วารสาร Holy News ฉบับที่ 1323

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  สิงหาคม  2021

เรื่อง “เรารอดโดยความเชื่อ ไม่ใช่การประพฤติ”

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาดูในหนังสือฟีลิปปี บทที่ 3 เป็นถ้อยคำอีกอันหนึ่งที่จะบ่งบอกถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ในการที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าเราอยู่ในสถานะแบบไหนอย่างไร? และเราควรจะใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างไร?  เพื่อเป็นอิสรภาพ เพื่อจะฉายแสงของพระองค์ออกไป และความหวังที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อว่าเราจะไม่ถูกหลอก ไม่ว่าจะด้วยคำสอน หรือคำพูด หรืออะไรก็ตามที่ฟังดูแล้วเหมือนกับมันน่าจะเป็นไปได้  เราน่าจะทำแบบนี้นะ เราถึงจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้อยคำของพระเจ้าบอกอะไรเราบ้าง?

ฟีลิปปี 3:1 “สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า! ไม่ลำบากสำหรับข้าพเจ้าเลย ที่จะเขียนเรื่องเดียวกันถึงท่านอีก ทั้งสิ่งนี้ยังเป็นการป้องกันท่านด้วย”

 

อาจารย์เปาโลเริ่มต้นบทที่ 3 ด้วยคำว่า “ให้พี่น้องชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วก็บอกพี่น้องชาวฟีลิปปีว่าไม่ได้ลำบากเลย ที่อาจารย์เปาโลจะเขียนจดหมายเรื่องเดิมๆ

ในจดหมายฝาก พี่น้องจะเห็นเป็นเรื่องเดิมๆ เลย ที่อาจารย์เปาโลเขียน อาจจะมีความแตกต่างในแง่มุมต่างๆ นิดหนึ่ง แต่เนื้อหาสำคัญที่อาจารย์เปาโลเขียน จะพุ่งไปที่ความรอดในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลย สำหรับท่าน ที่จะเขียนเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อจะได้ป้องกันเราไว้ จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยเล่ห์กลต่างๆ ตามลมปากของคนโน้นคนนี้ สอนเราว่าเราควรจะทำอย่างนั้น เราควรจะทำอย่างนี้ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว

ในพระคัมภีร์เรื่องที่พระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว คือความรอด โดยพระคุณ … ความรอด โดยพระคุณตรงนี้ เราเรียนรู้กันมาเยอะมากเลย ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเจ้า เราอาจจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าผ่านคนโน้นคนนี้ ที่บอกเราว่า …

“มาเชื่อพระเยซูสิ เชื่อแล้วเราจะได้รับเยอะแยะมากมาย เราไม่ต้องทำอะไร เราจะได้รับความรอด เราไม่ต้องตะเกียกตะกาย เราสามารถที่จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ หลังความตาย”

แต่ความเป็นจริง คือเมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเราเปิดใจ บอกกับพระเจ้าว่าเราเชื่อตามนั้นแหละ เรารับรู้ว่าเราเป็นคนบาป เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า พอเรามาบอกพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้บัพติศมาเรา เข้าส่วนในพระเยซูคริสต์

คำว่า “บัพติศมา” คือการเอาวิญญาณของเราเข้ามามีส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เราอยู่ในบาป อยู่ในที่เดิม ที่เราเกิดมาปุ๊บ เราเป็นคนบาปเลย  วิญญาณตรงนั้น เมื่อเราตัดสินใจบอกกับพระเจ้าว่าเราเป็นคนบาปนะ เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราอยากจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำเราบัพติศมา เข้าไปในพระเยซูคริสต์ และไปตายพร้อมกับพระองค์ ฝังพร้อมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราจะได้บังเกิดใหม่ พอเราบังเกิดใหม่ เราจะมีชีวิตเหมือนกับพระเยซูเป๊ะเลย  วิญญาณเราจะเป็นวิญญาณใหม่ ซึ่งตรงวิญญาณใหม่ตรงนี้ คือวิญญาณเก่าเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูแล้ว

ใหม่ๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ พระเยซูตายตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว  แล้วเราอยู่ในยุคปัจจุบัน เราจะไปตายพร้อมได้อย่างไร? เหตุผล ก็คือในโลกวิญญาณไม่มีเวลา อันนี้เรื่องจริงในโลกวิญญาณไม่มีเวลา พระเจ้าบอกพระองค์ทรงเป็นอัลฟาและโอเมก้า เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ไม่มีเวลา พอไม่มีเวลา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับปุ๊บ มันเดี๋ยวนี้ ทันที ที่เราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู

พอเราเป็นขึ้นใหม่พร้อมกับพระเยซูปุ๊บ เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย คือทันทีที่เราเชื่อ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เราได้เป็นผู้ชอบธรรม วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด วิญญาณเก่าที่เป็นบาป เราตายไปแล้ว  เรามีวิญญาณใหม่ เราได้เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือ ณ เวลานี้ วิญญาณของผู้เชื่อทุกคน เป็นวิญญาณใหม่ และอยู่ที่สวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

เรามาดูในท้ายบทที่ 2 ของฟีลิปปี อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าความชอบธรรมสามารถมาโดยบทบัญญัติ หรือการประพฤติของมนุษย์แล้ว พระเยซูก็สิ้นพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์

ก็คือถ้ามนุษย์สามารถใช้การกระทำของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้ สิ่งที่พระเยซูคริสต์มาทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็มนุษย์ทำได้แล้ว แต่ความเป็นจริง คือไม่มีมนุษย์คนไหน บนโลกใบนี้ สามารถสร้างความชอบธรรม ด้วยการประพฤติของตัวเอง  ด้วยบทบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา แล้วมนุษย์พยายามที่จะดิ้นรน ตะเกียกตะกายทำ

บทบัญญัติเหล่านี้ ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระเจ้าให้กับชาวยิว คือคนอิสราเอลเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรก ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เพื่อจะเป็นผลแรก ในการให้พระเยซูคริสต์มาเกิด ที่ชาวยิว คนอิสราเอล ฉะนั้น คนยิว เขาก็จะยึดถือบทบัญญัติ พยายามทำบัญญัติให้ดีที่สุด เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นประชากร ที่พระเจ้าเลือกสรรมา เขามีระดับที่สูงกว่าคนอื่นๆ ที่เป็นชนต่างชาติ ที่ไม่ใช่อิสราเอล แล้วเขาคิดว่าเขาเป็นกลุ่มชนที่พิเศษกว่าคนอื่น ภาคภูมิใจในความเป็นอิสราเอล  ความเป็นลูกของพระเจ้า  ความเป็นลูกของอับราฮัม  เรามีบทบัญญัติของพระเจ้า เรายึดถืออย่างหนักแน่นมั่นคง แล้วก็คิดว่ายังไงๆ เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์แน่นอน ความเป็นจริง คือมันไม่ใช่

ดังนั้น บทบัญญัติ พระเจ้าได้ตั้งไว้ เป็นเหมือนเงาในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วบัดนี้ พระเยซูคริสต์ก็มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว

ฉะนั้น เมื่อคนยิวได้รับรู้ความจริงตรงนี้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดได้มาแล้ว คนยิวทุกคนจำเป็นต้องกลับใจใหม่ เหมือนคนต่างชาติ เขาจำเป็นจะต้องไม่พึ่งพากำลัง ความสามารถ  หรือการประพฤติของเขาที่จะพยายามทำตามกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย เพื่อทำให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่พระเจ้าบอกว่าความชอบธรรมมาจากพระเจ้า เป็นความรอด โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ มีทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะสามารถรับความชอบธรรมนี้ หรือความรอด การเป็นลูกของพระเจ้า การเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ มีทางเดียว คือผ่านทางความเชื่อเท่านั้น

ตรงนี้ อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าไม่ได้เป็นเรื่องลำบาก สำหรับเราเลย เราจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้บ่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อว่าเราจะได้ป้องกันพวกท่าน ก็คือป้องกันผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ในอดีต คือในฟีลิปปีเท่านั้น การป้องกันมาถึงพวกเราด้วย  เพราะว่ามันเป็นความจริงไง  ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ทำให้เราเป็นอิสรภาพ

ดังนั้น ความจริงตรงนี้ คือวิญญาณเราสะอาดแล้ว เรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นความจริง เมื่อเราเป็นอิสระแล้ว เราก็จะไม่ตกเป็นทาสอีกต่อไป คือทาสที่เราต้องทำเอง  เชื่อแล้ว ยังต้องทำเองอีก ถ้าอย่างนั้น พระเยซูก็ไม่ต้องมาตายแทนเรา เราก็ยังคงต้องทำเองเหมือนเดิม ดังนั้น พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว เราได้รับความรอดแล้ว เราพึ่งในพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องทำเองเลย พระเจ้าทำให้เราเสร็จ ครบถ้วนสมบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างได้ถูกทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว  และเราผู้เชื่อ ก็ได้รับสิ่งนี้ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

ฟีลิปปี 3:2 “จงระวังพวกสุนัข จงระวังพวกคนทำชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง”

 

ทำไมอาจารย์เปาโลบอกผู้คนในฟีลิปปีให้ระวัง? ทำไมต้องระวัง? จากอันดับแรก อาจารย์เปาโลพยายามเอาความจริงเข้าไป …

“ตอนนี้น๊า พวกเธอเชื่อแล้วน๊า พวกเธอรอดแล้วน๊า พวกเธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้วน๊า พวกเธอสะอาดบริสุทธิ์แล้วน๊า พระเยซูคริสต์ทำให้พวกเธอเรียบร้อยไปแล้วน๊า ตอนนี้พวกเธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้วน๊า แล้วเธอได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วน๊า ตอนนี้พระเยซูทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ไปเรียบร้อยแล้วน๊า พวกเธอไม่ต้องทำอะไรเลย เธอแค่เชื่อ เธอก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า เธอแค่เชื่อ เธอก็ได้ไปอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว”

อาจารย์เปาโลย้ำ เพื่อป้องกัน พอข้อที่ 2 บอกว่า “จงระวัง” แปลว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะมีคำสอนเยอะแยะมากมาย ที่พยายามเข้ามาบอกเราว่า …

“เชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอ  เธอยังต้องทำอย่างนี้ เธอยังต้องทำอย่างนั้น เพื่อว่าจะทำให้พระเยซูรักเธอมากขึ้น เธอจะได้รักษาความรอดตรงนี้ไปได้ เธอจะได้รักษาว่าหลังความตาย เธอจะไม่หลุดออกจากทางของพระเจ้า”

นั่นคือการล่อลวงทุกรูปแบบเลยที่ส่งเข้ามา

ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่า … “รอดแล้วรอดเลย เมื่อเธอเป็นลูกของพระเจ้า  เธอก็เป็นลูกของพระเจ้าเลย  เธอไม่ต้องกลัวว่าเธอจะถูกแยกไปจากมือของพระเจ้า”

ในพระธรรมยอห์นบอกว่า .. “ไม่มีใครสามารถแย่งแกะของพระเจ้า ไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้เลย”

แต่มีคนบอกว่า … “ถ้าเธอทำอย่างนี้ นิสัยไม่ดี เดี๋ยวเธอจะหลุดจากทางของพระเจ้า เดี๋ยวตายไป เธอไม่รอดหรอก”

อ้าว! กลายเป็นอย่างนั้นไป

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยต้องมาย้ำว่าอย่าไปเชื่อคนเหล่านี้ คือให้ระวังไว้ คนเหล่านี้ ในสมัยของอาจารย์เปาโลจะมีคริสเตียน 2 กลุ่ม คริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เป็นคนยิว  กับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เป็นคนต่างชาติ

พอคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าเป็นคนยิว บางครั้งเขาก็ยังผสมผเสเอากฎบัญญัติของโมเสสเดิมมาปฏิบัติอยู่ บางคนยังไปบอกคนต่างชาติว่า …

“เธอมาเชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอนะ เธอยังต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วย เพราะพวกฉัน พวกยิวเราทำพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเป็นประชากรของพระเจ้า  ฉะนั้น พวกเธอเป็นคนต่างชาติ มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอ  เธอยังต้องมาเข้าสุหนัตเหมือนพวกฉัน หรือเธอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอยังต้องมารักษากฎบัญญัติของโมเสส 1, 2, 3, 4 เธอยังต้องมารักษากฎวันสะบาโต 1, 2, 3, 4 กฎอะไรเยอะแยะมากมาย”

เชื่อแล้วนะ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปโดนหลอก เราเชื่อแล้ว เราไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ  แต่เราอยู่ใต้พระคุณ เมื่อเราอยู่ใต้พระคุณปุ๊บ กฎบัญญัติไม่มีผลอะไร สำหรับชีวิตของผู้เชื่อเลย ไม่มีผลอะไรเลย ฉะนั้น ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น แล้วเราพยายามไปทำตามกฎบัญญัติ ก็คือมาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ เราต้องอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้ารักเราถึงที่สุดแล้ว ที่สุดตรงไหน? ตรงที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน แค่นั้นจบแล้ว

พระเยซูคริสต์ไม่ได้เรียกร้องว่า … “เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอต้องมาอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ เธอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอต้องอธิษฐานเยอะๆ เธอเชื่อพระเจ้า เธอต้องมาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวพระเจ้าไม่เอาเธอ”

ไม่มีเลย พระเยซูบอกว่าเชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่ว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ ไม่อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ไม่อธิษฐาน  มาโบสถ์ ไม่มาโบสถ์ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเรา จากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เปลี่ยนไม่ได้ เราก็ยังคงเป็นลูกพระเจ้าอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าพอพูดอย่างนี้ จากนี้ต่อไป พี่น้องไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์แล้ว พี่น้องไม่ต้องอธิษฐานแล้ว พี่น้องไม่ต้องมาโบสถ์แล้ว แต่จริงๆ ณ ทุกวันนี้ ถูกบังคับโดยปริยาย อยากมา ก็มาไม่ได้อยู่ดี มาโบสถ์ไม่ได้  ก็ต้องออนไลน์  แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ตามที่คนบอกเราว่าถ้าไม่มาโบสถ์ เราจะไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า  ตอนนี้คริสเตียนทั้งโลกเลย ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าหรอก เพราะเรามาโบสถ์ไม่ได้ไง ใช่หรือไม่? ดังนั้น มันไม่เกี่ยวกัน

เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูบอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าไม่ได้ให้เราอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ แต่การอธิษฐานดีไหม? ดี เป็นสิ่งที่เราควรทำ เราทำ  เราทำ เพราะเราเห็นว่ามันเป็นสิ่งทีดี แต่เราไม่ได้ทำ เพราะว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าจะไม่รักเรา ไม่เกี่ยว

หรือการอ่านพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ดีไหม? ดี เราควรจะอ่าน มันเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา แต่ไม่ใช่ต้องอ่าน ถ้า “ต้อง” เธอไม่อ่าน พระเจ้าก็จะไม่รักเธอ ไม่เกี่ยวกัน

หรือการมาโบสถ์ เธอต้องมานะ ถ้าสมมติว่าไม่ได้เจอโควิดอย่างนี้ เธอต้องมา เกิดวันไหนเราติดขัด ขัดข้อง พ่อแม่เราป่วยหนัก เราต้องดูแลพ่อแม่ แล้วถูกสั่งว่าเธอต้องมา ถ้าเธอไม่มา พระเจ้าไม่รักเธอ แล้วยังไงล่ะ มันไม่ใช่ไง

ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกว่าอะไรที่ดี ให้เราทำ เพราะว่ามันสมควรทำ เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า  การมาโบสถ์เป็นสิ่งที่ดี เราสมควรทำ เราก็ทำ แต่ไม่ใช่เป็นกฎข้อบังคับว่าต้องมานะ ไม่มา พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอไม่ได้เป็นคริสเตียนที่ดี ไม่เกี่ยวกัน

หรือแม้แต่หลายๆ อย่าง ที่คนพยายามจะเอามาใส่ในชีวิตของคริสเตียน  ผู้เชื่อว่าต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำทุกอย่างเลย ฉะนั้น แม้แต่เรื่องต้องถวายทรัพย์ ถ้าไม่ถวายทรัพย์พระเจ้าไม่รักเธอ หรือเธอจะไม่ได้รับพระพร มันก็ไม่ใช่ ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าทุกคนจงให้ ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้เพราะเสียดาย หรือไม่ใช่ให้ เพราะว่าถูกบังคับ หรืออะไร? เรามีพระเจ้าแห่งการให้อยู่ในวิญญาณของเราแล้วตอนนี้ วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งการให้ วิญญาณแห่งความรัก วิญญาณแห่งความดีงาม ทั้งหมดที่พระเจ้าเป็น มันเป็นของเราอยู่แล้ว ฉะนั้น การถวายทรัพย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในวิญญาณของเรา ที่ให้ออกไป หรือแม้แต่ไม่ใช่การถวายทรัพย์ด้วยซ้ำไป การที่เราไปช่วยเหลือคนอื่น อธิษฐานเผื่อคนอื่น หรือแม้แต่เห็นคนยากจน แล้วเราช่วยเหลือจุนเจือเขา มันก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ทำตามธรรมชาติใหม่ของเราออกไป โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่า …

“ถ้าฉันทำดีกับคนนี้ ฉันจะได้รับกลับมา 100 เท่านะ หรือฉันถวายทรัพย์ ฉันจะต้องได้รับกลับมา 100 เท่า”

ไม่ใช่ ถ้าเราคิดอย่างนี้ มันไม่ใช่การทำ เพื่อถวายเกียรติ แด่พระเจ้า แต่เป็นการลงทุน พี่น้องนึกการลงทุนได้ไหม? เราไปลงทุนอะไรอย่างหนึ่ง เราวางเงินลงไปตรงนี้ ที่ทุกวันนี้ คนถูกหลอกเยอะแยะมากมาย  ไปเล่นหุ้น เล่นแชร์ อะไรต่างๆ เขาก็จะหลอกเรา ลงตรงนี้ แล้วอีกกี่วันเราจะได้กำไรเท่านี้ กี่เท่าตัว กำไรเยอะแยะมากมาย ที่คนถูกหลอก ทำลงไป เพราะว่าข้างในมีเป้าหมาย ก็คือเป็นการลงทุน เพราะเราเห็นผลประโยชน์ ที่จะตามมา ที่เขาบอกเรา ผลประโยชน์ใหม่ๆ อาจจะมี ไปๆ มาๆ ทั้งผลประโยชน์ ทั้งเงินต้นเราสูญหายไปเลย

ฉะนั้น พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ใช่ใช้วิธีนี้กับพระเจ้า วิธีนี้ ไม่สมควรที่เราจะทำกับพระเจ้าเลย เพราะว่าพระเจ้าให้ทุกอย่างกับเราแล้ว ให้เราทำทุกอย่าง เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะว่าข้างในเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้วไง พระเจ้าทำอย่างไร? เราก็อยากทำอย่างนั้น พระเจ้าเป็นความรัก เราก็อยากให้ความรักออกไป พระเจ้าเป็นการให้  เราก็อยากให้ออกไป ไม่ว่าเป็นการให้คำอธิษฐาน ให้เงินทอง ให้ทรัพย์สิ่งของ หรือให้คำหนุนใจ ให้อะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา  จากข้างในผลักดันออกมา แล้วเราก็ทำ โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญ สำหรับพวกเรา ที่ได้รับความรอดแล้ว ที่ควรจะทำ ไม่ใช่ต้องทำ

ฟีลิปปี 3:3 “เพราะว่าพวกเรา คือผู้เข้าสุหนัตแท้ เรารับใช้พระเจ้าด้วยพระวิญญาณของพระองค์ เราอวดอ้างพระเยซูคริสต์ และเราไม่มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย”

 

อาจารย์เปาโลย้ำนะ เราเป็นผู้เข้าสุหนัตแท้ คือเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้รวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาเนื้อหนังอีกต่อไป วิญญาณเราได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว พอเราได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ ณ เวลานี้ สิ่งที่เราจะอวดอ้าง คืออวดอ้างเรื่องของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราจะไม่อวดอ้างหรือเชื่อใจในเนื้อหนังของเรา หรือการกระทำของเรา อวดอ้างความดีงามของเราว่าเราไปทำอะไรมาเยอะแยะมากมาย วันนี้เราได้ทำอย่างนี้ เมื่อวานเราได้ทำอย่างนี้ ทำๆ จนเสร็จ อวดจนเสร็จ มีคนมาชม ยิ่งยืดใหญ่เลย มีคนมาชมว่า …

“เราทำอันนี้ สุดยอดเลย ไปประกาศ คนมาเชื่อเยอะแยะเลย สุดยอดเลย”

เราภาคภูมิใจ ความเย่อหยิ่งเริ่มตามมา เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรก็ตามที่เราทำ อยู่ในพื้นฐานที่ผิดปุ๊บ เราก็จะเฉไป ชีวิตของเราก็จะไขว้เขว ไม่ตรงตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น

ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วเท่านั้น ที่จะอวดอ้างพระเยซูคริสต์ เราไม่มีอะไรอวด เราอ่านจดหมายของอาจารย์เปาโล ไม่เคยคุยเรื่องอะไรเยอะแยะมากมาย  จริงๆ อาจารย์เปาโลทำหมายสำคัญ อัศจรรย์เยอะมากเลย แต่อาจารย์เปาโลแค่เล่าให้ฟัง แล้วจากนั้น จดหมายฝากต่างๆ อาจารย์เปาโลไม่ได้อวดอะไรเลย อวดแต่พระเยซูคริสต์เท่านั้น พูดแต่เรื่องของพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเยซูเป็นใคร? มาทำอะไรเพื่อเรา? แล้วตอนนี้เราเป็นใคร? เรามีตำแหน่งอะไร? ในพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้

ฟีลิปปี 3:4-7 “4 แม้ข้าพเจ้ามีเหตุผลหลายประการที่มั่นใจเช่นนั้น ถ้าคนใดคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะมั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่า คือ 5 ข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นคนอิสราเอลตระกูลเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูแท้ ในด้านบทบัญญัติข้าพเจ้าเป็นฟาริสี 6 ในด้านความเคร่งศาสนา    ข้าพเจ้าเคยข่มเหงคริสตจักร  ในด้านความชอบธรรมตามบทบัญญัติ  ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติ 7 แต่สิ่งใดๆ ที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าถือว่าขาดทุน  เพื่อเห็นแก่พระคริสต์”

 

ตรงนี้แหละ อาจารย์เปาโลบอกว่าจริงๆ ถ้าพวกเธออวดอ้างว่าเธอทำอะไรเยอะแยะมากมาย รักพระเจ้ามาก ทำตามกฎบัญญัติ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าจะอวด ฉันมีเรื่องอวดเยอะกว่านั้นอีก เรื่องอวดของอาจารย์เปาโล คืออะไร? ไล่มาเลยว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ 8 วันก็เข้าสุหนัต

คืออาจารย์เปาโลเป็นคนยิวแท้ สมัยก่อน พระเจ้าตั้งกฎบอกว่าเด็กผู้ชาย เมื่ออายุได้ 8 วัน ต้องมาที่พระวิหาร แล้วก็ทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าเราเป็นของพระเจ้า เสร็จ อาจารย์เปาโลบอกว่าเห็นไหม? 8 วัน ฉันก็เข้าสุหนัตแล้ว แล้วฉันก็เป็นคนอิสราเอลแท้ อยู่ในตระกูลของเบนยามินอีก เห็นไหม? มีชาติตระกูลด้วยนะ แล้วฉันก็เป็นชาวฮีบรูแท้อีก ไม่ใช่เทียมๆ มาหลอกเล่น แต่โดยชาติกำเนิด อาจารย์เปาโลเป็นแบบนั้นด้วย ในด้านบทบัญญัติ ฉันเป็นพวกฟาริสี คือพวกที่รู้บทบัญญัติเยอะมาก ไม่ใช่รู้อย่างเดียว เคร่งครัดตามบทบัญญัติ แทบจะเอาไม้บรรทัดมาวัดเลยว่าต้องเป๊ะๆ อาจารย์เปาโลก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แล้วในด้านความเคร่งศาสนา ข้าพเจ้าก็เคยข่มเหงคริสตจักร

ก่อนที่อาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลคิดว่าตัวเองรักพระเจ้ามาก ที่ต้องขอทหารไปไล่ล่าคริสเตียน เพราะว่าเขารักพระเจ้า เขาทำเพื่อพระเจ้า คนกลุ่มนี้ เป็นใคร? อยู่ดีๆ คนที่ชื่อเยซู มาประกาศความเชื่อใหม่ให้กับเรา เราเชื่อมาตั้งนานแล้ว บทบัญญัติของโมเสส เราทำกันแทบจะเป็นจะตาย เพื่อรักษากฎบัญญัติเหล่านี้ไว้ แต่พอคนหนึ่ง ชื่อเยซู มาถึงบอกว่า …

“กฎบัญญัติทั้งหมดไม่ต้องทำแล้ว มาเชื่อฉัน ได้รับความรอดเลย”

อาจารย์เปาโลก็รับไม่ได้ เหมือนกับพวกฟาริสีอื่นๆ ที่รับไม่ได้เหมือนกัน อาจารย์เปาโลถึงขนาดว่าขอทหารไป เพื่อไล่ล่าฆ่าผู้เชื่อ แล้วก่อนที่ขอทหาร ก็ไปทำร้ายผู้เชื่อเยอะแยะมากมาย  ที่ไหนที่มีการรวมกลุ่มของผู้เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลจะไปรังครวญหมดเลย ที่อาจารย์เปาโลคิดว่าที่ทำไป ก็เพื่อพระเจ้า ไปข่มเหงคริสเตียน ก็เพื่อพระเจ้า รักษากฎบัญญัติ ก็เพื่อพระเจ้า อดอาหาร ก็เพื่อพระเจ้า ตอนที่อาจารย์เปาโลเอาทหารไปไล่ล่าผู้เชื่อ ระหว่างเดินทางไปดามัสกัสเจอพระเยซู พออาจารย์เปาโลเจอพระเยซูปุ๊บ ตาใจฝ่ายวิญญาณถูกเปิดออก รับรู้ว่าที่เราทำมา มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันสูญค่า สิ่งที่เราคิดว่าเราทำเพื่อพระเจ้า แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เลย มันไม่มีประโยชน์ มันเหมือนขยะที่อวดอ้างว่า …

“ฉันดีมากเลย ฉันเป็นคนรักษากฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย ฉันทำโน่น ทำนี่ เพื่อพระเจ้า”

ก็คือมันจบเลย  สำหรับอาจารย์เปาโล เมื่อก่อนคิดว่าได้กำไร แต่ตอนนี้ขาดทุนย่อยยับเลย สิ่งที่ทำทั้งหมด มันสูญเปล่า  เพราะว่าไม่ได้เป็นความเป็นจริงที่เขาได้รู้จักกับพระเจ้าจริงๆ พอถึงข้อที่ 8 …

ฟีลิปปี 3:8 “ยิ่งกว่านั้นอีก  ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไร้ค่า  เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ล้ำเลิศ  ในการที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อพระองค์ข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่งข้าพเจ้าถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเศษขยะ  เพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์”

 

คือเมื่อก่อนอาจารย์เปาโลพึ่งในการกระทำดีของตัวเอง  โอ้อวดในความดีทั้งหมดเลย คิดว่า …

“ฉันดีนะ ฉันเป็นฟาริสี ฉันรักพระเจ้ามากๆ ขนาดฉันไม่ยอมเลยนะ คนที่ชื่อเยซูมาลบหลู่นามของพระเจ้าที่ฉันรัก ที่ฉันนับถือ มาทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

ก็พยายามต่อต้านทุกรูปแบบเลย ซึ่งคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ ณ เวลานี้ เมื่อเจอพระเจ้า อาจารย์เปาโลเลิกเลย เลิกโอ้อวด ผลงานของตัวเอง  เพราะสิ่งที่ทำมาทั้งหมด  ก็เป็นเศษขยะ เพื่ออาจารย์เปาโลจะได้อยู่ในพระคริสต์ เมื่ออาจารย์เปาโลได้พระคริสต์ปุ๊บ อย่างอื่น มันไม่มีค่าสำหรับอาจารย์เปาโลเลย เหมือนเราทุกวันนี้ เราได้พระคริสต์ อะไรก็ตามที่ดูเหมือนดี เราไม่ได้เอามาใส่ใจเลย ถ้าเรายังคงใส่ใจว่าวันนี้เราทำอย่างนี้ เราดี เราวิเศษกว่าคนอื่น ก็แปลว่าเราพยายามพึ่งพากำลังของตัวเราเอง  ไม่ได้พึ่งพากำลังของพระเจ้าเลย

ฟีลิปปี 3:9 “และอยู่ในพระองค์ ตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชอบธรรมที่ได้มา  โดยบทบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมที่ได้มา โดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า  และได้มาโดยความเชื่อ”

 

อันนี้ชัดเจนเลยนะ สิ่งที่อาจารย์เปาโลทำมาทั้งหมดไม่ใช่เป็นความชอบธรรม และไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนชอบธรรมได้ด้วย ตอนนี้ความจริงได้ปรากฏ อาจารย์เปาโลได้รับรู้แล้วว่าความชอบธรรม มาได้ทางเดียว  คือทางความเชื่อผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกพวกเรา แล้วพวกเราก็เหมือนกัน เราจำเป็นจะต้องรับรู้ตรงนี้ ไม่มีความชอบธรรม โดยผ่านการกระทำของเราแม้แต่นิดเดียว  เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ไม่ว่าเราทำอะไรทั้งหมด ก็คือเกิดจากข้างใน ที่พระเจ้านำเราไปทำ ทำเสร็จ เราขอบคุณพระเจ้า จบ ไม่ได้เป็นความดีงามอะไรของเราเลย มันเป็นเรื่องของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะใช้เราทำงาน ฉะนั้น ความชอบธรรมต่างๆ การอวดอ้าง การกระทำของเราที่อยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ในสมองของอาจารย์เปาโล ณ เวลานี้ แล้วมันก็ไม่ควรอยู่ในสมองของพวกเราด้วย เพราะเรารู้ว่าทุกอย่างพระเจ้าทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือทำชีวิตของเราให้สำแดงพระเยซูคริสต์ให้กับผู้คนได้รับรู้ จากข้างในออกมาข้างนอก

ฟีลิปปี 3:10 “ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระคริสต์  และมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์  และร่วมสามัคคีธรรมในการทนทุกข์ของพระองค์   เป็นเหมือนพระองค์ในการสิ้นพระชนม์”

 

ตรงนี้จริงๆ อาจารย์เปาโลรู้จักพระเยซูคริสต์แล้วล่ะ เหมือนกับพวกเรา เราทุกคนก็รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ที่อาจารย์เปาโลพูด ก็คือรู้จักแล้ว เราก็อยากจะรู้จักเพิ่มขึ้น อยากจะรับรู้เรื่องราวของพระองค์มากขึ้น เหมือนกับที่ว่าพอเรารู้จักกับพระเจ้าให้เราจดจ่อ จดจำในถ้อยคำของพระเจ้า สิ่งที่พระเยซูบอกเราว่าเป็นอย่างไร? เราได้รับอะไรไปแล้ว? โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เราได้รับอะไรไปแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เราไม่ต้องไปกลัวว่าพอทำอะไรพลาด เราต้องไปตกนรกอีก ไม่มีแล้ว เพราะพระเจ้าบอกว่านี่คือความจริง

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอยากจะรู้จักมากขึ้น มีความรู้เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในแต่ละวันกับพระเจ้าให้เพิ่มขึ้น ประสบการณ์ในเรื่องของการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน แต่ในขณะเดียวกัน ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะต้องร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ในการทนทุกข์ด้วย เราต้องทนทุกข์ร่วมกับพระเยซู เป็นการทนทุกข์จริงๆ เราดูภาพนะ พระเยซูบอกว่าโลกนี้ จะข่มเหงเรา คือข่มเหงพระเยซู โลกกับพระเยซูคริสต์เป็นคนละฝั่งกัน พระเจ้ากับมารเป็นศัตรูกัน ความสว่างกับความมืดเป็นศัตรูกัน อยู่คนละฝ่าย ความดีกับความชั่วอยู่กันคนละฝ่าย ฉะนั้น เมื่อก่อนเราอยู่ในความชั่ว เราก็เป็นพวกเดียวกัน เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร? แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้อยู่คนละพวกแล้วนะ พวกมารที่ข่มเหงผู้เชื่อ คืออยู่คนละพวก เมื่อเขาข่มเหงพระเยซู เขาก็จะข่มเหงเราด้วย

เมื่อเรารับสิ่งดีจากพระเจ้า ทางโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ในร่างกายนี้ เราก็อยากจะมีประสบการณ์ในการทนทุกข์ ร่วมกับพระองค์ด้วย บางคนอาจจะถูกต่อต้านอย่างหนัก แต่บางคนอาจจะไม่ถูกต่อต้าน แต่ว่าชีวิตในการดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ มันก็จะเผชิญกับอะไรมากมาย ที่เราจำเป็นจะต้องทนทุกข์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นั่นคือประสบการณ์ในชีวิตของเรา ในโลกใบนี้

ฟีลิปปี 3:11 “เพื่อจะได้เป็นขึ้นจากตาย  โดยทางใดทางหนึ่ง”

 

ก็คือเมื่อพระเยซูทนทุกข์ เราทุกข์ด้วย ทำไมเราทุกข์ เพราะว่าพระเยซูอยู่ในเรา เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน คนเขาต่อต้านพระเยซู เขาก็ต่อต้านเราด้วย คนเขาอยากจะข่มเหงพระเยซู เขาก็จะข่มเหงเราด้วย แล้วถ้าพระเยซูได้ดี เราก็ได้ดีกับพระเยซูด้วย ตอนนี้ ในโลกวิญญาณ เราได้ดีกับพระเยซูเลย คือทุกอย่างพระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ เราก็ทนทุกข์ มีประสบการณ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย

ฟีลิปปี 3:12 “ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้ว หรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ารุดหน้าไป  เพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้สำหรับข้าพเจ้า  เมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของพระองค์”

 

วันที่พระเยซูคริสต์ได้ฉวยเราเป็นของพระองค์ ก็คือวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า แต่ในขณะที่ร่างกายยังเป็นร่างกายเก่า ที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ถ้ามีใครบอกว่า …

“ฉันมาเชื่อพระเจ้า ฉันดีเลิศประเสริฐศรี ฉันเป็นคนดี ไม่เคยทำผิดอะไรเลย” … อย่างนั้น โกหก มันไม่ใช่

ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเดิม นิสัย หรือความประพฤติต่างๆ ก็ยังไม่ดีพร้อม พอเป็นคริสเตียน เราค่อยๆ พัฒนาบุคลิกลักษณะของเรา ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น เป็นการพัฒนา ไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหน? หรือทำสิ่งที่ออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้าขนาดไหน? เราก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าความประพฤติไม่เกี่ยวกับการเป็นลูกของพระเจ้า ดังนั้น ความเชื่อกับความประพฤติต้องแยกกัน

คริสเตียนที่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันไม่มีผลกระทบกับวิญญาณของเราเลย ไม่มีผลกระทบเลยนะ อย่าให้ใครหลอกเราว่าเราทำไม่ดีปุ๊บ พระเจ้าจะตัดเราทิ้งจากกองมรดกของพระองค์ ไม่มี พระเจ้าบอกเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเจ้า เข้าแล้วเข้าเลย เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย ก็คือไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นบุตรของพระเจ้า หรือผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ของเราได้อีกเลย ไม่มีทาง

โลกใบนี้เปรียบง่ายๆ เลย ถ้าเราเป็นลูกของพ่อแม่ ต่อให้เราทำดีหรือไม่ดี ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะเราจากการเป็นลูกของพ่อแม่ได้เลย ถ้าเราทำดี พ่อแม่ชื่นใจ ถ้าเราทำไม่ดี พ่อแม่เสียใจ เพราะว่าพอเราทำไม่ดีเราก็จะกินผลของมัน พ่อแม่ก็จะเสียใจ แต่ไม่ว่าจะชื่นใจหรือเสียใจ เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่เราอยู่ดี คริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้า ลักษณะเดียวกัน เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ต่อให้พฤติกรรมเราเป็นอย่างไร? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเรา จากการเป็นลูกของพระเจ้าวิ่งกลับไปเป็นลูกของมาร มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด เราอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า …

“เธอทำอย่างนี้ เธอตกนรกแน่ๆ”

อย่าเด็ดขาด ฉะนั้น ไม่ว่าพฤติกรรมของอาจารย์เปาโลจะเป็นอย่างไรก็ตาม อาจารย์เปาโลไม่สนใจ ทำดี คนชมก็เฉยๆ ทำไม่ดี ก็เฉยๆ ถ้าเราเอาตามตรง ในพระเยซูคริสต์ การกระทำมันไม่สำคัญเลย คนอาจจะคิดว่าเชื่ออย่างนี้ คนที่เป็นคริสเตียน ก็ไปทำบาปได้ตามสบายสิ แต่ว่าความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราไม่อยากทำบาปหรอก จะว่ากันตามตรง คือเราทำบาปไม่เป็น เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปเราตายไปแล้ว แต่เนื้อหนังที่อยู่บนโลกใบนี้ อาจจะสามารถถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกใบนี้ ที่ส่งผ่านเข้ามา ทางความคิดของเรา แล้วก็ทำให้เราคล้อยตาม ที่จะไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่ว่าเราก็จะทำน้อยลงแหละ พี่น้องสังเกตตัวเองนะ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า รับรู้ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? เราก็จะเลียนแบบเหมือนพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าไง ลูกคนก็เป็นเหมือนคน ลูกพระเจ้าก็เป็นเหมือนพระเจ้า มันก็จบตรงนี้ มันจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่สมบูรณ์แบบแน่นอน จนกว่าวันหนึ่ง เราทิ้งร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่จะต้องตาย อย่างไรก็ต้องตาย แล้วเราไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้า ณ วันนั้นแหละ เราไม่ต้องมานั่งพะวงว่าวันนี้เราจะพลาดไหม? หรือพรุ่งนี้เราจะพลาดไหม?  ตอนนั้นไม่มีแล้ว ไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าครบถ้วนบริบูรณ์ ได้รับร่างกายใหม่ ไม่ต้องลุ้นแล้ว  ก็คือได้เลย แต่ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องลุ้นอยู่ในแต่ละวัน

ดังนั้น ในถ้อยคำของพระเจ้าจึงบอกเราว่าให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ให้เรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า ลักษณะ คุณภาพชีวิต หรือธรรมชาติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ให้เราสำแดงธรรมชาตินั้นออกไป ธรรมชาติของพระเจ้า พระองค์เป็นความรัก สำแดงความรักออกไป พระองค์เป็นความบริสุทธิ์ สำแดงความบริสุทธิ์ออกไป พระองค์เป็นความชื่นชมยินดี  สำแดงความชื่นชมยินดีออกไป แต่คำว่า “สำแดง” ไม่ใช่เราต้องไปบีบตัวเองให้ทำ ไม่ต้อง ทำตัวสบายๆ พระเจ้าจะเป็นคนทำเอง อย่างที่บอก เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ ต้นไม้ไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรเลย เขาอยู่เฉยๆ แต่คนที่ปลูกจะคอยดูแล รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย เก็บพวกวัชพืช หนอน แมลงต่างๆ ที่จะมากิน พอถึงฤดูกาลของมัน ต้นไม้มันก็งอกออกมาให้เราเห็น เห็นดอก เห็นผล มันมีฤดูกาลของมัน มันจะออกมาโดยธรรมชาติ

ชีวิตคริสเตียนเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน เราต้องทำอย่างนี้นะ เพื่อสำแดงคุณลักษณะของพระเจ้า ไม่ต้อง อยู่เฉยๆ เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะให้สิ่งเหล่านี้สำแดงออกมาเป็นธรรมชาติ เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น รับรู้เรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น โตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเด็ก เด็กตอนเล็กๆ ทำอะไรไม่เป็น กินนม พอโตขึ้นอีกหน่อย รู้จักกินอย่างอื่น พอโตอีกหน่อย มีฟัน รู้จักเคี้ยวของที่เคี้ยวได้ พอฟันแข็งแรง ตอนนี้กินเนื้อก็ได้ หรือโตขึ้นจากคลานเป็นตั้งไข่ จากตั้งไข่เป็นเดิน จากเดินเป็นวิ่ง แล้วโตขึ้น ความฉลาดมันจะมาเอง จากสิ่งที่เขาเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ สิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังคุณพ่อคุณแม่คุยกัน ความฉลาดมันจะมา แล้วเขาจะรู้ว่า …

“อย่างนี้นี่เอง เวลาเราจะกินข้าว ถือช้อน ถืออย่างไร?”

ใหม่ๆ เด็กถือช้อน ถือไม่เป็นนะ ถือแบบกำเอาไว้ แล้วเวลากิน ไม่ได้เข้าปาก บางทีไปที่จมูก ไปที่คาง แต่พอเริ่มโตขึ้น พ่อแม่ก็จะสอน …

“ถือช้อนอย่างนี้ เวลากิน เล็งดีๆ ตรงนี้คือปาก ก็ใส่เข้าไป”

แล้วเขาก็จะเรียนรู้ พัฒนา สามารถทำได้มากขึ้นๆ ลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายาม ให้เราเรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? พอถึงเวลา ที่เราโตเต็มที่ พระเจ้าจะดันสิ่งที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้คนอื่นได้เห็น ได้รับรู้ว่านี่ลูกพระเจ้าจริงๆ นี่คือขบวนการที่อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ว่าพฤติกรรมเป็นอย่างไร? เรียกว่าทำดี คนมาชม ก็ไม่ได้ชื่นชมยินดีด้วย แบบฉันสุดยอดเลย ไม่ได้สนใจ สิ่งที่อาจารย์เปาโลสนใจ คือพุ่งไปข้างหน้า เพื่อที่จะรับอะไรบางอย่างที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขา

ฟีลิปปี 3:13 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านมา  และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”

 

ไม่ว่าบนโลกใบนี้ เราทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปปักใจเยอะแยะมากมาย พุ่งไปข้างหน้า มองทะลุไปเลย สิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมสำหรับพวกเรา

ฟีลิปปี 3:14 “ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัย  เพื่อคว้ารางวัล  ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้ไปรับ”

 

คว้ารางวัล คนอาจจะถามว่า …

“อ้าว! ไหนว่าทุกสิ่งได้รับหมดแล้วไง ความรอด ก็ได้รับแล้ว การเป็นผู้ชอบธรรม ก็ได้รับแล้ว คนของพระเจ้าก็เป็นแล้ว แล้วยังจะไปหาอะไรอีก”

หรือบางคนอาจจะคิดว่ารางวัลที่พูดถึง ก็คือสิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ แล้วเราจะไปเก็บเกี่ยวรางวัลที่โลกหน้า มันไม่เกี่ยวกันเลย  สิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ เราก็จะเก็บเกี่ยวรางวัลบนโลกใบนี้ เพราะว่าบนโลกหน้า หลังความตาย พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดเรียบร้อย ทุกคนได้เท่ากัน ไม่มีใครได้ดีกว่าใคร? ไม่ว่าเราจะทำอะไรเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ก็ไม่มีผลอะไรกับโลกหน้า ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

แต่รางวัลที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้ คือร่างกายใหม่ ในโลกวิญญาณ ความรอด เราได้แล้วใช่ไหม? วิญญาณเราเกิดใหม่แล้วใช่ไหม? เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว แต่สิ่งที่เรายังไม่ได้ แต่เป็นรางวัลที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกหน้า หลังจากเราทิ้งร่างเก่านี้ ก็คือร่างกายที่จะต้องเปื่อยเน่าไป พอทิ้งร่างเก่านี้ปุ๊บ วิญญาณเราออกจากร่าง เราไปสวมร่างใหม่เลย เป็นร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องป่วย ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ทรมาน เป็นร่างกายที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่พวกเราผู้เชื่อทุกคนหวังไว้ หวังในสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ แต่ที่ตอนนี้บอกว่าหวัง เพราะว่าเรายังไม่ได้รับ เราต้องรอรับหลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วเราไปสวมร่างกายใหม่ ดังนั้น มันจะแยกเป็น 2 ส่วน

ฟีลิปปี 3:15 “พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว  ควรมีทัศนะเช่นนี้ และถ้าท่านคิดเห็นแตกต่างไปในบางประเด็น พระเจ้าจะทรงให้ท่านเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแจ่มแจ้งด้วย”

 

พอคนที่เป็นผู้ใหญ่ เราไม่ต้องมาพูดเรื่องความรอด การกลับใจใหม่ พูดเรื่องการสารภาพบาป ก็คือเรารู้หมดแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกว่าถ้าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว ไม่ต้องมาคุยเรื่องนี้ซ้ำอีกแล้ว แต่ที่อาจารย์เปาโลเอามาคุย เพราะว่ามันมีเหตุ เหตุที่มีคนถูกล่อลวงให้เฉไป ก็เลยต้องมาคุย

ฟีลิปปี 3:16 “ขอแต่เพียงให้เราดำเนินชีวิต  ให้สมกับสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว”

 

ก็คือเมื่อเราเชื่อวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สิ่งที่เราได้รับมาแล้ว คือเราเป็นใคร? เราเป็นความดีงาม เป็นความสว่าง เป็นสันติสุข เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม ก็คือเราได้รับมาแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้ ก็คือเมื่อเชื่อแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราเป็น แล้วเราเป็นตรงนี้ คือพระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว

ในพระคัมภีร์ตรงนี้ หลายคนอาจจะไม่เข้าใจถึงลักษณะการทำงานของพระเจ้า แต่ว่าเราสามารถทำได้ โดยความเชื่อ นึกออกไหม ตอนนี้ทุกอย่าง เราต้องใช้ความเชื่อหมดเลย อาจารย์เปาโลพูดไว้ใน 1 โครินธ์ 13:13 … “ดังนั้น ยังตั้งอยู่ 3 สิ่ง คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก” แล้วอาจารย์เปาโลก็จบท้ายลงที่ว่า … “ความรักใหญ่ที่สุด”

ความเชื่อ ณ เวลานี้ ที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  เรามองไม่เห็น เราจึงต้องใช้ความเชื่อเอา แต่วันหนึ่ง วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ถึงวันนั้น คริสเตียนไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราเห็นพระเจ้าชัดๆ แล้ว

อีกอันหนึ่ง คือความหวัง ความหวังตอนนี้ เราก็ยังต้องหวังอยู่ เพราะว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา ร่างกายใหม่ เรายังไม่ได้ พอเราไม่ได้ เราก็ยังหวังอยู่ วันหนึ่งเมื่อเราออกจากร่างนี้ไป เราก็ไปสวมร่างกายใหม่ ถึงตอนนั้น ไม่ต้องหวังอีกแล้ว ก็คือจบ

แต่เรื่องของความรัก มันจะคงอยู่กับเราทั้งบนโลกนี้ และโลกหน้าด้วย เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความรักของพระเจ้าเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราเป็นความรัก ฉะนั้น พอเราจากโลกนี้ไป ความรักตรงนี้ คือพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ก็อยู่กับเราด้วย ฉะนั้น ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าความรักใหญ่ที่สุด  ก็คืออย่างนี้แหละ คือไม่หายไปไหน? หลังความตาย ความรักก็ยังอยู่กับเรา

ฟีลิปปี 3:17 “พี่น้องทั้งหลาย  จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า  และเลียนแบบผู้ที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้”

 

เลียนแบบข้าพเจ้า ก็เพราะว่าข้าพเจ้าเลียนแบบพระคริสต์

สรุปจบ ก็คือให้เราทำตามแบบของพระคริสต์ แต่ว่าพระเยซูคริสต์เรามองไม่เห็น พอเรามองไม่เห็น เราก็ต้องดูจากผู้รับใช้ของพระเจ้า จากเปาโล หรือจากผู้รับใช้อื่นๆ ตอนที่ทำงานรับใช้พระเจ้าร่วมกับเปาโล ที่เห็นความเชื่อของเขา สิ่งที่เขากระทำออกมา ดังนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราเลียนแบบคนเหล่านั้น แล้วก็ดำเนินชีวิต ตามแบบอย่างที่คนเหล่านั้นทำ คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความเชื่อ อะไรก็แล้วแต่ ที่พระเจ้าบอกให้เราทำ

ฟีลิปปี 3:18-19 “18 เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ำเตือนท่าน  และบัดนี้  ก็เตือนอีกด้วยน้ำตาว่ามีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรูต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ 19 ปลายทางของพวกเขา  คือความพินาศ พระของเขา คือกระเพาะ เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก”

 

ในข้อที่ 18 กับ 19 อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงพี่น้องอีกหลายๆ คน ที่อาจารย์เปาโลไปประกาศแล้วว่าให้เขาหันใจตัวเอง จากการพึ่งพาตัวเอง  ให้มาพึ่งพระเจ้าดีกว่า คือพูดแล้ว ก็ยังไม่สนใจ พระคุณที่พระเจ้าให้ ก็ยังคงอยากจะพึ่งพาในตัวเอง  ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าเสียใจนะ เหมือนพี่น้องร่วมชาติ ก็อยากให้เขาได้รับความรอด แต่เขาไม่เอาพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่มาช่วยเขา เมื่อเขาไม่เอา ก็อยู่ที่เดิม … ที่เดิม ก็คือบึงไฟนรก  ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง เมื่อสิ้นสุดชีวิตของเขา เขาก็ต้องไปสู่ความตาย ความพินาศ นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดนะ ในตรงนี้

ฟีลิปปี 3:20 “แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์  และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์  คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า”

 

“แต่เรา” คือพูดถึงพี่น้องที่เชื่อ ตามเปาโลเชื่อตามอัครทูตในสมัยเดิมที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่พึ่งการกระทำของตัวเอง เราเป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคนของพระเจ้าแล้ว เราก็เฝ้ารอคอยพระเจ้าของเรา

ฟีลิปปี 3:21 “พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา  ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

ข้อ 21 อาจารย์เปาโลย้ำให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่าเมื่อถึงวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อย คือกายเนื้อของเรา ที่อยู่ในความสาปแช่ง เมื่อเราจากโลกนี้ไป วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะไปสวมกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วก็มาปรากฏกับสาวกของพระองค์ ก็คือสามารถจำกันได้ สามารถที่จะกินข้าวด้วยกันได้ พูดคุยกันได้ แล้วก็สามารถเดินทะลุประตูได้ ไม่ต้องเปิดประตู เดินทะลุได้ อันนั้นแหละ คือกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราผู้เชื่อ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราไปสวมกายตรงนั้น นั่นแหละ เราจะได้รับความรอด ครบถ้วนบริบูรณ์ คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราผู้เชื่อทุกคน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ได้รับตัวตนใหม่แล้ว แต่ยังคงทำบาปอยู่ เหตุ คือมาจากสิ่งที่เรียกว่า เนื้อหนัง

ที่ผ่านมา การแปลพระคัมภีร์ ในเรื่องเกี่ยวกับการทำบาปของคริสเตียน เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า “วิสัยบาป” หมายถึง “ธรรมชาติบาป” ซึ่งมีปรากฏอยู่เยอะเลย ในพระคัมภีร์ใหม่

ตัวอย่าง เช่น โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิต ตามธรรมชาติวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่ธรรมชาติวิสัยบาปต้องการ

พอใช้คำว่า “วิสัยบาป” ก็กลายเป็นความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่บอกว่า มี 2 ตัวอยู่ในเรา เป็น 2 ธรรมชาติวิสัย  อันหนึ่ง คือธรรมชาติเดิม (คือตัวดำ) ที่เป็นวิสัยบาป อีกอันหนึ่ง คือธรรมชาติใหม่ (คือ ตัวขาว) ที่เป็นเหมือนพระเจ้า

เวลาที่เราไปทำบาป ก็บอกว่า เป็นเพราะทำตามธรรมชาติเดิม ตอนไหนที่ทำดี ก็บอกว่าตอนนั้น ทำตามธรรมชาติใหม่

คิดตามนะครับ “ธรรมชาติ” ก็แปลว่าธรรมชาติ มีได้แค่ธรรมชาติเดียวเท่านั้น เหมือนตัวอย่าง ที่ผมพูดบ่อยๆ ว่าธรรมชาติของทาร์ซาน คือมนุษย์  ต่อให้ไปอยู่กับลิงนานแค่ไหน ใช้ชีวิตแบบลิง พูดภาษาลิง กินอาหารลิง  แต่ธรรมชาติหรือตัวตนที่แท้จริง ก็ยังคงเป็นมนุษย์ อยู่วันยังค่ำ

ฉันใด ก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของตัวตนที่แท้จริงของเรา จากธรรมชาติแห่งวิสัยบาป (หรือ Sinful Nature) มาเป็นธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า (หรือ Divine Nature)   และเมื่อพระเจ้า ได้เปลี่ยนธรรมชาติของเราแล้ว   ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว  ที่จะสามารถเปลี่ยนได้อีก

สรุปว่าคริสเตียนมีกี่ธรรมชาติ? … คำตอบ คือมีแค่ 1 ธรรมชาติเท่านั้น คือธรรมชาติของวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  ไม่มีอีกแล้ว ธรรมชาติวิสัยบาป

ถามว่าคริสเตียนที่มีแต่ธรรมชาติวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าเหมือนพระเจ้าแล้ว ยังทำบาปไหม?  คำตอบ  คือทำ แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติวิสัย

โรม 6:6 “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

คนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป คนเก่าของเรา ก็คือตัวตนเก่า ที่เป็นธรรมชาติวิสัยบาป ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว ถูกทำลายจนหมดสิ้นไปแล้ว เราได้เปลี่ยนธรรมชาติวิสัย มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

ธรรมชาติวิสัยของลูกพระเจ้า คือสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่เราทำบาป ก็แปลว่า เรากำลังฝืนธรรมชาติวิสัยของเรา เหมือนที่ทาร์ซาน ยังคงชินกับการทำตัวแบบลิง ก็คือการฝืนธรรมชาติ

ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า “เนื้อหนัง” มาจากรากศัพท์ ในภาษากรีก คำว่า “SARX” ที่แปลว่า “Fresh” หรือ “เนื้อหนัง”  ซึ่งมีความหมายต่างกับคำว่า “ธรรมชาติวิสัยบาป” (Sinful Nature)

คริสเตียนมีธรรมชาติวิสัยเดียว คือธรรมชาติวิสัยที่เหมือนพระเจ้า  แต่ยังคงทำบาปอยู่  เพราะยังมี SARX หรือ FRESH หรือเนื้อหนัง ซึ่ง SARX หรือ Flesh หรือเนื้อหนังนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของเรา  แต่เป็นปรสิต หรือกาฝาก ที่แอบซ่อนอยู่

ในโรม 8:5 ถ้าจะแปลให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ตามภาษาเดิม ก็จะเป็น “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่ พระวิญญาณทรงประสงค์”

ถึงตรงนี้ เราสรุปได้แล้วนะครับว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณ มีธรรมชาติวิสัยที่เป็นเหมือนพระเจ้า และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อีก เป็นสิ่งยืนยันว่าเราได้รับความรอด ได้ไปสวรรค์แล้ว แน่นอน 100 %

 

พระเจ้าอวยพรครับ