูกของพระเจ้า กลับมาชำระ กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลับมาจัดการกับมารซาตาน ซึ่งเป็นศัตรูตัวเอกของมนุษยชาติ จับมารซาตานโยนลงไปในบึงไฟนรก และเราทั้งหลายก็จะอยู่กับพระเจ้า โลกเก่านี้สูญสิ้นไป มีโลกใหม่ที่พระเจ้า เตรียมไว้ล่วงหน้า ก็จะลงมาแทนที่ และเราก็จะอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ในโลกใหม่นี้ ชั่วนิรันดร์กาล ให้ฟังแบบคร่าวๆ แค่นี้ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ
“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน” ให้ความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”
ไม่ใช่มามองดูโลกใบนี้ มองดูโควิดเป็นอย่างไร? มองดูคนโน้นเป็นอย่างไร? คนนี้เป็นอย่างไร? มองดูเราจนไหม? เรารวยไหม? อย่าไปมองมัน มองก็มองผ่านๆ รู้แล้วว่ามันไม่จีรังยั่งยืน เจ็บป่วยอะไรก็อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วทนเอา … ทนเอาคืออะไร? ก็รู้ว่ามันไม่นาน เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการให้เราผู้ที่เชื่อในพระองค์ทำ
เหมือนตัวอย่างที่ผมเล่าบ่อยๆ ว่าเมื่อเราเกิดเป็นผู้หญิงแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรอีกเลย เพื่อให้เราเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นผู้หญิง จะพยายามแต่งตัวให้เหมือนผู้ชาย จะพยายามทำอะไรเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้เราเป็นผู้ชายได้ เพราะเราเกิดมาเป็นผู้หญิง แค่มาก ก็เป็นได้แค่ผู้หญิงที่แต่งตัวและทำตัวเป็นเหมือนผู้ชายเท่านั้นเอง ถูกไหมครับ? เป็นผู้หญิงที่ทำตัวและแต่งตัวไม่เหมือนผู้หญิง อยากไปเหมือนผู้ชาย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้
เช่นเดียวกัน พระเจ้าให้เราเกิดใหม่มาเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่อง เกิดมาเป็น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น เราผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ มีสถานะเป็นลูกพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป โดยธรรมชาติ ในวิญญาณ ในตัวของเราเลย ต่อให้เรามีความประพฤติไม่ดีบ้าง หรือทำตัวเลวบ้าง จะพยายามทำสักเท่าไร เราก็ยังคงเป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความดีงามเท่านั้น แต่อาจจะเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป ที่มีความประพฤติเลวบ้างบางครั้ง ใช่หรือไม่? เพราะเนเจอร์ตัวจริงๆ ของเรา ไม่ใช่ความประพฤติ ตัวจริงๆ ของเราเป็นอะไร? ก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นมาจากการเกิดมาเป็น ก็ทำให้เราเป็นลูกพระเจ้า และเป็นลูกพระเจ้าเลย ก็มีแต่เป็นลูกพระเจ้าที่มีการประพฤติที่ไม่สมกับเป็นลูกพระเจ้าบ้าง ทำตัวไม่เหมือนกับลูกพระเจ้าเท่านั้นเอง อย่างเช่นเราทุกคน ถามท่านเองก็ได้ สำหรับคนเก่าแก่ หรือคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ผู้เชื่อจริงๆ ได้รับความรอดแล้ว มั่นใจมากเลย ถามว่าทุกวันนี้ท่านยังโกหกไหม? หรือไม่โกหกเลย มีโมโหไหม? มีโกรธใครบ้างไหม? คิดอิจฉาใครบ้างหรือเปล่า? หรือไม่คิดอิจฉา ทำการอิจฉาเลย หรือมีผู้เชื่อทำการเห็นแก่ตัวไหม?
ยิ่งชัดใหญ่เลย ผมรู้จักบางคน ที่เชื่อแล้ว มาให้อธิษฐานเผื่อ อธิษฐานให้ ผ่านไป 3 ปียังสูบบุหรี่อยู่เลย ลูกพระเจ้าสูบบุหรี่ได้อย่างไร? ท่านคิดออกเลยใช่ไหม? แล้วทำอะไรบางอย่างที่เป็นโลกียวิสัย ก็คือกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ทำไม? ก็ยังทำ เห็นไหมครับ? ถามว่ายังเป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า? ท่านลองคิดดู เรื่องง่ายๆ สิ่งเหล่านี้ มันคือสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ มันเหมือนร่างกายเรานี้มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นอิทธิพล เป็นพลังงานอันหนึ่ง ซึ่งมันแฝงอยู่ แม้เราเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็จริง แต่พลังของความบาป อิทธิพลของความบาป ยังแฝงอยู่ในร่างกายนี้ แฝงอยู่นะ ไม่ใช่ตัวเรา แฝงอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งต้องตายได้ในขณะนี้ แฝงผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา ซึ่งเป็นโปรแกรมเก่าๆ ที่เราเคยทำในอดีต ซึ่งเป็นโลกียวิสัย ซึ่งเป็นแบบโลก ที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเราไม่อยากทำหรอก ซึ่งบางทีเราก็รู้ บางทีเราก็ไม่รู้ แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ซึ่งมันจะอยู่ตลอดชั่วนิตย์นิรันดรกับพระเจ้า คือทั้งวิญญาณ ทั้งจิตใจใหม่ที่พระเจ้าได้ทำให้เราบังเกิดใหม่นั้น มันคนละเรื่องกัน พูดง่ายๆ เหมือนตัวจริงของเรา ก็คือวิญญาณที่จะบังเกิดใหม่พร้อมกับจิตใจที่พระเจ้าได้ประทานให้ใหม่กับพระเยซูคริสต์ เพียงแต่วิญญาณและจิตใจนี้ ใส่เสื้อเก่าอยู่ เสื้อคือร่างกายที่ต้องตายได้ อีกไม่นานก็ทิ้งเสื้อตัวนี้ ไปใส่เสื้อตัวใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น เสื้อตัวนี้มันจะสกปรกบ้าง มันจะอะไรบ้าง มันไม่ใช่ตัวท่าน ตัวท่านคือวิญญาณของท่าน และจิตใจใหม่ของท่าน ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นของประทานฟรีๆ เพราะท่านยอมรับเชื่อ ยอมถ่อมใจ ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นเอง
ย้ำอีกที สิ่งเหล่านี้ต้องจำให้ขึ้นใจ ต้องจดจ่อความคิดอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้มารมันหลอกเรา มันหลอกเรา เพื่อเราจะไม่แน่ใจ พอเราไม่แน่ใจ เราก็ไม่กล้าไปบอกชาวบ้านถึงข่าวดีนี้ว่า …
“มาเป็นลูกพระเจ้า มันไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าเรายังคิดว่าจะต้องทำดีอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็กลับไปอยู่ชีวิตเดิม ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วยให้รอดแล้ว เราก็ทำของเราเอง”
แต่ที่เราทำไม่ได้ สู้มันไม่ได้ สู้กับความบาปด้วยตัวเองไม่ได้ เราจึงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และพระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนนั้น ในหนังสือ 1 โครินธ์ 6:19-20 พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนอย่างนี้เสมอ
1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”
“ท่านไม่รู้หรือว่า?” หมายความว่าท่านควรจะรู้ ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้อีกเหรอว่าใครเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะรับรู้ได้แล้วนะว่าท่านเป็นใคร? ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในท่าน ท่านไม่รู้เหรอพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับจากพระเจ้าฟรีๆ นะ ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยราคาแพง คือซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่ยอมเสียสละสถานภาพเป็นพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และไปทนทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของท่านเอาไว้ เพื่อช่วยท่าน นั่นแหละ ท่านถูกซื้อมาด้วยราคาแพง ถึงขนาดชีวิตและสถานภาพของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นพระเจ้า ถ่อมใจลงมาเป็นมนุษย์ และทุกวันนี้ ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ มนุษย์ต้นพันธุ์ใหม่ ท่านยังไม่รู้อีกเหรอ?
ถามว่าไม่รู้ เพราะอะไร? เพราะว่าท่านไม่ได้จดจ่อไปที่เบื้องบน อย่างที่ตะกี้พระคัมภีร์บอกไง ท่านในที่นี้ ก็คือผู้ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เชื่อมาตั้งนานแล้ว จริงๆ ต้องพูดสำเนียงนี้ มาเชื่อตั้งนานแล้ว รับรู้ตั้งนานแล้ว ท่านยังไม่รู้หรือว่าท่านเป็นใคร? ร่างกายท่านเป็นพระวิหาร เป็นสถานที่สถิตของพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สถิตอยู่ในท่านแล้วนะ นำท่านตลอดเวลา ท่านไม่รู้อีกเหรอ! ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็ถูกหลอกให้ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ต่างๆ เหมือนชีวิตเดิมที่เคยเป็นทาสมาร ปล่อยให้ร่างกายของท่าน คือตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นทาสรับใช้ อิทธิพลของความบาป ความไม่ถูกต้องต่อไปเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นต้องไปยอมมันอีกแล้ว เพราะว่าท่านมีฤทธิ์อำนาจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยวิญญาณท่านบังเกิดใหม่ ตายต่อบาป บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว ไม่มีอำนาจเหนือท่านเลย นั่นคือโปรแกรมเก่าๆ เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ สลับกัน ก็คือถ้าท่านรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ท่านจะรู้ทันทีเลยว่าท่านควรจะทำอะไรบ้าง? อะไรไม่ควรทำ? ให้มันสมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาด นั่นแหละคือเป้าหมายของพระเจ้า เห็นไหม? ไม่มีการบังคับ ไม่มีการมาบ่นว่าอะไรต่างๆ นึกออกใช่ไหม? คือคนที่เชื่อมาตั้งนานแล้ว ที่ในหนังสือโครินธ์ที่เปาโลเขียนไปหา บอกว่าเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ทำไมทำตัวเหมือนคนยังไม่เชื่อ ยังโกหก ยังโลภ ยังอิจฉาเขา ยังเห็นแก่ตัว ยังทะเลาะเบาะแว้งกัน บางคนยังสูบบุหรี่อยู่เลย นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เห็นชัดๆ บางคนยังทำผิดศีลธรรมอยู่เลย บางคนยังขโมยของเขาอยู่เลย
ท่านไม่รู้เหรอ พระเจ้าอยู่กับท่านแล้ว ท่านไปสนใจสิ่งเหล่านั้นทำไม? ท่านไปสนใจสิ่งของบนโลกนี้ ก็แสดงว่าผู้เชื่อเหล่านี้ ที่ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ค่อยได้จดจ่อความคิดจิตใจของเขาไปที่เบื้องบน เหมือนที่พระเจ้าบอกให้เราทำ หรือจดจ่อมากไม่พอว่าเขาเป็นใคร? ลืมไป ก็เลยกลายเป็นลูกพระเจ้าที่ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้างในใจของเขา
เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นรับรู้ จดจ่อ ก็คือรับรู้และหมั่นเตือนตัวเองบ่อยๆ ไม่ว่าต่อหน้ากระจก หรืออยู่คนเดียว หรืออ่านพระคัมภีร์ หรือไม่อ่าน หรือจะทำวิธีใดก็ตามว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเกิดใหม่แล้วนะ พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับเราแล้วนะ เราเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ากำลังจูงมือเราเดินอยู่ทุกวันนี้แล้ว มีอะไรปรึกษาพระองค์เลย จงรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราในร่างกายเรานี้ ไปไหนไปด้วยกัน ไม่มีทางว่าเราไป พระองค์อยู่บ้าน ไม่มี ไปก็ไปด้วยกันตลอด แล้วพระองค์ไม่ทอดทิ้งเราเลย แล้วพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ เป็นเจ้าของทรัพย์สินเงินทองทุกอย่าง เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้นของเราให้หายได้ เป็นพระเจ้าแห่งความรัก ความเมตตา เป็นพระเจ้าแห่งสติปัญญา ทุกอย่าง อยากได้อะไร ก็เข้าไปหาพระองค์ ไปคุยกับพระองค์ พระองค์ทรงรักเรามาก
การรับรู้ตรงนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าการจดจ่อไปที่เบื้องบน รับรู้ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ในสถานะของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ขณะนี้ ในโลกวิญญาณนี้ ในพระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่งว่าการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ความคิดจิตใจ คือ Mind จงเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ คือเปลี่ยนโปรแกรมซะ โปรแกรมก่อนที่เราจะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า วิญญาณได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก่อนหน้านั้นมันคิดอย่างไร? ตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ในหนังสือโรม บทที่ 12 ก็ได้บันทึกเอาไว้ว่าจงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือจงจดจ่อไปที่เบื้องบน ก็คือเปลี่ยนแปลงความคิดว่าเราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป ถึงแม้ว่าหลายอย่างเราจะกระทำยังไม่ถูกต้อง เรายังโกหกเขา ยังอิจฉาเขา ยังทนไม่ไหวในการโมโหเขาอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ข้างในเราบริสุทธิ์ สะอาด เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์จริงๆ พระเจ้าบอกอย่างนั้น พระเจ้ารักเรามาก เราสมควรที่เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เราสมควรอยู่ในสวรรค์ เราสมควรได้รับสิ่งดีๆ จากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใคร? ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ก็คือเปลี่ยนแปลงความคิดว่าเราเป็นใคร? คนบางคนถูกจ้ำจี้จ้ำไซมาตลอดชีวิตว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน เราไม่ได้เป็นคนไม่เอาถ่าน นั่นเป็นร่างกายภายนอกของเรา ตอนนี้เราเป็นคนยิ่งกว่าเอาถ่านอีก เป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เราควรจะรับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์
พอความคิดข้างในเปลี่ยนไปว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนไปได้มากเท่าไร? เดี๋ยวอุปนิสัยใจคอข้างนอกที่เราจะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กายทำงานบนโลกใบนี้นั้น ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็จะเปลี่ยนไปตามความคิดใหม่ของเรานั่นแหละ มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันจะเปลี่ยนไปเหมือนลูกพระเจ้ามากขึ้นๆ แต่อย่าไปนึกว่ามันจะสมบูรณ์แบบ 100% ไม่มีทาง เพราะว่ามันมีอิทธิพล อย่างที่ผมบอกมีอิทธิพลรับสื่อของความบาปที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ส่งมากระตุ้นให้เรา เชื่อในความเคยชินเก่าๆ ในโปรแกรมเก่าๆ ความคิดแบบเก่าๆ ความเชื่อนั้น มันยังส่งมากระตุ้นได้ และบางครั้งเราก็ยังเชื่อมันอยู่ ไม่มีวันที่จะสมบูรณ์แบบ จนกว่าร่างกายนี้มันจะลงสู่ดิน มันจะตายไปนั่นเอง มันจึงจบกัน ซึ่งพระเจ้าก็ทรงทราบ จึงได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ร่างกายนี้ตาย ลงดินไป เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ไม่อยู่ใต้อิทธิพลของความบาปอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าเปลี่ยนแปลงความจิตใจจะต้องทำให้มันครบถ้วนบริบรูณ์ 100% ไม่มีทาง ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก แต่พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปให้มากที่สุด เท่าที่พระองค์จะทรงนำพาเราไปได้ แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ไม่ต้องมาเทียบกันว่าคนนี้ทำได้แค่นั้น คนนี้ทำได้แค่นี้ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่ารับเชื่อเหมือนกัน พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเหมือนกัน เป็นลูกเหมือนกัน ได้รับสิทธิเท่ากัน พระองค์รักเราเท่ากัน มีรางวัลเท่ากันหมดทุกคน นี่ยืนยันอย่างนั้น ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราจะทำได้มากหรือน้อยเพียงใด ไม่สำคัญ เพระอย่างไรๆ เราก็เกิดมาเป็นลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงรักเราเท่าๆ กันหมด ลูกๆ ทุกคน ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม ถูกไหม? เหมือนเรามีลูก เราส่งลูกเราไปเรียนหนังสือ แล้วก็สั่งลูกเรา เรารักลูกเรามาก
“ลูกเอ๋ย ไปเรียนหนังสือ เรียนเสร็จแล้ว ตรงกลับบ้านเลยนะ ไม่ต้องแวะกลางทางนะ”
เผอิญวันหนึ่ง ลูกเราก็แวะนิดหนึ่ง ไปคุยกับคนข้างทาง ไม่เชื่อฟังเรา เราก็ไม่รู้ แวะนานๆ เข้า จนกระทั่งเชื่อฟังคนข้างทาง ไปติดยาเสพติด พอเรารู้ว่าเขาไปติดยาเสพติด เราจะโมโหเขาไหม? อาจจะโมโห เพราะเราเป็นมนุษย์ใช่ไหม? แต่พระเจ้าไม่โมโห พระเจ้าเห็นว่าเนื้อหนังเราอ่อนแอ ร่างกาย กิเลสตัณหาเราอ่อนแอ แต่ถามว่าขณะที่ลูกเราไปติดยาเสพติดนั้น เราเป็นมนุษย์ เราโกรธ เรามีทางไหมที่จะตัดลูกเราออกจากกองมรดก มีทาง แต่ตัดเขาออกจากสายเลือด ไม่เป็นลูกของเราอีกได้ไหม? ไม่ได้ อย่างไรเขาก็เป็นลูกเราอยู่ดี ถูกไหมครับ? แล้วพระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ท่านลองคิดดู ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม วิญญาณของท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกไปเลย อย่างไรก็เป็นลูก ไม่มีอะไรจะมาตัดความสัมพันธ์ของท่านในการเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระบิดาของท่าน พ่อกับลูกไม่มีอะไรจะตัดได้ พระเจ้าก็ยืนยันอย่างนั้น
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า มันขึ้นอยู่กับว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอก โดยความเชื่อในพระเยซู ตามที่พระคัมภีร์บอก ถ้าท่านรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับท่านแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ถ้าท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ จะได้รับความรอด ท่านก็จะได้รับสถานะเป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณทันที และสถานะนี้ ในการเป็นลูกนี้ ก็จะไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปได้ ไม่ว่าท่านจะประพฤติตนอย่างไรหลังจากนั้น มันขึ้นอยู่กับการเกิดใหม่ของท่าน ที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ
ท่านทราบแล้วนะที่ถามมาทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ท่านพอทราบนะว่าผู้ที่จะตอบให้กับท่านว่าทำได้ไหม? หรือไม่ควรทำ คือพระเจ้าผู้สถิตในใจของท่าน นำพาท่านอยู่ทุกวัน และท่านรู้ว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะนำท่านไปตลอดเวลา อย่างไรๆ ก็เป็นลูกของพระเจ้า เพียงแต่ความประพฤติบางครั้งอาจจะไม่สมกับเป็นลูกพระเจ้า ทำให้พระเจ้าขายขี้หน้าบ้างเท่านั้น ใช่หรือไม่? ซึ่งพระเจ้าก็ไม่สนใจ เพราะพระเจ้าทราบดีว่าเราอ่อนแออย่างไร?
พระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้ว่ามีความอ่อนแอที่ไหน? พระคุณของเราทวีคูณขึ้นตามขนาดของความอ่อนแอที่นั่น คือยิ่งมีความอ่อนแอ พระคุณของเรายิ่งมากขึ้น เรื่อยๆ ยิ่งทำผิดเยอะเท่าไร? พระคุณของเราก็คลุมไปถึงตลอด พระคุณ คือการอภัย โดยไม่มีเงื่อนไข ชัดเจน
เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่าเมื่อมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ต้องทำอะไรบ้าง หรือต้องทำตัวอย่างไร? คำตอบ ก็คือสรุปว่าไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากรับรู้ เชื่อในความจริงจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่า ตอนนี้ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะอย่างไร? เราอยู่ที่ไหนในขณะนี้ เรามีสิทธิอะไรบ้างเท่านั้น? ส่วนนิสัยเก่าๆ หรือความประพฤติเก่าๆ ที่ไม่ได้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า ที่ยังอาจจะกระทำอยู่ ก็ไม่ต้องไปกังวลมันมากนัก ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ขณะนี้ก็ตาม เดี๋ยวมันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเอง โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยฤทธิ์อำนาจและวิธีการของพระองค์ในแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกันด้วย อย่ามาบอกว่า …
“ต้องทำเหมือนฉัน ต้องอย่างนั้น อย่างนี้”
บางคนไม่เหมือนกัน อย่างเช่นบางคนไม่สามารถงดการสูบบุหรี่ได้ หลังจากรับเชื่อพระเจ้า จนกระทั่งกลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ก็ยังงดไม่ได้ จะไปบังคับเขาบอก ถ้าไม่หยุดบุหรี่ ไม่ได้เข้าสวรรค์ ใครบอกท่าน ในนี้บอกอย่างนั้นหรือ? แล้วการที่เขาสูบบุหรี่อยู่ มันต่างอะไรกับการที่คุณยังเป็นคนขี้โมโห มันก็บาปเท่ากัน จะบาปเล็กบาปน้อย ก็บาปเท่ากัน หรือเป็นคนที่ขี้อิจฉาเขา หรือเป็นคนโลภ มันต่างอะไรกัน มันไม่ได้ต่างกันเลย ท่านจะเห็นภาพอย่างชัดเจน
บางคนก็บอกว่าอยากจะมาโบสถ์ มาโบสถ์ก็มา
บางคนบอกไม่ได้ เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอต้องมาโบสถ์เหมือนฉัน
จะไปเอาอย่างนั้นได้อย่างไร? มันจะเหมือนกันได้อย่างไร? ในเมื่อแต่ละคน ในแต่ละตำแหน่ง หน้าที่บนโลกใบนี้ มันไม่เหมือนกัน เกิดมาไม่เหมือนกันบนโลกใบนี้ ผมเห็นบางคนที่รับเชื่อแล้ว ไม่ได้มาโบสถ์เลย หรือมาน้อยมาก แต่ทุกวันนี้มีความเชื่ออย่างเข้มแข็ง สมบูรณ์มากเลย กับอีกคนหนึ่งมาโบสถ์เกือบทุกวัน แต่พูดถึงเฉพาะอุปนิสัย ความประพฤติ ยังสู้คนที่ไม่มาโบสถ์ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว ผมไม่ได้มาเทียบ เพื่ออะไรต่างๆ แต่ต้องการให้ท่านเห็นภาพว่าแต่ละคน พระวิญญาณจะเป็นผู้นำท่านเองว่าท่านควรจะทำอะไร? อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับผม อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผม อาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ใครรู้ พระวิญญาณจะทราบ ในสถานะของผม ผมอาจจะต้องทำอย่างนี้ ในสถานะของท่าน ท่านอาจจะต้องทำอย่างนี้ ไม่มีใครรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมและท่านต้องทำเหมือนกัน ก็คือต้องยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ตรงนี้มันต้องทำเหมือนกัน หลังจากนั้นปล่อยให้พระวิญญาณนำเถิด
วันนี้ ก็มาเคลียร์คำตอบ ตอบคำถามให้นะ ค่อยๆ ว่ากันไปทีละนิด
เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกอย่างนี้ว่าสำหรับแต่ละคนที่เพิ่งจะต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ถามวันนี้มา ก็เลยถือโอกาสสรุปท้ายนี้ให้ท่านนิดหนึ่งว่าเมื่อท่านรับเชื่อแล้ว สิ่งที่ต้องทำ คืออะไร? ท่านทราบแล้วนะตอนนี้ จึงอยากจะบอกที่ท่านควรจะต้องทำ ในพระคัมภีร์บอกว่าจงชิมพระเจ้า แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี ก็คือเหมือนกับจงพิสูจน์พระเจ้า แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี ท่านเริ่มพิสูจน์แล้ว ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ยอมรับเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้ว ท่านก็ใช้สิทธิในการเกิด ใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทันที ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็คืออะไร? อธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้าในทุกเรื่อง ทุกเมื่อ ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาที่โบสถ์ ใครอารมณ์อย่างไร? ที่ไหน? พูดได้ ไม่ใช่อธิษฐานขออย่างเดียว ไม่ว่าจะขอ จะบ่น จะว่ากล่าว จะเข้าไปพูดคุย ปรึกษา หรืออะไรทุกเรื่องเลย ที่ตะกี้นี้ผมบอก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงครอบครองและควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ สูงสุด ผู้ทรงเป็นสัพพัญญู รู้ทุกสิ่ง เข้าไปอธิษฐาน ร้องทูลขอจากพระองค์ ด้วยขณะนี้ เดือดร้อนอะไร? กลัวเรื่องอะไร? ก็อธิษฐานบอกพระองค์
“พระองค์ลูกกลัวเหลือเกินโควิดมันจะมา กลัวออกไปทำงานจะติดโควิดไหม? ช่วยคุ้มครองปกป้องลูกด้วยเถิด ลูกกลัวมากเลย” พูดได้ตลอด
หรือป่วยอยู่ … “พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้นของลูกให้หาย รักษาลูกด้วย ลูกปวดท้อง ปวดหัว ปวดอะไรก็ว่ากันไป” เป็นโรคอะไรก็ว่ากันไป พระเจ้ารักษาท่านได้จริงๆ
หรือ “พระเจ้าลูกกลัว ลูกไม่มีเงินเลยตอนนี้ ไม่มีข้าวจะกิน สิ้นเดือนนี้ไม่มีเงินเหลือแล้ว ไม่พอเลยค่าใช้จ่ายต่างๆ ช่วยลูกด้วยเถิด”
บอกรายละเอียดไปเลย “ช่วยลูกด้วย ลูกยังขาดอีก 3,000 บาท ค่าโน้นค่านี้” บอกไปเลย แล้วพิสูจน์พระเจ้าสิว่าพระองค์มีชีวิตอยู่หรือไม่? เขาเชื่อกันอย่างนี้ มาตั้งนานแล้ว และเขาก็ทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เป็น 2,000 ปีแล้ว แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น ลองชิมพระเจ้า แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงดี เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านทำ ไม่ต้องรอ พระองค์เป็นผู้ช่วยให้ท่านเดี๋ยวนี้ด้วย ไม่ใช่ผู้ช่วยให้รอดเฉพาะวิญญาณของท่าน ผู้ช่วยให้ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก และไม่เดือดร้อน ทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากนัก เพราะพระเยซูบอกว่าถึงแม้จะเป็นลูกพระเจ้าแล้วก็จริง ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีปัญหาและความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เหมือนกับคนที่ยังไม่เชื่อ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูบอกว่าแต่เราชนะโลกแล้ว พระเจ้าจะแก้ปัญหาให้ท่าน เพราะไม่ว่าปัญหาจะเป็นเช่นไร พระเจ้าจะเดินอยู่เคียงข้างท่าน จูงมือท่านเดินไปกับพระองค์ แล้วนำพาท่านไป แต่ละวันๆ แต่ละปัญหา อย่าเก็บไว้คนเดียว พูดคุยกับพระองค์ แล้วพิสูจน์พระองค์เลยว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงช่วยท่านได้จริงๆ และทรงช่วยลูกของพระองค์ด้วยความตั้งใจ ขะมักเขม้นที่จะช่วย ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไร? พระองค์ทรงสามารถช่วยแก้ไขและประทานคำตอบให้กับท่านเกินกว่าที่ท่านจะสามารถคิดและขอได้ด้วยซ้ำ ท่านจะขอเพียงแค่นี้ นึกไม่ถึงว่าพระเจ้าจะประทานให้มากกว่านี้ตั้งเยอะ ประสบการณ์ผมก็เยอะมาก ที่เราขอเพียงแค่นี้ พระเจ้าให้เยอะเกินมากเลย
เลยอยากจะบอกท่านว่ามีอะไรในขณะนี้ที่เป็นห่วง เศรษฐกิจการเงิน สุขภาพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาอะไรต่างๆ ถูกรังแก ไม่ได้รับความยุติธรรม เข้าไปหาพระเจ้า
ใช้สิทธิของท่านในฐานะเป็นลูก พระเจ้ารออยู่แล้ว รักท่านมาก คอยช่วยเหลือท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเจ้า เมื่อเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าจูงมือท่านเดินแล้วตอนนี้ ไม่ต้องกลัวอะไร ไปเลยลูก ไปด้วยกัน ไปกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค เดินไปกับท่านตลอดเวลา แล้วบอกว่าอย่ากลัวเลย ไม่ต้องกลัวนะลูกๆ มนุษย์จะทำอะไรเจ้าได้ เหตุการณ์ต่างๆ จะทำอะไรเจ้าได้ ไม่มีใครมาต่อต้านเจ้าได้เลย เพราะเราอยู่กับเจ้า จงกล้าหาญ เพราะเจ้าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของเราแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************