คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2016 เรื่อง “พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว … พระองค์ทรงอยู่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย ซึ่งเป็นวันที่ 3 นับจากวันศุกร์ ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน ถามว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ทำไมเราถึงดีใจ? ทำไมเราต้องมาฉลองกัน เกือบ 2,000 ปีแล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราเรียกว่าวันอีสเตอร์ คือวันฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์  กิจการ 13:32-33 จะบอกว่าทำไมมนุษย์ถึงดีใจมากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย

กิจการ 13:32-33 “32 “สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษของเรา 33 พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อพวกเรา ผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น โดยทรงให้พระเยซูเป็นขึ้น ตามที่เขียนไว้ในสดุดี บทที่สองว่า ‘เจ้าเป็นบุตรของเรา  วันนี้  เราได้เป็นบิดาของเจ้า’”

 

เอเมน เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่อาดัมและอีฟล้มลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า เมื่อกบฏต่อพระเจ้า ก็ได้รับการลงโทษ เรียกว่าการสาปแช่ง

กบฏ ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรู เรียกกันว่าบาป

บาป คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

โทษ ก็คือคำสาปแช่ง อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า เห็นไหมครับ? แต่สัญญานี้บอกว่าวันหนึ่ง เราจะกลับมาดีกันใหม่ วันหนึ่งเราจะอภัยในบาปเหล่านี้ให้ แล้ววันนั้น มาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

 

“ฮาเลลูยา”

ทั้งโลกร้องกันอย่างนี้ ร้องมาแล้ว 2,000 ปี เขาดีใจไง เพราะวันอีสเตอร์ เป็นวันที่เราทั้งหลายมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้สามารถกลับมาเป็นลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จ คือวันคริสตมาส วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ 3 วันนี้รวมกันเป็นข่าวประเสริฐ คือสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา บรรพบุรุษของเรา พระองค์ได้ทำให้สำเร็จแล้ว ในวันนี้ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว คือวันอีสเตอร์ คือวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย จบ … จบเลยนะครับ

เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นแผนการที่ได้ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า  ผ่านทางการเผยพระวจนะ คือพระคัมภีร์เดิมเขียนบอกไว้ก่อนล่วงหน้า เป็นเวลานับพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และพระเยซูเองก็ทรงทราบถึงเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง เพราะเขียนมาหมดแล้วเรียบร้อย ก่อนพระองค์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป แล้วถูกสาปแช่ง พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะช่วยมนุษย์อย่างไร? บรรทัดหนึ่งที่เขียนไว้บอกว่าพระเยซูจะมาเกิด และจะมาเหยียบหัวมาร บอกเสร็จเลย  คือบอกเลยว่าพระเยซูจะมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหยียบหัวมาร

ทำไมผมถึงบอกว่าพระเยซูทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างล่วงหน้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงบอกเอง ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า ‘บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสสหนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี ที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตาย ในวันที่สาม”

 

ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ หนังสือสดุดี พูดง่ายๆ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา (พระเยซู) คือแผนการลับของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ มันจะต้องสำเร็จตามที่พระเจ้าสั่งไว้ล่วงหน้าทุกประการ บันทึกไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พูดมาตลอด และการที่พระคัมภีร์เก่าหรือพระคัมภีร์เดิมบอกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เป็นการตอกย้ำว่าทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เรียบร้อยแล้ว ที่จะประทานความรอดจากบาปให้กับมนุษยชาติ พูดง่ายๆ เป็นแผนการที่พระเจ้าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษ ที่เขากระทำผิด ที่เขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อฟัง เขาหลงเชื่อมารไป ตอนนั้น เขาจำเป็นจะต้องได้รับคำพิพากษาลงโทษ แต่เนื่องจากเรารักเขา เขาเป็นลูกเรา เราจะช่วยเขา แต่ช่วยให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน จึงวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา (“เรา” นี่หมายถึงพระเยซู)

“ที่พูดถึงเรา ที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น  ก็จะต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามนั้นแน่นอน”

และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เขียนมาตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ซึ่งไม่รู้ว่ามันกี่ปี? เพราะตอนนั้นยังไม่ได้นับปี แต่ได้เขียนลงไปในนั้นแล้ว  แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เป็นไปตามที่เขียนทั้งหมด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจาก 2,000 ปีนั้น เราก็ได้ศึกษากันมาอยู่เรื่อยๆ แล้วมันก็เกิดขึ้น มากขึ้นกว่านั้นอีก ในสิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้

เรามาย้อนดูสักนิดว่าในพระคัมภีร์เดิมบันทึกไว้อย่างไร? ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในสดุดี 22:1-2 ได้บันทึกไว้ประมาณ 1,000 ปีก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นเหตุการณ์ที่บอกล่วงหน้าเป็นพันปี

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือ 1,000 ปีก่อนที่เกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า โดยให้กษัตริย์ดาวิด ได้เห็นภาพล่วงหน้าก่อนพันปีว่าพระเยซูจะมาเป็นอย่างไร?  และให้เขียนออกมา แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เขียนสิ่งนี้ขึ้นมา เห็นภาพเข้าไปในโลกวิญญาณ แล้วก็เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา สดุดี 22:19-21

สดุดี 22:19-21 “19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

สมมติวันนี้เป็นวันอีสเตอร์ของ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ คือวันศุกร์ พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น    พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง?    มองทุกวินาที   รู้ว่าช็อตต่อไปจะเป็นภาพอะไร?  พระองค์ทรงรู้ว่าตะปูนั้น มันยาวเท่าไร? และจะตอกลงไปที่มือและเท้าของพระองค์อย่างไร? พระองค์ทรงมองเห็นหอก รู้ว่าจะมาแทงที่สีข้างพระองค์ตอนไหน? พระองค์ทรงรู้ว่าเขาจะยกไม้กางเขนขึ้นตั้ง เป็นช่วงที่ทรมานมาก เพราะว่าน้ำหนักตัวจะห้อยลงมา พระองค์ทรงรู้หมดเลย ตั้งแต่ 3 โมงเช้า จนถึงบ่าย 3 โมง มันทรมานขนาดไหน? หายใจแต่ละครั้งเหนื่อยขนาดไหน? และพระองค์ทรงทราบดีว่าตอนที่พระองค์อยู่บนไม้กางเขน 6 ชั่วโมง พระองค์ต้องแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์เอง บาปทุกชนิด ไว้ที่ตัวพระองค์เอง รับแทนเขาไปหมดเลย  เอาง่ายๆ คนเป็นโรคเรื้อน หรือคนเป็นมะเร็งก็ตาม

ท่านรู้ไหมว่ามะเร็ง คืออะไร? มะเร็ง ก็คือโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเรื้อนก็เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเหล่านี้ มันมาได้อย่างไร? มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นโรค มนุษย์ถูกสร้างมาให้แข็งแรง พระเจ้าสร้างมนุษย์มา ไม่ให้มีการเจ็บป่วยเลย แต่เพราะมนุษย์ทำบาป เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับการลงโทษ มนุษย์ก็เลยต้องป่วย เพราะว่าอ่อนแอลง นี่คือบาปทั้งนั้น และบาปร้ายแรงที่สุด ก็คือเมื่อมนุษย์ถูกลงโทษ วิญญาณมนุษย์ที่สะอาดเหมือนพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์นั้น ได้กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป วิญญาณก็เรียกว่าวิญญาณบาป รับโทษของความบาป คือความตาย

“ความตาย” ในที่นี้ หมายถึงตายจากพระสิริของพระเจ้า ไม่ใช่ตายแบบสูญสิ้นไปเลย ไม่ใช่ ถ้าตายแบบสูญสิ้นไปเลย ก็ดีนะ แต่นี่มันไม่ได้สูญสิ้น เพราะวิญญาณเรามาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ อยู่อย่างไรนิรันดร์ อยู่แบบตายนิรันดร์ คือเหี่ยวเฉานิรันดร์ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้นิรันดร์ อยู่ในนรกนิรันดร์ เขาเรียกว่าอยู่ในความพินาศนิรันดร์ นั่นทารุณที่สุด

นี่คือผลของความบาป และพระเยซูอยู่บนนั้น รับเอาความบาปทั้งหมด ที่ผมพูดมา ยกตัวอย่างให้นิดหน่อย พระองค์ทรงแบกไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน  นอกจากความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกาย เพราะพระองค์เกิด โดยการอุ้มบุญของมารีย์ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทั้งร่างกายและเจ็บปวดทั้งวิญญาณ พระเจ้าจึงต้องเสด็จออกจากพระเยซูไป  พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์ทรงทอดทิ้ง

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ เฉพาะที่อ่านสดุดีนี้ 1,000 ปี ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ว่าพระองค์จะต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้  คือความรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า

นี่บันทึกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม คือหนังสือสดุดี แล้วมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันศุกร์ประเสริฐ พอเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มัทธิวก็ได้บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้ประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ดูว่ามันตรงกันขนาดไหน? มัทธิวได้บันทึกไว้ในมัทธิว 27:46

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ยกมาให้ท่านดู เป็นอันเดียวกัน พระองค์ทรงรู้แล้วว่ามันทรมานมาก พระองค์ต้องพูดคำนี้แน่นอน แล้วพระองค์ก็หลุดคำนี้ออกมาจริงๆ ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปีที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเลย เพราะช่วงเวลานั้น พระองค์บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปเลย  เพราะว่าเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่วิญญาณของพระองค์มาจากพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด แต่ตอนที่อยู่บนไม้กางเขนนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซู ที่พระองค์รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน

พระองค์เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่อยู่ในร่างกายที่เป็นแบบมนุษย์ พระองค์จึงบริสุทธิ์ ไม่มีบาป ไม่มีความด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด ทรงรับรู้การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆ คุยกับพระเจ้าตลอดเวลาเลย พระเยซูบอกว่า …

“สิ่งที่เราพูดกับท่านทั้งหลาย คือสิ่งที่เราได้ยินจากพระเจ้าพระบิดา เราจึงพูด”

จนกระทั่งมาถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติทั้งหมดไว้ที่พระองค์ ทั้งร่างกายและวิญญาณ จากที่เคยบริสุทธิ์ สามารถติดต่อกับพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นคนบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูบาป บาปกับบริสุทธิ์อยู่กันไม่ได้ ถึงอยากอยู่ ก็อยู่ไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องละทิ้งพระเยซูไป  จึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างเหลือเกิน กษัตริย์ดาวิดเห็นสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เห็นแต่ศุกร์ประเสริฐอย่างเดียว แต่เห็นทั้งวันอีสเตอร์ด้วย สดุดี 22:22-31

สดุดี 22:22-31 “22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์ แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์ ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ 24 พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์ ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ให้สำเร็จ ต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ 26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลาย มีชีวิตอยู่ตลอดกาล 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลก จะเลี้ยงฉลองและนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์ แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”

 

หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ด้วยความทุกข์ทรมานแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น คือคนยากไร้จะได้อิ่มหนำสำราญ คือยากไร้ในวิญญาณ เหี่ยวแห้งหัวโต ทรมานจริงๆ ชีวิตนี้ เมื่อไรจะพบกับสัจธรรมสักทีหนึ่ง หามาตั้งนาน

ก่อนมารู้จักพระเยซู ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองยากไร้ แต่เมื่อท่านมาพบพระเยซูท่านจะรู้ทันทีว่าจิตวิญญาณมันเหี่ยวแห้งเหลือเกินตอนนั้น หาอะไรก็ไม่เจอ ไม่มีอะไรอิ่มใจสักอย่าง เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่มาพบพระเยซูเหมือนหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ยากไร้อีกต่อไป เอเมน ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แล้วเป็นตามนี้เลยทั้งโลกมาหาพระองค์  นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้าไว้ 1,000 ปี

ทุกวันนี้ พระเจ้าจะฟังเสียงเขา เมื่อเขาร้องทูลพระองค์ สมัยก่อนพระองค์ฟังไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ฟังได้ เพราะเขาอธิษฐานผ่านพระเยซูคริสต์ เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ในนามพระเยซู”

ใส่นามพระเยซู หมายถึงเรากำลังประกาศว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ย้ำให้คนข้างๆ มีความมั่นใจ ย้ำให้มารซาตานได้รู้ว่าเราเชื่อจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า

ทำไม? ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตแบบคนละเรื่องขนาดนี้ จากการว้าเหว่ คร่ำครวญกับพระเจ้า ตัดพ้อ เปลี่ยนมาเป็นความชื่นชมยินดี โห่ร้องประกาศ สรรเสริญยกย่องพระเจ้า แบบล้นไปหมดเลย เพราะพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บัดนี้ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ในวันที่สามตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้จริงๆ ซึ่งถ้อยคำในสดุดี ก็ตรงกับที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ในฮีบรู 2:9-13

ฮีบรู 2:9-13 “9 แต่เราเห็นพระเยซู ผู้ทรงถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย บัดนี้ ได้ทรงมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติแล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์ เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสความตาย เพื่อทุกคน 10 ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่ เพื่อพระองค์ และโดยทางพระองค์  จะทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ 11 ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์ กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง 12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์จะประกาศพระนามพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะร้องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าที่ประชุม” 13 และตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะไว้วางใจในพระองค์” และพระองค์ตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่แล้ว”

 

ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ก็ฮาเลลูยา ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ ทั่วโลก เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็ค่อยๆ ลืม แล้วปีหน้าก็มาว่ากันใหม่ ธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ แต่นี่คือเหตุที่ทำไม เราจึงต้องมารวมกันอยู่ ณ สถานที่ที่เรียกว่าโบสถ์ในวันอาทิตย์ หรือทำไมเราจึงจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ เพราะว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่เขาทำหนังสือแล้ว เพิ่งจะมี 500 – 600 ปีนี่เอง ก่อนหน้านี้ไม่มี เขาเล่าสู่กันฟัง บอกกัน ต้องไปฟังที่โบสถ์อย่างเดียว ตอนนี้ยังมีให้อ่าน และมาล่าสุด ไม่ใช่อ่านอย่างเดียว แถมเปิดฟังได้อีก มีทั้งยูทูป เต็มไปหมด เราก็ยังไม่ฟังเหมือนเดิม นี่คือมนุษย์ แต่ไม่เป็นไร อย่างที่บอก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ฟัง ฟังแล้วมันก็ดีกับเรา ถ้าไม่ฟัง มันก็ทุกข์มากขึ้นหน่อยหนึ่ง มันใช้ความเชื่อ มันก็เชื่อน้อยบ้าง? มันก็หดหู่  แต่ถ้ามีความเชื่อมาก ก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เพราะตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ตราบใดที่วิญญาณเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่  ตราบนั้นพระเจ้ายังใช้เราอยู่บนโลกใบนี้  เราจำเป็นจะต้องใช้ความเชื่อ ซึ่งมันเหนื่อยเหมือนกัน นิดๆ แต่พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราติดสนิทอยู่กับถ้อยคำของพระองค์จริงๆ เอเมน อยากหายเหนื่อยไหม? อยาก อ่านพระคัมภีร์สิ ฟังเรื่องราวของพระคัมภีร์ ตอนนี้ไม่อยากบอกอ่านอย่างเดียว เพราะเทคโนโลยีไปไกลนะ อ่านพระคัมภีร์ ฟังพระคัมภีร์บ้าง สูดพระคัมภีร์บ้าง ผมไม่รู้นะ ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมา อาจจะมีเทคโนโลยีใช้เทกลิ่นของมัทธิวลงไปในโถนี้ แล้วดมกลิ่นมัน จะได้รู้เรื่องถ้อยคำหมด อาจจะเป็นไปได้นะ วันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้เป็นไปได้ไหม? วันนี้ เอาเทคโนโลยีแค่นี้  พยายามทำ เขาพยายามยกให้เราทั้งหมดเลย อยากจะทำข้ออะไร? กด เอาข้อนี้ข้อเดียว ออกมา ทั้งเล่มรู้หมดเลย  และความรู้ในนั้นเต็มไปหมดเลย ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งการค้นคว้าต่างๆ เยอะแยะมากมายตลอด 2,000 ปี อ่านบ้างหรือเปล่า?  ติดตามบ้างไหม? พูดแถมให้ พยายามว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ชีวิตเรามีความมั่นคง

ในฮีบรู 2:9-13 เป็นใครก็อยากอ่าน เพราะเป็นเรื่องราวของการสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แห่งการไถ่บาป เป็นเวลาแห่งชัยชนะ ไม่ใช่เวลาแห่งการทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน

ในนี้บอกว่าอย่างไร? “เพราะพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์”

ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐตอนบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมาก

ถามว่าตายเพื่ออะไร? เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสของความตาย เพื่อทุกคน

รู้ไหมว่า “ลิ้มรสของความตาย” แปลว่าอะไร? เพื่อจะได้เป็นผู้แรกที่รู้ว่าตายมันเป็นอย่างไร? และเป็นขึ้นมาใหม่ มันเป็นฉันท์ใด เพื่อจะได้รู้รส เพื่อว่าจะได้มาช่วยเราทั้งหลาย ผู้กลัวความตาย จะได้ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป และเพื่อว่าพระองค์จะมารับเรา เมื่อวันที่เราจะจากโลกนี้ไป เพราะรู้ว่าลึกๆ ของเรา แม้เราจะเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็ยังกลัวเหมือนเดิม แต่พระเยซูบอก …

“ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่าเราผ่านมาแล้ว เรารู้ว่าเธอกลัวเหมือนเราเลย เพราะฉะนั้น เราจะมารับเธอเอง”

ตอนที่ท่านนอนทุกข์ทรมาน เมื่อไรจะตายสักที ท่านก็นึกในใจ พระเยซูมาแล้ว พี่น้อง ญาติพี่น้องที่รักท่าน เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านพึ่งเขาไม่ได้หรอก เขามาให้กำลังใจท่าน  ท่านก็ได้แต่ยิ้ม เพราะว่าพอถึงเวลานั้น เวลาแห่งความตาย  ภาษาไทยเขาเรียกตัวใครตัวมัน รักเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เรารักเขาอย่างไร? เราก็ไปกับเขาไม่ได้ เขาอยากจะช่วยเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เราต้องไปคนเดียวแน่ๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูรู้ พระเยซูบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมารับเอง  เอเมน

 

นี่หมายถึงพร้อมไปนะ  เราคริสเตียน เราพร้อมไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พระเยซูจะมารับเราด้วยตัวเอง พระองค์ทรงลิ้มรสของความตาย พวกเราจะไม่ต้องลิ้มรส

ถามว่าพระองค์ทรงตาย เพราะอะไร? แล้วทุกข์ทรมาน เพราะอะไร? ในนี้บอกว่าในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้า ผู้ซึ่งสรรพสิ่ง มีอยู่เพื่อพระองค์ จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น  สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ก็หมายถึงสมควรแล้ว ที่พระเยซูทนทุกข์ทรมาน แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้เรียบร้อยแล้วนั้น  จะทำให้มนุษย์ทั้งหลาย มาเป็นบุตรมากมายของพระเจ้า เต็มไปหมดเลย มาถึงทุกวันนี้ ไม่รู้กี่ล้านคนแล้ว

สมควรแล้ว และต่อไปนี้ บอกไว้อย่างนี้ว่า “โดยทางพระองค์จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์”

คือการทุกข์ทรมานของพระองค์บนไม้กางเขน ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ

ใส่ชื่อท่าน “การทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนของพระเยซูทำให้ …. (ใส่ชื่อท่าน) บริสุทธิ์”

นั่นแหละ ทำให้ท่านเป็นสุข กับบรรดาผู้ได้ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น  เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่บริสุทธิ์อย่างเดียว นครไม่ได้บริสุทธิ์ เพราะความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์อย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเราทุกคน กับพระเยซูด้วย

พระเยซูไม่อายเลยที่จะเรียก … (ใส่ชื่อท่าน) ว่าพี่น้อง

ท่านคิดดูสิ นี่คือพระคุณขนาดไหน? เราเป็นใคร? พอพูดถึงพระเจ้า ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง แต่เรียกเราว่าพี่น้อง เพราะอยากจะอยู่กับเรา เป็นครอบครัว บรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

“ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพระเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

หมายถึงอยู่ในครอบครัวพระเจ้า  นึกถึงภาพตรงนี้ไหม? พระเยซูกำลังเข้าไปหาพระเจ้าในวันหนึ่ง และพระเยซูก็บอกว่า …

“พระบิดา ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระองค์ทรงประทานให้ ผ่านทางการตายของข้าพระองค์บนไม้กางเขนนั้นอยู่ที่นี่แล้ว กำลังสรรเสริญพระองค์อยู่”

ลองใส่ชื่อท่านสิ “ข้าพเจ้าและนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ที่พระองค์ทรงประทานให้ อยู่ที่นี่แล้ว”

บุตรทั้งหลาย ก็คือตัวท่านเอง นี่คือบทสรุปของแผนการ และความประสงค์ของพระเจ้า ที่ทรงให้มี วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ การตายบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามของพระเยซู เป็นการทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงบริสุทธิ์และได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ กับพระบิดา ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกใครก็ตาม ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ที่ไม้กางเขนว่าพี่น้อง เขาเหล่านั้น ก็คือทุกคนที่ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว รวมทั้งพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเราเชื่อไง? พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเราไม่เชื่อ มันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เราก็ยังสกปรกอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เราบริสุทธิ์แล้วเปล่าๆ แค่นี้เอง พระเยซูจึงบอกให้เราออกไปประกาศๆ ข่าวดีนี้ … ข่าวดีนี้ หมายถึงเขาสามารถบริสุทธิ์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แค่เชื่อพระเยซู

 

“เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตายเพื่อฉัน วันอีสเตอร์ เป็นขึ้นมาใหม่ ก็เพื่อฉัน ฉันนะ ไม่ใช่บ้านฉัน ครอบครัวฉัน ฉันคนเดียว คนนั้นก็จะได้รับสิทธินี้ไปทั้งหมด”

ไม่มีอะไรเลย ฟรี และฟรี และฟรี ฟรีหมด ง่ายมากเลย  พระองค์จึงบอกแค่นี้  ไม่ต้องให้เราทำอะไร? ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย พระองค์เคยสั่งไหม?  ไปสอนนะ สอนศีลธรรม ไม่มีเลย มีแต่ออกไปประกาศสิ ประกาศข่าวดี  ตรงนี้มันสำคัญที่สุด  พระเยซูเขาเรียกว่าไพโอเนีย หรือเป็นผู้นำที่ชนะความตายแล้ว เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วจากนั้น ก็จะมีคนจำนวนเยอะแยะมากมาย ที่เป็นขึ้นจากความตายด้วย ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกันกับพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าว่าเมื่อทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนให้กับเรา พูดง่ายๆ  เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับอย่างนั้น  เราก็จะเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน เหมือนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิตอยู่ ในหลุมของคริสเตียนทั้งหลาย ตั้งนานมาแล้ว จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ยอห์น 11:25 นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย” เอเมน

 

ไม่ใช่เขียนไว้ที่หลุมศพเฉยๆ เท่ห์ๆ มันเป็นความจริง เรารู้เพราะอะไร? “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราคริสเตียนจะไม่กลัวตายเลย เพราะว่าพระเยซูมารับเราด้วย ขอบคุณพระเจ้า

ผู้ที่ตายไป แต่เขายังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เป็นมนุษย์ ถึงเวลาก็ต้องตาย จากโลกนี้ไป  แต่เขาจะมีชีวิตอยู่นิรันดร์ในพระนิเวศของพระเจ้ากับเรา พูดง่ายๆ คือกำลังจะตาย เป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เรารู้ว่าผู้คนรอบข้างเรา ที่เราพึ่งพาบนโลกใบนี้ ไม่มีใครเลย ที่สามารถจะไปกับเราได้ เรากำลังไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? เราไม่รู้ ทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่มีพระเยซู เราก็จะไม่มีความหวัง เราจะว้าเหว่มากเลย เพราะในใจเราทุกคน จิตใต้สำนึกของเรา  เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ มนุษย์ทุกคนรู้ นิ่งๆ ก็รู้ทันที ก่อนตายจะนิ่งที่สุด และเวลาเรากำลังจะจากไป จิตใต้สำนึกของเรา จะต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาวที่แม้จะมีจุดดำเล็กๆ เพียงจุดเดียว มันก็จะเด่นชัดตรงจุดดำนั่นแหละ และถือว่าผ้านั้นมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ครบถ้วน มันมีรอย

มนุษย์ทุกคนเป็นบาป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และเราก็รู้ตัวเอง จริงๆ มนุษย์ส่วนใหญ่จะรู้ตัวเอง เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้เลย ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว และว้าเหว่ที่สุด พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้นว่ามันเป็นช่วงที่น่ากลัวมาก เหมือนที่พระเยซูเผชิญในวันศุกร์บนไม้กางเขน รับบาป เป็นคนบาปจริงๆ แล้วตายให้เราเห็นจริงๆ แล้วก็เขียนบันทึกให้เราเห็นว่าตอนตาย มันทรมานอย่างไร? เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่ และอะไรอยู่ล่ะ ความตายไง มารไง มารซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือความตาย มันรออยู่ มันมารับเรา รับพระเยซูไปด้วย พระเยซูต้องไป เพราะพระองค์แบกรับบาปของเราทั้งหลายไว้ ไม่ใช่บาปของพระองค์ แต่เราทั้งหลายสมควร เพราะเราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราไม่ดีพร้อมอะไร? มีใครบ้างที่ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำอะไรผิดเลย  ตั้งแต่เกิดมา  ตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป เราจะต้องคิดถึงอะไรบางอย่างที่เราทำ และตรงนั้นแหละ เป็นตัวยืนยันให้เราเห็นว่าเราว้าเหว่ พระเจ้าอยู่กับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป พระเจ้าอยากจะช่วยเหลือเราเต็มแก่เลย ช่วยไม่ได้ เหมือนพระเยซูเรียกพระเจ้า … พระเจ้าอยากจะลงมาช่วยพระเยซู ทุกข์ทรมานเหลือเกิน พระเจ้าก็ลงมาไม่ได้ เพราะพระเยซูเป็นคนบาปไปแล้วตอนนั้น เพราะรับเอาบาปแทนเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา แต่ตัวเราเป็นคนบาป และถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา เราก็ยังติดอยู่ที่บาปตรงนั้น แล้วพระเจ้าก็อยากจะลองเข้าไปช่วยเราในวินาทีสุดท้ายในความว้าเหว่นั้น ถ้าเรายังไม่มีพระเยซู ถ้าเรายังไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ใครมารับเราไป จะไปไหน? เราไม่รู้เราจะไปไหน?  แต่เรารู้ว่าใครมารับเราไป ไม่ใช่พระเจ้า สถานที่อยู่นั้น ก็ไม่ใช่สวรรค์แน่นอน ถ้าไม่ใช่พระเจ้า ก็ไม่ใช่สวรรค์ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ อันนี้ใครๆ ก็รู้

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็เลยฝากไว้ว่าแม้ขณะที่เราชื่นชมยินดี ก็จำไว้อย่างหนึ่งว่าเราขอบคุณพระเจ้า แต่สำหรับพี่น้องเราบางคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา ในวันศุกร์ประเสริฐบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย เอาชนะเหนือความตายมาให้กับเขา เขายังไม่ได้ใช้สิทธินี้ อธิษฐานให้กับเขา วิงวอนขอพระเจ้าให้กับเขา ขอพระเมตตาให้กับเขา ให้เขารู้และใช้สิทธิของเขาก่อนวันที่เขาจะหมดลม ด้วยความว้าเหว่บนโลกใบนี้ ส่วนเรานั้น เราขอบคุณพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราวางไว้ที่พระองค์ทั้งสิ้น ที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เราก็จะอยู่เหมือนกับพระองค์  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2016 เรื่อง “ศุกร์ประเสริฐ” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้วันสำคัญมาก ที่เราจำเป็นต้องมา ถึงไม่มาด้วยตัว ก็มาด้วยจิตวิญญาณ มาด้วยใจ มีใครมีความรู้สึกตื่นเต้นกับวันนี้ ตั้งแต่เช้าบ้าง? ผมมีทุกปี ผมมีมากกว่าวันคริสตมาสอีก บอกตรงๆ นะ พอถึงเทศกาลศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์ ผมซาบซึ้งทุกปีเลย แล้วแปลกมากทุกปี ศุกร์ประเสริฐกับอีสเตอร์ ผมรู้จักพระเจ้ามา 28 ปี ทุกอีสเตอร์ใน 28 ครั้ง เป็นวันศุกร์ประเสริฐ จะเป็นวันที่เมฆครึ้มตลอด แปลก ทั้งๆ ที่อากาศร้อน ผมสังเกตดู เพราะตั้งแต่เช้า ผมจะดูว่าอะไรเกิดขึ้น  ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ถูกลากไป ตอนใกล้ๆ จะ 9 โมงเช้า จนถึงโกละโกธา กำลังแบกกางเขนของตัวเอง ทุกข์ทรมานอย่างไร? การตอกไม้ที่กางเขนที่ตรึงพระองค์แล้ว ตั้งตรง ประมาณเวลา 9 โมงเช้า

ผมก็จะนึกถึงว่า 9 โมงเช้าเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระองค์เป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีเขียนในนั้น  วันนั้นมืดฟ้ามัวดิน  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกปี ปีนี้ก็เป็น แปลกดีนะ ขอบคุณพระเจ้า

สิ่งหนึ่งที่จะคิดอยู่เสมอว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นวันที่อยู่ในเทศกาลช่วงนี้ ซึ่งเป็นใกล้ๆ กับวันสงกรานต์บ้านเรา ตั้งแต่ปลายๆ มีนาคม จนถึงปลายๆ เมษายน จะเป็นช่วงของเทศกาลอีสเตอร์ สงกรานต์ก็เป็นวันครอบครัวของประเทศไทยใช่ไหม? นี่เทศกาลอีสเตอร์วันครอบครัวใหญ่ วันครอบครัวทั้งโลกเลย  พระเจ้าอยากจะมีครอบครัวที่กลับคืนมาใหม่ ครอบครัวที่แตกแยกกันไป ครอบครัวที่ไปไกล ไม่เจอกันตั้งนาน ต้องกลับมาเจอกัน พระเจ้าก็อยากให้พวกเราที่เป็นลูกๆ ได้มารวมกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เหมือนแต่ก่อนนี้ มีสันติสุขร่วมกัน มีพระสิริของพระเจ้าร่วมกัน มีความสุขนิรันดร์ร่วมกัน ในสวรรค์ของพระองค์

วันนี้เราก็จะมาร่วมระลึกถึงการเสียสละพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักให้กับมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้นั่นเอง คือความรักต้องประกอบด้วยการให้เสมอ พระองค์ทรงให้เป็นตัวอย่าง ให้สิ่งที่พระองค์ทรงรักที่สุดเลย ก็คือลูกชายเพียงผู้เดียวของพระองค์ มายอมตาย ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  ท่านเคยสงสัยไหมครับว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก จากการถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี และถูกตรึงบนไม้กางเขน  พระเยซูในขณะนั้น จะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

จริงๆ แล้วเหตุการณ์วันศุกร์ประเสริฐ เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันตลอดทั้งสัปดาห์มาแล้ว เรียกว่าสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Passion Week หรือ Easter Week ที่ยุโรป หลายๆ ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์มา เขาฉลองกันมาตลอด เขาถึงเรียกว่าสัปดาห์อีสเตอร์ ไม่ใช่อีสเตอร์แค่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์แค่นั้น ไม่ใช่

เริ่มจากเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งนับเป็นวันแรกของสัปดาห์ พระเยซูได้เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ในขณะนั้น พวกฟาริสีพยายามหาทางจับพระเยซูไปฆ่า พยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะจับพระเยซู บรรดาสาวกพยายามที่จะคัดค้าน

“พระองค์อย่าเข้าไปเลย อย่าเข้าไปเลย”

ก่อนหน้านี้ คือเดินตระเวนสอน อยู่รอบๆ กรุง ถามว่าพระเยซูรู้ตัวไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงทราบทุกอย่างว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าพระองค์เข้ากรุงเยรูซาเล็ม แต่เพราะรู้ว่านั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่จะให้พระองค์เสด็จเข้าเยรูซาเล็ม ในวันอาทิตย์ เพื่อนำไปสู่การถูกประหารชีวิต ในวันศุกร์ประเสริฐ หรือวันศุกร์นั่นเอง แล้ววันอีสเตอร์จะเป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงเชื่อฟังและทำตาม ในขณะที่ทุกคนโห่ร้องต้อนรับ ในขณะที่เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ที่ผ่าน

สมมติย้อนกลับไป 2,000 ปีก่อน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับสาวก และเหล่าผู้คนที่วางใจและเชื่อในพระองค์ ที่พระองค์รักษาโรคให้หายบ้าง ทำอัศจรรย์ต่างๆ ทุกคนก็ตามพระองค์เข้ามา ตัวพระเยซูเอง พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไป ใจของพระองค์เริ่มทุกข์แล้ว เริ่มลำบากใจ แต่คนไม่รู้ คนกำลังเฮใหญ่เลย ต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ยกให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนั้น แต่พูดไป ไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอก เชื่อเพราะเห็นการอัศจรรย์ แล้วนึกว่าพระเยซูจะมาปราบพวกกบฏ ปราบพวกโรมัน ปราบอะไรต่างๆ ที่มาข่มเหงชาวยิว พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ดาวิด คิดว่าคงจะรบเก่ง ทำอัศจรรย์ คราวนี้เสร็จแน่ เขาคิดกันอย่างนั้น แต่พระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้น พระเยซูรู้แล้วว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? อะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง? พระองค์รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามาเกิด เพื่อทำอะไร?

ลองนึกภาพ สมมติว่าเรามีการกำหนดที่จะเดินทางไปเมืองใด เมืองหนึ่ง โดยที่เรารู้ตัวว่าที่เมืองนั้น เต็มไปด้วยอันตราย มีความเสี่ยงสูงมาก ที่เราจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา ถ้าเลือกได้ เราก็คงไม่ไป ไม่อยากไป หรือจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็ต้องระมัดระวังตัวสุดขีดเลย พวกเราส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ความทุกข์ทรมานของพระเยซูในวันศุกร์ประเสริฐจริงๆ วันนี้ วันที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่จริงๆ แล้วอย่างที่ผมบอก ความทุกข์ทรมานในใจของพระเยซู เริ่มตั้งแต่วันเดินทางเข้าเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์นั้นแล้ว เพราะพระองค์ตัดใจแล้วว่าต้องเข้า เพราะพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าหมดแล้วว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ เพราะพระองค์กลัวนั่นเอง แปลกใจไหม?  พระองค์กลัว (กลัวมากด้วย) แต่พระองค์ก็ยอมที่จะเดินไปสู่เหตุการณ์นั้น  เพราะรู้ว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ทั้งๆ ที่กลัวมาก

ในคืนวันพฤหัสฯ เมื่อคืนวานนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นเทศกาลในช่วงเทศกาลปัสกา หรือเราเรียกกันว่าเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมของสมัยนั้นนะครับ ชาวยิวจะมีพิธีถวายแกะให้พระเจ้า เป็นเครื่องสัตวบูชาที่เรียกว่าแกะปัสกา ก็คือแพะรับบาป เอามาแทนบาปเรา แต่ว่าไม่ได้แทนเลย เอามาเพียงแต่ว่าพระเจ้าจะผ่านบาปเราไปชั่วคราว พระเยซูก็ได้สั่งให้มีการจัดเตรียมพิธีปัสกาขึ้น เพื่อจะรับประทานอาหารร่วมกับสาวก ตามพิธี แล้วทรงบอกว่าครั้งนี้จะเป็นการรับประทานปัสการ่วมกับสาวกเป็นครั้งสุดท้าย มีบันทึกไว้ในหนังสือลูกา 22:7-16

ลูกา 22:7-16 “7 เมื่อถึงวันเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ ซึ่งจะต้องถวายแกะปัสกา 8 พระเยซูทรงสั่งเปโตรกับยอห์นว่า “จงไปจัดเตรียม ปัสกาสำหรับพวกเรา” 9 พวกเขาทูลถามว่า   “พระองค์ทรงประสงค์ให้จัดเตรียมปัสกาถวายที่ไหน?” 10 พระองค์ตรัสตอบว่า “เมื่อท่านเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้น ไปในบ้านที่เขาเข้าไป 11 และกล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ตรัสถามว่าห้องรับรองแขก ที่เราจะรับประทานปัสกา ร่วมกับเหล่าสาวกของเราอยู่ที่ไหน? 12 เขาจะให้ดูห้องใหญ่ชั้นบน ซึ่งตกแต่งเตรียมไว้เรียบร้อย  จงเตรียมปัสกาที่นั่น” 13 ทั้งสองก็ไป และได้พบสิ่งต่างๆ ตามที่พระเยซูตรัสไว้ พวกเขาจึงเตรียมปัสกา 14 เมื่อถึงเวลา พระเยซูกับเหล่าอัครทูต ก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับประทานปัสกานี้ ร่วมกับพวกท่าน ก่อนที่เราจะทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า”

 

พระองค์บอกว่าก่อนที่เราจะทนทุกข์ พระองค์ทรงทราบแล้ว นี่พระองค์ทรงรู้ว่าเดี๋ยววันศุกร์ หนักกว่านี้อีก วันพฤหัสฯ ก็หนัก พระเยซูบอกว่า …

“เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้สำเร็จครบถ้วนในอาณาจักรสวรรค์”

ปัสกา ก็คือแพะรับบาป จนกว่าการเป็นแพะรับบาปของพระองค์จะเสร็จสิ้นบนไม้กางเขน ในสวรรค์ คือพระองค์เอาเลือดของพระองค์เข้าไปในสวรรค์เลย ไปถวายพระเจ้า ครั้งเดียวจบ นั่นหมายถึงตรงนี้

 

นี่คือเหตุการณ์อาหารมื้อสุดท้าย หรือเรียกว่า Last supper ในคืนวันพฤหัสฯ เมื่อคืนวานนี้ เราย้อนกลับไปนะ

ในคืนวานนี้ คืนวันพฤหัสฯ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงโศกเศร้าและหนักใจมาก เป็นทุกข์มาก ใจจริงแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเลี่ยง ไม่อยากจะเดินทางเข้าไปสู่ไม้กางเขน แม้ว่าจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มแล้วก็ตาม แม้รู้ว่าจะต้องเจออะไรก็ตาม ไม่ไหว นี่ย้อนถึงเมื่อคืนนี้นะ ทารุณมากเลย ไม่ไปได้ไหม? เพราะเนื้อหนังก็ยังกลัวความเจ็บปวด เพราะพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ด้วย กลัวความทรมานที่ต้องเผชิญ

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ เมื่อคืนวาน พระองค์ทุกข์ใจมากจนเจียนตาย กลัวจนตัวสั่น เหงื่อออกมาเป็นเลือด เครียดมาก จะเอาอย่างไรดี ไม่ไหวแล้ว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 ทรุดตัวลงไป ยืนไม่ไหว คือคนกลัวมาก เข่าอ่อน ลุกไม่ไหวเลย แล้วแทนที่ลุกไม่ไหว แล้วจะบอก ไม่ไปแล้ว แต่เปล่า ลุกไม่ไหว แล้วบอกว่า …

“ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า แล้วแต่พระองค์”

จากนั้น พระเจ้าก็เสริมกำลังให้กับพระองค์เข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นมา แล้วก็ทำตามน้ำพระทัย

 

พระคัมภีร์บันทึกหลักฐานว่าพระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? ทั้งหมดในชีวิตของพระองค์ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์จะต้องเจออะไรบ้าง?  ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดสดุดี กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาล ให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมาน และทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม”

 

บรรดาคำที่เขียนไว้ในนี้ทั้งหมด แปลตรงๆ คือเน้น พระคัมภีร์ทั้งหมด ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ที่กล่าวถึงพระเยซูนั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราต้องดีใจ ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะวันศุกร์อย่างเดียว ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนอย่างเดียว ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะความทุกข์ทรมานที่บนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐเท่านั้น แต่สำเร็จไปจนถึงวันอาทิตย์ เป็นขึ้นมาจากความตาย และสำเร็จไปถึงวิวรณ์เลย  ที่เราทั้งหลายจะไปอยู่ร่วมกันในครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เรียกว่าครอบครัวสวรรค์ นี่หมายถึงอย่างนั้น

คำเผยพระวจนะ มีบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นพันปี คำเผยพระวจนะแปลว่าคำบอกกล่าวล่วงหน้าที่พระเจ้าพูดไว้  ให้บันทึกไว้เลยว่า “เราพูดอย่างนี้” พูดแล้วมันต้องเป็นตามนั้น พระเจ้าบอกอย่างนั้น  เหมือนที่พระเจ้าสั่งดวงอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก มันก็ขึ้นอย่างนั้นแหละ

คำเผยพระวจนะนี้บอกว่าบันทึกไว้ล่วงหน้าเป็นพันปี ว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเยซูทรงทราบดีว่าคำเผยพระวจนะเหล่านี้ เล็งถึงตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงทราบหมดแล้ว

ตรงนี้คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เรามาระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย สมมติถ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ ไม่เคยทราบมาก่อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐ ที่ถูกตรึงนั้น เป็นเพราะพระองค์ไม่มีทางเลือก ไม่ได้เต็มใจจะทำหรอก พวกเราคงไม่ได้มองเห็น เป็นเรื่องใหญ่มากมายขนาดนี้ แต่พระองค์รู้หมด จะเปลี่ยนใจก็ได้ แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์รู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้รู้ล่วงหน้าว่าจะเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และต้องทรมานขนาดไหนด้วย เห็นชัดเลย แม้จะสามารถเลี่ยงได้ แม้จะสามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ได้ ไม่มีใครบังคับพระองค์นะ พระเยซูก็ยอมให้ทุกอย่างเกิดขึ้น

พระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์ทรงยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้บอกว่าพระองค์ทรงถูกส่งมาให้เป็นมนุษย์ ทรงยอมถ่อมพระองค์ จากการเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย พระองค์ยอมให้พวกทหารจับพระองค์ ไม่ใช่พระองค์ฝืนไม่ได้นะ พระองค์สู้ได้สบายมาก ยอมทนทุกข์ทรมาน ยอมถูกเขาโบยตี ไม่ใช่โซ่ที่รัดพระองค์ แล้วทำให้ทหารโบยตีพระองค์ได้ ถ้าพระองค์จะสลัดออก แป๊บเดียว มันก็ไปแล้ว แต่ที่รัดพระองค์ไว้ หนีไม่ได้ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราทั้งหลาย รัดพระองค์ไว้ ทำให้พระองค์ไปไหนไม่ได้  ต้องถูกเฆี่ยน ถูกทุบตี  ถูกเหยียบหยาม ถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกสวมมงกุฎหนาม จนกระทั่งถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะความรักอยากให้พวกเขาพ้นจากความบาป พ้นจากความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องไปอยู่ในนรก อยู่ในความพินาศ แต่ได้กลับมีชีวิตนิรันดร์ กลับไปอยู่กับพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ไปอยู่ในสวรรค์ บ้านของพระองค์ร่วมกัน

 

กษัตริย์ดาวิด พระเจ้าได้เปิดตาให้เห็น ทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อ 1,000 ปีก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขนอย่างไรบ้าง? ทุกข์ทรมานขนาดไหน? กษัตริย์ดาวิดเห็นหมด และเขียนบันทึกเป็นบทเพลง ภาษาเดิมเขาเรียกว่าบทเพลงของพระมาซีฮาห์ คือบทเพลงของพระเยซู โดยเฉพาะ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าสดุดี  ดูในสดุดี 22:1-2 ก่อน

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นพันปีก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติเป็นมนุษย์ และเป็นถ้อยคำที่ตรงกันเป๊ะกับคำพูดของพระเยซูบนไม้กางเขน ตอนที่ถูกตรึง เมื่อบ่ายนี้ บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว 7:46 นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบ แล้วพระองค์กำลังมองอยู่บนไม้กางเขน แล้วพระองค์บอกว่านี่กำลังเกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า เดี๋ยวจะตอกตะปู เดี๋ยวเขาจะยกพระองค์ขึ้นบนไม้กางเขน ซึ่งถ่วงน้ำหนักของพระองค์ลง พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และอีกสักครู่หนึ่ง เขาจะเอาหอกแทงสีข้าง พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าเลือดพระองค์จะไหลอย่างไร? กระดูกลั่นเปรี้ยงอย่างไรในร่างกาย เพราะน้ำหนักมันถ่วงลงมา

มัทธิว 27:46 นี่ของจริง บันทึกไว้ตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ตรัสถ้อยคำนี้ว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปี พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกห่างไกลจากพระเจ้าเลย ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาครั้งแรกในชีวิตของพระเยซูที่พระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้อยู่กับพระองค์แล้ว ตอนที่พระองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าก็อยู่ด้วย เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นบาป ไม่เคยเป็นบาป ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำสิ่งที่ผิดเลย พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ใช่เป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนไม่ได้ และตัวแทนภาษาพระคัมภีร์ พระเจ้าให้ใช้คำว่า “Priest” หรือปุโรหิต หรือพระ นั่นเอง พระคือใคร? ปุโรหิตคือใคร? Priest คือใคร? คือตัวแทนของมนุษย์ที่มีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้า  เหมือนอาโรน  เพราะฉะนั้น พระองค์จึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกัน พระองค์เป็นพระเจ้าด้วย  ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จะทำอะไรในช่วง 33 ปีตอนนั้น พระเจ้าควบคุมตลอด คุยกับพระเจ้าตลอด  ไม่เคยห่างกันเลย

ทำไมพระเยซูจึงรู้สึกเช่นนี้? เพราะตลอดชีวิตพระเยซูไม่เคยทำบาป  แม้แต่นิดหนึ่ง แม้พระองค์จะเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ 100% เพราะเป็นพระเจ้ามาบังเกิดในหญิงพรหมจารี ไม่มีบาป  ไม่ด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด  ทรงรับรู้การทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ คือวันศุกร์ประเสริฐ 2,000 ปีที่ผ่านมา วันที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติเลย คือวันที่พระเยซูทรงแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้เอง ทำให้พระองค์บาป และพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว เมื่อบาปเข้ามา พระเจ้าก็ต้องไป คือละจากไป เมื่อพระองค์แบกรับบาปของมวลมนุษยชาติไว้กับพระองค์ จากที่เคยบริสุทธิ์สะอาด สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เลยกลายเป็นคนบาป  ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เหมือนเราทั้งหลายที่เป็นคนบาป และถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่เราเคยชินแล้ว ถูกตัดจนชิน หาพระเจ้าไม่เจอ จนชิน แต่พระองค์ไม่เคยบาปเลยสักนิดเดียว อยู่ดีๆ รับบาปเราทั้งหลายเข้าไป แล้วพระเจ้าหายไปเลย โอ้โห! ช็อก

เหตุการณ์นี้จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซูตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ที่อยู่กับพระเจ้าพระบิดาตลอดมา รู้จักกันตลอดมา อยู่ติดกันตลอดมา ณ บ่าย 3 โมง ผมไม่รู้ช่วงเวลาไหนเป็นอันไหน? ถ้ามานึกตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 ที่พระองค์ทรงแบกรับบาปเราไว้ ไม่รู้ว่าช่วงวินาทีไหนที่พระเจ้าเสด็จไป ละพระองค์ไปแล้ว อาจจะเป็นช่วงเวลา 9 โมงเลยก็ได้ พอไม้กางเขนตั้งตรงปุ๊บ พระองค์ทรงแบกรับบาป พระเจ้าไปแล้ว ผมไม่รู้ แต่รู้ว่าช่วงที่ตรึงที่ไม้กางเขนนั่นแหละ คือช่วงที่พระเจ้าทอดทิ้งพระเยซู พระเยซูถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน เกิดมาในชีวิต ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก จนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เท่าไร? กี่ล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน บวกกับอีก 33 ปีบนโลกใบนี้ อยู่ด้วยกันมาตลอด อยู่ดีๆ พ่อทิ้งไปเลย  โอ้โห! มันทุกข์ทรมานมาก

นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบ่ายวันนี้ ท่านลองนึกภาพดูนะครับว่ารู้ทั้งรู้ว่าเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วท่านคิดว่าความรู้สึกของพระเยซูในขณะที่ถูกตรึงไม้กางเขน จะเป็นอย่างไร?  สดุดี 22:4-21

สดุดี 22:4-21 “4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์ เขาเหล่านั้น วางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา 5 พวกเขาร้องทูลพระองค์ และได้รับการช่วยกู้ พวกเขาวางใจในพระองค์ และไม่ผิดหวัง 6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน 7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ ก็เย้ยหยัน พวกเขาส่ายหน้า และพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า 8 เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ” 9 ถึงกระนั้น พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ ออกมาจากครรภ์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ 10 ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่ ตั้งแต่เกิด ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ 11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์ เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้ และไม่มีใครช่วยได้เลย 12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์ ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์ 13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์ ดั่งสิงโตคำราม และกัดฉีกเหยื่อ 14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไป ดั่งสายน้ำ กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง หลอมละลายภายในข้าพระองค์ 15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา ลิ้นของข้าพระองค์ เกาะติดเพดานปาก พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอนเกลือกธุลีแห่งความตาย 16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์ กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์ พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์ 17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์  ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ 18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

นี่คือสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อเช้าถึงบ่าย และทั้งหมดนี้อยู่ในความคิดของพระเยซูตลอดเวลา พระองค์ใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา ตั้งแต่ 9 โมงเช้าเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยความว้าเหว่ ทรงคร่ำครวญ ตัดพ้อ ร้องทูลขอการช่วยกู้จากพระเจ้า ไม่เคยทำอย่างนี้เลย ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย ในพระคัมภีร์ตะกี้เราอ่าน พระองค์คิดในนั้นตลอดเวลา เราอยู่กันมาตั้งนาน

ในนี้บอก “ข้าพระองค์อยู่ในครรภ์มารดา” ก็สอนแล้ว คือตั้งแต่เกิดมา ก็อยู่กับพระเจ้าตลอด ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจออะไรประมาณนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะกลัวขนาดไหน? จะว้าเหว่ขนาดไหน? จะทุกข์ทรมานขนาดไหน? และทรงรู้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่สุดท้าย พระเยซูก็ทรงยอมจำนนต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น บางคนก็บอกว่าเพราะทหารคุมอยู่ ไม่ใช่ พระองค์จะลงมาจากไม้กางเขนไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว แต่พระองค์ทรงลงมาไม่ได้ เพราะถูกความรักรัดเอาไว้ ความรักพวกเราทั้งหลาย เห็นพวกเรา … เขาบอกกันว่าเมื่อบ่ายวันนี้ ที่ไม้กางเขน พระเยซูทุกข์ทรมานอยู่บนนั้น  มีกำลังใจอยู่อันเดียว ที่ทำให้สามารถทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราอ่านไปในสดุดี บทที่ 22 คือพระองค์มองเห็นเขาจับฉลากก็จริง แต่มองผ่านทะลุไปในโลกวิญญาณ เห็นคนโน้นคนนี้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พวกเขาก็ตายหมด ลงนรกแน่ เข้าใจใช่ไหม?

นี่คือกำลังอันเดียวของพระองค์ที่สามารถทำตรงนี้ได้ ผ่านความทุกข์ยากลำบากตรงนี้ได้ เพราะความรักและห่วงใยพวกเราขนาดนี้ และเมื่อพระเยซูทรงตัดสินใจที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมให้แผนการของพระบิดาสำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็คือยอห์น 19:30 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย 3 โมง ยอห์น 19:30

ยอห์น 19:30 “เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

ตอนบ่าย 3 โมง เหตุการณ์วันศุกร์ประเสริฐ ก่อนสิ้นพระชนม์ พระเยซูได้กล่าวคำนี้ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ซึ่งในภาษากรีกใช้คำว่า “Tetelestai”

แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “It is finished”

หรือภาษาไทยว่า “สำเร็จแล้ว”

และก็มีการใช้คำว่า “Tetelestai” หรือคำภาษากรีกนี้ ในเอกสารทางการเงิน สมัยที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน สมัย 2,000 ปีก่อน เขาใช้เอกสารนี้ เวลาที่มีการชำระหนี้หมด ก็จะใช้ตราประทับ คำว่า “Tetelestai” แทนคำว่า  “Pay in full” หรือภาษาไทย แทนคำว่า “จ่ายครบแล้ว” นั่นเอง

ความหมายของคำว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “จ่ายครบถ้วนแล้ว” ที่พระเยซูตรัส ตรงนี้ ก็คือพระองค์กำลังประกาศว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ถูกบันทึกไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะทั้งหมด จนกระทั่งถึงถูกประหารของพระองค์นั้น ได้ทำสำเร็จแล้ว การได้ทำลายแผนการอันชั่วร้ายของมารซาตาน ก็สำเร็จแล้ว การชำระหนี้แห่งความบาปทั้งหมด ให้กับมวลมนุษยชาติ ก็สำเร็จแล้ว และสุดท้ายการนำมนุษย์ให้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ก็สำเร็จแล้ว สิ้นพระชนม์ได้แล้ว จบแล้ว สิ้นภาระแล้ว เสร็จสิ้นมิชชั่น เคยได้ยิน Mission Impossible  คล้ายอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนจบ พีคสุด ตื่นเต้น พระเอกเหมือนตกเหวเลย ขอบคุณพระเจ้าที่หนังไม่ได้จบอย่างนี้  ตกเหว แล้วพวกเราไม่ลืมตา ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขียนต่ออีก พระเยซูบอกว่าทุกอย่างที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ จะต้องเป็นอย่างนี้ทั้งหมด ถูกไหม? แต่ไม่ได้เขียนแค่บอกว่าตายที่ไม้กางเขน จ่ายบาปให้กับเรา แล้วก็จบอยู่แค่นั้น แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันที่ 3 พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน หนังสือเล่มเดียวกัน คนสั่งคนเดียวกัน พระเจ้าสั่งเหมือนกัน เขียนถึงพระองค์เหมือนกัน ก็ต้องเป็นไปตามนี้เหมือนกัน

พระองค์จึงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม คือวันอาทิตย์นั่นเอง พระองค์จึงเอาความหวังในชีวิตที่จะมีชัยชนะเหนือความตายมาให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ที่เชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อในการกระทำของพระองค์นี้ เชื่อในพระเยซูคริสต์นี้  เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐนี้  เชื่อในการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระองค์ เพื่อรับบาปของเราไปแล้ว เชื่อตรงนี้ ความหวังที่จะไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไป เพราะมนุษย์ทุกคนกลัวตายหมด ทุกวันนี้ ก็ยังกลัวอยู่ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้ากลัวความตายทั้งนั้น เพียงแต่จะบอกหรือไม่บอกเท่านั้นเอง

 

พระเยซูตรัสไว้ว่าในยอห์น 11:25 ว่า “ผู้ที่วางใจในเรา แม้เขาตายแล้ว เขาก็ยังมีชีวิตอยู่”

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย”

 

ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เรางง แต่ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความตายทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถามว่ากลัวเพราะอะไร? ลองคิดดู เรากำลังจะตาย พูดง่ายๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เพราะเรารู้ว่าคนที่อยู่รอบข้าง คนที่รักเรา คนที่ห่วงใยเรา คนรอบข้างเหล่านี้ ที่เราพึ่งพาบนโลกนี้ เราพึ่งพาเขาไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ ตัวใครตัวเขา เขาจะไปกับเรา ก็ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถไปกับเราได้เลย  ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรเราได้ เรากำลังเดินทางไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? ก็ไม่รู้ หรือมีใครรู้? ถ้าไม่เชื่อพระเจ้า และสิ่งสำคัญที่สุด คือถ้าเราไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่กับเรา สัญญาว่าอยู่กับเรา และเป็นความหวังของเราว่าจะมารับเรา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เราจะว้าเหว่มากถึงมากที่สุดเลย

อย่างที่ตะกี้นี้บอก  เพราะในใจทุกคน จิตใต้สำนึกของเราทุกคน รู้ตัวเองว่าเป็นคนบาปแน่นอน และเวลาที่เรากำลังจะจากไป จิตของเราต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาว แม้มีจุดดำเพียงเล็กๆ มันก็เด่นชัดออกมา และถือว่าผ้าขาวนั้นไม่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว มันมีจุดด่างพร้อย มันไม่มีคำว่าด่างน้อย ด่างมาก ด่างก็คือด่าง จุดก็คือจุด มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้ ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจะเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวและว้าเหว่ที่สุด เหมือนที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเผชิญบนไม้กางเขน เมื่อบ่ายวันนี้ ที่แบกรับเอาความบาปของเราทั้งหลายไว้ พระเจ้าก็ไม่อยู่ด้วย ตกลงไปในนรก เข้าไปอยู่ในความมืด

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาในวันที่ 3  และเป็นแบบอย่างให้กับคนไหนที่เชื่อในพระองค์ ก็จะเป็นขึ้นมาใหม่อย่างนั้น แต่ถ้าไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ เขาก็ต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมของเขาเอง ในความพินาศ อย่างที่พระเยซูเดินทางเข้าไปให้เราเห็นในบ่ายวันนี้ แต่ถ้าเราเชื่อในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอ จะไม่ทอดทิ้งเราเลย จะรับเราไปอยู่กับพระองค์ ไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ … ในสวรรค์มีที่มากมายเลย ถ้าไม่มีเราบอกท่านแล้ว แต่นี้มันมีเยอะแยะไปหมดเลย  มีสำหรับท่านทุกคนเลย ที่มาเชื่อในพระองค์ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะมารับเรา เมื่อลมหายใจสุดท้ายของเรา … มาเลย  เราก็จะเห็นพระเยซู ไปกับพระองค์

เพราะฉะนั้น นี่คือความหวังใจที่แท้จริง ที่ชัดเจนของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเราชนะความตายแล้ว เผลอๆ เราอาจจะบอก หรือหลายคนมีประสบการณ์นี้ว่าตอนเจ็บป่วยอยู่ ถึงเวลาแก่เฒ่าแล้ว เจ็บป่วยอยู่

“เมื่อไรจะได้ไปสักที ไปจะได้หายเจ็บ หายป่วยหมดแล้ว ไปจะได้มีความสุขกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน จะได้พักผ่อนสักทีหนึ่ง”

มันกลายเป็นความคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำ สันติสุข อย่างนี้เป็นต้น

นอกจากพระเยซูแล้ว ไม่เคยมีใครที่ไหนสัญญากับเราเลยว่าจะไปกับเรา ตอนเราตาย ในวันที่เรากำลังจะตายจากโลกใบนี้ไป ไม่มีใครสัญญากับเราเลยว่าจะไปกับเรา  มีแต่คนบอกว่า …

“เมื่อจะตาย กรรมที่เราทำไว้ สิ่งที่เราทำไว้ ไม่ว่าจะดีหรือเลวจะตามเราไป”

น่ากลัวไหม? บาปเพียงน้อยนิด ก็กลายเป็นคนบาปแล้ว ในสายพระเนตรพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เราทั้งหลายในนี้เชื่อในพระเยซูแล้ว ขอเมตตาพี่น้องใครก็ตามนะครับ ที่อยู่ที่นี่ ที่ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงไถ่บาป ไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบ่ายวันนี้ ตอน 2,000 ปีก่อนนะ ก็ให้ตัดสินใจใหม่ ยังมีเวลาให้กับท่าน รีบตัดสินใจเชื่อเสียเถิด แล้วถ้าเป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอก มีแต่คนบอกว่าตายไปแล้ว เราจะต้องดูแลตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง สิ่งที่ตามเราไป คือสิ่งที่เรากระทำ กรรมบนโลกใบนี้ ดีหรือเลวจะตามเราไป แล้วมันดีหรือเลวล่ะ ดีเราคงไม่จำเยอะหรอก แล้วมันมีเลวไหม?  แล้วเราจะใช้อย่างไรหมด แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราทำดีทั้งหมด ไม่มีแม้แต่นิด ตอนที่เรามีชีวิตอยู่

เพราะฉะนั้น มีทางเดียว มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย พึ่งพระเยซูเถิด ให้วันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน สำคัญที่สุด เมื่อบ่ายวันนี้  เริ่มต้นจาก 3 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง ให้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเราเลย จำวันนี้ให้ได้ จำคริสตมาสไม่ได้ ไม่เป็นไร จำวันนี้ให้ได้ วันสำคัญที่สุด ก็คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

นี่แหละ คือเหตุที่พอพูดถึงคริสเตียน ทำไมมีกางเขน  ไม่ใช่กางเขนไล่ผีหรอก กางเขน เพื่อให้ท่านรู้ว่าพระเยซูทำอะไรกับเรา

“นี่ คือสิทธิของฉัน ที่ฉันควรจะได้ พระเจ้า พระเยซูทำให้กับฉัน อย่าลืมสิ”

พูดกับตัวเอง มันชอบลืม สิทธิของเราอยู่ที่ตรงนั้น เชื่อสิ วางใจ มันเป็นของเรา

กางเขน จึงเป็นสัญลักษณ์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เสมอ สำหรับคริสเตียนทั้งหลาย เป็นเป้าหมายของเราทุกคนที่ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออกแล้ว หูฝ่ายวิญญาณได้ยินแล้ว จิตใจหยั่งรู้แล้วว่าเหตุการณ์ การทนทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ เกิดขึ้น เพื่ออะไร? เมื่อบ่ายวันนี้ 2,000 ปีก่อนหน้านั้น เกิดขึ้น เพื่ออะไร? พระเยซูทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น เพื่ออะไร? เพื่อใคร? การมองไปที่ไม้กางเขน เพื่อให้รู้ว่าเราก็ไม่ได้ใหญ่กว่าพระอาจารย์ คือพระเยซู เราก็ยังต้องทุกข์ของเรา ในระหว่างอยู่โลกนี้เหมือนกัน ก็ขอให้เป็นไปตามแผนการพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูอธิษฐาน แล้วก็วางใจในพระองค์ว่าถ้าพระเจ้า วางแผนไว้ในชีวิตของเรา เป็นเช่นไร อดทนนิดหนึ่ง ได้ไหม? ได้ นี่คือไม้กางเขน นอกจากไถ่บาปให้กับเรา เห็นคุณค่าการไถ่บาปแล้ว เป็นเป้าหมายที่เราจะทำเหมือนพระเยซู เราจะทนได้ ถ้าพระเจ้าให้ภาระกับเราอะไรบางอย่าง มันอาจจะทนทุกข์บ้าง? อดทน เราต่างคนต่างมีศุกร์ประเสริฐของตัวเอง ไปคิดกันเองว่าศุกร์ประเสริฐของเราเป็นอะไร?

ทุกครั้งที่เรามองไปที่ไม้กางเขน ให้เราได้รับรู้ถึงชัยชนะที่พระเยซูได้ทำให้กับเราแล้ว เป็นหลักชัยที่เราจะมองไปในชีวิต ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อที่จะวางภาระทั้งสิ้น ลงให้ได้ วางความกังวลทุกอย่างให้ได้ มองไปที่วันข้างหน้าที่วันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป วันนั้นแหละ คือวันแห่งชัยชนะนิรันดร์ ถ้าเราไม่เชื่อพระเยซู วันตาย คือวันทุกข์ทรมานที่สุด แต่สำหรับคริสเตียนที่รู้จักพระเยซูแล้ว วันตาย คือเริ่มต้นชีวิตอันสดใสใหม่ มันกลับกันหมดเลย หมดสิ้นกันเสียทีความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ หมดสิ้นกันที การต่อสู้ที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หมดสิ้นกันที สำหรับการยึดถือ ในการใช้ความเชื่อ เพราะว่าจากนี้ต่อไป เราจะไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว เพราะเราตายไปแล้ว เราจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไปอยู่กับพระเยซูเลย เห็นพระเยซู ไม่ต้องแล้ว เพราะเห็นแล้ว ทุกวันนี้เชื่อ เพราะว่าพระเยซูอยู่ด้วย แต่เรามองไม่เห็น เราอยู่ในเนื้อหนังนี้ เรามองไม่เห็น แต่เมื่อวันหนึ่งที่วิญญาณเราออกไปปุ๊บ เราเห็นแล้ว เราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป นี่คือชัยชนะ ให้ไม้กางเขนเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของเราบนโลกใบนี้ เอเมน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 7 “ฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัปดาห์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์พอดี หัวข้อการบรรยาย ก็คือ “สำแดงความรักของพระเจ้า” นี่คือหัวข้อของสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” คนที่ฟังคำบรรยายครั้งที่แล้ว ผมได้เสนอให้ท่านได้ทำการทดลอง มีใครไปทดลองอะไรบางอย่างกับใคร? หรือโดนใครทดลองบ้าง? มีไหมครับ? ทดลองพิสูจน์ความรักแท้ของท่านที่มีอยู่ หรือท่านไปทดสอบความรักแท้ของเพื่อนของท่าน หรือคนที่รู้จักท่านว่าความรักแท้ที่เขามีอยู่ต่อท่านนั้น มันรักแท้หรือไม่? ใครไปทดลองบ้าง? ใครไปส่งไลน์บ้างว่า …

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”  มีบ้างไหม?

“เมื่อไรจะเลิกส่งไลน์มาสักที” มีหรือเปล่า?”

หรือใครโดนทดลองเมื่อเช้านี้  เดินเข้ามา เขาไม่ทักเรา เคยทักทุกวัน วันนี้ไม่ทัก มีไหม? ไม่มีเหรอ? เอ๊า! ถ้าอย่างนั้น ทดลองตอนนี้เลย หันไปหาคนข้างๆ แล้วบอกว่า …

“ไปให้ไกลๆ เลย”

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน ทีอย่างนี้ยิ้มได้ ลองสัปดาห์หน้า 2 สัปดาห์ที่ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ลองให้เขาพูดเรื่องนี้ไปแล้ว ลองดูสิจะทนไหวไหม?  นึกถึงภาพอีกสักเดือนหนึ่งข้างหน้า เข้ามาถึง

“ทำไมคนข้างๆ กลิ่นตัวแรงๆ”

กล้าไหม? แล้วดูสิ ปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? นี่คือเรื่องจริงนะ มันสามารถพิสูจน์ได้ แล้วเราจะได้เรียนรู้ลึกซึ้งถึงเรื่องเหล่านี้ว่ามันเกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างไร? แม้ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันทำให้เราเห็นภาพใหญ่ว่าชีวิตของคนเรา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ พระเจ้าพาเราไปพบความจริงในชีวิต  แบบมันมองทะลุปรุโปร่งเลยนะ

เมื่อเรารู้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราจึงสามารถที่จะปฏิบัติ สำแดงความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักแท้ๆ ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า “แท้” เลย ความรัก ก็คือความรัก แต่เนื่องจากโลกนี้ เอาไปใช้เละเทะไปหมด ไปโกหกหลอกลวง แล้วใช้ความรักนี้ เอาไปแทนความรักแท้ของพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นรักปลอม เวลามาพูดถึงความรักของพระเจ้า จึงบอกว่ารักแท้ จริงๆ ไม่มี มีแต่ความรักกับความอะไร? เห็นแก่ตัว มี 2 อย่างเท่านั้นเอง รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รัก มันเป็นความเห็นแก่ตัวเฉยๆ แต่เอาไปใส่ หลอกเขาว่าเป็นความรัก

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันเยอะในเรื่องลักษณะของความรักของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ใช่ไหมครับ?  แล้วเราก็ย้ำกันว่าถ้าเราสามารถมั่นใจในตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและห่วงแหน และทรงภูมิใจที่สุดแล้ว และเมื่อเราได้รับรู้ มั่นใจอย่างนี้ ในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเราอย่างนี้ เราก็จะมีความพร้อมที่จะมอบความรักแท้อย่างนี้ ออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้

การดำเนินชีวิตของเราบนโลกนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะแบบความรักแท้ของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ก็คืออะไร? ก็คืออดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยให้ได้เสมอ เอเมน

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เป็นความภาคภูมิใจของพระเจ้าผู้สร้างเราได้ เหมือนเราทำตัวให้พ่อภูมิใจในตัวเราได้ ก็คือการซึมซับรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในตัวของเรา ซึมซับรักแท้ของพ่อของเรา เข้ามาอยู่ในใจของเรา แล้วก็แบ่งปันความรักแท้ที่ล้นออกมาจากใจของเรา จากชีวิตของเราไปสู่ผู้อื่น รับมาจากพระเจ้าอย่างไร ก็ล้นออกไปให้ผู้อื่นอย่างนั้นเหมือนกัน เอเมน อย่างที่ผมบอก ต้องมีทุนอยู่ เราจึงให้ออกไปได้ ถ้าเราไม่มีทุน เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร? เราไม่มีความรักอยู่ในตัว เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร? และความรักนี้มาจากพระเจ้า

และครั้งที่แล้ว เราก็สรุปทิ้งท้ายวันแห่งความรักกันว่าให้ทุกย่างก้าวในชีวิตของเราสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยการสำแดงความรักแท้ของพระเจ้านี้ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คนรอบข้างเรา เขาได้เห็น เขาเห็นความรักเรา เขาเห็นอาการเรา เขาเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิตของเรา เขาจึงเห็นพระเจ้าของเรา ไม่ใช่เขาเห็นอัศจรรย์ แล้วเห็นพระเจ้า อันนั้นไม่ใช่นะครับ

เป้าหมายของเรา ก็คือฝึกฝนที่จะรักผู้อื่นให้ได้ ตามแบบอย่างความรักของพระเจ้า เพราะฉะนั้นขั้นแรกเลย ก็คือเราต้องรู้จักและเข้าใจได้ว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และลึกซึ้งขนาดไหน? วันนี้เอาข้อความนี้มาให้ท่านดูว่าพระคัมภีร์ได้บอกถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา หนึ่งในจำนวนนั้น คือเอเฟซัส 3:17-19 ให้เราได้อ่านพร้อมกันนะครับ

เอเฟซัส 3:17-19 “17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว 18 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้ พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก 19 คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” เอเมน

 

ย้ำเน้นคำว่า “รับรู้ เข้าใจ และซาบซึ้ง” โอโห้! ชัดเลย เราจำเป็นที่จะต้องทำอะไรครับ? ไม่ใช่รู้ความรักพระเจ้าเฉยๆ ต้องรับรู้ เข้าใจ และซาบซึ้งในถ้อยคำที่บอกว่าพระเจ้าอยากให้เรารับรู้ถึงความรักของพระองค์ นี่คือความต้องการของพระเจ้า เพราะพระเจ้ารู้ว่านี่คือหัวใจในชีวิตของเรา คือพระเจ้าอยากให้เรารับรู้ถึงความรักของพระองค์ และเข้าใจในความรักของพระองค์อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่เราจะได้ดู ทำเป็นแบบอย่าง แบ่งปันความรักนั้น ความรักนี้ ให้กับใครๆ ก็ได้ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า …

“เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” เห็นไหมครับ?

เพราะโดยปกติแล้ว มนุษย์เรา … เราจะรู้จักรักใคร ก็ต้องเคยได้รับความรักมาก่อน ไม่อย่างนั้นไม่มีการพัฒนาในชีวิตของมนุษย์ นี่คือมนุษย์ทั่วๆ ไปนะครับ

เขาถึงบอกว่าครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกมากๆ ลูกจึงสามารถพัฒนาความรักนั้นให้กับบรรดาผู้คนรอบข้างได้ แต่ลูกที่เกิดมา พ่อแม่ทิ้ง ไม่มีใครให้ความรักเขาเลย เด็กคนนั้นอาจจะเกิดมา ทำสิ่งที่ไม่ดีมากมาย เพราะไม่รู้จักอะไรคือความรัก อะไรอย่างนี้  เป็นต้น

เราจำเป็นต้องมีทุน คือได้รับความรักนี้มาจากใครก่อน เราจึงจะสามารถให้ออกไปได้ ถึงจะได้รู้ ได้เข้าใจว่าการจะได้รับความรักนั้น มันมีความรู้สึกเป็นอย่างไร? จึงจะสามารถรักผู้อื่นได้ รู้ว่าความรักนี้ ช่วยเขาได้อย่างไร? ใครที่ยังไม่เคยได้รับความรักมาก่อนเลยทั้งชีวิต คงยากที่จะหัดรักคนอื่นเป็น แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า ในพระคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ แม้เราอาจจะอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความรักมาก่อนเลย ไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “ขอบคุณพระเจ้า”

เพราะในพระเยซูคริสต์พระเจ้าจึงได้ใส่ตรงนี้ ใส่ความรักตรงนี้ ใส่เข้ามาเลยนะครับ ให้กับพวกเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ทุกคน ให้เราทั้งหลายมีความความสามารถที่จะรักได้ และจากนี้ต่อไป เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราทั้งหลายจะมีต้นทุน คือพระเจ้าได้ใส่ความรักนี้ ให้เราสามารถที่จะรักได้ ก็เพราะเราทั้งหลายได้รับความรักนี้จากพระเจ้ามาก่อน ถ้าเราสัมผัสและเข้าใจในความรักที่พระเจ้าใส่ลงไปในหัวใจของเรา  เราจะรู้ว่านี่คือต้นทุนที่เราจะให้ออกไป ให้ออกไปอย่างไร? ให้เป็นลักษณะเดียวกับที่พระเจ้าให้กับเรา เห็นไหมครับ? ยอห์น 15:12-13 พระเจ้าจึงสั่งให้เราทำอย่างนี้

ยอห์น 15:12-13 “12 พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตน เพื่อมิตรสหายของตน”

 

ที่เราได้เรียนรู้กันไปในสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือหลักการในเรื่องของการสำแดงความรัก เรียกว่าเรียนรู้ภาคทฤษฎีก่อน แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันต่อในภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายวันนี้จึงมีชื่อตอนว่า “ฝึกฝนการสำแดงความรัก

พร้อมหรือยัง?  พร้อมที่จะฝึกฝนแล้วนะ ในภาคปฏิบัติของการสำแดงความรัก ผมเชื่อว่าทุกคนทราบ เรียนมาแล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด แล้วก็อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังพูดถึงการสำแดงความรักแบบชนิดที่เป็นของพระเจ้า คือชนิดความรักในหนังสือ 1 โครินธ์ 13 แค่ขึ้นต้นคำแรก ในลักษณะความรักของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ว่า …

“ความรักต้องอดทนนาน”

แค่คำเดียว ก็ทำไม? ยากกกก ยากพอแล้ว แล้วยังต่อด้วย อันที่สองว่า …

“ความรักไม่อิจฉา”

ยากไหม?  ต่อไป

“ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง”

เลิกปฏิบัติดีกว่า ไหวหรือเนี้ย? ทำไมมันถึงยากเย็นเข็ญใจอย่างนี้ สังเกตดูสิ ทำไมถึงยาก ก็ทั้งหมดในข้อนี้ ใน 1 โครินธ์ 13 ทั้งหมดนี้ ที่บรรยายมานี้ ถ้าตัดคำว่า “ไม่” ออกไป ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-7 ถ้าท่านตัดคำว่า “ไม่” ออกไป มันจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? ท่านจะเห็นภาพชัดเลยว่าทำไมมันถึงยาก สำหรับมนุษย์ที่จะปฏิบัติความรักของพระเจ้านี้ มันก็คือธรรมชาติลักษณะของมนุษย์ที่เป็นคนบาปนั่นเอง  ยกตัวอย่าง

“ไม่มีความอดทน”

“ความรักย่อมอดทนนาน” อันนี้ “ไม่มีความอดทน”

ความบาป คือไม่มีความอดทน โมโหร้าย  อิจฉา เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่ง จองหอง ชอบให้ร้ายผู้อื่น เอาดีใส่ตัว

“เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ไม่ต้องท่องเลย นี่พูดได้หมดเลย เห็นไหม? ธรรมชาติ ผมไม่ต้องให้พูดตามนั้น ทุกคนพูด สบาย “เอาดีใส่ตัว” จำแม่นเลย นี่มันเป็นธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเราเอง ศัตรูตัวร้าย ก็คือใคร? ตัวเราเอง

พูดเลย “ศัตรูตัวร้าย ก็คือฉันเองนั่นแหละ จำไว้” พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง

แล้วเราก็บอกว่าตอนนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าที่สร้างขึ้น  ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งนานแล้วด้วย จงภูมิใจและสำแดงความรักของพระเจ้า ด้วยการหยุดสิ่งเหล่านี้ให้หมดเลย หยุดบาปเหล่านี้ ง่ายไหมครับ? ถามว่าง่ายไหม? พฤติกรรมทั้งหมดที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่านกัน ที่เคยทำกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ที่จำได้เป็นออโต้เมติก ที่ตะกี้นี้เลย ให้เลิกหมดเลย เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไป ถามว่าทำได้ไหม? หมดเลยนะครับ แทบจะไม่มีกำลังใจ แล้วจะทำอย่างไร?

ผมก็พยายามคิดว่าต้องทำอย่างไร? มันต้องรักษา เหมือนที่เรารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็เหมือนเวลาที่เราป่วย หรือบาดเจ็บ แล้วก็ไปฉีดยาชา หรือกินยาแก้ปวด กินยาพาราฯ อาการปวดหายไหม? ถามว่าหายไหม? หาย แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอาการ สาเหตุมันคืออะไร? เดี๋ยวมันก็กลับมาปวดใหม่ แล้วเราก็ต้องกินยาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนในที่สุด ยาก็เอาไม่อยู่ แต่ถ้าเราหาสาเหตุให้เจอ แล้วรักษาที่ต้นเหตุให้หาย อาการมันก็จะไม่กลับมาเป็นอีก หลักการเดียวกันนี้

ตัวอย่างง่ายๆ พาท่านไปเห็น ค่อยๆ พาท่านไปดู ตัวอย่างง่ายๆ เราทานข้าวไม่เป็นเวลา ทานอาหารไม่เลือก แล้วก็มักมีอาการปวดท้องบ่อยๆ เราก็ไปหายาแก้ปวดมาทาน มันก็หาย แล้วเราก็ไม่นึกถึงพฤติกรรมที่เสียๆ หายๆ เหล่านั้นเลย เราก็มีพฤติกรรมเหมือนเดิมอีก มันก็ปวดอีก ก็ทานยาอีก ในที่สุด ทานยาก็ไม่หายแล้ว เพราะมันดื้อยาแล้ว แต่ถ้าเราหาต้นเหตุจนเจอ ค่อยๆ ปรับพฤติกรรม ทีละนิดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ความปวด มันก็หายไป เพราะว่าต้นเหตุมันได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ? อันนี้อาจมองเห็นตัวอย่างง่ายๆ

แต่หลายครั้ง หลายๆ โรค การรักษาที่ต้นเหตุจริงๆ มันต้องใช้เวลา ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย ยิ่งโดยเฉพาะคนที่มีอาการของโรคหลายๆ โรคพร้อมๆ กัน ยิ่งรักษายากขึ้นไปอีก ต้องใช้ความละเอียดอ่อน และใช้เวลาใส่ใจ เอาจริงเอาจังกับมัน เรากำลังพูดถึงความบาป หรือความรักไม่เป็น หรือความไม่ได้สำแดงความรักของเรา ที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ นี่พูดถึงคริสเตียนแล้วนะ มีต้นทุนแล้วนะ

ลักษณะเดียวกันกับการรักษาโรคขี้อิจฉา อยากจะมาเทียบเลยว่าเมื่อกี้เราบอกว่า “ไม่อิจฉา” เอา “ไม่” ออกไป ก็คืออิจฉา … อิจฉาไม่ดี เราเลยใช่ขี้เข้าไป  เราเรียกกันว่า “ขี้อิจฉา” และขี้อื่นๆ อีกหลายขี้ที่เราพูดถึง มันไม่ดีทั้งนั้น ขี้อิจฉา ขี้โกรธ ขี้งอน ขี้อะไรอีกล่ะ ขี้เหนียว ลักษณะเดียวกัน การรักษาโรคขี้อิจฉา โรคเห็นแก่ตัว โรคเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดต่อรักแท้ของพระเจ้าที่สำแดงออกไป ศัตรูตัวร้ายเลย  เราก็ต้องรักษาที่ต้นเหตุของมัน ไม่ใช่อยู่ๆ แล้วก็บอกว่าต้องเลิกอิจฉา ต้องหยุดการเห็นแก่ตัว หยุดความเย่อหยิ่ง ทำไม่ได้หรอกครับ ทำได้อย่างมาก ก็แค่ยับยั้งอาการชั่วคราวเท่านั้นเอง เหมือนกินพาราฯ เดี๋ยวมันก็เป็นอีก แล้วสุดท้ายมันก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะยาก็เอาไม่อยู่

การรักษาที่ถูกต้อง เราต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ เราต้องค่อยๆ ควนหาหรือค้นหาเหตุผล ให้เห็นว่าที่เรายังอิจฉาคนอื่นอยู่ เรายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เรายังขี้ๆ อะไรอยู่ มันเกิดจากอะไร? ที่แท้จริงบ้าง ไม่ใช่ไปหยุดอยู่ตรงนั้น ต้องหาให้เจอ มันเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น ปรับความคิดของเรา ทำไมมันถึงคิดอย่างนี้  เพราะอะไรต่างๆ เหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความอดทนและต้องเอาใจใส่ ถ้าเราอยากมีชีวิตที่หายจากโรคเหล่านี้ เราต้องใส่ใจ ใช้เวลา ถ้าอยู่ดีๆ บอกว่าให้ไปรักษาโรคอิจฉาริษยา ไปรักษาความเห็นแก่ตัวให้หาย มันจะยาก มันจะยากมาก เพราะเป็นการไปรักษาแก้ที่ปลายเหตุ เราต้องใช้ตรรกะและหลักเหตุผลเข้ามาช่วย

หาให้เจอว่าต้นเหตุ ตัวการที่แท้จริง มันคืออะไร? ทำไมเราจึงอิจฉาเขา ทำไมเราจึงเห็นแก่ตัว เพราะอะไร? แล้วก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิด พัฒนา  ก็คือฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เขาเรียกพัฒนา ฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เขาเรียกว่าพัฒนา … พัฒนาตัวเองได้ การทำแบบนี้ ก็เปรียบได้กับการออกกำลังกายทางวิญญาณนั่นเอง ไม่มีกล้าม ค่อยๆ ฝึก เดี๋ยวมันก็มีกล้ามขึ้นมาเอง ค่อยๆ ยืดเส้นมาเรื่อยๆ เส้นสายมันก็ยืดขึ้น เคยก้มลงไป มือแตะพื้นไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็แตะได้เอง จะเอาวันนี้ให้มันแตะได้ เคล็ดตายพอดี ถูกไหม? ขึ้นอยู่ที่จะทำไหม?  เหมือนกับการออกกำลังกายไม่มีผิด ถ้าเราได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ร่างกายก็แข็งแรง ทางวิญญาณก็เหมือนกันนั่นแหละ วิญญาณก็ต้องการการออกกำลังกาย นี่คือการออกกำลังกายทางวิญญาณ

การฝึกฝนหรือการออกกำลังกายในการสำแดงความรักของพระเจ้า อย่างที่ได้บอกครั้งที่แล้ว คำคมที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ เคยพูดตั้งนานแล้ว การสำแดงความรักของพระเจ้า คำคม ก็คือ …

ท่านสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้

รวมความ ก็คือความรักที่แท้จริง ต้องมีการให้เกิดขึ้นเสมอ เอเมน ไม่ใช่ปากบอกว่ารักๆๆ ไม่ได้ให้อะไรเลยสักอย่าง แต่ในการให้นั้นอาจจะเป็นการให้ด้วยการรักหรือไม่? ตรงนี้แหละ ที่เราจะมาฝึกฝนกันในวันนี้ ผมจะพาท่านชี้ให้เห็นว่าท่านคิดอย่างไร? ท่านทำอะไร?

การให้นั้น อาจจะเป็นการให้ด้วยการรัก หรือให้โดยปราศจากความรักก็ได้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ อาการของการให้ออกไป อาจให้ด้วยความรักก็ได้ หรือให้ด้วยความไม่รักก็ได้ ถูกหรือไม่ถูก? แล้วถามว่าดูอย่างไรว่าการให้ เป็นการให้ด้วยความรักหรือเปล่า? จำได้ไหม? สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้แล้วว่าการสำแดงความรัก ด้วยการให้ ต้องดูที่ไหน? ใครจำได้บ้าง? ยกมือขึ้น? การสำแดงความรักด้วยการให้นั้น ดูที่ไหน? ง่ายนิดเดียว จำได้ไหม? ดูที่ว่าการให้นั้น มีการเอา แอบแฝงอยู่ไหม?

“ให้” มันตรงกันข้ามกับคำว่า “เอา” แค่นั้นเอง ท่านจะเห็นภาพเลยว่าให้จริงหรือไม่? ให้ไปเพื่อหวังอะไรหรือเปล่า? ให้ไปเพื่อต้องการเอาอะไรไหม? มันชัดมาก

ถ้ามีการเอาแอบแฝงอยู่ ก็จบกัน ถ้าการให้มีความต้องการ หรือคำว่า “เอา” อะไรบางอย่าง เป็นสิ่งตอบแทน เคลือบแฝงอยู่ด้วย ก็ไม่เข้าข่ายสำแดงความรักด้วยการให้ (นะจ๊ะ) นี่ให้ท่านพิจารณาดู

เริ่มมองเห็นตรรกะ ความคิด เหตุผลที่ผมกำลังมานำให้ท่านดูในวันนี้ ใช่ไหมครับ? เริ่มจากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าที่ทรงคุณค่ามากมายของพระองค์ และเมื่อเราทราบความจริงตอนนี้ เราก็จะมีความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา และเราก็จะให้สิ่งเหล่านี้ เป็นแรงผลักดัน ที่จะทำให้เราสำแดงความรักแท้นี้ ส่งต่อไปยังผู้อื่น ไปยังคนรอบข้างอีกมากมาย และการสำแดงความรักตรงนี้ ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ความรักตามแบบอย่างของพระเจ้านี้ ที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ ที่พระองค์ทรงมอบให้กับเราแล้ว คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตามลักษณะของ 1 โครินธ์ 13:4 ที่บอกว่าความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว มีเมตตา อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันต้องอาศัยการฝึกฝน ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมีความตั้งใจจริง ที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้านี้ มีใจปรารถนาที่จะสำแดงความรักอย่างนี้ แต่ความจริง ก็คือเนื้อหนังของเรา ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ยังคงมีกิเลสอยู่

เพราะฉะนั้น การที่เราจะสำแดงความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ตะกี้เราบอก เรารู้ว่ามันยากที่จะเกิดขึ้นได้เองในชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งที่อยากจะทำ มันต้องมีการฝึกฝน มีวินัย และเริ่มค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมา พัฒนาทั้งความคิด พัฒนาทั้งจิตใจ พัฒนา ต้องเอาใส่ใจ ต้องคิดตลอดเวลาๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ สังเกตตลอดเวลา คือภาคทฤษฎี เรารับรู้แล้ว และเราก็เชื่อแล้วว่าเรามีความตั้งใจที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า แต่ในทางภาคปฏิบัติ ยังต้องใช้เวลา และใช้การฝึกฝน หรือการออกกำลังกายทางฝ่ายวิญญาณ

ส่วนการฝึกฝน ก็คือเรารู้ว่าความรักแท้ของพระเจ้า ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการให้เสมอ ใช่ไหม? นี่คือเคล็ดลับนะ และการให้ ต้องไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต้องการจะเอาอะไรกลับคืน ไม่หวังสิ่งตอบแทน

เพราะฉะนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่าการฝึกฝนในการสำแดงความรัก ตามแบบอย่างของพระเจ้า ก็คือการฝึกฝนในเรื่องของการให้ออกไป โดยไม่มีการเอา ทุกอย่างในชีวิตเลย นี่คือฝึกฝนตรงนี้ วันนี้จะมาคุยตรงนี้แหละ ชัดๆ เลย เรื่องเดียวเลย การฝึกฝนในการให้แบบพระเจ้า โดยไม่ต้องการที่จะเอา ได้ไหม? ง่ายไหม?

พูดพร้อมกันนะครับ “การฝึกฝน การให้ โดยไม่มีการเอา”

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นเรื่องยาก ก็เพราะว่าการเอานั้น มันมีสาเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวนั้นเอง การที่เราต้องการจะเอาทุกอย่างในโลกนี้ มันมาจากการเห็นแก่ตัว และมนุษย์ทุกคนก็เป็นคนเห็นแก่ตัว พระคัมภีร์บอกไว้ ไม่ใช่ผมพูดนะครับ

เพราะมนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  เมื่อเป็นคนบาป ก็คือเห็นแก่ตัว เป็นอาการหนึ่งของคนที่บาป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถควบคุมอาการเห็นแก่ตัวนั้น ให้อยู่ภายในตัวเอง และไม่ออกมาภายนอกได้มากน้อยเท่าไร?  แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับฝึกหรือไม่ฝึก? ถ้าไม่ฝึกเลย ปล่อยมันธรรมชาติเลย มันก็เหมือนเด็กที่ไร้การศึกษา ไร้การอบรม ไม่มีใครอบรม นึกออกใช่ไหมครับ? พ่อแม่ไม่สั่งสอน อะไรอย่างนี้

แล้วเราจะฝึกในการที่จะควบคุมตรงนี้ให้ความเห็นแก่ตัว ความบาปตรงนี้ มันออกมาน้อยในชีวิตของเราได้อย่างไร?  วิธีที่จะควบคุมไม่ให้ออกอาการมากๆ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? ฝึกให้อาการเห็นแก่ตัวไม่ออกมามากๆ ก็คืออะไรรู้ไหม? ก็คือการฝึกฝนในการให้ออกไปด้วยความรัก ฝึกในการให้ออกไปด้วยความรัก ให้มันออกมาเยอะๆ ถ้าเราฝึกฝนในการให้ออกไปได้มากเท่าไร? อาการของการเห็นแก่ตัว ก็จะน้อยลงไปเท่านั้น มันแทนที่กัน

จำไว้นะครับ พูดถึง “ให้” ตรงนี้เมื่อไร? ท่านคิดในใจให้แบบไม่มีการเอาเด็ดขาด ให้ออกไปเลย  การให้อย่างนี้  จะทำให้การเห็นแก่ตัวมันลดน้อยลงไป ท่านรู้เคล็ดลับแล้ว ตอนนี้ แต่อย่าลืมหัวใจที่สำคัญที่สุด ในการให้ด้วยความรัก ก็คือการไม่เอา  เน้นตรงนี้เลยนะครับ เราเคยเห็นตัวอย่างมากมาย ที่บางคนก็ดูเหมือนเป็นคนที่ให้ออกไปเยอะแยะ แต่ทำไมยังเป็นคน เห็นแก่ตัว ยังอิจฉาริษยาคนอื่นอยู่ ยังโลภอยู่ มันแปลกไหม?  แปลกไหมครับ?  ไม่แปลก พอเราเรียนมาตะกี้ ไม่แปลก เพราะการให้ ไม่ได้ให้ด้วยความรักก็มี ถูกไหม?

สาเหตุ ก็เพราะการให้ของเขานั้น เมื่อลงไปดูลึกๆ พิจารณาดูแล้ว ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐาน หรือพื้นฐาน วัตถุประสงค์ของความรักแท้ ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเสียสละ มันไม่ใช่การให้จริงๆ นั้นเอง แต่มันเป็นการลงทุน เป็นการเห็นแก่ตัวนั่นแหละ แต่แอบแฝงมาในรูปแบบของการให้  เป็นการให้ โดยยังมีการ เขาเรียกว่าไม่บริสุทธิ์แท้จริง เป็นการให้ที่ยังแอบแฝงอยู่ข้างในใจ ตีอ้อมเข้าไป เพื่อที่จะได้เอากลับคืนมามากกว่านั้นอีก นี่มองข้างนอก เหมือนให้ แต่ข้างในใจเขาวางแผนไว้แล้ว สลับซับซ้อนหลายตอน จนกระทั่งบางคนไม่รู้ แม้กระทั่งตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ คนมองก็ไม่รู้ ไอ้นี่วางแผนเยอะแยะเลย สรุปแล้ว คือจะเอากลับคืน

 

ยกตัวอย่างอะไรดี ว่าอะไรที่มันซ่อนอยู่ในใจ ขณะที่เราให้ออกไปบ้าง? ยกตัวอย่างนะ ถวายทรัพย์ ถวายเงิน เพื่อเราจะได้ไปสวรรค์ อย่างนี้ มีไหม? ถวายเงิน เพื่อเราจะได้พระพรพระเจ้า … พระเจ้าจะได้อวยพรเรามั่งคั่งขึ้น  มีไหม? ค่อยๆ ก้มหน้าทีละนิด ตอนแรกก็เงยหน้า แต่ตอนนี้ก้มนิดๆ แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ก็ยิ่งปลูกฝังความเห็นแก่ตัวมากขึ้น โลภมากขึ้นอีก

พระเจ้าประทานสวรรค์ให้เราฟรีๆ แล้ว เราไม่เข้าใจเหรอ พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระเราพ้นจากบาป เอาความบาปผิดของเราออกไปเรียบร้อยแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว เมื่อเราสะอาดหมดจด เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราสามารถกลับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ เราคิดว่าเผื่อจะติดสินบนพระเจ้าได้ ใส่เข้าไปเยอะๆ เผื่อว่าพระเจ้าจะให้เราเข้าสวรรค์ได้ มันไม่ใช่ เราต้องเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปเราแล้วจริงๆ ตรงนี้คือหัวใจ แล้วเราก็ได้ไปสวรรค์

นี่คือพระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ฟรีๆ นี่คือความรักแท้ ใช่ไหม? นี่คือความรักแท้ พระเจ้าให้เราฟรีๆ เลย

หรือตะกี้ที่บอก ที่ก้มหน้าเยอะที่สุด ก็คือให้ไป เพื่อพระเจ้าจะอวยพรเราให้มันทำไม? จนขึ้น มีใครกล้าอธิษฐานอย่างนี้บ้าง?  ไม่มี ก็ขออย่าให้มีเลยอย่างนั้น เอาแค่ …

“ขอให้เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้ไหม?”  ไม่ต้องต่อด้วยคำว่า … “พระเจ้าอวยพรลูกรวยๆ”

ไม่เอา ไม่พูดอย่างนั้นได้ไหมล่ะ พอพูดอย่างนั้นปุ๊บ การให้ มันทำไม? มันเสียไปเลย มันเป็นศูนย์เลย  พอเข้าใจใช่ไหม? นี่คือการฝึกฝน พัฒนา มันต้องอาศัยความคิด เข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ เอ้อ! ใช่ๆ แล้วค่อยๆ ฝึกฝนไป

คนเหล่านี้ ที่ทำแบบตะกี้นี้ ทำไมถึงเห็นแก่ตัวอยู่ ทั้งๆ ที่ให้ออกไปตั้งเยอะ บริจาค ทรัพย์ สิ่งของมากมาย เพราะว่ามันเป็นการบริจาค ไม่ใช่มาจากความรักแท้ แต่บริจาค เพราะอยากไปสวรรค์ เห็นหรือยัง?  บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง บริจาค เพราะอยากได้คำยกย่องสรรเสริญ แบบนี้ไม่ใช่ การให้ โดยการสำแดงความรักในแบบของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นการสำแดงความรักโดยการให้ออกไป อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องการอะไรกลับมาเลย โดยการไม่เอาอะไรทั้งสิ้น เห็นไหมมันต่างกันใช่ไหม? มันก็คืออะไร? มันก็คือการขาดการออกกำลังกายทางวิญญาณ การฝึกฝนในการให้ออกไปของเรา ถ้ามันไม่มี มันก็จะเป็นอย่างที่ตะกี้นี้พูด มันน้อยไป มันไม่ได้ฝึกฝนที่จะสู้กับกิเลสตัณหาและเชื้อบาปที่อยู่ในตัวของเรา ในร่างกายของเรา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ถ้าเราไม่ฝึกฝนสิ่งนี้ มันก็จะพรั่งพรูออกไปน่าเกลียดๆ โดยที่เราไม่ได้สังเกตเห็น แต่จริงๆ แล้วถ้าเราสังเกตตามนี้  ตามที่ผมพาท่านมาฟังในวันนี้  มาชี้ให้ท่านเห็น ท่านคิดว่า …

“โอโห้! ในใจฉันสกปรกเหลือเกิน ควรจะเปลี่ยนท่าทีใหม่จากนี้ต่อไป น่าเกลียด อายเขาเหลือเกิน ไม่เคยเห็น วันนี้เปิด น่าเกลียดมาก”

ทุกคนพูดพร้อมกัน “สกปรกมากเลย ในใจสกปรกมาก”

ใครสกปรก? ชี้ไปคนข้างๆ แล้วบอกว่า “ฉันสกปรก” รอดไป

ใช่ไหม? ที่แล้วมา พอเวลาบริจาค ก็อธิษฐานว่า …

“พระเจ้าอวยพรลูก ใส่ไป ได้รับมาร้อยเท่า”

นี่มันไม่ใช่สกปรกธรรมดา แถมโลภมากอีกนะ 30 เท่ายังดี นี่ 100 เท่าเลยนะ 1 เท่าก็ยังดี ให้ไปร้อยหนึ่ง ได้มาสองร้อยก็ยังดี นี่กะให้ไปร้อยหนึ่ง คูณ 100 เป็นแสน โอโห้! ให้ไป 10 ที ก็เป็นมหาเศรษฐีแล้ว  คูณไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปทำมาหากินแล้ว แต่ถ้าเราฝึกฝนในออกไปเปล่าๆ โดยไม่เอา โดยไม่คิดอะไรเลย เพียงแต่อยากให้คนที่เขารับ มีความสุข พ้นจากความทุกข์ เหมือนที่พระเจ้าให้เรา ไม่ได้ตั้งใจจะเอาอะไรกับเราเลย ต้องการให้เรามีความสุข พ้นจากบาป กลับไปหาพระองค์ในสวรรค์ อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล จากโลกนี้ไปแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์กาล นั่นเปล่าๆ แค่นั้น ต้องการแค่นั้นเอง ไม่ได้ต้องการเรียกเรามาเชื่อพระเจ้า เพื่อจะรับใช้พระเจ้า เพื่อจะใช้เรา อันนั้น พระองค์วางแผนให้กับเรา ด้วยจิตใจที่เราเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ คนละเรื่องกัน เพียงแต่อยากให้คนอื่นเขามีความสุข เท่านั้นเอง

แบบนี้ จึงเรียกว่าการสำแดงความรัก โดยการให้ที่แท้จริง ซึ่งมันต่างกันตั้งเยอะนะครับ การให้เพื่อฝึกฝนการสำแดงความรัก กับการให้ เพราะอยากได้กลับคืน มันต่างกันเยอะมากเลย

อีกครั้งหนึ่ง การให้ เพื่อฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า กับการให้ เพราะอยากได้กลับคืนมันแตกต่างกันมากเลย ฟ้ากับเหวเลย

ตัวอย่างเช่น อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เลยนะ อธิบายบางทีไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่อันนี้มันจะเชือดเข้าไปในหัวใจ มันจะผ่าหัวใจเราออกเป็น 2 ข้าง อย่างเช่น การที่เรานำของที่เหลือใช้ คือของที่มีอยู่ แต่เราไม่ได้ใช้แล้ว แล้วเราก็เอามาให้คนอื่น ถามว่าดีไหม? ดีอยู่ ตกใจ นึกว่าไม่ดี ทุกคริสตมาสเอาไปให้ตั้งเยอะ ตายแล้ว ตอนนี้โดนฉันแล้วเนี้ย ดีอยู่ แต่ถ้าเราสามารถฝึกฝนนะ อย่างที่ผมบอก ฝึกฝน พัฒนา และคิดตามเหตุผล แต่ถ้าเราสามารถฝึกฝน ถึงขนาดที่สามารถเอาของที่เราใช้อยู่ และเรากำลังใช้อยู่ และเราก็รักของสิ่งนั้นด้วย แต่เราสามารถเอาไปให้คนอื่นได้ ทั้งๆ ที่เรากำลังใช้อยู่นั่นแหละ เราสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้ อย่างนี้ ก็เป็นการปฏิบัติของความรักแท้ที่แข็งแรงขึ้นอีกนิดหนึ่งมากขึ้นกว่าการให้ของที่เหลือใช้ ถูกหรือไม่ถูก? เอเมนไหม? ท่านเห็นภาพไหม? ผมพาท่านไปทีละนิดๆ

นี่คือชีวิตประจำวันของเราเลยนะ แต่ยังมีขั้นตอนต่อไปอีก ฝึกฝนการให้ที่ไม่ใช่แค่ของที่กำลังใช้อยู่อย่างเดียว แต่เป็นของที่เรารักมาก ห่วงแหนมาก และเราก็สามารถให้ออกไปได้

ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าคู่นี้ หรือเสื้อตัวนี้ ของใช้ชิ้นนี้ เรารักมากจริงๆ เลย รักมากขนาดไหน? เพราะกว่าเราจะได้มา เราเก็บเงินตั้งนานกว่าจะซื้อได้ หามาตั้งนานกว่าจะได้ แต่เราก็รู้ว่ามีคนอื่นเขาอยากได้เหมือนกัน หรือมันสามารถใช้สิ่งนี้ ทำให้คนอื่นมีกำลังใจขึ้นมา หรือสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากสำหรับคนอื่นที่เราได้ให้เขาออกไป ด้วยความรัก เราสามารถตัดใจให้สิ่งนี้ออกไปได้ เอเมน เท่ห์ไหมอย่างนี้? ไม่กล้าพูดแล้วเหรอ? อยากทำได้ไหม?  อยาก มันทำได้ทุกคน เพียงแต่คิดเท่านั้น ไม่อยาก ฝึกไง ทีละนิดๆ นี่แหละ สิ่งที่จะทำให้การออกกำลังกายความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรามันแข็งแรงมากยิ่งขึ้น  อย่างที่บอกออกกำลังกาย ก็คือทีละนิดทีละหน่อย ทำให้กล้ามเนื้อทางฝ่ายวิญญาณเราแข็งแรงขึ้น  ทำให้เราไม่เป็นโรคเห็นแก่ตัว เป็นโรคโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด ดีใจไหมที่หายจากโรคนี้

เราก็เริ่มต้นฝึกฝนการที่จะให้ออกไป ฝึกในการที่จะให้ ฝึกในการที่จะรักแบบพระเจ้า ทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็เริ่มขึ้นไปเรื่อยๆ พอทำได้มากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ยิ่งแข็งแรงขึ้น ก็ยิ่งทำการให้ออกไปมากขึ้น ก็จะอิจฉาน้อยลง เห็นแก่ตัวน้อยลง ทำร้ายผู้อื่นน้อยลง ชัดเลย ยิ่งทำ ยิ่งได้ใหญ่เลย นี่มันกลับกันตรงนี้  พระเยซูจึงบอกว่าให้เราให้ออกไป คนให้มีสุขมากกว่าคนรับ นี่ก็เพราะอย่างนี้ไง ถ้าเรารับไปเรื่อยๆ เราอาจจะถูกทดลอง จนกระทั่งเป็นคนจะเอาอย่างเดียว เห็นแก่ตัวใหญ่เลย พระเยซูจึงบอกให้ออกไปสิ นี่แหละคือความลับ ให้ออกไป คนให้จะได้ คนรับไม่ได้ เพราะเขาจะต้องให้ต่อออกไป เขาจึงจะได้รับด้วย เพราะว่าพรนี้อยู่ที่ให้ ให้แล้วเขาจึงจะได้รับ แต่รับอย่างที่บอกนะ

ปฏิบัติการเช่นนี้ ผมใช้ชื่อว่าอะไรรู้ไหมครับ? ปฏิบัติการเช่นนี้ ผมใช้ชื่อว่า “ปฏิบัติการเอาหนามยอก เอาหนามบ่ง” ให้มันสะใจไปเลย เขาเรียกว่าอะไรล่ะ หักด้ามพร้าด้วยเข่า ปฏิบัติการหนามยอก เอาหนามบ่ง การให้ทรัพย์สินเงินทองออกไป ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งไม่มี ยิ่งต้องให้ ฟังให้ดีๆ ยิ่งไม่มี ยิ่งต้องให้ หมายถึงสิ่งที่เราให้ออกไป มันต้องมีการเสียสละ เหมือนกับมีการเชือดเนื้อเราออกไป อะไรประมาณนี้ เหมือนพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์ที่รัก ให้กับเราทั้งหลาย พระเยซูต้องลงมา ไม่ใช่สุขสบาย ต้องทุกข์ทรมาน ให้คนเขาตอกตรึงบนไม้กางเขน  ตายด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อรับเอาบาปของพวกเราไป ทุกข์ทรมานมาก นี่คือความรักที่สำแดงออก โดยการให้

ถ้าเราเอาเศษ หรือของเหลือใช้ไปให้คนอื่น เราก็ไม่ได้ฝึกฝนการให้ด้วยความเสียสละ ถูกไหม?  หรือไม่ได้ฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า ด้วยการให้ แต่ถ้าเราให้ในขณะที่เราเอง ก็ไม่มี เราเองกำลังขัดสนอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น  ที่ต้องระวัง ก็คือไม่ใช่ซาดิสต์นะครับ มีเหตุผลนะครับ ต้องไม่ให้เกินกำลังไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ การฝึกฝนหรือการออกกำลังกายทางวิญญาณ มันต้องคิดอย่างไรครับ มันต้องทำให้มันเข้ม เอาใจใส่ ต้องมีวินัยอย่างจริงจัง มันถึงจะได้ผล ไม่ใช่ออกกำลังกายวันหนึ่ง หายไป 4 วัน ออกอีก 2 วันหายไป 3 วัน

“ไม่เห็นได้ผลเลย จะลดน้ำหนักไม่ได้เลย”

มันจะได้อย่างไร? วันนี้ออกไปวันหนึ่ง พรุ่งนี้กิน 3 วัน วันนี้มากิน พรุ่งนี้กิน 4 วัน พิเศษทุกวันเลย จิ๊บไปจิ๊บมานิดหนึ่ง อันนี้นิด อันนี้หน่อย

“ทำไมน้ำหนักไม่ลด”

“ก็ฉันเห็นเธอกินอยู่ตลอด”

แต่ความรู้สึกว่าไม่ได้กิน เพราะว่าเขาเรียกว่าอะไรนะ แจมทุกๆ จาน รู้จักไหมแจมทุกๆ จาน ขอแจมนิดหนึ่ง ปรากฏว่ากินเยอะกว่าคนที่เขากินจานหนึ่งอีก สู้อย่างนี้ เธอกินจานหนึ่ง ไปหมดเลยดีกว่าไหม?

ตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เห็นชัด ถ้าเราเป็นคนทานข้าว 2 จาน แล้วถึงจะอิ่ม แต่ละคนไม่เหมือนกัน สมมติว่าเรากิน 2 จานจึงจะกิน แต่พอดีเรามีอยู่ 3 จานพอดี เราก็เลยแบ่งให้คนอื่น 1 จาน อย่างนี้ผมก็จะบอกว่าเป็นการเอาของเหลือ ที่เราทานไม่หมดแล้วไปให้คนอื่น เพื่อไม่ให้เสียของเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเป็นคนที่ทานข้าว 2 จานอิ่ม แล้วเราก็มีอยู่ 2 จานพอดี แต่เราเห็นคนอื่นกำลังหิว และต้องการกินข้าว เราก็เลยแบ่งให้เขา 1 จาน ทั้งๆ ที่เรายังไม่อิ่มนะ แต่เรายอมเสียสละแบ่งให้เขา 1 จาน อันนี้เป็นการให้ที่มีการเชือดเนื้อตัวเองเกิดขึ้น เห็นไหมครับ? อย่างนี้เรียกว่าสำแดงความรักของพระเจ้าด้วยการให้ ได้ไหม? ได้ ชัดเลย ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย ไม่ได้เอาอะไรเลย แค่อยากให้คนอื่นหายหิว ตัวเราเองยอมเสียสละอิ่มน้อยลงนิดหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกก็ได้ ฝึกฝนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ตะกี้เรากินจานหนึ่งอิ่ม ไม่อิ่ม แต่เรากินจานหนึ่ง แบ่งให้เขาจานหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง เรากินแค่ครึ่งจาน อีกจานครึ่งเราแบ่งให้คนอื่นไปเลย เราอดทนได้ เพราะเราเห็นคนอื่นเขาลำบาก เราอยากให้เขามีความสุข เท่านั้นเอง เราไม่คิดว่าเราจะให้เขาไปจานครึ่ง แล้วพระเจ้าจะอวยพรมา 30 จาน คุ้นๆ นะ บางคนคุ้นๆ อย่างนี้  ไม่ใช่เลย  เห็นไหม? ความปลอดโปร่งจิตวิญญาณ

พระเจ้าสัญญากับเราแล้ว ไม่ใช่แค่ขึ้นสวรรค์อย่างเดียวฟรีๆ  พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงจัดเตรียม ทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา ไม่ขัดสนเลยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านเข้าใจไหม?  ท่านไม่ขาดอยู่แล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้ จะงกไปทำไม รวยๆ ไม่เอา ทำไป วุ่นไปหมดเลย  พอเข้าใจไหม? สวรรค์ก็ให้ฟรี สวรรค์ให้ฟรีไม่พอ มาเชื่อพระเยซูแล้ว สวรรค์ได้ไปฟรีแล้วไม่พอ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ไปสวรรค์ แถมพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังนำพาชีวิตเราในแต่ละวัน แต่ละวินาที ตลอดเวลา เพื่ออวยพรเรา อะไรจำเป็นให้ จัดให้หมด พ่อจัดเตรียมให้หมด ที่จำเป็น ไม่ใช่เฉพาะแค่เงินทองทรัพย์สินเท่านั้น รวมทั้งอย่างอื่น ทุกอย่าง ทั้งสถานการณ์ ผู้คนรอบข้างทุกอย่าง เราจะทำเป็นคนอดยากทำไม?  เราควรจะยิ่งให้ใหญ่ ยิ่งให้เราก็ยิ่งได้ ได้อะไรมา? ได้ความสงบ สันติสุข นี่คือรวยแท้จริงเลย รวยทางวิญญาณนั่นเอง เอเมน นี่คือเคล็ดลับเอามาบอกท่าน

หรือแม้บางครั้งท่านอาจจะบอกวันนี้ทำได้แล้ว ฝึกมานานแล้ว ไม่ใช่ซาดิสต์อีกแล้ว ไม่ใช่ทรมานเกินกำลัง วันนี้ฝึกมาได้แล้ว เขาลำบากมากกว่าเราเยอะ ให้หมดไปเลยวันนี้ อดอาหารหนึ่งวัน ได้ไหม? อย่างนี้พอทำได้ ยกตัวอย่างให้ดู ไม่ได้มากเกินไป

เหล่านี้เป็นการฝึกฝน เป็นการออกกำลังในเรื่องการสำแดงความรัก ตามแบบอย่างพระเจ้า  โดยการให้ออกไป  ทำให้จิตวิญญาณเราเข้มแข็งขึ้น ต้องใช้ความเข้าใจมากขึ้น  และความใส่ใจในสิ่งนี้  ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิด ทีละหน่อย แต่ละวันๆ แล้วมันจะพัฒนาดีขึ้นเอง

พัฒนา แปลว่าค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ ดีขึ้น พัฒนา แปลว่าอย่างนี้

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ของการให้ ตัวนี้ยิ่งแสบใหญ่เลย  เพื่อเราจะได้เห็นภาพต่างๆ ว่าอดีตเราเป็นอย่างไร? บนโลกเราเป็นอย่างไร?

อีกตัวอย่างของการให้โดยไม่มีการเอา 100% เลยนะครับ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเลยจริงๆ ก็คือการเก็บความลับของการให้ โดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ นี่ก็คืออีกอันหนึ่งที่ฝึกได้ แล้วก็พยายามจำให้ได้เสมอว่าเป็นอย่างนี้ มันนิดๆ หน่อยๆ ท่านจะเห็น เดี๋ยวผมจะพาท่านไปดู

การให้ของที่เล็กๆ น้อยๆ อาจยังดูไม่สำคัญเท่าไรนัก ในการที่จะเก็บความลับ แต่ถ้าเป็นการให้ของที่มีมูลค่ามากๆ ตามสายตามนุษย์ทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้นั้น ยิ่งต้องเก็บความลับไว้อย่างมากเลยทีเดียว ท่านรู้ไหม? เพราะอะไร? ยกตัวอย่างเช่น ท่านเอากล้วยน้ำว้าไปให้ใครสักคนหนึ่ง อาจจะบอกคนอื่นได้ว่าเอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์นคร เอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์นำ ท่านอาจจะพูดได้

“วันนี้จะไปไหนน่ะ”

“อ้อ! เอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์”

แต่ถ้าท่านเอาเงิน 1 ล้านบาทไปบริจาคโรงพยาบาล เพื่อรักษาคนป่วยอนาถา อย่างนี้ ควรฝึกที่จะเก็บความลับไว้ไม่ต้องประกาศให้โลกได้รู้เลยแม้แต่นิดเดียว ทำได้ไหม?

ล้านบาทบริจาคโรงพยาบาล โดยที่ไม่มีใครรู้เลย เงียบหมด (สามีภรรยาในครอบครัวรู้ได้นะ) แต่ไม่ไปพูดกับใครเลย ไม่ต้องบอก ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น  เขาบอกจะเขียนลงไปในหน้าประตูห้อง ท่านบอกไม่ต้องเขียนเลยนะ เขาบอกจะลงหนังสือพิมพ์ ท่านบอกไม่ต้องลง เห็นไหม? ท่านพอมองเห็นอะไรบ้างไหม?

นี่คือสิ่งที่เราต้องคิด วันๆ เราต้องคิดอย่างนี้ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวให้เราสามารถไปอยู่ในแนวทางของพระเจ้าได้  เหล่านี้คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการสังเกต การสำแดงความรักด้วยการให้ของเราว่าจริงแล้วมันใช่หรือไม่?  มันมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า? และเทคนิควิธีการทั้งหมดนี้

เอาไว้สำหรับพิจารณาคนข้างๆ เท่านั้น ไม่ใช่พิจารณาตัวเอง ถูกไหม? ไม่ถูก

 

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เอาไว้พิจารณาตัวเราเอง ตัวฉันเอง ไม่ใช่คนอื่นเลย อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา เพราะไม่มีใครรู้เขาคิดอะไรในใจ แต่มีเรารู้ ทำอะไรเรารู้ คิดอะไร? ใช่ไหม? ไม่ได้มีไว้เพื่อพิจารณาหรือตัดสินผู้อื่นนะครับ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าทั้งหมดมันอยู่ข้างในใจเรา ข้างในใจเขา ไม่มีใครรู้หรอก เราฝึกของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างของการสำแดงความรักชนิดที่เป็นแบบของพระเจ้า คือความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นก่อนตัวเอง สังคมทุกวันนี้กำลังรอความรักอย่างนี้ เป็นความรักที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ทุกอย่าง และความรักชนิดอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างให้กับเราแล้ว แล้วพระองค์ต้องการที่จะช่วยเราให้สามารถพัฒนาความรักแบบนี้ มากขึ้นทุกวันๆได้ ถ้าเราต้องการให้พระองค์ช่วย

ให้เราอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยเรา ให้เรามีกำลัง ให้เราสามารถที่จะมีความรักอย่างนี้ มากขึ้นทุกวันและทุกวัน และตัวเราเอง ก็ค่อยหมั่นทำอะไร? สังเกต หมั่นสังเกตคืออะไรรู้ไหม? เราทำสิ่งนี้มันถูกหรือไม่นะ? เราทำสิ่งนั้นถูกไหม? เป็นความรักของพระเจ้าหรือยัง?  มันถูกตามข้อพระคัมภีร์หรือยัง? มันถูกตามที่เราได้ยินได้ฟังมาตามข้อพระคัมภีร์ใช่ไหม? มีอะไรแอบแฝงอยู่ในนี้ไหม? แล้วถ้ามีตัดมันเลย ตัดความคิดนั้น เลิก ทำอันใหม่ บางครั้งมันเล็กๆ น้อยๆ ตัดง่ายนะ ถ้าปล่อยมันลงมากองใหญ่ขึ้นๆ ไม่มีแรงสู้มันแล้ว มันโลภไปแล้ว ก่อนที่มันจะโลภใหญ่ๆ มันโลภไปนิดหนึ่ง ตัดมันก่อน ก่อนที่จะเห็นแก่ตัวมากๆ พอเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง จัดการมันก่อน อย่างนี้ถามว่ามันใช้อะไร? มันใช้ความใส่ใจไง ไม่ใช่มันโลภมานิดหนึ่ง ปล่อยไปนิดหนึ่ง มันโลภมานิดหนึ่ง ปล่อยมาอีกนิดหนึ่ง โลภครั้งที่สิบ ไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงที่จะสู้แล้ว มันเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง ช่างมันๆ มันเห็นแก่ตัวอีกนิดหนึ่ง ช่างมัน ช่างมันมากๆ คราวนี้ออกมาน่าเกลียด มีอาการออกมาน่าเกลียดเลย ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ  เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ 100% ท่านจะเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น มันต้องการฝึกฝน ค่อยๆ ทีละนิดๆ อยากจะหมั่น อยากจะพูดตรงนี้ซ้ำมากๆ เลยว่าค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาไป ค่อยๆ คิดไป มันไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าหนักๆ ไม่ไหวหรอก แต่พระเจ้าต้องการพาเราไปทีละนิดหนึ่ง สังเกต แล้วก็ฝึกฝนทีละนิดๆ ทีละหน่อย

ถามว่าทำสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร? เพื่อสำแดงความรักของพระเจ้าที่ทรงให้กับเราทั้งหลายว่าความรักนี้อยู่ในเรา สำแดงความรักให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น เพื่อที่ว่าคนที่อยู่รอบข้างเรา จะได้เห็นพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตของเราด้วยความรักแท้อย่างนี้ ที่ให้โดยไม่ต้องการเอาอะไรกลับคืนเลย  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กุมภาพันธ์  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

          และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

          ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า” (You are God’s Masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

สัปดาห์ที่แล้วตอนที่ 4 มีชื่อตอนว่าอะไร? ใครจำได้บ้าง? ครั้งที่แล้ว “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงถ้อยคำพระเจ้าในเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece”

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความหมาย คือเราเป็นงานศิลปะ เป็นบทกวี เป็นงานฝีมือ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ซึ่งเราควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นฝีมือ เป็นการฝีมือ เป็นบทกวี เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สร้างด้วยความบรรจงอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงตั้งใจที่จะสร้างเราขึ้นมา ให้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระองค์ เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาโด้  ดาวินชี เรามีค่ามากกว่านั้นอีก ซึ่งรูปนี้เขามีค่าขนาดไหน? สูงขนาดที่ขายไม่รู้จะบอกว่าเท่าไร มันเยอะมาก เขาจึงเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์

โมนาลิซ่าในรูป ถ้าพูดได้ เธอคงพูดว่า …

“ฉันเป็นภาพที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

มองภาพ แล้วนึกว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้ และมันเป็นจริง แล้วเราล่ะ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่าขนาดไหน?  เปรียบกันไม่ได้เลยนะครับ

แล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวทิ้งท้ายกันไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรามั่นใจเสมอว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ให้เรามั่นใจอย่างนี้ มากเท่ากับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทย เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบพร้อมกัน มั่นใจ? มั่นใจ ไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลยใช่ไหม? ไม่ต้องเลย เหมือนกัน ต้องดูพระคัมภีร์ไหมว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าตอนนี้ ต้องดูพระคัมภีร์ไหม? ไม่ต้องแล้ว

“ฉันมั่นใจ ข้างในบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับฉัน ในหัวใจของฉันตั้งแต่วันที่ฉันรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ยืนยันกับฉันข้างในว่าฉันเป็นผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าจริงๆ” เอเมน

“ใครจะมาดูถูกว่าฉันไม่สวย ไม่หล่อ ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีความภาคภูมิใจ เพราะฉันเป็นฝีพระหัตถ์ เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ฉันสวย และหล่อที่สุดแล้ว” เอเมน

ลุกขึ้นยืนนิดหนึ่ง พูดตามผมนะครับ ให้มั่นใจ เท่ากับท่านเป็นคนไทยนะ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? เป็น เดี๋ยวพูดตามนะครับ ดังขนาดนี้นะครับ พูดตามผมนะครับ

“ฉันเป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็น Masterpiece ของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีแล้ว ฉันสวย / หล่อที่สุดแล้ว สวย / หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฉันงดงามที่สุดแล้ว งามกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะครับ / นะคะ”

 

แล้วยังจำได้ไหมครับว่าครั้งที่แล้วได้ โปรยเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอก เราได้พูดกันตรงนี้ขึ้นมา ให้ลุกขึ้นมายืนพูดด้วยความกล้าหาญ ฮึกเหิมเลยใช่ไหมครับ? ก็มีคนมาถาม มีสมาชิกมาถาม โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ ข้องใจมาก ก็มาถามผมว่า …

“ในเมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว งั้นแสดงว่าต่อไปนี้ ไม่ต้องแต่งตัวให้สวย  ไม่ต้องแต่งหน้าทำผมแล้วใช่ไหม? ปล่อยตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างเลย สวยที่สุดแล้วไง”

โอไหม? ไม่โอ … โอหรือไม่โอ? แค่นึกภาพก็น่ากลัว สยองแล้วนะ ถ้าคนในนี้มาบอกว่าไม่มีใครแต่งตัวมาเลย ผมเดินเข้ามา คงสยองขวัญแน่ ไม่หวีผม ตื่นเช้า มาเลย ไม่ไหวนะ และโดยเฉพาะคนข้างๆ ที่บ้าน ทำอย่างนี้ แบบสยอง ขนลุกเลย ตื่นขึ้นมาตายแน่ ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ?

วันนี้เลยต้องมาขยายความกันต่อหน่อยนะครับ ถ้าไม่ขยายความ เผื่อว่าถ้าเกิดสัปดาห์หน้า จบเทศนานี้ สมาชิกที่มาที่นี่ มาแบบธรรมชาติๆ มาสวยธรรมชาติเลย เราคงผวากัน เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องมาคุยกันนิดหนึ่ง คุยกันนิดหนึ่ง เพื่อเราจะไม่ได้ธรรมชาติเกินไป ดีไหม? บอกคนข้างๆ สิ อย่าธรรมชาติมาก มันน่ากลัว บอกสิ ไม่กล้าพูดเหรอ มันน่ากลัว เวลาตื่นขึ้นมา ไม่แปรงฟัน ไม่หวีผม นี่ธรรมชาติแล้วนะเนี้ย

การรู้ตัวตนของเราเองว่าเราเป็นใคร?  และพระเจ้าสร้างเราให้มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร?  ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อย่างไร? สวยงามที่สุด  หล่อที่สุด มีคุณค่ามากที่สุด เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และได้บรรจงสร้างเราให้เป็นอย่างนี้  ถ้าเรารักษาความเชื่อของเราแบบนี้ ให้มีความมั่นใจแบบนี้ แบบสักครู่นี้ที่เราพูดพร้อมกัน  มั่นใจเหมือนที่เราบอกว่าเราเป็นคนไทย โดยไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลย หลับๆ ตื่นขึ้นมา

เขาถาม “คนไทยหรือเปล่า?”

เราก็บอก “คนไทย”

ถ้าเรารักษาความมั่นใจอย่างนั้นได้ ในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นบทกวี เป็นผลงานชิ้นเอก  เป็น Masterpiece สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร พระคัมภีร์บอกเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อแบบที่เราเชื่อว่าเราเป็นคนไทยอย่างนั้น

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ ในลักษณะใดรู้ไหมครับ? ในลักษณะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? จะอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานะใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะกล้ายืนหยัด ยืดอก และมีความมั่นใจในการแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นใคร?”

พูดสิ “ฉันเป็นใคร?”

ยืดอกหน่อยสิ ยืดอกหน่อย นี่ยังห่อเหี่ยวอยู่เลย ยืดอกหน่อยเร็ว แล้วบอกสิ

“ฉันเป็นใคร? หือ!”

“ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ”

ไม่กล้าพูดเหรอ ฉันไม่ธรรมดานะ

“ฉันเป็นคนมีชาติตระกูล”

มีชาติตระกูล ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรรู้ไหม? เวลาคนมีชาติตระกูล มีความภูมิใจตัวเอง เขาเรียกว่า Somebody

“I am somebody.” แปลว่า “ฉันมีคุณค่า”

เขาเรียกว่า I am somebody ถ้า I am no body. แปลว่าฉันแย่เหลือเกิน คนก็ไม่เอาฉันแล้ว อะไรอย่างนี้  ไม่ใช่อย่างนั้น

ถ้าเรารู้ เรามั่นใจ เราต้องบอกว่าอะไร? I am somebody.

ลองพูดสิ “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “ฉันมีคุณค่า  ฉันเป็นใครรู้หรือเปล่า?” อะไรประมาณนี้

“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ” อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจได้ ถ้าเรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในพระเจ้าแบบนี้ ในชีวิตของเรา … เราจะยืดอกได้อย่างสง่าเผย แต่ยืดอกแบบถ่อมใจ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไปยืดอกไปทับถมคนอื่น ไม่ใช่ ยืดอกเฉพาะตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง

“ฉันไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”

แต่ไม่ใช่เอาไปทับถมเขา  ยืดอกแบบถ่อมใจ

ให้เราพูดพร้อมกัน “แบบถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง”

นี่คือหนทางที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลาย ที่มาเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตแบบนี้ ยืดอก และเมื่อเรามีความมั่นใจ ยืดอกได้แล้ว อาการ ท่าทางของเราที่แสดงออกมา ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม  เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสง่างาม การจะไปไหน? จะทำอะไร? จะแต่งตัวอย่างไร? จะพูดอย่างไร? ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม

ให้พูดพร้อมกัน “สง่างาม”

ลองนึกถึงภาพ ในอดีตมา เราสง่างามพอหรือยัง? สมกับที่มีคุณค่ามากกว่า มีมูลค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า  กล้าไหม? สง่างามไหม? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราไปคิดเอาเอง แต่ ณ วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องเปลี่ยนท่าทีเรา สง่างามเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้มากขึ้น ถูกไหม? เอเมน ปรบมือให้พระเจ้า ขอบคุณพระองค์

พอเรารู้สถานะของเราว่าเราเป็นใคร? รู้ความจริง ความจริงก็จะทำให้เราภูมิใจ เมื่อภูมิใจแล้ว เราจะดูแลตัวเอง เมื่อภูมิใจ แล้วทำไม?  มีความมั่นใจ แล้วทำไม? ดูแลตัวเอง ให้ดูสง่างาม  สมฐานะ

พูดพร้อมกันสิ “สมฐานะ”

ตอนนี้งาม สมฐานะหรือยัง?  ให้ดูสง่างาม ตามสถานะ หรือสมฐานะของเรา ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรก หน้าตาผมเผ้า ก็จะทำให้มันดูดีขึ้น ให้สมกับสถานะที่พระเจ้าสร้างเรา เป็นผลงานชิ้นเอก (นะโว๊ย) ถ้าในปัจจุบันเขาจะพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราก็จะต้องดูแลระมัดระวังทุกอย่างในตัวของเรา  พยายามทำให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะแค่ทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางการประพฤติเท่านั้น แต่รวมถึงการแต่งตัวทุกอย่างด้วย ทุกอย่างในชีวิต เพราะเราเป็นการฝีมือ เป็นศิลปะ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ทำให้สมกับเป็นอย่างนั้นหน่อย เหมือนอย่างภาพโมนาลิซ่าตะกี้นี้ ที่บอกว่ามีค่ามหาศาล มันสวยของมันอยู่แล้ว ถูกไหม? มีค่าของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเสริมด้วยการทำสปอร์ตไลต์ ทำกรอบ ทำอะไรให้มันสวยขึ้น อยู่ในตำแหน่งที่สวยๆ คือมันสวยอยู่แล้ว แต่ทำให้มันทำไม? สวยขึ้นสมฐานะของมัน สมราคา ไม่ใช่รูปไร้ค่า รูปอะไรก็ไม่รู้ รูปละบาทสองบาท แล้วเรามาใส่กรอบทอง อย่างนั้นมันไม่ใช่ นี่มันสมฐานะ เป็นภาพโมนาลิซ่าของแท้

การแต่งตัว แต่งหน้า  ทำผม ทำเล็บ ศัลยกรรม การเสริมความงามก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ได้ส่องประกายออกมาอย่างเหมาะสมและพอเหมาะ ไม่ดีใจเลยเหรอ? ดีใจไหม?  ดีใจ แต่งได้ แต่เดี๋ยวฟังต่อไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำเพื่ออะไร?  ทำเพื่อเสริมให้ความงาม มันงามขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเมื่อเรารู้ว่าเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าแล้ว สวย ไม่มีใครเหมือนแล้ว  เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไป เราปล่อยมันตามธรรมชาติเลย เหมือนต้นไม้ นี่ชัดที่สุด ผมคิดตั้งนานว่าอะไรจะเหมือนตรงนี้ได้ เหมือนต้นไม้

ถามว่าพระเจ้าสร้างต้นไม้สวยไหม? ตามธรรมชาติสวยไหม? สวย  เราก็ยังสามารถที่จะไปแต่งเติมให้มันสวยขึ้น ดูเหมาะสมได้อีกไหม? ได้ แล้วทำหรือไม่ทำ? ทำ ถ้าสนามหญ้าของท่าน … ท่านคิดดู ถ้าท่านปล่อยมันธรรมชาติเลย สวยหรือไม่สวย? สวยนะ เขียวๆ แต่ถ้าท่านไปตกแต่งมันอย่างดี ไปตัดแต่งมันทุกเดือนๆ สวยกว่าหรือเปล่า? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย เห็นไหม? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย

หรือบางท่านยิ่งชัดใหญ่เลย ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอะไรดี? ต้นไม้บางต้นสวยอยู่แล้วนะ แต่เขาเอาลวดใส่เข้าไปดัดๆ กลายเป็นลิง กลายเป็นตัวสัตว์ต่างๆ เป็นกวาง สวยกว่าเก่าไหม? สวยกว่าเก่า ต้องแต่งไหม? หรือทิ้งธรรมชาติ มันจะเป็นเอง

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมพยายามจะมาเล่าสู่ท่านฟัง ให้ท่านเห็นว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง มันสวยจริง แต่ว่าพระเจ้าทิ้งงานที่เหลือไว้ให้มนุษย์ตกแต่งมัน รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราจะต้องตกแต่ง ดูแลในทุกส่วนในชีวิตของเรา ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ชีวิต จิตใจ ความคิด ต้องดูแลทุกอย่าง  ให้สมกับคุณค่าที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของเรา สร้างเรา ให้เราดูสวย อย่างงดงามขนาดนี้  ไม่ใช่ปล่อยให้มันโทรม เห็นสนามหญ้าโทรม คนเรามันก็โทรมได้ ถ้าเราไม่แต่งตัว ไม่ดูแลเลย

ยกตัวอย่าง ไม่แปรงฟัน โทรมไหมเนี้ย ยิ้มออกมา ดำปี๋ หินปูนก็ไม่ขัด ปล่อยมันธรรมชาติเลย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทั้งเหลือง ทั้งดำ มันก็ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก นี่บทกวีของพระเจ้านะ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

แต่ทั้งนี้ การเสริมแต่งทุกอย่าง ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบของความเหมาะสม หรือทำตามสมควรที่จำเป็น ให้มีสมดุล ให้มันความพอเหมาะ พอดี ไม่ใช่ทำจนเว่อร์ จนเกินไป หรือน้อยเกินไป

ถามว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ใช่มาเทียบกัน คนนี้กับคนนี้มาเทียบกันไม่ได้ ต้นไม้อย่างนี้กับต้นไม้อย่างนี้ ก็มาเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนจะมีความเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน

คราวนี้มีคนถามว่า “และแค่ไหนคือความพอดี? ความเหมาะสม? ความสมดุลอยู่ตรงจุดไหน? เราจะทราบได้อย่างไรว่าเนี้ยตกแต่งขนาดนี้มันดีแล้วในชีวิตของเรา?”

แน่นอนทุกคนต้องถามตรงนี้แน่นอน แล้วเราจะทราบได้อย่างไร?  นึกในใจไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตอบให้ท่าน

วิธีไม่ยากเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้เปรียบเยอะมากเลย เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา … เราอาจจะเริ่มปรึกษา โดยอธิษฐาน เสร็จแล้วอย่างไร? พระเจ้ายังบอกในพระคัมภีร์ สอนเราอีกว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างนี้ คือนอกจากมีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษายิ่งใหญ่สูงสุด อธิษฐานแล้ว เรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์ด้วย ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พูดพร้อมกัน “ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย”

เราก็ควรที่จะไปปรึกษา มีสติในการที่จะไปปรึกษา ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ เราก็ไปปรึกษาคนที่รู้เรื่องสุขภาพ อย่างเช่นหมอที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ที่เขาดูแลเรื่องสุขภาพ ถูกไหม? ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องการตกแต่ง หรือการทำอะไรก็ตาม เราก็ปรึกษาคนที่เขารู้เรื่องนี้  ก็ไปถามคนโน่น คนนี่ พูดง่ายๆ หาความรู้ นี่คือการปรึกษา

ยิ่งทุกวันนี้  หนึ่งในจำนวนผู้ปรึกษาที่ดี ที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้เรามีสติ นั่นคือใครรู้ไหม? คือใครรู้ไหม? ไม่หยาบนะ คือกูเองนะ จริง กูเกิลๆ จริงๆ กูเกิลนี่หมดเลย วิกิพีเดียมีเยอะแยะเลย  ข้อมูลเยอะแยะ ข้อมูลเหล่านี้ คือที่ปรึกษาของเรา ก่อนเราจะทำอะไร? เราคิดดูต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคน … คนที่พูดได้ ไปหาศิษยาภิบาลที่บ้านบ้าง ไปหาคนนั้น เพื่อปรึกษาสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการแต่งหน้า แต่งตัวอย่างเดียว แต่มันคือชีวิตทั้งหมดเลย ถ้าเราได้รับความรู้และก่อนจะตัดสินใจทำอะไร? ให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ชีวิตเราจะราบรื่นที่สุด ทุกข์น้อยกว่าควรจะเป็น ทุกข์น้อยลง พูดง่ายๆ ถูกไหม? ถ้าเราบอกว่าเราใช้กูเกิลไม่เป็น เราก็ให้ลูก ให้ใครเขาช่วยได้ ถามเขาก็ได้ ช่วยค้นให้หน่อย เขาว่าอย่างไร?  ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขาว่าอย่างไร? คนที่ใช้มาแล้วว่าอย่างไร? เอเมน จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยนะครับ

อย่างนี้เขาเรียกว่าที่ปรึกษา นอกจากปรึกษาแล้ว ตะกี้อย่างที่บอกปรึกษาหาพระเจ้า  แล้วพอปรึกษาอะไรต่างๆ แล้ว สมมติว่าเรามั่นใจว่าพระเจ้าให้เราทำ เราก็ทำเลย ถ้าพระเจ้าไม่ให้ทำ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราอธิษฐาน เอเมน ถูกไหม? เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่ ถ้าเราปรึกษาทั้งหมดแล้ว เราก็อธิษฐานด้วย  เพราะฉะนั้น ถ้าอธิษฐานแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมาหลักจากนั้น  ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมน ถูกไหม? เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงควบคุมดูแลทุกอย่าง ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงาม การแต่งตัว การทำศัลยกรรม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อะไรทุกอย่าง พระเจ้าอยู่กับเราตลอด

คืออยากจะตอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าเรานั้น สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ซึ่งเราคิดไม่ถึง หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ ที่อยู่ในกรอบของประเพณีเก่าๆ ของเรา  ทำให้เราไม่กล้าที่จะโผล่มาทำอะไร? เรารู้สึกว่าทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้นตลอด ต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มันดี พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีเหตุผล เรากลัว ไม่มีเหตุผล พอมาพูดถึงเหตุผลอย่างนี้ชัดๆ มันก็ใช่ (นี่หว่า) ใช่ๆ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน สอนท่านต่อไป

เช่น ถ้ารู้สึกว่าอายุมากแล้ว สมมติ มีผมขาวขึ้นมาทำอย่างไร? มีหลายคนกำลังคิด เมื่อไรถึงเรื่องนี้สักที ถ้าอายุมากแล้ว มีผมขาว รู้สึกว่าอยากจะย้อมผม หรือโกรกผม หรือทำสีผม รู้สึกว่าการโกรกผมนั้น มันเหมาะสำหรับเรา คำว่า “เหมาะ” อย่างที่ผมบอก มาเทียบกันไม่ได้นะครับ คนนี้อยู่ในสังคมนี้ คนนี้อยู่ในกลุ่มนี้  เดี๋ยวต่อไป ผมจะอธิบายให้ท่านอย่างละเอียดกว่านี้ เพื่อให้ท่านเป็นอิสระ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นว่ามันเหมาะสำหรับท่าน … ท่านก็ทำอะไร? อธิษฐาน ถ้าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าอนุญาตให้ท่านทำ ก็ทำไปเลย  แล้วถ้าท่านรู้สึกว่าอยากจะไว้ผมขาว พระเจ้าบอกว่าไว้ผมขาวดีกว่า พระเจ้าอนุญาตให้ท่านไว้ผมขาว ท่านก็ไว้ผมขาว ต้องอาบน้ำด้วยนะ ให้ท่านเห็น เข้าใจไหมครับ ท่านก็ถามคนโน่นคนนี่ ท่านอธิษฐาน ก็อธิษฐานไป ท่านจึงจะได้รับคำตอบ

ให้ลองสังเกตดู แล้วก็สรุปว่าน้ำพระทัยพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่ามีที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย ถามคนรอบข้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปด้วย เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว ปรึกษากับคนรอบข้างแล้ว ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัยแล้ว จงทำไปตามความเชื่อ ตามที่เคยเรียนไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความเชื่อ มันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว อะไรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ … เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราทำ เราดีที่สุด แล้วเราก็อธิษฐาน เชื่อว่านี่พระเจ้านำเราทำอย่างนี้ เราก็ทำเลย เอเมน

นอกจากปรึกษาพระเจ้าแล้ว ลองปรึกษาคนอื่นด้วย อย่างที่บอกนะครับ จะแต่งตัวอย่างไร? จะเข้าไปในสถานที่แบบไหน? จะแต่งตัวอย่างไรในการเข้าไปดูคอนเสิร์ต สมมติอย่างนี้ จะแต่งตัวอย่างไรมาโบสถ์ดี บางครั้ง เราคิดของเราไปเอง คิดของเราคนเดียว

“อย่างนี้ดีแล้ว ฉันเป็นตัวฉันเอง”

อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกให้เรามีที่ปรึกษา ไม่ใช่ดูในกระจก แล้ว

“นี่ สวย  ฉันจะไปอย่างนี้”

ใครว่าอะไรก็ไม่ฟัง

“วันนี้ ฉันจะไปโบสถ์ ฉันจะแต่งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”

ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเชื่อมั่นอย่างนี้ ความเชื่อมั่นในทางพระเจ้า มันมีสติปัญญา  อย่างที่บอก มันมีที่ปรึกษา ถามใครหรือยัง? ยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไร ไม่ได้ถามใคร มั่นใจ คือคุณถาม ตามพระคัมภีร์บอก คุณมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ เขาว่าอย่างไร? ทุกคนเขาว่าอย่างไร? ส่วนใหญ่ถามไหม? คุณอธิษฐานไหม? คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มาโบสถ์ มีคนบอกน่าเกลียด แล้วคุณอธิษฐาน บอกว่าพระเจ้ามันน่าเกลียดไหม?  คุณเคยถามคนโน่นคนนี่ไหมว่ามันพร้อมหรือไม่?  อย่างนี้เป็นต้นใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่ของเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่ต้องทำ เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้วางตัวได้ถูกต้องว่าจะวางตัวอย่างไร ที่จะเข้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ ฟังให้ดีๆ นะ เราจะอยู่กับอย่างนี้อย่างไร? กับสังคมนี้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ถ้าเราไม่ทำในลักษณะเดียวกับเขา เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ พระเจ้าจะใช้งานเราในกลุ่มนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงเฉพาะอย่างที่เขาเรียกว่ารสนิยมต่างกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?

คุณจะทำหน้าตาอย่างไร? ทำผมอย่างไร?  แต่งแบบไหน? มันมีสติปัญญาอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเล่นๆ นี่เรื่องจริงๆ มันมีสติปัญญา มันเป็นวิชาการ เหมือนกับเราไปตกแต่งสนามหญ้า  มันมีวิชาการของมันว่าต้องแต่งอย่างนี้ๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง ไม่ใช่เพ้อฝันเอาเอง ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานอยู่ในห้องคนเดียว แล้วออกมา

“พระเจ้าบอกฉันแต่งอย่างนี้”

ทรงผมแบบ อะไรก็ไม่รู้ สมมติแบบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? เราก็ต้องมีสติปัญญา มีความคิด มีสามัญสำนึก มีเขาเรียกคอมมอนเซน เซนธรรมชาติว่าใส่อย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ต โอเค ใส่อย่างนี้งานแต่งงาน โอเค ใส่อย่างนี้ไปงานศพ โอเค ใส่อย่างนี้ไปโบสถ์ โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันไม่สนใจเลย ฉันจะใส่สีสดๆ ไปงานศพ อย่างนี้”

ต้องดูสิงานนั้น เป็นงานใคร? งานอย่างไร? สมควรทำไหม? อย่างนี้เป็นต้น

สรุป ก็คือก่อนที่จะตัดสินใจเสริมแต่ง ทำอะไรก็ตาม ที่คิดว่าจะเป็นการทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น ในร่างกายนี้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ … สรุปให้นะครับ

  1. พิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ถูกต้องตามกาลเทศะ เหมาะสม พอเหมาะ พอควรหรือไม่?
  2. ถ้าคิดว่าข้อ 1 ผ่าน  ลองปรึกษาคนรอบข้าง หาความรู้ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย
  3. ถ้า 2 ข้อนั้นผ่านเรียบร้อยแล้ว  อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้า

เคล็ดลับ คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“รีบไปทำเลย เดี๋ยวมันหมดเขตลดราคาแล้วนะ”

“ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“ถ้าไม่ทำตอนนี้ เขาเลิกเลยนะ ต่อไปนี้ไม่มีขายแล้วนะ นี่ขวดสุดท้าย”

“ใจเย็นๆ อย่าซื้อเลยนะ รอคอยพระเจ้า”

ตรงนี้แหละสำคัญ ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันถูกต้องเอง เดี๋ยวพระเจ้าจะบอกผ่านตรงโน่น ผ่านตรงนี้ แล้วท่านจะมีความมั่นใจว่า …

“ใช่แล้ว ฉันจะไว้ผมขาว … ใช่แล้ว ฉันจะทำผมบ้าง?”

เข้าใจใช่ไหมครับ? อะไรที่เหมาะกับเรา ผู้ที่รู้ คือพระเจ้า แล้วก็ผ่านทางวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา อย่างนี้แหละ ถ้าผ่านทาง 3 ข้ออย่างนี้แล้ว ก็ตัดสินใจทำด้วยความเชื่อเลย ไม่ต้องไปห่วงใคร สบาย รับรองได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว พอใจไหมครับ? โอเคเนอะ ทำตามความเหมาะสมแล้วกัน ทำอะไรทุกครั้งฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วพระองค์จะบอกท่านเองว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร? ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมพูดมาตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม  ให้สมกับค่าที่พระเจ้าสร้างเรามาให้เป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งถามว่าสำคัญไหม?  เป็นสิ่งสำคัญ

ให้พูดพร้อมกัน “สำคัญ”

ไม่อย่างนั้น ผมกระเซิงมา คนตกใจกลัว นึกว่าผีมา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้  สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือลักษณะท่าทางการพูดจา การสำแดงความรักให้กับรอบข้าง สำคัญทั้งสองอย่าง การไม่อิจฉาใคร ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เปรียบเทียบกับใคร เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า  เป็นบทกวีของพระเจ้า ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญอย่างมาก กระทำตัวให้เป็นผลงานชิ้นเอก สมกับที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เอเมน ไม่มีใครเอเมนเลยตรงนี้ ตอนแต่งตัว เอเมนกันใหญ่  เอเมน อย่าทำให้พระเจ้าขายหน้า ไปเห็นแก่ตัว พระเจ้าขายหน้า ไปอิจฉาเขา พระเจ้าขายหน้า

“ฉันทำตัวเธอมีค่าขนาดนี้ เธอยังไปอิจฉาชาวบ้านเขา”

ขายหน้าไหม? ขายหน้า ทำฮึดฮัดๆ กับชาวบ้านเขา ออกอาการเหมือนที่เขาชอบลงคลิปกันทุกวันนี้ ขายหน้าไหม? พระเจ้าอาย

“ลูกฉันเอ่ย” เข้าใจใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่หลัก สำคัญมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ก็คือทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็คือความประพฤติของเรา  มันต้องดี ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

อย่างที่ผมบอก เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นใคร? เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ราคา ที่พระเจ้าไว้ในชีวิต ใส่ไว้ในชีวิตของเรา เหมือนดังที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเป็นลูกของพระเจ้านะ เพราะฉะนั้น ทำตัวให้มันดีหน่อย  เดินไปข้างนอก เอะอะโวยวาย  ยกมือด่าผู้คนชาวบ้านเขา พระเยซูอยู่ไหม? อยู่กับเราด้วย ถูกไหม? ไปถึง ไปช่วยเหลือชาวบ้านเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ช่วยเขา พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อันไหนที่พระเยซูมีความสุข อันนั้นแหละ คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรที่จะต้องตั้งใจ และคุยกันให้ลึกซึ้งนะครับว่ามันต้องทำทั้งสองอย่าง สำคัญทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางฝ่ายร่างกาย สำคัญทั้งสองว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น จริงๆ มันเชื่อมกัน ผมจะบอกให้ฟัง

ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้ แต่มันเชื่อมกัน ถ้าท่านรู้ละเอียดอย่างนั้น เข้าใจลึกซึ้งในถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะทำ 2 อย่าง เพราะท่านอยากให้มันเพอร์เฟค ให้มันดี เพราะว่าท่านจะถวายเกียรติพระเจ้า ข้างในท่านเชื่อมั่นใจเลย  ท่านไม่ได้ทำ เพราะกิเลสตัณหา เพราะอยาก อันนั้นไม่ใช่

“ฉันทำ เพราะฉันถวายเกียรติพระเจ้า”

พระเจ้าจะไม่ใช้เขาแล้ว ก็โอเค เข้าใจใช่ไหมครับ?

มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมั่นใจในคุณค่าของตัวท่านเองหรือยังตอนนี้ มั่นใจแล้วนะว่าท่านมีคุณค่ามากมายขนาดไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า บางคนนะครับยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ? เพราะบางครั้ง พูดในโบสถ์อย่างนี้ บรรยายอย่างนี้ มั่นใจๆ มาก พอเข้าไปหาเพื่อนในกลุ่ม ที่ไม่ใช่โบสถ์ ออกจากโบสถ์ไป ต่างคนก็ต่างอยู่ในสังคมไม่เหมือนกันใช่ไหม?

บางคนเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสู่ในกลุ่มของนักเรียน … เรียนหนังสือ เป็นเพื่อนๆ กัน ปรากฏว่าเพื่อนในกลุ่มบางคนได้เกรดที่ดีกว่าเราตั้งเยอะ เรียนเก่งกว่า บางคนในกลุ่มนั้น มีฐานะดีกว่า รวยกว่า ใช่ไหม?

หรือบางคนเข้าไปในกลุ่มของคนทำงานแล้ว ไม่ใช่เรียน กลับไปที่ทำงาน ในที่ทำงานบางคนก็มีฐานะดีกว่า ขับรถมา รถหรูกว่า แถมมีตำแหน่งสูงอีกต่างหาก เป็นหัวเราอีกต่างหาก ทำงานเก่งกว่าเราอีกด้วย ก็เลยรู้สึกทำไม? มีความรู้สึกด้อย … ด้อยกว่าชาวบ้านเขา

อยากบอกว่าขอให้วันนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดแบบนี้  ขอให้เป็นวันสุดท้ายที่เราคิดแบบนี้  เพราะอะไร? ผมจะบอกให้ท่าน เพราะคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้เขาวัดกันว่าคุณเรียนหนังสือได้ขนาดไหน?  เกรดอะไร?  คุณมีฐานะมั่งมีขนาดไหน? ขับรถอะไร?  นั่นคือมาตรฐานของโลก ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพหลอกลวงทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า คืออยู่ที่ไหนรู้ไหม? อยู่ที่คุณอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?  พระคัมภีร์พูดชัดเจนนะครับ มาตรฐานของพระเจ้า

“คุณอยู่ในพระคริสต์หรือเปล่า?”

“คุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่?”

“คุณเป็นการฝีมือ เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?”

ถ้าใช่ คุณเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จงมั่นใจและมีความภูมิใจเถิด  เอเมน

 

ขอให้วันนี้ เป็นวันที่จบเรื่องนี้สักทีหนึ่ง ไม่ต้องกลัวใครเลย ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเทียบท่านได้ พูดง่าย เพราะว่าเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรรู้ไหมครับ? เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือหมายถึงท่านเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้ากลับมาอยู่ที่ตัวของท่าน ในชีวิตของท่าน ในวิญญาณของท่าน ปกคลุมอยู่ในร่างกายของท่าน ไม่มีใครเอเมน ไม่ตื่นเต้น เอเมนไหม?  เพราะมันมองไม่เห็น ไม่ใช่กำลังเพลินหรืออะไร? แซวเล่นๆ เพื่อให้ท่านตื่น ท่านกำลังงง

“โอโห้! ฉันมีค่ามากมายมหาศาล”

ท่านเป็นการฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ เป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ฟังให้ดีอีกที ให้พูดพร้อมกัน “ในพระเยซูคริสต์”

หมายถึงท่านเชื่อไง มันจึงเกิด ท่านเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เกิดอะไร? เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมาใหม่เลย เป็นผลงานชิ้นเอก

มาถึงตรงนี้ ได้เรียนรู้ขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะเดินไปไหน ไม่ต้องทำตัวหงออีกแล้วครับท่าน ได้ไหม? เราหงอจนเคยเลย ยืดอกเลย ไปที่ไหนเราก็ยืดอก ท่านสามารถเดินยืดอก ไปไหนมาไหน อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว  อย่าลืมนะครับ อย่างที่ผมบอกยืดอกในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์มีแต่คนถ่อมตัว มีแต่คนอยากจะให้เขา ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ยืดอก ไม่ด้อยกว่าใครเลย เอเมน  ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

ขอให้รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้ จบสักทีหนึ่ง เรื่องกลัวนั้น กลัวนี้ กลัวไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ไปเลย เอเมน ผมก็ชอบอย่างนี้ เวลาไปไหน? ตั้งแต่รู้จักพระเจ้ามา ไปไหน มีความรู้สึกนับวันมันยิ่ง ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ แต่มีความมั่นใจ จะรวยขนาดไหน?

“ทำไมฉันต้องไปแคร์เขาล่ะ ใครไม่รู้ (แถมเขายังไม่เชื่อพระเจ้าอีก) แต่ฉันเป็นใครรู้ไหม?”

นี่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขานะ  พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใครรู้ไหม?” พูดจากข้างใน

“ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์นะ ทำไมถึงไปกลัวคนนั้น คนนี้ แค่ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตกว่า หรือเป็นเศรษฐีร่ำรวยเหรอ ทำไมล่ะ”

นี่แหละ คือสิ่งที่แฝงไว้ตรงนี้แหละ คือถ้าท่านมั่นใจในความรอดของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเปลี่ยนแปลงท่าที่ของท่านแบบนี้ ท่านจะยืดอก และถ้าจะให้ดี ก็คือแขม่วท้อง ยืดอก สุขภาพจะแข็งแรง

มาทบทวนข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันอยู่ในพระคัมภีร์ นี่เอาข้อเดียวมาให้อ่าน เอเฟซัส 2:10 อ่านอีกทีหนึ่งนะครับ อ่านดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เลย

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

พูดตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำ ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ฝึกไว้ พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ถามตัวเองนะ ไม่ไปถามคนอื่นเขา เย่อหยิ่งนะ ถ่อมใจรู้ไหม?

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหมเนี้ย”

ไม่ต้องไปกลัวใคร? เราทั้งหลายเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” เราก็ได้เรียนกันไปเยอะแล้ว จบไปหลายตอนแล้ว 10 กว่าตอนแล้ว ยังจำได้ไหมครับที่เราเรียนกันว่า “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” เราเป็นคนที่ได้รับการไถ่บาป … บาปเวรกรรมไม่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว เราเป็นคนที่พระเยซูเอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว เราเป็นคนที่บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ปราศจากบาปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่เอี่ยม วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ดองกับพระเยซูคริสต์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลยในพระเยซูคริสต์ จำได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ ก็สามารถอธิบายความหมายได้อย่างนี้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากบาป และให้เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ใครที่ตะกี้ บอกว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แล้วยังไม่ยอมยืด ยังยืดไม่สุด ยังไม่มีความมั่นใจ ถึงตอนนี้ ก็ควรมีความมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะครับว่าเป็น Masterpiece แล้ว นอกจากนั้นอีก เห็นชัดๆ คือฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่เป็นผลงานนะ เป็นผลงานใช่ แต่ไม่ใช่เป็นงานที่เป็นชิ้นๆ นะ เป็นลูกของพระองค์ เป็นลูกไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป สวยที่สุด หล่อที่สุด ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ยึดได้เยอะหรือยัง? เยอะหรือยัง?

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันไม่เหมือนใคร?”

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ จบการศึกษา อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ตาม จบไปสัมภาษณ์งาน ผมจะบอกให้ท่านดู ท่านจะเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี จบอะไรก็ตาม หรือไม่จบเลย  กำลังไปสัมภาษณ์งาน ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์นี้ วันหนึ่งข้างหน้า หรือไม่เดี๋ยวนี้ ก็มีประสบการณ์แล้ว ไปสมัครงาน แล้วเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมการ (นั่งสัมภาษณ์เรา) บางทีเราเดินเข้าไป นั่งเรียง หน้าตาดุยังกับอะไร?  มาทำไม?  นึกในใจ เขาไม่พูดอย่างนี้  นึกในใจ เขาคงจะขู่เราน่าดู นั่งแต่ละคนแก่ๆ ทั้งนั้น แล้วก็ดูอาวุโส ดูมีฐานะ ดูเก่งๆ เราเดินเพิ่งจบมา ได้งานหรือไม่ได้งาน  แล้วก็เดินหงอๆ เข้าไป ยิ่งกว่านั้น พูดผิดพูดถูก ชื่ออะไร? บอกซอยบ้าน เขาถามชื่อ ดันไปบอกซอยบ้าน นามสกุล ดันบอกชื่อพ่อแม่ มันกลัวไปหมดเลย มีไหม? เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม? มีแน่นอน แล้วมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้จริงๆ วิธีแก้ จากนี้ต่อไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว ให้ท่านมีความมั่นใจในตัวท่านว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เดินเข้าไปถึง บอก

“ผมเป็นใคร?” ไม่ใช่

คุณต้องมั่นใจในตัวคุณก่อนเข้าไป แล้วก็เข้าไปด้วยความมั่นใจนะ แล้วคุณคิดในใจว่า …

“เราจะเลือกบริษัทนี้ทำงานดีไหมเนี้ย?”

ไม่ใช่เขาเลือกเรานะ เราจะเลือกเขาว่าเราจะทำงานบริษัทนี้ดีไหม? เราจะอวยพรเขาไหม? พระเจ้าจะอวยพรผ่านทางเราให้กับบริษัทนี้ไหม? ถ้าเขารับเรา เขาจะได้รับการอวยพรตรงนี้ ไม่ใช่เราไปของานเขาทำ เอเมน เปลี่ยนสิ เปลี่ยนความคิดซะ เดินเข้าไป เขาด้อยกว่าเรามากเลย  กรรมการ 4-5 คนนั่งอยู่ ด้อยกว่าเราเลย  เพราะว่าในใจเราใหญ่กว่าเขาอีก เขาคิดว่าเราไปของานเขา เราฮึดใหญ่กว่าเขาอีก

“ฉันจะมาอวยพรคุณนะเนี้ย ถ้าคุณไม่เอาฉัน ก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจ”

แต่ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหอง เห็นไหม? คุณเข้าไป ก็คุยกับเขา ระดับมันเริ่มเท่าแล้ว มั่นใจในการพูด เห็นไหม? คนที่พูดตะกุกตะกัก เป็นพวกเขามากกว่าแล้ว เพราะบางทีคุณอาจจะถามเขาได้ เอ๊ะ! ถามทำไม? คุณมั่นใจ เพราะคุณไม่กลัวนิ แทนที่คุณจะหงอ นี่พูดถึงว่าถ้าเรามีสติปัญญา แล้วเราทำด้วยความถ่อมใจ ถามว่าอะไรดีกว่ากัน เครียดก็ไม่เครียด ถ้าเขาไม่เอาเรา ก็แสดงว่าพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ไปที่อื่น เอเมน พระเจ้ากำลังนำพาเราไปอวยพรบริษัทไหนไม่รู้ ที่เรากำลังจะไปให้พรเขา ถ้าเขาต้อนรับพรจากพระเจ้า

แตกต่างไหม? เดินเข้าไปผึ่งผายขึ้นไหม?  แต่หลายคนที่นี่ คงไม่ได้สมัครงานใหม่ เพราะอายุมากแล้ว มันจะเกินไปแล้วเนอะ เอาไปสอนลูกสอนหลานได้ 70, 80 อาจารย์ยังมาสอนเรื่องสมัครงาน ไม่ใช่ เอาไปสอนลูกสอนหลานว่า …

“ลูกเอ่ย ไปในนามพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวอธิษฐานกัน ไม่ต้องห่วง ไปเลย จะงานใหญ่ขนาดไหน? หรือจะตกลงงานใหญ่ขนาดไหน? ถ้าพระเจ้าให้ ก็คือให้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็แสดงว่าเราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พระเจ้าพาเราไปอยู่แล้ว เอเมน”

เห็นไหม? ท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาง้อเรานะ เราไม่ได้ไปง้อเขา มันต่างกันเยอะ แค่คิดเปลี่ยนแค่นี้ ท่าทีท่านจะเปลี่ยนไปทันที  ออกมา เพื่อนถาม

“บริษัทนี้เขาจะรับเธอเปล่า?”

“เธอพูดผิดไปแล้ว นี่ฉันคิดว่าฉันจะไปอวยพรเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้ทำที่นี่หรือเปล่า?”

ต่างกันเยอะ เห็นไหม? เอเมน เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้พูดคุยตอนนี้หรือไม่? คิดให้ดีๆ

ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกหรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพูดในนี้ ในโบสถ์ บอกว่าทุกคนเป็น Masterpiece ใช่ไหม? และถามว่าทุกคนนอกโบสถ์นี้ไป คิดให้ดีๆ ตะกี้เราพูดในโบสถ์นี้ ทุกคนเป็นผลงานชิ้นพิเศษของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ถามว่าแล้วข้างนอก มองไปที่ข้างนอก มนุษย์ทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบ ก็คือไม่ใช่  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? เราเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์  เงื่อนไขของการสร้าง Masterpiece หรือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คืออะไร? คือการทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ และคนนั้น ต้องยอมให้พระองค์สร้าง ก็คือยอมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

วิธีการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือต้องยอมถ่อมใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา คือรับข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง เอเมน ซึ่งเราได้ทำไปแล้ว  เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว

สรุป ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด มนุษย์ทุกคนข้างนอก ที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็น Masterpiece ยังไม่ได้เป็นบทวี ยังไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แต่เขามีสิทธิ์ … สิทธิ์เขาง่ายนิดเดียว เหมือนเราทั้งหลาย ที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  โอเคนะครับ

คราวนี้กลับมาดูพระคัมภีร์ต่อเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านพร้อมกัน เอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทางสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เรา

ให้พูดพร้อมกันตรงนี้นะครับ “ที่พระเจ้าทำไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ”

ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ ตอนนี้นะครับ “เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ หรือให้เราทำ”

คำว่า “จัดเตรียมล่วงหน้าให้เราทำ” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม คือคำว่า “เทลอส” แปลว่าเป้าหมายหลัก หรือพระประสงค์ของพระเจ้า

พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา มีพระประสงค์ มีเป้าหมายหลักในชีวิตของท่าน คำว่า “เทลอส” หรือ  “พระประสงค์ของพระเจ้า” ตรงนี้ เป็นการย้ำถึงคุณค่าของผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่บอกว่าเป็น Masterpiece ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เป็นการสำแดงตรงนี้ชัดๆ ว่าไม่มีใครเหมือนเลย ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างผลงานแต่ละชิ้น ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีพระประสงค์ที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคนๆ ทุกคน เอเมน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน  ตามที่พระคัมภีร์ได้พูดใน 1 โครินธ์ 12:4-6 เอาไว้อย่างนี้นะครับ อ่านดูพร้อมกัน

1 โครินธ์ 12:4-6 “4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกัน เป็นผู้ประทาน   5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงกระทำการทั้งหมด ในคนทั้งปวง”

 

เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร และพระองค์มีพระประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละคนๆ

“สำหรับฉัน  สำหรับฉันทีละคน”

เพราะฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเทียบกับใคร? เพราะว่าท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนท่าน พระเจ้าต้องใช้ท่านทำงานนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มาทำไม่ได้ เอเมน สำคัญไหมอย่างนี้ สำคัญที่สุดเลย ใครทำแทนไม่ได้ ต้องเป็นท่านทำ นี่พระเจ้าเจาะจงถึงขนาดนี้ ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อทำงานของพระองค์อย่างนี้

และในลักษณ์เฉพาะของท่าน … ท่านดีที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วในทุกด้าน ในความสามารถตามมาตรฐานของพระเจ้า สวยงามที่สุด  ดีที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีใครจะมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดได้ จงมั่นใจเถิด สำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยแม้แต่นิดเดียว ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้ด้อยเลย  แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ในบ้านคนเดียว อายุก็มากแล้ว แต่พระเจ้าเลือกท่านทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ต้องเป็นท่าน เอเมน ให้รู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร? อย่าไปเทียบกับคนอื่น

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งนะครับ ชื่อ Judy Atcheson เป็นชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็กมาก สูงแค่ประมาณ 140 เซ็นต์ ใครในนี้ 140 เซ็นต์บ้าง? ไม่มีเนอะ ไม่ใช่เด็กนะ หมายถึงโตแล้ว 140 เซ็นต์เท่านั้น แล้วตั้งแต่เล็กๆ ก็โดนเพื่อนล้ออยู่เสมอๆ ใครๆ เรียกเธอว่าอะไร? ไอ้เตี้ย (หยาบคาย)  อย่างนี้เขาเรียกอีเตี้ย เขาเป็นผู้หญิง ไปเรียกไอ้เตี้ยได้อย่างไร? มันก็อย่างนี้ แสดงว่าทั้งโลกเป็นหมด ไม่ใช่เป็นประเทศไทยอย่างเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่าเตี้ย (… เตี้ย) จนเธอรู้สึกมีปมด้อยมาตลอด  และอยากจะสูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากสูง

พอโตขึ้นจูดี้ ก็ไปเรียนพระคัมภีร์ และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันเรื่องพระเจ้า มีพระประสงค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จูดี้ก็มักจะคิดถึงตัวเองว่าแล้วพระองค์ทรงสร้างให้เราตัวเตี้ย ขนาดนี้  นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไรในการเป็นคนตัวเตี้ยอย่างนี้ ถูกเขาล้อตลอด คิดเสมอ สงสัย ปรากฏว่าหลังจากที่จบการศึกษา จากโรงเรียนพระคัมภีร์แล้ว พร้อมที่จะออกไปรับใช้ เธอก็ได้รับการทรงเรียกให้ไปเป็นมิชชันนารี … มิชชันนารี คือคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ออกไปประกาศข่าวดี ให้ไปเป็นมิชชันนารี ที่ชนเผ่าแห่งหนึ่งในแถบแอฟาริกา คือมีชื่อเผ่าว่าเผ่าปิ๊กมี้ นี่เรื่องจริงนะครับ มาหัวเราะ เผ่าปิ๊กมี้ ทุกคนรู้จักดี

ท่านทราบไหมครับว่าชาวปิ๊กมี้ มีลักษณะเด่น คือใครๆ ก็รู้จัก ปิ๊กมี้เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างเตี้ย และในสมัยก่อนโน่น มิชชันนารีที่พยายามจะไปประกาศในเผ่านี้ ก่อนหน้านี้นั้น  ตัวสูงๆ ทั้งนั้น เข้าไป ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปิ๊กมี้ เพราะชาวปิ๊กมี้กลัว แค่สีผิวต่างกัน ก็กลัวแย่อยู่แล้ว นี่เหมือนกับยักษ์โตเข้ามาในท่ามกลางพวกเขา ไม่รับๆ นึกภาพนะครับ พวกชาวเผ่าจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมใกล้ชิดด้วย สำหรับคนผิวขาวตัวใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เป็นการประกาศยากมาก ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร? เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ พูดง่ายๆ

จนกระทั่งจูดี้ มีโอกาสเข้าไปรับใช้ที่นี่ เป็นไงครับ? จูดี้ไปรับใช้ พอไปถึง ปรากฏว่าตัวเท่ากันเลย ตัวเท่ากับพวกเขา ง่ายเลยที่นี่ พวกปิ๊กมี้ คิดว่านี่คือบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเรียนพระคัมภีร์มา นี่คือพวกเดียวกันทั้งนั้น ใช่แน่นอน ก็เลยให้ความสนิทสนมกับจูดี้ ก็เลยกลายเป็นว่าจูดี้ได้ชื่อว่ามิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จมาก ในการประกาศที่ชนเผ่านแห่งนี้  และเธอใช้ชีวิตอยู่กับชาวปิ๊กมี้ รับใช้ชาวปิ๊กมี้ อยู่ที่แถบแอฟาริกา เป็นเวลา 35 ปี จึงกลับประเทศอังกฤษ และได้รับเหรียญรางวัลจากพระราชินีอลิสเบธด้วย ที่เธอทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า

เห็นหรือยัง? เห็นไหมครับ? นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะถูกสร้างมาแบบไหนก็ตาม มีบุคลิกลักษณะอย่างไร? พระเจ้าใช้เราได้ทั้งนั้น เพราะเตรียมไว้แล้วด้วย และจะใช้ด้วย  และพระองค์ก็มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับเราแต่ละคนไม่ต้องเปรียบเทียบกัน เอเมนไหม?

นึกถึงเรื่องนี้ แล้วนึกถึงนี่ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวนะครับ เต๋เขามีเพื่อนคนหนึ่งสูงๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นี่เขาเตี้ย เพื่อนเต๋ก็สูง เป็นคนสูงมาก ซื้อรองเท้าก็ลำบาก ซื้อเสื้อผ้าก็ลำบาก เพราะสูงมาก เป็นคนไทย แต่ตัวสูงมาก ทำอะไรก็ลำบาก ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถเมล์ เครื่องบินที่แบบยาวๆ เพราะเขายาว สูงมาก ปรากฏว่าไปกินข้าวอยู่วันหนึ่ง ไปกินโต๊ะยาวมาก คนหัวโต๊ะเขาก็บอกว่า …

“ช่วยส่งพริกไทยให้หน่อย”

ทุกคนเงื้อมไม่ถึง ปรากฏแป๊บเดี๋ยวมีอะไรบ้างอย่างผ่านไป มันมาได้อย่างไร?  พริกไทยมาได้อย่างไรเนี้ย  เพราะว่าแขนยาว สามารถทำได้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาหรือเปล่า? เห็นไหม? บางวันหลอดไฟเสีย คนต้องไปลากเก้าอี้มาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนได้เลย เสร็จ ใครจะไปรู้ วันข้างหน้า อะตอมคนนี้อาจจะไปเป็นมิชชันนารีก็ได้  ไปหาเผ่าอะไรที่เขาสูงๆ พวกเราเข้าไป เขาไม่รับเรา มองไม่เห็น  พวกท่านไป เขาอาจจะบอก เผ่านี้อาจจะบอก ใครมา เพราะสูงหมด เขาต้องไปหาคนที่สูงเหมือนกันกับเขา ยกตัวอย่างเป็นต้น

ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นแหละ พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นแหละ เอเมน ใช้ท่านไปหาหมู่คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ว่าเขาจะได้ข่าวประเสริฐหรืออะไรแล้วแต่ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นท่านสวยที่สุด ท่านหล่อที่สุด ท่านยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตอนนี้  พอใจหรือยัง? ครั้งต่อไปไม่เทศน์ตรงนี้แล้วนะ ต้องมั่นใจเลยนะว่าเราสวยที่สุด คือผมกำลังอยากจะบอกท่านว่าต่อให้ท่านมีลักษณะอะไรก็ตาม สถานะอะไรก็ตาม ที่ตามมาตรฐานโลก อาจจะบอกว่ามันบกพร่อง หรือดูด้อยกว่าคนอื่น หรือดูแปลกกว่าคนอื่น แต่จงเชื่อและภูมิใจเถิดว่าพระเจ้าทรงตั้งใจ สร้างท่านแบบนั้น  ให้มีเอกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อให้ท่านทำงานอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร?

ลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะครับ “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันสมบูรณ์ครบถ้วน งดงามที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักที่สุด และทรงภูมิใจที่สุด ฉันมีงานที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ให้ฉันทำ คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ แทนฉันได้เลย ฉันจึงมีค่าที่สุด ในสายพระเนตรพระเจ้า เอเมน”

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า” (You are God’s Masterpiece) โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มกราคม  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

(You are God’s Masterpiece)

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

สัปดาห์ที่แล้วตอนที่ 4 มีชื่อตอนว่าอะไร? ใครจำได้บ้าง? ครั้งที่แล้ว “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงถ้อยคำพระเจ้าในเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece”

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความหมาย คือเราเป็นงานศิลปะ เป็นบทกวี เป็นงานฝีมือ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ซึ่งเราควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นฝีมือ เป็นการฝีมือ เป็นบทกวี เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สร้างด้วยความบรรจงอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงตั้งใจที่จะสร้างเราขึ้นมา ให้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระองค์ เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาโด้  ดาวินชี เรามีค่ามากกว่านั้นอีก ซึ่งรูปนี้เขามีค่าขนาดไหน? สูงขนาดที่ขายไม่รู้จะบอกว่าเท่าไร มันเยอะมาก เขาจึงเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์

โมนาลิซ่าในรูป ถ้าพูดได้ เธอคงพูดว่า …

“ฉันเป็นภาพที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

มองภาพ แล้วนึกว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้ และมันเป็นจริง แล้วเราล่ะ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่าขนาดไหน?  เปรียบกันไม่ได้เลยนะครับ

แล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวทิ้งท้ายกันไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรามั่นใจเสมอว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ให้เรามั่นใจอย่างนี้ มากเท่ากับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทย เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบพร้อมกัน มั่นใจ? มั่นใจ ไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลยใช่ไหม? ไม่ต้องเลย เหมือนกัน ต้องดูพระคัมภีร์ไหมว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าตอนนี้ ต้องดูพระคัมภีร์ไหม? ไม่ต้องแล้ว

“ฉันมั่นใจ ข้างในบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับฉัน ในหัวใจของฉันตั้งแต่วันที่ฉันรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ยืนยันกับฉันข้างในว่าฉันเป็นผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าจริงๆ” เอเมน

“ใครจะมาดูถูกว่าฉันไม่สวย ไม่หล่อ ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีความภาคภูมิใจ เพราะฉันเป็นฝีพระหัตถ์ เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ฉันสวย และหล่อที่สุดแล้ว” เอเมน

ลุกขึ้นยืนนิดหนึ่ง พูดตามผมนะครับ ให้มั่นใจ เท่ากับท่านเป็นคนไทยนะ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? เป็น เดี๋ยวพูดตามนะครับ ดังขนาดนี้นะครับ พูดตามผมนะครับ

          “ฉันเป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็น Masterpiece ของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีแล้ว ฉันสวย / หล่อที่สุดแล้ว สวย / หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฉันงดงามที่สุดแล้ว งามกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะครับ / นะคะ”

 

แล้วยังจำได้ไหมครับว่าครั้งที่แล้วได้ โปรยเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอก เราได้พูดกันตรงนี้ขึ้นมา ให้ลุกขึ้นมายืนพูดด้วยความกล้าหาญ ฮึกเหิมเลยใช่ไหมครับ? ก็มีคนมาถาม มีสมาชิกมาถาม โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ ข้องใจมาก ก็มาถามผมว่า …

“ในเมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว งั้นแสดงว่าต่อไปนี้ ไม่ต้องแต่งตัวให้สวย  ไม่ต้องแต่งหน้าทำผมแล้วใช่ไหม? ปล่อยตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างเลย สวยที่สุดแล้วไง”

โอไหม? ไม่โอ … โอหรือไม่โอ? แค่นึกภาพก็น่ากลัว สยองแล้วนะ ถ้าคนในนี้มาบอกว่าไม่มีใครแต่งตัวมาเลย ผมเดินเข้ามา คงสยองขวัญแน่ ไม่หวีผม ตื่นเช้า มาเลย ไม่ไหวนะ และโดยเฉพาะคนข้างๆ ที่บ้าน ทำอย่างนี้ แบบสยอง ขนลุกเลย ตื่นขึ้นมาตายแน่ ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ?

วันนี้เลยต้องมาขยายความกันต่อหน่อยนะครับ ถ้าไม่ขยายความ เผื่อว่าถ้าเกิดสัปดาห์หน้า จบเทศนานี้ สมาชิกที่มาที่นี่ มาแบบธรรมชาติๆ มาสวยธรรมชาติเลย เราคงผวากัน เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องมาคุยกันนิดหนึ่ง คุยกันนิดหนึ่ง เพื่อเราจะไม่ได้ธรรมชาติเกินไป ดีไหม? บอกคนข้างๆ สิ อย่าธรรมชาติมาก มันน่ากลัว บอกสิ ไม่กล้าพูดเหรอ มันน่ากลัว เวลาตื่นขึ้นมา ไม่แปรงฟัน ไม่หวีผม นี่ธรรมชาติแล้วนะเนี้ย

การรู้ตัวตนของเราเองว่าเราเป็นใคร?  และพระเจ้าสร้างเราให้มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร?  ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อย่างไร? สวยงามที่สุด  หล่อที่สุด มีคุณค่ามากที่สุด เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และได้บรรจงสร้างเราให้เป็นอย่างนี้  ถ้าเรารักษาความเชื่อของเราแบบนี้ ให้มีความมั่นใจแบบนี้ แบบสักครู่นี้ที่เราพูดพร้อมกัน  มั่นใจเหมือนที่เราบอกว่าเราเป็นคนไทย โดยไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลย หลับๆ ตื่นขึ้นมา

เขาถาม “คนไทยหรือเปล่า?”

เราก็บอก “คนไทย”

ถ้าเรารักษาความมั่นใจอย่างนั้นได้ ในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นบทกวี เป็นผลงานชิ้นเอก  เป็น Masterpiece สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร พระคัมภีร์บอกเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อแบบที่เราเชื่อว่าเราเป็นคนไทยอย่างนั้น

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ ในลักษณะใดรู้ไหมครับ? ในลักษณะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? จะอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานะใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะกล้ายืนหยัด ยืดอก และมีความมั่นใจในการแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นใคร?”

พูดสิ “ฉันเป็นใคร?”

ยืดอกหน่อยสิ ยืดอกหน่อย นี่ยังห่อเหี่ยวอยู่เลย ยืดอกหน่อยเร็ว แล้วบอกสิ

“ฉันเป็นใคร? หือ!”

“ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ”

ไม่กล้าพูดเหรอ ฉันไม่ธรรมดานะ

“ฉันเป็นคนมีชาติตระกูล”

มีชาติตระกูล ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรรู้ไหม? เวลาคนมีชาติตระกูล มีความภูมิใจตัวเอง เขาเรียกว่า Somebody

“I am somebody.” แปลว่า “ฉันมีคุณค่า”

เขาเรียกว่า I am somebody ถ้า I am no body. แปลว่าฉันแย่เหลือเกิน คนก็ไม่เอาฉันแล้ว อะไรอย่างนี้  ไม่ใช่อย่างนั้น

ถ้าเรารู้ เรามั่นใจ เราต้องบอกว่าอะไร? I am somebody.

ลองพูดสิ “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “ฉันมีคุณค่า  ฉันเป็นใครรู้หรือเปล่า?” อะไรประมาณนี้

“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ” อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจได้ ถ้าเรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในพระเจ้าแบบนี้ ในชีวิตของเรา … เราจะยืดอกได้อย่างสง่าเผย แต่ยืดอกแบบถ่อมใจ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไปยืดอกไปทับถมคนอื่น ไม่ใช่ ยืดอกเฉพาะตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง

“ฉันไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”

แต่ไม่ใช่เอาไปทับถมเขา  ยืดอกแบบถ่อมใจ

ให้เราพูดพร้อมกัน “แบบถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง”

นี่คือหนทางที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลาย ที่มาเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตแบบนี้ ยืดอก และเมื่อเรามีความมั่นใจ ยืดอกได้แล้ว อาการ ท่าทางของเราที่แสดงออกมา ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม  เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสง่างาม การจะไปไหน? จะทำอะไร? จะแต่งตัวอย่างไร? จะพูดอย่างไร? ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม

ให้พูดพร้อมกัน “สง่างาม”

ลองนึกถึงภาพ ในอดีตมา เราสง่างามพอหรือยัง? สมกับที่มีคุณค่ามากกว่า มีมูลค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า  กล้าไหม? สง่างามไหม? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราไปคิดเอาเอง แต่ ณ วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องเปลี่ยนท่าทีเรา สง่างามเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้มากขึ้น ถูกไหม? เอเมน ปรบมือให้พระเจ้า ขอบคุณพระองค์

พอเรารู้สถานะของเราว่าเราเป็นใคร? รู้ความจริง ความจริงก็จะทำให้เราภูมิใจ เมื่อภูมิใจแล้ว เราจะดูแลตัวเอง เมื่อภูมิใจ แล้วทำไม?  มีความมั่นใจ แล้วทำไม? ดูแลตัวเอง ให้ดูสง่างาม  สมฐานะ

พูดพร้อมกันสิ “สมฐานะ”

ตอนนี้งาม สมฐานะหรือยัง?  ให้ดูสง่างาม ตามสถานะ หรือสมฐานะของเรา ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรก หน้าตาผมเผ้า ก็จะทำให้มันดูดีขึ้น ให้สมกับสถานะที่พระเจ้าสร้างเรา เป็นผลงานชิ้นเอก (นะโว๊ย) ถ้าในปัจจุบันเขาจะพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราก็จะต้องดูแลระมัดระวังทุกอย่างในตัวของเรา  พยายามทำให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะแค่ทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางการประพฤติเท่านั้น แต่รวมถึงการแต่งตัวทุกอย่างด้วย ทุกอย่างในชีวิต เพราะเราเป็นการฝีมือ เป็นศิลปะ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ทำให้สมกับเป็นอย่างนั้นหน่อย เหมือนอย่างภาพโมนาลิซ่าตะกี้นี้ ที่บอกว่ามีค่ามหาศาล มันสวยของมันอยู่แล้ว ถูกไหม? มีค่าของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเสริมด้วยการทำสปอร์ตไลต์ ทำกรอบ ทำอะไรให้มันสวยขึ้น อยู่ในตำแหน่งที่สวยๆ คือมันสวยอยู่แล้ว แต่ทำให้มันทำไม? สวยขึ้นสมฐานะของมัน สมราคา ไม่ใช่รูปไร้ค่า รูปอะไรก็ไม่รู้ รูปละบาทสองบาท แล้วเรามาใส่กรอบทอง อย่างนั้นมันไม่ใช่ นี่มันสมฐานะ เป็นภาพโมนาลิซ่าของแท้

การแต่งตัว แต่งหน้า  ทำผม ทำเล็บ ศัลยกรรม การเสริมความงามก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ได้ส่องประกายออกมาอย่างเหมาะสมและพอเหมาะ ไม่ดีใจเลยเหรอ? ดีใจไหม?  ดีใจ แต่งได้ แต่เดี๋ยวฟังต่อไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำเพื่ออะไร?  ทำเพื่อเสริมให้ความงาม มันงามขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเมื่อเรารู้ว่าเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าแล้ว สวย ไม่มีใครเหมือนแล้ว  เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไป เราปล่อยมันตามธรรมชาติเลย เหมือนต้นไม้ นี่ชัดที่สุด ผมคิดตั้งนานว่าอะไรจะเหมือนตรงนี้ได้ เหมือนต้นไม้

ถามว่าพระเจ้าสร้างต้นไม้สวยไหม? ตามธรรมชาติสวยไหม? สวย  เราก็ยังสามารถที่จะไปแต่งเติมให้มันสวยขึ้น ดูเหมาะสมได้อีกไหม? ได้ แล้วทำหรือไม่ทำ? ทำ ถ้าสนามหญ้าของท่าน … ท่านคิดดู ถ้าท่านปล่อยมันธรรมชาติเลย สวยหรือไม่สวย? สวยนะ เขียวๆ แต่ถ้าท่านไปตกแต่งมันอย่างดี ไปตัดแต่งมันทุกเดือนๆ สวยกว่าหรือเปล่า? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย เห็นไหม? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย

หรือบางท่านยิ่งชัดใหญ่เลย ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอะไรดี? ต้นไม้บางต้นสวยอยู่แล้วนะ แต่เขาเอาลวดใส่เข้าไปดัดๆ กลายเป็นลิง กลายเป็นตัวสัตว์ต่างๆ เป็นกวาง สวยกว่าเก่าไหม? สวยกว่าเก่า ต้องแต่งไหม? หรือทิ้งธรรมชาติ มันจะเป็นเอง

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมพยายามจะมาเล่าสู่ท่านฟัง ให้ท่านเห็นว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง มันสวยจริง แต่ว่าพระเจ้าทิ้งงานที่เหลือไว้ให้มนุษย์ตกแต่งมัน รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราจะต้องตกแต่ง ดูแลในทุกส่วนในชีวิตของเรา ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ชีวิต จิตใจ ความคิด ต้องดูแลทุกอย่าง  ให้สมกับคุณค่าที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของเรา สร้างเรา ให้เราดูสวย อย่างงดงามขนาดนี้  ไม่ใช่ปล่อยให้มันโทรม เห็นสนามหญ้าโทรม คนเรามันก็โทรมได้ ถ้าเราไม่แต่งตัว ไม่ดูแลเลย

ยกตัวอย่าง ไม่แปรงฟัน โทรมไหมเนี้ย ยิ้มออกมา ดำปี๋ หินปูนก็ไม่ขัด ปล่อยมันธรรมชาติเลย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทั้งเหลือง ทั้งดำ มันก็ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก นี่บทกวีของพระเจ้านะ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

แต่ทั้งนี้ การเสริมแต่งทุกอย่าง ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบของความเหมาะสม หรือทำตามสมควรที่จำเป็น ให้มีสมดุล ให้มันความพอเหมาะ พอดี ไม่ใช่ทำจนเว่อร์ จนเกินไป หรือน้อยเกินไป

ถามว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ใช่มาเทียบกัน คนนี้กับคนนี้มาเทียบกันไม่ได้ ต้นไม้อย่างนี้กับต้นไม้อย่างนี้ ก็มาเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนจะมีความเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน

คราวนี้มีคนถามว่า “และแค่ไหนคือความพอดี? ความเหมาะสม? ความสมดุลอยู่ตรงจุดไหน? เราจะทราบได้อย่างไรว่าเนี้ยตกแต่งขนาดนี้มันดีแล้วในชีวิตของเรา?”

แน่นอนทุกคนต้องถามตรงนี้แน่นอน แล้วเราจะทราบได้อย่างไร?  นึกในใจไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตอบให้ท่าน

วิธีไม่ยากเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้เปรียบเยอะมากเลย เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา … เราอาจจะเริ่มปรึกษา โดยอธิษฐาน เสร็จแล้วอย่างไร? พระเจ้ายังบอกในพระคัมภีร์ สอนเราอีกว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างนี้ คือนอกจากมีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษายิ่งใหญ่สูงสุด อธิษฐานแล้ว เรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์ด้วย ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พูดพร้อมกัน “ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย”

เราก็ควรที่จะไปปรึกษา มีสติในการที่จะไปปรึกษา ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ เราก็ไปปรึกษาคนที่รู้เรื่องสุขภาพ อย่างเช่นหมอที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ที่เขาดูแลเรื่องสุขภาพ ถูกไหม? ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องการตกแต่ง หรือการทำอะไรก็ตาม เราก็ปรึกษาคนที่เขารู้เรื่องนี้  ก็ไปถามคนโน่น คนนี่ พูดง่ายๆ หาความรู้ นี่คือการปรึกษา

ยิ่งทุกวันนี้  หนึ่งในจำนวนผู้ปรึกษาที่ดี ที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้เรามีสติ นั่นคือใครรู้ไหม? คือใครรู้ไหม? ไม่หยาบนะ คือกูเองนะ จริง กูเกิลๆ จริงๆ กูเกิลนี่หมดเลย วิกิพีเดียมีเยอะแยะเลย  ข้อมูลเยอะแยะ ข้อมูลเหล่านี้ คือที่ปรึกษาของเรา ก่อนเราจะทำอะไร? เราคิดดูต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคน … คนที่พูดได้ ไปหาศิษยาภิบาลที่บ้านบ้าง ไปหาคนนั้น เพื่อปรึกษาสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการแต่งหน้า แต่งตัวอย่างเดียว แต่มันคือชีวิตทั้งหมดเลย ถ้าเราได้รับความรู้และก่อนจะตัดสินใจทำอะไร? ให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ชีวิตเราจะราบรื่นที่สุด ทุกข์น้อยกว่าควรจะเป็น ทุกข์น้อยลง พูดง่ายๆ ถูกไหม? ถ้าเราบอกว่าเราใช้กูเกิลไม่เป็น เราก็ให้ลูก ให้ใครเขาช่วยได้ ถามเขาก็ได้ ช่วยค้นให้หน่อย เขาว่าอย่างไร?  ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขาว่าอย่างไร? คนที่ใช้มาแล้วว่าอย่างไร? เอเมน จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยนะครับ

อย่างนี้เขาเรียกว่าที่ปรึกษา นอกจากปรึกษาแล้ว ตะกี้อย่างที่บอกปรึกษาหาพระเจ้า  แล้วพอปรึกษาอะไรต่างๆ แล้ว สมมติว่าเรามั่นใจว่าพระเจ้าให้เราทำ เราก็ทำเลย ถ้าพระเจ้าไม่ให้ทำ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราอธิษฐาน เอเมน ถูกไหม? เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่ ถ้าเราปรึกษาทั้งหมดแล้ว เราก็อธิษฐานด้วย  เพราะฉะนั้น ถ้าอธิษฐานแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมาหลักจากนั้น  ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมน ถูกไหม? เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงควบคุมดูแลทุกอย่าง ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงาม การแต่งตัว การทำศัลยกรรม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อะไรทุกอย่าง พระเจ้าอยู่กับเราตลอด

คืออยากจะตอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าเรานั้น สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ซึ่งเราคิดไม่ถึง หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ ที่อยู่ในกรอบของประเพณีเก่าๆ ของเรา  ทำให้เราไม่กล้าที่จะโผล่มาทำอะไร? เรารู้สึกว่าทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้นตลอด ต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มันดี พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีเหตุผล เรากลัว ไม่มีเหตุผล พอมาพูดถึงเหตุผลอย่างนี้ชัดๆ มันก็ใช่ (นี่หว่า) ใช่ๆ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน สอนท่านต่อไป

เช่น ถ้ารู้สึกว่าอายุมากแล้ว สมมติ มีผมขาวขึ้นมาทำอย่างไร? มีหลายคนกำลังคิด เมื่อไรถึงเรื่องนี้สักที ถ้าอายุมากแล้ว มีผมขาว รู้สึกว่าอยากจะย้อมผม หรือโกรกผม หรือทำสีผม รู้สึกว่าการโกรกผมนั้น มันเหมาะสำหรับเรา คำว่า “เหมาะ” อย่างที่ผมบอก มาเทียบกันไม่ได้นะครับ คนนี้อยู่ในสังคมนี้ คนนี้อยู่ในกลุ่มนี้  เดี๋ยวต่อไป ผมจะอธิบายให้ท่านอย่างละเอียดกว่านี้ เพื่อให้ท่านเป็นอิสระ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นว่ามันเหมาะสำหรับท่าน … ท่านก็ทำอะไร? อธิษฐาน ถ้าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าอนุญาตให้ท่านทำ ก็ทำไปเลย  แล้วถ้าท่านรู้สึกว่าอยากจะไว้ผมขาว พระเจ้าบอกว่าไว้ผมขาวดีกว่า พระเจ้าอนุญาตให้ท่านไว้ผมขาว ท่านก็ไว้ผมขาว ต้องอาบน้ำด้วยนะ ให้ท่านเห็น เข้าใจไหมครับ ท่านก็ถามคนโน่นคนนี่ ท่านอธิษฐาน ก็อธิษฐานไป ท่านจึงจะได้รับคำตอบ

ให้ลองสังเกตดู แล้วก็สรุปว่าน้ำพระทัยพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่ามีที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย ถามคนรอบข้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปด้วย เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว ปรึกษากับคนรอบข้างแล้ว ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัยแล้ว จงทำไปตามความเชื่อ ตามที่เคยเรียนไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความเชื่อ มันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว อะไรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ … เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราทำ เราดีที่สุด แล้วเราก็อธิษฐาน เชื่อว่านี่พระเจ้านำเราทำอย่างนี้ เราก็ทำเลย เอเมน

นอกจากปรึกษาพระเจ้าแล้ว ลองปรึกษาคนอื่นด้วย อย่างที่บอกนะครับ จะแต่งตัวอย่างไร? จะเข้าไปในสถานที่แบบไหน? จะแต่งตัวอย่างไรในการเข้าไปดูคอนเสิร์ต สมมติอย่างนี้ จะแต่งตัวอย่างไรมาโบสถ์ดี บางครั้ง เราคิดของเราไปเอง คิดของเราคนเดียว

“อย่างนี้ดีแล้ว ฉันเป็นตัวฉันเอง”

อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกให้เรามีที่ปรึกษา ไม่ใช่ดูในกระจก แล้ว

“นี่ สวย  ฉันจะไปอย่างนี้”

ใครว่าอะไรก็ไม่ฟัง

“วันนี้ ฉันจะไปโบสถ์ ฉันจะแต่งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”

ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเชื่อมั่นอย่างนี้ ความเชื่อมั่นในทางพระเจ้า มันมีสติปัญญา  อย่างที่บอก มันมีที่ปรึกษา ถามใครหรือยัง? ยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไร ไม่ได้ถามใคร มั่นใจ คือคุณถาม ตามพระคัมภีร์บอก คุณมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ เขาว่าอย่างไร? ทุกคนเขาว่าอย่างไร? ส่วนใหญ่ถามไหม? คุณอธิษฐานไหม? คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มาโบสถ์ มีคนบอกน่าเกลียด แล้วคุณอธิษฐาน บอกว่าพระเจ้ามันน่าเกลียดไหม?  คุณเคยถามคนโน่นคนนี่ไหมว่ามันพร้อมหรือไม่?  อย่างนี้เป็นต้นใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่ของเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่ต้องทำ เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้วางตัวได้ถูกต้องว่าจะวางตัวอย่างไร ที่จะเข้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ ฟังให้ดีๆ นะ เราจะอยู่กับอย่างนี้อย่างไร? กับสังคมนี้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ถ้าเราไม่ทำในลักษณะเดียวกับเขา เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ พระเจ้าจะใช้งานเราในกลุ่มนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงเฉพาะอย่างที่เขาเรียกว่ารสนิยมต่างกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?

คุณจะทำหน้าตาอย่างไร? ทำผมอย่างไร?  แต่งแบบไหน? มันมีสติปัญญาอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเล่นๆ นี่เรื่องจริงๆ มันมีสติปัญญา มันเป็นวิชาการ เหมือนกับเราไปตกแต่งสนามหญ้า  มันมีวิชาการของมันว่าต้องแต่งอย่างนี้ๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง ไม่ใช่เพ้อฝันเอาเอง ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานอยู่ในห้องคนเดียว แล้วออกมา

“พระเจ้าบอกฉันแต่งอย่างนี้”

ทรงผมแบบ อะไรก็ไม่รู้ สมมติแบบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? เราก็ต้องมีสติปัญญา มีความคิด มีสามัญสำนึก มีเขาเรียกคอมมอนเซน เซนธรรมชาติว่าใส่อย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ต โอเค ใส่อย่างนี้งานแต่งงาน โอเค ใส่อย่างนี้ไปงานศพ โอเค ใส่อย่างนี้ไปโบสถ์ โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันไม่สนใจเลย ฉันจะใส่สีสดๆ ไปงานศพ อย่างนี้”

ต้องดูสิงานนั้น เป็นงานใคร? งานอย่างไร? สมควรทำไหม? อย่างนี้เป็นต้น

สรุป ก็คือก่อนที่จะตัดสินใจเสริมแต่ง ทำอะไรก็ตาม ที่คิดว่าจะเป็นการทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น ในร่างกายนี้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ … สรุปให้นะครับ

  1. พิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ถูกต้องตามกาลเทศะ เหมาะสม พอเหมาะ พอควรหรือไม่?
  2. ถ้าคิดว่าข้อ 1 ผ่าน ลองปรึกษาคนรอบข้าง หาความรู้ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย
  3. ถ้า 2 ข้อนั้นผ่านเรียบร้อยแล้ว อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้า

เคล็ดลับ คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“รีบไปทำเลย เดี๋ยวมันหมดเขตลดราคาแล้วนะ”

“ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“ถ้าไม่ทำตอนนี้ เขาเลิกเลยนะ ต่อไปนี้ไม่มีขายแล้วนะ นี่ขวดสุดท้าย”

“ใจเย็นๆ อย่าซื้อเลยนะ รอคอยพระเจ้า”

ตรงนี้แหละสำคัญ ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันถูกต้องเอง เดี๋ยวพระเจ้าจะบอกผ่านตรงโน่น ผ่านตรงนี้ แล้วท่านจะมีความมั่นใจว่า …

“ใช่แล้ว ฉันจะไว้ผมขาว … ใช่แล้ว ฉันจะทำผมบ้าง?”

เข้าใจใช่ไหมครับ? อะไรที่เหมาะกับเรา ผู้ที่รู้ คือพระเจ้า แล้วก็ผ่านทางวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา อย่างนี้แหละ ถ้าผ่านทาง 3 ข้ออย่างนี้แล้ว ก็ตัดสินใจทำด้วยความเชื่อเลย ไม่ต้องไปห่วงใคร สบาย รับรองได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว พอใจไหมครับ? โอเคเนอะ ทำตามความเหมาะสมแล้วกัน ทำอะไรทุกครั้งฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วพระองค์จะบอกท่านเองว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร? ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมพูดมาตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม  ให้สมกับค่าที่พระเจ้าสร้างเรามาให้เป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งถามว่าสำคัญไหม?  เป็นสิ่งสำคัญ

ให้พูดพร้อมกัน “สำคัญ”

ไม่อย่างนั้น ผมกระเซิงมา คนตกใจกลัว นึกว่าผีมา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้  สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือลักษณะท่าทางการพูดจา การสำแดงความรักให้กับรอบข้าง สำคัญทั้งสองอย่าง การไม่อิจฉาใคร ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เปรียบเทียบกับใคร เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า  เป็นบทกวีของพระเจ้า ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญอย่างมาก กระทำตัวให้เป็นผลงานชิ้นเอก สมกับที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เอเมน ไม่มีใครเอเมนเลยตรงนี้ ตอนแต่งตัว เอเมนกันใหญ่  เอเมน อย่าทำให้พระเจ้าขายหน้า ไปเห็นแก่ตัว พระเจ้าขายหน้า ไปอิจฉาเขา พระเจ้าขายหน้า

“ฉันทำตัวเธอมีค่าขนาดนี้ เธอยังไปอิจฉาชาวบ้านเขา”

ขายหน้าไหม? ขายหน้า ทำฮึดฮัดๆ กับชาวบ้านเขา ออกอาการเหมือนที่เขาชอบลงคลิปกันทุกวันนี้ ขายหน้าไหม? พระเจ้าอาย

“ลูกฉันเอ่ย” เข้าใจใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่หลัก สำคัญมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ก็คือทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็คือความประพฤติของเรา  มันต้องดี ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

อย่างที่ผมบอก เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นใคร? เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ราคา ที่พระเจ้าไว้ในชีวิต ใส่ไว้ในชีวิตของเรา เหมือนดังที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเป็นลูกของพระเจ้านะ เพราะฉะนั้น ทำตัวให้มันดีหน่อย  เดินไปข้างนอก เอะอะโวยวาย  ยกมือด่าผู้คนชาวบ้านเขา พระเยซูอยู่ไหม? อยู่กับเราด้วย ถูกไหม? ไปถึง ไปช่วยเหลือชาวบ้านเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ช่วยเขา พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อันไหนที่พระเยซูมีความสุข อันนั้นแหละ คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรที่จะต้องตั้งใจ และคุยกันให้ลึกซึ้งนะครับว่ามันต้องทำทั้งสองอย่าง สำคัญทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางฝ่ายร่างกาย สำคัญทั้งสองว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น จริงๆ มันเชื่อมกัน ผมจะบอกให้ฟัง

ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้ แต่มันเชื่อมกัน ถ้าท่านรู้ละเอียดอย่างนั้น เข้าใจลึกซึ้งในถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะทำ 2 อย่าง เพราะท่านอยากให้มันเพอร์เฟค ให้มันดี เพราะว่าท่านจะถวายเกียรติพระเจ้า ข้างในท่านเชื่อมั่นใจเลย  ท่านไม่ได้ทำ เพราะกิเลสตัณหา เพราะอยาก อันนั้นไม่ใช่

“ฉันทำ เพราะฉันถวายเกียรติพระเจ้า”

พระเจ้าจะไม่ใช้เขาแล้ว ก็โอเค เข้าใจใช่ไหมครับ?

มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมั่นใจในคุณค่าของตัวท่านเองหรือยังตอนนี้ มั่นใจแล้วนะว่าท่านมีคุณค่ามากมายขนาดไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า บางคนนะครับยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ? เพราะบางครั้ง พูดในโบสถ์อย่างนี้ บรรยายอย่างนี้ มั่นใจๆ มาก พอเข้าไปหาเพื่อนในกลุ่ม ที่ไม่ใช่โบสถ์ ออกจากโบสถ์ไป ต่างคนก็ต่างอยู่ในสังคมไม่เหมือนกันใช่ไหม?

บางคนเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสู่ในกลุ่มของนักเรียน … เรียนหนังสือ เป็นเพื่อนๆ กัน ปรากฏว่าเพื่อนในกลุ่มบางคนได้เกรดที่ดีกว่าเราตั้งเยอะ เรียนเก่งกว่า บางคนในกลุ่มนั้น มีฐานะดีกว่า รวยกว่า ใช่ไหม?

หรือบางคนเข้าไปในกลุ่มของคนทำงานแล้ว ไม่ใช่เรียน กลับไปที่ทำงาน ในที่ทำงานบางคนก็มีฐานะดีกว่า ขับรถมา รถหรูกว่า แถมมีตำแหน่งสูงอีกต่างหาก เป็นหัวเราอีกต่างหาก ทำงานเก่งกว่าเราอีกด้วย ก็เลยรู้สึกทำไม? มีความรู้สึกด้อย … ด้อยกว่าชาวบ้านเขา

          อยากบอกว่าขอให้วันนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดแบบนี้  ขอให้เป็นวันสุดท้ายที่เราคิดแบบนี้  เพราะอะไร? ผมจะบอกให้ท่าน เพราะคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้เขาวัดกันว่าคุณเรียนหนังสือได้ขนาดไหน?  เกรดอะไร?  คุณมีฐานะมั่งมีขนาดไหน? ขับรถอะไร?  นั่นคือมาตรฐานของโลก ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพหลอกลวงทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า คืออยู่ที่ไหนรู้ไหม? อยู่ที่คุณอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?  พระคัมภีร์พูดชัดเจนนะครับ มาตรฐานของพระเจ้า

          “คุณอยู่ในพระคริสต์หรือเปล่า?”

          “คุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่?”      

          “คุณเป็นการฝีมือ เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?”

          ถ้าใช่ คุณเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จงมั่นใจและมีความภูมิใจเถิด  เอเมน

 

ขอให้วันนี้ เป็นวันที่จบเรื่องนี้สักทีหนึ่ง ไม่ต้องกลัวใครเลย ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเทียบท่านได้ พูดง่าย เพราะว่าเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรรู้ไหมครับ? เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือหมายถึงท่านเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้ากลับมาอยู่ที่ตัวของท่าน ในชีวิตของท่าน ในวิญญาณของท่าน ปกคลุมอยู่ในร่างกายของท่าน ไม่มีใครเอเมน ไม่ตื่นเต้น เอเมนไหม?  เพราะมันมองไม่เห็น ไม่ใช่กำลังเพลินหรืออะไร? แซวเล่นๆ เพื่อให้ท่านตื่น ท่านกำลังงง

“โอโห้! ฉันมีค่ามากมายมหาศาล”

ท่านเป็นการฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ เป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ฟังให้ดีอีกที ให้พูดพร้อมกัน “ในพระเยซูคริสต์”

หมายถึงท่านเชื่อไง มันจึงเกิด ท่านเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เกิดอะไร? เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมาใหม่เลย เป็นผลงานชิ้นเอก

มาถึงตรงนี้ ได้เรียนรู้ขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะเดินไปไหน ไม่ต้องทำตัวหงออีกแล้วครับท่าน ได้ไหม? เราหงอจนเคยเลย ยืดอกเลย ไปที่ไหนเราก็ยืดอก ท่านสามารถเดินยืดอก ไปไหนมาไหน อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว  อย่าลืมนะครับ อย่างที่ผมบอกยืดอกในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์มีแต่คนถ่อมตัว มีแต่คนอยากจะให้เขา ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ยืดอก ไม่ด้อยกว่าใครเลย เอเมน  ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

ขอให้รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้ จบสักทีหนึ่ง เรื่องกลัวนั้น กลัวนี้ กลัวไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ไปเลย เอเมน ผมก็ชอบอย่างนี้ เวลาไปไหน? ตั้งแต่รู้จักพระเจ้ามา ไปไหน มีความรู้สึกนับวันมันยิ่ง ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ แต่มีความมั่นใจ จะรวยขนาดไหน?

“ทำไมฉันต้องไปแคร์เขาล่ะ ใครไม่รู้ (แถมเขายังไม่เชื่อพระเจ้าอีก) แต่ฉันเป็นใครรู้ไหม?”

นี่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขานะ  พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใครรู้ไหม?” พูดจากข้างใน

“ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์นะ ทำไมถึงไปกลัวคนนั้น คนนี้ แค่ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตกว่า หรือเป็นเศรษฐีร่ำรวยเหรอ ทำไมล่ะ”

นี่แหละ คือสิ่งที่แฝงไว้ตรงนี้แหละ คือถ้าท่านมั่นใจในความรอดของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเปลี่ยนแปลงท่าที่ของท่านแบบนี้ ท่านจะยืดอก และถ้าจะให้ดี ก็คือแขม่วท้อง ยืดอก สุขภาพจะแข็งแรง

มาทบทวนข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันอยู่ในพระคัมภีร์ นี่เอาข้อเดียวมาให้อ่าน เอเฟซัส 2:10 อ่านอีกทีหนึ่งนะครับ อ่านดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เลย

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

พูดตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำ ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ฝึกไว้ พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ถามตัวเองนะ ไม่ไปถามคนอื่นเขา เย่อหยิ่งนะ ถ่อมใจรู้ไหม?

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหมเนี้ย”

ไม่ต้องไปกลัวใคร? เราทั้งหลายเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” เราก็ได้เรียนกันไปเยอะแล้ว จบไปหลายตอนแล้ว 10 กว่าตอนแล้ว ยังจำได้ไหมครับที่เราเรียนกันว่า “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” เราเป็นคนที่ได้รับการไถ่บาป … บาปเวรกรรมไม่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว เราเป็นคนที่พระเยซูเอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว เราเป็นคนที่บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ปราศจากบาปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่เอี่ยม วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ดองกับพระเยซูคริสต์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลยในพระเยซูคริสต์ จำได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ ก็สามารถอธิบายความหมายได้อย่างนี้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากบาป และให้เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ใครที่ตะกี้ บอกว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แล้วยังไม่ยอมยืด ยังยืดไม่สุด ยังไม่มีความมั่นใจ ถึงตอนนี้ ก็ควรมีความมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะครับว่าเป็น Masterpiece แล้ว นอกจากนั้นอีก เห็นชัดๆ คือฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่เป็นผลงานนะ เป็นผลงานใช่ แต่ไม่ใช่เป็นงานที่เป็นชิ้นๆ นะ เป็นลูกของพระองค์ เป็นลูกไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป สวยที่สุด หล่อที่สุด ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ยึดได้เยอะหรือยัง? เยอะหรือยัง?

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันไม่เหมือนใคร?”

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ จบการศึกษา อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ตาม จบไปสัมภาษณ์งาน ผมจะบอกให้ท่านดู ท่านจะเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี จบอะไรก็ตาม หรือไม่จบเลย  กำลังไปสัมภาษณ์งาน ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์นี้ วันหนึ่งข้างหน้า หรือไม่เดี๋ยวนี้ ก็มีประสบการณ์แล้ว ไปสมัครงาน แล้วเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมการ (นั่งสัมภาษณ์เรา) บางทีเราเดินเข้าไป นั่งเรียง หน้าตาดุยังกับอะไร?  มาทำไม?  นึกในใจ เขาไม่พูดอย่างนี้  นึกในใจ เขาคงจะขู่เราน่าดู นั่งแต่ละคนแก่ๆ ทั้งนั้น แล้วก็ดูอาวุโส ดูมีฐานะ ดูเก่งๆ เราเดินเพิ่งจบมา ได้งานหรือไม่ได้งาน  แล้วก็เดินหงอๆ เข้าไป ยิ่งกว่านั้น พูดผิดพูดถูก ชื่ออะไร? บอกซอยบ้าน เขาถามชื่อ ดันไปบอกซอยบ้าน นามสกุล ดันบอกชื่อพ่อแม่ มันกลัวไปหมดเลย มีไหม? เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม? มีแน่นอน แล้วมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้จริงๆ วิธีแก้ จากนี้ต่อไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว ให้ท่านมีความมั่นใจในตัวท่านว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เดินเข้าไปถึง บอก

“ผมเป็นใคร?” ไม่ใช่

คุณต้องมั่นใจในตัวคุณก่อนเข้าไป แล้วก็เข้าไปด้วยความมั่นใจนะ แล้วคุณคิดในใจว่า …

“เราจะเลือกบริษัทนี้ทำงานดีไหมเนี้ย?”

ไม่ใช่เขาเลือกเรานะ เราจะเลือกเขาว่าเราจะทำงานบริษัทนี้ดีไหม? เราจะอวยพรเขาไหม? พระเจ้าจะอวยพรผ่านทางเราให้กับบริษัทนี้ไหม? ถ้าเขารับเรา เขาจะได้รับการอวยพรตรงนี้ ไม่ใช่เราไปของานเขาทำ เอเมน เปลี่ยนสิ เปลี่ยนความคิดซะ เดินเข้าไป เขาด้อยกว่าเรามากเลย  กรรมการ 4-5 คนนั่งอยู่ ด้อยกว่าเราเลย  เพราะว่าในใจเราใหญ่กว่าเขาอีก เขาคิดว่าเราไปของานเขา เราฮึดใหญ่กว่าเขาอีก

“ฉันจะมาอวยพรคุณนะเนี้ย ถ้าคุณไม่เอาฉัน ก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจ”

แต่ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหอง เห็นไหม? คุณเข้าไป ก็คุยกับเขา ระดับมันเริ่มเท่าแล้ว มั่นใจในการพูด เห็นไหม? คนที่พูดตะกุกตะกัก เป็นพวกเขามากกว่าแล้ว เพราะบางทีคุณอาจจะถามเขาได้ เอ๊ะ! ถามทำไม? คุณมั่นใจ เพราะคุณไม่กลัวนิ แทนที่คุณจะหงอ นี่พูดถึงว่าถ้าเรามีสติปัญญา แล้วเราทำด้วยความถ่อมใจ ถามว่าอะไรดีกว่ากัน เครียดก็ไม่เครียด ถ้าเขาไม่เอาเรา ก็แสดงว่าพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ไปที่อื่น เอเมน พระเจ้ากำลังนำพาเราไปอวยพรบริษัทไหนไม่รู้ ที่เรากำลังจะไปให้พรเขา ถ้าเขาต้อนรับพรจากพระเจ้า

แตกต่างไหม? เดินเข้าไปผึ่งผายขึ้นไหม?  แต่หลายคนที่นี่ คงไม่ได้สมัครงานใหม่ เพราะอายุมากแล้ว มันจะเกินไปแล้วเนอะ เอาไปสอนลูกสอนหลานได้ 70, 80 อาจารย์ยังมาสอนเรื่องสมัครงาน ไม่ใช่ เอาไปสอนลูกสอนหลานว่า …

“ลูกเอ่ย ไปในนามพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวอธิษฐานกัน ไม่ต้องห่วง ไปเลย จะงานใหญ่ขนาดไหน? หรือจะตกลงงานใหญ่ขนาดไหน? ถ้าพระเจ้าให้ ก็คือให้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็แสดงว่าเราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พระเจ้าพาเราไปอยู่แล้ว เอเมน”

เห็นไหม? ท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาง้อเรานะ เราไม่ได้ไปง้อเขา มันต่างกันเยอะ แค่คิดเปลี่ยนแค่นี้ ท่าทีท่านจะเปลี่ยนไปทันที  ออกมา เพื่อนถาม

“บริษัทนี้เขาจะรับเธอเปล่า?”

“เธอพูดผิดไปแล้ว นี่ฉันคิดว่าฉันจะไปอวยพรเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้ทำที่นี่หรือเปล่า?”

ต่างกันเยอะ เห็นไหม? เอเมน เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้พูดคุยตอนนี้หรือไม่? คิดให้ดีๆ

ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกหรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพูดในนี้ ในโบสถ์ บอกว่าทุกคนเป็น Masterpiece ใช่ไหม? และถามว่าทุกคนนอกโบสถ์นี้ไป คิดให้ดีๆ ตะกี้เราพูดในโบสถ์นี้ ทุกคนเป็นผลงานชิ้นพิเศษของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ถามว่าแล้วข้างนอก มองไปที่ข้างนอก มนุษย์ทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบ ก็คือไม่ใช่  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? เราเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์  เงื่อนไขของการสร้าง Masterpiece หรือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คืออะไร? คือการทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ และคนนั้น ต้องยอมให้พระองค์สร้าง ก็คือยอมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

วิธีการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือต้องยอมถ่อมใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา คือรับข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง เอเมน ซึ่งเราได้ทำไปแล้ว  เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว

สรุป ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด มนุษย์ทุกคนข้างนอก ที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็น Masterpiece ยังไม่ได้เป็นบทวี ยังไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แต่เขามีสิทธิ์ … สิทธิ์เขาง่ายนิดเดียว เหมือนเราทั้งหลาย ที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  โอเคนะครับ

คราวนี้กลับมาดูพระคัมภีร์ต่อเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านพร้อมกัน เอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทางสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เรา

ให้พูดพร้อมกันตรงนี้นะครับ “ที่พระเจ้าทำไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ”

ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ ตอนนี้นะครับ “เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ หรือให้เราทำ”

คำว่า “จัดเตรียมล่วงหน้าให้เราทำ” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม คือคำว่า “เทลอส” แปลว่าเป้าหมายหลัก หรือพระประสงค์ของพระเจ้า

พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา มีพระประสงค์ มีเป้าหมายหลักในชีวิตของท่าน คำว่า “เทลอส” หรือ  “พระประสงค์ของพระเจ้า” ตรงนี้ เป็นการย้ำถึงคุณค่าของผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่บอกว่าเป็น Masterpiece ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เป็นการสำแดงตรงนี้ชัดๆ ว่าไม่มีใครเหมือนเลย ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างผลงานแต่ละชิ้น ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีพระประสงค์ที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคนๆ ทุกคน เอเมน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน  ตามที่พระคัมภีร์ได้พูดใน 1 โครินธ์ 12:4-6 เอาไว้อย่างนี้นะครับ อ่านดูพร้อมกัน

1 โครินธ์ 12:4-6 “4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกัน เป็นผู้ประทาน   5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงกระทำการทั้งหมด ในคนทั้งปวง”

 

เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร และพระองค์มีพระประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละคนๆ

“สำหรับฉัน  สำหรับฉันทีละคน”

เพราะฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเทียบกับใคร? เพราะว่าท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนท่าน พระเจ้าต้องใช้ท่านทำงานนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มาทำไม่ได้ เอเมน สำคัญไหมอย่างนี้ สำคัญที่สุดเลย ใครทำแทนไม่ได้ ต้องเป็นท่านทำ นี่พระเจ้าเจาะจงถึงขนาดนี้ ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อทำงานของพระองค์อย่างนี้

และในลักษณ์เฉพาะของท่าน … ท่านดีที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วในทุกด้าน ในความสามารถตามมาตรฐานของพระเจ้า สวยงามที่สุด  ดีที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีใครจะมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดได้ จงมั่นใจเถิด สำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยแม้แต่นิดเดียว ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้ด้อยเลย  แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ในบ้านคนเดียว อายุก็มากแล้ว แต่พระเจ้าเลือกท่านทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ต้องเป็นท่าน เอเมน ให้รู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร? อย่าไปเทียบกับคนอื่น

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งนะครับ ชื่อ Judy Atcheson เป็นชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็กมาก สูงแค่ประมาณ 140 เซ็นต์ ใครในนี้ 140 เซ็นต์บ้าง? ไม่มีเนอะ ไม่ใช่เด็กนะ หมายถึงโตแล้ว 140 เซ็นต์เท่านั้น แล้วตั้งแต่เล็กๆ ก็โดนเพื่อนล้ออยู่เสมอๆ ใครๆ เรียกเธอว่าอะไร? ไอ้เตี้ย (หยาบคาย)  อย่างนี้เขาเรียกอีเตี้ย เขาเป็นผู้หญิง ไปเรียกไอ้เตี้ยได้อย่างไร? มันก็อย่างนี้ แสดงว่าทั้งโลกเป็นหมด ไม่ใช่เป็นประเทศไทยอย่างเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่าเตี้ย (… เตี้ย) จนเธอรู้สึกมีปมด้อยมาตลอด  และอยากจะสูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากสูง

พอโตขึ้นจูดี้ ก็ไปเรียนพระคัมภีร์ และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันเรื่องพระเจ้า มีพระประสงค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จูดี้ก็มักจะคิดถึงตัวเองว่าแล้วพระองค์ทรงสร้างให้เราตัวเตี้ย ขนาดนี้  นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไรในการเป็นคนตัวเตี้ยอย่างนี้ ถูกเขาล้อตลอด คิดเสมอ สงสัย ปรากฏว่าหลังจากที่จบการศึกษา จากโรงเรียนพระคัมภีร์แล้ว พร้อมที่จะออกไปรับใช้ เธอก็ได้รับการทรงเรียกให้ไปเป็นมิชชันนารี … มิชชันนารี คือคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ออกไปประกาศข่าวดี ให้ไปเป็นมิชชันนารี ที่ชนเผ่าแห่งหนึ่งในแถบแอฟาริกา คือมีชื่อเผ่าว่าเผ่าปิ๊กมี้ นี่เรื่องจริงนะครับ มาหัวเราะ เผ่าปิ๊กมี้ ทุกคนรู้จักดี

ท่านทราบไหมครับว่าชาวปิ๊กมี้ มีลักษณะเด่น คือใครๆ ก็รู้จัก ปิ๊กมี้เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างเตี้ย และในสมัยก่อนโน่น มิชชันนารีที่พยายามจะไปประกาศในเผ่านี้ ก่อนหน้านี้นั้น  ตัวสูงๆ ทั้งนั้น เข้าไป ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปิ๊กมี้ เพราะชาวปิ๊กมี้กลัว แค่สีผิวต่างกัน ก็กลัวแย่อยู่แล้ว นี่เหมือนกับยักษ์โตเข้ามาในท่ามกลางพวกเขา ไม่รับๆ นึกภาพนะครับ พวกชาวเผ่าจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมใกล้ชิดด้วย สำหรับคนผิวขาวตัวใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เป็นการประกาศยากมาก ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร? เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ พูดง่ายๆ

จนกระทั่งจูดี้ มีโอกาสเข้าไปรับใช้ที่นี่ เป็นไงครับ? จูดี้ไปรับใช้ พอไปถึง ปรากฏว่าตัวเท่ากันเลย ตัวเท่ากับพวกเขา ง่ายเลยที่นี่ พวกปิ๊กมี้ คิดว่านี่คือบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเรียนพระคัมภีร์มา นี่คือพวกเดียวกันทั้งนั้น ใช่แน่นอน ก็เลยให้ความสนิทสนมกับจูดี้ ก็เลยกลายเป็นว่าจูดี้ได้ชื่อว่ามิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จมาก ในการประกาศที่ชนเผ่านแห่งนี้  และเธอใช้ชีวิตอยู่กับชาวปิ๊กมี้ รับใช้ชาวปิ๊กมี้ อยู่ที่แถบแอฟาริกา เป็นเวลา 35 ปี จึงกลับประเทศอังกฤษ และได้รับเหรียญรางวัลจากพระราชินีอลิสเบธด้วย ที่เธอทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า

เห็นหรือยัง? เห็นไหมครับ? นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะถูกสร้างมาแบบไหนก็ตาม มีบุคลิกลักษณะอย่างไร? พระเจ้าใช้เราได้ทั้งนั้น เพราะเตรียมไว้แล้วด้วย และจะใช้ด้วย  และพระองค์ก็มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับเราแต่ละคนไม่ต้องเปรียบเทียบกัน เอเมนไหม?

นึกถึงเรื่องนี้ แล้วนึกถึงนี่ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวนะครับ เต๋เขามีเพื่อนคนหนึ่งสูงๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นี่เขาเตี้ย เพื่อนเต๋ก็สูง เป็นคนสูงมาก ซื้อรองเท้าก็ลำบาก ซื้อเสื้อผ้าก็ลำบาก เพราะสูงมาก เป็นคนไทย แต่ตัวสูงมาก ทำอะไรก็ลำบาก ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถเมล์ เครื่องบินที่แบบยาวๆ เพราะเขายาว สูงมาก ปรากฏว่าไปกินข้าวอยู่วันหนึ่ง ไปกินโต๊ะยาวมาก คนหัวโต๊ะเขาก็บอกว่า …

“ช่วยส่งพริกไทยให้หน่อย”

ทุกคนเงื้อมไม่ถึง ปรากฏแป๊บเดี๋ยวมีอะไรบ้างอย่างผ่านไป มันมาได้อย่างไร?  พริกไทยมาได้อย่างไรเนี้ย  เพราะว่าแขนยาว สามารถทำได้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาหรือเปล่า? เห็นไหม? บางวันหลอดไฟเสีย คนต้องไปลากเก้าอี้มาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนได้เลย เสร็จ ใครจะไปรู้ วันข้างหน้า อะตอมคนนี้อาจจะไปเป็นมิชชันนารีก็ได้  ไปหาเผ่าอะไรที่เขาสูงๆ พวกเราเข้าไป เขาไม่รับเรา มองไม่เห็น  พวกท่านไป เขาอาจจะบอก เผ่านี้อาจจะบอก ใครมา เพราะสูงหมด เขาต้องไปหาคนที่สูงเหมือนกันกับเขา ยกตัวอย่างเป็นต้น

ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นแหละ พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นแหละ เอเมน ใช้ท่านไปหาหมู่คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ว่าเขาจะได้ข่าวประเสริฐหรืออะไรแล้วแต่ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นท่านสวยที่สุด ท่านหล่อที่สุด ท่านยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตอนนี้  พอใจหรือยัง? ครั้งต่อไปไม่เทศน์ตรงนี้แล้วนะ ต้องมั่นใจเลยนะว่าเราสวยที่สุด คือผมกำลังอยากจะบอกท่านว่าต่อให้ท่านมีลักษณะอะไรก็ตาม สถานะอะไรก็ตาม ที่ตามมาตรฐานโลก อาจจะบอกว่ามันบกพร่อง หรือดูด้อยกว่าคนอื่น หรือดูแปลกกว่าคนอื่น แต่จงเชื่อและภูมิใจเถิดว่าพระเจ้าทรงตั้งใจ สร้างท่านแบบนั้น  ให้มีเอกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อให้ท่านทำงานอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร?

ลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะครับ “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันสมบูรณ์ครบถ้วน งดงามที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักที่สุด และทรงภูมิใจที่สุด ฉันมีงานที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ให้ฉันทำ คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ แทนฉันได้เลย ฉันจึงมีค่าที่สุด ในสายพระเนตรพระเจ้า เอเมน”

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” (You are God’s masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้นะครับ เราจะกลับมาฟังคำบรรยายกันต่อ ในซีรี่ส์ชุดเดิมนะครับ ที่ค้างกันไว้ตั้งแต่ก่อน คริสตมาส ยังจำได้ไหมครับ ซีรี่ส์เรื่องอะไร? เราคุยอะไรกันค้างไว้ ตั้งแต่ก่อนคริสตมาส ผมได้เริ่มต้นซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Identity in Christ” คุยไป 3 ตอนแล้ว  วันนี้จะเป็นตอนที่ 4 งงเลยใช่ไหม?

เรามาทวน 3 ตอนก่อน เพราะว่าเว้นระยะไปนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มตอนที่ 4 วันนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดหนึ่งก่อนนะครับว่า 3 ตอนที่แล้วเราได้คุยอะไรกันไปแล้วบ้าง?

เริ่มต้นที่ความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” มันสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันเรื่องนี้  พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้งและการรับการประทับตราจากพระเจ้า

พวกเราคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้ง แต่งตั้งโดยพระเจ้า และประทับตราของพระองค์อยู่ในชีวิตของเรา แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเรา บนชีวิตของเรา และแสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้าในครอบครัวของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

มาทบทวน 2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงใน  พระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ในข้อที่ 22 เมื่อตะกี้นี้บอกว่าทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา แต่ละคนเลยที่เชื่อในพระเยซู และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เพื่ออะไร? เป็นมัดจำ ค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง ก็คือสวรรค์สถานที่พระองค์บอกเราว่าเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ตอนนี้เราได้ก่อน มัดจำไปก่อนแล้ว เรียบร้อยแล้ว คืออะไร? คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจเรา

และผมก็ได้ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จัก ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สำคัญมากเลยนะครับ เพื่อเราจะสามารถแยกแยะได้ระหว่างตัวตนจริง ก็คือ True Identity ตัวจริงๆ ของเรา  ข้อมูลที่เป็นตัวจริงของเรา กับ Liedentity  ก็คือข้อมูลปลอมที่เขาหลอกเรา  เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ ได้สร้างข้อมูลปลอมๆ โดยผ่านทางสื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ สร้างข้อมูลปลอม หลอกเรา ยัดเหยียดใส่ชีวิตของเราเต็มไปหมด และเราก็ถูกหลอกมานาน ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า

ถูกหลอกว่าอะไร? หลอกว่าเราเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  เรารู้ความจริงตรงไหน? ตรงที่เราไปอ่านพระคัมภีร์ เราถึงรู้

อ้าว! เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนะ พระเจ้าบอกเราอีกแบบหนึ่ง แต่มารซาตานบอกเราอีกอย่างหนึ่ง ผ่านทางสังคม ผ่านทางโลกใบนี้

จำตัวอย่างได้ไหมครับ ที่บอกว่าใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เหมือนยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองจริงๆ ยังทำตัวเหมือนแปลกๆ เราก็จะเปรียบเทียบกันว่าทำตัวเหมือนทาร์ซาน นี่คืออะไร? นี่คือชื่อของตอน “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 แสดงว่าจำได้ จึงใช้ชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน”

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าเป็นทาร์ซาน”

อยากรู้รายละเอียด ไปหาฟังเอาในตอนที่แล้วนะครับ ไปค้นเอา ประวัติตอนที่แล้ว เพราะเขาลงในยูทูปมีหมดนะครับ Holy live มีตั้งหลายตอนอยู่ในนั้น  เพราะฉะนั้น ไปดูแล้วกันว่าตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 1 ทาร์ซานว่าอย่างไรบ้าง?

มาถึงตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า” จำได้ไหม? เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ได้สอนเราอย่างนั้น ภาษาอังกฤษจำได้เลย ภาษาอังกฤษว่าเราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature

พูดพร้อมกัน “Divine Nature”

จำแม่นเลยนะ จากทาร์ซานมา Divine Nature ที่ผมเล่าให้ฟังว่าย้อนไปตั้งแต่สมัยปฐมกาล สมัยโน้นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายให้มีคุณลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? มีพืช สิ่งที่มีชีวิต ที่มีร่างกาย สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ หรือเรียกว่า Soul เรียกว่า Body and Soul แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ Body  Soul and Spirit วิญญาณหรือ Spirit ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา หรือพระฉายของพระองค์ ให้มีส่วนใน Divine Nature ธรรมชาติลักษณะของพระองค์ตรงไหน? ตรงที่มีวิญญาณเหมือนพระองค์ จริงๆ แล้วคือเป็นวิญญาณเหมือนพระองค์

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทรงระบายลมหายใจ” แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าระบายลมหายใจ ลมปราณของพระองค์ คือวิญญาณของพระองค์เข้ามาในมนุษย์ สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น คำว่าระบายนั้นก็คือแบ่งชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ จำได้ใช่ไหมครับว่าแบ่งเชื้อสายให้กับเรา แบ่งให้มีลูกขึ้นมา เป็นลูกของเรา และในองค์ประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ ก็คือทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น  ทางวิญญาณของเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที ณ วินาทีที่เราเชื่อในพระเจ้า ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว วินาทีไหน? ไม่รู้ วิญญาณของเราเปลี่ยนไปทันที ใหม่เอี่ยม เข้ามาสู่ Divine Nature ของพระเจ้าทันที สำหรับทางความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความคิดจิตใจก็เริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มัดใจ ที่มาสถิตอยู่กับเรา และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา นำพาเราเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ  ความคิดจิตใจของเรา ก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวันๆ นั่นเอง

ส่วนทางร่างกายล่ะ ก็มีการเปลี่ยนแปลง คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะมีร่างกายใหม่ไว้ให้กับเรา เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่ต้องเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีสิวอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว จำได้ใช่ไหม?

และในตอนที่ 3 ที่เราทิ้งท้ายกันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตมาส มีชื่อตอนว่า “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 3 ผมได้เล่าถึงจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่มีไปถึงชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งชาวเมืองโครินธ์ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางอบายมุข เพราะเจริญเติบโตเป็นเมืองค้าขายมากมายนะครับ คล้ายๆ กรุงเทพ นิวยอร์กอะไรอย่างนี้ของสมัยนั้น ผู้คนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเยอะแยะ และประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย ซึ่งรวมทั้งชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียนด้วย รับเชื่อแล้ว

เปาโลเลยต้องการสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในโครินธ์เหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า แต่แทนที่จะสั้งว่า.-

“อย่าทำอย่างโน้น อย่าทำอย่างนี้ อย่างทำอย่างนั้น”

เปาโลกลับสอนบอกว่าให้ผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้ที่เชื่อแล้ว รู้ตัวตนของตัวเองในพระเยซูคริสต์ว่า.-

“เธอเป็นใคร? เธอมีค่ามากเท่าไร? เธอเป็นวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในเธอนะ เธอจะไปทำอะไร พระเจ้าตามๆ ไปด้วยตลอดเวลา” ให้เขารู้ตรงนี้  

เห็นไหมครับว่าเรามาเรียนรู้เรื่องตัวตนของพระคริสต์ มันสำคัญอย่างไร? ต่อให้ไปสั่ง …

“อย่าทำอย่างนั้น อย่างทำอย่างนี้”

มันทำไม่ได้ กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ มันก็จะว่ากันไปตามนั้นแหละ แต่พอเรารู้ตัวตนของเรา … เรารู้ว่าข้างในเราใหญ่กว่า ข้างในเรามี Divine Nature อยู่ในนั้น  เราเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นี่คือตอนที่ 3

และตัวตนในพระคริสต์ที่เปาโล ย้ำเตือนกับผู้คนเมืองโครินธ์ ก็คืออะไร? ก็คือ 1 โครินธ์ 6:19-20 ที่บอกว่าเรามีค่าขนาดไหน? ดูสิ อ่านย้อนดูอีกทีหนึ่ง มาทบทวนอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด

 

ชาวโครินธ์เยอะแยะมากมาย ทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ในอบายมุกต่างๆ มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ส่วนหนึ่งคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปาโลพูดเฉพาะคนที่เชื่อในพระเจ้า และบอกว่า.-

“พวกท่านรู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านมีราคาที่สูงมาก พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

นี่การสอนของเปาโล คือให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียน คือให้รู้ว่าเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในร่างกายของเรานี้ เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป ไม่ได้เป็นตัวเราแล้ว แต่เป็นพระเจ้า  เราเดินไปไหน พระวิญญาณเดินอยู่กับเรา  ไปไหนพระเจ้าอยู่กับเราด้วย ตาดูอะไร? พระเจ้าก็ดูด้วย มือทำอะไร? พระเจ้าก็ทำด้วย ปากพูดอะไร? พระเจ้าก็พูดด้วย เหมือนกับพูดด้วยรู้ด้วยตลอดเวลา

นี่คือการรู้ตัวตนของตัวเอง จะได้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นวิหารของพระเจ้า ก็จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่สกปรกหลายอย่างได้ บนโลกใบนี้ (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะมันไม่มีทางที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างที่บอกแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีทางที่เราจะบังคับมันให้ถูกต้องหมด 100% แต่มันทำให้มากขึ้นได้ ถ้าเผื่อเรารู้ความจริง คือ Identity ของเรา  True Identity  ก็คือตัวตนแท้ๆ จริงของเราว่าเราเป็นใคร?

เมื่อทาร์ซานรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว ทุกอย่าง มันจะเปลี่ยนไปเอง เอเมน เราทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่แล้ว

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราจะเข้าสู่การบรรยายในชุดนี้นะครับ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ให้เราพูดพร้อมกัน “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้า ตามหนังสือเอเฟซัสก่อนนะครับ  ในหนังสือเอเฟซัสได้พูดถึงคริสตจักรต่างๆ ในสมัยนั้น ที่มาจากหลายๆ ชนชาติ ในคริสตจักรในเอเฟซัส คนที่เป็นคริสเตียนมาจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งจะเรียกรวมเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ในหนังสือนี้นะครับ คือเป็นพวกยิวและพวกไม่ใช่ยิว  ซึ่งเรียกว่าชาวต่างชาติ

และในเนื้อหาสำคัญของหนังสือเอเฟซัส ไม่ว่าเราจะมาจากชนชาติไหน? ก็ตาม เป็นเชื้อชาติไหนมาก็ตาม เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาให้เป็นพระกายของพระองค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเตรียมเราไว้ สำหรับใช้เรา สำหรับงานรับใช้

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเจ้าเตรียมเราทุกคน ที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว ให้เป็นผู้รับใช้พระองค์”

ไม่ว่าท่านจะคิดว่าท่านอายุมากขนาดไหน? ไม่ได้ทำอะไรเลย? อยู่บ้านเฉยๆ อธิษฐานก็น้อย พระเจ้าใช้ท่าน ถ้าพระเจ้าเลิกใช้ท่าน หมดแล้ว ให้ท่านพักผ่อน ก็คือให้ท่านทำอย่างไร? ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย ก็คือเอาท่านกลับบ้าน แต่ถ้าตราบใดที่ท่านยังหายใจอยู่ พระเจ้าก็ยังกำลังให้ท่านทำงานอยู่ ไม่ต้องไปคิดว่างานนั้น คืออะไร? พระเจ้าทำอยู่แล้วกัน เอเมนนะ

และถ้อยคำหลักที่เราได้ดูกันวันนี้นะครับ อยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:10 ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างละเอียด เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และได้เชื่ออย่างมั่นใจถึงความหมายของถ้อยคำนี้แล้ว ชีวิตท่านหรือชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ความคิด ความอ่านของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จะเปลี่ยนไปเลยนะครับ พระเยซูบอกท่านรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้ ลึกซึ้ง

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

 

“เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้นะครับ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “We are God’s masterpiece.   He has created us anew in Christ Jesus.”

คำว่า “ผลงานของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ตรงนี้นะครับ  พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า … ภาษาไทยนะครับ ใช้คำว่า “ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า” ก็คือฝีมือของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ท่านลองนึกภาพไปเรื่อยๆ ตามนะครับ เป็นการฝีมือของพระเจ้า

ภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece” มาจากคำในภาษากรีก ภาษาเดิมว่า “Poiema”

ท่านเป็น Poiema ของพระเจ้า … Poiema ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่เราคุ้นๆ กัน Poem  แปลว่าบทกวี  … บทกวีคืออะไร? คืออะไรบางอย่าง ที่มันเพราะพริ้ง เลิศประเสริฐศรี เขาจึงให้ชื่อว่าบทกวี

ท่านเป็นบทกวีของพระเจ้า … พระเจ้าที่สร้างมหาจักรวาลนี้ ทำการฝีมือ ก็คือชีวิตของท่าน

ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษากรีกก็ตาม ความหมายของถ้อยคำนี้ ข้อนี้กำลังบอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ หรือเป็นงานฝีมือของพระเจ้า ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เรียกว่าผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามชื่อเรื่อง

พูดอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

คำว่า “บทกวี” หรือ Poem ซึ่งแปลว่าผลงานชิ้นเอก สื่อให้เห็นถึงอะไร? ถึงงานที่เป็นศิลปะ เป็นผลงานที่บรรจงสร้างขึ้น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีการทำซ้ำ ที่เรียกว่าเป็นแบบ ถ้าโดยทั่วๆ ไป ทางการค้า เขาเรียกว่า Hand made ไม่ใช่เป็นการผลิตแบบโรงงานซ้ำๆ กัน มีจำนวนเยอะๆ มีแม่พิมพ์ แล้วก็ปั้มๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าทีละอัน ทีละตัว นี่พูดถึงสินค้านะ เพราะฉะนั้น พวกท่าน พระเจ้าผลิต สร้างทีละ … ปั้นทีละคน ทีละคนๆ เป็นแบบที่เราเรียกว่าเป็นแบบไม่มีใครเหมือนเลย และไม่เหมือนใคร

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? พระเจ้าสร้างแบบไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

ถ้าเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล ตอนเริ่มต้น ที่พระเจ้าสร้างบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ เราจะเห็นได้เลยว่าวิธีการที่พระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ กับวิธีการที่พระเจ้าสร้างหรือปั้นมนุษย์นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร? เรามาดูนะครับ

มาดูเหตุการณ์ที่เกิดในช่วง 5 วันแรก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 1

วันที่ 1 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง”

วันที่ 2 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้า ในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”

วันที่ 3 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดิน”

วันที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงดาวต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า”

วันที่ 5 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ  และนกนานาชนิด บินไปบินมาในท้องฟ้า”

แต่พอมาถึงวันที่ 6 ตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น  ปั้นมนุษย์นั้น  มาดูว่าพระองค์ทรงทำอย่างไร?

พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”

ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ แตกต่างเลยนะครับ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับว่าตอนสร้างอย่างอื่น พระเจ้าเพียงแค่สั่ง ตรัสก็คือสั่ง … สั่งให้มันเกิด มันก็เกิด ตรัสก็คือคำสั่งนะครับ

สมัยก่อน คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? สั่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพาเราไปใกล้เคียงตรงนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่องจักรต่างๆ แค่พูดมันก็ยังทำตามเลย

ขึ้นไปในรถ บอก “โทรกลับบ้าน”

มันก็โทรกลับบ้านเลย ใช่ไหม?

“เปิด” มันเปิดเลย

“ปิด” มันปิด

พระเจ้าทำมาตั้งก่อนโน้น ท่านลองคิดดู ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว พระเจ้าสั่งตรัส สั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นสิ่งของ ให้เกิด  สิ่งนั้นก็เกิด ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พอมาถึงมนุษย์ทรงบอกว่าเกิดมนุษย์ อย่างนี้เหรอ ไม่ใช่ บอกว่าอย่างไร?  เกิด ก็ไม่ใช่

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ … สมมตินะ สมมติ นี่ผมใส่ความรู้สึกลงไป ตอนที่สร้างดวงอาทิตย์ บอก

“ดวงอาทิตย์เกิด” ดวงสว่างเกิด

พอสร้างมนุษย์นะ “ให้เรามาสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบอย่างเราดีไหม? เรามีลูกดีกว่าเนอะ”

เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเศรษฐี อยู่ในครอบครัว คุยกับคนในบ้าน

ผมก็บอกว่า “ซื้อตู้เย็นมาสิ อยากได้ตู้เย็น”  เขาก็วิ่งไปซื้อตู้เย็น

“อยากได้สุนัขสวยๆ สักคู่หนึ่ง”  เขาก็ไปซื้อมา

เสร็จแล้ว ผมก็หันมาบอกภรรยา “เราอยากจะมีลูกนะ”

ใช่ไหม? ความรู้สึกมันต่างกัน  เหมือนกันเลยเนี้ย พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ พระเจ้าก็ใช่วิธีนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า.-

“ให้เรามาสร้างมนุษย์ ให้เป็นเหมือนเรานะ”

ก็คือมาสร้างลูกเรา ให้เรามีลูก อย่างอื่นพระองค์ทรงสั่งให้มันเกิด แต่พอมาถึงมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้น โยบ 10:8 จึงบันทึกอย่างนี้นะครับ ในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทำ” หรือ “ปั้น”

โยบ 10:8 “พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้าง และทรงปั้นข้าพระองค์มา

 

ท่านเริ่มเห็นภาพว่าเราแตกต่างกับสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดอย่างไร?

อิสยาห์ 43:21 “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา”

 

ใช้คำว่า “ปั้น” ในหนังสือสดุดี ได้บรรยายให้เห็นภาพถึงฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ในการบรรจงสร้าง มีลูก คือมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ให้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีที่ทรงตั้งใจที่จะปั้นขึ้น สร้างขึ้นมา และทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ผลงานแต่ละชิ้นของพระองค์ออกมาเป็นใคร? ทีละอัน พาท่านไปดูนะครับ ซึ่งตะกี้นี้ ก่อนจะอ่านสดุดีบทนี้ ให้ท่านพูดอีกที แต่ละอันๆ นั้นมันทำไม? มันไม่เหมือนใคร? และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

นี่คือตัวอย่างนิดหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ตั้งเป็นหลายพันปีว่าพระเจ้าสร้างอย่างไร? ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าสร้างทีละคนอย่างไร? นิดเดียวนะ แต่ความหมายลึกซึ้งมาก อยู่ในสดุดี 139:13-16 อ่านด้วยความลึกซึ้ง เห็นภาพนะครับว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เหมือนเรามีลูก  เรารักลูกขนาดไหน? พระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ที่รักเรามาก แต่ละคนๆ ซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

สดุดี 139:13-16 “13 เพราะพระองค์ทรงสร้างส่วนลึกล้ำ ภายในตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา 14 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี 15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”

 

เหมือนไหม? เหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่เราจะมีครอบครัว อยากจะมีลูก มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เราเตรียมทุกอย่าง  ทุกคนไปซื้อมาก่อนแล้ว ซื้ออะไร? ซื้ออุปกรณ์ แล้วในที่สุด ก็ต้องไปเปลี่ยน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย ดันเป็นผู้หญิง แต่รักหมดแหละ เห็นไหม?  เราก็เตรียมอย่างนี้แหละ นี่คืออะไร? นี่คือหัวใจของพระเจ้าที่สร้างเรามา พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา ถักทอ

คุณเข้าใจคำว่า “ถักทอ” ไหม? ถักทอ แปลว่าทีละนิดๆ  ถักทอคำนี้เขาใช้กับคำว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกอะไร? ถักโครเชต์ ภาษาไทย ก็คือถักโครเชต์ เสื้อถัก เสื้อไหมพรมถัก มีใครไหมถักเร็วมากๆ แป๊บเดียวเสร็จ ถักแปลว่านาน ประณีต ทีละนิดๆ ถักไปเรื่อยๆ ตัวหนึ่งอาจจะใช้เวลา ตั้งเป็นปี เป็นเดือน ถักไปเรื่อยๆ นี่แหละ พระเจ้าสร้างเรา

พระคัมภีร์ต้องการให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าประณีตในการสร้างเราขนาดไหน?  พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนะ ที่ว่าสวยงามแล้วนะ ยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะว่าพระองค์ให้ความสำคัญของท่านมากกว่านั้นตั้งเยอะ พระองค์ไม่ได้ถักทอดวงอาทิตย์ทีละนิดๆ  พระองค์สั่งให้มันเกิด มันก็เกิดนะ แต่ท่านคนเดียว พระองค์ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร? ผมไม่รู้

“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ น่าครั่นคร้าม”

สร้างท่านอย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม แบบมันเหลือเชื่อ พูดง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ

“เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก”

แอบไปทำอะไรบางอย่าง งานฝีมือ แบบไม่มีใครรู้เลย  ทำอะไร? สร้างท่าน แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนพระองค์เข้าไปในห้องส่วนตัว เข้าไปในห้องส่วนตัว ห้องแล็ปส่วนตัวเลย สร้าง ถักตรงนั้น ถักตรงนี้ เสื้อตัวนี้เสร็จเมื่อไร ไม่รู้ แต่ถักเป็นพิเศษ เสร็จออกมา ชื่อ “นคร” ตัวต่อมา ชื่อใคร? ชื่อท่านนั่นแหละ ท่านอาจจะถูกถักก่อน ผมว่าท่านอาจจะแก่กว่าผมแล้ว ท่านอาจจะถูกถักๆ ทีละตัวๆ ที่ไหน? ที่ส่วนล้ำลึก ก็คือที่ห้องส่วนตัวของพระเจ้า ผมอยากจะบอกท่าน พยายามให้ท่านได้รู้เรื่อง พาท่าน อธิบายภาษาง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นว่ามันแปลว่าตรงนี้ ส่วนลึกๆ มันหมายถึงห้อง ภาษาราชาศัพท์เขาเรียกอะไรนะ ห้องรโหฐานของพระองค์  ห้องล้ำลึกของพระองค์เงียบๆ ตรงนั้นแหละ ห้องส่วนตัว

“ไม่มีใครรู้ ลูกของฉัน น่ารักจัง ลูกเป็นอย่างไรหนอ”

เหมือนแม่ที่ดูลูกในท้อง แล้วก็คลำอยู่ตลอดเวลา เงียบๆ อยู่คนเดียว หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ 9 เดือน คล้ายๆ อย่างนั้น

ยกมาให้ท่านดูทีละนิด เพื่อจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความรัก และการมีคุณค่าในตัวของท่าน ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้

“พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าเป็นอะไร? พระเนตรของพระองค์ ก็คือพูดง่ายๆ ตาพระองค์เห็นเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด เหมือนไหม? เหมือนลูกเราไหม? เรานึกภาพ ลูกเราคงเป็นอย่างนี้ๆ  พระเจ้าเห็นภาพก่อนแล้ว เหมือนศิลปินที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องเห็นภาพ ในมโนภาพของเขา และเขาต้องเห็น เขาจึงจะจินตนาการตามภาพที่เขาเห็น เขียนอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตรงนี้ต้องสวยอย่างนั้น เหมือนเวลาผมแต่งเพลง ผมต้องคิดก่อนว่าเพลงนี้มันจะต้องเพราะอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ มันต้องเห็นอย่างนั้นก่อน ถึงจะทำทีหลัง ไม่ใช่ทำไปเห็นไป ไม่ใช่ มันต้องมีใจลึกๆ รักในสิ่งนั้น แล้วรู้ว่ามันคืออะไร? แล้วก็ทำให้มันเป็นไปตามภาพในจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าก็ทำกับเราอย่างนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเลย  และไม่ซ้ำแบบ

ถักนครเสร็จ ไปถักอีกคนหนึ่ง ถักเหมือนกันเลย อย่างนี้ไม่เรียก Masterpiece อย่างนี้ไม่เรียกว่าผลงานชิ้นเอก อย่างนี้เรียกว่าของโหล ปั้มเอานี้หว่า ของปลอม ตำรวจจับ อย่างนี้ของปลอม ถ้าของจริงไม่ใช่ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน มันถึงมีราคาไง

ตอนที่อ่านเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” ใช่ไหมครับ? หรือภาษาอังกฤษบอกว่า “Masterpiece” อาจไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไร? แต่พอได้มาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้ คราวนี้ ทำไมท่านรู้แล้วว่าคำว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ท่านพองตัวใหญ่เลยนะ รู้สึกหรือยังว่ามีค่า หรือว่ายังรู้สึกว่าไม่มีค่าเหมือนเดิม พูดมาตั้งนานแล้ว พูดให้ชื่นใจหน่อย มีค่าขึ้นไหม? เห็นแต่ละคนอกใหญ่ขึ้น ตะกี้ฟังไปตอนแรกๆ ทำไมเหี่ยวอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิม

พูดพร้อมกันสิ “ฮึกเหิม”

รู้ว่าเรามีค่าอย่างไร? ใช่ไหม?

ปฐมกาลเมื่อตะกี้บอกว่าพระเจ้าสร้างอย่างอื่น ใช้คำว่า “ตรัส” “จงเกิด” ทุกอย่างก็เกิดขึ้น แต่พอสร้างมนุษย์ พระเจ้าบอกว่า “ปั้นและถักทอเขาขึ้นมา” พอเห็นภาพงานศิลปะไหม? อย่างที่ผมบอก อย่างนี้เรียกว่าศิลปะใช่ไหม?  แล้วก็ไม่ใช่งานฝีมือหรืองานศิลปะแบบทั่วๆ ไป  แต่เป็นงานศิลปะเป็นแบบ Masterpiece คือเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างที่ผมบอกแล้ว ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

ทุกท่านคงรู้จักภาพนี้นะครับ ผมเอามาให้ท่านดู ภาพนี้คือภาพ … ภาพใครครับ? คุณน้าโมนาลิซ่า เขาเอาไปใช้ชื่อเยอะเลย คุณน้าบ้าง คุณป้าบ้าง แต่จริงๆ ภาพนี้คือภาพโมนาลิซ่า ดังมาก ใครเป็นคนวาดภาพ? ลีโอนาร์โด ดาวินชี แล้วท่านคิดว่าภาพโมนาลิซ่าที่เป็นต้นฉบับ  ที่วาดโดยดาวินชี จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ต้นฉบับนะ  Masterpiece  ของก๊อปไม่เอานะ เอาแต่ของแท้มีอันเดียว  ดาวินชีไม่ได้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ทำเยอะนะ ทำอันเดียว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? ไม่ทำซ้ำ นึกออกใช่ไหมว่ามีมูลค่าเท่าไร? มันมีค่ามหาศาล จนกระทั่ง ประเมินคุณค่าไม่ได้เลย  นี่ขนาดฝีมือมนุษย์นะ

ข้อมูลของภาพนี้ ก็คือโมนาลิซ่า วาดโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ภาพหนึ่งที่รู้จักในฐานะของภาพของสุภาพสตรี ที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะหรือยิ้มแบบร้องไห้กันแน่ ปัจจุบัน ต้นฉบับของภาพนี้อยู่ในความครอบครองดูแลของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หามูลค่าไม่ได้เลย มากมายมาก ภาพนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?

ท่านลองคิดดูนะครับ ขนาดศิลปินดัง ไมเคิล แองเจโล,  ดาวินชี ซึ่งแต่ละคนจะมีผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของตนเองนะครับ   และผลงานชิ้นเอกของศิลปินเหล่านี้  ต้องเรียกว่ามีมูลค่ามหาศาลมากมาย ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์หมดเลยนะครับ  แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของศิลปิน ผู้มีนามว่าพระเยโฮวาห์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้นี้ … เฉยๆ เลย  ไม่ปรบมือเลย ไม่ภูมิใจเลยเหรอ หรือภูมิใจจนกระทั่งตะลึง คิดอะไรไม่ออก

 

“ไม่นึกเลยว่าฉันจะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า ฉันมีค่ามากกว่ารูปบนผนังเพดานของเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ไมเคิล  แองเจโลวาด ฉันมีค่ามากกว่านั้นเหรอ”

ใช่ บอกว่าใช่เลย เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น เมื่อท่านดูความงามของธรรมชาติ ใครเคยดูความงามของธรรมชาติบ้าง ทุกคนได้ดูหมดแหละ ดูมากดูน้อย แล้วแต่คนที่ไปเที่ยว หรือไม่เที่ยวเลย  ก็เห็น … เห็นความงามเยอะแยะมากมายไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า สวยงาม ใครเป็นคนสร้างเหล่านั้น  แล้วท่านมีค่ามากกว่านั้นอีก

วันก่อนนี้ ผมได้ไปเล่นน้ำในทะเล โอโห้! แค่เห็นทะเล แล้วอากาศมันดี ทะเล คลื่นเล็กๆ ว่ายน้ำในทะเล ตอนเช้า สรรเสริญพระเจ้า ทำไมมันงดงาม ทะเลที่พระเจ้าสร้าง เมฆต่างๆ ประมาณสัก 9 โมงเช้า ทันทีทันนั้น ฝนไม่ตก แต่เหมือนกับฝนตก แต่มันไม่ตก ทันทีทันใดนั้น มันก็มีรุ้งน้ำ ครอบทะเล มองออกไปนอกฝั่ง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  สวยไหม?  สวยหรือไม่สวย?  ท่านไม่เห็น ท่านรู้ได้อย่างไร?  ท่านรู้ ท่านเคยเห็นบ้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ มันสวยมาก  นั่นคือหนึ่งในจำนวนที่เคยเห็นในชีวิต อย่างอื่นๆ อีกมากมายในธรรมชาติ ที่สวยงาม และพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ใครสร้าง? พระเจ้าสร้าง และสร้างเราสวยกว่านั้นอีกตั้งกี่เท่าก็ไม่รู้ เห็นภาพตัวเราเองอยู่กลางรุ้งเลย สร้างเหล่านั้น เพื่อให้สนับสนุนเรา

เราย้อนกลับมาที่ภาพโมนาลิซ่าอีกครั้ง เห็นไหม? สมมติพระเจ้าสร้างท่าน … ท่านเป็นโมนาลิซ่า ภาพนี้  รุ้งกินน้ำ หรือดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกว่าสวยงาม เหมือนต้นไม้รางๆ ข้างหลังภาพ ท่านพอมองเห็นไหม? ทางขวามือสุดๆ เงาๆ ลึกๆ นั้น มันต่างกันกับความงามของโมนาลิซ่าไหม? ท่านพอเข้าใจไหม?  ที่ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างคุณค่าของท่านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดว่ามันยิ่งใหญ่แล้วนะ ท่านใหญ่กว่านั้น ท่านสำคัญกว่านั้น ท่านมหัศจรรย์กว่านั้นตั้งเท่าไร?

แล้วท่านคิดว่าตัวท่านเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ท่านมีค่าขนาดไหน? ควรจะเก็บท่านเข้าพิพิธภัณฑ์ไหม? ท่านมีค่ามากไหม? ไม่ต้องแต่งงานแล้ว เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลยดีไหม? พูดเล่น อันนี้พูดเล่น ตะกี้นี้บอกของมีค่ามากจนขายไม่ได้  ต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมีค่ามากกว่านั้นเท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถ้าท่านรู้อย่างนี้ แล้วแต่ละคนทำไม? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

พูดอีกครั้งหนึ่ง  “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”

แต่ที่น่าเสียใจ ก็คือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไร้ค่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาไงว่าเขา คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ที่พระเจ้าสร้างและใส่ไว้ในชีวิตของคนๆ นั้น เอเมน รู้หรือยังตอนนี้ รู้แล้ว

ถ้าคริสเตียนไม่รู้ พอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ก็คือไม่รู้ตัวว่าเรามีค่าขนาดไหน? เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า หลายคนก็เลยทำไหม?  ก็เลยเป็นคริสเตียนแล้ว มีคุณค่าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว หลายคนก็เลยพยายามที่จะหาหนทาง ทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวเอง  เคยไหม? เราเคยทำไหม? หรือเราเคยเห็นใครทำไหม? ทุกคนมีส่วนอยู่ในการกระทำอย่างนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

หลายคนก็พยายามหาหนทาง สร้างค่าให้ตัวเอง ทั้งๆ ตัวเองมีค่าอยู่แล้ว คือคิดเองตามระบบโลกว่าต้องทำแบบนี้นะ ถึงจะเรียกว่าคนที่มีคุณค่า คืออะไร? คือต้อง … ภาษาไทยเขาเรียกว่าเสแสร้ง คุ้นๆ คำนี้ไหม? มาแล้ว ชักแรงแล้วนะ หลอกชาวบ้านเขา หลอก เสแสร้ง หลอกตัวเองด้วย หลอกชาวบ้านเขาด้วย มันไม่ใช่หลอกแบบหลอกลวง ไปขโมยเขา ไม่ใช่ ไม่ได้ความหมายนั้น นี่หมายถึงเสแสร้งให้คนยอมรับเรา ให้เรามีคุณค่าขึ้นมา

ไม่มีกำลังจะซื้อของแบรด์เนม รู้จักของแบรด์เนมใช่ไหม? ของแบรด์เนม ภาษาไทยเขาเรียกว่าของมียี่ห้อ พวกเศรษฐีเขาใช้กัน แต่เราเป็น “เศษ” ไม่มี “ฐี” แต่เราอยากจะใช้แบรด์เนม จะได้เข้าสังคมเขาได้ ก็ไปซื้อแบรด์เนมที่เป็นของปลอมมาใส่ อุตส่าห์ไปซื้อของปลอมมาใส่ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราก็ใช้แบรด์เนมเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าการที้ใช้แบรด์เนม จะทำให้เราดูมีค่าขึ้นมา ดูสวยขึ้นมา ดูดี มีฐานะ

พูดถึงฐานะยิ่งชัดเจน บางคนขับรถ ใช้รถ ไม่ได้ว่าใครนะ บางคนใช้รถราคารถมันเกินกว่าทรัพย์สินอยู่ อุตส่าห์ไปผ่อนมา เกินกำลังมาก รถถูกกว่านี้ก็มี แต่เราจะใช้หรูๆ เพราะจะได้มีระดับ

นี่คือไม่รู้ตัวตน ทุกคนเป็นหมดล่ะ เป็นมากหรือน้อย นี่ยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมกลับบ้านไม่ได้ แต่ละคนตาเริ่มเขียว ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้ว ผมเลยไม่อยากยกเยอะ

บางคนชัดเลย อันนี้โดนหลายคนเลย โทรศัพท์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรเลย เปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนรุ่นใหม่ เพราะอะไร? เพราะเพื่อนๆ ที่ห้องเรียนเขาใช้กันอย่างนี้ทั้งหมด เห็นไหม? นี่คืออะไร? ก็ไม่รู้คุณค่าของตัวเขาเอง  แล้วคนที่พูด คือใคร? ไม่รู้ ในห้องเรียนเขาพูดกันอย่างนี้  ว่าอย่างนี้มันเชยแล้ว ปรากฏว่าในห้องเรียนนั้น ไม่มีใครเป็นคริสเตียนสักคน มีตัวเขาเองเป็นคริสเตียน เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองมีค่าที่สุดกว่านักเรียนที่เหลือ ที่พูดทั้งหมดเลย เขาควรจะบอกนักเรียนที่เหลือบอกว่า

“ฉันมีค่ามากเลย พวกเธอควรมีพระเยซูนะ ฉันมีพระเยซูแล้ว ฉันมีค่ามาก เพราะฉันเป็นผลงานชิ้นเอกในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่แล้วนะเนี้ย สวยงามขนาดไหนนะ”

แทนที่จะพูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ตัวเอง เขากลับไปพูดว่าเขาอยากจะอยู่กับเพื่อนๆ … เพื่อนๆ บอกในสังคมนี้เขาต้องใช้โทรศัพท์ 5 พลัส 6, 7 พลัส เราก็พลัสกับเขาบ้าง? พลัสไปพลัสมา เสียเงินเปล่าๆ ใช้อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ใช้นิดๆ หน่อยๆ แต่ดันไปซื้อแพง ไม่ได้ว่าใครนะ

เห็นไหม? เพราะเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือตัววัดคุณค่าของเราเอง ทำให้เราเองมีคุณค่าขึ้นมา เขาเรียกว่าเสแสร้ง มันเป็นทุกคนแหละ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง มันเป็นทุกคน มนุษย์เราทุกวันนี้ มันมองเห็นสิ่งต่างๆ  เหล่านี้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราถูกหลอกไง?

เพราะฉะนั้น การมาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเจ้า … พระเจ้ามองเราอย่างไร? พระเจ้าสร้างเราอย่างไร?  มันทำให้เรารู้คุณค่าของเราเอง และเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครเลย เราจะทำไม? เราจะภูมิใจ เราไม่ต้องสร้างมูลค่าของเราเองขึ้นมา เพราะพระเจ้าให้เรา และมูลค่าเราเป็นเพชร เป็นพลอย เอเมน ใช่ไหม?

ท่านรู้ไหม พระเจ้าพูดอย่างไร? เมื่อมองเห็นท่าน พระเจ้าบอก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก ภูมิใจมาก ตรงนั้นก็สวย ตรงนี่ก็สวย เหมือนผมแต่งเพลงมา ผมก็โอโห้! เพราะมาก ใครจะว่าอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมแต่งเอง ผมก็บอกว่าเพราะมาก เพราะจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าบ้าตัวเอง หลงตัวเอง แล้วจะให้ไปบ้าคนอื่นทำไมล่ะ  เพราะเราสร้างของเราขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่รู้ใครจะดีหรือไม่ดี ไม่รู้ แต่เพลงที่เราแต่ง ที่เราร้อง มันเพราะที่สุดของเราแล้ว เอเมน  เพราะอะไร?  เพราะเราไม่ได้ลอกใคร มันเป็นของเราเอง เป็นของแท้

“ใครจะร้องดีกว่านี้ เป็นนักร้องยอดเยี่ยม นิยมจากเวทีไหนไม่รู้ ร้องยังไง ก็เพราะสู้ฉันไม่ได้หรอก”

 

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันเป็นคนสร้างเพลงนี้เอง เอเมน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สร้างท่าน เป็นผลงานของพระองค์เอง ไม่มีใครดีกว่าท่านอีกแล้ว เข้าใจไหม? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันว่าคนนี้สวยกว่าๆ

“สวยสู้ฉันไม่ได้ แล้วกัน  (แบบเฉพาะของฉันนะ) ที่พระเจ้าสร้าง”

เข้าใจไหม?  สังคมบอกอย่างนี้สวยกว่า ไม่ใช่ ไม่ต้องไปฟังสังคม ฟังพระเจ้าพูด พระเจ้าบอก

“อย่างเธอต้องแต่งอย่างนี้  ตัวไม่ต้องสูงมาก”

อะไรอย่างนี้  ถูกไหม? เราก็ไม่ต้องไปตัดขา พยายามต่อขาให้ยาว ให้จมูกเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำจมูกมากกว่านี้  ก็แค่นั้นแหละ พระเจ้าบอกสวยมาก สังคมเขาจะว่าอย่างไร? เรื่องของเขา  แต่พระเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน  “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

พูดตามผมนะครับ “พระองค์ภาคภูมิใจในนคร …. (ใส่ชื่อท่าน) อย่างมาก พระองค์ภาคภูมิใจในผลงานชิ้นเอกคุณนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผลงานชิ้นเอก พระองค์ภาคภูมิใจในนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มากเลย  ทำไมลูกคนนี้หล่อ (สวย) อย่างนี้”

ใส่ชื่อท่าน หัวเราะทำไมล่ะ  จะให้ผมพูดอย่างไร?  พูดสิ สวยๆ หล่อ ไม่กล้าพูดอีก ท่านยังไม่มั่นใจตัวเองเลย พระเจ้ามั่นใจกว่าท่านมาก พูด ไม่มั่นใจอีก แสดงว่าท่านถูกสังคมหลอกนานแล้วสิ หลอกมา 60, 70 ปีเลยใช่ไหมว่า “ไม่หล่อๆ” เลยไม่กล้าพูด “ไม่สวยๆ” ไม่กล้าพูด วันนี้เปลี่ยนใหม่ ความจริงมาทำให้เป็นไทแล้ว The truth shall make you free. ก็คือความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านนะสวย, หล่อที่สุดแล้ว  บอกสิ  ไม่กล้าพูดอีก

“สวย, หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นแบบเฉพาะของฉัน” ใช่ไหม?

เพราะถ้าเราสามารถเชื่อและมั่นใจว่าเราเป็นใครในพระเจ้า เชื่อว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่าเมื่อตะกี้นี้ เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ไม่พยายามที่จะเสแสร้งหลอกคนอื่น เราก็จะเป็นตัวของเราเองมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้ และคุยกันบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือเรียกว่าผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดดังๆ เลย “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เพราะฉะนั้น เราควรจะมีความเชื่อ และมั่นใจในลักษณะเดียวกันกับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า?  ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถามจริง? จริง มั่นใจไหม? ถามอีกที ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? มั่นใจขนาดไหน? คิดในใจว่าที่ท่านพูดว่าจริงเมื่อตะกี้นี้ว่า

“ฉันเป็นคนไทย”

ท่านมั่นใจขนาดไหน?  ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อกว่าท่านอีกแล้ว ท่านมั่นใจไหม? มั่นใจ … มั่นใจกว่าตะกี้นี้ไหม? เท่าที่ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนไทยไหม?  เท่ากันไหม? คิดเองก็แล้วกัน กลับไปบ้าน ไปพูดหน้ากระจกว่าท่านมั่นใจไหม? ถ้าท่านมั่นใจพูดไปเลย  ต่อหน้าคนมหาศาล ท่านสามารถพูดได้ไหมว่าท่านเป็นไทย?

สมมติว่าให้ท่านขึ้นไปบนธรรมาส หรือบนเวที ท่านสามารถพูดได้ไหมว่า.-

“ผมเป็นคนไทย” หรือ “ฉันเป็นคนไทย”

สามารถไหม? สามารถ ท่านขึ้นไปเวทีเดียวกัน บอก.-

“ฉันเป็นคนสวยที่สุด” กล้าไหม?

เห็นไหม? ไม่กล้า ทำไมล่ะ  อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ เราพูดให้ฟัง อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริงของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ไม่ได้ว่าใคร? ผมก็เป็น แต่เรามาเรียนรู้ที่เราจะฝึกฝน ที่เราจะเป็นน้อยหน่อยไง เข้าใจใช่ไหม?  ไม่ใช่ว่าพอพูดเสร็จ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องโกรกผม … ผมก็จะไปโกรกเหมือนเดิม ทำไมหล่อ แล้วไปโกรกทำไม? วันนี้ คือวันที่พระเจ้าจัดไว้ว่าโกรก ก็ทำไปสิ แต่มั่นใจในตัวเอง  มันไม่ได้สวยขึ้นหรอก พระเจ้าทำให้สวยอยู่แล้ว โกรก แล้วเราดูดีขึ้น เราเองนะดูดีขึ้น ใจเราสบายใจขึ้น ถึงไม่โกรกมันก็ดีอยู่แล้ว แต่โกรก เราสบายใจขึ้น ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิมเรา เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนั่น นครก็ยังเป็นนครเหมือนเดิม จะนครผมขาวหรือนครผมดำ มันก็นครคนเดิม ที่พระเจ้าสร้างเป็น Masterpiece เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และ … ที่สุดเลย  ท่านก็ไปเติมของท่านแล้วกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?  ผมจะบอกว่าเราอยู่ในกระทะเดียวกัน ไม่ได้พูดเพื่อจะไปบอกใครว่าใครแย่กว่ากัน หรือเราแย่กว่าใคร เราไม่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เราเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าสร้างทุกคน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน จึงไม่มาเปรียบเทียบกันไง เปรียบเทียบกันไม่มีประโยชน์ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร? ใครสวยกว่ากัน? ภาพโมนาลิซ่ากับภาพของไมเคิล แองเจโล เปรียบไม่ได้  เพลงไหนเพราะกว่ากัน ต่างคนต่างเป็นของแท้ เพลงนี้กับเพลงนี้ เทียบกันไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน

เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจ ให้เรารู้ว่าเรานั้นมีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ให้เรามั่นใจเหมือนที่เราพูดกับผู้คนทั้งหลาย 100% ว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาเราจะเหมือนคนต่างด้าว แต่เราก็ยังเป็นคนไทย จะมาชี้อะไรต่างๆ เราก็อาจจะเกรี้ยวกราดกับตำรวจ

“ฉันเป็นคนไทย ไม่รู้หรือไง”

“ทำไมหน้าตาเหมือน …”

“เหมือนอย่างไร ฉันก็ยังเป็นคนไทย”

มั่นใจไหม?  เหมือนกัน

“ฉันเป็นการฝีมือของพระเจ้า สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก”

เอเมน … เข้าใจใช่ไหม?

อย่างบางคนที่เกิดมามีส่วน หรือลักษณะในร่างกายที่เสียหายไป จงมั่นใจว่าพระเจ้าสร้างท่านมาอย่างนั้น ท่านก็เป็นชิ้นพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามาก และถ้าเรารู้อย่างนี้ ท่านคิดดู ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะเห็นคุณค่า

“พระเจ้าสร้างเรา เพราะมีความต้องการอะไรบางอย่างในชีวิตของฉัน สร้างฉันเพื่ออะไร? เพื่อจะใช้ฉันในอนาคต ถ้าฉันไม่ตาบอด ฉันก็อาจจะแต่งเพลงนี้ไม่ได้หรอก”

เข้าใจใช่ไหม?

“ถ้าฉันไม่เป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็จะไม่สามารถใช้ฉันให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นได้”

มันต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราเป็นอะไรบางอย่าง เพื่อพระเจ้าจะใช้เราไง เอเมน … เอเมนไหม?

ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะ พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนที่ท่านบอกว่าท่านเป็นคนไทย? เข้าใจใช่ไหม? เข้าใจความรู้สึก สภาพที่ว่าถ้าใครมาบอกท่านเหมือนคนต่างด้าว ท่านจะบอกเขาว่า

“ฉันเป็นไทย”

ท่านมั่นใจมาก ให้ท่านพูดอย่างนั้นนะ พูดตามนะครับ ใส่ชื่อท่านเอง เวลาผมใส่ชื่อผม

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า”

นี่คนไทยหรือเปล่าเนี้ย ทำไมตอบแค่นี้เอง  พูดแค่นี้เองเหรอ เขาบอกว่าท่านเป็นต่างด้าว ไม่ให้ท่านเข้าเมือง ไม่ให้เข้าประเทศนี้แล้วนะ ท่านจะตอบเขาอย่างนี้  ไม่ให้ท่านเข้าแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ ท่านเข้าใจไหม? ให้ท่านพูดด้วยความมั่นใจว่าตอนนี้ มีความรู้สึกว่าท่านกำลังไปเมืองนอกกลับมา  เขาไม่ให้ท่านเข้าเมือง เขาบอกว่าท่านเป็นคนต่างด้าว ท่านบอกเขาว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นคนไทย”

พูดนะ พูดชื่อท่านนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หล่อ (สวย) ที่สุดแล้ว หล่อ (สวย) กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) แก้วตา ดวงใจของพระเจ้า”

คืออยากให้ท่านมีความมั่นใจ เอาอย่างนี้ไปพูดหน้ากระจกบ่อยๆ ได้ไหม? ได้ อย่าให้ใครฟังเหรอ ใครจะฟังช่างเลย มันเรื่องจริง ใช่ไหม? นะ เอาไปพูดบ่อยๆ หมั่นพูดอย่างนี้เสมอ  แล้วก็ติดตามตอนต่อไป  ตอนโน่นตอนนี้ต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นตัวตนในพระคริสต์อย่างไร? เอาไปพูด … พูดให้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่พูด เราจะกลัวโน่นกลัวนี่ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านเขา เพราะเรามีค่ามากที่สุดแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่าในชีวิตจริง เราอาจจะขับรถเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีรถขับเลย ต้องนั่งรถเมล์ เราก็มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจที่พระองค์รักที่สุดแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าท่านจะนั่งรถเมล์หรือขี่รถเบนซ์ พระเจ้าสร้างท่านพิเศษเฉพาะสำหรับท่าน เอเมน

วันนี้ให้เรามั่นใจตรงนี้นะครับว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีค่ามากมายมหาศาล พระเจ้าสร้างท่านด้วยความระมัดระวัง ด้วยความรักทะนุถนอม ด้วยความทุ่มชีวิตของพระองค์ลงไป เพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านคนเดียวเลยนะ ท่านอย่าคิดว่าท่านนิสัยตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี หน้าตาตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี พระเจ้าบอกดี โอเค ใช้ได้ ยอดเยี่ยมเลย ดีๆ เชื่อให้ได้อย่างนี้ เหมือนที่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย แล้วการดำเนินชีวิตทุกอย่างจากนี้ต่อไป ท่านจะเปลี่ยนไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะท่านรู้คุณค่าของตัวเองว่า.-

“พระเจ้าสร้างฉันอย่างไร? ฉันอยากจะสรรเสริญพระเจ้าที่สร้างฉันอย่างงดงามอย่างนี้ เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ