คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 09.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 09.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ก็มาตามนัด วันนี้เป็นวันที่เราจะมาร่วมกันระลึกถึงและร่วมกันฉลองความสำเร็จ  ที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้ล่วงหน้า ไว้ตั้งนาน เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกันกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือมนุษย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งสิ้น

ช่วงเวลา 3 โมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากตอนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ของโลกเลย ซึ่งมีผลกระทบไปถึงโลกวิญญาณ ใหญ่หลวงมาก จนกระทั่งมีผลมาถึงทุกวันนี้ และจะมีผลไปถึงนิรันดร์ ก็คือตอน 3 โมงเช้า  …. 3 โมงเช้าสำคัญอย่างไร? บอกว่าเหตุการณ์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ก็คือเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกยกขึ้น คำว่า “ยกขึ้น” ไม่ได้ยกย่องนะ  พระเยซูถูกยกขึ้นทั้งร่างกายและวิญญาณ โดยถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอยกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น  ปรากฏการณ์ทำให้เกิดปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ และเกี่ยวข้องอะไรกับทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้ ทำไมเขาถึงเรียกวันนี้ว่า “Good Friday” … Friday คือวันศุกร์ Good คือประเสริฐ … ศุกร์ประเสริฐ Good ก็คือดี จริงๆ ต้อง “Very Good Friday” ดีมาก และมากที่สุดเลย  สำหรับคริสเตียน ไม่ใช่แค่นั้น ดีมากสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  เพราะฉะนั้น กดแชร์ไปยังคนที่ท่านรัก กดแบ่งปันไปยังญาติพี่น้องมาฟังสิ่งต่างๆ เหล่านี้  สิ่งที่น่าฟัง เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาทุกคน แล้วเราฟังแบบสบายๆ ไม่ต้องถึงขนาดมาเรียนพระคัมภีร์กันในวันนี้  มาเล่าสู่กันฟัง แบบประวัติศาสตร์เหมือนสมัยก่อน

สมัยก่อนเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่มานั่งอ่านพระคัมภีร์ ไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือให้อ่าน มีแต่จดไว้ในใบลาน  และมีคนอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ 70, 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรตอนนั้น อ่านหนังสือไม่ออกนะ เพราะฉะนั้น ถามว่าข่าวประเสริฐ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ตั้ง 2,000 ปีแล้ว  ก็มาโดยวิธีนี้ วิธีเล่าสู่กันฟังว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วพระเยซูก็มาเตือนเรา เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเราแล้ว เป็นผลดีกับชีวิตของเราแล้ว เตือนเราว่าอย่าลืมข่าวดีนี้ เพราะว่ามันลืมง่าย เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ก็คือสิ่งที่ดีๆ เพราะพระเจ้า คือพ่อของเรา ผู้ให้กำเนิดเราทั้งหลายนั่นเอง จะรู้หรือไม่รู้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น เรามาฟังเรื่องราวในวันนี้ และสิ่งหนึ่งที่สามารถใช้มีเดียตรงนี้ ในการที่จะฟังและสนุกได้ด้วย  ก็คือสามารถโต้ตอบได้ด้วย  เขียนเข้ามา โพสต์เข้ามา สิ่งที่อยากรู้ หรือโพสต์เข้ามาในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เห็นด้วยใช่ไหม หรือมีอะไรเพิ่มเติมว่าผมยังไม่ได้เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเล่าสู่กันฟัง ระลึกถึงวันที่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลก มนุษยชาติต้องบันทึกเอาไว้ คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพจากเคราะห์กรรม เวรกรรมเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องชดใช้เวรกรรมด้วยตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน อีกประมาณไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว  เรามาย้อนเวลาไปด้วยกัน

สมมติว่าวันนี้วันศุกร์ ปี ค.ศ.30  อายุของพระเยซูตอนนั้น คือ 33 ปี เพราะว่าค.ศ.นี้เริ่มต้นเมื่อพระเยซูอายุ 3 ปี เพราะฉะนั้น ค.ศ.30 พระองค์อายุ 33 ในปีนั้น วันศุกร์ ตรงกับวันนี้  เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ย้อนไปประมาณ 2,000 ปี เมื่อ ค.ศ.30 เวลา 3 โมงเช้า  ไม้กางเขนอันนั้นเพิ่งจะถูกยกขึ้นมา คือพระเยซูถูกตรึง เมื่อสักครู่นี้ ตอกตะปูเข้าไปที่มือทั้งสองข้าง  แล้วก็หลายๆ คนช่วยกันยกต้นไม้ต้นนี้ ไม้กางเขน เรียกว่าต้นไม้ เพราะว่าเป็นลำต้นต่อกันยาวเลย ยกขึ้นมา โดยมีร่างของพระเยซูถูกตรึงตรงนั้น  แล้วก็ปักลงไปบนดินที่เป็นหิน บนเนินเขา  เรียกว่าโกละโกธา หรือแปลเป็นไทยเรียกว่ากะโหลกศีรษะ คือหุบเขาหรือเนินเขาของความตายนั่นเอง  ที่ที่ซึ่งเอาไว้ประหารชีวิตนักโทษ สองข้างก็เป็นนักโทษอุฉกรรก์ที่ถูกตัดสินให้ตาย โดยการประหารชีวิตบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นการประหารที่ทรมานที่สุด ในยุคนั้น ในสมัยนั้น ซึ่งโรมันใช้ในการปราบประเทศที่เป็นเมืองขึ้น  แล้วก็ปราบปรามให้ประชาชนหรือว่าผู้คนหวาดกลัวต่ออำนาจอิทธิพลของโรมัน  คือวิธีการตายอย่างทรมาน  และประจานที่ไม้กางเขนว่าอย่าทำอย่างนี้นะ อะไรประมาณนั้น

เราจะมาย้อนกันว่าตอนนี้พระเยซูเริ่มถูกตรึง พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตอนนี้ ไปจนกระทั่งถึงบ่ายสามโมง 6 ชั่วโมงเต็มๆ บนไม้กางเขน ก่อนหน้านี้ เมื่อคืนวันพฤหัส ที่เมื่อคืนเราระลึกถึงพระเยซูอธิษฐานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ที่สวนเกทเสมเนว่าวันนี้พระองค์จะทรงเจออะไร?  เมื่อคืนนี้ ก็เจอแล้ว  ความทุกข์ทรมาน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ที่สวนเกทเสมเน กลัวจนกระทั่งอธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่กับพระบิดาเป็นประจำ คุยกันตลอดเวลากระหนุงกระหนิง ไม่เคยกลัวอะไรเลย จนกระทั่งถึงอายุ 33 ปี ณ เมื่อคืนนี้ รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้วที่ภารกิจนี้ จะสำเร็จได้จะต้องถึงขั้นแตกหักตรงนี้  พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็มให้เขาจับ เพราะฉะนั้น  กลัว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็แปลกแล้วนะ พระบุตรพระเจ้า พระองค์ไม่เคยกลัวใครเลย  ตลอด 33 ปีที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 ปีหลัง ที่ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสวรรค์ … สวรรค์มาถึงแล้ว ให้กลับใจใหม่เถิด  พระองค์นำสวรรค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้านะ ตอนนั้นไม่มีกลัวอะไรเลย แต่เมื่อคืนนี้พระองค์ทรงกลัวสุด  เพราะถึงขั้นสุดท้าย ประจัญบาน พระคัมภีร์บอกเมื่อคืนนี้  ที่สวนเกทเสมเน พระองค์ทรงอธิษฐาน  จนเหงื่อออกมาเป็นเม็ดเลือด ก็คือเครียดจัด อาจเป็นได้ว่าเส้นโลหิตฝอยของผิวหนังแตก อะไรแบบนี้  ถามว่าทำไมต้องกลัวขนาดนั้น  พระเยซูกลัวอะไร

ท่านว่ากลัวอะไร?  โจร 2 คนยังกลัวไม่ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือดเลย  ผมเชื่อว่าอย่างนั้น  แต่ทำไมพระเยซูต้องกลัวถึงขนาดนั้น  ทั้งๆ ที่ไม่เคยกลัวมาก่อนเลย แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนคืนวันพฤหัสฯ ตั้งแต่ตอนดึก ก็ถูกจับตัวไปขึ้นศาลเตี้ย คือศาลตัวฉันนั่นเอง  ฉันเป็นใหญ่ ฉันจะเอาอย่างนี้  คนที่มีอิทธิพล คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ แล้วยัดเยียดข้อหาให้กับพระเยซูมากมาย ยัดเยียดว่าเป็นอันโน้นอันนี้ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้  แต่พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไม่มีใครสามารถบอกได้จริงๆ พระองค์เป็นผู้ร้ายหรือเป็นคนชั่ว หรือเป็นฆาตกร หรือขโมยของ ไม่เคยมีเลย ไม่เคยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งปิลาตเอง ซึ่งเป็นผู้บังคับการของโรมัน ซึ่งให้มาปกครองประเทศอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ก็ยังยอมรับว่าไม่ได้ผิดอะไรเลย จะไปฆ่าเขาทำไม บอกกับชาวยิวหัวหน้าศาสนา ที่พยายามจะฆ่าพระเยซู เป็นเอกฉันท์เลยว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิ่งเดียวเท่านั้น ที่คนเหล่านี้ พยายามยัดเยียดข้อหาให้พระเยซู ก็คือบอกว่าเขาอ้างตัวเองว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า แค่นั้นเอง ผิดใหญ่หลวงใหญ่โต จะนำเขาไปฆ่าให้ได้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเราก็เรียนรู้แล้วนะว่าเขาทำไปโดยไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่

ประโยคแรกที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์บอกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกเจ็บมากเลย ทรมานมากเลย  ช่วยลูกด้วย”

ใช่ไหม? ไม่ใช่ พระองค์พูดว่า …

“โอ้้ พระบิดาแก้แค้นให้ลูกด้วยเถิด”

อย่างนั้นเหรอ ก็ไม่ใช่อีก ประโยคแรกหลังจากเริ่มทนทุกข์ทรมาน ถูกเฆี่ยน ถูกทุบ ถูกหยามน้ำหน้า ถูกบ้วนน้ำลาย ถูกยัดเยียดข้อหาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนถึงเช้าวันนี้  9 โมงเช้า ถูกทำร้ายตลอดเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อนไม่พอ ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทุบ  ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดถึงขนาดว่าจำหน้าไม่ได้ เพราะถูกเฆี่ยนมาก ด้วยแส้ที่พิเศษ ที่โรมันใช้เวลาทรมานนักโทษ ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือจำหน้าไม่ได้ เพราะว่าบวม ถูกไม้ตี เพราะเขาใช้ศาลเตี้ยกัน เขาทำไปโดยไม่รู้ เขาโกรธแค้นไง  โมโห พอโมโห เป็นเหมือนม๊อบ รวมกันคนนั้นถีบ คนนี้ต่อย นึกภาพสิ สนุกสนานกันใหญ่เลย  เพราะเกิดความมัน พออยู่ร่วมกัน เขาบอกเหมือนเอามัน คือรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเสร็จปุ๊บ มารก็สามารถที่จะเข้าไปโน้มน้าวจิตใจ เข้าไปคุมพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่อยู่รวมกันให้เกิดความรุนแรง ในการกระทำ อาจจะโกรธนิดหนึ่ง หรือรู้สึกขัดแย้งนิดหนึ่ง แต่พออยู่รวมกันมากๆ มันก็ถูกใส่ไฟ โดยมารต่างๆ  ทำให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เขาเรียกว่าม๊อบเลวร้ายอะไรต่างๆ

กลับมาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ 9 โมงเช้า  ถูกตรึงแล้วตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 10 นาที ตอนถูกตรึงอยู่ พระองค์ทรงพูดประโยคแรก สะเทือนใจมาก ยิ่งตะกี้เราวิเคราะห์ตั้งแต่เมื่อคืนที่พระองค์ทรงถูกจับและขึ้นศาลเตี้ย หลังจากขึ้นศาลเตี้ย  ถูกทุบ ถูกตี ด้วยความไม่ยุติธรรม ด้วยความมันในอารมณ์ของบรรดาผู้คนที่รวมกัน เป็นม๊อบทั้งหลาย  อัดพระเยซู ทุบตี แม้กระทั่งทหารโรมัน ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็มันกับเขาด้วย เมื่อปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ ถามว่าปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ เพื่ออะไร? ลงโทษให้หนักๆ  เพื่อจะมาบอกกับชาวยิวว่าลงโทษเขาแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอก เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แค่ลงโทษพอใจหรือยัง? พอแล้วนะ จบ พวกอิสราเอลไม่ยอม โดยเฉพาะพวกหัวหน้าทางศาสนา ไม่ยอม  บอกให้เอาไปตรึงซะ ปีลาตผู้สำเร็จราชการของโรมันตอนนั้นบอกว่าแล้วจะไปตรึงเขาด้วยสาเหตุอะไรเล่า เขาไม่ได้ผิดอะไร  ถึงขนาดต้องเอาไปตรึง  เขาบอกเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ท่านบอกไม่ใช่ ก็ไม่ใช่สิ  เขาบอกเป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านบอกไม่ใช่   ก็ไม่ใช่ แล้วจะไปฆ่าเขาทำไม?   เขาไม่ได้ไปฆ่าคนตาย ไม่ได้ก่อ ม๊อบ ไม่ได้เป็นกบฏสักหน่อย  ไม่เหมือนบารับบัสที่ถูกจับ โดยเป็นผู้ก่อกบฏ ต่อต้านโรมันขณะนั้น ไปฆ่าพระเยซูทำไม?

ปีลาตจึงวางแผนให้ทหารลงโทษ เฆี่ยนหนักๆ เพื่อจะได้ไปบอกว่าโดนลงโทษไปแล้วนะ  เพื่อจะรักษาชีวิตของพระเยซูเอาไว้  ไม่อยากจะประหาร แต่อย่างที่บอก ทนการเรียกร้องของชาวยิว โดยการนำของผู้นำทางศาสนา ในขณะนั้น ชาวยิว เขาปกครองในสมัยนั้น เขาเรียกว่าศาสนานำการเมือง เพราะฉะนั้น ไคยาฟาส หัวหน้าทางศาสนา ก็ก่อม๊อบอีก ก็เหมือนเดิม เอาไปตรึงเลย ซึ่งมันตรงกับพระคัมภีร์ที่บอกไว้ล่วงหน้าแล้วนะว่าพระเยซูจะตาย ไม่ใช่เพราะน้ำมือของคนต่างชาติ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าตายด้วยคนกันเอง ชาวยิวด้วยกันเอง จะมอบพระองค์ให้ไปตาย  พูดง่ายๆ เป็นคนสั่งประหารพระองค์นั่นเอง สำหรับทหารโรมันที่ไปตรึงที่ไม้กางเขน เป็นเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง ถามว่าใครสั่ง ก็หัวหน้าทางศาสนาของยิวเป็นผู้สั่ง ถามว่าเขามีสิทธิ์อะไรตอนนั้น  ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาล ในเทศกาลนี้ เป็นประเพณีของการปกครองของชาวยิวในขณะนั้น  โดยโรมันเข้าครอบครอง โรมันก็เลยบอกว่ามีเทศกาลนี้อันหนึ่งที่ชาวยิวสามารถขออภัยโทษให้กับฆาตกร ที่โรมันจะเอาไปฆ่าให้ตายได้ 1 คน เลือกมา โรมันจะปล่อยให้ เขาเรียกว่าเป็นประเพณี เป็นเทศกาลนี้พอดี ปีลาตจึงเอาบารับบัส ซึ่งเป็นฆาตกรจากคดีก่อกบฏต่ออาณาจักรโรมัน การปกครองของโรมัน  ซึ่งต้องโทษประหารชีวิต แล้วเอาพระเยซูขึ้นมา พระเยซูผู้บริสุทธิ์ ย้ำอีกทีหนึ่งปีลาตบอกว่า …

“เขาบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถึงเทศกาลนี้ พวกท่านจัดการเองแล้วกัน ฉันไม่ยุ่งด้วย ฉันขอล้างมือ ฉันไม่สนใจ  ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  อยู่ที่ท่านเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่ฉันเป็นคนตัดสิน ฉันไม่รับผิดชอบแล้ว เพราะฉันบอกแล้วว่าชายคนนี้เขาบริสุทธิ์ เขาไม่ผิดอะไรเลย จะไปทำเขาทำไม? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน เพราะมีประเพณีนี้อยู่ตอนนี้พอดี  เทศกาลนี้อยู่พอดี”

หัวหน้าทางศาสนา  ก็รวมกันก่อม๊อบ ตะโกนว่า …

“เพราะฉะนั้น เราขอเลือกฆาตกร คือบารับบัส เอาพระเยซูไปตรึงซะ”

นี่คือที่มา เราจึงเห็นความไม่ยุติธรรม และความทุกข์ทรมาน  ตามที่พระเยซูได้รับเยอะแยะมากมายทั้งนั้น  พระองค์จึงกลัว  กลัวจะทนไม่ไหว  เกิดพระองค์สู้ขึ้นมา  พระองค์สามารถเรียกทูตสวรรค์เข้ามาช่วยได้ เป็นหมื่น เป็นแสน แค่ภายในไม่กี่วินาที แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะพระองค์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือมาเพื่อทนทุกข์ทรมาน รับแบกบาปของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นมนุษย์ เอาไว้ที่ตัวพระองค์เอง พระองค์มารับโทษบาปแทนเรา เราจะไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมต่างๆ  ไม่รู้จะมาจากชาติไหน  พระองค์จะมาช่วยเราอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงไม่สู้ พระคัมภีร์จึงใช้แกะเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่าให้ตาย เพราะแกะเขาจะเชื่อง จะสงบ ตามแต่ผู้เลี้ยงจะพาไปฆ่า เขาก็จะไม่ดิ้น  ไม่อะไรเลย สงบ รออย่างเดียว พระเยซูทำหน้าที่ของตนเอง มาเพื่อตายที่ไม้กางเขน

และการตายที่ไม้กางเขนนั้น จะเล่าสู่กันฟังต่อไปว่ามันหนักกว่านี้อีก ตะกี้แค่การทุกข์ทรมานทางร่างกาย พระองค์ถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  มีร่างกาย มีความคิดจิตใจ  มีความกลัวเหมือนเรา  ถูกไฟลวกก็ร้อน ไม่ใช่พระองค์เป็นพระเจ้า แล้วไม่เจ็บ พระองค์เป็นพระเจ้าจริง แต่ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพียงแต่เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป สะอาดบริสุทธิ์ แต่คงสภาพของมนุษย์ เพื่อมาเข้าส่วนร่วมในครอบครัวของมนุษย์ เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของเรา เหล่ามนุษยชาติบนโลกใบนี้  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ มนุษย์หนึ่งคน เป็นพี่น้องของเรา จากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้องร่วมมนุษยชาติกับเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็จะเหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่ไม่เหมือนตรงที่พระองค์เกิดจากหญิงพรหมจารี เกิดด้วยความบริสุทธิ์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  แต่ความเจ็บปวด ความรู้สึกกลัวอะไรต่างๆ เหมือนกับเราไม่มีผิดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะฉะนั้น พระองค์กลัวมาก แล้วยิ่งกลัวกว่านั้น ก็คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

กลับมาตะกี้ ตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกยกขึ้นมา พระองค์ทรงตรัสประโยคแรกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า  ขอทรงอภัยให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ม๊อบทั้งหลายเหล่านั้น  รวมทั้งทหารที่มาตรึงข้าพระองค์  เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

นี่แหละ คือความรักชนิดที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  เหงื่อเป็นเลือด ถูกหยามศักดิ์ศรี ทั้งๆ ที่มีอำนาจ  มีฤทธิ์เดช  มีพลัง มีอาวุธที่สามารถจะต่อสู้ได้ เพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกที่เป็นม๊อบไม่เหลือเลย  เป็นเรา หลายครั้งเราอาจจะยอมคนที่ข่มเหงเรา ทุบตีเรา เพราะเราสู้เขาไม่ได้ เราถูกบังคับให้ต้องยอม ลองคิดดูสิคนที่ข่มเหงเรา  แล้วด้อยกว่าเรา เรามีอำนาจกว่าเขา  เรามีกำลังมากกว่าเขา มีอาวุธมากกว่าเขา คิดว่าเรายอมไหม?  นี่พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็บอกแล้วว่าถ้าเราต้องการจะสู้กับเขาเหล่านี้ เราเรียกทูตสวรรค์มา เขาเหล่านี้แย่เลย แต่พระองค์ทรงทราบทั้งหมดแล้ว  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป  เขาถูกครอบงำ  โดยอิทธิพลของระบบของโลกนี้  ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งควบคุมโลกใบนี้อยู่ ซึ่งได้สิทธิอำนาจในการควบคุมโลกใบนี้ผ่านทางบรรพบุรุษของเรา ผ่านทางอาดัมและเอวา  ต้นพันธุ์ของมนุษยชาติของเรานั่นเอง มอบโลกใบนี้ให้กับมาร เป็นคนดูแล ทั้งที่พระเจ้ามอบให้กับเรา มนุษยชาติเป็นคนดูแลโลกใบนี้ เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้  บ้านหลังนี้เป็นของเรา แต่บรรพบุรุษของเรา ได้มอบสิทธินี้ บ้านหลังนี้ โลกใบนี้ให้กับต้นกำเนิดของความชั่วร้าย  เจ้าตัวชั่วร้าย ซึ่งมีชื่อว่าซาตาน ซาตานไม่มีอะไรดีสักนิดหนึ่งเลย  มีแต่ความชั่ว ความเลว อย่างเดียวเท่านั้นเอง

พระคัมภีร์บอกว่ามารมา เพื่อ 3 สิ่งเท่านั้นเอง  ไม่ทำอะไรมากกว่านี้เลย  3 สิ่งที่ทำให้กับมนุษยชาติและโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของเรา (1) ขโมย (2) ฆ่า (3) ทำลาย

เพราะฉะนั้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับขโมย ฆ่า ทำลาย  สรุปได้เลย ไม่ต้องไปคิดมาก อันโน้นอันนี้มาจากพระเจ้าไหม? มาจากมารทั้งสิ้น  ยกตัวอย่างในขณะนี้ที่เรากำลังเผชิญกับเชื้อไวรัสโควิด-19 บางคนก็บอกว่าพระเจ้าพิพากษาแล้ว สงสัยพระเจ้าลงโทษมนุษย์  มนุษย์ทำบาปมาก ไม่เกี่ยวเลย  มนุษย์ทำบาป ก็ได้รับโทษของการบาป เหมือนกฎหมายลงโทษ แต่ความชั่วร้ายที่เข้ามาบนโลกใบนี้  มาจากมารลูกเดียว  มันอยู่ในเครือข่ายนี้ ขโมย  ฆ่า ทำลาย  แต่พระคัมภีร์ก็บันทึกตลอด พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความยุติธรรม ท่านเห็นไหม?

นี่มันตรงกันข้ามกับมารเลย เพราะฉะนั้น  นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าไม่ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  คิดง่ายๆ เท่านั้นเอง ฝั่งดีหรือฝั่งชั่ว ผู้เป็นเจ้าของ คนดีก็ทำชั่วไม่เป็น  คนชั่วก็ทำดีไม่เป็น  แล้วจะสลับกันได้อย่างไร?  ถูกไหมครับ?  ต้นมะม่วงก็ออกผลมาเป็นมะม่วง ต้นไมยราบก็ออกดอกมาเป็นไมยราบ  อะไรประมาณนี้  พระเยซูจึงทราบเรื่องเหล่านี้ดี ตอนถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จึงตรัสประโยคแรกว่า …

“อภัยให้เขาเหล่านี้เถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

เป็นบทเรียนให้เราด้วย  ตอนนี้ 3 โมงเช้ากว่า ยังอยู่ที่ไม้กางเขนอยู่ แล้วอีกครู่หนึ่ง เราจะมาติดตามตอนต่อไป  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************