วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1463

คำบรรยายวันศุกร์ที่  29  มีนาคม  2024

เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”

โดย วราพร  คงล้วน

            คืนนี้เรามาดูในหนังสือฮีบรู บทที่ 9 หนังสือฮีบรูจะพูดถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ที่เสด็จมาบนโลกใบนี้ มาในฐานะมหาปุโรหิต  ก็คือจริงๆ แล้วมหาปุโรหิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าได้ทรงเจิมตั้งไว้ สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในขณะที่มนุษย์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พันธสัญญาใหม่ที่ยังมาไม่ถึง แต่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมาเป็นมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์ทำพิธีนี้เพียงครั้งเดียว จบสิ้นเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว โดยที่ไม่ต้องทำต่อเนื่องเหมือนสมัยก่อน ในอดีต มหาปุโรหิต ต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าทุกปีๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ การถวายเครื่องบูชาก็จะจบสิ้นไป  ก็คือพระเยซูทำสำเร็จแล้ว  แล้วผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์ก็มีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน แล้วก็อนาคตข้างหน้าด้วย เราดูในข้อ 11 …

        ฮีบรู 9:11 “เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิต แห่งสิ่งประเสริฐต่างๆ ซึ่งได้มาถึงแล้ว พระองค์ทรงผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้”

            ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าได้เลือกประชากรกลุ่มหนึ่ง  ที่เรารู้จักกัน ก็คือคนยิว  แล้วก็ได้เลือกคนกลุ่มหนึ่ง  คือชาวเลวีที่จะมาทำหน้าที่ปฏิบัติในเต็นท์นัดพบ หรือในพระวิหารของพระเจ้า  เพื่อถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า เรียกว่าเป็นการมาผ่อนส่งบาปให้กับคนอิสราเอล ปีต่อปี

            พระเจ้าทรงแต่งตั้งมหาปุโรหิตคนแรก คืออาโรน  แล้วจากนั้น ตระกูลของอาโรนก็จะสืบเชื้อสายมาทำหน้าที่ตรงนี้ มาตลอด แต่พระเจ้าก็ได้สัญญาไว้ว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด มาให้กับมนุษยชาติ ณ เวลานี้พระเจ้าให้พวกมหาปุโรหิตทำการถวายเครื่องบูชาไปก่อน เป็นเงา สำหรับอนาคตข้างหน้า  เมื่อตัวจริงมา ก็คือพระเยซูคริสต์มา พิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ก็จบสิ้นไป  คือไม่ต้องทำอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้

            ดังนั้น พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้เข้ามาสู่พลับพลา โดยที่ไม่ได้เป็นพลับพลาที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ แต่เป็นพลับพลาที่เรียกว่าเป็นอภิสุทธิสถาน ซึ่งในโลกวิญญาณ วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนปุ๊บ ในพระคัมภีร์ที่บอกว่าม่านในวิหารขาดออก ตั้งแต่บนจรดล่าง หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่าสำเร็จแล้ว ก็คือการไถ่บาปนิรันดร์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้ทำสำเร็จแล้วต่อแต่นี้ไป มนุษย์ไม่ต้องทำพิธีกรรมนี้อีกต่อไป จะไม่มีม่านในวิหารอีกต่อไป จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาในวิหารอีกต่อไป  แปลว่ากลุ่มคนเลวีตกงาน  ไม่ต้องใช้แล้ว  พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แล้วใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เขาก็จะได้รับความรอดพ้นจากความผิดบาปทั้งหมด ไม่ต้องมาหาแพะ หาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชาปีต่อปี  เพราะว่าพระเยซูทำเที่ยวเดียวจบสิ้นขบวนการทั้งหมดเลย คือไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชา ไม่ต้องมีการลบล้างบาปอีกต่อไป แต่บาปของมนุษยชาติจะถูกลบล้างไปทั้งหมดเลย ตั้งแต่บาปอดีต ปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า

            แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับมนุษยชาติ ก็คือพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่กับพวกเรา สมัยก่อนคนยิวมาถวายเครื่องบูชา วิญญาณข้างในเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ จิตใจข้างในเขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขาสะอาดบริสุทธิ์เลย เพราะว่าเมื่อเขาทำบาป เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แล้วเขาก็ต้องไปถวายเครื่องบูชา พอปีหน้าเขาก็ไปถวายเครื่องบูชาอีก ความรู้สึกของการหายจากบาปมันไม่มีในวิญญาณของคนยิวในยุคนั้น  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ ผู้เชื่อทุกคนเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ข้างในวิญญาณเราจะรู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เราไม่ต้องไปทำพิธีกรรมใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ เพื่อทำให้เรารอดพ้นจากบาปเลย ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น จุดสังเกต คือก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราแสวงหาทุกอย่างใครว่าอะไรดี เราจะไปหมด เพราะข้างในวิญญาณเรากระหายหาพระเจ้า แต่เราหาพระเจ้าเที่ยงแท้ ที่เป็นพระเจ้าจริงๆ ไม่เจอ เมื่อหาไม่เจอ ก็ต้องหาไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่ง เมื่อเราพบพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แล้ววิญญาณได้ถูกเปลี่ยนเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เราจะหยุดแสวงหา วิญญาณเราจะนิ่ง แล้วเราจะมีสันติสุข เราจะรู้เลยว่าข้างในวิญญาณเรา เราไม่รู้สึกว่าตายไปแล้ว เราจะต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกเลย  เพราะว่าข้างในวิญญาณเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์  แล้วเราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษอีกเลย ตั้งแต่วินาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น การพิพากษามันจะไม่มีเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า หลายคนอาจจะถูกหลอก โดยข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในความคิด บอกว่าถ้าเกิดเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยังต้องถูกพิพากษาลงโทษ  แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาดหมดจดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว การพิพากษาไม่มีสำหรับผู้เชื่ออีกต่อไป  แต่การพิพากษามันจะมีขึ้นเฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียน อย่าคิดว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราทำอะไรก็ได้ เราทำผิดทำบาป แล้วเราไม่ต้องรับผลอะไร? มันไม่ใช่ มันยังต้องรับผลอยู่ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ตั้งกฎทั้ง  2 อย่าง คือทั้งกฎฝ่ายวิญญาณ และกฎทางฝ่ายร่างกาย การเคารพทั้ง 2 กฎ ก็เป็นการยำเกรงพระเจ้า  ดังนั้น คริสเตียนเราเคารพทั้ง 2 กฎ กฎที่พระเจ้าบอกว่าเป็นกฎพระวิญญาณแห่งชีวิต เราเคารพ เราเอเมน เราสรรเสริญพระเจ้า เราเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้เราเป็นใครแล้ว  ณ เวลานี้ เราได้รับอะไรเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แม้ขณะนี้ สมมตินะ ณ เวลานี้ ความคิดเราไปคิดชั่ว  เราก็ยังคงยืนกรานดังเดิมว่าวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรม

            นี่คือการนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือเราเอเมนกับทุกอย่างที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้นแล้ว ยืนกรานตรงนั้น  เพื่อเราจะได้สามารถที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยืนกรานในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

            หลายครั้ง คริสเตียนจะถูกหลอก ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ  เราก็จะถูกหลอกว่าตอนนี้เราไม่ชอบธรรมแล้ว แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พี่น้องต้องยืนหยัด ให้มั่นเลยว่า …

            “แม้ฉันจะทำสิ่งที่ผิดพลาดไป แม้ตอนนี้ฉันกำลังด่าใครอยู่ แต่วิญญาณข้างในฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจด ฉันเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องยืนหยัด แล้วก็ยึดมั่นในความจริงตรงนี้ ตามที่อาจารย์ยอห์นบอกให้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและด้วยความจริงทุกอย่างที่พระเจ้าบอกเรา เราดูข้อที่ 12 …

        ฮีบรู 9:12 “พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

            พระคัมภีร์จะเน้นคำว่า “ครั้งเดียวเป็นพอ”

            การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้ทำให้มนุษยชาติได้รับการไถ่ถอน จากบาปทั้งสิ้นชั่วนิรันดร์ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ เขาจะได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ไม่ว่าบาปที่คนนั้นทำตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตยังจะทำอยู่ ก็ได้รับการอภัยหมดสิ้น  เพราะถ้อยคำตรงนี้บอกว่า “ครั้งเดียวพอ” พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาตายแล้วตายอีก หลั่งพระโลหิตแล้ว หลั่งพระโลหิตอีก เพื่อที่จะชำระล้างความผิดบาปของเรา ข้อที่ 13-14 …

        ฮีบรู 9:13-14 “13 เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมีย ที่ประพรมลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด  พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า โดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่!”

            ก่อนหน้านั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ   ตอนนั้นคนยิว ที่ได้รับการชำระผ่านทางปุโรหิต ผ่านทางเลือดแพะเลือดแกะ แค่ชำระภายนอกเท่านั้น  แต่จิตใจภายในไม่ได้รับการชำระเลย เขายังคงรู้ว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ แต่ปัจจุบันพวกเราเชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้รับการชำระข้างในวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ซึ่งบางครั้งอาจจะลืมตัว หรือหลง ถูกหลอกลวงไปทำบาป หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เรายังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่

            ถ้าเป็นสมัยก่อน คนยิวหรือคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เขาเป็นคนบาป อยู่ในอาดัม ต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม  ภาพ 2 ภาพนี้ ถ้าพี่น้องเห็นชัดปุ๊บ พี่น้องจะอ๋อ! เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อก่อนไม่ว่าเราทำดีขนาดไหน? ข้างในเรายังไม่รู้สึกว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด เราชอบธรรมเลย  แต่ปัจจุบัน เรารู้สึกเลยว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว แม้ขณะที่เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ข้างในวิญญาณเรายังรับรู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ ข้อที่ 15-22 …

        ฮีบรู 9:15-22 “15 ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่  เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้น จะได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่ เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก 16 ในกรณีของพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมนั้นสิ้นชีวิตแล้ว 17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ ก็ต่อเมื่อผู้ทำตายแล้ว หากผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมจะไม่มีผลอะไร 18 ด้วยเหตุนี้ แม้แต่พันธสัญญาแรกจะมีผลบังคับใช้ ก็ต้องมีเลือด 19 เมื่อโมเสสประกาศบทบัญญัติทุกข้อ แก่เหล่าประชากรทั้งปวงแล้ว เขาก็นำเลือดลูกวัว พร้อมด้วยน้ำ ขนแกะสีแดงและกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนและเหล่าประชากร 20 เขากล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายรักษา” 21 และเขาใช้เลือดประพรมพลับพลา และทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ เช่นเดียวกัน 22 อันที่จริงบทบัญญัติระบุให้ชำระแทบทุกสิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือด ก็ไม่มีการอภัยบาป

            นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต ต้องหลั่งเลือด ถึงจะมีการอภัยบาป ก่อนหน้านั้น เป็นเงาที่พระเจ้าทำไว้  ก็คือเอาสัตว์ตัวหนึ่งมาตายแทนมนุษย์ แล้วก็เอาเลือดของสัตว์นั้นมาถวายให้พระเจ้าปะพรมที่แท่นบูชา กฎนี้ยังอยู่ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์มาทำให้กฎสมบูรณ์แบบ ก็คือพระองค์มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์นำเอาเลือด เข้าไปในอภิสุทธิสถาน ซึ่งไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คือสวรรค์จริงๆ เลย  พระองค์ใช้เลือดของพระองค์เอง โดยที่ไม่ได้ใช้เลือดแกะเลือดแพะใดๆ เลย เลือดของพระองค์เอง ซึ่งบริสุทธิ์สะอาด หมดจด เลือดของพระองค์ ที่ได้ชำระทุกอย่างให้สะอาดบริสุทธิ์ มอบถวายให้พระเจ้า ทำให้พวกเรามนุษยชาติทั้งหมด สามารถที่จะได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ นิรันดร์

            การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับการประพรมด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระนิรันดร์ ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งครั้งเดียว แล้วมนุษยชาติไม่ว่าเราจะทำบาปขนาดไหน? คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เลือดของพระองค์พร้อมตลอดเวลา ก็คือทันทีที่เราทำผิดปุ๊บ เลือดก็ชำระเราทันทีเลย ไม่ต้องรอช้า หรือไม่ต้องรอให้เรามาขอจากพระเจ้า มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตั้งไว้  แล้วมันจะอัตโนมัติมากๆ ที่พระเจ้าบอกแล้วว่ามนุษย์ทุกคนจะได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พระเจ้าทรงยกโทษบาปให้กับพวกเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า ซึ่งเรายังสามารถทำบาปอยู่ แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  พี่น้องว่าจริงหรือไม่จริง? มีใครกล้าบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เคยทำบาปเลย ไม่มี เราก็ยังทำบาป เยอะบ้าง? น้อยบ้าง? แล้วแต่

            แต่ถ้าเป็นกฎเดิม ไม่ว่าบาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย พระเจ้าถือว่าบาปหมด แต่มนุษย์เอามาตั้งเป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์เองว่าถ้าทำบาปแบบนี้ ไปนินทาชาวบ้าน ถือว่าเป็นบาปเล็ก ถ้าไปฆ่าคนตาย ถือว่าเป็นบาปใหญ่ ซึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กบาปน้อย ถ้าเราทำบาป ก็คือบาปหมดเลย  ทำดี 99.99% ทำบาป 0.01% ก็ถือว่าบาป ดังนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะใช้ความดีงามของตัวเอง หรือการกระทำดีของตัวเอง เพื่อที่จะลบล้างความบาปของตัวเอง หรือถีบตัวเองไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ มันเป็นไปไม่ได้ ข้อที่ 23 …

        ฮีบรู 9:23 “ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องชำระสิ่งต่างๆ อันเป็นแบบจำลองของสวรรค์ด้วยเครื่องบูชาเหล่านี้ ส่วนของในสวรรค์เอง ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาที่ดียิ่งกว่า”

            ดียิ่งกว่า ก็คือเลือดของพระเยซูคริสต์ย่อมดีกว่าเลือดสัตว์แน่นอน  ข้อ 24-25 …

        ฮีบรู 9:24-25 “24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานนมัสการ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นเพียงแบบจำลองมาจากของแท้ พระองค์ทรงเข้าสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ ทรงปรากฏต่อหน้าพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลาย 25 ทั้งไม่ได้ทรงเข้าสู่สวรรค์ เพื่อถวายพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบที่มหาปุโรหิตเข้าสู่อภิสุทธิสถานทุกๆ ปีพร้อมด้วยเลือด ซึ่งไม่ใช่เลือดของตัวเอง”

            อันนี้ชัดเจนเลยนะ ถ้าพี่น้องเห็นภาพในอดีตกับภาพในปัจจุบัน ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว พี่น้องจะเห็นชัดมาก มหาปุโรหิตสมัยก่อนทำภารกิจไม่เสร็จสักที จะต้องทำแล้วทำอีก ทุกปีๆ  แต่พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว และในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ก็ประทับลงนั่ง

            เวลาเรานั่งพัก ก็คือทำงานเสร็จ ถ้าทำงานไม่เสร็จ พักไม่ได้นะ มหาปุโรหิตไม่เคยพัก ยืนทำอยู่นั่นแหละ ยืนประกอบพิธีตลอดเวลา ซึ่งไม่มีเวลาพัก แต่พระเยซูคริสต์ได้หยุดพักจากการงานทั้งหมดวันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว  ก็คือสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถที่จะได้รับความรอด สามารถที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

            ก่อนหน้านั้นที่บอกพินัยกรรม  เวลาคนทำพินัยกรรม เหมือนกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ทวดมีมรดกเยอะ ก็จะทำพินัยกรรมไว้ให้ลูกหลาน  ดังนั้น พินัยกรรมนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมนี้ก็ยังไม่มีผล ต้องรอให้คุณพ่อคุณแม่เสียชีวิต แล้วทนายความหรือคนที่ถูกมอบหมาย เขาก็จะมาอ่านพินัยกรรมว่าคุณพ่อคุณแม่ให้มรดก ให้กับลูกคนนี้เท่าไร? ลูกคนนั้นเท่าไร?  ก็จะมีผลบังคับใช้

            เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์ประทานพินัยกรรมให้กับพวกเรา เป็นพินัยกรรมที่สุดยอด  ก็คือทุกคนจะได้เท่ากันหมด ไม่มีใครได้มาก ได้น้อย แล้ววันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ทันที พินัยกรรมฉบับนี้ สามารถที่จะใช้การได้เลย ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะรับพินัยกรรมนี้ไป ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์เท่ากันหมด ทุกคนได้เท่ากันเลย  คือชีวิตนิรันดร์  เป็นแบบพระเจ้า ได้รับวิญญาณใหม่ทุกคนเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้รับความคิดจิตใจใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกคน แล้วอนาคตข้างหน้า เรายังได้รับร่างกายใหม่ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อย่างนี้ ทุกคนจะได้เท่ากันหมด  แล้ววันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน ก็คือเขาเรียกว่าของประทาน ของประทานพระเจ้าจะให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เท่ากัน บางคนได้เยอะ บางคนได้น้อย ไม่ว่าจะได้เยอะได้น้อย ก็มีผลเท่ากัน เหมือนกัน คนที่มีของประทานเยอะ ทำงานเยอะ ก็ไม่ได้ทำให้เราได้รับความรักจากพระเจ้าเพิ่มขึ้น หรือได้รับชีวิตนิรันดร์เพิ่มขึ้น ไม่ได้นะ เท่าเดิม พระเจ้ารักเราจนถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น ของประทานต่างๆ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ก็คือให้เรา เพื่อที่จะรับใช้ซึ่งกันและกันเท่านั้น ข้อ 26 …

        ฮีบรู 9:26 “หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่บัดนี้ พระองค์ทรงปรากฏในปลายยุคเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้น โดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา”

            ตรงนี้ ผู้เขียนได้อธิบายว่าถ้าหากว่าพระเยซูคริสต์ต้องทำเหมือนกับมหาปุโรหิต ที่ต้องถวายเครื่องบูชาทุกปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายความว่าพระเยซูคริสต์ต้องมาถวายตัวพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ตายอีก แล้วก็เป็นอีก อย่างนี้น่าจะทรมานน่าดู แต่ว่าความเป็นจริง คือมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว แล้วก็ทนทุกข์ครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ แล้วพระองค์ปรากฎในปลายยุค ก็คือวันที่พระองค์สัญญาว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ไปอยู่กับพระองค์ นี่คือพระสัญญาที่พระองค์ได้บอกกับเรา แล้วพระองค์ก็กำจัดบาปทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว โดยการที่พระองค์ถวายตัวพระองค์เอง ฉะนั้น พระเยซูมาทำพิธีกรรมเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือมากำจัดบาป ให้กับมนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วก็ให้เราทุกคนมั่นใจเลยว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นวิญญาณใหม่ วิญญาณเราทำบาปไม่เป็น ไม่รู้จักเลยคำว่าบาป  คืออะไร?  มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณข้างในเราปรารถนา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเยซูคริสต์บอก เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ด้วย ไม่มีวิญญาณกบฏเลย ในวิญญาณใหม่ของเราทุกคน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            เราจึงเข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับคืนวันศุกร์ประเสริฐในทุกๆ ปีที่เราเข้ามาระลึกถึงพระคุณความรักของพระองค์ ที่ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน  และระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ก็คือชำระล้างบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้แม้แต่คนหนึ่งคนใด โดนหลอกจากใครก็ตาม หรือจากคำอะไรก็ตามที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราว่าเรายังมีบาปอยู่ เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักมาก ดังแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าพฤติกรรมเราเป็นย่างไรก็ตาม ไม่สามารถทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลง

            ดังนั้น การที่พระเจ้ามองผู้เชื่อทุกคน พระเจ้ามองที่เราเป็นใคร? ไม่ได้มองที่เราทำอะไร? อันนี้ชัดเจน  อันนี้สำคัญมาก  หลายคนเข้าใจว่าพระเจ้ามองว่าวันๆ เราทำอะไรอยู่ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้น พระเจ้ามองว่าเราเป็นใคร?  ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ที่ไหน? เราไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ จำตรงนี้ให้ดีๆ  พระเจ้าไม่ได้สนใจเลยว่าเราทำอะไร? แม้แต่นิดเดียว าพระองค์รู้อยู่แล้ว เมื่อเราวางใจในพระเจ้า  เรามีธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระเจ้า เราปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว เราไม่มีความรู้สึกอยากทำบาปเลย ถ้าวันไหนเราทำ แปลว่าเราโดนหลอกนิดเดียวเอง โดนหลอกเราก็ลุกขึ้นมา แล้วเราก็ถอยกลับมาแค่นั้นเอง  ไม่มีผลอะไรกับชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับมาแล้ว แม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ตั้งแต่เกิด มวลมนุษยล้วนแสวงหา การได้ไปอยู่ในสวรรค์  เพราะอะไร?

            จิตใต้สำนึกในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน รู้ดีว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ดีพร้อม ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้

            ปัญหาของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ การกระทำ แต่อยู่ที่การเกิดมาอยู่ในตระกูลอาดัม ซึ่งเป็นคนบาป

            ดังนั้น พระเจ้าแก้ปัญหาให้มนุษย์ ก็ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติ การกระทำ แต่อยู่ที่ทรงทำให้ได้ “บังเกิดใหม่” อีกครั้งเช่นเดียวกัน

            โรม 5:12 … “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            – ไม่ต้องทำอะไร  ก็เท่ากับ   ได้ทำผิดบาป   เป็นนักโทษกบฏ ต่อพระเจ้าผู้สร้างแล้ว

            – เกิดมาก็ตายจากพระเจ้าทางวิญญาณ    เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            – เกิดมาวิญญาณก็อาศัยอยู่ในบาป  เป็นคนอธรรม (คนชั่ว) แล้ว

            โรม 5:15-16 … “15 แต่ของประทาน (การบังเกิดใหม่) นั้น ต่างจากการล่วงละเมิด  เพราะถ้าคนเป็นอันมาก   ตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด   พระคุณของพระเจ้า  และของประทาน (การบังเกิดใหม่)  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก 16 และของประทาน (การบังเกิดใหม่ ) จากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว   และนำไปสู่การลงโทษ  แต่ของประทาน (การบังเกิดใหม่ ) เกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง   และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม (พ้นจากการเป็นคนบาป)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1461

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มีนาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 4.2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ ชื่อซีรี่ย์ว่า “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อแล้ว”

            ตอนที่ 1 ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง  หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 ก่อนเชื่อ อยู่ในอาดัม        หลังเชื่อ อยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป     หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด    หลังเชื่อ อยู่ในความสว่าง

            ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กันแล้วว่าก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง  เราได้เรียนรู้ไปบ้างส่วนหนึ่ง  ในเรื่องเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของเราว่าเราอยู่ที่ไหน?  มืดหรือสว่าง เราได้เรียนรู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับความมืดและความสว่างว่าความมืดมาจากไหน?  ความสว่างมาจากไหน?  และความมืดและความสว่างนี้ หมายถึงอะไร? หมายถึงใคร?

            ทบทวนกันอีกนิดหนึ่ง  เพื่อจะได้เริ่มต่อวันนี้  ครั้งที่แล้วนั้น ได้เรียนรู้ว่าตอนที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น พระองค์ทรงตรัสว่าเราจะสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา คือเหมือนพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ สร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา และทรงให้พระคริสต์เป็นพลังชีวิต เป็นพลังแห่งความสว่างให้กับบรรดามนุษย์ ที่พระองค์ทรงสร้าง

            คำว่า “เป็นพลังแห่งชีวิต เป็นพลังแห่งความสว่าง” หมายความว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง จำเป็นต้องได้รับพลังนี้ เพื่อให้มีสภาพเหมือนพระเจ้า เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ เราได้เรียนรู้ครั้งที่แล้วนะว่าพระประสงค์ของพระเจ้า คืออะไร?  คือให้มนุษย์เป็นลูกของพระองค์ ดีงาม โดยที่พระองค์ทรงสร้างให้เขาดีงาม  โดยรับพลังชีวิต ความดีงาม  ความบริสุทธิ์จากพระคริสต์ จากพระองค์ แต่มนุษย์ไม่ทำตามนี้ ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งการไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  การตัดสินใจออกไปอยู่ด้วยตัวเอง เรียกว่าบาป จำได้ใช่ไหมครับ?

            ครั้งที่แล้วผมได้เปรียบเทียบให้ฟังว่าหลอดไฟที่ถูกสร้างขึ้นมา ถ้าเผื่อไม่มีพลังงานไฟฟ้า ไม่มีกระแสไฟฟ้า หลอดไฟ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่มีพลังงานไฟฟ้า ที่ทำให้เกิดความสว่าง มันก็ไร้ค่าใช่ไหม? เหมือนครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่าง เหมือนเครื่องบิน จะสร้างลำใหญ่โตขนาดไหน? สวยงามขนาดไหน? ก็ไร้ค่าใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีพลังงานจากน้ำมัน เชื้อเพลิง ที่ผู้ออกแบบสร้างไว้ว่าต้องมีตรงนี้  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ  แต่เรามองดูด้วยตา สวยงามมากเลย  น่าจะอย่างโน้น น่าจะอย่างนี้  แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีพลังงาน อยู่ในนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่ามนุษย์ทั้งหลาย  เป็นเหมือนตะเกียง ซึ่งพระเจ้าสร้าง ตะเกียงจะจุดติด และให้ความสว่างได้ ต้องมีน้ำมัน นี่พระเยซูยกตัวอย่างเอง

            มนุษย์ที่เปรียบเหมือนตะเกียง จึงจำเป็นต้องมีพระคริสต์ พระเยซูประกาศเองว่าท่านทั้งหลายต้องมีเรา  จึงจำเป็นต้องมีพระคริสต์ เข้ามาเป็นพลังชีวิต เป็นน้ำมันอยู่ ทำให้เกิดความสว่างได้ 

            “หลอดไฟที่ไม่มีพลังไฟฟ้า เครื่องบินที่ไม่มีน้ำมัน ไร้ค่าฉันใด มนุษย์ที่ไม่มีพระคริสต์ เป็นพลังแห่งชีวิต ก็ไร้ค่าฉันนั้น”

            ผมพยายามที่จะหาตัวอย่าง อธิษฐาน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องโลกวิญญาณ  จะเข้าใจลำบาก ก็ต้องยกตัวอย่างสิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่เราเห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ แบบที่ตามองเห็นได้  เอามาเปรียบเทียบให้ดู เพื่อจะทำให้สิ่งที่เข้าใจยากในโลกวิญญาณ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น  เพราะข่าวประเสริฐของพระเจ้ามันไม่ได้ยากเย็น อะไรเลย มันง่ายนิดเดียว ถ้ารู้เคล็ดลับที่จะเข้าใจ เรื่องราวต่างๆ

            พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่สวยงามเหมือนพระองค์ และมีพระคริสต์เป็นแหล่งชีวิต เห็นหรือยัง? แต่มนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง กลับต่อต้านพระองค์ ไม่ต้องการพึ่งในพระองค์ที่เป็นพระเจ้า  เห็นหรือยัง ชีวิตมาจากพระองค์ แต่มนุษย์ต่อต้าน ไม่อยากได้พระองค์ คือเราบอกไปตะกี้ว่าทำบาป ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งใจไว้  มนุษย์ก็เลยกลับไปเป็นเหมือนตะเกียงที่ไร้น้ำมัน จุดไม่ติด ไม่มีความสว่าง พอความสว่างหายไป อะไรมาแทนที่ … มันก็เหลือแต่ความมืด  พระเจ้าไม่ได้สร้างความมืดนะ พระเจ้าสร้างความสว่าง เราเห็นห้องนี้ พอผมปิดไฟปุ๊บ มันเกิดอะไรขึ้น? มืด

            พระเจ้าสร้างความมืดไหม? ไม่ใช่ สว่างมันหายไป กลายเป็นความมืด และด้วยความรัก ความเมตตาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระองค์จึงได้ทรงทำพระประสงค์ของพระองค์ให้เป็นไปตามนั้น โดยการเข้ามาช่วยเหลือให้มนุษย์กลับไปตามเป้าหมาย พระประสงค์ของพระองค์เหมือนเดิม คือต้องการให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างกลับมาสวยงาม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์อย่างเดิม พระองค์จึงทรงประทานพลังชีวิต ประทานความสว่างให้กับบรรดามนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ถึงแม้พระเจ้าจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้มนุษย์รับพลังชีวิต คือได้รับแสงสว่างอีกครั้ง แต่ก็ยังมีมนุษย์ที่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมพึ่งพาในพลังแห่งชีวิตนี้ ยังคงต้องการ หาวิธีปั่นไฟ หาน้ำมันด้วยตนเอง เพื่อจะเติมตะเกียงชีวิตของตนเอง ด้วยตนเองอยู่ ซึ่งเราก็เรียนรู้จากชีวิตในปัจจุบันแล้วว่ามันดูเหมือนได้บ้าง? ดูเหมือนเป็นความสว่างบ้าง?  แต่มันเป็นความสว่างที่ติดๆ ดับๆ เพราะมันปั่นเอง พอหมดแรงปั่น ก็ค่อยๆ หมด ค่อยๆ ทำไป ซึ่งไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะทำได้  ให้เป็นแสงสว่างอันถาวรแบบที่พระเจ้าออกแบบสร้างให้ตั้งแต่แรก  เพราะว่ามนุษย์ถูกปิดบังความจริงในโลกวิญญาณ  ปิดบังความจริงว่า …

            “เธอต้องทำด้วยตัวเอง”

            ทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้หมดเลย  ให้เราพึ่งพาในตนเอง เธอไม่ดีเลย เธอต้องทำอีก แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์บอก …

            “เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งฉันอย่างเดียวเท่านั้นเอง”

            นี่แหละง่ายๆ ข่าวประเสริฐ ทั้งโลกอยู่ในความมืด ถูกปิดบังตาให้เราพึ่งในตนเอง ปั่นให้ตนเอง ได้ไฟเยอะขนาดนี้  แต่ในที่สุด มันก็หรี่ลง วันที่จากโลกนี้ไป ก็ดับสนิท อยู่ในความมืดเหมือนเดิม แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุขนั่นเอง

            นี่คือบทสรุปเนื้อหาจากครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าก่อนเชื่อ เราอยู่ในความมืด หลังเชื่อเราอยู่ในความสว่าง ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันไป  วันนี้เราจะมาต่อ 1 ยอห์น 1:5 …

        1 ยอห์น 1:5 “นี่เป็นเรื่องราว ซึ่งเราได้ยินจากพระองค์  และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย”

            เห็นหรือยังที่ผมบอก ความมืด ไม่ได้มาจากพระองค์ ความมืดพระองค์ไม่ได้เป็นผู้สร้าง พระองค์เป็นความสว่าง ในความสว่าง ไม่มีความมืด  ความมืดมาจากไม่มีพระเจ้า  เกิดความมืดเอง

            พระเจ้าเป็นความสว่าง  ความสว่างเป็นความดีงาม เป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์ ในพระองค์ไม่มีความมืด ไม่มีความชั่วร้ายทั้งปวง … ทั้งปวง ท่านคงเข้าใจนะว่าอะไรที่มันชั่วร้าย  ก็คือมนุษย์ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า  มนุษย์ทิ้งแสงสว่าง ดับไฟตัวเอง เหมือนเราปิดไฟในห้องนี้ ปิดด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาบังคับเรา ปิด แต่เราถูกหลอกโดยมารซาตาน ให้ปิดไฟ แล้วก็อยู่ในความมืด  ปิดไฟ ก็คือให้พระเจ้าไปซะ นี่เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ปิดไฟให้พระเจ้าไปซะ เพราะว่าถูกหลอก ให้พึ่งพาในตนเอง พูดอย่างนี้ง่ายๆ ก็คือมารหลอกบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาว่า …

            “ปิดไฟ แล้วปั่นไฟด้วยตนเอง มันเท่ห์กว่าเยอะ  พ่อจะได้ภูมิใจในเธอ เธอทำได้อยู่แล้ว เธอยอดเยี่ยมอยู่แล้ว  พระเจ้าสร้างเธอมายอดเยี่ยมอยู่แล้ว”

            หลงคารม ในที่สุด ไปเชื่อฟัง ก็พระเจ้าเตือนแล้วว่าลูกเอ๋ยอย่า เหมือนเราสอนลูกอย่าเอามือแหย่ปลั๊กไฟ อย่านะๆ พอแหย่เข้าไป แล้วเป็นอย่างไร? ไฟช๊อต ตาย ตายฝ่ายวิญญาณ ก็คือตัดขาดออกจากพระเจ้า  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิต คือไม่มีแสงสว่างอยู่ในชีวิตนั่นเอง แล้วพระเจ้าก็ต้องการให้เรากลับไปที่เดิม เห็นไหมครับ? มีอยู่แค่นี้เอง กลับไปที่เดิม ผ่านทางการส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยเหลือเราทั้งหลาย เพื่อที่จะย้ายเราทั้งหลาย เพื่อที่จะพาเราทั้งหลายกลับมาสู่แสงสว่าง ซึ่งคือตัวพระองค์นั่นเอง  ผู้สร้างเราทั้งหลาย  โคโลสี 1:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            “ในโลกวิญญาณมีอาณาจักร แห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง”

            มีแค่ 2 อันเท่านั้นเอง  มันมีจริงๆ  เป็นอาณาจักรจริงๆ  เป็นอยู่จริงๆ  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรา ยังไม่ได้เชื่อ ในข่าวดี ก่อนเชื่อ วิญญาณเราต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง  เรารู้แล้ว ก็คือความมืด  หลังเชื่อ เราได้ถูกย้าย เข้ามาอยู่อีกที่หนึ่ง  ที่ไหน? อาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรของพระคริสต์  ก็คือแสงสว่าง จึงได้เห็นชัดเจนเลยว่ามันมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ โดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันไปอยู่ในโลกวิญญาณ  ตัวเราเองมองในกระจกก็ยังเหมือนเดิม อยู่ในบ้าน ก็บ้านเดิม อยู่ในประเทศไทย ก็เหมือนเดิม

            แต่ในนี้บอกว่าเราได้ถูกย้ายมาอยู่ในโลกวิญญาณอันใหม่ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในแสงสว่าง ในพระคัมภีร์บอกว่าแสงสว่างนี้ คือสวรรค์ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระเยซูบอกไม่มีทางไหนเลย ที่ท่านจะได้รับแสงสว่างนี้ ท่านจะไปหาพระบิดา คือแสงสว่าง เจ้าของสวรรค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือวางใจในเรา เราเป็นทางเดียวเท่านั้น  เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง  หรือที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว  ในขณะที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระ แยกออกมาจากโลกแห่งความมืด  ทำไมต้องได้รับการชำระ เพราะว่าแสงสว่างจะไปอยู่กับแสงสว่างได้ มันต้องบริสุทธิ์ มืดๆ เข้าไปในแสงสว่าง มืดๆ ก็หายไป  มันเข้ากันไม่ได้  เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนความมืดนั้นให้เป็นความสว่าง  จึงเข้ามาอยู่ในความสว่างได้ เป็นความสว่างเหมือนๆ กัน นึกภาพออกนะ

            ซึ่งตั้งแต่วันนั้น วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปอยู่ในความสว่างของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นพลเมืองของโลก ที่ปกคลุมด้วยความมืดอีกต่อไป แต่ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างในพระคริสต์แล้ว  ก็แสดงว่าตอนก่อนเชื่อ  ก่อนที่จะถูกย้าย เราอยู่ในที่เดิม  ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ในที่เดิม  คืออยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  ถ้าไม่ได้รับการย้าย ก็อยู่ในที่มืดนั้น ตลอดไป จนนิรันดร์ 

            เมื่อเราถูกย้ายมา เราก็ถูกนับว่าเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว ตั้งแต่ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว เราเป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว

            มันง่ายมาก จนไม่อยากจะเชื่อใช่ไหม?  แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้จริงๆ ลองพูดตามสิว่าท่านเขินปากไหม?

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ และจะอยู่ตลอดไป  เป็นนิจนิรันดร์ เอเมน”

            เขินปากไหม? ไปพูดให้ข้างนอกฟัง

            วิญญาณเก่า ตัวเก่าของเรา ในอดีต ที่เคยอยู่ในโลกวิญญาณ  ที่เรียกว่าความมืด ในพระคัมภีร์บอกว่าตัวตนของเราเก่าๆ  ก็คือตัวตนทางวิญญาณ ได้ตายไปแล้ว ตายไปจริงๆ คือสูญสิ้นไปเลย เป็นศูนย์ไปเลย แล้วทุกวันนี้ได้เกิดใหม่ มีชีวิตอยู่ เป็นวิญญาณใหม่ คนใหม่ อยู่ในความสว่างในพระคริสต์ ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว กำลังเดินทางไปสู่การรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าสร้าง  และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ แทนโลกใบนี้ เมื่อโลกใบนี้สิ้นสุดลง  เรากำลังเดินทางไปที่นั่น

            เพราะฉะนั้น คริสเตียน คือคนที่อยู่ในสวรรค์แล้ว วิญญาณใหม่แล้ว ร่างกายยังเก่าอยู่ กำลังมีนัด โดยผู้นัด คือหมอใหญ่ คือพระเจ้า นัดให้เราไปเปลี่ยนร่าง คือร่างกายนิรันดร์  ที่ไม่มีวันเจ็บป่วย ไม่มีวันทุกข์ยากลำบาก ไม่มีวันตายอีกเลย ในเร็วๆ วันนี้ ถือใบนัดกันทุกคน ใบนั้น คือใบเปลี่ยนร่างกาย ให้เป็นเหมือนพระองค์ เพราะวิญญาณและใจของเราใหม่เอี่ยมอยู่แล้ว เพียงแต่สวมร่างกายใหม่เท่านั้น ก็จบกัน ทุกอย่าง เรายังอยู่ที่เดิม เอเมน

            ฉะนั้น คริสเตียน  เราได้เข้าส่วนร่วมในความสว่างด้วยกัน เราทั้งหมดที่เป็นคริสเตียนและพระคริสต์ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในสถานที่เดียวกัน  อยู่ในอาณาจักรเดียวกัน และพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าในพระคริสต์ ในสวรรค์ ในความสว่าง ในที่คริสเตียนกำลังอยู่นี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหนในโลกวิญญาณ  ที่เราพูดตะกี้นี้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้แล้ว ในโลกวิญญาณเราอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้แล้ว ในสวรรค์ ในความสว่างในพระคริสต์แล้ว  มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  การที่เราอยู่ในสวรรค์ ที่เรามองไม่เห็น  ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? แล้วอยู่ที่นี่ไปจนกระทั่งนิรันดร์เลยนะ

            มาดูกันว่าเราอยู่ในความยิ่งใหญ่ขนาดไหนในพระคริสต์ เลือกให้ท่านอ่านดูแค่นี้ ท่านจะรู้ขณะที่อ่านไป ท่านจงมองให้เห็นเถิด ต้องบอกอย่างนี้  เพราะเป็นโลกวิญญาณ ไม่สามารถหาอะไรเปรียบเทียบให้มันชัดเจนได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เปรียบเทียบได้ระดับหนึ่ง ในความยิ่งใหญ่ เวลาพูดไป จงเห็นภาพใหญ่ ไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่เขียนไว้ ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ผมอาจจะไม่เข้าใจ ตามภาษามนุษย์ แต่ให้ฟัง ให้อ่าน โดยใช้ “จงมองให้เห็นเถิด” คือให้เปิดตาฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ว่าเราอยู่ในนี้แล้ว เราเป็นอยู่ขณะนี้  เราเข้าส่วนร่วมกับพระคริสต์อย่างนี้ ในนี้ เดี๋ยวนี้ ทันทีแล้ว  และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปนิจนิรันดร์ โคโลสี 1:15-21  …

        โคโลสี 1:15-21 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปี ที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง 19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่ง ทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต 21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์ อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

            ผมจะเน้นเฉพาะบางข้อ  “พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” พระบุตร คือพระคริสต์ ที่เราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ในขณะนี้ เป็นส่วนหนึ่ง เข้าร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน พระองค์เป็นศีรษะ เหมือนเป็นพี่ชายคนโต เหมือนเป็นเจ้าของสำมะโนครัว  และเราเป็นผู้อาศัยอยู่ในนั้น แต่จริงๆ ไม่ได้อาศัย เราเป็นผู้ร่วมสำมะโนครัวนั่นแหละ เป็นผู้ร่วมกับพระองค์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

            ในนี้เปรียบเหมือนพระองค์เป็นศีรษะ แล้วเราเป็นกาย ดูร่างกายของเราสิ  พระคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ในร่างกายนี้  แล้วเราคืออวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์

            ความยิ่งใหญ่ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  เราเข้าไปมีส่วน ไม่ใช่เรามีนะ เราเป็นอยู่ พูดง่ายๆ ว่าคุณนครไม่ใช่ศีรษะแค่นี้  แต่ว่านิ้วก้อย ก็คือคุณนครเหมือนกัน ไม่ใช่ฉันมีนิ้วก้อย เป็นอวัยวะนิ้วก้อยของคุณนคร  พระคริสต์เช่นเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ หมายถึงอย่างนี้

            แล้วท่านลองคิดดูสิ  เป็นอยู่แล้วขณะนี้  เป็นอยู่ตรงนี้แล้ว  ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว แล้วมีอะไรที่เอาเราออกไปจากที่นี้ได้ มีอะไรที่กระชากเราออกจากพระคริสต์ได้  พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ที่ท่านอ่านเมื่อสักครู่นี้

            ข้อ 21 ที่สรุปว่า “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป อยู่ในใจที่บาป”

            เห็นไหม? ครั้งหนึ่งเราอยู่ในความมืด  ก็คือก่อนเชื่อ  เราเกิดมา ก็อยู่ในความบาป  ถูกแยกขาดออกจากพระเจ้า ก็คือไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีพลังงาน ความสว่างอยู่เลย  ทุกอย่างแสวงหาด้วยตนเอง  พยายามแสวงหา ทำดีด้วยตนเอง ทำทุกอย่างด้วยตนเอง  พยายามกระเสือกกระสน มีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกเราเป็นแหล่งพลังงานแหล่งชีวิต นี่คือก่อนเชื่อ อ่านข้อ 22 …

        โคโลสี 1:22 “แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

            “แต่บัดนี้ ให้ท่านคืนดีกับพระองค์” เห็นไหมครับ? คือแต่บัดนี้ ให้กลับมาเป็นแสงสว่างเหมือนกับพระองค์ แต่ก่อนนี้ท่านอยู่ในความมืด แยกขาด ตอนนี้กลับมาคืนดี กลับมาอยู่ในแสงสว่าง  ก็คือหลังเชื่อ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ท่านก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่างนี้แล้ว เป็นคำพูด เป็นภาษาเขียนออกมา ที่พูดถึงปัจจุบัน ไม่ใช่พูดถึงอนาคตว่าท่านจะได้ จะเป็น แต่เป็นแล้ว

            ในโลกวิญญาณมีเพียง 2 สถานที่เท่านั้น  ที่ให้มนุษย์เลือกที่จะอยู่อาศัย เลือกได้ครั้งเดียว  คือเกิดมาปุ๊บ อยู่ในความมืด  แล้วแสงสว่าง ก็ส่องมาบนโลกใบนี้  คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์ก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาแสงสว่างไหม? หรือจะอยู่ที่เดิม  จะเอาตัวช่วยไหม? ให้มีชีวิต คือพระคริสต์ หรือจะช่วยตัวเองเหมือนเดิม จะพึ่งพาพระเจ้าไหม? หรือจะพึ่งพาตนเองต่อไป มีแค่นี้เอง  มองภาพง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือมีแค่ 2 สถานที่ และผู้ที่ตัดสินใจ  คือตัวเราเองนั่นแหละ  ตัวเราเป็นคนจัดการเอง  มารไม่มีอำนาจ ไม่มีการพูดถึงเลย  เขาเรียกว่านอกสายตา พระเจ้ายังทำอะไรเราไม่ได้เลย มารจะทำอะไรเราได้ ถ้ามารทำได้ พระเจ้าทำได้มากกว่า จริงหรือไม่จริง พระเจ้าบังคับเราให้มาเอาแสงสว่าง บังคับได้ไหม? ทำถึงขนาดส่งพระบุตรมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย บังคับเราได้ไหม? ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเองว่าเราเลือกที่จะอยู่ในความสว่างหรืออยู่ในความมืดต่อไป มันจึงเป็นสงครามของการโกหก หลอกลวง  และต่อสู้กับความจริงของพระเจ้า ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ จึงเป็นข่าวดีเรื่องความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่ง่ายๆ เอง คือให้เลือกเอาระหว่าง พึ่งพระเจ้าหรือจะพึ่งตนเอง  จะอยู่ในที่มืดหรือจะอยู่ในที่สว่าง จะถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีแสงสว่างนิรันดร์ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าพินาศนิรันดร์ หรือจะมีชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้และต่อไปเป็นนิจนิรันดร์ถึงนิรันดร์เลย

            เรื่อง 2 อาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณ ความมืดและความสว่าง ได้บอกไว้ตลอดมา ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องนี้ตลอดมา ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์มาเกิด จนไปถึงวิวรณ์ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเรื่องนี้เท่านั้น สรุปแล้วมีแค่นี้ มืดกับสว่าง เลือกเอา และพระเจ้าก็ต้องการให้เราเลือกความสว่าง อย่างแน่นอน

            ผมจะยกตัวอย่างข้อความหนึ่ง ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกกันว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้า บอกว่าเราเตรียมแผนการนี้ไว้ แผนการเอาแสงสว่างมาบนโลกอีกครั้งหนึ่ง  เราเตรียมแผนการนี้ คือให้พระคริสต์เข้ามา เป็นแสงสว่างบนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์มีโอกาสได้เลือกด้วยตัวเขาเองว่าเขาจะมาอยู่ในความสว่างหรือไม่? บอกล่วงหน้ามาตลอด นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้า  ก่อนที่พระคริสต์จะมาเกิด แสงสว่างจะเข้ามาบนโลก บอกล่วงหน้าประมาณ 700 ปี ลองฟังดู นี่คือความจริง ที่พระเจ้าส่งความจริงเข้ามาบนโลกใบนี้ ส่งความจริงตลอด ทุกวันนี้ ก็ยังส่งความจริงมาตลอด สรุปทั้งหมด ทุกวันนี้ส่งความจริงมา เพราะว่าพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ส่งความจริงมาที่ข่าวดีเรื่องพระคริสต์

            “ข่าวดีเรื่องพระคริสต์” จึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของเรื่องคริสเตียน  ข่าวประเสริฐของโลกใบนี้ ทั้งใบ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเลย แต่เป็นเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ ข่าวดีในพระคริสต์ 700 ปี บอกก่อนล่วงหน้า ความจริงที่จะเกิดขึ้น อิสยาห์ 60:1-3 …

        อิสยาห์ 60:1-3 “1 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นส่องสว่าง เพราะว่าความสว่างของเจ้า มาแล้ว และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า 2 ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก ความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงปรากฏขึ้นเหนือเจ้า พระเกียรติสิริของพระองค์ ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า 3 ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้า ดั่งรุ่งอรุณของเจ้า”

            นี่เผยพระวจนะบอกล่วงหน้าว่าแสงสว่างจะเข้ามา  ก็คือพระเยซูคริสต์จะเข้ามาบนโลกใบนี้

            “เยรูซาเล็มเอ๋ย” ก็คือชาวยิว ชาวอิสราเอลเอ๋ย ที่พระเจ้าเตรียมแผนการไว้  ผ่านทางชาวยิว เพื่อจะให้พระเยซูคริสต์มาเกิด พระเยซูคริสต์ คือแสงสว่าง

            “จงลุกขึ้นส่องสว่างเลย  เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว  พระเกียรติสิริของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า”  ก็คือพระเยซูคริสต์จะมาเกิด

            “ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก และความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ”  คืออยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งใบ  เกิดมา ก็อยู่ในความมืดแล้ว คือความจริงที่พระเจ้าบอก เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ

            “แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นแสงสว่างที่ส่องเข้ามาอยู่บนโลกใบนี้

            “พระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” ก็คืออยู่ท่ามกลางประชากรชาวอิสราเอล

            “ประชาชาติทั้งหลาย” พูดถึงทั้งโลกเลยนะ รวมทั้งคนไทยด้วย  “ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า” ก็คือจะมายังพระเยซูคริสต์ที่เกิดจากชนชาติยิว

            “บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้า ดั่งรุ่งอรุณของเจ้า” คือพระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่างที่เข้ามาฉายบนโลกนี้ และสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            หลังจากเผยพระวจนะนี้ 700 ปี พระเยซูคริสต์ก็มาเกิด ก็คือแสงสว่างมาเกิด  ส่องมาบนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ส่องมาบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว

            มวลมนุษย์และโลกเคยอยู่ภายใต้ความมืดอย่างเดียวเลย  ไม่มีความสว่าง แต่บัดนี้ความสว่างเข้ามาแล้ว 2,000 ปีแล้ว รับความสว่างนั้น ทำอย่างไร?  ต้องรักษาศีลธรรมดีขนาดไหน?  ต้องรักษาความประพฤติขนาดไหนถึงจะได้ตรงนี้ ท่านก็ทราบดีแล้ว จึงเรียกว่าข่าวดี ก็คือแค่ตัดสินใจ ย้ายข้าง แค่ตัดสินใจรับความสว่าง แค่ตัดสินใจเปิดใจต้อนรับความสว่างแค่นั้นพอ

            “เปิดใจต้อนรับแสงสว่างแค่นั้นพอ”

            แสงสว่าง คือพระคริสต์  เปิดใจต้อนรับพระคริสต์ แค่นั้นพอ พระเยซูคริสต์มาเคาะประตูอยู่หน้าบ้านตลอดเวลา ประตูใจอยู่ตลอดเวลา 2,000 ปีมาแล้ว  ก็คือแสงสว่างส่องเข้ามาตลอดเลย แต่มนุษย์อยู่ในโลกของความมืด ในโลกวิญญาณ แต่แสงสว่างอยู่รอบตัวเขาอยู่แล้ว เพียงแค่เขากดสวิตช์เปิด ความสว่างเข้าไปทันที พระเยซูคริสต์เข้าไปทันที เกิดใหม่ทันทีเหมือนเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่สิ่งเหล่านี้จับต้องมองไม่เห็น พระเจ้าจึงให้เราใช้ความเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ใช่ใช้ตามองเห็น

            พอเปิดเข้ามาปุ๊บ พระคัมภีร์บอกท่านได้ตัดสินใจย้าย  พระเจ้าได้ย้ายท่าน ตัวเก่าตายไปเลยทันที ตัวใหม่ท่านได้ถูกย้ายมาที่เดิม  จากความมืดออกมาสู่ความสว่างในพระคริสต์ทันที  1 เปโตร 2:9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:9 “แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืด เข้าสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์”

            เห็นไหมครับ? นี่พูดถึงปัจจุบันขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รับแสงสว่างจากพระคริสต์เข้าไปในชีวิตของเขาเรียบร้อย ได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นตรงนี้แล้ว แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง

            ปุโรหิตหลวง คือตระกูลของพระเยซูคริสต์นั่นเอง มีตำแหน่งหน้าที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย ปุโรหิตหลวง คือผู้บริสุทธิ์สูงสุดที่จะเข้าออกกับพระเจ้าได้สนิทสนมมากๆ เลย

            “เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

            คำว่า “ประกาศราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” คือท่านเป็นแสงสว่างของพระเจ้า เดินไปที่ไหน? เป็นแสงสว่างอยู่ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ท่านเป็นแสงสว่างอยู่ขณะนี้แล้ว เอเมน ไม่ใช่ว่าท่านมาเชื่อแล้ว ท่านต้องพยายามออกไปประกาศความยิ่งใหญ่ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? อันนั้นทีหลัง แล้วแต่ว่าพระวิญญาณจะนำท่านได้มากน้อยเพียงใด  ก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่มันเป็นขึ้นในโลกวิญญาณ คือทันทีเลย ท่านได้เป็นแสงสว่าง ซึ่งคือพระสิริอันยิ่งใหญ่  อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำให้กับมนุษย์ทั้งหลาย คือทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่  เข้าไปในพระคริสต์ เข้าไปในแสงสว่าง อันมหัศจรรย์ของพระองค์ มันเกิดขึ้นทันที โดยการบังเกิดใหม่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นเลย ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้ามา 2 ปี 3 ปี หรือ 1 ปี หรือเพิ่งเชื่อเมื่อวานนี้ก็ตาม ท่านเป็นดวงสว่างเท่าๆ กันหมดเลย  เป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์เหมือนกันเลย ส่วนความประพฤติจะไปประกาศแบบมนุษย์อย่างไร? ก็แล้วแต่พระวิญญาณจะนำท่านไป ท่านเข้าใจใช่ไหม?

            ผมต้องการให้ท่านได้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราทุกคน โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดใหม่แล้ว  เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไหม?

            “ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์” อันล้ำเลิศของพระองค์ คือความอัศจรรย์ อันยิ่งใหญ่สูงสุด  อันมหัศจรรย์ อันเหลือที่จะเข้าใจ เหลือที่จะคิดเลย เกิดเลย  เพราะฉะนั้น เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำท่านเอง ไม่อย่างนั้น เราอาจจะถูกหลอกต่อว่าให้เราปั่นไฟต่อ เราปั่นไฟต่อ เราก็ไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างแท้จริง  เรานึกว่าเราประกาศอยู่ แต่มันขวางความจริง คือเรายังเพ่ง เน้นถึงการกระทำให้มันสว่าง  เราต้องรับรู้เสียก่อนว่าเราสว่างแล้ว  เรากำลังทำอะไรก็ตาม ที่สมกับฐานะความสว่างของเรา มันกลับกัน นี่คือข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐที่เสียหายไป ก็คือเราจะเป็นความสว่าง จะสว่างมากขึ้น เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว จะสว่างมากขึ้น จะต้องทำอะไรเยอะขึ้น มากขึ้น จะต้องรักษาเนื้อตัวให้ดี เพื่อจะได้สว่างมากขึ้น มันไม่ใช่อย่างนั้น นั่นคือข่าวประเสริฐไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ข่าวประเสริฐมันง่ายหรือยาก คือวางใจในพระเจ้า  100% หรือยังพึ่งพาในตนเองอยู่

            สำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับแสงสว่าง ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าทุกวันนี้พระเจ้ากำลังขอร้องให้ท่านกลับมาหาพระองค์ซะ กลับมาคืนดีกับพระองค์ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้  “กลับมาคืนดี”

            กลับมาคืนดี แปลว่ากลับมาเป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์ กลับมาเป็นอะไรก็ตามที่เข้ากันได้กับพระองค์แล้ว กลับมาเป็นลูกของพระองค์ กลับมาบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระองค์ กลับบ้านแห่งแสงสว่าง นี่เป็นตำแหน่ง  สถานที่ที่เราควรที่จะอยู่ ที่เป็นไปตามน้ำพระทัย ความประสงค์ของพระเจ้า  ก็คือเราอยู่ในแสงสว่างของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง พระองค์ขอร้อง

            สำหรับเราคริสเตียน ที่ได้เปิดใจต้อนรับแสงสว่างแล้ว ทำอย่างไร? ลองคิดสิ เพราะเรารู้เรื่องจริง เรื่องนี้แล้ว  เรื่องข่าวประเสริฐนี้แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเปิดใจแล้ว เรารับรู้เรื่องความจริงนี้แล้ว หน้าที่ของเรา เราควรจะทำอะไร? หลายคนคิดว่าหน้าที่ของเรา ต้องอธิษฐานเยอะๆ ต้องถวายเยอะๆ  ต้องมารับใช้เยอะๆ ต้องอันโน้น ต้องอันนี้ อีกหลายต้อง ต้องอดอาหารอธิษฐานเยอะๆ ต้องอ่านพระคัมภีร์มากๆ  ไม่ใช่ไม่ดีนะสิ่งเหล่านี้  แต่คิดให้ดีๆ ว่าในโลกใบนี้ เขาสอนกันอย่างนี้ใช่หรือไม่?  ไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐเขาสอนกันแบบนี้  ให้ทำอันโน้นอันนี้  ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้  อย่าทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ แต่ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น บอกว่าอย่างไร?

            เราเป็นคริสเตียนแล้ว  เราเริ่มรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว หน้าที่ของเรา คือจงรับรู้เถิดว่า … จงมองให้เห็นเถิดว่าความจริงมันอย่างนี้  ท่านไม่รู้ความจริงหรือ? จงรู้ความจริงเสียเถิด ข้าพเจ้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าทุกวัน เพื่อท่านทั้งหลาย จะได้เรียนรู้ความจริงที่เกิดขึ้น ในอาณาจักรของพระคริสต์ ที่ท่านได้อยู่นั่นแล้ว  ท่านได้นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านอยู่ที่ตรงนี้แล้ว ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้า เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้สติปัญญาท่านฝ่ายวิญญาณ และสำแดงความรู้ทางฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน  เพื่อท่านจะได้เรียนรู้จักตรงนี้มากขึ้นๆ ทุกวันๆ  ซึ่งต่อให้จบถึงวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ ก็ไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ได้หมดหรอก แต่อย่างน้อย ก็ได้รู้มากขึ้น มากขึ้นเท่าไร? ก็คือท่านกำลังประกาศพระบารมี ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือจงรับรู้เถิดคริสเตียนเอ๋ย ท่านอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในความยิ่งใหญ่  ความอัศจรรย์อันล่ำเลิศ จนกระทั่งไม่สามารถจะเข้าใจได้ เรียนรู้ความจริงนี้ได้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ รับรู้ว่าท่านอยู่ในความสว่าง ความยิ่งใหญ่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานแล้วจริงๆ แล้วจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงนิรันดร์ จงยึดมั่นความจริงนี้ไว้ถึงที่สุด ภาษาพระคัมภีร์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Fight a good fight of faith มันเป็นคำที่เขาชอบเอาไปใช้กันหมด แต่เขาเอาไปใช้ในแบบโลกนี้ คือต้องรักษาความเชื่อให้สูงสุดเลย เพื่อที่จะได้วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ได้ความแข็งแรง ได้ความร่ำรวย  ได้ความสำเร็จบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่ตรงนั้น

            Fight a good fight of faith คือฉันยึดมั่นความจริงนี้ว่าฉันอยู่ในความสว่าง  อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม  นี่คือความจริง

            ซึ่งการยึดมั่นในความจริงไว้ที่สุดนี้ มันเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์ของพระเจ้า ประกาศความรักของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ด้วยชีวิตของท่าน และเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงนั่นเอง ที่พระเยซูบอก

            นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือการรับรู้ในจิตวิญญาณถึงความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ที่ระบุไว้ เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข เคารพ บูชา ยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก หรือสัมผัสได้ด้วยมือหรือตามองเห็น  หรือเหตุผลของมนุษย์

            มันแปลว่าอย่างนั้น นี่คือหน้าที่ของเราคริสเตียน  เช่น พระเจ้าบอกว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เราก็รับรู้ในวิญญาณจิตของเราว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ และเราก็บอกว่าเอเมน  เราคุ้นหูบ่อย แต่เราใช้ผิด เอเมน

            เอเมน แปลว่าใช่ เป็นไปตามนั้น  อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ เลย ไม่มีคำว่าแต่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม  จะทุกข์หรือสุข กำลังโกรธหรือกำลังยินดีก็ตาม กำลังหงุดหงิดหรือกำลังมีสันติสุข  ความสุขก็ตาม กำลังอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย อารมณ์ไม่ดีก็ตาม เราก็รับรู้ว่าความจริง คือเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกไว้นั่นแหละ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่สัมผัสได้ ไม่ใช่ความรู้สึก ตรงนี้ต้องฝึกเอา ตะกี้เอเมนว่าเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่างแล้ว เราเป็นความรัก เดี๋ยวออกไป แดดก็ร้อน ลูกก็ร้องไห้หิวข้าวอีก ชักหงุดหงิดขึ้นมา ลืมไปแล้วว่าเราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก พูดออกไป คนข้างๆ ก็บอก …

            “นี่เธอยู่ในความรักหรือ?  ทำตัวอย่างนี้”

            ก็ต้องตอบว่า “เอเมน ฉันยังอยู่ในความรัก” แต่ตอนนี้เนื้อหนังมันเกิดขึ้น มันหงุดหงิด ในขณะหงุดหงิดนั้น ยังอยู่ในความสว่างหรือเปล่า?  เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์อยู่หรือเปล่า? เป็นความรักไหม?  เป็นความสว่างไหม? นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานหรือไม่?  เราก็บอกเอเมน มารก็กระซิบข้างหู ส่งกระแสเข้ามาข้างหูเรา บอกว่า …

            “นี่หรือ ลูกพระเจ้าเป็นอย่างนี้หรือ?  อะไร แค่นี้ก็อดทนไม่ไหวแล้ว จะไปทำอะไร”

            เราก็ยังคงยืนยันตอบไปว่า “เอเมน ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น”

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าบอกเราว่า …

            “เราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง  ไม่มีความมืดในเราเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือไม่มีความชั่วร้ายในเราเลย ไม่มีความเลวทรามในตัวเราเลย ไม่มีความสกปรกโสโครกในตัวเราเลย  ไม่มีความชั่วเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีความเกลียดชังในตัวเราเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง” เขินปากไหม? เขินน่า ยังใหม่ๆ อยู่ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ

            “เราเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว”

            “เอเมน”

            เอเมน ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร? เอเมน

            “เราเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดนิรันดร์”

            “เอเมน”

            นี่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้น  มันเป็นอย่างนี้  เราก็น้อมรับ นมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริงว่าเอเมน พอท่านเอเมนเมื่อไร? ตามถ้อยคำพระเจ้าท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ท่านกำลังบอกพระเจ้าว่า … “ใช่ มันเป็นเช่นนั้นแหละ”

            สำหรับพี่น้องที่ยังไม่เปิดใจ ก็อยากจะเรียนให้ท่านทุกคนว่าท่านยังมีโอกาสอยู่ จนวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านตัดสินใจย้ายข้าง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงพร้อมแล้วอยู่ที่หน้าบ้าน พร้อมที่จะเข้าไป แสงสว่างพร้อมที่จะฉายเข้าไปในใจของท่าน  ขอให้เปิดใจเถิด พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ได้รับความรอด อัครทูตเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อที่ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องความรอดนี้ว่า …

            1 โครินธ์ 1:14-16 … “14 ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมา  (ในน้ำ ) แก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมา (ในน้ำ ) เข้าในนามของข้าพเจ้า 16 ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา  (ในน้ำ) แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า ได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ ) แก่ใครอีก)”

            เพราะพิธีบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยใครให้รอดจากการเป็นคนบาป

            1 โครินธ์ 1:17 … “เพราะพระคริสต์ ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา  (ในน้ำ ) แต่เพื่อให้ ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            แต่ข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายต่างหาก ที่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้คนที่เชื่อในข่าวดีนี้ ได้รับความรอดจากการเป็นคนบาป บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            โรม 1:14-16 … “14 ข้าพเจ้ามีพันธะหน้าที่ต่อทั้งชาวกรีก และผู้ที่ไม่ใช่กรีก  ต่อทั้งคนมีปัญญาและคนเขลา 15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอดโดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดใด หรือกระทำสิ่งใดใดเพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1460

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มีนาคม  2024

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 35

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อหนังสือเอเฟซัส 6:9 …

        เอเฟซัส 6:9 “ผู้ที่เป็นนายจงปฏิบัติต่อทาสในทำนองเดียวกัน    อย่าข่มขู่เขาใน เมื่อรู้อยู่ว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายทั้งของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงลำเอียงเข้าข้างใคร”

            คราวที่แล้วเราพูดถึงลักษณะการดำเนินชีวิตที่พระเจ้า บอกผ่านอาจารย์เปาโลว่าเมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสถานะไหน? ก็ให้เราอยู่ในสถานะนั้น  อย่าคิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สถานะความเป็นอยู่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเปลี่ยนไป หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว เราไม่เป็นทาสของความบาปและความตายแล้ว แล้วก็นำเอาเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

            สมัยก่อนพระคัมภีร์ตรงนี้ มีการค้าทาสอยู่ มีคนที่ตกเป็นทาสของเจ้านายเยอะแยะมากมาย  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าตรัสสอนว่า ถ้าท่านอยู่ในสถานะเป็นทาส ก็ให้เป็นทาสต่อไป  แต่ว่าให้ดำเนินชีวิตที่ดี ทำดีกับเจ้านายของตัวเอง  อย่าคิดว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้เราไม่ได้กลายเป็นทาส

            แต่อีกนัยหนึ่ง คือถ้าพระเจ้าจะทำ พระองค์ทำได้ แต่ไม่ได้เป็นความต้องการของเราเองที่พยายามถีบตัวเองให้หลุดจากการเป็นทาส ฉะนั้น ให้เราอยู่ในสถานะอย่างนั้นแหละ  ตามที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา

            มาข้อที่ 10 เป็นข้อที่สำคัญมากๆ ในหนังสือจดหมายฉบับนี้ …

        เอเฟซัส 6:10 “สุดท้ายนี้จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า  และในฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลบอกว่า “จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายความว่ามันเป็นเรื่องของวิญญาณข้างใน ที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเราแล้ว  ข้างในวิญญาณเราเข้มแข็ง ตัวเราเองจะอ่อนแอก็ไม่เป็นไร แต่ว่าให้รับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานความเข้มแข็งให้กับพวกเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ข้อ 11 …

        เอเฟซัส 6:11 “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า  เพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมารได้”

            ในหนังสือตรงนี้ อาจารย์เปาโลย้ำกับคนเอเฟซัส เพราะว่าช่วงนั้นจะมีการโกหกหลอกลวงเยอะแยะทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในคริสตจักรของพระองค์ ในขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่ในยุคเดิมเท่านั้น  ในยุคของเราปัจจุบันก็มีโอกาสที่จะถูกส่งข้อมูลที่มันไม่ได้เป็นไปตามความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามาในเราเหมือนกัน ฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจำเป็นจะต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมาร  มารมีแผนทำอะไร? พระคัมภีร์บอกเราแล้ว มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ลักเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเรา ฆ่าเราโดยการส่งคำโกหกหลอกลวงเข้ามา ในสมองของเรา  เพื่อเราจะได้คล้อยตามมัน ทำลายทุกอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น ซึ่งจริงๆ เราเป็นอยู่แล้ว ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นผู้ชอบธรรม เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แต่มารจะพยายามส่งข้อมูลเข้ามาในสมองของเราว่า …

            “ไม่จริงหรอก เรื่องเหล่านี้เรายังไม่ได้รับหรอก ต้องรอก่อน รอให้ตายจากโลกนี้ไป เราค่อยไปรับ”

            แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้รับสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระองค์มันเป็นอย่างนั้น ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ทำไมพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้ ในขณะที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้  ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ยิ่งใหญ่  ทำไมพระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พระคำของพระองค์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่นี้ ที่วันหนึ่งจะต้องตายจากไป  แต่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นวิหารของพระเจ้าได้ เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            ถ้าร่างกายเรายังสกปรกอยู่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ไม่ได้ ถ้าพระองค์เข้ามาอยู่ปุ๊บ เราตายทันที จำได้ใช่ไหมกฎพระคัมภีร์เดิม มนุษย์เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ เข้าใกล้ปุ๊บ ตายทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่พวกเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ซึ่งพระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย ร่างกายที่ยังเป็นร่างกายเดิม แต่ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

            ฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานที่มาลัก ฆ่าและทำลาย พยายามที่จะส่งข้อมูลมาบอกเราว่าไม่จริงหรอก พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับเราได้ ถ้าเผื่อเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่อยู่กับเราแน่ๆ  พระเจ้าก็จะลอยไปจากชีวิตของเรา  ซึ่งความเป็นจริง คือมันโกหกเรา ทำให้เรากลัวที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ใกล้พระเจ้าอยู่แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำผิดแค่ไหนก็ตาม  พระเจ้ายังคงสถิตอยู่ในท่าน นี่คือความจริง ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้บังเกิดใหม่ ก็คือสมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ให้ทำตัวให้ดีๆ หน่อย  แต่ไม่ว่าเราจะทำตัวได้ดีหรือไม่ดีขนาดไหนก็ตาม  พระเจ้าก็ยังคงรับเราเป็นลูกของพระองค์ เพราะการเป็นลูกของพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการประพฤติดีของเรา  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติเลย  แต่มาจากความเชื่อ  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า  เชื่อในพระโลหิตไถ่ของพระองค์ว่าชำระล้างความผิดบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่บาปอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า ที่เรามีโอกาสทำอีก เราปฏิเสธไม่ได้เลย มีใครกล้าที่จะยกมือบอกว่าหลังจากเชื่อพระเจ้า เราไม่เคยทำผิดเลย โกหก ไม่จริง พระเยซูบอกว่าแค่คิดไม่ดีก็บาปแล้ว หรืออะไรก็ตามที่เราคิดว่าดี แล้วเราไม่ทำ ก็บาปแล้ว ถ้าใช้กฎเดิม คือพระคัมภีร์เดิม มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เพราะทำผิดครั้งเดียว ถือว่าผิดหมด ต่อให้มนุษย์จะทำดีขนาดไหน? ทำดีได้ 99.99% ทำบาป 0.000001% ท่านก็บาปแล้ว  ตายลูกเดียว

            ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการประพฤติดีของมนุษย์เอง  นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปด้วย เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเชื้อของบาปอยู่เลย แล้วพระองค์ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถตายพร้อมกับพระองค์ ถ้าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราไม่ตาย เราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้

            ฉะนั้น วิญญาณบาปของเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว จะบอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  คือทุกอย่างสำเร็จแล้ว  เพียงแต่ว่าเรารับรู้ความจริงเมื่อไรก็ตาม เราก็จะได้รับผลตรงนั้นทันที ซึ่งพระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

            ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยพิธีบัพติศมา ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกัน แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราทุกคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นพลเมืองของสวรรค์ เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริงทั้งหมด ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าเขียนไว้ว่าพระพรนานัปการ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือมนุษยชาติทั้งหลาย มีหน้าที่ทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับเอาของขวัญนี้ ไปเป็นของเรา พระเยซูให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดี ทำไม่ดีอะไรของเราเลย ไม่เกี่ยวกัน

            หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าก็ยังไม่บังคับเราอีก แต่พระเจ้านำเสนอ บอกกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว  อันนี้เป็นการนำเสนอ หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  จะเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา แล้วเป็นผู้ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถพัฒนาชีวิตของตัวเราเองให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริง หรือสอดคล้องกับธรรมชาติใหม่ ที่พระเจ้าได้เปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว จะมากหรือน้อยไม่เป็นไร ให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถพัฒนาความเป็นเหมือนพระเจ้าได้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อที่ 12-13 บอกว่า …

        เอเฟซัส 6:12-13 “12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ 13 ฉะนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดรับมือได้ เมื่อถึงวันอันชั่วร้าย และหลังจากท่านได้ผ่านทุกอย่างแล้ว ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ได้”

            เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น มารซาตานส่งข้อมูลการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ มันจะส่งเข้ามาตลอดเวลา ที่ความคิดของเรา ฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ คือสนามรบ หรือจะเรียกว่าเป็นศูนย์บัญชาการรบของมนุษย์คนนั้น ฉะนั้น หน้าที่ของมารที่ทำงานผ่านใครก็ได้ ที่เราอ่านเมื่อกี้ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพผู้มีอำนาจ ก็คือสิ่งเหล่านี้เขาทำผ่านมนุษย์ ส่งข้อมูลมา ให้เราเชื่อตามมัน ฉะนั้น ตรงความคิดของเรา ถ้าเราคล้อยตามมัน เราก็จะประพฤติตามมันด้วย แต่ถ้าเรามีถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  เรียกว่ายึดพื้นที่ในความคิดของเรา เมื่อไร? เราก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราก็จะเป็นผู้ชนะ การรบตรงนี้ ไม่ใช่เป็นการรบว่าเราต้องไปสู้รบปรบมือ ทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้ แค่เรารู้ความจริงแล้ว เราไม่ยอมมัน

            สมัยก่อน  ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่ยอมมัน ก็ต้องยอม นึกออกไหม? เราไม่มีกำลังพอ ที่จะต่อต้านขัดขืน ไม่มีกำลังพอที่จะพยายามทำสิ่งที่เราเรียกว่าทำความดีได้ ทำดีเดี๋ยวก็ล้ม เดี๋ยวก็ทำชั่ว แต่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ สิ่งที่มันไม่เหมือนกัน คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา  เรามีพลังอำนาจเพียงพอที่จะต่อต้านมัน คือไม่ยอมมัน คำว่า “ต่อต้าน” คือไม่ยอม ไม่ใช่ต่อต้าน โดยการไปถือดาบ ถือปืน ไปไล่วิ่ง ไม่ใช่ ต่อต้านด้วยวิธีไม่ยอม คำว่า “ไม่ยอม” หมายความว่าเราสามารถยืนอยู่ตรงที่ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ข้อที่ 14 บอกว่า …

        เอเฟซัส 6:14 “ด้วยเหตุนี้  จงยืนหยัดมั่นคง โดยคาดเอวด้วยเข็มขัดแห่งความจริง สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม”

            ความจริงเรื่องอะไร? ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  ความจริงที่พระเจ้าบอกเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ความจริงที่ว่า ณ เวลานี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  และพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย  พระเยซู ณ เวลานี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง

            “สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม” ในหนังสือเอเฟซัส อาจารย์เปาโลพยายามพูดให้คนในยุคนั้นได้เข้าใจ คนยุคนั้น ไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้ถ้าเราจะสู้กัน เราจะฆ่าใครสักคน เราก็เอาปืนยิง ไม่อย่างนั้น เราก็ปล่อยจรวดปรมาณู แต่ว่าในยุคของเอเฟซัสตอนนี้ เขาสู้รบแบบโบราณ คือใส่ชุดเกราะ เวลาศัตรูยิงธนูมา ก็มีโล่ป้องกัน  ฉะนั้น เป็นภาพที่ให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นการสู้รบ แต่เป็นการสู้รบในโลกวิญญาณ

            ความชอบธรรมที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ใส่เข้าไปในร่างกายของเรา  เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูยิงธนูเข้ามาใส่เราได้ ป้องกัน ในขณะที่โลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานนั่นแหละ ส่งข้อมูลแห่งการโกหกหลอกลวง เข้ามาที่ความคิดของเรา  เหมือนยิง การโกหกหลอกลวงเข้ามา เราอย่านิ่งเฉย ยิงกลับไป ด้วยถ้อยคำของพระเจ้า  ถ้าเขาโกหกเราว่าตอนนี้ เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? เราบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าจะสถิตอยู่ในเราได้อย่างไร? ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา ทำไมเรายังทำบาปอยู่ นั่นแหละ คือการโกหกแล้ว เราก็เริ่มสงสัย …

            “จริง ถ้าพระเจ้าอยู่ในฉัน ฉันทำบาปได้อย่างไร? มันไม่น่าเป็นไปได้”

            แต่ความเป็นจริงที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้ว เราไม่ได้ทำบาปเลย แต่ที่เราทำบาป เพราะเราถูกหลอก มันเป็นปรสิต ไม่ใช่ตัวเรา มันหลอกให้เราไปคล้อยตามมัน ทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ฉะนั้น เรายังคงยืนกรานเหมือนเดิม ในขณะที่เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วโลกนี้พยายามส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเราว่า …

            “พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอแย่แน่เลย ถ้าเธอจากโลกนี้ไป เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ เลย นิสัยแบบนี้ ทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”

            เราทำอย่างไร? เขายิงธนูมาใช่ไหม? เราเอาโล่ป้องกัน โล่ คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเราก็ยิงธนูกลับไปเลย  เราไม่ต้องเกรงใจนะ ยิงกลับไปเลยว่า …

            “ฉันไม่เชื่อแกหรอก  เพราะพระเจ้าบอกฉันว่าอย่างนี้”

            เราควรจะเชื่อพระเจ้า หรือเราควรจะเชื่อคำโกหกหลอกลวง

            “พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นลูกที่รัก เป็นดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่ในฉัน  พระเจ้าจะคอยดูแลฉัน นำพาย่างเท้าของฉัน แม้บางครั้ง ฉันอาจจะหลงไปเชื่อฟังแก ไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็ลุกขึ้นมาใหม่ เพราะว่าการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของฉันไปได้  ฉันยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย พระเจ้าไม่ทิ้งฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร พระเจ้าอยู่ในฉัน” นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

            แล้วเมื่อเรายืนหยัดอยู่ตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถทำลายป้อมปราการของผีมารซาตานผ่านทางมนุษย์ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา  ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้มันสามารถผ่านทางบุคคล หรือสามารถผ่านทางคริสเตียนด้วยกัน ด้วยซ้ำไป สามารถผ่านทางคนที่ไม่เชื่อ ผ่านทางข่าวสารต่างๆ  ที่เราไปเสพมัน ก็คือเราไปอ่านข่าวสาร อ่านข้อมูลอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่พระเจ้าบอกเรา เราปฏิเสธไปเลย ไม่ต้องรับ ยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ แล้วไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังความตาย เราจะไม่รอด  เราจะไม่สามารถไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าได้ อันนั้น เขาก็โกหกเราอีก เพราะว่าพระเจ้าบอกเราว่าเราอยู่ที่สวรรค์ ตั้งแต่ขณะนี้แล้ว ตอนที่เราตัวเป็นๆ อยู่นี้  เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริง

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะสามารถช่วยเรา ผู้เชื่อทั้งหลายที่จะผ่านพ้นการโกหกหลอกลวงทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมอง หรือในความคิดของเรา  ข้อ 15 …

        เอเฟซัส 6:15 “สวมรองเท้า   ที่ทำให้พร้อมประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข”

            ตรงนี้หลายคนกำลังเข้าใจผิด คิดว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องสวมรองเท้าแล้วออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้านะ ต้องออกไปทำนะ แล้วบางคนเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดไว้ว่า …

            “ข้าพเจ้าต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ”

            เอาข้อพระคัมภีร์ข้อนี้มาขู่คริสเตียน  ทำให้ทุกคนตกใจ  แย่แล้ว ถ้าฉันไม่ประกาศ  ฉันตายแน่ๆ เลย  เป็นวิบัติแน่ๆ เลย พี่น้อง เวลาเราอ่านถ้อยคำของพระเจ้า เราต้องอ่านบริบทให้ดีๆ  อ่านว่าถ้อยคำตรงนี้ พระเจ้ากำลังพูดกับใคร? แล้วอยู่ในช่วงเวลาไหน?  อย่างไร?  ตามถ้อยคำพระเจ้าพูดกับเราทุกคนหรือ? ไม่ใช่ แต่ถ้อยคำที่พระเจ้าพูดกับพวกเราทุกคน มีอยู่ในหนังสือยอห์น 3:16-18 นั่นพูดกับพวกเราทุกคน …

            “ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์” นี่พูดกับทุกคนนะ  ทุกคนจะได้หมด ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะได้รับความรอด ทุกคนได้เหมือนกัน แล้วถ้าใครไม่เชื่อ เขาก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว  สำหรับคนที่เขาไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเขาเลย เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า สืบเนื่องจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ฉะนั้น มีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ก็คือมาย้ายที่อยู่ใหม่ ย้ายจากอยู่ในอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือย้ายจากการพึ่งพาการกระทำดีของตัวเราเอง มาพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้ามีแค่นั้นเอง

            ฉะนั้น คำว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ” บริบทตรงนี้ พระเจ้าพูดกับอาจารย์เปาโลคนเดียว แล้วอาจารย์เปาโลถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งการประกาศกับคนต่างชาติในยุคนั้น  ยุคต้นๆ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ยังอยู่ในการข่มเหงทุกรูปแบบ ซึ่งชาวยิวจะข่มเหงคริสเตียนมากๆ ใครที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาบอกว่าพวกนี้กบฏกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น เขาจะคอยต่อต้านตลอดเวลา คนที่ต่อต้านหนักที่สุด คืออาจารย์เปาโลเองนั่นแหละ ต่อต้านทุกรูปแบบ แต่วันที่อาจารย์เปาโลได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือจะว่ากัน พระเจ้าเปิดตาใจให้อาจารย์เปาโลเห็นความจริงว่าความจริงแล้ว พระเจ้าได้ทำอะไรกับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือเป็นแผนการที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าเราจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ

            ฉะนั้น เมื่ออาจารย์เปาโลเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  พระเยซูสั่งอาจารย์เปาโลคนเดียว อัครทูตคนเดียวเท่านั้น ที่ถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ส่วนสาวกคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเปโตร ยากอบ ยอห์น พระเยซูคริสต์ให้เขาประกาศกับคนยิว  แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดความจริงตรงที่ว่าจริงๆ แล้วข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้มาถึงคนยิวก่อน คือประกาศกับคนยิวก่อนเลย แต่เพราะคนยิวไม่เชื่อ พระเจ้าก็บอกว่าไหนๆ ไม่เชื่อ เอาไว้ก่อน งั้นข่าวดีนี้ให้ไปถึงคนต่างชาติ แล้วหลังจากนั้นค่อยมาประกาศใหม่ คนยิวจะรับเชื่อหรือไม่รับเชื่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ แต่ว่าข่าวดีของพระเจ้า จะถูกประกาศออกไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็คือคนต่างชาติ ซึ่งคนยิวดูถูกเหยียดหยามมาก คนยิวถือว่าคนต่างชาติเป็นเหมือนหมู เป็นเหมือนหมา ก็คือไม่สามารถมาเทียบระดับกับเขาได้เลย  เขาโกรธมากที่อาจารย์เปาโลประกาศว่าข่าวดีของพระเจ้าจะถูกประกาศไปถึงคนต่างชาติ  แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศจริงๆ กับคนที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลจากการที่เป็นคนที่คนยิวนับหน้าถือตา กลายเป็นว่าเป็นศัตรูกัน คนยิวไล่ล่าฆ่าอาจารย์เปาโลทุกเวลา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเสี่ยงมาก เสี่ยงกับความตายทุกวัน มีถ้อยคำที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า …

            “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” ก็คือมีโอกาสได้ตายทุกวัน เจอแจ็กพอร์ต โดนฟันตายเลย  เพราะว่าในยุคนั้น คนยิวเขาโกรธอาจารย์เปาโลมากๆ แต่ว่าทุกครั้งที่อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีของพระเจ้า อาจารย์เปาโลก็ยังพูดเหมือนเดิม

            “ข้าพเจ้าถูกเรียกมาให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ

            น้ำพระทัยของพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้คนต่างชาติได้มีโอกาสเข้ามารับข่าวดีของพระเจ้า เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวยิว ก็คือเป็นพลเมืองของพระเจ้า  เหมือนกับชาวยิวเลย ยิ่งไม่ไหว  โกรธ มันไม่ได้ คือคนต่างชาติจะมาเป็นระดับเดียวกันกับเราไม่ได้เลย แต่ความจริง คือพระเจ้ากำหนดไว้อย่างนั้นแล้ว แล้วอาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ท่านไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ประกาศ ต่อให้ท่านไม่ชอบ เรื่องท่าน ท่านจะฆ่าเรา ก็เรื่องท่าน มีปัญญาฆ่า ก็มาฆ่าไปเลย  ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ให้ใครคนหนึ่งคนใดตาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้นะ  เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่า …

            “นกกระจาบ 2 ตัว เขาซื้อบาทเดียวนะ แต่ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ไม่มีใครยิงนกตัวนั้นตายได้เลย”

            พระเยซูกำลังพูดอะไร? กำลังบอกความจริงว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่สิ่งที่พระเจ้าทำ คือพระเจ้าไม่บังคับ เราอยากให้พระเจ้าบังคับเรามากๆ เลย แต่พระเจ้าไม่บังคับ ถ้าพระเจ้าบังคับเรา เราก็ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้ากดรีโมตให้เราเชื่อฟังๆ จงเชื่อฟัง เราก็ตามนั้น เหมือนหุ่นยนต์ เราก็โอเคๆ เชื่อฟังๆ แต่พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่อดีต อาดัมเอวา จนถึงทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ แม้เราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจริงๆ เราไม่สามารถหือได้เลย  ชีวิตเราไม่มีแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตเรา แต่พระเจ้าก็ยังคงความเป็นพระองค์เอง  ก็คือให้อิสรภาพกับมนุษย์ กับผู้เชื่อ ให้ตัดสินใจว่ามนุษย์คนนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่?  หรือเขาจะดื้อกับพระองค์ ดื้อกับพระองค์ ก็คือรับข้อมูลจากข้างนอก  คำโกหก หลอกลวงที่ถูกส่งเข้ามา แล้วก็คล้อยตามมัน  หรือจะรับข้อมูลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในผู้เชื่อเหล่านั้น แล้วก็คล้อยตามที่พระเจ้าบอก

            ฉะนั้น สนามรบที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือความคิด ถ้าความคิดเราจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตคล้อยตามพระเจ้า ให้สมกับที่เราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นจริง หรือตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปได้มากขึ้นๆ ทุกวัน แต่ถ้าเรายอมระบบของโลกนี้  การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วเราคล้อยตาม เราก็จะทำตามระบบของโลกนี้เช่นเดียวกัน  แต่ว่าถ้าเราเผลอทำตาม ยังคงบอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าพระเจ้ายกโทษให้กับเราทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องมาขออภัยนะ  วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เวลาเราทำไม่ถูกต้อง พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม 2 กฎใช่ไหม?  กฎทั้งวิญญาณ กฎทั้งบนโลกใบนี้ ถ้าเราทำไม่ถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระองค์ มันก็จะมีกฎของโลกนี้ พิพากษาเราเอง

            ฉะนั้น หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ในจดหมายฝาก เขียนคำว่าพิพากษาเมื่อไร? ถ้าเป็นเรื่องของร่างกายบนโลกใบนี้  เราจะถูกพิพากษา เพราะว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดี คนที่พิพากษาเรา คือคนรอบข้างนั่นแหละ  พิพากษาอย่างไร? …

            “เป็นคริสเตียนทำไมถึงนิสัยอย่างนี้ ไหนบอกว่าพระเจ้าเป็นความรักไง ขี้เหนียวจังเลย  ไม่เห็นมีความรักเลย  เจอใครก็ด่าอย่างเดียวเลย”

            นั่นแหละ เราถูกพิพากษาไปแล้ว ใช่ไหม? ถูกต้องไหม?  แต่คำว่า “พิพากษา” ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะไม่ถูกพิพากษาใดๆ เลย เพราะว่าวิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราคิดให้ดีๆ  อย่าให้ถูกหลอกว่าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว วิญญาณเรายังสามารถถูกพิพากษาอีก  ไม่จริง เป็นคำโกหก และหลอกเราด้วย  แล้วผู้เชื่อหลายคนหลงเชื่อด้วย กลัวลานเลย …

            “แย่แล้วๆ  ถ้าเราตายไป เรายังจะรอดไหม? วิญญาณเราจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าไหม?  เรายังต้องให้พระเจ้าพิพากษาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้านะ ทิ้งเจ้าไป’”

            เป็นอย่างนั้นไหม?  ไม่จริง พระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าพระเยซูคริสต์รู้จักเรา  ทำไมเราถึงรู้ว่ารู้จัก เพราะว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราไง ถ้าไม่รู้จัก จะเข้ามาได้อย่างไร? นึกออกไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเคาะที่ประตูใจของเจ้า ถ้าใครก็ตามเปิดประตูออก เราจะเข้าไปอยู่กับผู้นั้น  เราจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา แล้วเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา  หมายความว่ารู้จักคุ้นเคย เราเคยอยู่ดีๆ ไปบ้านคนแปลกหน้า แล้วก็ไปกินข้าวกับเขา มีไหม? ไม่มีนะ เราจะไปบ้านใคร?  ไปทานข้าวด้วยกัน เราต้องรู้จักมักจี่ ไม่ใช่รู้จักอย่างเดียว รู้จักเฉยๆ เราก็ยังไม่ไปทานข้าวด้วย มันยังไม่สนิท แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไปทานข้าวบ้านใคร? แปลว่ามันสนิทน่าดูเลย เรายอมที่จะไปทานข้าวกับเขา  ไม่อย่างนั้น วางตัวไม่ถูก

            ภาพเดียวกัน พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา รู้จักมักจี่เรา ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระองค์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ จะมีอะไรไหมบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้ หรือว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า  เพื่อถูกพิพากษาอีกหรือ?  มันไม่ใช่แน่นอน ถ้าผู้เชื่อถูกหลอกว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์การพิพากษาจากพระเจ้า พระบิดา เพราะว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  ผิดเล็ก ผิดน้อย ผิดฝอย ผิดอะไรเยอะแยะมากมายเลย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ แปลว่าถ้าเรายืนอยู่ตรงนั้น พระเยซูต้องไปยืนกับเราด้วย  ต้องไปถูกพิพากษาด้วย  แล้วมันจริงไหม? ที่พระเยซูคริสต์ต้องถูกพิพากษาด้วย พี่น้องแค่คิดง่ายๆ เลย มันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า  พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์ไม่เคยทำบาป แล้วพระองค์ยอมที่จะเป็นคนบาป  เพื่อเรา  ตายเพื่อเรา นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง แล้วความจริงตรงนี้แหละ  จะทำให้เราเป็นไท

            ฉะนั้น การสวมรองเท้า พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข หมายความว่าการดำเนินชีวิต เวลาเราดำเนินชีวิต เราจะออกไปข้างนอก เราเดินเท้าเปล่าได้ไหม? ไม่ได้ เราก็ต้องใส่รองเท้า อยู่ข้างในบ้าน เรายังต้องใส่รองเท้าเลย

            การดำเนินชีวิตของเรา ในแต่ละวัน ให้ชีวิตของเราได้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ หรืออีกนัยหนึ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านทั้งหลายเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านเดินไปไหน? คนอื่นสามารถอ่านออกเลยว่านี่ใช่เลย เป็นลูกพระเจ้า แล้วคำที่พระเยซูคริสต์พูดอยู่ประโยคหนึ่ง คือคนจะรู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกของเรา เมื่อท่านรักซึ่งกันและกัน

            คำว่า “รักซึ่งกันและกัน” ในโลกวิญญาณ คือเรารักแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า  เรารักกันเลย ไม่ต้องพยายามทำ  เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก  แล้วพระเจ้าผู้นี้ เข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  ท่านก็เป็นความรัก  เมื่อท่านกับเราเป็นความรัก มีพระเจ้าอยู่ในทั้งท่านและเรา แปลว่าเราทั้งหมดนั่นแหละ บนโลกใบนี้ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และรักซึ่งกันและกันในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการประพฤติคนละเรื่อง ความประพฤติเราค่อยๆ พัฒนาบุคลิกของเราให้สอดคล้องกับความเป็นจริง คือให้เหมือนกับที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว

            ท่านทั้งหลายจงดำเนินชีวิตเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่ได้เป็นบุตรที่รักแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเราจะส่องให้คนอื่นได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

        เอเฟซัส 6:16 “นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จงยึดโล่แห่งความเชื่อ ซึ่งพวกท่านใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งปวงของมารร้ายได้”

            ลูกศรเพลิงอธิบายไปแล้วนะ  คือคำโกหกหลอกลวงที่ส่งเข้ามาในความคิดของเรา เราใช้โล่แห่งความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นใคร? ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้เป็นเกราะ เป็นโล่ เป็นที่คุ้มกันภัยให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 6:17 “จงสวมหมวกเกราะแห่งความรอด และถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า”

            จริงๆ ทั้งหมดนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้พี่น้องเห็นภาพ ภาพของนักรบ สมัยนั้น พอจะออกรบต้องสวมชุดเกราะ ต้องมีโล่ ต้องมีดาบ ต้องมีธนู มีคันธนู มีครบเลย  เป็นภาพ ฉะนั้น ภาพตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง สวมหมวกเกราะแห่งความรอด  ก็คือทำไมต้องมีหมวก

            ทุกวันนี้เขารณรงค์ให้คนขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อค เพื่อป้องกันศีรษะของเรา ถ้าเกิดพลาดพลั้ง เรารถล้ม เรายังปลอดภัยอยู่

            ทำไมรัฐบาลต้องรณรงค์ให้ใส่หมวกกันน็อค มันเป็นความปลอดภัยของเราเอง ไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับคนอื่นเลย ภาพเดียวกัน ที่พระเจ้าบอกเราว่าให้ใส่หมวกเกราะแห่งความรอด … ความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกเราว่ารอดแล้ว รอดเลย  ไม่ต้องมีมายึกยักว่ารอดแล้ว ตกลงพรุ่งนี้ ไม่รอดไหม? ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มะรืนนี้ไปคิดไม่ดีกับเพื่อนอีก รอดไหมเนี้ย? ยืนยันเลยว่ารอดแล้ว รอดเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่เลย  เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาอยู่เลย  ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว

        เอเฟซัส 6:18 “และจงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส ด้วยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทน และด้วยการวิงวอนเผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ”

            อธิษฐานในพระวิญญาณ หมายความว่าข้างในวิญญาณระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา การอธิษฐานตลอดเวลา ทุกรูปแบบ ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปนั่งคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวัน ทุกเวลา วันละ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ใช่ การอธิษฐาน ท่านสามารถที่จะคุยกับพระเจ้า ที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้  อยู่บนรถเมล์ก็คุยได้  อยู่บนท้องถนนเดินไป ก็คุยกับพระเจ้าได้  ระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดให้คนเอเฟซัสอธิษฐานเผื่อท่านด้วย …

        เอเฟซัส 6:19  “และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเอ่ยปาก พระเจ้าจะประทานถ้อยคำให้ข้าพเจ้าสำแดงข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”

            อาจารย์เปาโลต้องการคำอธิษฐานมากๆ เพราะข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐ ก็คือพระเจ้าได้เลือกชาวยิวก่อน แล้วหลังจากนั้น คนต่างชาติ ความรอดของพระเจ้ามาถึงทั้งสองกลุ่ม แล้วทั้งสองกลุ่มสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ได้ ซึ่งเป็นการประกาศที่ทำให้คนยิวไม่พอใจมาก ไล่ล่าฆ่านั่นแหละ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอธิษฐานเผื่อเราด้วยให้มีความกล้าหาญ

            กล้าตรงไหน? ไม่รู้แหละ แม้จะมีดาบมาจ่อที่คอ ก็ยังให้กล้าหาญที่จะพูดความจริงของข่าวประเสริฐออกไป

        เอเฟซัส 6:20 “เพราะข่าวประเสริฐนี้  ข้าพเจ้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าสมควรจะทำ”

            อาจารย์เปาโลถูกล่ามโซ่ ถูกจับ ถูกตี ถูกทุกรูปแบบ แต่ว่าอาจารย์เปาโลพูดว่าไม่มีโซ่อันไหนสามารถล่ามถ้อยคำของพระเจ้าได้ อยากล่ามโซ่ล่ามไป  อยากจับไปติดคุก เชิญตามสบาย  อยากเอาเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกๆ  ก็ตามสบาย  อาจารย์เปาโลสามารถเขียนจดหมายออกมาหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายแหล่ในยุคนั้น ให้เขามั่นคงในความเชื่อนี้ ให้เขาระลึกว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา

            แล้วอย่างที่บอก ที่เราคุยกันบ่อยๆ ก็คือคนในยุคนั้น ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก อีกอึดใจเดียว  ถูกข่มเหง ก็ไม่เป็นไร ถูกจับไปตี ก็ไม่เป็นไร  ติดคุกก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพระเจ้าก็มารับเรากลับบ้านแล้ว นั่นเป็นความรู้สึกของคนในยุคนั้น

            แต่พอถึงยุคของเราเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม ให้เราระลึกอยู่เสมอว่าความหวังใจเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าบอกว่าโลกใบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งพวกเราผู้เชื่อจะต้องกลับบ้านถาวรของเรา ก็คือสถานที่ใหม่ โลกใบใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว แล้วรวมทั้งร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี  ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที เหมือนกับที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเราจะไม่เปลือยเปล่า ส่วนคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า วิญญาณออกจากร่างเขาเปลือยเปล่า เพราะว่าเขาไม่มีร่างกายใหม่ให้สวม เพราะเป็นวิญญาณที่ถูกพิพากษา รอวันที่จะถูกส่งไปในบึงไฟนรก

        เอเฟซัส 6:21-24 “21 ทีคิกัสน้องที่รัก ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้ทราบด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร และกำลังทำอะไรอยู่ 22 ข้าพเจ้าจะส่งเขาไปหาท่าน ก็เพราะจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อให้ท่านทราบว่าพวกเราเป็นอยู่อย่างไร และเพื่อเขาจะได้ให้กำลังใจท่าน 23 สันติสุขและความรัก   ด้วยความเชื่อจากพระเจ้าพระบิดา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่พี่น้องทั้งหลาย 24 พระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง  ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลาย”

            ไม่ขอนะ เพราะว่ามันมีอยู่แล้ว สันติสุขที่พระเจ้าให้กับเรา ทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าให้เราเป็นสันติสุขเรียบร้อยไปแล้ว เป็นความรักเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือไม่ต้องขอนะ  มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            คนที่รักพระองค์ หมายความว่าคนนั้นได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ฉะนั้น พระคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในผู้นั้นเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องขออีก

            คำว่า “ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย” หมายความว่าทันทีที่เรากลับใจใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าแห่งความรักเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราเป็นความรัก แล้วเป็นความรักที่ไม่เสื่อมสลาย เพราะว่าความรักนี้ เป็นความรัก ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นความรักเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น พระเจ้าผู้นี้ ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย จะอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่เท่านั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะไม่รักพระเจ้า  ไม่ต้องกลัวนะ  เพราะวิญญาณข้างในเรารักพระเจ้า  100% 1,000% 10,000% ไปเรียบร้อยแล้ว  ไม่ใช่ที่เราจะรักพระเจ้า ด้วยกำลังของเรา  แต่เป็นพระเจ้าผู้กระทำให้เรารักพระองค์ เรียกว่ารักอย่างที่พระองค์ต้องการให้เราเป็น

            นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ  ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไว้ในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราก็จบหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บัพติศมาในน้ำ เป็นภาพของการบังเกิดใหม่ ทางฝ่ายวิญญาณ ในนามพระเยซูคริสต์

            1 เปโตร 3:21… “และบัพติศมา ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอดโดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            คริสเตียน … ท่านรอด มิใช่โดยความประพฤติภายนอก … แต่เป็นความเชื่อภายใน เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1459

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มีนาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 4.1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนและหลังเชื่อพระเยซู” วันนี้เป็นตอนที่ 4 …

            จากตอนที่ 1 เราได้รับคำตอบไปแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 เราได้เรียนรู้แล้วว่าก่อนเชื่อวิญญาณของคริสเตียนอยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 เราเรียนรู้แล้วว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าก่อนเชื่อนั้น เราเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            วันนี้มาตอนที่ 4 “ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง”

            เรากำลังเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ หรือเป็นวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้าต้องเรียนรู้ทางวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่ตามองเห็น  เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พูดมาทั้งหมด ทุกวัน เมื่อไรก็ตามอ่านพระคัมภีร์ เล่าให้คนอื่นฟัง หรือประกาศ หรือเข้าใจเอง หรือจะร้องเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำภายในวิญญาณเท่านั้น ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจริงๆ 

            ถ้อยคำ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งพระเจ้าจะเปิดเผยในความจริงเหล่านี้ให้กับเราทั้งหลายได้รับรู้ เมื่อเราแสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ  ก็คือจากวิญญาณและความจริง เกี่ยวกับความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวกับพระองค์ และเราได้รับรู้ว่าวิญญาณของมนุษย์ก่อนที่จะเป็นคริสเตียน อยู่ในความมืด

            นี่คือความจริงอีกส่วนหนึ่ง ในโลกวิญญาณที่พระเจ้า แจ้งให้เรา บอกให้เราได้รับรู้ ซึ่งเราจะเรียนรู้ในวันนี้ว่าวิญญาณของมนุษย์ ก่อนที่จะเป็นคริสเตียนอยู่ในความมืด แต่หลังเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว อยู่ในความสว่าง มันเป็นอย่างไร? อย่าลืมนะ เรากำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ  อย่าเอาความคิด สติปัญญา ตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์มาใช้กับเรื่องราวต่อไปนี้ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จงคิด จงมองให้เห็นเถิดในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นเช่นนั้น ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจหมดเลย  แต่เราเรียนรู้ไปทีละนิดทีละหน่อย  พระวิญญาณจะสำแดงสิ่งเหล่านี้ ให้กับเราทั้งหลายได้เข้าใจมากขึ้น  เราทั้งหลายผู้ซึ่งได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ และได้เปิดใจต้อนรับข่าวดีแล้ว ได้เป็นคริสเตียน ได้เป็นผู้เชื่อแล้ว

            มาดูกันว่าที่เราคริสเตียนได้อยู่ในความสว่าง ความสว่างนี้ คืออะไร? คือใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ที่พระเจ้าได้ทำให้เรา ได้อยู่ในความสว่างนี้แล้ว  หลังเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอดีตไปแล้ว ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว หลังเชื่อแล้ว  เราได้อยู่ในความสว่าง

            ความสว่างเป็นอย่างไรหนอ เราอยากเรียนรู้ ขอพระเจ้าทรงเปิดตา ประทานสติปัญญาฝ่ายวิญญาณ มันต้องใช้การรับรู้ทางวิญญาณ  ไม่ใช่ความคิดแบบมนุษย์ ขอพระองค์ทรงเมตตาช่วยเหลือเราทั้งหลายให้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เถิด เริ่มต้นที่ยอห์น 1:1-5 และข้อ 10 …

        ยอห์น 1:1-5, 10 “1 ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้นก็มีพระคำ (พระคริสต์) อยู่แล้ว พระคำนี้ (พระคริสต์นี้) อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้าด้วย 2 พระคำ (พระคริสต์) อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น 3 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้  เกิดมาจากพระคำ (พระคริสต์) ทั้งนั้น  ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ (พระคริสต์) 4 พระคำ (พระคริสต์) เป็นแหล่งของชีวิตที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ทุกคน 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดอยู่ แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้ 10 พระองค์ (พระคริสต์) ได้อยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้ กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆ ที่โลกนี้ ถูกสร้างผ่านทางพระองค์”

            พระเจ้าเริ่มพาเราไปเรียนรู้ความจริงตั้งแต่เริ่มต้นเลย จึงได้รู้ว่าเริ่มต้นที่เรามองเห็นทั้งหมด คือชีวิตต่างๆ ที่เรามองเห็นในโลกใบนี้ รวมทั้งตัวเราด้วย มันไม่ได้เกิดขึ้นก่อนสิ่งเหล่านี้  มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นก่อนที่จะกำเนิดโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น  มีพระคำอยู่แล้ว ก่อนจะมีสิ่งเหล่านี้ โลกนี้ทั้งใบ รวมทั้งมนุษย์ด้วย  พระคำคือใคร? คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูแปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์แปลว่าผู้ที่ถูกเจิม แต่งตั้งเอาไว้ ให้มาช่วยมนุษย์ให้รอด พระคำ คือชื่อที่พระเจ้าตั้งให้พระเยซู เพื่อจะทำให้มนุษย์ พอที่จะเข้าใจ แต่ว่าพระองค์มีหน้าที่ มาช่วยให้เรารอดอย่างไร? พยายามให้เราเข้าใจ จึงใช้คำว่าพระคำ จริงๆ แล้วพระเจ้าไม่มีชื่อ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย มีมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งปวง ไม่มีอะไรเลย นอกจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถตั้งชื่อพระเจ้าได้ ผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง ผู้ถูกสร้าง ไม่สามารถแต่งตั้งชื่อให้กับพระเจ้าได้ ก็เลยเรียกพระเจ้าตามพระลักษณะของพระองค์ พระเจ้าก็สำแดงให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระองค์มี 3 พระลักษณะ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่เข้าใจหรอก มันเป็นอย่างไร?  แต่พระเจ้าก็อธิบายให้เราฟังว่าพระเจ้าพระบิดา มีหน้าที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง มีหน้าที่เป็นผู้บริหาร อาณาจักรของพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ก่อน

            พระบุตรมีหน้าที่เป็นผู้สั่งการ ทำงานต่างๆ  เป็นเหมือนกับสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง ให้กับพระวิญญาณ พระวิญญาณมีหน้าที่ลงมือทำงาน ที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ เหมือนเราปัจจุบันมนุษย์สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา คือสั่งเป็นคำพูด รถสตาร์ท เราบอกสตาร์ท รถมันก็ติด เราเปรียบเหมือนพระบิดา เราต้องการให้รถสตาร์ท เราก็พูด คำพูดของเรานั่นแหละ คือพระคำ พอเราพูดปุ๊บ คำพูดนั้น ก็ไปสั่งการให้สวิทส์ สตาร์ทเครื่องให้ติด พลังงาน อำนาจที่ทำให้รถสตาร์ทเครื่องให้ติด คือพระวิญญาณ พอเข้าใจนะ ได้แค่นี้ อธิบายมากกว่านี้ ก็ไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ แค่นี้ ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ฟังไปเรื่อยๆ

            เพราะฉะนั้น พระคำนี้  ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าให้มาช่วยเหลือเรา เหล่ามนุษย์

            ข้อ 2 บอกพระคำ หรือพระคริสต์นี้  อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่ เริ่มต้นก่อนที่โลกจะเกิดขึ้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เกิดมาจากพระคำพระคริสต์ทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ เห็นไหมครับ? เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมา ก็คือพระบิดา พระบิดาต้องการอย่างนี้  ก็บอกให้พระเยซูคริสต์ ก็คือร่วมงานกับพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์จัดการ สั่งการตามระบบ ผู้ที่ลงมือ คือพระวิญญาณ ลงมือสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ตรีเอกานุภาพ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร่วมกันสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา และในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เรา” ตอนสร้างมนุษย์บอกว่าเราจะสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา … “เรา” คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

            ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เกิดมาจากพระเจ้าทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลย  ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระเจ้า พระคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคริสต์ คือพระเจ้า ถูกไหม?  พระคริสต์ คือพระเจ้าผู้สร้าง และมีหน้าที่สั่งการดูแลให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าพระคริสต์ทรงครอบครอง ควบคุมทุกอย่าง ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระคริสต์ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้น โลกใบนี้แล้ว  ตั้งแต่มนุษย์ยังไม่ตกลงไปในความบาป  พระคริสต์ก็ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์

            พระเยซู แปลว่าพระผู้มาช่วยให้เรารอด เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าพระเยซูคริสต์ควบคุม ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยพลังอำนาจ และชีวิตของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ทั้งโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ รวมทั้งโลกฝ่ายวิญญาณด้วย

            ข้อ 4 บอกว่าพระคำ คือพระคริสต์เป็นแหล่งแห่งชีวิต ที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต ก็คือถ้าให้ยกตัวอย่างอย่างนี้ จะชัดขึ้น ก็คือพระเยซูทรงเป็นพลังอำนาจ เป็นชีวิตที่ให้กับบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด  พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งมนุษย์ด้วย  จำเป็นต้องได้รับชีวิต และพลังงานแห่งชีวิต และเรียกว่าความสว่างจากพระองค์ ถ้าพูดอย่างนี้ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้ายกตัวอย่างอย่างนี้ จะเห็นชัดขึ้น เหมือนกับห้องนี้ ดูสวยใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้มันสวยได้ เพราะว่ามันมีแสงสว่าง เรามองเห็น

            แสงสว่าง คือพระคริสต์ เอาแสงสว่างออกไป เห็นอะไรไหม?  ไม่เห็น ความสวยงามทั้งหมด  เราจะไม่เห็นเลย  พระองค์ทรงสร้างสิ่งสวยงามทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นมา แต่ไม่มีใครเห็น มันไม่ปรากฎเลย จนกว่าพระองค์จะให้มีแสงสว่างมา  เห็น ใช่  มีอยู่จริงๆ

            หรือเปรียบกับเครื่องบินก็ได้ เครื่องบินสวย ออกแบบมาเป็นเครื่องบินไอพ่นอย่างดีเลย สวยงามเลย คนออกแบบ เขาออกแบบมาเรียบร้อยดีแล้ว  สวยอย่างไรก็ตามแต่ เขาออกแบบมาแล้วว่าต้องมีพลังงาน  หรือเรียกว่าชีวิตของมันอยู่ เขาเรียกว่ามีความสมบูรณ์ของสิ่งที่ถูกสร้าง และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเครื่องบินลำนั้น ที่เราอาจจะมองไม่เห็น  ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องบินลำนั้นมันก็ไร้ค่า มันก็จอดอยู่อย่างนั้นแหละ สวย แต่ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น พระองค์ คือแหล่งพลังงาน เป็นชีวิต เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องบิน  เป็นเหมือนพลังงานไฟฟ้า สำหรับหลอดไฟ พระองค์ทรงสร้างหลอดไฟขึ้นมา  คือเราทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงให้พลังงานไฟฟ้า มันก็เป็นหลอดไฟที่มีความสว่าง

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่าเราทั้งหลาย เหมือนตะเกียงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา  แต่มันจะจุดติดขึ้นมาได้ โดยต้องมีน้ำมัน น้ำมันต้องคู่กับตะเกียง  ตะเกียงเฉยๆ ไม่มีค่า ไร้ค่า  พูดง่ายๆ ก็คือขาดพระองค์ ก็ไม่มีประโยชน์ ก็ไร้ค่า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ขาดพระเยซู พระคริสต์ ถ้อยคำที่เป็นพลังงาน เป็นชีวิต เป็นแสงสว่าง  มนุษย์ก็ไร้ค่า เรียกว่าตายอยู่

            เพราะฉะนั้น พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ไม่ใช่แค่อภัยความบาปผิดของมนุษย์ทั้งปวง  ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เฉยๆ  แต่พระองค์เข้ามาให้พลังชีวิตกับเรา  เป็นแสงสว่างให้กับเรา  พระองค์เข้ามาอยู่ในเราเลย และเราอยู่ในพระองค์ มองเห็นภาพไหมครับว่าหลอดไฟ ต้องมีพลังงานเข้ามา  พอเป็นดวงสว่างเมื่อไรปุ๊บ เรามองไป เราไม่เห็น เราเห็นแต่หลอดไฟ แต่จริงๆ แล้วหลอดไฟและพลังงานนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน  เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน  อย่างนี้แหละ

            ข้อ 5 ได้บอกว่า “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด”  พระเยซูคือความสว่าง แสดงว่าบนโลกใบนี้มีอะไรบางอย่างที่ปกคลุมอยู่ ทั้งโลกนี้อยู่ในความมืด  ความมืด คืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามกับความสว่าง  “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด  แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้  ก็คือไม่เข้าใจ ไม่รู้ ก็เลยปฏิเสธ … ปฏิเสธ คือเป็นศัตรูต่อต้าน ใครต่อต้าน โลกใบนี้ทั้งใบ  ที่อยู่ในความมืด  เห็นอะไรบางอย่างไหม? ต่อต้าน

            สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง คือโลกใบนี้ทั้งใบ  ที่ตกลงไปในความมืด  พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก  แต่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วยความรักทั้งหมด ทั้งสิ่งที่มองเห็น และสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยนะ กลับปฏิเสธ ต่อต้านพระองค์ ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น ด้วยความรัก เพราะไม่รู้ความจริง  ถูกหลอก หลงไป หลุดออกไปจากพลังแห่งชีวิต คือพระคริสต์ หลุดออกไปจากแสงสว่าง ไปอยู่ในความมืด เมื่อไม่เข้าใจ ก็ต่อต้านพระองค์  ทั้งๆ ที่พระองค์จะเข้ามาช่วย

            บางทีเรานึกว่าต้องเป็นศัตรูกับพระเยซูคริสต์ด้วย ไม่ได้เป็นศัตรูในเชิงของความเกลียดชังอย่างนั้น  แต่เป็นศัตรูในลักษณะของ “ฉันอยากจะอยู่ของฉันอย่างนี้” เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา คือปฏิเสธ พระองค์ผู้ทรงสร้าง ก็คือ …

            “ฉันอยากจะอยู่ด้วยตัวของฉันเอง ฉันอยากจะรับผิดชอบตัวฉันเอง ฉันจะรับผิดชอบทั้งดีและไม่ดี ฉันจะดูแลตัวเอง ในการกระทำดีและกระทำชั่ว ไม่พึ่งในพ่อแล้ว ฉันจะออกไป”

            นี่คือความหมายอย่างนั้น พูดง่ายๆ ว่าเหมือนกับครอบครัวเรา  เราเลี้ยงลูกมาด้วยความรัก ทะนุถนอมเลย พอเขาโตเป็นหนุ่มเป็นสาวปุ๊บ เขามาบอกเราว่า …

            “พ่อพ่อ แม่แม่ ลูกไปแล้วนะ ต่อไปนี้ ลูกจะอยู่ด้วยตนเองแล้ว พ่อแม่ไม่ต้องมาสอนแล้ว ไม่ต้องมายุ่ง ลูกจะไปพิสูจน์ตัวเองนอกบ้าน” … คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ

            นี่คือการปฏิเสธความรัก ความหวังดีของผู้สร้าง พอมองเห็นไหมครับ?  เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพของพระเยซูคริสต์มาตามหาพวกเรา เหมือนแกะหลงหาย มาตามง้อพวกเราให้กลับไป เราถูกหลอกแล้ว เรากำลังแย่แล้ว  เป็นลักษณะอย่างนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นผู้สร้างเรานะ พระองค์มาเคาะประตูด้วยความรัก เพราะว่าพระองค์มีอำนาจ ฤทธิ์เดช พระองค์จะทำลายประตูเลยก็ได้ ไม่ต้องสนใจเราแล้ว  ไม่เคาะให้เปิดหรอก ไม่ต้องเปิดหรอก ฉันจะทำลายเข้าไปเลย ก็ได้  แต่พระองค์ไม่ทำอย่างนั้น  เพราะเป็นพระเจ้าแห่งความรัก เข้าใจเรา  แต่เราไม่เข้าใจพระองค์ เราปฏิเสธพระองค์

            ความสว่างเข้ามาในความมืด  แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่างได้  ไม่สามารถเข้าใจความสว่าง ปฏิเสธผู้สร้างเขา  ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป คือเกิดขึ้นในโลกวิญญาณกับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง คือทูตสวรรค์

            ทูตสวรรค์ คือสิ่งมีชีวิต ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าทรงสร้างด้วยความสวยงามทุกรูป ตามสถานะของแต่ละรูปที่จะใช้งาน คือลูซีเฟอร์  มีคาเอล  และกาเบียล มีอยู่ 3 รูปที่เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ มีตำแหน่งต่างๆ พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก ให้พลัง ให้อำนาจ ให้แสงสว่าง เป็นชีวิตของทูตสวรรค์ เป็นในลักษณะของทูตสวรรค์ แต่ละรูป ต้องขึ้นอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น  ปรากฏว่ามีอยู่รูปหนึ่งใน 3 รูปนี้ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา ก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับอาดัม ก็คือลูซีเฟอร์ อวดดี นึกว่าตัวเองแน่ บอกพระเยซูว่า …

            “ฉันจะออกมาเป็นเอกเทศ ฉันจะดูแลตัวเอง ฉันไม่ต้องการเธอ ฉันปฏิเสธพลังอำนาจของเธอ ชีวิตและแสงสว่างของเธอ ฉันไม่เอาแล้ว ฉันอยู่ด้วยตัวเองก็ได้”

            ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น มาจากพระองค์เป็นผู้สร้างให้ เมื่อปฏิเสธพระองค์ ออกไปจากพระองค์ ขาดพระองค์ ก็คือขาดพลังงาน ขาดชีวิต ขาดแสงสว่าง ก็เลยตกกระป๋อง กลายเป็นทูตสวรรค์แห่งความมืด  เรียกว่าซาตาน  แล้วมันก็ไปหลอก ไม่ใช่ไปหลอกอาดัมและเอวาก่อน เพราะว่าอาดัมและเอวายังไม่ได้รับการทรงสร้างขึ้นมาเลย มันหลอกทูตสวรรค์ด้วยกันก่อน  ที่เป็นลูกน้องต่ำลงมา หลอกได้ไปจำนวนหนึ่ง  พระคัมภีร์บอกว่า 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด สมมุติว่ามี 100 ก็เอาไป 33.33 รูป ไปเป็นสมุนของมัน  ไปเชื่อตามมัน  ก็คือไปปฏิเสธ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้สร้างทูตสวรรค์เหล่านั้น  ทูตสวรรค์เหล่านั้น ก็ตกกระป๋องไปกับลูซีเฟอร์

            นี่แหละ ความมืดไม่สามารถที่จะเข้าใจความสว่างได้ และปฏิเสธ ก็คือถูกหลอกให้หลงไปตาม เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับลูซีเฟอร์ และมาถึงอาดัมและเอวาก็ถูกหลอกเหมือนกัน หลอกให้ทำลักษณะเดียวกัน ก็คือปฏิเสธผู้สร้างเขา  ผู้ให้ชีวิตกับเขา ให้ความสว่างกับเขา ทำเหมือนลูซีเฟอร์เลย ทำเหมือนซาตานเลย คือ …

            “ฉันจะออกมาเป็นเอกเทศ ฉันจะเป็นตัวของฉันเอง ฉันจะพึ่งพาในการกระทำของตนเอง ฉันจะสร้างกฎของตัวเองขึ้นมา คือกฎแห่งการกระทำด้วยตนเอง”

            เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ซึ่งทำไม่ได้ เพราะหารู้ไม่ว่าทั้งสิ้นนั้นมาจากแหล่งแห่งกำเนิด เกิดขึ้นมาโดยผู้สร้าง ก็คือพลังงานและชีวิต พูดง่ายๆ อาดัมและเอวากำลังบอกพระเจ้า บอกพระเยซูว่า …

            “ฉันจะออกมามีพลังชีวิตด้วยตัวเอง ฉันจะออกมาปั่นแสงสว่างด้วยตนเอง ฉันจะดูแลรับผิดชอบด้วยตัวเอง”

            พอออกมา ก็ไม่มีแสงสว่างแล้ว น้ำมันไม่มีแล้ว  ปั่นให้ตายก็ไม่ขึ้น  เข็นให้ตาย เครื่องบินก็ไม่ขึ้น  ปั่นให้ตาย หลอดไฟก็ริบหรี่ๆ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็บาป  ทำไม่ได้หรอก ก็เพราะว่าแหล่งพลังแห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์หายไป  ความสว่างหายไป  พระเยซูจึงมาทำให้เรากลับคืนสมบูรณ์ สู่สภาพดีเหมือนเดิม ก็คือความสว่างกลับมา แค่นั้นเอง ก็คือเอาความสว่างกลับมาเหมือนเดิม เราก็กลับเป็นเหมือนเดิม  เราก็ได้อยู่ในพระคริสต์ คืออยู่ในความสว่าง ตามหัวข้อที่เราเรียนกันวันนี้

            ทั้งสิ้น มาจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ถูกหลอก ไม่สามารถเข้าใจสติปัญญา และความจริงของพระเยซูคริสต์ ของพระเจ้าได้นั่นเอง แค่นั้นไม่พอ  ไม่ใช่เฉพาะลูซีเฟอร์ ทูตสวรรค์ อาดัมหรือเอวาที่ปฏิเสธ ในข้อนี้ หมายถึงผู้ที่ปฏิเสธความสว่าง ไม่เข้าใจในความสว่างนั้น ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ข้อพระคัมภีร์นี้เล็งไปถึง นอกจากมีพวกเหล่าทูตสวรรค์แล้ว  มีอาดัมและเอวา หมายถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์แล้ว ตรงนี้เล็งไปถึงชนชาติของพระองค์เอง ก็คือชาวยิว ประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรัก ในอดีตรักมากกว่าชาวต่างชาติ  เพราะเข้าไปใกล้ชิดมากเลย  ไปเตรียมแผนการต่างๆ ไว้อย่างดีเลย ไปช่วยเหลือ ปรากฏพระองค์เองให้กับพวกเขาได้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา แล้วก็ค่อยๆ นำพาพวกเขามาเป็นพันๆ ปีเลย เพื่อให้เกียรติเขาว่าพระเจ้าผู้สร้าง คือพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์จะมาเกิดในเผ่าพันธุ์ ชนชาติของเขา  เขาเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร หรือบนโลกใบนี้ หลายพันปีกับพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ซึ่งต่างชาติไม่มี พระเจ้ารักเขาขนาดไหน? เตรียมให้เขาดีขนาดไหน? ให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในเขา ปรากฏว่าพอพระองค์มาเกิด ทำความเสียใจให้กับผู้สร้างเหมือนเดิม เหมือนลูซีเฟอร์ …

            “ไม่เอา ฉันไม่เอา ฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน”

            ทำไม? ในนี้บอก เพราะไม่เข้าใจ พระเจ้าเมตตาขนาดไหน?  ไม่ได้โกรธเคืองเลย บอกว่าเพราะความไม่เข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้ ไม่สามารถรับเอาความจริงที่พระเยซูมาประกาศข่าวดีให้กับเขาได้  ทั้งๆ ที่พระองค์มาช่วยเหลือน่าจะเป็นพวกแรกที่ได้รับเลย  เพราะว่าพระเจ้านำพาเผ่าพันธุ์ ชนชาติเขามาใกล้ชิด อย่างสนิทเลย เดี๋ยวก็มีผู้เผยพระวจนะ เดี๋ยวก็มีอัศจรรย์ตรงนี้ เยอะไปหมดเลย  เป็นหลายๆ พันปี  ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด  พอพระเยซูคริสต์มาเกิด ไม่เอา แล้วพระเยซูคริสต์เลยต้องไปให้ชนต่างชาติรับพระเยซูคริสต์ก่อนเยอะแยะเลย ทั้งๆ ที่ชาวยิวควรจะได้รับก่อน มันน่าเสียใจมากเลย แต่พระเจ้าเต็มไปด้วยความรัก  พระเจ้าป็นความรัก เป็นความอดทนนาน  พระเจ้ามีเมตตาตลอด แม้ว่ามนุษย์จะปฏิเสธพระองค์อย่างไร? ก็ตาม

            ข้อ 10 บอกว่า “พระองค์ ก็คือพระคริสต์ได้อยู่ในโลกนี้  แต่โลกนี้กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆ ที่โลกนี้ถูกสร้างผ่านทางพระองค์”

            เห็นหรือยัง? โลกนี้ทั้งใบ คือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ทั้งทูตสวรรค์บนโลกใบนี้ ทั้งอิสราเอลที่พระองค์ทรงประคบประหงมมาตั้งแต่เริ่มต้น  ไม่เข้าใจ ปฏิเสธพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทั้งสิ้นเลย  ยอห์น 1:11 ต่อไป …

        ยอห์น 1:11 “เมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์เอง คนของพระองค์ก็ยังไม่ยอมรับพระองค์”

            ตรงนี้หมายถึงเมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์ คือโลกใบนี้ ที่มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ มวลมนุษย์ที่เป็นของพระองค์ พระองค์เป็นเจ้าของ พระองค์มาถึง มวลมนุษย์บอกใคร?  เจ้าของบ้านนะ นี่คือใคร? ไม่รู้จักพระองค์ คิดดูความอดทนของพระองค์ขนาดไหน?  ความรักของพระองค์มีมากขนาดไหน?  แล้วยังหมายถึงใครได้อีก หมายถึงตะกี้ที่บอก นอกจากมนุษย์ทั้งมวล ทุกๆ คนบนโลกใบนี้แล้ว ยังหมายถึงชนชาติยิวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชนชาติยิวที่ฉันประคบประหงมมาตลอดหลายพันปี ไม่รู้จักฉัน บอกมาตลอดเป็นพันๆ ปี  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอด  อัศจรรย์มาตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้ ยังปฏิเสธฉันอยู่ และหมายถึงใครอีก?

            หมายถึงอันดับที่ 3 เขาว่าหมายถึงอันนี้ได้ด้วย ก็คือตอนที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วก็เริ่มต้นกระทำการงาน ประกาศข่าวประเสริฐ สำแดงตนเองเป็นพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ตอนอายุ 30 เริ่มต้นนั้น พระองค์ประกาศที่บ้านของพระองค์ก่อน คือบ้านเมืองของพระองค์ที่นาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีก่อน ซึ่งพระองค์เกิดที่นั่น  ไม่ได้เกิดที่นั่นหรอก แต่ว่าเจริญเติบโตที่นั่น  ท่ามกลางคนที่นั่นเห็นพระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดา พอถึงวาระที่พระองค์จะทรงสำแดงเป็นพระเจ้ามาช่วยบรรดามนุษย์ให้รอดพ้นจากความมืดนี้แล้ว  เริ่มต้นประกาศ ทำอัศจรรย์ คนแถวๆ หมู่บ้านไม่เชื่อ

            “นี่ลูกช่างไม้ จะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?”

            หมายถึงอย่างนั้นด้วย คือกำลังพูดถึงความเป็นจริงที่พระเยซูเป็นใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือเราทั้งหลาย แล้วเราทำกับพระองค์อย่างไร? นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีให้กับบรรดามนุษยชาติ ที่สามารถที่จะสำแดงออกมาในข้อพระคัมภีร์ได้ ต่อไปยอห์น 1:12-14 …

        ยอห์น 1:12-14 “12 แต่ส่วนทุกๆ คน ที่ยอมรับและไว้วางใจพระองค์ พระองค์ให้สิทธิ์พวกเขา เป็นลูกของพระเจ้า 13 ลูกของพระเจ้านี้ ไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อ หรือจากความต้องการของร่างกาย หรือจากความตั้งใจของพ่อที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดมาจากพระเจ้า 14 พระคำ​ (พระคริสต์) ได้​กลาย​มา​เป็น​มนุษย์ และ​ใช้​ชีวิต​(ในสถานะมนุษย์) อยู่​ท่ามกลาง​พวกเรา พระคำ​ (พระคริสต์) นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย ​ความ​เมตตา​กรุณา​และ​ความจริง พวก​เรา ​ได้​เห็น​ความยิ่งใหญ่​ของ​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​ความยิ่งใหญ่​ของ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระบิดา”

            พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา เป็นความจริง เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ตามถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้ว่าความอดทนของพระองค์ขนาดไหน?  ความเข้าใจของพระองค์ในการปฏิเสธ การต่อต้าน การเป็นศัตรูที่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ต่อต้าน  ปฏิเสธพระองค์ ถึงขนาดข่มเหง ทำร้าย ถึงขนาดฆ่าพระองค์ให้ตาย  ด้วยความเกลียดชัง

            แต่ส่วนทุกคนที่ยอมรับ และไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ได้ให้สิทธิกับเขาเป็นลูกของพระเจ้า  คนจำนวนมากมายไม่เชื่อ ปฏิเสธพระองค์ แต่ใครก็ตามในมวลมนุษย์เหล่านี้ ที่ยังไม่รับพระองค์ ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ แต่ส่วนคนที่ยอมรับ และไว้ใจในพระองค์ ก็คือไว้ใจในถ้อยคำของพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นใคร?  เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  มาสู่ชีวิต เป็นแสงสว่างที่ส่องมาบนโลกใบนี้  ความมืดมาช่วย  ใครก็ตามที่ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นทางไปหาพระบิดา  ไปสู่สวรรค์ได้  คนนั้นก็ได้สิทธิ ได้พลังงาน แห่งชีวิต สิทธิตัวนี้ หมายถึง Power หมายถึงฤทธิ์อำนาจ หรือพลังงานอำนาจ ที่ตะกี้ผมยกตัวอย่าง และรวมถึงชีวิต เข้าไปในชีวิตของเขา  ก็เหมือนดวงไฟที่มีพลังงาน จากโรงงานไฟฟ้าวิ่งมาปุ๊บ มันก็ติดเป็นดวงสว่างออกมา ก็คือความรอด กลายมาเป็นลูกของพระองค์ เพราะเป็นความสว่างเหมือนพระเจ้า  โดยได้รับพลังงานชีวิตจากพระองค์ แสงสว่างจากพระองค์ เมื่อมาจากพระองค์ ก็เป็นเหมือนพระองค์ เป็นเซลเดียวกัน เซลในทางฝ่ายวิญญาณ  คือเซลพลังงานของพระคำ คือพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคำ คือพระคริสต์ เป็นแสงสว่างของพระคำ คือพระคริสต์ พูดง่ายๆ พระคริสต์เป็นชีวิต เป็นพลัง เป็นแสงสว่าง เป็นตัวเราที่ยอมรับพระองค์

            ยอมรับ หมายถึงเชื่อในข่าวดี  เมื่อเชื่อในข่าวดี ก็คือเปิดประตูใจ ที่พระองค์มาเคาะหัวใจของเราตลอดเวลา ขอให้พระองค์เข้ามา  เรายอมเปิดใจต้อนรับ พอเปิดใจ พระองค์ก็เข้ามา

            ลูกของพระเจ้านี้ ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อ หรือความต้องการของร่างกาย  หรือจากความตั้งใจของพ่อที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า  นี่กำลังเทียบให้เห็นว่าบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เห็นไหม? เป็นโลกวิญญาณ พระคำพระคริสต์นี้ ได้กลายมาเป็นมนุษย์ พระคำพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้กลายมาเป็นมนุษย์  จากวิญญาณ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้มาจุติ เกิดในหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่  เรียกว่ามาเกิดเป็นมนุษย์

            พระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์  และใช้ชีวิต แบบสถานะมนุษย์ อยู่ท่ามกลางพวกเรา ก็คือท่ามกลางพวกคนที่ต่อต้าน ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้  พระคำนั้น เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา และความจริง เห็นหรือยัง? นี่กำลังสรุปให้เห็นว่าพระเยซูมา ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มาก่อนที่จะมีอะไรทั้งปวงเลย  แล้วพระองค์ถูกทำให้เป็นอย่างนี้  นี่คือพระเจ้าแห่งความรักจริงๆ ไม่มีการโกรธ ไม่มีการโทษ ไม่มีการโมโห เข้าใจเราหมดทุกอย่าง  ทั้งๆ ที่ได้รับการตอบสนองจากพวกเรา และทูตสวรรค์อย่างนี้

            ตรงนี้จึงเขียนคำว่าพระองค์เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณาและความจริง พวกเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่แหละ คือความยิ่งใหญ่ตรงนี้ ในความรักของพระองค์ ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ท่ามกลางเหล่าสาวกในช่วงแรกๆ อันนั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม แต่คนเหล่านี้ อัครทูตเหล่านี้  ที่หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว  เขาได้รับรู้ความจริง เหมือนกับเราที่กำลังรับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณในขณะนี้ เพราะเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสาารถรับรู้เรื่องราว  สติปัญญา ความจริงจากพระเจ้าได้แล้ว เราจึงเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น

            อัครทูตเหล่านี้ เขาก็เข้าใจพระเจ้ามากขึ้น เขาจึงเขียนคำนี้ว่า … “เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์” คือความรัก  ยิ่งใหญ่ที่เห็นด้วยตา ที่ทำการอัศจรรย์ มันไม่มีอะไรหรอก ซาตานหรืออะไรต่างๆ มันยังทำได้บ้าง ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ พระบิดาส่งลงมา  พระบุตร คือพระคำ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่  ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของพระองค์ พูดง่ายๆ จะกำก็ตาย จะคายก็รอด แล้วพระองค์ตัดสินใจอย่างนี้  ยอมหมดทุกอย่างเลย ทั้งๆ ที่พระองค์บังคับอะไรก็ได้หมดเลย แต่ยอม พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ ได้ทำความยิ่งใหญ่ คือยอมเสียสละ เริ่มต้นจากเสียสละสถานะพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ต่ำต้อย เห็นสภาพหนักแล้ว ลงมายังถูกต่อต้าน  ไม่มีชิ้นดีเลย

            เพราะฉะนั้น เราจึงได้รู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เราได้เห็นว่าพระคำ ก็คือพระคริสต์ ผู้ทรงเต็มไปด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด  ที่ตายไปแล้วในความบาป จะได้เกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้า

            พระองค์  พระบุตรของพระเจ้า  หรือพระคริสต์ผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลาย ได้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่าเยอะเลย  เพื่อว่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยนั้น จะได้สามารถเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ สลับที่กัน

            พระคำ คือพระคริสต์ คือพระเจ้าพระบุตร  คือแสงสว่างของพระเจ้า  เป็นพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เป็นชีวิต  เป็นพลังงานอำนาจ ให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด  ทั้งในโลกที่มองเห็น และโลกที่มองไม่เห็น  คือทั้งในโลกวัตถุและในโลกวิญญาณ  ผู้เป็นศูนย์กลางของสิ่งทั้งมวลในมหาจักรวาลนี้ ทั้งโลกที่มองเห็นและมองไม่เห็น ผู้เป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่  ตอนนี้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์   เพื่อว่าเราจะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  และตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดผู้นี้อยู่ที่ไหน? ผู้เป็นแสงสว่าง เป็นพลังอำนาจ เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระคำ ตอนนี้อยู่ในเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา  พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่เรากำลังเล่ากันมาตามพระคัมภีร์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เห็นความรัก  ความอดทนของพระองค์ตอนนี้ อยู่ในเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ มันเหลือเชื่อเลยนะ  แต่มันเป็นจริงไปแล้ว

            ก็เลยอยากจะบอกว่าสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังต่อต้าน ไม่ว่าจะต่อต้านมากหรือน้อยก็ตาม เมื่อยังไม่ยอมรับแสงสว่าง ไม่ยอมรับคำเชิญของพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็มีค่าเท่ากับกำลังต่อต้าน เพราะว่าอยู่ในโลกแห่งความมืด โลกแห่งความมืดต่อต้านความสว่าง ไม่มีทางที่จะเขากันได้เลย 1 ยอห์น 1:5  ปิดด้วยข้อความนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:5 “นี่เป็นเรื่องราว ซึ่งเราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย”

            “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย” มันตรงกันข้ามเลย ถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง เต็มไปด้วยความรัก ความดีงาม  แต่ถ้าไม่ใช่พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แสงสว่าง ก็เป็นความชั่วร้ายทั้งสิ้น อยู่ที่เราตัดสินใจว่าเราจะอยู่ฝ่ายไหน? สว่างหรือมืด พระเจ้าเป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความดีงาม ในพระองค์ไม่มีความมืด  ไม่มีความชั่วร้ายทั้งปวงเลย  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลาย ไม่มีการงอนกับเรา ไม่มีการมาทารุณจิตใจเรา ไม่มีการมาบังคับเรา ไม่มีการมาวางแผนชั่วร้ายให้กับเรา มีแต่ความรัก ความเมตตา ความกรุณา ความดีงามทั้งสิ้น เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความสว่าง  เป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม “เป็น” ไม่ใช่พระองค์ “มี” พระองค์เป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น  พระองค์ไม่มีอะไรเลยที่เป็นความมืด ก็คือไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลาย  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรต่างๆ  อยู่ในพระองค์เลย  พระองค์อดทนได้ทุกอย่าง  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความเชื่อในพระคริสต์เป็นของประทาน แต่การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่ท่านต้อง “ตัดสินใจ”

            คริสเตียน! ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่ออันบริสุทธิ์ในพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ท่านในวิญญาณ  เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นอัศจรรย์ฤทธิ์เดชของพระเจ้า มนุษย์ที่เป็นคนบาปอย่างเรา ไม่สามารถมีความเชื่ออันบริสุทธิ์นี้ได้

        1 เปโตร 1:3-9 …  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู)   พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย 6 พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้  ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง 7 เพื่อทดสอบความเชื่อแท้ของท่าน (ทดสอบผลของความเชื่อนี้) ว่าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ  เกียรติ  และศักดิ์ศรี  ในการดำเนินชีวิตของท่าน  เมื่อพระเยซูคริสต์ (ผู้สถิตอยู่ในท่าน) ปรากฏ (ผ่านทางความประพฤติของท่าน) 8 แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ท่านไม่ได้เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์ และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่  มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา 9 ท่านได้รับผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านได้รับความรอดแล้ว”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1457

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู วันนี้เป็นตอนที่ 3

            Before and After ก่อนเชื่อและหลังเชื่อ วิญญาณเราอยู่ที้ไหน?

            จากตอนที่ 1 เราได้รับคำตอบแล้ว เรียนรู้กันไปแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า

            ในตอน 2 เราได้เรียนรู้แล้ว จากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าก่อนเชื่อเราอยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            วันนี้มาตอนที่ 3 จากถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป  หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            การได้รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เรื่องอื่นๆ นะ ไม่ใช่เรื่องอธิษฐาน เรื่องทำพิธีกรรม เรื่องอะไรต่างๆ แต่เป็นเรื่องความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ที่คริสเตียนควรจะเรียนรู้ ไม่ใช่คริสเตียน ก็ควรจะเรียนรู้ แต่เรียนรู้ยาก เพราะยังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายใน แต่คริสเตียนหลังเชื่อแล้ว ควรจะเรียนรู้เรื่องนี้อย่างมากเลยว่าในโลกวิญญาณนี้ เป็นเช่นไร?  ความจริงในโลกวิญญาณ จะทำให้เป็นไท  เป็นอิสระ ถามว่าเป็นอิสระจากอะไร?  ก็เป็นอิสระจากการโกหกหลอกลวงของมาร  ก็แสดงว่ามารไม่มีอำนาจอะไรเลย  ถ้ามันมีอำนาจ มันคงไม่ใช่โกหก ไม่ใช่หลอกลวง ล่อลวง ถูกไหม? ถ้ามันโกหกหลอกลวง แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แล้วมันล่อลวง หลอกลวงเพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            มันขโมยอะไร? ขโมยความสุข ขโมยสันติสุข ขโมยผลประโยชน์อะไรต่างๆ ของเราไป มันขโมย ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจทำอะไรเราได้เลย มันแอบย่องมาขโมย ให้รู้ไว้ จะได้ไม่ต้องกลัวมัน มารซาตานมันสิต้องกลัวเรา  เพราะเราเป็นเจ้าของ มันมาขโมย เจ้าของกลัวขโมย หรือขโมยกลัวเจ้าของ อันนี้พูดตามเรื่องปกติทั่วๆ ไป ขโมยต้องกลัวมาก ย่องเข้ามา กลัวทั้งตำรวจ กลัวทั้งเจ้าของ เจ้าของยืนสบาย เพราะเราเป็นเจ้าของ ยืนมั่นใจ นี่แหละคือความจริง

            ยกตัวอย่างเช่น ความจริงต้องเรียนรู้ คืออะไร? คือพอเรามาเป็นคริสเตียน ได้รับความรอดจากพระเจ้า ความรอดเป็นของขวัญจากพระเจ้า ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ได้เป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เลยในวิญญาณ เราจะได้รับร่างกายใหม่ เมื่อจากโลกนี้ไปทันที เป็นร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ  ที่มารพยายามที่จะขโมยออกไปจากเรา คริสเตียนทุกคน เราควรจะเรียนรู้และรับรู้ว่าการบังเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร?  ความรอดเป็นอย่างไร? ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วในวิญญาณ มันเป็นอย่างไร?  เพื่อไม่ให้มันขโมยไป

            และเราเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล ตอนที่ได้รับร่างกายใหม่เลย  มันจะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ บริสุทธิ์อย่างนี้แหละ อย่าให้มารมาโกหก หลอกลวง ขโมยเอาความจริงนี้ไป แล้วเอาสิ่งปลอมปนเข้ามาอยู่ในความคิดของเรา  ทำให้เราเป็นเหมือนคริสเตียนที่ไม่ได้ใช้สิทธิของเราอย่างเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย

            ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ ของฟรีๆ จากพระเจ้า โดยที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเป็นพระคุณ เราได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นพระคุณ ความรอดนี้เป็นพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเชื่อและเปิดใจเท่านั้น  อย่าให้มันหลอกลวง ล่อลวง พยายามโกหก ปิดบังตา ตั้งแต่เราก่อนเชื่อ จนกระทั่งหลังเชื่อ ก็ยังปิดอยู่ ก่อนเชื่อปิดอยู่ จนกระทั่งได้รับรู้ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รู้แล้วๆ ได้รับความรอดแล้ว  ก็ดีแล้ว แต่ไม่ให้รู้เรื่องอื่นอีก พยายามจะปิดบังตา สมมุติว่าทรัพย์สินเงินทอง สมมุติว่ามี 4 อย่าง อันดับแรก เปิดใจรับเชื่อพระเจ้า เราได้รับทรัพย์ มันก็บอกว่าทรัพย์ เงินทองอย่าไปได้เลย  มันจะปิดบังตา  เราก็กระเสือกกระสนต่อไป พระวิญญาณนำต่อไป  ได้รู้ความจริงมากขึ้น พอรู้ความจริงมากขึ้น ก็ได้สินมาแล้ว ทรัพย์ แล้วก็สิน มันก็ปิดบังต่อไป ได้รับทรัพย์สินแล้ว โอเคไม่เป็นไร ก็ปิดบังต่อไปไม่ให้รับเงินทอง  เราก็เรียนรู้ต่อไป โดยพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา รับรู้ความจริง พอรับรู้ความจริงนี้ อ้าว! เงินก็เป็นของเราด้วย  เราก็ได้รับเงินกลับมา มันก็ต้องคายออกมา มันขโมยเราไม่ได้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างง่ายๆ แต่อย่าไปคิดอย่างโลกนี้ว่าผมกำลังบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้ทรัพย์สินเงินทอง  นี่เปรียบให้ฟัง

            นี่คือวิธีการโกหกหลอกลวงของมาร ฟังในโลกวิญญาณอย่างนี้ แล้วไปคิดในเรื่องโลกวัตถุ พาสเตอร์นครบอกแล้วว่ามาเชื่อพระเจ้า จะได้รับทรัพย์สินเงินทอง นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ คือการโกหกหลอกลวงของมาร วิธีการของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นชัด ก็คือเมื่อมันหลอกลวง ก็แสดงว่ามันไม่มีอะไรเลย มันมีอำนาจเก๊ เมื่อมันขโมย เพื่อจะฆ่า ทำลาย มันก็ไม่มีสิทธิอำนาจที่จะฆ่า ทำลาย นอกจากให้เราฆ่าตัวเราเอง ถูกไหม? เพราะว่ามันขโมยเอาความจริงไป  จบเลย

            นี่ก็คือความจริงของกฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียนรู้ วันนี้จะเพิ่มเติม กฎทางฝ่ายวิญญาณเป็นความจริง คือ “ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์” เราจะเรียนรู้ตรงนี้แหละว่าก่อนเชื่อเราเป็นทาสบาป เป็นอย่างไร? หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? ในทางวิญญาณ  เราจะเริ่มต้นที่โรม 6:16  บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

        โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาส ของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

            ตรงนี้สำคัญมาก “ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย” ตรงนี้ ก็คือก่อน ถูกไหม? ก่อนจะเชื่อ เรามาดูที่หลังเชื่อในนี้เขียนว่าอย่างไร? “หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม” นี่คือหลังเชื่อใช่ไหม?  เห็นภาพไหม?

            จะอธิบายให้ฟัง เป็นทาสบาป ลักษณะเป็นอย่างไร? ต้องรู้คำในพระคัมภีร์ คำนี้ก่อนว่ามันแปลว่าอะไร? ท่านรู้ไหมว่านมัสการแปลว่าอะไร? ในทางตามองเห็น  ในทางวัตถุ สิ่งของ ปฏิบัติบนโลกใบนี้ คำว่า “นมัสการ” ก็คือการกราบ ไหว้ บูชา สรรเสริญ จะพาท่านไปดูความหมายของคำว่านมัสการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หมายถึงอะไร?

            “นมัสการ” หมายถึงบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนเหมือนดั่งทาส  นี่คือความหมายของคำว่านมัสการ ในพระคัมภีร์ ในเชิงของวิญญาณ  ในทางวิญญาณที่เราบอกว่าสำคัญที่สุด อ่านพระคัมภีร์ต้องนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งหมด  ความรอดเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  สำคัญที่สุด

            นมัสการเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แปลว่าบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนน เหมือนดั่งทาส เพราะฉะนั้น  คำตะกี้เราบอกว่าไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของความบาป ก็แสดงว่าไม่ว่าท่านจะนมัสการบูชา เคารพเชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป ท่านเป็นทาส ก็คือท่านยอมเชื่อฟัง เคารพ บูชา  ยอมจำนนต่อบาป เหมือนดั่งทาส ซึ่งคือก่อนที่ท่านจะเชื่อ อยู่ในสภาพนี้  วิญญาณของท่านกำลังนมัสการบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป หลังเชื่อค่อยมาว่ากัน

            เรามาดูสิว่าบูชา นมัสการ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป หมายถึงอะไร? ในพระคัมภีร์บอกอาดัมนำเอาเชื้อบาปเข้ามา  เราได้ยิน เชื้อบาปคืออะไร?  เชื้อบาป คือการพึ่งพาในตนเอง ทำตนเองให้เป็นรูปเคารพบูชา นมัสการตนเอง  ก็คือเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เชื่อฟังตนเอง เหมือนดั่งทาส นี่เรียกว่าความบาป แทนที่จะเชื่อฟังนมัสการพระเจ้า

            บาป คือการยกตนเองเป็นใหญ่ คือยอมจำนน ก้มกราบ เชื่อฟังในตัวเอง คิด แล้วก็ทำตามใจปรารถนาของตนเอง ซึ่งไม่มีทางที่จะทำดี สมบูรณ์ ครบถ้วน  ดีพร้อมตามที่ตัวเองคิดได้หรอก ถูกหลอกไป  เพราะตายจากความดีงาม คือตายจากพระสิริของพระเจ้าไปแล้ว  ทิ้งพระเจ้าไป  ก็ไม่มีทางทำดีได้  จึงไม่มีกำลังที่จะทำดี ให้บริสุทธิ์ดีพร้อมได้ตามที่ตัวเองคิดไว้ พระคัมภีร์บอก เพราะพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งความดี

            “พระเจ้าดี” คำว่าพระเจ้าดี คือพระเจ้าเป็นดี God is good ไม่ใช่พระเจ้ามีดี พระเจ้ามีพระลักษณะ คือเป็นพระเจ้า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพระเจ้า ที่ดี และเป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม เป็นความสว่าง เมื่อไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณของอาดัม  คือตายจากพระเจ้าไปแล้ว ก็มีลักษณะของความบาป คือตรงกันข้ามมาแทนที่  ในวิญญาณ ก็เกิดสิ่งหนึ่งมาแทนที่ คือความเป็นมลทิน ความชั่ว ความอธรรม ความมืด อะไรที่ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าดี ก็กลายเป็นชั่ว ก็คือเป็นบาป  พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี  พระเจ้าไม่อยู่แล้ว  ก็กลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม ก็คือเป็นบาปนั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดนี้ ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่ได้เป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น ในการวางแผนสร้างมนุษย์ให้เป็นลูกของพระองค์เลย เมื่อไม่ได้เป็นน้ำพระทัย  ไม่ได้เป็นพระประสงค์ ไม่ได้เป็นเป้าหมายของพระเจ้า จึงเรียกการกระทำนี้ว่าบาป

            บาป ก็คืออะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายของพระเจ้า เรียกว่า Missed the target แปลว่าพลาดเป้าไป นี่คือคำแปลของคำว่าบาป  Sin แปลตรงตัวเลย  แปลว่าเหมือนเรายิงธนู เล็งเป้าไว้กลมๆ สมมุติว่ามี 1 ถึง 10 มันหลุดออกไปเลย  หลุดกรอบไป เรียกว่าพลาดเป้า นี่คือภาษาจริงๆ ของพระคัมภีร์ คำว่า Sin แปลว่า Missed the target ความหมายคือเล็งแล้วมันไม่ตรงเป้า  ก็คือไม่ใช่วัตถุประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำอย่างนั้น  พระเจ้าต้องการให้มนุษย์สบาย  พระเจ้าต้องการให้มนุษย์มีความสุข พักอยู่กับพระองค์ เป็นวันสะบาโตกับพระองค์ตลอดไป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์พึ่งพาในพระองค์ วางใจในพระองค์ แต่มนุษย์ถูกหลอก โดยเริ่มต้นที่อาดัม ถูกล่อลวงให้พึ่งในตนเอง

            เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?  เห็นชัดเลยนะ มารมีอำนาจมาเกี่ยวข้องไหม? ไม่มีเลย มันมาหลอกบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของเราพลาดไป ถูกหลอก ด้วยความแยบยลของความชั่วร้าย ความคิดร้าย ความบาปของมารซาตาน ทำให้อาดัมฝืนคำสั่งของพระเจ้า ที่พระเจ้าสร้างกฎไว้ว่าอย่ากินผลไม้ที่ห้าม อย่ากิน วันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตายจากเรา วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะหลุดออกจากพระสิริของเรา วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะไปอยู่ตามลำพังเจ้าเอง นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้

            บางคนบอกพระเจ้าสร้างและรักเรา  ทำไมต้องมีกฎนี้ หลายคนถาม วันนี้ตอบแล้วนะ เขาถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าสร้างต้นไม้นี้ ต้นแห่งความดีและความชั่ว ไม่ให้กิน ไหนบอกรักเราไง เพราะรักเรา ถึงสร้างต้นไม้นี้ เพราะรักเรา ถึงสร้างกฎนี้ขึ้นมา เพราะกฎนี้ คือพระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก  จึงได้ประทานอิสรภาพให้กับเขา  ไม่ใช่สร้างเขามาเป็นโรบอต ไม่ได้สร้างเขามาเป็นหุ่นยนต์ว่า …

            “เธอต้องเชื่อฉัน เกิดมาต้องเชื่ออย่างเดียว”

            ให้เขาเป็นอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะรักพ่อหรือไม่รัก จะเชื่อฟังพ่อหรือไม่เชื่อ  ให้เขาเป็นอิสระจากใจของเขา ดีกว่าไหม?  มิฉะนั้น เราก็เป็นเหมือนโรบอต เรามีลูก เราให้ลูกเราทำดีด้วยวิธีใด? ล่ามโซ่ ไม่ให้ออกจากบ้านเลย  อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ เราให้อิสระเขา  เราสอนเขา เราบอกเขาออกจากบ้านไปได้ ไปเลย  แล้วอยู่ที่เขาตัดสินใจ เขาจะเชื่อเรา หรือจะเชื่อคนนอกบ้าน แล้วอาดัมเชื่อใคร?  อาดัมนำบาปเข้ามา  อาดัมบรรพบุรุษของเราเชื่อการโกหกหลอกลวงของมาร อาดัมนำเอาพลังอำนาจหนึ่งที่เรียกว่าความบาป ความบาป มีพลัง มีอำนาจ ถ้าผมยกตัวอย่างจะเห็นชัด บางคนบอกว่าเป็นอำนาจของความบาปและความตาย มันไม่เห็น ไม่รู้เป็นอย่างไร?

            ยกตัวอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพลังอำนาจของแรงดึงดูดของโลกมีไหม?  โยนของขึ้นไป ก็ตกลงมาหมด เห็นไหมว่าอะไรดูดลงมา  ไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริงๆ เหมือนกัน พลังอำนาจความบาป ความตาย เข้ามาในโลกนี้ ครอบคลุมอยู่เหนือโลกนี้ โดยที่เราไม่เห็น  แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นอยู่จริงๆ  เรียกว่าพลังอำนาจของความบาปและความตาย อาดัมเอาเข้ามา พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ทำให้เกิดคำสาปแช่ง

            คำสาปแช่ง คืออะไร? ฟังแล้วตกใจ ถ้าพูดง่ายนิดเดียว  คำสาปแช่ง คือพระพรของพระเจ้าหายไป คำสาปแช่ง คือตรงกันข้ามกับสิ่งที่เวลามีพระเจ้าอยู่ด้วย  มีพระพร พระเจ้าไม่อยู่ พระพรหายไป คำสาปแช่งเข้ามาแทนที่

            สิ่งดีงามที่พระเจ้าเรียกว่าพระพรต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์ และโลกใบนี้ที่เป็นบ้านของเขา  วัตถุต่างๆ ทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจหนึ่ง ที่เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความบาปและความตาย  และก่อให้เกิดคำสาปแช่ง เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ครอบครองอยู่ในวิญญาณจิตใจร่างกายของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างด้วยวิญญาณ จิตใจ และร่างกายนี้ ถูกครอบด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างรวมทั้งร่างกายมนุษย์ทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  คือต้องมาสู่ความสูญสิ้นทั้งสิ้น ตกอยู่ใต้พลังอำนาจของความบาปและความตายนี้ เหมือนดั่งทาส เห็นภาพหรือยังว่าเป็นทาสของความบาปและความตายหมายถึงอะไร?  เป็นทาสของความบาปและความตาย คืออยู่ใต้กฎนี้ โงหัวไม่ขึ้นเลย

            เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพลังอำนาจนี้มีอยู่จริง เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา พิสูจน์ได้ แล้วพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่ทำให้เราคิดชั่ว คิดอะไรที่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า มีอยู่จริงๆ เราจะพิสูจน์ได้โดย แม้มองไม่เห็นพลังอำนาจนี้ แต่พลังอำนาจนี้ สามารถส่งอิทธิพลผ่านเข้ามาในความคิดของเรา  ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม บนโลกนี้ ไปแอบอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือจะไปที่ดาวอังคารก็ตาม ดาวอังคาร ก็ยังเป็นโลกนี้อยู่นะ โลกนี้ หมายถึงวัตถุต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นมหาจักรวาลนี้

            อิทธิพลของความบาปและความตายนี้ ผ่านทางความคิดเข้ามาสู่เรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายนี้ เป็นสื่ออยู่ เมื่อไรที่วิญญาณเราออกจากร่าง ก็หลุดพ้นแล้ว แต่หลุดพ้นหรือไม่ มันก็หลุดออกไปจากร่างกาย ไม่ใช่ความคิดแล้ว แต่มันอยู่ในสถานที่วิญญาณนั้นได้เป็นทาสอยู่ ไม่ได้เป็นอิสระ ก็เป็นทาสตลอดไปนิรันดร์

            ตราบใดที่เรายังมีร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก สามารถรับสื่ออิทธิพล คลื่น กระแสความคิดนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  มัน  “มัน” ในที่นี้ หมายถึงพลังอำนาจของความบาปและความตาย อิทธิพลนี้  มันสามารถเกิดขึ้นได้ จากภายในตัวของเราเอง ความคิดในตัวของเราเองมันขึ้นมา  และจากภายนอก จากสื่อ จากข้างนอก มันตาเห็น หูได้ยิน มือไปสัมผัส ความคิดนี้มันสื่อเข้ามาได้  มันสามารถผ่านทะลุกำแพง ไม่ว่าจะหนาขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะปิดหู ปิดตา ไม่รับฟังก็ตาม ความคิดนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นมาได้ ในความคิดของเราเอง ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ากระแสของโลกนี้  เรียกว่าระบบของโลกนี้  เรียกว่าเนื้อหนัง ที่เราได้เรียนรู้ไปตอนที่ 1

            ระบบของโลกนี่ คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย ซึ่งเป็นศัตรูอยู่ตรงกันข้าม ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม  ความบริสุทธิ์ ความรัก และเป็นพระเจ้าตัวจริงๆ  พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ผู้ทรงประกาศอยู่เสมอว่าเราคือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ แต่เพียงพระองค์เดียว  แปลว่านอกนั้น หลอกเราหมด มีพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นเอง ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และสร้างกฎเหล่านี้ขึ้นมาทั้งหมด  ถูกหลอกว่าตรงนั้นเป็นพระเจ้า ตรงนี้ก็พระเจ้า  พระเจ้าเลยประกาศอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ว่าเราเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และถ้าถูกหลอกไป ก็คือไปมีพระเจ้าอื่น ก็จะอยู่ในการถูกหลอก อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งผลที่อาดัมทำเหล่านี้  ที่เอาพลังอำนาจของความบาปเข้ามาบนโลกใบนี้ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มันจะหมดไป เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง ผลก็คือลูกหลาน เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คือพวกเราที่เกิดตามมา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ใน DNA ของอาดัม เป็นลูกหลานที่ต่อสายพันธุ์ เชื้อชาติเข้ามา ก็ตกอยู่ใต้พลังอำนาจแห่งความบาปและความตายนี้ ก็คือตกเป็นทาสของความบาปนี้

            ตกเป็นทาส เชื่อฟังความคิดของบาป ก็คือเชื่อฟังความคิดของตัวเอง เห็นแก่ตัว ตัวเองเป็นใหญ่ เย่อหยิ่ง จองหอง  บูชา นมัสการตนเอง แทนที่จะนมัสการพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่อยู่ในใจของมนุษย์ รูปเคารพที่อยู่ในใจ คือบาป ตัวนี้แหละ  ก็คือตัวเองเป็นใหญ่  อะไรก็ฉัน ฉันเป็นใหญ่ และรูปเคารพที่อยู่ในใจ  คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย ตรงนี้จะทำให้เกิดผลออกมา เป็นการกระทำภายนอก ผลของการกระทำภายนอก มันเกิดจากข้างใน ก็คือสร้างรูปปั้นจากสัตว์ จากอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  มาเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงรูปเคารพที่อยู่ในใจ แล้วตัวเองกราบไหว้ ต้องการให้รูปเคารพนั้น ทำตามความปรารถนาของตนเอง ตัวเองเป็นใหญ่อยู่ในใจของตนเองนั่นเอง  สร้างมา เพื่อว่าเขาจะได้ทำตามเรา  แต่พระเจ้าบอกให้ทำตามพระเจ้า พระเจ้าปลอม ก็คือสร้างขึ้นมาโดยตัวเราเองนั่นเอง  เป็นคนที่อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ รูปเคารพมีไว้เพื่ออะไร?  เพื่อเราจะได้ขออะไรต่างๆ ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระเจ้าให้เราพึ่งพา วางใจในพระองค์

            ในข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้บอกว่า “ท่านไม่รู้ความจริงหรือว่า” ก็แสดงว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก  ท่านควรที่จะรู้ความจริงนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มีทาสของความบาป และทาสของความชอบธรรม มี 2 ทาสเท่านั้นเอง นี่พูดถึงคริสเตียน ก็คือหลังเชื่อแล้ว ก่อนเชื่อนั้น ท่านเป็นทาสของความบาป  หลังเชื่อ ท่านเป็นทาสของพระเจ้า  เป็นความชอบธรรม ท่านควรจะรู้

            พูดง่ายๆ ในโลกวิญญาณ มีแค่ 2 เจ้าเท่านั้นเอง  ไม่ใช่ร้านขายของนะ  2 พระเจ้า พระเจ้าจริงกับพระเจ้าปลอม พูดง่ายๆ ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 เจ้านายเท่านั้นเอง ที่ท่านจะเชื่อฟัง และท่านจะกราบไหว้บูชา นมัสการ

            เจ้านายแรก ก็คือบาป ทุกคนเกิดมาอยู่ในเจ้านายแรก  อยู่ใต้ เป็นทาสเจ้านายแรก นมัสการเจ้านายแรก  เรียกว่าบาป

            เจ้านายที่สอง เรียกว่าชอบธรรม คือพระคริสต์ คือพระเจ้าแท้จริง

            พระเจ้าปลอม คือพระเจ้าบาป บาป คือตัวเองเป็นใหญ่  พึ่งพาในการกระทำของตนเอง

            พระเจ้าจริง คือพระเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เป็นพระเจ้า  บาปส่งผลเป็นความตาย  ส่วนเจ้านาย คือพระเจ้าจริงๆ  ส่งผลเป็นชีวิต จำที่พระเยซูพูดได้ไหม? …

            “ท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะเป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นาย”

            ท่านต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง  ท่านจะเลือกทั้งนมัสการตัวเองด้วย ทั้งนมัสการพระเจ้าด้วยไม่ได้ ท่านต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวิญญาณของท่าน อยู่ 2 ที่ไม่ได้ อยู่ที่เดียว มันเป็นกฎ โดดไปโดดมา ก็ไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็อยู่เลย  จนกระทั่งนิรันดร์ ถ้าท่านอยู่ในบาป ท่านก็จะอยู่ในบาปนิรันดร์  มีเจ้านาย  คือบาป ถ้าท่านเปลี่ยนเจ้านายใหม่ เจ้านายเป็นพระเจ้า ท่านก็มีพระเจ้าพระคริสต์ เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว ตลอดไป เป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นายไม่ได้ ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างท่านจะเป็นทาสของบาปต่อไป ซึ่งนำไปสู่ความตาย ก็คือก่อนจะเชื่อ หรือท่านตัดสินใจจะมาเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม หลังเชื่อ ท่านต้องเลือกเอา นำไปสู่ความชอบธรรม ก็คือนำไปสู่พระคริสต์นั่นเอง มาดู โรม 6:17 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:17  “แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้น อย่างสุดใจ”

            พระคัมภีร์ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลเขียนถึง กำลังพูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว หลังเชื่อแล้ว  ในข้อ 17 จึงบอกว่า “แต่ขอบคุณพระเจ้า” ทำไมขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า เพราะคุณเลือกเชื่อแล้ว หลังเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้า

            “แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป” คือแต่ก่อนนี้ ท่านอยู่ใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ “ท่านก็ได้เชื่อฟังคำสอน ซึ่งมอบหมายแก่ท่านนั้น อย่างสุดใจ” ตรงนี้เป็นสำนวน  ที่หมายถึงขอบคุณพระเจ้า  ที่แต่ก่อนนี้ ท่านอยู่ภายใต้การเป็นทาสของบาป  แต่ขอบคุณพระเจ้า ท่านตัดสินใจเลือกข้างใหม่ มาอยู่ในพระคริสต์ และพระเจ้าทรงประทานใจใหม่ให้ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟังพระองค์ มันแปลว่าอย่างนี้  ก็คือโดยพระคุณพระเจ้า   ทรงประทานใจที่เป็นลูกของพระเจ้า ลูกแห่งการเชื่อฟังให้กับเรา ให้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา ที่เกิดใหม่ในวิญญาณ ใจที่เชื่อฟังนี้ เป็นส่วนหนึ่งในความรอดที่เราได้รับจากพระเจ้า เมื่อเราตัดสินใจย้ายข้าง เมื่อเราตัดสินใจย้ายออกจากทาสของความบาป มาสู่ทาสของพระคริสต์

            พูดง่ายๆ ว่าตรงนี้หมายถึงว่าท่านได้ไปอยู่ในพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าได้ประทานถ้อยคำ ก็คือพระคริสต์ ก็คือความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้ท่านเชื่อ และท่านเชื่อฟัง คำว่าเชื่อฟังตรงนี้ หมายถึงเชื่อฟัง ที่เป็นของประทานเกิดขึ้นอยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ของท่านที่เกิดใหม่ เป็นของประทานที่ไม่ไปไหนเลย  ไม่ใช่ท่านเชื่อฟังเอง  แต่เป็นการเชื่อฟังที่เป็นบุคลิก เป็นลักษณะหนึ่ง ที่พระเจ้าได้ใส่ลงไปในวิญญาณและในใจใหม่ของท่านนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อได้รับธรรมชาติใหม่ และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในพระองค์ด้วย เป็นของประทานให้เชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าประทานให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ไม่ใช่พยายามเชื่อ แต่มันเชื่อโดยเป็นธรรมชาติ  มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการพยายามบรรลุถึงสภาวะของการประพฤติ ในร่างกายนี้ ให้บริสุทธิ์ ให้ดีพร้อม ไม่ใช่ ให้เชื่อฟัง ไม่ใช่ แต่เป็นการตระหนัก และรับรู้ และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงว่า …

            “ตัวตนแท้จริงของฉันในวิญญาณนั้น บริสุทธิ์และเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกที่บริสุทธิ์และเชื่อฟังแล้ว ในพระคริสต์ ตรงนี้ต่างหาก ที่ต้องรับรู้ ความบริสุทธิ์ของเรานั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยายาม หรือการงานของเราทำ ไม่ใช่เราจะไปพยายามทำให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ใช่ แต่ขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขนต่างหาก การสำเร็จ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ตั้งแต่การสิ้นพระชนม์จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายนี้ ทำให้คนที่เชื่อในพระองค์บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง ในวิญญาณ และในใจ ไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติเลย ข้อที่ 18 ต่อ …

        โรม 6:18 “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

            เห็นไหมครับ? “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป ได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว” ก็คือมันเป็นขึ้นมาโดยกำเนิด มันไม่ได้เป็นการกระทำ  ไม่ใช่ท่านได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสรภาพจากความบาป โดยการประพฤติของท่านที่หนีออกมาจากความบาป ไม่ใช่ แต่พระเจ้าประทานให้ต่างหาก พูดง่ายๆ เหมือนท่านได้รับปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากบาป ก็คือตอนก่อนเชื่อ ท่านถูกล่ามโซ่อยู่ เป็นทาสของบาป รู้แล้วใช่ไหมบาปหมายถึงอะไร?  เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ ตอนนี้ท่านเป็นลักษณะเดียวกัน คือท่านถูกล่ามโซ่ เหมือนกับทาสเหมือนกัน แต่เป็นการถูกล่ามโซ่ เหมือนกับทาส ถูกควบคุมให้ทำตามพระเจ้า

            เห็นอะไรบางอย่างไหม? แต่ก่อนนี้ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องพยายามเลย  ท่านก็ทำชั่วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  ท่านก็เชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว พอมองเห็นไหม? นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณว่ามี 2 ข้าง ข้างหนึ่งเป็นทาสแห่งความบาป คือไม่เชื่อฟัง อีกข้างหนึ่งเป็นทาสของพระคริสต์ คือเชื่อฟัง จะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง พระคัมภีร์กำลังอธิบายให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่ามันมี 2  ข้าง

            พระเจ้าประทานความปรารถนาในใจให้กับเรา  ตอนที่เราย้ายข้างมา  พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่ ในพระคัมภีร์บอก เพราะฉะนั้น ตัวตนของเราจริงๆ คือวิญญาณและใจของเรา อยากได้อะไร ทั้งหมดนั้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น  มันของดีหมดเลย แต่ของไม่ดี มันมาจากข้างนอก นอกตัวเราแล้ว มันจะมาหลอกล่อ หลอกลวงเราต่างหาก

            พระเจ้าประทานความปรารถนาในใจให้กับเรา ซึ่งท่านไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุมท่านอยู่ เพราะท่านเกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของท่าน อยู่ในใจของท่าน ควบคุมอยู่เลย ท่านจะไปไหนรอด  ไม่รอดเลย เพราะว่าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุมท่าน อยู่ในใจของท่าน อยู่ในวิญญาณของท่าน ให้วิญญาณและในใจของท่านได้นมัสการ บูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อพระเจ้า ถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันแปลว่าอย่างนี้ พระวิญญาณนำท่าน ที่เกิดใหม่นั้น ให้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  คือพระคริสต์

            นมัสการแปลว่าอะไร? ก็รู้อยู่แล้วตะกี้นี้ ก็คือให้ท่านบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อพระคริสต์ จอมเจ้านาย เหมือนดังเป็นทาส เปรียบเทียบให้ดู เหมือนแต่ก่อนนี้ เราเคยเป็นทาสของความบาป  แล้วมาเป็นทาสของพระเจ้า  เปรียบให้เหมือน ไม่ใช่เราเป็นทาสจริงๆ แต่เราเป็นลูก เป็นทาสที่เป็นลูก พูดง่ายๆ ข้อ 19 …

        โรม 6:19 “ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามประสามนุษย์ ก็เพราะท่านอ่อนแอตามปกติวิสัยของท่าน เมื่อก่อนท่านเคยให้ส่วนต่างๆ ในกายของท่าน เป็นทาสของความโสโครก และความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุดอย่างไร บัดนี้ ก็จงให้ส่วนต่างๆ นั้น เป็นทาสของความชอบธรรม ซึ่งนำมาสู่ความบริสุทธิ์อย่างนั้น”

            ต้องเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าแต่ก่อนนี้ ท่านไม่ได้เชื่อ ท่านอยู่ในความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านั้น  เพราะเป็นทาสเขาอยู่ เพราะว่าท่านอ่อนแอ ต้องยกตัวอย่างอย่างนี้ว่าความชั่วร้ายที่ท่านเคยทำมาเป็นอย่างไร?  บัดนี้ ท่านไม่ได้อยู่อย่างนั้นแล้ว  ท่านจะไปทำความชั่วร้ายนั้นอีกทำไม? และท่านไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว  บัดนี้ ท่านเชื่อแล้ว ท่านมาเป็นทาสของพระเจ้า ของความดีงามแทนแล้ว  ตรงนี้ต่างหาก

            ก่อนเชื่อ เป็นทาสของความโสโครก ความชั่วร้าย

            หลังเชื่อ เป็นทาสของความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ที่อยู่ภายในใจ ในวิญญาณของท่านแล้วนั้น

            ให้เห็น 2 ข้างว่า แต่ก่อนนี้ทำไม่ดีต่างๆ เพราะว่าเป็นทาสของความไม่ดี ตอนนี้เป็นทาสของความดี ก็น่าจะมาทำตาม ให้มันสมกับการที่ภายในเป็นคนดีแล้ว พูดง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังสอนเราว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านควรจะมอบอวัยวะในร่างกายของท่าน มาเชื่อฟังพระเจ้า จะได้บริสุทธิ์ จะได้สะอาด จะได้ดีมากขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่กำลังบอกให้เห็นว่ามันมี 2 ข้าง  ข้างหนึ่งชั่ว ข้างหนึ่งดี  ตอนนี้เราดีแล้ว ดีโดยกำเนิด ดีครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมันก็ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย

            แต่ปฏิบัติตัวภายนอก ก็คือมอบอวัยวะในร่างกายทุกส่วนให้กับวิญญาณที่อยู่ภายใน ให้กับพระเจ้าที่อยู่ภายในใช้ ให้มันสมกับที่มันเป็นคนดี สมบูรณ์แบบแล้ว  ไม่ใช่ว่ามอบอวัยวะในร่างกายให้กับพระเจ้าใช้นะ  เพื่อที่ท่านจะได้บริสุทธิ์ ดีพร้อมมากขึ้น  ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่ เราถูกโกหกหลอกลวงว่าให้เป็นอย่างนี้ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องทำดี ต้องทำอะไรต่างๆ นั้น มอบอวัยวะในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เพื่อเราจะได้บริสุทธิ์ดีพร้อมมากขึ้น มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะท่านได้รับความบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ จะทำให้ท่านบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นได้อีกเลย เพราะมันสมบูรณ์แล้ว  พระเยซูตรัสว่ามันสำเร็จแล้ว เอเมน

            ซาตาน มารก็พยายามมาหลอกเรา โกหกเรา มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องทำดีอีก ต้องทำพร้อมกว่านี้  ไม่ดีหรอก ทำอย่างนั้น ก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ ยังไม่พร้อม จริงๆ ก็คือมันดีพร้อมหมดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ภายนอก มันยังอยู่ใต้อิทธิพลของการหลอกลวงของมารอยู่ ข้อ 20-21 …

        โรม 6:20-21 “20 เมื่อท่านเป็นทาสของบาป ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม 21 ครั้งนั้น ท่านได้เก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านก็ละอายแก่ใจ ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้น คือความตาย”

            เห็นไหม? เปรียบเทียบ 2 อัน ตอนนั้นท่านเป็นทาสของความบาป  พยายามทำความดีมากเท่าไร ก็ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้เลว  ยังไงก็เป็นผลเลว  เป็นความพินาศ ความตาย  ท่านทำไป ก็มีแต่ความตายตลอดเวลา  มีแต่ความเสียหายตลอดเวลา ท่านเห็นไหม? แต่เดี๋ยวนี้ ข้อ 22 …

        โรม 6:22  “แต่บัดนี้ ท่านเป็นอิสระจากบาป และได้กลายมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ประโยชน์ที่ท่านได้เก็บเกี่ยว นำไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลลัพธ์ คือชีวิตนิรันดร์”

            แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นกิ่งก้านที่พระเจ้าถอนออกมาจากต้นไม้เดิม คือต้นไม้อาดัม ต้นไม้บาป  คือตัวท่านถูกย้ายมา ตัวท่านก็เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ ย้ายออกมาต่อติดกับต้นไม้ดี คือพระเยซูคริสต์แล้ว พระคริสต์ คือเจ้าชีวิตของท่าน เป็นเจ้านายของท่าน แต่เพียงผู้เดียวแล้ว  ท่านได้เป็นชีวิตนิรันดร์ เข้าส่วนร่วมวิญญาณเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว  เป็นร่างกายของพระองค์แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านจะไปทำอย่างเก่าอีกทำไม? นี่กำลังพูดอย่างนี้ หมายถึงท่านเป็นแล้ว  ท่านอย่าถูกหลอกให้ประพฤติเหมือนดังที่เคยประพฤติ ตอนที่ยังไม่ย้ายมา  ตอนที่เป็นทาสของบาปอยู่ ท่านไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว  ท่านปฏิเสธมันได้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลย  เพราะว่าวิญญาณและใจของท่านนั้น ใหม่เอี่ยม สะอาด เป็นส่วนหนึ่ง เป็นร่างกายของพระคริสต์แล้ว

        โรม 6:23 “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

            เพราะค่าตอบแทนของความบาป คือความตาย ถ้าท่านยังไปทำเหมือนเดิม ไปยอมเชื่อมารว่าให้ทำตามเหมือนเดิม ก็คือทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า  ก็คือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รู้ไหมค่าจ้างของความบาป  ค่าจ้าง คือผลตอบแทน ท่านต้องลงแรงลงกาย ไปทำบาป แล้วก็ได้ความตาย  ความไม่สบายกลับมา  ได้ความทุกข์ใจกลับมา  ท่านจะไปลงแรงลงกายทำทำไม? เหนื่อยด้วย แล้วแถมได้สิ่งที่ไม่ดีกลับมาด้วย ท่านมาทางพระเจ้าดีกว่า เพราะว่าบาป คือการพึ่งพาแรงกาย การกระทำของตนเอง  ซึ่งทำไม่ได้ เหนื่อย  ยากลำบากมาก และค่าตอบแทนของการทำบาป  ทำตามใจตัวเองนั้น  ก็คือตายจากพระเจ้า ไม่ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ ท่านจะไปทำทำไม?

            กำลังพูดให้เห็นว่าท่านไม่อยากทำอยู่แล้ว ในใจของท่าน  เพราะมันเหนื่อย หมายถึงคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  เวลาทำบาปแล้ว มันจะเหน็ดเหนื่อยมาก เหนื่อยเหลือเกิน  มันไม่อยากทำ  เพราะรู้ว่าค่าจ้างของมัน คือความตาย มันไม่มีประโยชน์เลย

            เพราะฉะนั้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจรับของขวัญจากพระเจ้า  คือการพึ่งพา การกระทำของพระเยซูคริสต์ดีกว่า วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่เหนื่อย ยาก ลำบาก ได้รับค่าตอบแทนสูงด้วยอีกต่างหาก ก็คือได้ชีวิตนิรันดร์ อยู่ในบาป พยายามๆ จะไปอยู่ในสวรรค์ นึกภาพออกนะ  ก่อนเชื่อ  อยู่ในบาป พยายามทำ เพื่อไปสวรรค์ เหนื่อยไหม? เหนื่อย  แล้วได้สวรรค์ไหม? ไม่ได้ ได้อะไรแทน ตกมาตาย  มาอีกข้างหนึ่ง มาวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ให้พระเยซูทำ แต่ได้รางวัล คือได้สวรรค์ ไม่ตาย  นี่มันหมายถึงอย่างนี้

            ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดู เป็นสุดท้ายก่อนที่จะจบ เห็นชัดเลย มันเหมือนเราจะไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ตกเป็นทาสบาป เขาอยากไปสวรรค์ อยากจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ สวรรค์เหมือนยอดภูเขา  อยู่บนยอดสวรรค์ มนุษย์เกิดมาปุ๊บ อยู่ตีนภูเขา  แล้วทำอะไร? มีบันไดให้ปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง  ไปสวรรค์ด้วยตัวเอง ก็คือปีน เกิดมาปุ๊บ วันแรก ก็เริ่มปีน  ปีนไปเรื่อยๆ บางคนก็ได้มากขั้น บางคนก็ได้น้อยขั้น แต่ไม่มีใครไปถึงสวรรค์สักคน ปีนๆ ไป ในที่สุด ก็ตาย ผลของการปีน เหนื่อย แล้วก็ต้องตาย ก็คือไม่ได้ไปสวรรค์นั่นเอง ไม่ได้อยู่ในสวรรค์

            แต่พระเจ้าส่งพระเยซูลงมา เพราะว่ามองเห็นมนุษย์อยู่ว่าปีนอย่างไรก็ไม่ถึง พระเยซูก็ลงมา แล้วก็ชี้ให้มนุษย์เห็นว่ามนุษย์ คุณปีนอย่างไรก็ไม่ถึง แล้วคุณพึ่งพาการกระทำของตนเอง พึ่งพาในความดีงามของตนเอง  เพื่อจะไปสวรรค์ มันไม่ถึงหรอก เพราะว่าคุณปีนไป คุณก็ทำชั่ว  เพราะว่าท่านเกิดอยู่ในบันไดของความชั่ว  ความบาปนี้  ท่านต้องย้าย  พระเยซูเลยมาบอกว่าวางใจในเราสิ  ไม่ต้องปีนให้เหนื่อย  วางใจในเรา ก็คือเข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์เหมือนลิฟต์ รู้จักลิฟต์ใช่ไหม? เข้าอยู่ในลิฟต์ ปีนๆ อยู่ เหนื่อยๆ  ไม่ไหวแล้ว  ไม่ไหวก็เข้าไปอยู่ในลิฟต์ ขึ้นลิฟต์ปุ๊บ ถึงสวรรค์ทันทีเลย ไม่ต้องปีน ขึ้นลิฟต์ กดปุ๊บ ขึ้นสวรรค์เลย กด เมื่อท่านตัดสินใจจะย้ายออกจากบันไดนั้น พอย้ายจากบันไดปุ๊บ เข้าลิฟต์ ลิฟต์ขึ้นทันที ไม่ใช่เข้าเสร็จ ต้องรอให้คนอื่นมาหรือยังๆ ทุกคนมีลิฟต์ส่วนตัว พอเข้าลิฟต์ปุ๊บ ท่านกดทันที ขณะที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเข้ามาอยู่ในลิฟต์ มันขึ้นสวรรค์ทันทีแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจ และจะอยู่ที่นี่กับพระเจ้าตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่เหนื่อยด้วย และได้รับรางวัล คือสวรรค์

            อีกข้างหนึ่งทั้งเหนื่อย  ทั้งลำบาก ทั้งปีนด้วยตัวเอง แต่ในที่สุด  ตาย จะเอาอะไร? ปีนด้วยตัวเอง  พึ่งพาตัวเอง แล้วก็มองไปข้างล่าง

            แล้วก็บอก … “ตามฉันมา ทำให้ได้เหมือนฉันสิ  ฉันได้เยอะแล้ว  ฉันคิดว่าฉันไปถึง”

            แล้วถึงไหม? ไม่ถึง แต่ก็พยายามที่จะสอนคนข้างล่างว่าตามฉันขึ้นมา  ปีนขึ้นมาอีก พยายามปีนขึ้นมา พยายามปีนอีกนิดหนึ่ง คนสอนก็ไม่ถึง คนถูกสอน คนตามมาก็ไม่ถึง

            แต่พระเยซูบอก … “ฉันมา ไม่ได้ต้องการให้เธอมาปีนขึ้นมาตามฉัน ขึ้นมาๆ เพราะฉันจะบอกให้เธอฟังว่าฉันรู้ดี เธอปีนอย่างไรก็ไม่ถึงหรอก  เพราะฉะนั้น เลิกปีนเถอะ  เลิกยึดกฎระเบียบตามความบาป แต่ให้มาวางใจในฉัน  ฉันจะพาขึ้นสวรรค์เอง  จงวางใจในเรา แล้วท่านจะพบกับพระบิดา ท่านจะมาหาพระบิดาได้มีทางเดียว คือทางเรา พระบิดา คือเจ้าของสวรรค์ ท่านจะไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ได้ ก็เพราะทางเราเท่านั้น เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าให้มนุษย์เลือกทางที่จะไปอยู่สวรรค์กับพระองค์

                        1. ทางของมนุษย์คิด

                        2. ทางของพระเจ้าคิด

            ทางของมนุษย์ คือสะสมทำดีก่อน เพื่อจะไปสวรรค์

            ทางของพระเจ้า คือได้อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วจึงสะสมทำดี

            ความคิดมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ดีพร้อม เพื่อจะไปสวรรค์

            ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ดีพร้อมอยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราจะฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติสมกับที่บริสุทธิ์ดีพร้อม

            ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง

            ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            ยอห์น 3:16 … “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์”

            เพราะเรารอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  ตั้งแต่นาทีที่เราเชื่อ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้แล้ว   ได้บังเกิดใหม่แล้ว

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จาก (ทาง) กฎแห่งบาปและความตาย”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1456

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 34

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 6 เรามาถึงบทสุดท้าย เราได้เรียนรู้ถึงความล้ำลึก ในถ้อยคำของพระเจ้า  ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราเรียนพระคัมภีร์ทั้งเล่ม วนไปวนมา ก็อยู่ในจุดเดียว ก็คือการไถ่ถอนของพระเยซูคริสต์ แผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ คือวนไปเวียนมา เราจะเจาะลึกลงไปตรงนี้ เพื่อสถาปนาความจริงในข่าวดีของพระเจ้า  เพื่อพวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ จะไม่สั่นคลอน ไม่หวั่นไหว เราจะได้หนักแน่น มั่นคง ในขณะที่บางครั้งเราอาจจะเจอการทดลอง หรือข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมองของเรา  ทำให้เราเกิดความสงสัยในถ้อยคำของพระเจ้า  เกิดความสงสัยในความรอดที่พระเจ้าได้กระทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ สถาปนา ฟังแล้วฟังอีกในเรื่องข่าวดีของพระองค์ วันนี้เรามาดูหนังสือเอเฟซัส บทที่ 6 กัน

        เอเฟซัส 6:1-3 “1 ผู้ที่เป็นบุตรจงเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพราะนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 2 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”  นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย 3 “เพื่อเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข  และมีชีวิตยืนยาวในโลก”

            สมัยก่อน เราก็เรียนรู้ในขนาดของสมองของมนุษย์ เรียนรู้ว่าเป็นคำสั่งที่พระเจ้าสั่งพวกเราผู้เชื่อว่าให้เราเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็ให้เราให้เกียรติคุณพ่อคุณแม่

            ในถ้อยคำตรงนี้ส่วนใหญ่ ผู้รับใช้พระเจ้าก็จะยกมาสอนหรือเทศน์ ในช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นวันพ่อวันแม่ จะสอนเราว่าเราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรกับพ่อแม่ของเรา  หรือคุณพ่อคุณแม่ควรจะมีท่าทีแบบไหนกับลูก ซึ่งความเป็นจริงในบริบทที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ มันลึกซึ้งกว่านั้น ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลยกมาจากพระคัมภีร์เดิม ในหนังสืออพยพที่พระเจ้าให้บัญญัติ 10 ประการ ให้กับโมเสส ให้ไปประกาศกับอิสราเอลว่าให้ยึดถือข้อความเหล่านี้ ให้ยึดถือแบบเอาจริงเอาจังเลย ต้องเป็นแบบนั้น

            ในยุคพระเดช ก็คือพระคัมภีร์เดิม ถ้าคนอิสราเอลไม่ทำตามนี้ จะได้รับโทษ  ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม มันจะมีโทษฐานที่สาหัสมาก สำหรับคนอิสราเอล บอกว่าถ้าคนหนึ่งคนใดได้ยินลูกคนไหน ด่าว่าพ่อแม่ หรือไม่เชื่อฟัง หรือดื้อ แล้วมีพยาน 2 คน เอาลูกคนนั้นมาที่กลางแจ้ง เอาหินขว้างให้ตายเลย  นั่นคือกฎบัญญัติเดิม ที่พระเจ้าตั้งขึ้น เป็นกฎที่มนุษย์ทำไม่ได้อยู่แล้ว มีลูกคนไหนที่ไม่ดื้อกับพ่อแม่ ไม่มี แล้วมีพ่อแม่คนไหนที่ไม่ทำให้ลูกโกรธ ก็ไม่มีอีก บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจ หรือบางครั้งคุณพ่อคุณแม่พูดอะไร? ที่ไม่ได้ตั้งใจ ทำร้ายจิตใจลูกมาก หรือบางครั้งลูกพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ทำร้ายจิตใจของพ่อแม่เช่นเดียวกัน

            ฉะนั้น บทบัญญัติตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ไม่ได้หมายความว่าเป็นพระสัญญา พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าถ้าลูกคนไหนเชื่อฟังพ่อแม่แล้ว เขาจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก และมีชีวิตยืนยาว ถ้าข้อนี้เป็นคำที่พระเจ้าสัญญา แปลว่าถ้าลูกคนไหนกตัญญู คนนั้นจะอายุยืนใช่ไหม?  แต่พี่น้องเคยสังเกตไหมว่ามีลูกที่กตัญญูมากๆ อายุสั้นก็มี จริงไหม? แล้วก็ลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่ไม่ได้ไปดีมาดีบนแผ่นดินโลกด้วย บางทีเจออะไรไม่รู้เยอะแยะมากมาย เจ็บป่วยบ้าง อะไรบ้าง แปลว่าข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ไม่ได้เป็นพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าถ้าทำอย่างนี้ เราจะได้รับอย่างนี้  แต่ที่พระเจ้าเขียนให้คนอิสราเอลทำ ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่ใช่แนะนำนะ  เป็นคำสั่งว่าให้ทำแบบนี้เพื่อประโยชน์ของคนอิสราเอล ถ้าเป็น ณ ปัจจุบัน ที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ พระเจ้ากำลังบอกเราว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ดี สมควรทำ  ให้ทำเถิด  ทำแล้วเป็นประโยชน์กับเรา  เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่าอะไรที่ดี ก็ทำ  อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ในลักษณะเหมือนกัน

            ฉะนั้น พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ปุ๊บ เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เข้ามาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  เราได้บังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณใหม่ของพวกเราทุกๆ คน คือเป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง นึกออกไหม? เชื่อฟังเลย เชื่อฟังพระเจ้า 100% ไม่มีการดื้อ ไม่มีการกบฏ ไม่มีอะไรเลย  แต่ในขณะเดียวกัน  ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บางครั้งเราก็ดื้อ  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เป็นไหม?   เราถูกล่อลวง ด้วยโลกใบนี้ ส่งข้อมูลมา ลากจูงเราไปทำตามระบบของโลกนี้ แต่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์ หรือไม่เชื่อฟังพระองค์ ก็ไม่เป็นไร? ฟังดีๆ นะ

            ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อพระองค์ ก็ไม่เป็นไร?  เพราะเราได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว

            ขอถามพวกเราซึ่งมีครอบครัวแล้ว มีลูกเต้าแล้วว่าเคยไหมที่เราเลี้ยงลูกตั้งแต่เด็กจนโต แล้วลูกเราเชื่อฟังทุกประการ โดยไม่เคยดื้อกับเรา ไม่มี ก็คือดื้อบ้าง เชื่อบ้าง แต่ไม่ว่าลูกเราจะดื้อหรือเชื่อฟัง เรารักเขาเหมือนเดิมไหม? เหมือนเดิม เรารักเขานะ  เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าลูกคนนี้ทำไมดื้ออย่างนี้ ตัดขาดออกจากการเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกแล้วกัน ไม่มี มันเป็นภาพ ที่พระเจ้าให้เราเห็นว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว บางครั้ง เราอาจจะดื้อกับพระเจ้า  ก็ไม่เป็นไรเลย เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์อยู่ พระองค์ไม่ได้รักเราน้อยลง ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าไม่รักเราน้อยลง  เพราะว่ารักจนถึงที่สุดแล้ว  รักโดยขนาดที่ยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือรักสุดๆ แล้ว จะขอว่าพระเจ้ารักลูกเพิ่มขึ้นได้ไหม? พระเจ้าบอกมันหมดแล้ว  คือให้หมดแล้ว  ไม่ต้องขอแล้ว ฉันให้เธอหมดหน้าตักเลย  คือยอมให้ชีวิตกับเธอเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น เราอย่าให้ระบบของโลกนี้  หรือข้อมูลอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ใส่เข้ามาในความคิดของเราว่าเราทำอย่างนี้ พระเจ้าต้องรักเราน้อยลงแน่ๆ เลย พระเจ้าต้องไม่รักเราแล้วล่ะ อะไรอย่างนี้ อย่าให้การโกหก หลอกลวงนี้ เข้ามาครอบครองความคิดของเรา  ทำให้เรารู้สึกท้อใจ ทำให้เรารู้สึกไม่กล้าที่จะสู้หน้าพระเจ้า

            สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจำเป็นจะต้องรู้ว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดไหน? มากแบบสุดๆ แล้ว ฉะนั้น ตรงนี้เป็นข้อที่อาจารย์เปาโลยกขึ้นมา พูดถึงลักษณะของลูกที่สมควรเชื่อฟังพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไรเลย ในขณะที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  พอมาถึงข้อที่ 4 …

        เอเฟซัส 6:4 “ผู้ที่เป็นบิดาอย่ายั่วโทสะบุตรของตน แต่จงอบรมเลี้ยงดู โดยการฝึกฝนและสั่งสอนตามแนวขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

            ภาพนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าสื่อมา ให้เราเห็นในภาพของพ่อ แบบมนุษย์ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? พระองค์รักเราแบบสุดๆ แล้ว แล้วลักษณะในความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเรา ลูกๆ ของพระองค์ ก็คือพระองค์จะอบรม เลี้ยงดู ฝึกฝน สั่งสอน

            คำว่า “ฝึกฝน, สั่งสอน” คือไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่สอนลูกเลย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าลูกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็จะสอนลูกว่า …

            “อันนี้ไม่ถูกนะลูก หนูทำอันนี้ไม่ได้ หนูต้องเปลี่ยนความคิดใหม่นะ หนูต้องปรับปรุง”

            นั่นคือความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา เมื่อผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่ตีเรานะ หลายครั้ง คนชอบเอาข้อพระคัมภีร์ตรงนี้  ที่บอกว่าพระเจ้าทรงตีสอน พอเราเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ที่มันไม่คาดคิด  เราก็จะถูกข้อมูลบนโลกใบนี้ใส่เข้ามาในความคิดเราว่า …

            “นี่เห็นไหม ตอนนี้พระเจ้ากำลังตีสอนเธออยู่”

            ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ กำลังต่อว่าพระเจ้า  ซึ่งมันไม่เป็นความจริง พระเจ้าไม่ได้ตีสอนเรา แบบดุร้าย ตีสอนเราลักษณะเหมือนกับ …

            “เห็นไหม เธอไม่เชื่อฟัง ป่วยแล้ว ป่วย เพราะเธอไม่เชื่อฟังพระเจ้า เห็นไหม พระเจ้าก็เลยส่งโรคภัยไข้เจ็บมาให้เธอ จะได้เข็ดหลาบ เธอจะได้ทำตัวให้มันดีๆ”

            พี่น้องลองคิดตามว่าพ่อของเรา  เป็นแบบนั้นหรือ? พระเจ้าผู้ทรงบอกว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก และพระองค์ผู้ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน พระเจ้าองค์นี้จะส่งโรคภัยไข้เจ็บมาทำให้เราเข็ดหลาบหรือ? มาตีสอนเราหรือ?  ไม่จริงแน่นอน

            พวกเราจำเป็นจะต้องรู้ตรงนี้มากๆ อย่าให้มารใช้ระบบของโลกนี้ การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา ทำให้เราคล้อยตามมัน พอเกิดปัญหา ความทุกข์ยากลำบากปุ๊บ

            เขาก็บอก … “เห็นไหมๆ พระเจ้ากำลังตีสอนเธออยู่ เห็นไหม? เพราะเธอไม่เชื่อฟัง พระเจ้าก็เลยทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เห็นไหม?”

            เห็นตลอดแหละ คือจะถามว่า “เธอเห็นไหม?” ถ้าเรารู้ความจริงในความรักของพระเจ้า

            เราก็จะสวนกลับไปว่า … “ไม่เห็นโว้ย ฉันเห็นแต่ความดีงามของพระเจ้า ฉันเห็นแต่ความรักของพระเจ้า  ฉันเห็นแต่ความเมตตา ความกรุณา ความละมุนละม่อมของพระเจ้า ฉันไม่เห็นเลยว่าพระเจ้าฉันดุร้าย  ถึงขนาดส่งอะไรมาทำให้ฉันลำบาก ยากเข็ญ แต่ทำไมเรายังเจอความทุกข์ยากลำบากอยู่ นั่นคือความจริงอีกอันหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ บรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป  เมื่อล้มลงในความบาป ทำให้มนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ความสาปแช่ง

            สาปแช่ง ไม่เฉพาะร่างกายของเราเท่านั้น แต่ถูกสาปแช่งทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้  สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้  ได้ถูกสาปแช่งไป เรียบร้อยแล้ว หมายความว่าโลกนี้กำลังเสื่อมโทรมไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายครั้งคริสเตียนหลายคนยังเข้าใจว่าเขามีความสามารถที่จะอธิษฐาน ให้โลกนี้กลับคืนสู่สภาพดี ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปไม่ได้  เพราะพระเจ้าบอกแล้ว ถ้าผู้เชื่อคนไหนสามารถอธิษฐานให้โลกกลับคืนมาดีเหมือนเดิม แปลว่าพระเจ้าโกหก จริงไหม?  พระเจ้าโกหก พระเจ้าพูดไม่จริง โลกนี้สามารถกลับคืนสู่สภาพดีได้ เราอธิษฐานสิ ใช้ความเชื่อ  เราเป็นผู้เชื่อไง พระเจ้าบอกว่าคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรม มีพลังทำให้เกิดผล เราต้องอธิษฐาน เราต้องขอแล้วขออีก แล้วพระเจ้าจะทำตามคำขอของเรา พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเรา  พระเจ้าจะทำให้โลกนี้กลับคืนสู่สภาพดีเหมือนเดิม ซึ่งมันเป็นการโกหก หลอกลวงที่สาหัสมาก  แล้วมีหลายคนก็เชื่อตามนั้นด้วย แล้วพยายามๆ ที่จะอธิษฐานๆ เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้า

            พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? สมัยก่อนเราพูดบ่อย  เราต้องอธิษฐานให้เยอะๆ วันละ 10 หรือ 20 ชั่วโมง เขย่าบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ตามความปรารถนาของเรา  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ถ้าเราอธิษฐาน ขอพระเจ้าเมตตา เราสามารถอธิษฐานได้ทุกอย่างเลยนะ เราอธิษฐาน … “พระองค์เจ้าข้าอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น” ทั้งหมด สรุปจบ ก็คือแต่อย่างไรก็ตาม ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ลูกต้องการ ลูกต้องการสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ใครๆ ก็อยากได้ มีใครอยากป่วยไหม? ไม่มี ทุกคนอยากแข็งแรง เราอธิษฐานขอได้ แต่เรารับรู้ความจริงอันหนึ่ง ที่เราขอ ก็คือเราขอตามความอยากของเรา แต่เราก็รู้ว่าแล้วแต่พระเจ้า  พระเจ้าสามารถที่จะให้เราแข็งแรง จนเราจากไปอยู่กับพระเจ้าได้ไหม? พระเจ้าทำได้นะ แล้วแต่น้ำพระทัย

            แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือร่างกายเราเดินทางสู่ความตายแน่นอน เราจะอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีทาง เพราะพระเจ้าบอกว่าร่างกายเราถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว บนโลกใบนี้ ในร่างกายเรือนดินของเรา  แต่สิ่งที่สำคัญ คือพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่  ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าไม่ว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้ เราจะแก่ลงทุกวันๆ ผมหงอกทุกวัน หน้าเหี่ยวไปทุกวัน เม็ดสีขึ้นมาแล้วเยอะแยะเลย ก็ไม่ทำให้เรารู้สึกท้อใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ มองกระจกทีไร กลุ้มใจทุกทีเลย ทำไมแก่ลงๆ  เราก็ไม่ได้รู้สึก เพราะว่ามันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

            แต่สิ่งที่เราชื่นชมยินดี คือเรารู้ว่าวิญญาณข้างในใหม่ขึ้นทุกวัน เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เรามีความชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา แล้วเรามีความหวังใจ ยิ่งแก่มากเท่าไร ยิ่งขอบคุณพระเจ้า  แก่แล้ว เดี๋ยวเราก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว   มีใครคิดแบบนี้ไหม?  ดิฉันคิดนะ  เราแก่ลงแล้ว แปลว่าเวลาบนโลกใบนี้ เราเริ่มน้อยลงแล้ว  เวลาที่เราจะได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลยนะ มันใกล้เข้ามาแล้ว  มีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี  เราเลยไม่กลัวว่าจะแก่ ไม่เป็นไรหรอก ใครบอกว่าไม่สวยแล้ว ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องสวยมากก็ได้ แต่เรารู้ว่าอนาคตข้างหน้า ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราสวยที่สุดเลย

            นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ฉะนั้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า อย่าให้โดนหลอก ให้เอาถ้อยคำของพระเจ้ามาใช้  เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ ให้กับพวกเราเอง

            ภาพของพระเจ้าจริงๆ พระองค์เป็นผู้ที่อ่อนโยน  พระองค์เป็นผู้ที่สอนเราด้วยความรัก  ดังแก้วตาดวงใจ พระองค์ไม่เคยบังคับเราเลย พระองค์ไม่เคยที่จะบีบคอเราว่าต้องทำตามที่พระองค์สั่ง ต้องเชื่อฟังนะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ฉันเขี่ยเธอออกจากสวรรค์เลย  ไม่มีภาพนี้ในพระเจ้าเลย

            ฉะนั้น ภาพที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของคุณพ่อทุกๆ คน ต้องวงเล็บว่าพ่อปกติ ไม่ใช่พ่อประหลาด พี่น้องรู้ไหมพ่อประหลาด ก็คือไม่รักลูก รังแกลูก ตีลูกตลอดเวลา  ไม่มีเหตุผล เขาเรียกว่าพ่อประหลาด  แต่พ่อที่เป็นพ่อจริงๆ  ตามแบบที่พระเจ้าสร้างไว้  เป็นคุณพ่อที่รักครอบครัว รักลูก เป็นคุณพ่อที่ให้อภัยลูกตลอดเวลา เป็นคุณพ่อที่พร้อมที่จะอ้าแขนรับลูกเข้ามา โอบกอดลูกเอาไว้ ในขณะที่ลูกดื้อ ลูกทำผิด ลูกล้มลง พ่อไม่เคยทับถม  ไม่เคยเหยียบซ้ำ  แต่พ่อจะจูงมือลูก แล้วก็เดินไปด้วยกัน  ปลอบโยนลูก เล้าโลมจิตใจลูก …

            “ไม่เป็นไรนะลูก ล้มลง ลุกขึ้น เริ่มต้นใหม่นะลูก”

            นี่คือพ่อปกติ ฉะนั้น ภาพนี้แหละที่พระเจ้าให้เราเห็นลักษณะของพระองค์เอง ในลักษณะแบบนี้ เราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถอยู่แล้ว ที่จะทำได้แบบที่พระเจ้าทำ แต่ว่ามันเป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ ที่พระเจ้าสื่อให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระองค์มีต่อเรา  พอถึงข้อที่ 5 …

        เอเฟซัส 6:5 “ผู้ที่เป็นทาสจงเชื่อฟังเจ้านายฝ่ายโลก ด้วยความเคารพยำเกรงและด้วยความจริงใจ เหมือนที่ท่านเชื่อฟังพระคริสต์”

            ถ้อยคำตรงนี้ที่อาจารย์เปาโลได้บอกกับผู้เชื่อคนต่างชาติ สมัยก่อน เรามีทาสใช่ไหม?  เหมือนยุคหนึ่งที่ประเทศไทยก็มีทาส ฉะนั้น พอมีการเลิกทาสขึ้นมา ทุกคนก็ได้ยินข่าวดีตรงนี้ ก็ชื่นชมยินดี  ได้เป็นอิสระ มันเป็นภาพเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ปลดปล่อยเราได้เป็นอิสระ พ้นจากการเป็นทาส (ฝ่ายวิญญาณ) เราเป็นอิสระในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

            แต่ตรงนี้ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คือการดำเนินชีวิต ถ้าคนนั้นเป็นทาสอยู่ แล้วบังเอิญมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทาสคนนั้น  เขาเป็นอิสระในวิญญาณเลย แต่ในร่างกายของเขา ก็ยังคงเป็นทาสอยู่ จริงไหม? ยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม ภาพตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในขณะที่ท่านมาหาพระเจ้า อยู่ในสภาพไหน ก็ให้อยู่สภาพนั้น  ด้วยความชื่นชมยินดี

            ถ้าท่านเป็นทาส ท่านก็ทำหน้าที่ของการเป็นทาสให้ดีที่สุด ในนามของพระเยซูคริสต์ เพราะว่า ณ เวลานี้  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในตัวของทาสคนนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เขาเป็นอิสระในวิญญาณ แต่เขายังคงเป็นทาสในร่างกายนี้  โดยพระเจ้า ต้องบอกว่าโดยพระเจ้า  เพราะว่าจากนี้ไป ไม่ว่าพระเจ้าจะนำเขาแบบไหน? พระเจ้าอาจจะนำเขาให้สามารถออกจากการเป็นทาส เป็นอิสระ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระเจ้าก็ทำได้  แต่ถ้าสมมติว่าพระเจ้ายังคงให้เขาอยู่ในสภาวะตรงนั้นอยู่ ก็ให้เขาอยู่ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ว่า …

            “พอฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นทาส ฉันต้องพยายาม ให้หลุดจากการเป็นทาสให้ได้ แล้วก็ทุกข์ใจทุกวัน ทำไมฉันไม่หลุดสักที ฉันยังเป็นทาสอยู่ ทุกข์ใจทุกวัน” ไม่ใช่

            พระเจ้าบอกว่าให้อยู่อย่างชื่นชมยินดี ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วแต่พระเจ้า ถ้าเกิดพระเจ้าจะให้คนๆ นั้น หลุดจากการเป็นทาสพระเจ้ามีวิธีการที่จะให้เขาหลุดตรงนั้นได้ แล้วแต่น้ำพระทัย ไม่เกี่ยวอะไรกับทาสคนนั้นเลย ในข้อที่ 6 …

        เอเฟซัส 6:6 “ไม่เพียงแต่เชื่อฟังเจ้านายต่อหน้า  เพื่อให้เขาพึงพอใจ แต่ให้เป็นเหมือนทาสของพระคริสต์ คือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจของท่าน”

            พี่น้องนึกถึงคำว่า “จากใจ” เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า  เราทำทุกอย่างจากใจ  เรารักคนรอบข้างจากใจ ใจข้างในที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว  ใจที่เป็นความรัก  เป็นลักษณะชีวิตใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำ หลังจากที่เราบังเกิดใหม่แล้ว เราทำในนามของพระเยซูคริสต์

            คำว่า “ในนามของพระเยซูคริสต์” แปลว่าไม่ได้ทำด้วยตัวเราเอง จริงหรือไม่จริง? ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าได้ถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในพวกเรา ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำอะไรก็ตาม เราทำในนามของพระเยซูคริสต์ เราเป็นตัวแทนของพระองค์ เป็นทูตของพระองค์ที่จะออกไป ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม เป็นทูตของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ เมื่อเราทำอะไร เรานึกถึงการเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เราต้องคิดใช่ไหม?

            “เอ๊ะ! ถ้าเราทำแบบนี้ พระเยซูโอเคไหม?  เหมือนกับเราเป็นลูกน้อง แล้วเจ้านายมอบอำนาจให้เราเป็นตัวแทนของเจ้านาย  ที่จะไปคุยเรื่องอะไรก็ได้  ที่ไปคุย เราระลึกอยู่เสมอว่าเราแค่เป็นตัวแทนของเจ้านายของเรา เจ้านายเขากำหนดมาแล้วว่ามันเป็นแบบนี้ เราก็ทำตามนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ  เราเป็นทูตของเจ้านาย เจ้านายสั่งว่าให้อย่างนี้นะ พอไปถึง เราไม่เอาแล้ว ความคิดเจ้านายไม่โอเค เราเปลี่ยนดีกว่า ความคิดของเราดีกว่า  แล้วเราก็ทำตามความคิดของเรา ซึ่งถ้าทำแบบนั้น  เราก็ไม่ได้เป็นทูตของเจ้านาย เราเป็นตัวของเราเอง ที่ออกไปทำภารกิจตรงนั้น ซึ่งมันไม่ใช่  เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา แล้วระลึกว่าทุกอย่างที่เราทำ พระเจ้าเป็นผู้นำเราอยู่

            ทีนี้ คนจะถามเราว่าอ้าวเวลาเราทำบาปล่ะ พระเจ้ายังนำเราอยู่ไหม?  พี่น้องว่าพระเจ้ายังนำเราอยู่ไหม?  พระเจ้านำนะ เพราะว่าพระเจ้าอยู่ในเรา  แต่พระเจ้านำแบบ …

            “ลูกเอ๋ย กลับมาเถอะๆ ลูกๆ ก้าวขาออกไปแล้ว  เดี๋ยวตกเหวนะ กลับมาเถอะๆ”

            ประมาณนั้นแหละ  คือเหตุที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะพระเจ้าไม่บังคับเราไง พระเจ้าให้อิสระเราในการเลือก ที่จะตัดสินใจว่าเราจะเชื่อฟังพระวิญญาณ หรือเราจะเชื่อฟังเนื้อหนังที่ระบบของโลกใบนี้ส่งเข้ามาล่อลวงเราให้เดินตามมัน  เพราะว่าเรายังมีโปรแกรมหรือมีความเคยชินเก่าๆ ที่มันติดตัวเราอยู่ ความเคยชินตรงนี้ บางทีเราเผลอ เราก็ทำตามมัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ให้เรารับรู้ความจริงว่าเราอยู่ได้ไม่นานหรอก นึกออกไหม? เพราะว่าธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด ทำบาปไม่เป็น พอเราไปทำบาปปุ๊บ เราอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่มีใคร พอเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ทำบาปไป ยิ้มไป  มีความสุขมากเลย ฉันทำบาปแล้ว อะไรแบบนี้  มันไม่มีทาง  เราจะรู้สึกทุกข์ ข้างในเราทุกข์

            เหมือนภาพที่เราแพ้อาหาร หรือแพ้อะไรบางอย่าง บางคนแพ้ฝุ่น พอเดินไปที่ฝุ่นเยอะๆ ก็จะเกิดอาการ ไม่สบายตัว บางทีก็ไอ บางทีก็จาม  บางทีก็อึดอัด หรือบางคนแพ้อาหาร กินอาหารที่มันผิดสำแดงปุ๊บ มาเลย ตัวคัน หรือตัวเป็นจ้ำ แล้วเราก็ต้องทำอะไร? หยุดไง หยุดกิน แล้วก็หาเครื่องป้องกัน พอหยุด มันยังคันอยู่ เราก็ต้องไปหายาแก้แพ้มากิน  เพื่อดักให้มันหายไป ภาพเดียวกัน

            เมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์  เราทำบาปไม่เป็น  ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเราปุ๊บ เราจะมีอาการทันที อาการแบบไม่ไหวแล้ว คัน เราแพ้ เราแพ้ความบาป  แล้วเราก็ต้องรีบกลับมาแก้ไข โดยวิธีหายากิน  ยาที่ดีที่สุด คือถ้อยคำพระเจ้าใช่ไหม? จะเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับพวกเรา รับรู้ว่า …

            “ตอนนี้  ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว  ฉันเป็นความดี ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นอะไรทั้งหลายที่พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับฉันเรียบร้อยไปแล้ว”

            แล้วเราก็เริ่มฝึกฝน ลักษณะอย่างนี้แหละ ที่พระเจ้าฝึกฝนเรา …

            ฝึกฝนอันแรก คือที่จะปฏิเสธ คริสเตียนปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็น ถ้าเราปฏิเสธ เหมือนเราไม่มีความรักหรือเปล่า? เราเหมือนถูกเอาอะไรครอบสมองไว้ว่าถ้าเราปฏิเสธ คนที่ถูกปฏิเสธ เขาก็จะว่าเรา อะไรเป็นคริสเตียน ทำไมถึงไม่มีความรัก เราก็ใช่ๆ เราเป็นคริสเตียน ทำไมเราไม่มีความรัก  เราปฏิเสธไม่ได้ เราต้องทำทุกอย่างที่เขาขอมา หรือเสนอมา ซึ่งมันไม่ใช่ เราต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธเป็น ปฏิเสธว่าอันนี้โอเคไหม? ถ้าสมมติว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือ จากเรา แล้วเราบวก ลบ คูณ หารแล้ว เราช่วยเขาได้ แล้วข้างในวิญญาณเราโอเคเลย เราเต็มใจช่วย พี่น้องทำไปเถอะ เพราะพระเจ้านำท่าน  แต่ถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือเรา ข้างในเราไม่โอเค อึดอัด เราปฏิเสธได้นะ …

            “ขอโทษนะคะ อันนี้มันเกินกำลังของเรา เราคงช่วยท่านไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ”  อะไรแบบนี้

            ไม่ใช่ ใครขอ ไปหมด คนที่ตายคือใคร? คนที่ถูกขอ ไม่ใช่คนที่ขอ ทำให้ทุกอย่าง เพื่อเธอ มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะปฏิเสธได้ แล้วการปฏิเสธไม่เกี่ยวอะไรกับว่าเราไม่มีความรัก เพราะว่าพระเจ้าให้สติปัญญากับเรา สามารถที่จะแยกแยะว่าอะไรโอเค อะไรไม่โอเค อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง อะไรที่เราควรทำ อะไรที่เราไม่ควรทำ  ถ้าอะไรก็ตามที่ทำ แล้วมันหนักเกิน สำหรับเรา  เราปฏิเสธไปเลย ไม่ใช่เอาทุกเรื่อง ไม่ใช่ การปฏิเสธเป็นอันหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ ในขณะที่เรามาบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า พอบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ ถูกบล๊อคเลย โลกใบนี้มันก็ส่งข้อมูลมาเลย …

            “เธอเป็นลูกพระเจ้าไง เธอบอกว่าเธอเป็นความรัก ใครขออะไร เธอต้องให้นะ ถ้ามีคนมาขอยืมเงินเธอ ขอมา 1 ล้าน  2 ล้าน 3 ล้าน เธอต้องให้นะ แม้แต่เธอไม่มีเงิน เธอก็ยังต้องไปกู้หนี้ ยืมสิน เพื่อสำแดงความรัก”

            พี่น้องว่าใช่ไหม?  มันไม่ใช่นะ อะไรที่ทำให้เราเดือดร้อน  ไม่ใช่แน่นอน ถ้าสมมติว่ามีคนมายืมเงินเรา  แล้วเรามีกำลังพอที่จะให้  กำลังพอนะ ไม่ใช่เกินกำลัง แล้วต้องคิดถึงตัวเองด้วย ไม่ใช่ให้หมดหน้าตักเลย แล้วตัวเองมาเดือดร้อน เอาเงินค่าเทอมลูก คนนี้มาขอ  สำแดงความรักของพระเจ้าหน่อย ให้ไปหมดเลย  แล้วพอจะจ่ายค่าเทอมลูก ไม่มีเงิน ทำอย่างไร? ก็ไปกู้หนี้ ยืมสิน อันนั้น ไม่ใช่เลยนะพี่น้อง ต้องรู้ว่าเราหลงกลของมารที่ส่งเข้ามา โดยใช้ความรักของพระเจ้า เพื่อที่จะมาบีบบังคับให้เราทำตามมัน ซึ่งมันไม่ใช่

            ฉะนั้น คริสเตียนควรจะมีสติสัมปรัชญะ มีการแยกแยะผิดถูก มีการรับรู้ว่าอันนี้ได้ อันนี้ไม่ได้  ไม่ได้ ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความรัก

            ความรักหลายๆ ครั้ง คือต้องไม่ยอมมัน  เพื่อว่าเราจะได้สำแดงให้เขารู้ว่าอันนี้ไม่โอเคนะ สมมติว่ามีคนที่วันๆ งานการไม่ทำ แล้วก็ขอเงินเราอย่างเดียว  ปฏิเสธไปเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอกคนไม่ทำงาน ไม่ต้องให้กิน  แล้วพอบอกไม่ให้กิน เราไม่มีความรักหรือเรามีความรักมากเลย เพื่อฝึกฝนเขา เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะไปทำงานด้วยมือของเขาเอง

            นั่นคือภาพทั้งหมด มันเป็นเรื่องที่เล็กๆ น้อยๆ บางครั้งเราก็ถูกหลอกให้ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะคำว่าเป็นคริสเตียน ทำไมถึงไม่มีความรัก  ให้รับรู้ความจริงอันหนึ่ง ก็คือวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก  เรารักเรียบร้อยไปแล้ว เรามีความรักแบบเหมือนพระเจ้าเลย แต่ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งเราก็ไม่มีความรักจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมอะไรทั้งหมด  หรือการตัดสินใจทั้งหมด  บางทีเราไม่มีความรักจริงๆ  บางทีเราใจดำด้วย ใจดำกับสิ่งที่ไม่ควรใจดำด้วย มีโอกาสเป็นใช่ไหม? แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าไม่ว่าเราจะทำอย่างไร พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าเราใจดำมากๆ  พระเจ้าก็จะสอนเรา  พระองค์ก็จะฝึกฝนเรา …

            “ลูกเอ๋ย อย่าใจดำขนาดนั้นเลย เรียนรู้ที่จะให้ออกไปบ้างนะ อย่าขี้เหนียวขนาดนั้นเลย สลึงหนึ่งไม่ให้กระเด็น” … นั่นก็เยอะไป

            ฉะนั้น ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับพวกเรา ที่พวกเราจะสามารถรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่าวิญญาณเราได้เป็นอิสระแล้ว แต่ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าให้เราทำทุกอย่าง อะไรที่ดี ก็ทำ อะไรที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ก็แค่นั้นเอง ในข้อที่ 7 และข้อที่ 8 …

        เอเฟซัส 6:7-8 “7 จงรับใช้ด้วยความเต็มใจราวกับกำลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์ 8 เพราะท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า   จะทรงปูนบำเหน็จความดี ความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือเป็นไท”

            อันนี้เป็นผล ไม่เกี่ยวกับวิญญาณเลย  เป็นผลที่เราทำบนโลกใบนี้  อย่างที่บอกอะไรที่คิดว่าดี ก็ให้ทำ อะไรที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ

            ในนี้บอกว่า “พระเจ้าจะเป็นผู้ปูนบำเหน็จความดี ความชอบแก่ทุกคนที่ทำดี” ปกติมันก็เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้อยู่แล้ว เรียกว่าอาจจะดีในสายตาของพระเจ้า แต่อาจจะไม่ดีในสายตาของเรา ก็ได้ นึกภาพออกไหม?  เราอย่าคาดหวังว่าเราทำดีกับคนนี้ แล้วคนนี้ต้องทำดีตอบเรา อย่าไปคาดหวังอย่างนั้น ถ้าเราจะทำดีให้กับใคร? อันแรกเลยในพระคัมภีร์บอก ก็คือให้ทำเสมือนหนึ่งทำให้พระเจ้า แล้วจบตรงนั้นเลยนะ  ไม่ต้องมานั่งคิดว่าเขาต้องมาตอบแทนเรา  หรือพระเจ้าต้องมาตอบแทนเรา ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

            ฉะนั้น ภาพของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเรา ถ้าเราประพฤติ ปฏิบัติตาม เลียนแบบที่พระเจ้าบอกเรา ให้เราเลียนแบบพระเจ้าพ่อของเรา เราก็จะทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น คำว่า “ทุกข์น้อยลง” ยังทุกข์อยู่ไหม?  ทุกข์อยู่นะ พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าพอเราทำอย่างนี้ เราจะสุขตลอดชีวิต ไม่มีความทุกข์ ไม่ใช่นะ เราจะทุกข์น้อยลง เราจะสุขมากขึ้น นี่คือความจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากศิษยาภิบาล

            พระเจ้าทั้งสัญญา และสาบานด้วยตัวของพระองค์เอง … ถึงขนาดนี้! ท่านจะเชื่อและวางใจในพระองค์หรือไม่?

            ฮีบรู 6:18-19 … “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เรา ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่พระเจ้าจะพูดโกหก 19 ด้วยเหตุนี้ พวกเรา ที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์   จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็ง ที่จะยึดมั่นในความหวัง  ที่อยู่เบื้องหน้าเรา ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือ  ที่มั่นคงและติดแน่น ในความคิดจิตใจ และความหวังนี้  ได้นำพาเรา เข้าไปสู่ หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า”

            ถ้าเราหยั่งรากของหลัก  คือสมอของความคิดจิตใจ   ลงไปในความหวังอันแท้จริง    ที่พระเจ้าสัญญา และสาบานไว้ คือความรอดจากความพินาศจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปหลังความตาย

            การได้อยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์ การบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์ การได้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์   ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป

            พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว   และจะอยู่ตลอดไป พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว   ความคิดจิตใจของเรา   ก็จะมั่นคง    ไม่หวั่นไหวโคลงเคลง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  นานัปการในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้

            ฮีบรู 10:17 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

            สดุดี 103:12 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด   พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา  ออกไปไกลเพียงนั้น”

            โรม 4:8 … “พระเจ้าได้สัญญาและสาบานว่า … “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า  จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีก”

            ตอนที่พระเยซู  สิ้นพระชนม์บนไม้การเขน  พระองค์ได้ตรัสว่า  “สำเร็จแล้ว”  คำสัญญาและสาบานของพระเจ้าได้ถูกทำให้สำเร็จแล้วนั่นเอง

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1455

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เข้าซีรี่ย์นี้ต่อ คือ “วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” จากตอน 1 ที่แล้ว เราได้คำตอบแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ  เรียนรู้กันตอนที่แล้ว

            “ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ”

            ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากขึ้น ก็ไปเปิดฟังเอาจากยูทูป หรือจากเฟสบุ๊คที่บันทึกไว้ครั้งที่แล้ว จะได้รู้ว่าอยู่ในเนื้อหนังเป็นอย่างไร? อยู่ในพระวิญญาณเป็นอย่างไร? ปูพื้นฐานเกี่ยวกับวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ Before and After” ปูพื้นฐานไว้อย่างละเอียดเลย ฟังดูแล้วจะได้มีพื้นฐานในการเรียนรู้เรื่องนี้ ซีรี่ย์นี้จะได้เข้าใจมากขึ้น

            วันนี้มาต่อตอนที่ 2 “ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์” นี่คือความจริงของกฎในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเป็นผู้ตั้งขึ้นและเป็นผู้ดูแล  เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นเรื่อง พื้นฐานในการเรียนรู้จักพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์ทั้งหมด ในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:21-22  คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าได้สอน ได้สำแดงให้เราได้รู้ ได้เข้าใจมากขึ้น 1 โครินธ์ 15:21-22 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ …

        1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวง จะได้รับชีวิตฉันนั้น”

            เพราะในเมื่อความตายฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่าพินาศ … พินาศ คือความตาย … ความตายทางฝ่ายวิญญาณ สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากความตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน  เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือการเป็นขึ้นจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ เห็นไหม? เหมือนกัน ในลักษณะเดียวกัน  เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ก็คือความตายในวิญญาณ ก็คือตายอยู่ในอาดัม  วันนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าอดีต ก่อนเชื่อ เราอยู่ในอาดัม หลังเชื่อ เราอยู่ในพระคริสต์ ความสว่าง คือสภาพของพระคริสต์นั่นเอง

            “คนทั้งปวงตายฉันใด” คือคนทั้งปวงตายในวิญญาณฉันใด อยู่ในอาดัม ฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น  ลักษณะเดียวกันเลย อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ชีวิตนิรันดร์

            ถามว่า “ความตายทางฝ่ายวิญญาณคืออะไร?” ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ความตายทางฝ่ายวิญญาณ คือตายจากพระเจ้า  ไม่ได้หมายถึงตายสูญหายไปเลย ไม่ใช่  ตายทางฝ่ายวิญญาณ คือตายจากพระเจ้า  หย่าจากพระเจ้า ใช้คำนี้ก็ได้ คำเดียวกันกับเขาเอามาใช้ในเรื่องของสามีภรรยาหย่ากัน แยกกันอยู่ แยกจากพระเจ้า ตายจากพระเจ้า  ออกจากพระเจ้าไป

            โรม 5:12 ได้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกันว่า …

        โรม 5:12  “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว ก็คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา

            บาป คือความไม่เชื่อฟังพระเจ้า การกบฏต่อพระเจ้า  การดื้อต่อพระเจ้า  การทิ้งพระเจ้ามา ไม่ใช่พระเจ้าทิ้งเรานะ  การที่เราทิ้งพระเจ้า  ออกจากพระเจ้า หย่าขาดจากพระเจ้า  มาพึ่งในตัวเอง  เรียกว่าความชั่ว ความบาป และตัวความชั่ว ความบาปนี้ มันจึงก่อให้เกิดความประพฤติชั่วตามมา  เพราะความดีหายไปแล้ว  ความดีอยู่ในพระเจ้า

            ในนี้จึงบอกว่า “บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว คืออาดัม และบาปนำความตายมา”  ก็คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ ดื้อต่อพระเจ้า ก็คือออกจากพระเจ้ามา  เรียกว่าทำผิดจากความประสงค์ของพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระเจ้า  ความประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์อยู่กับพระองค์ แต่มนุษย์ออกมาจากพระองค์ เรียกว่าทำบาป  กบฏ การกบฏนี้ นำความตายมา ก็คือการกบฏ ออกจากบ้านพระเจ้าไป  ก็คือเกิดความตายทางฝ่ายวิญญาณขึ้นมา ก็ตายจากพระเจ้า  ทิ้งพระเจ้าไปนั่นเอง

            “และโดยทางนี้เอง” โดยทางนี้ คือทางการไม่เชื่อฟังพระเจ้าทำบาป  ทำให้เกิดการตายจากพระเจ้า โดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนได้ทำบาป  พอออกมาจากพระเจ้าปุ๊บ ไม่ได้มาคนเดียว  มาทั้งเผ่าพันธุ์ มาทั้งครอบครัวเลย เพราะว่าอาดัมเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ นึกภาพออกใช่ไหม? แทนที่ลูก หลาน เหลน โหลนจะอยู่ในอาดัม และอยู่ในบ้านกับพระเจ้า พระเจ้าต้องการเช่นนั้น  แต่มนุษย์ไม่ฟัง ไม่เชื่อ อยากจะออกมาพึ่งพาตนเอง อยากจะออกมาทำมาหากินนั่นแหละ ก็เลยพาครอบครัวออกมาด้วย ครอบครัวมีเราอยู่ในนั้นด้วย ก็คือมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งบ้าน ทั้งหมดเลย  … บ้าน ก็คือโลกใบนี้

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน เกิดมาบนโลกใบนี้  จึงไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เท่ากับได้ทำผิดบาปแล้ว  เพราะเป็นลูกหลานของอาดัม  คือเกิดในความบาป เกิดมาเป็นบาป เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้าเลย เกิดมาไม่มีพระเจ้าอยู่ เกิดมา ก็เป็นนักโทษของความบาป อยู่ภายใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาป  เกิดมา ก็ตายทางวิญญาณ  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เกิดมา วิญญาณก็อาศัยอยู่ในบาป  พระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรม  … คนอธรรม คือคนไม่ชอบธรรม … คนไม่ชอบธรรม คือคนชั่ว  … ชั่ว เพราะกระทำชั่ว ไม่ใช่ เพราะเกิดมามีสภาพ ลักษณะทางธรรมชาติเป็นคนชั่วในวิญญาณ คนชั่ว คือคนบาป  คนบาป คือคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วยนั่นเอง  และคนที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย คือลูกหลานของอาดัม  ที่อาดัมพาออกมาจากพระเจ้านั่นเอง  โรม 5:15 ได้บันทึกว่าแล้วพระเจ้าทำอย่างไร? …

        โรม 5:15 “แต่​ของขวัญ​ที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น มัน​แตกต่าง​กัน ​เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง ​ขณะ​ที่​ความผิด​บาปของ​คนๆ ​หนึ่ง คือ​อาดัม ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า​ และ​ของขวัญ​ที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตา​ของ​คน​คน​เดียว ​คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น  ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

            เมื่อตะกี้ในข้อ 12 เราเรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์บอกเราว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ในบาป ก็คืออยู่ในอาดัม เป็นลูกหลานของอาดัม

            “มนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ในอาดัม”

            มีปัญหาแล้วนะ  แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่าน โรม 5:15 ว่า …

            “แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้ มันแตกต่างกัน เพราะในทางหนึ่ง ขณะที่ความผิดบาปของคนๆ หนึ่ง คืออาดัม ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย” อย่างที่ตะกี้เราเรียนรู้ไปแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่ง ก็คือลักษณะเดียวกัน แต่เป็นทางตรงกันข้าม ก็คือพระเมตตา กรุณาของพระเจ้า  พระคุณของพระเจ้านั่นเอง  และของขวัญที่ผ่านมาทางความเมตตาของคน คนเดียว คือความเมตตาของพระเยซูคริสต์ ที่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย

            พระเยซูคริสต์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ที่เกิดมาอยู่ในอาดัม ให้มีทางออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ลักษณะเดียวกันเลย  ก็คือให้เปล่าๆ ฟรีๆ  ไม่ต้องทำอะไรเช่นกัน เพราะว่าตอนเราเกิด เราอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป เราทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไร เราก็เป็นคนบาปแล้ว  เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเกิดใหม่ พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ เป็นประตูสวรรค์ให้เราบังเกิดใหม่ เข้าอยู่สวรรค์กลับมาสู่อ้อมกอดของพระองค์ โดยความเชื่อและวางใจในของขวัญนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน  เหมือนกันเลย แต่คนละขั้ว เอเมน น่าคิดนะ

            น่าคิดตรงไหน?  น่าคิดตรงที่มนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชีย ยิ่งชัดใหญ่เลย มันจะชินหูกับคำพูดที่บอกว่าคนเราเกิดมา ต้องใช้หนี้เวรกรรม คุ้นไหม? มีหมดนะ ทั้งโลกเลย  คนเราเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม เป็นเรื่องธรรมดา เวรกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่ปางก่อน ทำเป็นเพลงเยอะแยะ ทำเป็นโคลง เป็นกลอน อะไรต่างๆ  พูดถึง พรรณาถึงสิ่งนี้ว่าเกิดมาใช้กรรม ไม่มีใครพูดเลยนะ เกิดมาอยู่ในสวรรค์ มีแต่เกิดมาใช้กรรม  และกรรมแต่ปางก่อน  แล้วเชื่อไหม?  ในอดีตเชื่อไหม?  ในอดีตเชื่อกันง่ายๆ  คนเราเกิดมาก็ต้องใช้กรรม แล้วไปทำอะไรมา ไม่รู้ ต้องใช้กรรมแหละ กรรมอะไร? เมื่อไร? โบ้ยไปโน้น เมื่อชาติที่แล้ว กรรมเก่า กรรมโน้น กรรมนี้ไปเรื่อยเปื่อย หาไม่เจอ แต่เชื่อนะ  ทำไมรู้ว่าเชื่อ ก็ไปหาวิธีการต่างๆ ทำพิธีต่างๆ เพื่อชดใช้กรรมเหล่านั้น ใช้อย่างไร? มันก็ไม่หมดสักที ไปทำพิธีโน่นพิธีนี่ เพื่อใช้กรรมเขาไป  ใช้กรรมเมื่อไรจะจบสักที นี่เป็นต้น

            แต่ว่าพอพูดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ให้มนุษย์ได้ยินได้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณเช่นเดียวกัน พูดว่าอย่างไร? คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง  โดยการเชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกันเลย  เชื่อไหม? ไม่เชื่อ คิดดูหลายปี ก็ไม่เชื่อ หลายคนคิดจนกระทั่งถึงจบสุดท้าย ในชีวิต ก็ยังไม่เชื่อ ก็ยังเชื่ออันเดิมอยู่ว่าคนเราเกิดมา ก็ต้องใช้กรรมเก่า เมื่อไรมันจะหมดสักที ขณะที่ข่าวประเสริฐ ข่าวดีอีกอันหนึ่ง พระเจ้าบอกว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้เป็นอิสระแล้ว พระเยซูได้ไถ่ท่านออกจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวงแล้ว มารับไปเลยฟรีๆ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ประกาศก้องมา 2,000 ปีแล้ว สำเร็จแล้วๆ มารับไปเถิด นี่คือข่าวดี

            ข่าวดีรับยาก มนุษย์รับแต่ข่าวร้าย  ซึ่งเราก็พอรู้แล้วนะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้  เราเรียนรู้จากโลกฝ่ายวิญญาณไปบ้างในตอนที่แล้วว่ามนุษย์ถูกชักจูงในทิศทางที่ไม่เชื่อในความจริงของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในความจริงของข่าวดี เพราะว่าโลกนี้มีกฎของความบาปและความตาย  กฎของคำสาปแช่ง ปกคลุมอยู่ ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มาข้อต่อไป โรม 5:16 …

        โรม 5:16  “แน่นอน​ ผล​จาก​ของขวัญ​นั้น แตกต่าง​อย่าง​มาก ​จาก​ผล​ของ​ความผิด​บาปที่​อาดัม​ได้​ทำ เพราะ​การ​ทำ​ผิด​บาปเพียง​ครั้ง​เดียว ​(ของอาดัม) ทำ​ให้​ทุก​คน​ ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ว่า​ผิดบาป แต่​ของขวัญ​นั้น​ ทำให้​คน​เรา​ได้รับ​การ​ตัดสิน​ว่า​ไม่​ผิดบาป ทั้งๆ ​ที่ ​ทำ​ผิด​บาปตั้ง​หลาย​ครั้ง”

            นี่พระเจ้ามาเปรียบเทียบให้เราได้เห็นเลยว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราฟรีๆ ของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อในพระองค์เท่านั้น เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่มากๆ ที่ทำให้มากล้นกว่าตอนที่ได้รับมา โดยไม่อยากได้  ก็คือได้รับเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้พระคุณของพระองค์มา  ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มาในลักษณะเดียวกัน  คือใช้ความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน แต่แถมเป็นพระคุณมากกว่าตั้งเยอะ กว่าที่เราเกิดมาแล้วต้องรับโทษเป็นคนบาป ในลักษณะอย่างนั้น แน่นอน ผลจากของขวัญนั้น  แตกต่างกันอย่างมาก แตกต่างกันจากผลของความผิดบาป ที่อาดัมได้ทำ เพราะการทำผิดบาปครั้งเดียวของอาดัม  ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป เรารู้แล้ว เกิดมาก็เป็นบาปแล้ว

            ในทำนองเดียวกัน แต่เป็นผลมากกว่ามาก ก็คือแต่ของขวัญนั้น ทำให้คนเราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป เป็นคนชอบธรรม แค่นั้นไม่พอ ของขวัญนั้น ไม่ใช่ให้เราได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป คือยกโทษ อภัยในความผิดบาปทั้งสิ้น ที่เรารับมาเป็นมรดก จากอาดัม  มาถึงชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ดำเนินมาจนกระทั่งถึงก่อนจะเชื่อในพระเจ้า  ก่อนจะเชื่อในพระเยซู อภัยให้หมดเลย  แค่นั้นไม่พอ  เพราะถ้าให้อภัยแค่นั้นอย่างเดียว  เราก็ยังมีโอกาสไปทำบาปอีก 

            แต่ของขวัญในพระเยซูคริสต์ คือไม่ใช่ให้อภัยในความบาปผิดอย่างเดียว  แถมให้เราได้บังเกิดใหม่ ทั้งวิญญาณและใจใหม่ ร่างกายใหม่ ซึ่งร่างกายใหม่นี้จะเตรียมไว้ สำหรับเราในอนาคต หลังความตาย หลังจากทิ้งจากร่างกายนี้แล้ว แต่ให้เราบังเกิดใหม่ทันทีเลยบนโลกใบนี้ คือวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ไม่มีวันทำผิดบาปอีกเลย  เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าได้รับการตัดสินว่าไม่ผิดบาป ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปตั้งหลายครั้ง หมายถึงว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเชื่อในพระเยซู เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้านี้ เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าตัดสินเราทันทีเลยว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป  เราพ้นจากความผิดบาปแล้ว บาปในบรรพบุรุษ ในอาดัม  ที่เรารับถ่ายทอดมา  และบาปในปัจจุบันที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ หลังเชื่อแล้ว  เรายังคงกระทำอยู่ ก็ได้รับการอภัย อภัยเมื่อไร? อภัยให้ทันที  ก่อนที่เราจะกระทำ ก็อภัยแล้ว เพราะในนี้ระบุไว้ว่าทั้งๆ ที่ทำผิดบาปตั้งหลายครั้ง  ไม่รู้จะกี่ครั้ง ไม่รู้ล่ะ  อภัยหมด  ถามว่าอภัยหมดเพราะอะไร?  เพราะตะกี้ผมบอก เพราะว่าเราได้รับวิญญาณและใจใหม่แล้ว  สะอาด บริสุทธิ์แล้ว  ไม่มีบาปเลย โรม 5:17 บอกไว้อย่างนี้ …

        โรม 5:17  “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดทำบาปของมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น (คืออาดัม) ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของขวัญแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์”

            “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดทำบาปของมนุษย์คนเดียว คืออาดัม เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น คืออาดัม” ก็คืออาดัมทำบาป  เราทั้งหลายติดเชื้อบาปไปด้วย เราทั้งหลายเป็นคนบาปไปด้วย  เป็นนะ เรายังไม่ได้ประพฤติเลยนะ เราเป็นคนบาป  แต่พระเยซูคริสต์ทำความเชื่อฟัง คือเชื่อฟังพระเจ้า มายอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย  ทำให้เราได้บังเกิดใหม่  ในลักษณะเดียวกัน เห็นไหม? พอเราเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เป็นคนบริสุทธิ์  เราเป็นนะ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ เช่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกันเลย

            นี่แหละ คือความหมายของคำว่า “ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปหลายครั้งก็ตาม” ก็คือทั้งๆ ที่หลังจากเชื่อแล้วประพฤติไม่ถูกต้อง ทำบาป คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยังโกรธเขาอยู่ ยังเกลียดเขาอยู่ ยังอิจฉาริษยา ยังทำอะไรไม่ดีอยู่ กินเหล้าก็ยังกินอยู่ โกหก ก็ยังโกหกอยู่ พระเจ้าไม่ได้นับตรงนั้นว่าเป็นบาป ทั้งๆ ที่ทำผิดบาปหลายครั้ง ก็ไม่นับว่าเป็นบาป  เพราะว่ามันเป็นความประพฤติ  เราจะสังเกตได้ ทุกคนไม่เข้าใจตรงนี้  มันเป็นไปได้อย่างไร? อ้าว! แล้วตอนที่เราติดเชื้อบาปมาจากอาดัม ทำไมมันเป็นได้  เราไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง เราก็ชั่ว เป็นคนบาป  ต่อให้เราทำดีเยอะแยะมากมาย  จนกระทั่งถึงวันตาย เราก็เป็นคนบาปเท่าเดิม  คนชั่วกว่าเราตั้งเยอะ ทำชั่ว ทำเลว อะไรต่างๆ บนโลกใบนี้  เวลาตายจากโลกใบนี้ ถ้าเขายังไม่เชื่อพระเยซู เขาก็ยังเป็นคนบาปเหมือนกับเรา เท่ากับเราเลย แล้วที่เราทำดี เกิดอะไรขึ้น? ในลักษณะเดียวกัน นี่มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ผมจึงได้นำท่านพูดตั้งแต่แรกว่าเรากำลังคุยกันเรื่องโลกวิญญาณ  ต้องแฟร์ๆ กันนะ อย่าเอามาผสมผสานกันนะ  ทำให้ในที่สุด ไม่มีเหตุผล ตอนที่รับกรรมจากบรรพบุรุษ ฉันมีหนี้เวรกรรม มาตั้งแต่เกิด เมื่อไรชดใช้หมดสักที มีเหตุผลหรือนั่นนะ  ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน  เพราะมันเป็นโลกวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ทางฝ่ายมนุษย์ แต่ทางพระเจ้าเห็นชัดเจน  อุตส่าห์อธิบายแล้วอธิบายอีกว่ามันเป็นลักษณะเดียวกัน  แต่คนละขั้วกัน  ขั้วไปในทางดีกับขั้วไปในทางไม่ดีนั่นเอง

            “บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของขวัญแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์” ก็คือได้เกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ เกิดเมื่อไร? ทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีบนโลกใบนี้ เขาเกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย ถูกย้ายออกมาจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ทันที พระเยซูคริสต์เข้าครอบครองชีวิตเขาทันที  เขาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ทันที โรม 5:18 ต่อไป …

        โรม 5:18 “ฉะนั้น การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น”

            เห็นไหมครับ? อธิบายอย่างละเอียดมากเลย ละเอียดจริงๆ พิจารณาดูสิครับ ภาวนากับพระเจ้า ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า  ท่านก็ลองค่อยๆ คิดใคร่ครวญดูว่ามันเป็นจริงตามนั้นไหม? แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องบอกเลยนะ ใคร่ครวญในลักษณะความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ และหาเหตุผลทางฝ่ายวิญญาณ  นี่ชัดๆ เลย

            มันก็เหมือนกัน คือ “การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด” คนทั้งปวง คือมนุษย์ทุกคนได้เป็นคนบาป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย รับมาจากคนๆ เดียว ไม่มีเหตุเลยใช่ไหม?  แต่มันเป็นจริง การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็คือพระเยซูเพียงครั้งเดียว ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่มนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นคนชอบธรรม เห็นไหม? ได้เกิดใหม่ พ้นจากบาป เหมือนกันไม่มีผิดเลย แล้วทำไมไม่รับ พูดง่ายๆ พระเยซู พระเจ้ากำลังพูดกับเรา มนุษย์ในยุคปัจจุบันว่าทำไมไม่รับ  มันง่ายมากเลยอย่างนี้ ผมเชื่อว่าในอดีต เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนประกาศข่าวดี  คนจะเชื่อง่ายกว่านี้เยอะ ไม่ต้องคิดมาก ทุกวันนี้คิดเยอะ เพราะว่าฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ  คน ฉลาด ปัญญาทางมนุษย์ ปัญญาทางโลกนี้เยอะเหลือเกิน ปรัชญาชีวิตมันเยอะมาก เรียนรู้ทางสติปัญญาของมนุษย์ แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ปรัชญาของมนุษย์ ไม่ใช่ความเข้าใจแบบมนุษย์  แต่เป็นฤทธิ์เดช  ข้อ 19 ต่อมาจึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:19  “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนบาป ฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรม ฉันนั้น”

            ชัดเจนเลยนะ คือในอาดัมไม่เชื่อฟัง  ทำให้มนุษย์เป็นอันมากตกลงไปเป็นคนบาป  ไม่ใช่ไปทำบาปนะ เป็นคนบาปฉันใด  การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ที่หมายถึงพระเยซูคริสต์ที่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เดินทางไปตาย ด้วยความทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป  ชำระหนี้บาปให้กับเราทั้งหลาย เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่ได้  พระองค์ยอม  การเชื่อฟังของพระเยซูนี้ ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ก็คือเกิดใหม่ อย่างที่ตะกี้นี้บอก

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าในบริบทของโรม บทที่ 5 จริงๆ แล้วโรม หนังสือทั้งเล่ม พูดถึงโลกวิญญาณ  เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย  หนังสือโรม เป็นหนังสือพื้นฐานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐอย่างดีมาก ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัมกับเอวา ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างโลกเลยว่าพระเจ้าเตรียมแผนการไว้อย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์โรม แล้วอยู่ในพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว แล้วค่อยๆ สืบเสาะไปเรื่อยๆ จะเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นอย่างไรทางวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ ของมนุษย์แท้ๆ เป็นปัญญาทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความรู้ลึกซึ้งในเรื่องของการรู้ ที่มาที่ไปของชีวิตของตนเอง ก็คือชีวิตของมนุษย์เองว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ  และวิญญาณจะอยู่ตลอดไป ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว  แล้ววิญญาณจะอยู่ตลอดไป อยู่อย่างไร? วิญญาณตอนนี้อยู่ไหน?  และถ้าไม่เชื่อพระเยซูคริสต์จะอยู่ที่ไหน? และถ้าเชื่อพระเยซูคริสต์อยู่ไหน? ชัดเจนมาก ในโรมบทที่ 5 นี้ ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ 2 แห่ง ที่จริงพูดมาทั้งเล่ม  หนังสือโรม แต่ที่มันชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน และละเอียดมากกว่าหนังสืออื่น ก็คือบอกชัดเจนว่าในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น ก็คือในอาดัมหรือในพระคริสต์

            ซึ่งจริงๆ อย่างที่ตะกี้นี้บอกหนังสือไบเบิ้ลทั้งเล่มพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องโลกวิญญาณ พอเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณปุ๊บ นึกภาพไม่ออก มันมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือในอาดัม หรือในพระคริสต์ โลกวิญญาณที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ความเป็นมาของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งไปถึงสุดท้าย จนไปถึงอนาคตนิรันดร์เลย สรุปแล้วว่าในโลกวิญญาณมีแค่ในอาดัมกับในพระคริสต์

            มนุษย์ทุกคนเกิดมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นคนบาปแล้ว ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตน และได้รับเชื้อบาปนี้กันทุกคน  โดยรับเชื้อมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัมที่ทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำพาครอบครัวบ้านช่องตกลงไปอยู่ในการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ที่เรียกว่าทำบาป ไม่เชื่อ ถูกหลอก ให้หนีออกจากบ้าน

            เช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เป็นผู้เชื่อฟังพระเจ้า

            อย่างที่ตะกี้ผมได้อธิบายให้ฟัง มันง่ายมากเลยนะ เรื่องมีอยู่แค่นี้เอง ในโลกวิญญาณ เล่าแล้วเล่าอีก ประกาศแล้วประกาศอีก ประกาศทางวิธีนี้วิธีนั้น วิธีโน้น สรุปแล้วเรื่องราวมีแค่นี้  คือเกิดมา ไม่ต้องทำอะไร ก็บาป เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ชอบธรรม เป็นลูกพระเจ้า

            อาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าทำบาป ทำบาปเพียงครั้งเดียว ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในอาดัม  ก็คืออยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม ถ้าพูดอย่างนี้ชัดเจนขึ้น  ในยุคปัจจุบัน เรารู้จัก DNA แล้ว  คือเชื้อสายของชีวิต  แต่อันนี้เป็นเชื้อสายของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ  ทุกคนเกิดมาอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม เป็น DNA ที่เป็นบาป หมดเลย แก้ไขไม่ได้  เกิดมาก็มี DNA ฝ่ายวิญญาณเป็นบาป ไม่ใช่ทำบาปนะ เป็นบาป คือวิญญาณเป็น แล้วมันค่อยๆ ออกมาทำบาป แต่ DNA เป็นบาปอยู่ มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่ยังอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม ตอนเกิดมาบนโลกใบนี้  อาดัม ซึ่งไม่เชื่อฟังพระเจ้า อยู่ในบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เรียกว่าตายจากพระเจ้า  อยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่าง ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า

            ถ้าเขายังอยู่ที่นี่อยู่ เขาก็ต้องรอรับการตัดสิน สำเร็จโทษตามที่อยู่ของเขา  ก็คือเป็นคนบาป ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า  และเมื่อวันสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้  เมื่อเขาจากโลกนี้ไป หมดลมหายใจ เขาก็จะถูกตัดสินให้เป็นไปตามความเป็นจริง ก็คือวิญญาณอยู่ที่ไหน? ก็จะอยู่ที่นั่น ตลอดไป เพราะวิญญาณไม่มีวันสูญสิ้น วิญญาณอยู่ในบาป อยู่ในความพินาศ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ก็จะอยู่อย่างนี้ ไปจนกระทั่งนิรันดร์ เรียกว่าพินาศนิรันดร์นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเขาไม่ตัดสินใจ  ใครที่ไม่ตัดสินใจย้ายจาก DNA ในอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ เขาก็ต้องรอรับวันสำเร็จโทษตรงนี้แหละ

            ทางฝ่ายพระเยซูคริสต์คืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เชื่อฟังพระเจ้าพระบิดา เพียงครั้งเดียวเหมือนกัน  ก็คือยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ชดใช้หนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง  ก็ทำให้มนุษย์คนใดก็ตามที่ต้องการย้ายสำมะโนครัวในวิญญาณ  จากอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ได้ทันที ใช้สิทธิของเขาได้ทันทีเลย  เพราะพระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน 2,000 ปีแล้ว เขาสามารถมาอยู่ใน DNA ฝ่ายวิญญาณของพระคริสต์ได้  เมื่อเข้ามาอยู่ใน DNA ของพระคริสต์ เขาก็เป็นเหมือนพระคริสต์ ตอนอยู่ใน DNA ของอาดัม อาดัมไม่เชื่อฟัง เป็นบาป  เขาก็เป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เป็นบาปด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไร? เช่นเดียวกัน เมื่อเขาย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นผู้เชื่อฟัง เป็นผู้ชอบธรรม เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เขาก็ได้รับอย่างนั้นเช่นเดียวกัน ไม่มีผิดเลย พระเจ้านับเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้อะไร?  เขาก็ได้อย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

            และเมื่อได้เป็นผู้เชื่อฟังตามพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้คืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ ชื่อของเขา แทนที่จะจดอยู่ในหนังสือแห่งความตาย ในอาดัม ก็ถูกย้ายสำมะโนครัว มาจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตนิรันดร์ในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เห็นไหมมีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง

            แล้วในพระเยซูคริสต์นี้ ในครอบครัวนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้รับการยกโทษความผิดบาปทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดเกลี้ยงเลย  แม้ว่าจะทำบาปกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่เหมือนเดิม เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์คนนั้น มันจึงไม่สามารถกระทบกระทั่งต่อการบังเกิดใหม่และผู้ชอบธรรมของท่านได้  ความประพฤติจึงไม่สามารถมีผลต่อวิญญาณของท่าน เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านพอมองเห็นไหมครับ? ต้องค่อยๆ แกะทีละนิด ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ฟังดูเหมือนง่าย แต่จะให้เข้าใจ  อาจต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง  เพราะว่าเราเคยชินกับความรู้แบบเดิมๆ ความรู้แบบสติปัญญามนุษย์ เขาเรียกตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์ว่าถ้าทำอย่างนี้ ต้องได้รับอย่างนี้  ถ้าทำดี จึงจะได้ดี ทำไม่ดี แล้วได้ดี ได้อย่างไร?  อะไรแบบนี้ ยังไงๆ เขายังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ แม้เขาจะทำบาปสักกี่ครั้งก็ตาม  เขาเป็นลูกพระเจ้า เพราะเขาได้บังเกิดใหม่  อาศัยอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ได้ปลดปล่อยให้เขาคนนั้น เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว  ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว รับได้ไหม?  รับไม่ได้ง่ายๆ หรอก  ไม่มีการลงโทษ ทำอะไรก็ได้ ใช่จริงๆ  นี่มันข่าวประเสริฐจริงๆ นะ  เขาจะประพฤติอะไรก็ได้ ต่อไปนี้ไปสวรรค์แล้ว ใช่ไหม? ใช่ จริงๆ  เพราะเขาบังเกิดใหม่แล้ว  และเขาแพ้ความบาป เขาทำบาปไม่ได้อีกต่อไป  หมายถึงในใจของเขา ซึ่งเราเรียนรู้เรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว อันนี้แยกไปอีกเรื่องหนึ่งว่าเมื่อเขาไปอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขายังคงอาจเผลอทำบาปบ้าง ซึ่งมาจากความเคยชิน และมาจากการหลอกลวง ล่อลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งพระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกสอนเขา ในการดำเนินชีวิตแบบใหม่ ไปเรื่อยๆ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ วางแผนไว้อย่างไร? แต่ละชีวิตไม่เหมือนกันว่าเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหน?  พระเจ้า พระวิญญาณที่อยู่ภายใน จะเป็นผู้นำ  ช่วยให้เขาค่อยๆ ฝึกฝนชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ที่ชอบธรรมแล้ว ในพระเยซูคริสต์ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ฝึกฝนเขา พระคัมภีร์ในหนังสือทิตัสบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้านี้ จะสอน ฝึกฝนให้เขา ลูกๆ ของพระองค์เหล่านี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยการฝึกฝนให้เขารู้จักปฏิเสธ การล่อลวง การหลอกลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อย่าไปทำตามมัน  ก็แล้วแต่ชีวิตแต่ละคนว่าฝึกฝน แล้วได้มากหรือน้อย ไม่เท่ากัน  ไม่เป็นไร ขึ้นอยู่กับใคร? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ขึ้นอยู่กับใคร? พระเจ้าที่อยู่ข้างในจะจูงมือท่านเดิน  พระคุณของพระเจ้า หมายถึงอย่างนี้  ของขวัญหมายถึงอย่างนี้ ฟรีมันหมายถึงอย่างนี้  พระเจ้าจะจูงมือท่านเดินเอง ไม่ใช่ตัวท่าน ต้องมารับผิดชอบ            “ฉันจะต้องประพฤติอย่างนี้ สมกับเป็นคริสเตียน ฉันจะต้องๆ”

            ท่านไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพระเจ้าจะจัดการท่านเอง พูดอย่างนี้ ทุกคนก็จะบอก อ๋อ! จะจัดการ ลงโทษ ตีสอน  ไม่ใช่ตีสอน ฝึกสอน ฝึกฝน  ในฐานะเป็นลูกของพระคริสต์ ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจ  ด้วยความทนุถนอม ค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ  เพราะว่าเราได้เกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ลูกพระเจ้ามีแต่ความดีบริสุทธิ์  ดีพร้อม  ชอบธรรม มีแต่ความดีอย่างเดียว  รักแต่ความดีอย่างเดียว  เหมือนที่เขาเอาไปแต่งเพลงรัก แล้วยกตัวอย่างว่าเหมือนมัจฉารักวารี เหมือนปลารักน้ำ  ขาดน้ำไม่ได้ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เขาก็ทำดี  ทำบาปไม่ได้  แต่มีบางครั้ง ขึ้นมาบนบกไหมปลา  มี มีบางครั้งเชื่อแล้ว  ถูกหลอกให้ขึ้นบกไหม?  ก็มีเหมือนกัน  แต่ไม่เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญ คือวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? ในอาดัมหรือในพระคริสต์เท่านั้น เป็นเครื่องตัดสินเลยว่าเขาจะอยู่ที่ไหน? ตลอดไป ตลอดชีวิตของเขา ผมจึงใช้หัวข้อเรื่องนี้ว่าถ้าเรารู้ว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? เราก็ดำเนินชีวิตได้ ถูกต้องและสงบ

            เหล่านี้คือพระคุณ ซึ่งพระคัมภีร์บอกพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำการกระทำให้กับมวลมนุษยชาติ ทุกคนบนไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  แค่เข้ามารับสิทธิของเขา เขาแค่ตัดสินใจ เหมือนเราที่ได้ตัดสินใจแล้ววันนี้ วานนี้ ในอดีตเมื่อไรก็ไม่รู้ เราแค่มารับสิทธิ์ ตัดสินใจย้าย จากการอยู่ในอาดัม ซึ่งไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พึ่งพาในตนเองกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง  ซึ่งไปไม่รอด ชดใช้บาปด้วยตนเอง จะรอดได้อย่างไร?  เกิดมาต้องชดใช้เวรกรรม เมื่อไร? กี่ชาติก็ไม่รู้ ในใจก็รู้อยู่ดีว่าเราทำไม่ได้หรอก ก็ให้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ มีพระเจ้าเป็นพ่อ  อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  เป็นลูกที่รักของพระเจ้า พึ่งพาในพระเจ้า

            จำพระเยซูตอนที่เดินอยู่ในโลกใบนี้ได้ไหม? เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูประกาศ เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระองค์ เรื่องนี้ ด้วยพระองค์เอง ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่จะทำให้สำเร็จ  พระองค์ประกาศอย่างนี้ชัดเจน มากเลย  ในหนังสือยอห์น 15:5-6 ได้ยกตัวอย่างอุปมาเรื่องนี้ พอท่านได้ยินเรื่องนี้ หลังจากที่ฟังคำบรรยายเมื่อสักครู่นี้ ตั้งแต่ต้นมา ฟังอุปมาเรื่องพระเยซู ที่ตรัสไว้  จะร้องอ๋อเลย โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า นี่เรื่องจริงๆ เลย พระเยซูประกาศแล้วประกาศอีก  เรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือหนึ่งในจำนวนที่พระองค์ได้ประกาศเท่านั้นเอง  ลองอ่านดู ในยอห์น 15:5-6 นึกถึงอาดัมให้ดีๆ ในอาดัมกับในพระคริสต์ …

        ยอห์น15:5-6 “5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใด ไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

            “เราเป็นเถาองุ่น” พระเยซูคริสต์ตรัสด้วยพระองค์เอง อุปมาว่าพระองค์ คือพระคริสต์ พระคริสต์ แปลว่าพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งมา เป็นผู้ช่วยให้รอด  “เราเป็นเถาองุ่น” ก็คือพระคริสต์เป็นเถาองุ่น … เถาองุ่น คือลำต้นต้นองุ่น ท่านทั้งหลาย คือมนุษย์ทั้งหมด เป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติด กิ่งก้านต่อติดอยู่กับลำต้นใช่ไหม? อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คืออยู่ในพระคริสต์ แล้วเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา กิ่งก้านต้นไม้กับลำต้น ดูไม่ออกเลยว่าใครต่อใคร? เชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน “ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก” หมายถึงชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าชีวิตของกิ่งก้านมาจากลำต้น  มาจากรากของลำต้น รากเป็นชีวิต ชีวิตก็มาจากพระคริสต์ นี่กำลังพูดถึงคนที่อยู่ในพระคริสต์

            “หากแยกห่างจากเรา” ก็คือไม่ได้อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คือคนที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ “ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย” ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ก็ไม่มีผลดีเลย ไม่ว่าท่านจะทำดีมากขนาดไหน? ก็ไม่ได้ผลดีเลย

            “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา” ก็คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม  คืออาดัม  ซึ่งตายอยู่ในบาปนั่นเอง  เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย  รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง ก็คือพินาศในบึงไฟนั่นเอง  เขาจะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย  เมื่อวิญญาณออกจากร่าง

            แถมให้อีกอันหนึ่ง มัทธิว 7:17-20 ในเรื่องเดียวกัน พระเยซูอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่างให้อีกเรื่องหนึ่ง …

        มัทธิว 7:17-20 “17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลว ย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดี ไม่อาจให้ผลเลว และต้นไม้เลว ไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดี ก็ถูกโค่น และโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลของเขา”

            อย่างที่บอก เรียนรู้จักพื้นฐานของเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ  ผลของต้นไม้ดี คือชีวิตนิรันดร์ คือความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ผลของต้นไม้เลว คือตายในบาป  สกปรก ไม่ชอบธรรม ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า แต่ดูภายนอกแล้ว ดูดีคล้ายๆ กัน กำลังพูดถึงโลกวิญญาณนะ ถ้าดูภายนอกแล้วดูคล้ายๆ กัน ซึ่งเปรียบเหมือนผลไม้พลาสติกของเทียม นี่พูดถึงผลจากต้นไม้เลว

            วิญญาณดี ก็ให้ผลดี วิญญาณชั่ว เลว บาป ก็ให้ผลชั่ว  เลว  บาป  วิญญาณดี อยู่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณชั่ว เลว บาป อยู่ในอาดัม นี่คือความหมายของข้อความเมื่อตะกี้นี้ ที่พระเยซูพูด ฟังให้ดีๆ ถ้าคุณยังอยู่ในอาดัม ต่อให้คุณทำความดี  ประพฤติดี ความชอบธรรมของคุณที่กระทำนี้  ก็เป็นเหมือนเศษผ้าที่สกปรก  ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม

            ดังนั้น สรุป ในโลกนี้ จึงมีเพียงแค่คน 2 ประเภทเท่านั้น  มีต้นไม้อยู่ 2 ประเภท คือผู้ที่อยู่ในอาดัมและผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม?  มีต้นไม้ดีและต้นไม้เลว  มนุษย์เป็นกิ่งก้าน จะไปต่อกับอะไร?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์เลย  ขึ้นอยู่กับต้นไม้ต้นนั้น  มนุษย์เลือกที่จะไปอยู่ ไปต่ออยู่กับตรงไหน?  ในโลกนี้จึงมีผู้ที่อยู่ในอาดัมและอยู่ในพระคริสต์ มีคนที่ทำดี ในอาดัม เป็นคนใจบุญในอาดัม นึกออกไหม?  และคนที่ใจบุญในอาดัม และมีคนที่ดูเหมือนทำไม่ดีในพระคริสต์ ดูไม่ดีในพระคริสต์ ประพฤติไม่ดีในพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าคริสเตียน ก่อนเชื่อท่านอยู่ที่ไหน?  หลังเชื่อท่านอยู่ที่ไหน? ก่อนเชื่อท่านอยู่ในอาดัม ทำอย่างไรก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ประพฤติดีอย่างไร ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ท่านอยู่ในพระคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน ท่านอยู่ในพระคริสต์และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป   พระเจ้าอวยพรครับ

***************************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าชี้ให้เห็นพิษสงร้ายแรงของความบาป ที่อยู่ในวิญญาณของมวลมนุษย์

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิว และคนต่างชาติ (คือมนุษย์ทุกคน) ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า  “ไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม  (สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้)  ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ (โลกฝ่ายวิญญาณ) ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” (คือทำดีจากใจ ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า) 13 “ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่  พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน” “พิษงูร้าย (คือพิษสงของบาป การเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม) อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา” 14 “ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน” 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะ และทุกข์เข็ญไว้ ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา” 18 “เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย” 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคนไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า  20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม (สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้) ในสายพระเนตรของพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ดังแก้วตาดวงใจ จึงได้ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป

            ยอห์น 3:16 …  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรม สามารถเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์   ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1454

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  มกราคม  2024

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” ตอน 3

“ชัยชนะของผู้เชื่อวางใจ โดยการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

            วันนี้เราก็จะมาคุยกันอีกครั้งในเรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทางของเรา” ครั้งนี้อยู่ในหัวข้อ ชัยชนะของผู้เชื่อวางใจ “โดยการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า” เรามาดูในยอห์น 16:33 …

        ยอห์น 16:33 (THSV11) “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

พอฟังพระวจนะตอนนี้ “เราชนะโลกแล้ว” เราก็จะเอาประโยคสุดท้ายเลย แต่มาดูตรงนี้ “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด” คำพูดนี้ เป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์เอง ในยอห์น บทที่ 16 ตอนนั้นพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์เป็นผู้พูดเอง หมายความว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เรายังคงเหมือนคนทั่วไป คนอื่นประสบความทุกข์ยากอย่างไร? เราประสบความทุกข์ยากอย่างนั้น คนอื่นต้องเผชิญหน้ากับสึนามิ กับภูเขาไฟระเบิด กับสังคมที่กำลังเสื่อมทรามลง เกิดเหตุการณ์ยากลำบากในเศรษฐกิจการงานในชีวิตประจำวันของเรา ทุกคนมี แล้วแต่เราสร้างฐานตัวเองมาแบบไหน? เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีใคนหนีพ้นเลย

            แต่ทำไมพระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นพวกที่ชนะโลกแล้วละ! เพราะว่าพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ ความเป็นจริงในชีวิตของเรา อยู่ในโลกวิญญาณ ความเป็นจริงของเราอยู่ในอีกมิติหนึ่ง คือมิติมันซ้อนกัน วิญญาณก็อยู่ตรงนี้แหละ เพียงแต่เรายังไม่หลุดออกจากร่างนี้ ถ้าเราหลุดออกจากร่างนี้ ก็สัมผัสได้ พอเรายังอยู่ในร่างนี้ เราก็สัมผัสแตะต้องโลกวิญญาณไม่ได้ แต่โลกวิญญาณมีอยู่จริง ไม่ใช่จริงธรรมดา จริงมากๆ จริงกว่าโลกนี้อีก โลกนี้ยังมีการดับสูญ ร่างกายเรายังจะมีการตาย ดับสูญไป กลับกลายเป็นดิน แต่วิญญาณของเราจะดำรงอยู่นิรันดร์กาล ฉะนั้น พระองค์จึงต้องการให้จดจ่ออยู่กับโลกวิญญาณมากกว่าโลกใบนี้ ความจริง คือว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

เมื่อมนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป เลือกที่จะเชื่อมาร สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือมนุษย์ได้มอบอำนาจที่เรามีนั้น ไว้ในมือของมาร ในพระวจนะของพระเจ้า ในปฐมกาล เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลกใบนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจในการปกครองโลกให้กับมนุษย์ทันที พระองค์บอกว่า …

“จงครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ”

            ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างในโลกใบนี้ พระองค์ทรงมอบไว้ในมือของมนุษย์ นั่นหมายความว่ามนุษย์มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดในการทำทุกอย่างในโลกนี้ โลกนี้จะไปในทิศทางใด อยู่ที่การกระทำของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้พลาด โดยการตัดสินใจที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง มนุษย์ได้ล้มลงในความบาป โดยเลือกที่จะพึ่งพาตนเอง ในการที่จะปกครองโลกนี้ ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานสมองและสติปัญญาให้กับเราในการคิด กว่าจะมาถึงการล้มลงในความบาป น่าจะหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่ถูกนับเป็นอายุ เพราะว่าวันเวลายังเป็นนิรันดร์กาลอยู่ อายุของอาดัมและเอวาก็ยังเป็นนิรันดร์กาล ยังไม่มีการนับอายุ

            ฉะนั้น เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ยาวนานมาขนาดไหนแล้ว? ก่อนที่อาดัมและเอวาจะล้มลงในความบาป เมื่อเกิดการล้มลงในความบาป อาดัมและเอวาก็ยังเป็นหนุ่มสาวตลอด ช่วงเวลาที่ยาวนานนั้น เราก็ไม่รู้ว่ายาวนานขนาดไหน? แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความปุ๊บ โลกนี้ได้เกิดการนับถอยหลัง เพราะโลกนี้ได้ดำเนินไปสู่ความตายแล้ว

            พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “อย่ากินผลไม้จากต้นนั้น เพราะเมื่อเจ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”
ในภาษาฮีบรู คำว่า “ตาย ตาย” คือการตายฝ่ายร่างกายและการตายฝ่ายวิญญาณ โลกนี้ที่อยู่ในมือของมนุษย์ ที่ตายแล้ว ก็ตายไปกับเราด้วย

เราจะเห็นว่าโลกใบนี้ถูกครอบงำ และถูกทำลาย เมื่อมนุษย์ตาย พฤติกรรมของเรา ก็เต็มไปด้วยความตาย พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเสียพระทัย เพราะเมื่อทอดพระเนตรลงมา พระคัมภีร์บอกว่าเค้าโครงความคิดของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วร้าย มนุษย์ตกอยู่ในการทำลายล้าง และทำลายซึ่งกันและกัน เข้าไปสู่การทำลายโลกนี้ วิวัฒนาการของโลกนี้ สูงส่ง สติปัญญาของมนุษย์ พระเจ้าให้มา พระองค์ไม่เอาคืน สติปัญญาของมนุษย์นั้นจะบอกว่าสุดยอดมากๆ เช่น หากเรานำคำหรือบทความหนึ่งมาขบคิด ทบทวน เมื่อคิดๆ มันก็จะถูกการสาน เสริมต่อ เหมือนหลักวิทยาศาสตร์ ที่เรารู้กัน ก็คือการผลิตออกมาลักษณะของ แผนที่ความคิด (Mind map) พระเจ้าสร้างคลื่นเสียง เมื่อมนุษย์รู้ว่ามีคลื่นเสียงในอากาศ ก็ขบคด คิดไปคิดมา ก็สามารถหยิบมาใส่โทรศัพท์ ให้เราสามารถพูดคุยกันได้ จากประเทศหนึ่งมาสู่ประเทศหนึ่ง ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้น จนกระทั่ง กลายมาเห็นหน้ากัน จากขั้วโลกนึ่ง มาสู่ขั้วโลกหนึ่ง สามารถที่จะพูดภาษาเดียวกันได้ เป็นไปตามพระวจนะที่บอกไว้ว่า ยุคสุดท้าย โลกนี้จะสามารถพูดเป็นภาษาเดียว เราสามารถสื่อสารกันได้ สมัยก่อนเราสื่อสารกันไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หอบาเบล มนุษย์ได้พูดหลายภาษา ดังนั้น มนุษย์ก็สื่อสารกันไม่ได้ ต่างคนก็ต่างจับกลุ่มกัน แล้วก็แยกย้าย เดินทางออกไป มนุษย์ก็กระจัดกระจาย จนเต็มแผ่นดินโลก ดังนั้น มนุษย์ก็จับกลุ่ม ใครพูดภาษาเดียวกัน พูดคุยกันรู้เรื่อง ก็ไปด้วยกัน แยกย้ายกันไป จนกระทั่งเต็มแผ่นดินโลก
คิดดู มันเท่ากับการเอามนุษย์ที่ตายแล้ว กระจายไปในแผ่นดินโลก วิวัฒนาการจำเริญขึ้น แต่จิตใจของมนุษย์เสื่อมทรามลง ในพระวจนะของพระเจ้าได้บอกกับเรา พระเยซูคริสต์บอกว่าในยุคสุดท้ายนี้ จิตใจของมนุษย์จะเสื่อมทรามลง ลูกก็จะไม่เคารพพ่อแม่แล้ว การกตัญญูก็จะไม่มีแล้ว การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็น้อย ถอยลงไปเรื่อยๆ มนุษย์เริ่มจะอยู่กับตัวเอง เห็นแก่ตัว แล้วก็ทำลายล้างกันมากยิ่งขึ้น แต่วิวัฒนาการก็โดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ?

            สมมติว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เก่งมาก มีสติปัญญา สามารถผลิตหลายสิ่งหลายอย่างที่คนในยุคเมื่อ 2 ปีที่แล้วทำไม่ได้ แต่ว่าในด้านจิตใจไม่ได้เกิดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือครอบครัว ก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ พอแต่งงาน มีลูก การเชื่อมกันในจิตใจ ก็ยิ่งจางลงไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้จางลงไปเรื่อยๆ แต่วิวัฒนาการกลับสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ววิวัฒนาการนั้น ก็คือการทำลายล้างโลกนี้

ชีวิตของพวกเรา ในยุครุ่นของดิฉัน เทคโนโลยี่วิ่งเร็วมาก ดิฉันเห็นตั้งแต่โทรศัพท์ รุ่นยกใหญ่ แล้วหิ้วไป ค่าโทรแต่ละครั้งแพงมาก ติดต่อกับต่างประเทศ ก็จะเป็นหมื่น อันนี้ คือการมีส่วนตัวนะ และหลังจากนั้น ก็เริ่มเป็นรุ่นทรงกระติกน้ำ แล้วก็เลื่อนมาเป็นโทรศัพท์ตามตู้ ต่อแถวกันยาวเลย แล้วก็มาเป็นเพจเจอร์ แล้วมาเป็น PCT ต่อมาก็เป็นโมบาย รุ่นที่เราฮิตกัน โนเกียสมัยก่อน เป็นหมื่นกว่าบาท แพงมาก ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากโทรกับรับ ส่งข้อความ แล้วก็มาเป็นที่วัยรุ่นนักเรียนอินเตอร์เขาใช้กัน BlackBerry แล้วก็ข้ามมาเป็นโทรศัพท์ แบบที่เรามี แล้วก็เป็นสมาร์ทโฟน เป็นแท๊บเลต (แผ่นศิลา) เป็นไอแพด ทำงานได้ทุกที่ ทุกอย่างมารวมตัวอยู่ในเครื่องเดียวกัน ก็คือทั้งเพลง อัด พิมพ์งาน ส่งงาน ค้นหาคำศัพท์ได้หลายภาษา สมัยก่อนเราต้องใช้เครื่องอัดเสียงอันหนึ่ง โทรศัพท์อันหนึ่ง โน๊ตบุ๊คอันหนึ่ง หิ้วกันหนักมาก แต่ทุกวันนี้ อยู่ในเครื่องเดียวหมด
วิวัฒนาการสูงขึ้น แต่สภาวะของโลกนี้ ก็จะใจร้ายกันมากขึ้น ทำลายกันมากขึ้น โลกก็เสื่อมทรามกันมากขึ้น โลกกำลังเข้าไปสู่ความตาย

            สิทธิอำนาจในการครอบครองโลกนี้ จึงตกเป็นของอำนาจแห่งความบาปและความตาย อยู่ในมือของความบาป เท่ากับเราย้ายมันมาอยู่ที่เรา ที่เป็นคนบาป มารถูกขับมาในโลกนี้ แต่ไม่มีอำนาจ แต่เมื่อเราตายแล้ว มารเข้ามาง่าย ครอบงำง่าย ยุยงง่าย เป่าหูเราง่าย โกหกง่ายไหม? ง่าย เพราะเรามีความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ จึงถูกอำนาจมืดชักจูงได้ง่าย เราตกเป็นทาสของความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ เป็นเครื่องมือของมาร ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือโดนมารรังแก มันโกหกเราให้ห่างพระเจ้ามากขึ้น ความบาปนี้ ทำให้ถูกตัดขาดจากพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เราไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า แต่ว่าวิญญาณเรา เป็นของโลกวิญญาณ จึงตะเกียกตะกายหาสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ แต่ก็ไปเจอความมืด ไปเจอผี ไปเจอไสย ไปเจออะไรก็ตามที่มันสกปรกทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นพระเจ้าจริงๆ เพราะว่ามันไปไม่ได้ ประตูมันถูกปิด เพราะมนุษย์กับพระเจ้าถูกทำให้แยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงเพราะเราเป็นคนบาป เข้าถึงความบริสุทธิ์ไม่ได้

            พระคัมภีร์บอกว่าถ้าพระเจ้าปิด ไม่มีใครเปิด ถ้าพระเจ้าเปิด ไม่มีใครปิด แต่พระเจ้าทรงเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ เพื่อให้พระมาซีฮาห์มาเกิด ในปฐมกาล บทที่ 3 ซึ่งได้พูดไว้ บอกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก ก็คือมีผู้หนึ่งที่จะเกิดมา เป็นพระเจ้ามาเกิด ไม่ใช่เลือดเดียวกันกับอาดัม เป็นเลือดบริสุทธิ์ เลือดนี้แหละ ที่จะชำระล้างความผิดบาปให้กับเราได้ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทรงมาบังเกิดบนโลกนี้ ได้ตายบนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ทรงตรัสคำสุดท้ายว่า …

“สำเร็จแล้ว”

            เหตุการณ์ต่างๆ สถานการณ์ต่างๆ ที่เราพูดกันไม่รู้กี่ครั้ง ก็คือว่าบ่าย 3 โมง ม่านในพระวิหารฉีกขาด ระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน ได้ถูกเปิดให้เชื่อมต่อกัน นั่นหมายความว่าพระเจ้ากับมนุษย์พบกันได้แล้ว มนุษย์ได้ถูกนำมาสู่การกลับคืนดีกับพระองค์ มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ โดยการบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการวางใจ เข้าประตูทางเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์ เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์จึงเป็นประตูเดียว ที่เราจะเข้าไปหาพระเจ้าได้ แล้วพระองค์ก็ทำให้เราบัพติศมา อย่างที่อาจารย์เปาโลพูดบ่อยๆ ในจดหมายฝากของท่าน เกือบทุกฉบับ จะเน้นเรื่องนี้มากๆ ก็คือการที่เราได้บัพติศมาในพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

            เพราะว่าพอเราบังเกิดใหม่ วิญญาณของเราก็เป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า เมื่อเป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณของพระเจ้า ก็อยู่ในเรา คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ ที่สวนเกเสมเน ที่บอกว่า …

            “พระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา แล้วขอพระองค์ทรงเมตตาให้พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ เหมือนกับที่ข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์”

            พวกเราทั้งหมดที่เชื่อวางใจในพระเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วพวกเราทั้งหลายที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา พระบิดาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา ซึ่งเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันซ้อนๆ แล้วห่อหุ้ม เราได้รับการปกป้องคุ้มครองเรียบร้อย เราได้รับการช่วยให้ปลอดภัยทางวิญญาณ เราเข้ามาอยู่ในองศาที่ปลอดภัยแล้ว วิญญาณเรารอดพ้นแล้ว ฉะนั้น การกระทำใดๆ ในการงานของเนื้อหนัง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่สามารถนำให้เราพินาศได้ ไม่มีทางทำได้เลย เพราะว่าอันนี้เป็นการเก็บเราเข้าตู้เซฟ เก็บเราในพื้นที่ที่ปลอดภัยฝ่ายวิญญาณ ส่วนการงาน การกระทำใดๆ ในโลกนี้ เราทำไม่ดี เรากินผลเต็มๆ เหมือนคนที่ไม่เชื่อ พระเจ้าก็ยุติธรรม

            เราอาจจะพูดว่าทำไมเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทุกข์ยากลำบากอยู่ อย่าลืมว่าเรายังอยู่ในโลก ถ้าโลกเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย เราเหยียบบนโลกก็หนีไม่พ้น ส่วนชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราทำไม่ดี เราก็กินผลแห่งการไม่ดีนั้น ถ้าเราทำไม่ถูก เราก็กินผลแห่งการทำไม่ถูกนั้น ถ้าเรานินทาว่าร้ายคนอื่น การนินทาว่าร้ายนั้น ก็จะย้อนกลับมาหาเรา และทำร้ายเรา เรากินผลเท่าเทียมกับคนอื่น เราหนีรอดสิ่งนี้ไม่ได้

            ในเรื่องของพระเยซูคริสต์นั้น ถูกกระทำให้กระจ่างชัด ชัดเจน โลกใบนี้เห็นชัดเจนมาก ในสดุดี 98:2 บอกว่า …

        สดุดี 98:2 (THSV11) “พระยาห์เวห์ทรงให้ชัยชนะของพระองค์ประจักษ์ พระองค์ทรงเปิดเผยความชอบธรรมของพระองค์ต่อสายตาบรรดาประชาชาติ”


            ไม่มีใครไม่รู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครไม่รู้เรื่องการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งจะไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะว่าการสื่อสาร ระบบทุกอย่าง มันถูกเปิดเผย ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

            เพราะพระเยซูคริสต์ทรงชนะความบาปและความตายให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ชนะความบาปและความตายให้พวกเรา เราอยู่ในพระองค์ แสดงว่าเราชนะร่วมกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว

        ในยอห์น 16:33 (THSV11) บอกว่า … “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

            ใน 1 ยอห์น 4:4 อันนี้เป็นคำพูดของยอห์น ผู้เป็นอัครทูต …

        1 ยอห์น 4:4 (THSV11) “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก”


            ไม่พอ ยังมีอีกหลายๆ ข้อ แต่ยกมา แค่ 3-4 ข้อ …

        1 ยอห์น 5:4 (THSV11) “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก”


            เอ๊ะ! อย่างไรกัน? เราอยู่ในโลกนี้ บางวันเรายังขาดแคลนอยู่ บางวันเราก็เจ็บป่วยอยู่ อธิษฐานแล้วหาย หายแล้วก็เป็น เป็นแล้วก็หาย แบบนี้ มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เรื่อยๆ มีปัญหาเข้ามาเรื่อยๆ แล้วยังบอกว่าชนะได้อย่างไร?

            เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ไถ่ถอนโลกนี้ พระองค์ไถ่ถอนเฉพาะมนุษย์ แม้ว่าในพระวจนะของพระองค์ ในยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16 (THSV11) “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

            ที่ทรงรักโลกใบนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นมา รักโลก แต่ไถ่โลกไหม? ไม่ได้ไถ่ ไถ่แต่เรา ไถ่แต่มนุษย์ ส่วนโลกนั้น พระองค์ทรงเตรียมโลกใหม่ไว้ สำหรับมนุษย์ที่วางใจในพระองค์
พระองค์ไถ่แต่มนุษย์ ไม่ได้ไถ่โลก โลกนี้ยังเข้าสู่วัฏจักรของการดับสูญ ยังไปในทิศทางที่มันต้องไป พระวจนะของพระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสแล้ว ไม่คืนคำ แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อให้เกิด ข้อแก้ไข คือเพิ่มสัญญา มีพันธสัญญาเดิมใช่ไหม? พระองค์จะทำใหม่ พระองค์เพิ่มพันธสัญญาใหม่ขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ลบล้างบทบัญญัติเก่า แต่พระองค์ทำให้บทบัญญัติเก่านั้น เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อลบล้างบทบัญญัติ แต่มาทำให้บทบัญญัติทั้งปวง หรือพระคัมภีร์เดิมสมบูรณ์ขึ้น เพราะว่าพระคัมภีร์เดิมได้พูดถึงพระองค์ เผยพระวจนะถึงพระองค์ ถึงการที่จะมาไถ่ถอนโลกใบนี้ โดยผ่านทางพระองค์

            พระเยซูคริสต์บอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์เดิม อันนี้เป็นภาษาพูดของดิฉันเอง ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์เพื่อค้นหาความรอด และความรอดนั้นอยู่ในเรา ค้นหาเรา แต่เรายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านปฏิเสธ อันนี้พระองค์พูดกับคนยิวนะ ท่านปฏิเสธ มันก็ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ เพราะว่าคนยิวไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีลูกได้ พระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ จะมีลูกได้อย่างไร? อย่าว่าแต่คนอิสราเอลหรือคนยิวเลย แม้แต่พวกเราที่เป็นคนไทยเอง เมื่อมาบอกว่าพระเจ้ามีลูก มันต่อต้านความเชื่อ เราอาจจะเชื่อเทพนิยายกรีก หรือเทพของกรีก บูชาเทพของกรีก หรือเทพของทุกอย่างได้ เทพเหล่านั้น แต่งงานมีลูกได้นะ แต่พอพูดถึงพระเจ้า แล้วพอบอกว่าพระเจ้าบริสุทธิ์ แล้วมีลูก เราต่อต้านทันที มันเชื่อไม่ได้ แต่ถ้าใครเชื่อ

            พระเยซูคริสต์จึงบอกว่าพระองค์เป็นหินสะดุดของคนอิสราเอล ของคนยิว เพราะว่าถ้าทุกคนผ่านหินนี้ได้ เท่ากับทุกคนวางเท้าลงบนศิลานี้ได้ และยืนอยู่อย่างมั่นคง และเห็นถึงความรอด ความรอดมาทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์เป็นหินสะดุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเชื่อวางใจในเรื่องนี้ว่าพระเจ้าทรงมีพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรได้ นั่นแหละ ท่านวางใจและเชื่อพระเจ้าแบบเด็กๆ ไม่คิดเยอะ ท่านก็รอด …

        เอเฟซัส 6:10 (THSV11) “สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์”

            ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อท่านยืนอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เปาโลได้กำชับประชากรของพระเจ้าในเอเฟซัส คือเอเฟซัสเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับเทพเยอะมาก เพราะว่าเขาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า และเป็นเมืองที่ก่อกำเนิดเทพเจ้า เทพเจ้ามีหลายองค์ แล้วมีวิหารเยอะแยะมากมาย มีพิธีกรรมที่กระทำในนั้นเยอะมาก ถ้าใครไปที่ตุรกีทุกวันนี้ คริสตจักรเอเฟซัส ก็ตั้งอยู่ในตุรกี เราก็จะเห็นซากปรักหักพังของคริสตจักรเอเฟซัส ที่นั่นเต็มไปด้วยการแตกแยกถึงความเชื่อ และมีความสับสนในด้านความคิด ฉะนั้น เปาโลจึงปรารถนาที่จะให้คนเอเฟซัสเข้มแข็ง โดยการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

            อย่าลืมว่าคนเอเฟซัสแต่ก่อนนี้ เราจะเห็นว่าพวกเขาต้องต่อสู้อย่างหนัก คริสเตียนเป็นผู้ถูกหมายหัวจากทางการ ถ้าคริสเตียนถูกจับได้ ต้องต่อสู้กับสิงโต ถูกตรึงบนไม้กางเขน เอาหัวห้อยลงมา ถูกเผาไฟ ถูกหลายอย่าง ยากลำบากมาก การข่มแหงเหล่านี้มีมายาวนาน แม้นจะพ้นยุคของอัครทูตไปแล้ว คริสเตียนก็ยังโดนข่มแหงอยู่ไม่หยุด ถ้าไปตุรกี ท่านจะไปเห็นภูเขาเยอะแยะมากมาย ที่คัปปาโดเกีย (The Land of Beautiful Horses) ในยุคสงคราม คนพื้นที่ได้ขุดภูเขาเป็นอุโมงค์ ไว้เป็นที่หลบภัยในยามสงคราม ในยุคที่คริสเตียนได้กระจายเพิ่มมากขึ้นก็ได้ใช้ที่แห่งนี้ เป็นที่หลบภัยเช่นกัน ชีวิตพวกเขายากลำบากมาก อดอยาก ทุกข์ยากลำบากมาก หนีหัวซุกหัวซุน เข้าไป ขุดภูเขา อยู่ในอุโมงค์ สร้างเป็นเมืองใต้ดิน ในนั้น มีทั้งตลาด โรงเก็บม้า โบสถ์ พวกเขาจะเชี่ยวชาญในการทำสิ่งเหล่านี้มาก แล้วเข้าไปอยู่ในนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ออกมาตอนกลางคืน หาสิ่งของ เพื่อจะเอาไปดำรงชีวิตได้ บางครั้งต้องหลบถึง หกเดือน หาเวลาที่ปลอดภัยออกมาหาของอยู่กิน แล้ว ก็กลับเข้าไปใหม่ เพื่อหลีกหนีการฆ่าฟันของคนในยุคโรมันครอบครอง และยุคที่เติร์กเข้าครอบครอง

            สารพัดที่คริสเตียนสมัยก่อนเจอ ในจดหมายฝากของอาจารย์เปาโลกลับบอกคริสเตียนทั้งหลายว่า “ท่านมีชัยแล้วในโลกนี้” เปาโลก็เขียนไปถึงคริสตจักรเอเฟซัส บอกว่าให้เข้มแข็ง

        เอเฟซัส 6:10-12 (THSV11) “10 สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์ 11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้ 12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน”

            พออ่านมาถึงตอนนี้ สติปัญญาของเราก็จะคิดแล้ว …

            “ฉันคือนักรบที่ยิ่งใหญ่ ฉันจะออกรบ ฉันต้องต่อสู้ ต้องเข้าไปสู่การต่อสู้”

            คำว่า “สู้” ที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ เราอย่าเข้าใจผิด พระเจ้าไม่ให้เรามานั่งต่อสู้กับมาร คิดดูถ้าชีวิตคริสเตียนของเรา วันๆ เดินไปเจอบางสิ่งบางอย่าง เราสั่งการ ขับไล่ ไปถึงตรงนั้น สั่งการ ขับไล่ พูดภาษาแปลกๆ ขับตรงนั้น ขับตรงนี้ ท่านคิดว่าชีวิตคริสเตียนจะเหนื่อยไหม? ท่านคิดว่าพระคัมภีร์จะบอกว่าเราจะหายเหนื่อยเป็นสุข เป็นจริงไหม? คงไม่ใช่ และคงไม่จริง แน่นอน

            พระคัมภีร์พูดถึงตอนนี้ พระองค์ไม่ได้ให้เราไปนั่งสู้กับมาร ชีวิตของเราสามารถมีสันติสุขได้ ในโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกเราว่าเราชนะโลกนี้ ชนะอย่างไร? อยู่เหนือโลกนี้ แม้ว่าโลกนี้มันจะแย่ขนาดไหน? หรือมีปัญหา สถานการณ์ในชีวิตของเรามันจะแย่ขนาดไหน? ดิฉันเชื่อว่าพี่น้องหลายคนในคริสตจักรของเราฟันฝ่าอุปสรรค ความยากลำบากในชีวิตมาเยอะแล้ว เห็นมาเยอะแล้ว แต่ยังนิ่งอยู่ได้ เพราะท่านรู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านรู้ว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของท่านมีมากเพียงใด?

            พระวจนะบอกว่าให้เราสวมเสื้อใหม่ ให้เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุด พระองค์ให้เราสวม “สวม” อะไร? เดี๋ยวเราค่อยๆ ไปทีละข้อ …

        เอเฟซัส 6:13 (THSV11) “เพราะเหตุนี้ จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้”

            ให้สวมเฉยๆ สวมใส่ไว้ เฉยๆ แล้วจะต่อสู้ยังไง?

        เอเฟซัส 6:14 (THSV11) “เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก”

            ความจริง คือท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ความจริง คือท่านได้ถูกชำระล้างจากอำนาจของความผิดบาปและความตาย ท่านบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณท่านเป็นของพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นของพระเจ้า ในยอห์น 10:10 บอกว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย่งชิงท่านไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีการฟ้องผิด ไม่มีอำนาจใดๆ มาติเตียน ตำหนิท่านได้ เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรคสถาน อธิษฐานเผื่อท่าน พระองค์กระทำสิ่งนี้ตลอดวันคืน แล้วเราจะร้องเพลง “พระองค์ไม่เคยหลับใหล” เคยฟังเพลงนี้ใช่ไหม?

                        ** พระองค์ไม่เคยหลับใหล **

                        **ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซูคริสต์ **

            แม้ว่า นี่คือเพลง แต่นี่ก็คือเพลงที่เอาเนื้อความมาจากพระวจนะของพระเจ้า

            สิ่งที่ดิฉันแบ่งปันจะไม่ขัดกันกับพระคัมภีร์ตอนใดๆ ถ้ามันขัดกัน แสดงว่ามันต้องมีเครื่องหมายคำถามแล้ว (?) แต่จะบอกได้เลยว่าสิ่งที่กำลังแบ่งปันนี้ เป็นสิ่งที่กำลังจะบอกท่านว่านี่คือลู่ทาง นักวิ่งต้องวิ่งในลู่ที่เป็นลู่ของตัวเอง เราจะวิ่งลู่ตัวตนเก่าเราไม่ได้ เราจะไปวิ่งในลู่ของมารชักจูงไม่ได้ เราต้องวิ่งในลู่ของพระเยซูคริสต์ เราต้องวิ่งให้ถูกลู่ ถ้าเราวิ่งไม่ถูกลู่ เราก็จะไปชนคนอื่น สับสน

            ฉะนั้น เอาความชอบธรรมเป็นเกาะป้องกันอก จิตใจความรู้สึกเราบอบบางไหม? บอบบาง แต่ให้รู้ว่ามารสามารถเข้ามาวนเวียน พระคัมภีร์บอกมันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา คอยหาช่องทางที่จะกัดกินเราได้ มันหาช่องทางว่าเมื่อไรเราจะใจขมขื่น ใจเกลียดชัง ใจโกรธ ใจรู้สึกหมกมุ่นอยู่กับทางด้านลบ มันก็จะสามารถเข้ามาทางความคิดของเราได้ มันจะเข้ามายุยง ปั่นเราได้ ฉะนั้น พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ความชอบธรรมนี้ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ถูกลบไปแล้ว ลบเดี๋ยวนั้น ลบทันที เหมือน ลิควิดเปเปอร์ที่ไวมากของพระเจ้า ทำปุ๊บลบปั๊บ คือมันจะถูกลบเป็นระบบอัตโนมัติ ฉะนั้น มันไม่ถูกจดบันทึก ไม่ถูกจดจำ ไม่ถูกเขียนไว้ ให้มาฟ้องผิดเราได้ เมื่อท่านเชื่อและวางใจแล้ว ท่านเป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เพื่อไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดอวดได้ ท่านเป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ …

        เอเฟซัส 6:15 (THSV11) “และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า”

            เวลาเราจะออกบ้านไปไหนมาไหน สิ่งที่จะอยู่ในเราตลอดเวลา ก็คือเรารู้ถึงความจริงแห่งขบวนการการไถ่ถอนของพระเยซูคริสต์ที่มีในชีวิตของเรา ดังนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหนก็ตาม มันจะเกิดเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ คืออยากบอก อยากเล่า รัก ต้องการให้คนอื่นรอด ต้องการให้คนอื่นเชื่อ ไม่ต้องมาตั้งความคิดว่า … “ฉันออกจากบ้าน ให้ฉันสวมรองเท้า ข่าวประเสริฐเป็นรองเท้า ฉันออกไป ฉันจะต้องบีบบังคับตัวเองให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไปเคาะบ้านคนอื่น ถ้าไม่ประกาศวิบัติจะเกิดกับเรา ไปเคาะบ้านคนอื่น เธอรู้จักพระเจ้าไหม?” เพราะกลัววิบัติ พระเจ้าจะให้เราวิบัติจริงหรือ นั่นคือบุคลิกของพระเจ้าหรือ?

            พี่น้องที่รัก เคยเห็นพระเยซูคริสต์ทำสิ่งนั้นไหม? ถ้าเราไม่เคยเห็นพระเยซูคริสต์ทำสิ่งนั้น ก็อย่าทำ เมื่อพระเยซูคริสต์ส่งสาวกของพระองค์ 12 คนออกไป เหมือนฝึกงาน พระองค์บอกว่าเข้าไปบ้านไหนต้อนรับท่าน ก็ให้อวยพรผู้นั้น ถ้าบ้านไหนไม่ต้อนรับท่าน ก็จงล้างมือล้างเท้า ให้นับว่าความรอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเรา

            ฉะนั้น นอกจากจะทำให้เรานำเอาข่าวดีไปให้คนอื่นแล้ว ไม่พอนะ ข่าวประเสริฐนี้ ยังทำให้เรายืนหยัด ฟันฝ่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ ไม่ว่าเราจะออกไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ สิ่งที่เราคิดใคร่ครวญอยู่นั้น จะยิ่งทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราได้อย่างง่ายขึ้น …

        เอเฟซัส 6:16 (THSV11) “และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย”

            จำได้ไหม เมื่อท่านเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ยิ่งนานวันเข้า โล่ของท่านก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ถ้าเมื่อไรก็ตามที่การโกหกหลอกลวง ที่จะมาตำหนิติเตียนเรา โกหกเรา ฟ้องผิดเรา เรายกโล่ขึ้นมาเลย บอกออกไปว่า “ไม่จริง”  เราบอกเลยว่าเราเป็นใคร? พูด เหมือนที่พระเยซูคริสต์พูดกับมัน พูดนิ่งๆ… “ในพระวจนะเขียนไว้ว่ามนุษย์จะบำรุงชีวิต ด้วยอาหารด้วยสิ่งเดียว ก็หามิได้ แต่จะต้องบำรุงด้วยพระวจนะ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

            เมื่อมันบอกให้พระเยซูคริสต์กราบนมัสการมัน พระเยซูคริสต์พูดนิ่งๆ เลย … “ไสหัวไป เพราะว่าต้องกราบนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

            บอกให้กระโดดลงไป พระเยซูคริสต์ตอบนิ่งๆ พระองค์บอกความจริงเลยว่า … “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

            ไม่ต้องไปเยอะกับมัน การต่อสู้จะเกิดที่ระบบความคิดของเรา ระบบความคิดเราเป็นที่มั่น(เป็นฐานรบที่มีระบบป้องกันเอาไว้แล้ว) เอาความเชื่อในพระเยซูคริสต์ของเรา บอกลงไปในความคิดหรือความรู้สึกที่มันยิงเข้ามาในเรา บอกถึงความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ลงไปในความคิดของเราด้วยความเชื่อ แค่นั้น เราก็ชนะแล้ว

        เอเฟซัส 6:17 (THSV11) “จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า”

            พระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ในลู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์ทุกคนอ่านพระคัมภีร์ สามารถรู้พระคัมภีร์ แต่เราใช้พระคัมภีร์แบบไหน? เราใช้มาตีกัน เราใช้มาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเราเองรึเปล่า? เมื่อ มีถ้อยคำบอกเราว่า อย่าโกรธ อย่าโมโห แต่ตอนนี้มีคนทำให้ฉันโกรธ ฉันอยากโกรธ ฉันขอโกรธ มันไม่ไหว ก็ต้องโกรธใช่ไหม? แล้วมันเหมือนพยายามจะยิงข้อความมาฟ้องผิดเรา ให้เราเอาพระวจนะของพระเจ้า ที่อยู่ในทางแห่งความจริงนี้ พูดกับตัวเอง หรือพูดกับความคิดของเราเอง พระคัมภีร์บอกว่า  …

        สุภาษิต 3:6 (THSV11) “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”

            ในโรม 12:1-2 พระคัมภีร์ข้อนี้ใช้บ่อยมาก …

        โรม 12:1-2 (THSV11) “1 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของท่าน 2 อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            สิ่งสารพัดทั้งปวง พระเจ้าทำให้เราหมดแล้ว แค่เรารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ นั่นเท่ากับว่าท่านกำลังสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าอย่างไม่รู้ตัว แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ท่านที่จะแสดงออก หรือโต้ตอบอย่างทรงอำนาจ อย่างอยู่เหนือทุกอย่าง เพราะท่านชนะมันผู้นั้นที่อยู่ในโลกนี้เรียบร้อยไปแล้ว เปาโลได้พูดย้ำออกไปในตอนสุดท้าย …

        เอเฟซัส 6:18-19 (THSV11) “18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลา โดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียร และด้วยการวิงวอน เผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ 19 และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้า ที่จะสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”

            การอธิษฐาน คืออะไร? พระเจ้ารู้ทุกอย่าง แล้วทำไมให้เราอธิษฐาน เราไม่อธิษฐานได้ไหม? ได้ ถ้าไม่อธิษฐาน พระเจ้ายังอวยพรเราไหม? อวยพร ถ้าไม่อธิษฐาน พระเจ้าจะปกป้องเราไหม? ปกป้อง พระเจ้าจะดูแลเราไหม? ถามจริงๆ พี่น้อง ทุกคนที่อ่านบทความนี้อยู่ ท่านอธิษฐานทุกวันหรือ? ท่านทุกคนถ้าไม่หลอกตัวเองคงมีคำตอบในใจต่างกันออกไป ขณะที่เราไม่สมบรูณ์ ไม่ดีพร้อม ทำไมเรารอดพ้นสถานการณ์หลายๆ อย่างล่ะ? ทำไมเรายังสามารถเห็นถึงการช่วยเหลือของพระเจ้าหลายๆ อย่างในชีวิตเราล่ะ? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านอธิษฐานตลอดเวลา? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านอยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา? พูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา? ไม่จริง แต่ทำไมท่านยังรอดพ้นสถานการณ์ต่างๆ ได้ เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าสัญญาฉบับนี้ พระเยซูคริสต์เซ็นต์สัญญากับพระบิดา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน สัญญาฉบับนี้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานมากหรือน้อย พระเจ้าก็ยังทรงดูแลชีวิตของท่านปกติ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ผู้ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีความบกพร่องสักขีดเดียวในพระองค์เลย นั่นคือพระองค์ เราเข้าใจพระเจ้าหรือเปล่า? เรารู้ไหมว่าความจริงพระเจ้าของเราองค์นี้ เป็นอย่างไร?
การอธิษฐานของเรา คือการที่เรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนร่วมกับเรา เราย้อนกลับไปอ่านในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1 (THSV11) “ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการ โดยวิญญาณจิตของท่าน”

            ทำไม? เพราะพระเจ้ายังเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่ตั้งต้นไม้ไว้ในสวน ให้เรามีสิทธิ์เลือก แต่การเลือกครั้งที่แล้ว เมื่อล้มลงในความบาป มนุษย์ก็ตายและตายเลย แต่ครั้งนี้ ต่อให้เราเลือก ไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ยังตกลงไปในเบาะนุ่มๆ เจ๋งไหม? แต่กินผลไหม? กินผล กินผลเต็มๆ กินผลในโลกนี้นะ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรายังกินผลในโลกนี้ ถึงเวลาที่จะกินอาหารที่ดี เราไม่กินอาหารที่ดี เราไปกินอาหารไม่ดี เราจะมาบอกว่าพระเจ้าจะดูแลร่างกาย ไม่เป็นไร กินเข้าไป พระเจ้าจะดูแล อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ 30 เกือบ 40 ปีที่แล้ว เกิดน้ำท่วมเกาหลีใต้ น้ำมันหลากแรงมาก ผู้หญิงคนนั้น ก็บอกว่า …

            “โดยพระเจ้า พระองค์บอกว่าให้เราเดินผ่านน้ำได้ เรามีชัยชนะแล้ว”

            เราหักกฎของโลก โลกนี้มีกฎของเขา เราไปหักล้างกฎโลกนี้ เธอเดินฝ่าน้ำ น้ำพัดเขาไป และเสียชีวิต ผู้หญิงคนนั้นเป็นคริสเตียน แล้วเพื่อนที่บอกไม่เอา ฉันไม่ไป ยังอยู่ แล้วก็มาเป็นพยานเรื่องนี้ เราจะมาหักล้างกฎของโลกนี้ แล้วมาอ้างสิทธิ์ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าอย่างนั้นไม่ได้ ลักษณะของการใช้สิทธิของเรา คือการรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มีสิทธิอำนาจอย่างไรในโลกวิญญาณ จัดการแบบไหนในโลกวิญญาณ สติปัญญาเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าทุกวันๆ สติปัญญาเหล่านี้จะเกิดขึ้น การดำเนินชีวิตแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเรา

        โรม 12:2 (THSV11) พระวจนะบอกว่า … “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

            ฉะนั้น การอธิษฐาน คือการยินยอม แสดงออก ให้เห็นชัดเจนว่าเรายินยอมให้พระเจ้ามีสิทธิ์ในชีวิตประจำวันของเรา มีสิทธิ์ในความคิดของเรา มีสิทธิ์ในความรู้สึกของเรา มีสิทธิ์ในความปรารถนาของเรา ฉะนั้น ความปรารถนาของเรา ไม่ว่าจะถูกจะผิด สุดท้ายจะถูกปรับเข้ามาสู่น้ำพระทัยพระเจ้า การอธิษฐานอยู่เรื่อยๆ จึงทำให้เกิดความปรารถนาของเรา เป็นไปในแบบเดียวกันกับพระเจ้า เหมือนกับในโรม 12:2 บอกว่าเราจะได้รู้ว่าเราจะกลายเป็นคนที่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอย่างไร? รู้ว่าอะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม และอะไรเป็นที่ชอบพระทัย

            เวลาเราอธิษฐาน คำอธิษฐานของเราต่อๆไป ก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กลายเป็นอธิษฐานแล้วถูกจูนเข้าไปในความปรารถนาของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาชนิดเดียวกัน แล้วพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อความปรารถนาชนิดเดียวกันนี้ เราขอสิ่งใด เราก็จะได้สิ่งนั้น

            นั่นคือพระคัมภีร์ที่ตอบเรา เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้าคงไม่เกินความจำเป็นในชีวิตแน่ๆ บางคนพระเจ้าก็อาจจะให้รวย ปรารถนาในทางที่จะรวยได้ แต่ละคนก็จะถูกนำไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่ได้ให้รวย บางคนก็ให้อีกแบบหนึ่ง ให้มีของประทานอีกแบบหนึ่ง เพื่อจะให้เสริมสร้างกันและกันในพระเยซูคริสต์ เกิดการให้ เกิดการรับ เกิดการแบ่งปัน เกิดการค้ำจุนกัน เกิดการชูใจกัน ผสมผสานเป็นตึกอันงดงามของพระเจ้า ที่ก่อร่างสร้างกันขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเราทั้งหลาย นั่นคือความงามที่จะถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างขึ้นภายในพระกายของพระองค์ …

        ยากอบ 4:7 (THSV11) “เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป”

            พอเราอ่านพระวจนะตอนนี้ ก็เกิดการเข้าใจผิด อย่างที่บอก ก็คือมีการลุกขึ้นมาสั่งการ จัดการ สั่งพระเจ้าให้จัดการนี่ สั่งพระเจ้าให้จัดการนั่น สั่งโน่นสั่งนี่ บอกโน่นบอกนี่ ต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้  เรามามองย้อนดูพระเยซูคริสต์ เวลาพระองค์สั่งผีออกจากชายคนนั้น ไปอยู่ที่หมู แล้วหมูก็ตกลงไปในน้ำ พระองค์ใช้ความรุนแรงสั่งไหม? เวลาที่พระองค์บอก พูดถึงความรอด หรือพระ
องค์พูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือต่อสู้กับความคิดของคนเหล่านั้น ที่ไปในทิศทางของการเป็นศาสนาจัด พระองค์ไม่ได้ใช้อารมณ์ใดๆ เลย แม้พระองค์จะบอกว่าวิบัติเกิดแก่คนเหล่านั้น

            พระองค์ก็ไม่ได้ใช้อารมณ์ พระองค์พูดธรรมดานี่แหละ แต่พระองค์พูดความจริง และเป็นความจริงที่บาดหัวใจ เป็นความจริงที่เป็นดาบที่แทงทะลุตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก วินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมาย ในจิตใจของมนุษย์ มันทำให้คนที่เป็นคนละขั้วกับพระองค์เกิดความทนไม่ได้ อยากจะฉีกเสื้อ แล้วเอาดินโกยใส่หัว แล้วก็เอาหินขว้างพระเยซูคริสต์ เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนไม้กางเขน เขารู้ดี ต่อให้เป็นมนุษย์ที่ตายแล้ว สำนึกของเขาก็ตายไปด้วย แต่ว่ามนุษย์ยังเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง รู้ดีรู้ชั่ว เขารู้ว่าสิ่งไหนคือดี สิ่งไหนคือชั่ว แต่ทำไม่ได้ พอมีคนมาชี้ความไม่ถูกลงไปในจิตใจ ทนไม่ได้ โมโหกลับ โต้กลับอย่างรุนแรง อยากจะทำร้าย เพื่อให้คนนั้น ดับสูญไปซะ จะได้ไม่มาพูดคำนี้กับเราอีก มนุษย์ไม่ชอบฟังความจริง ในพระวจนะยากอบบอกว่า …

        ยากอบ 4:7 (THSV11) “พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า”

            คำว่า “นอบน้อม” คือการยอมรับรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และสิทธิอำนาจนั้นอยู่ในเรา สิทธิที่มโหฬารใหญ่โตมากของพระองค์ อยู่ในท่าน ท่านต้องไปแสดงอย่างนั้นหรือ? ท่านต้องไปจัดการอย่างนั้นหรือ? ท่านชี้นิ้วสั่งพระเจ้า ท่านชี้นิ้วสั่งทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือ ควรไหมถามใจของท่านที่มีพระวิญญาณอยู่ภายในดู เราจัดการได้ แต่จัดการอะไร? จัดการตัวเองไงคะ เราจัดการระบบความคิดของเราได้ เราบอกความคิดของเราไปในทิศทางของพระเจ้าได้ นั่นคือสิ่งที่เราจะจัดการ นั้นคือสิ่งที่เราเลือกได้ ไม่ต้องไปจัดการอย่างอื่น หรือคนอื่น เพราะอย่างอื่น อำนาจมันอยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ไปแล้ว มันหมดอำนาจไปแล้ว สิ่งที่มันทำได้ ก็คือล่อลวงเราเท่านั้นเอง สิ่งที่เราจัดการ คือระบบความคิดของเรา มันใหญ่กว่าพระเจ้าตอนนี้ ที่ใหญ่กว่าพระเจ้า ก็คือเรานี่แหละ ไม่ใช่มาร ฉะนั้น สิ่งที่ต้องจัดการ คือเรา ความคิดของเรา ความรู้สึกของเรา

            พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อยากให้ท่านรู้ว่าสิทธิอำนาจที่อยู่ในตัวท่าน มหึมามาก ท่านสามารถจะยืนอยู่อย่างสง่างามในโลกใบนี้ หรือจะอยู่แบบคนที่ไม่รู้ตัวตนจริงๆ ว่าตัวเองเป็นใคร? แล้วใช้วิธีผิดๆ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ต่อให้ท่านดำเนินชีวิตคริสเตียนผิดๆ อธิษฐานผิดๆ พระเจ้าก็ไม่ว่าท่านหรอก พระองค์ก็ยังดูแลช่วยเหลือนำพา

            ดิฉันเคยไม่พอใจกับสถานการณ์ หรือคำสั่งที่จะต้องให้เปลี่ยนแปลง ดิฉันก็เข้าไปเถียงกับพระเจ้า เถียงไปเถียงมาใครชนะ? พระเจ้าชนะ ดิฉันก็ต้องยอม เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงอดทนต่อการกระทำของเรา พระองค์ทรงอดทนต่อการเถียงคำไม่ตกฟาก การยืนยันว่าตัวเองถูก การแข็งไม่งอของเรา

            ตอนนี้ดิฉันกลายเป็นตัวนิ่มแล้ว ตอนนี้นิ่ม แต่ยังไม่นิ่มถึงที่สุด ยังมีปฏิกิริยาโต้ตอบอยู่ บางทีหนักๆ อาจจะเผลอต่อย แต่ต่อยไปแล้ว ก็เสียใจ รับรองว่าดิฉันเสียใจอย่างหนักแน่นอน ไม่เหยียดยาวกับความผิดพลาดของตนเอง (ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี แต่เพราะอยู่ในอาการและอารมณ์แบบนั้น มันทรมานฝ่ายวิญญาณจริงๆ ทนไม่ไหว ก็ต้องหาทางออก ทางออกคือ ยอมเชื่อฟัง ยอมตามวิถีทางของพระเจ้า พอหลุดออกมาได้ก็สบายกว่ากันเยอะเลย)

            พี่น้องที่รักค่ะ พระคริสต์ที่อยู่ในท่านมีสิทธิอำนาจ มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แทรกซึมไปด้วยความสุภาพอ่อนโยน ความเมตตากรุณา และใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งนั้นอยู่ในท่าน จงรับรู้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ยอมรับรู้พระองค์ในทุกทาง แล้วให้เรายอมรับรู้ว่า เราตายไปแล้วกับพระคริสต์ทุกวัน

            “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินโดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักข้าพเจ้า และได้สละพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

            และเมื่อเรารับรู้ความจริงนี้ ความจริงจะเปลี่ยนเราให้เป็นไท ความจริงนี้จะสร้างเราใหม่ ความจริงจะทำให้เราสามารถยืนอยู่บนศิลาอันเข้มแข็งและดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญาในโลกนี้ และอยู่เหนือโลกนี้ เป็นดั่งนกอินทรีที่อยู่เหนือสภาวะของพายุได้ เอเมนไหม? และดิฉันเดินคนเดียวไม่ได้นะ โปรดจับมือกันเดิน เราจะเดินไปด้วยกัน เอเมนไหมคะ? พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก  แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิว และมนุษย์ทั้งปวงได้เห็น ภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ คือโลกวิญญาณ เกี่ยวกับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายเนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งคือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาว่าจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่

            และทางแห่งความรอดนี้ คือกฎแห่งพระคุณ โดยผ่านทางความเชื่อวางใจในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับมนุษย์ทุกคน คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเองเลย เรียกว่ากฎวิญญาณในพระเยซูคริสต์

            ส่วนบนโลกใบนี้ ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎที่เรียกว่า กฎของความบาปและความตาย พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง คือกฎแห่งกรรมทำดีก็ได้สิ่งที่ดี ทำชั่วก็ได้เก็บเกี่ยวความชั่วกลับมา ซึ่งเรา รู้กันอยู่แล้ว เพราะมองเห็นกันชัดอยู่แล้ว พยายามปฏิบัติดี ก็เก็บเกี่ยวผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีความสุข มีสันติสุขทุกข์น้อยลง ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎ ก็ทุกข์มากขึ้น

            เพราะฉะนั้น ใครที่พยายามบังคับควบคุมตนเองได้มาก ก็มีความสุข มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ เช่นเรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่พยายามลดละ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของสุขภาพย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มความทุกข์ให้กับร่างกาย

            เพราะฉะนั้น ทั้งสองโลก คือโลกวิญญาณและโลกวัตถุ สำคัญทั้งสองกฎ แต่โลกวิญญาณนั้นสำคัญกว่ามาก เพราะอยู่นิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเท่านั้น

            ดังนั้น การรักษาเชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมากในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ทุกข์น้อยลง แต่ไม่มีผลอะไรกับโลกวิญญาณ ซึ่งจะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณหลังความตายจากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติวิญญาณ

            พระเยซูจึงอยากให้เราให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า จงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่จะเข้าสวรรค์ได้ โดยความเชื่อผ่านทางพระองค์เท่านั้น

            ปัญหาจึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงว่ามีสองกฎ คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุนี้ จึงหวังผลสลับกันมั่วไปหมด เช่นกระทำดีตามกฎหมายศีลธรรมอันดีงาม ก็ไปหวังผล คือความรอดในโลกวิญญาณซึ่งเป็นไปไม่ได้ หรือรอดในวิญญาณแล้ว คือเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วย เช่น เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบาก เนื่องจากบาป

            ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมดเหมือนแดดส่องมาบนโลก เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน คอยนำพา

            ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรงพระเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎทั้งสองนี้ ยำเกรงโดยความเชื่อฟัง พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย คือเชื่อวางใจในพระบุตรพระเยซูคริสต์ ที่จะช่วยวิญญาณให้ได้รับความรอด จากการพิพากษาหลังความตาย ได้อยู่ในสวรรค์ ให้ความสำคัญทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้พระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัประการในพระคริสต์ และพรบนโลกใบนี้ มีความสุขสงบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย

            นี่คือการเคารพยำเกรงจนตัวสั่น ต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม ไม่มีลำเอียง เป็นผู้พิพากษาทุกสิ่งเป็นไปตามกฎระเบียบของถ้อยคำของพระองค์ ที่ได้ให้ไว้แล้วกับสรรพสิ่ง ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ  พระเจ้าอวยพรครับ