คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 3 “โลกนี้คือละคร” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 3 “โลกนี้คือละคร” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”  ในตอนนี้มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ตอน 2 จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า

ครั้งที่แล้วเราย้ำกันในเรื่องพื้นฐานของความเชื่อ ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า ก็คือรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองและควบคุมอยู่ในทุกสิ่งสารพัด และทรงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ควบคุมเป็นผู้กำกับ  คือโดยตัวมนุษย์เองแล้ว ไม่มีใครเก่งสักคนหนึ่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ ไม่เคยมีใครทำอัศจรรย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ดาวิดชนะโกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาชาวอิสราเอลอพยพ หรือแม้กระทั่งเรื่องของดาเนียลและพรรคพวกกินแค่ผักกับน้ำ ก็มีพลังกำลังดี สติปัญญาดีกว่านักปราชญ์คนอื่นๆ ถึง 10 เท่า

ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้การกำกับการแสดง การควบคุมของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสามารถสร้างวีรบุรุษขึ้นมาแต่ละคนๆ บนโลกนี้เสมอๆ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า เรียกกันว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เคยได้ยินใช่ไหม? ในชีวิตของเราเคยเจอหลายครั้ง ลองคิดให้ดีๆ เราเองก็เคยถูกพระเจ้าสร้างให้เป็นวีรบุรุษ

บางครั้งเราไปหาใครคนหนึ่ง เราไม่รู้เรื่องเลย เผอิญๆ วันนี้ เราจะเดินทางผ่านไปทางนั้นพอดี ก็เลยไปเยี่ยมคนๆ นี้ พอเข้าไปเยี่ยม เขาบอกว่า …

“พระเจ้า ผมกำลังอธิษฐาน คุณมาหาพอดี มีกำลังใจมากเลย”

เราบอกว่า “เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย  ไม่ได้ตั้งใจมาหาคุณด้วย เผอิญผ่านมา”

ไม่มีเผอิญ พระเจ้าควบคุมชีวิตอยู่ สร้างเราให้เราได้รับเกียรติ มีเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง มีเด็กตกน้ำ และชายคนหนึ่งโดดลงไป ช่วยเด็กขึ้นมา ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ นักข่าวไปสัมภาษณ์ชายคนนี้ใหญ่เลย นึกอย่างไรจึงโดดลงไป สามารถช่วยชีวิตเด็กได้ อย่างอัศจรรย์เลย ชายคนนี้บอกไม่รู้ใครผลักผมลงไป ผมไม่ได้ตั้งใจลงไปเลย อันนี้สมมติ ผู้ชายคนนี้เป็นฮีโร่ไปแล้ว หลายครั้งมันจะเป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าของเราอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

เราก็เลยมีคำเปรียบเทียบว่าโลกนี้ เปรียบเหมือนเวทีโรงละครโรงใหญ่ ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็นนักแสดง เป็นดารา ใครที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นดารา มันเป็นแล้ว ไม่รู้ตัวเอง เกิดมาก็เป็นแล้ว เข้ามาสู่เวทีโลกใบนี้แล้ว บางคนก็เป็นฮีโร่ พระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย บางคนก็ได้รับบทเด่น บางคนก็เป็นเพียงแค่ตัวสำรองเล็กๆ ไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญในเวทีโลกเลย แต่ทั้งหมดนี้ บทบาทการแสดงทุกคน ถูกกำกับโดยผู้กำกับละครที่มีชื่อว่าพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน เมื่อเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อตรงนี้ก่อน เหมือนที่เราเรียนรู้กันในพระคัมภีร์ฮีบรู บทที่ 11 ท่านมีความเชื่อ ท่านต้องเชื่อตรงนี้ก่อนว่าสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่เรามองเห็นนั้น เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น  สิ่งที่มองไม่เห็น คือพระเจ้า ก็เลยมีหลายคนอยากจะฟังเพลงนี้ สมัยก่อน เป็นเพลงที่ดังมาก ที่เกี่ยวกับโลกนี้ คือละคร เนื้อเพลงเป็นอย่างนี้

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน        เปรียบเหมือนละคร

                        ถึงบทเมื่อตอน เร้าใจ           บทบาทลีลาแตกต่างกันไป

                        ถึงสูงเพียงใด                        ต่างจบลงไปเหมือนกัน

                        โลกนี้คือละคร                      บทบาทบางตอน

                        ชีวิตยอกย้อน  ยับเยิน          ชีวิตบางคน  รุ่งเรืองจำเริญ

                        แสนเพลิน เหมือนเดินอยู่บนหนทางวิมาน

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูเศร้าใจ ชั่วชีวิตวัย

                        หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน

                        เปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ

                        ครั้นแล้วไม่นาน       ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ

ฟังแล้วมันเศร้านะ แต่พอเรารู้จักพระเยซู ไม่เศร้าเลย นี่ตอนจบบอกว่าเปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ ผมเห็นเลยเด็กๆ เพิ่งคลอดออกมา มีทั้งคนเอาของมาให้ จัดงาน โกนจุก เสร็จแล้วเด็กคนนี้ ในที่สุด ก็แก่หง่อม โรคภัยไข้เจ็บมา แล้วตาย ถ้าไม่รู้จักพระเยซู ก็ไม่รู้จะไปไหน แต่รู้จักพระเยซู สบายใจแล้ว มีความหวังแน่นอน นี่แค่เริ่มต้นชีวิตเรา บนโลกใบนี้ เราจะอยู่ 80 ปี 100 ปี เรากำลังมีชีวิตใหม่ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เห็นไหมว่ามีความหวัง แต่ถ้าไม่มีฟังแล้วมันเศร้ามากเลย พระคัมภีร์จะบอกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด เพียงแต่ไม่ใช้คำนี้ คือโลกคือละคร บอกเพียงแต่ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงกำกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่ในการดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น

เราบอกว่าโลกนี้ คือละคร ก็คือพระเจ้าเป็นผู้กำกับ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ดูแลโลกใบนี้อยู่ ความหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ตาม เราต้องยึดมั่นและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่าง ซึ่งถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุม หรือการกำกับของพระเจ้าได้ เหมือนนักแสดงเชื่อฟังผู้กำกับ ทำตามบท เราก็จะสามารถวางใจในพระเจ้าได้ทุกสถานการณ์ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์ลำบากมากนัก เต็มไปด้วยสันติสุข

และตัวอย่างนักแสดงที่ดีของละครเวทีใหญ่แห่งนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ในครั้งนี้ ก็คือดาเนียลเมื่อ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด นับจากนี้ย้อนกลับไป ก็คือ 2,600 ปี ดาเนียลก็เป็นนักแสดงที่ดี ที่ยอมแสดงในบทบาท ด้วยความอดทน บากบั่น ไม่มีการบ่นว่าผู้กำกับ เมื่อต้องแสดงบทที่ไม่ถูกใจ แสดงบทที่ลำบาก ทุกข์ยาก ไม่เคยย่อท้อ เวลาเจอบทยากๆ ก็ไม่บ่น ไม่ว่าใครทั้งสิ้น อดทน เชื่อมั่นในผู้กำกับของเขา

ดาเนียลกับเราเหมือนกันเลย อยู่บนโลกใบนี้ แบบโลกนี้ คือละคร รู้จักพระเจ้าเหมือนกัน แต่เราได้เปรียบกว่าเยอะมาก

ครั้งที่แล้ว เราทิ้งท้ายกันไว้ที่หลังจากที่ดาเนียลกับเพื่อน ได้รับการคัดเลือก และถูกส่งไปเรียนวิชาเวทมนต์คาถา และวิชาการต่างๆ ของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ๆ วันหนึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็เกิดฝันประหลาดขึ้นมา แล้วเรียกให้เหล่านักปราชญ์ โหราจารย์ คนที่ฉลาดที่สุดในประเทศ มารวมกัน เพื่อมาช่วยแก้ความฝัน และแทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง แล้วให้พวกโหรหรือว่านักปราชญ์ต่างๆ เหล่านั้น ทำนาย หรือบอก หรือแปลความฝันให้ ตามที่เคยทำมา ทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้ ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟังว่าตัวเองฝันว่าอะไร? แต่บอกว่าให้พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านี้ทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทำได้ ได้รางวัล ถ้าทำไม่ได้ เอาตัวไปประหารชีวิต

สรุปว่าพวกนักปราชญ์ โหราจารย์เหล่านั้น ที่ถูกตามมาเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทำนายฝัน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยกษัตริย์ตรงนี้ได้ แม้ว่ากษัตริย์บอกว่าทำไม่ได้ จะถูกฆ่า การข่มขู่ตรงนั้น ไม่ได้ช่วยให้เขาฉลาดขึ้น  ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน?

โหราจารย์และนักปราชญ์เหล่านั้น ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์ที่จะทำได้”

วิสัยมนุษย์ ก็คือต่อให้มนุษย์เก่งเท่าไร? ก็ทำไม่ได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้า ก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ เทพเจ้าของเขา หมายถึงเทพเจ้า รูปเคารพ ที่เต็มไปหมดของเขาเท่านั้น ที่สามารถทำตรงนี้ได้ และพระเจ้าไม่ได้อยู่กับมนุษย์ หมายถึงว่าพระเจ้าไม่ได้มาติดต่อกับมนุษย์ ไม่ได้มาคุยกับมนุษย์อย่างนี้ ความรู้สึกของเขากับพระเจ้าเยอะแยะเหล่านั้น ที่ไม่ใช่พระเจ้า พระเยโฮวาห์ของอิสราเอลในสมัยนั้น ก็คืออยู่ไกลเหลือเกิน ไกลกันมาก ติดต่อกับไม่ได้ ได้แต่ขอ … ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าของเขาไม่สามารถพูดได้ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ พูดไปก็ไม่ได้ยิน อะไรอย่างนี้

พอพวกโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็โกรธมาก ในที่สุด เรียกให้นำนักปราชญ์ ผู้เฉลียวฉลาดเหล่านั้นทั้งหมด ไปประหารชีวิตเสีย รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อน เพราะไปเป็นนักปราชญ์กับเขาด้วย เห็นไหมว่าพระเจ้าวางแผนอะไรบางอย่าง สร้างวีรบุรุษอีกแล้ว ยังหนุ่มๆ อยู่เลย ก็รวมไปกับนักปราชญ์ ตอนที่โดนสั่งประหารชีวิต ดาเนียลกับเพื่อนไม่ได้อยู่ในวังนะ เขาเรียกแต่นักปราชญ์เก่งๆ ไป ดาเนียลเป็นพวกที่ยังเด็กอยู่ ยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่ได้เข้าไปอยู่ในนั้น อยู่ข้างนอก  เรามาดูว่าเกิดอะไรต่อไป ดาเนียล 2:12-16

ดาเนียล 2:12-16 “12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน 15 ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา เพื่อจะทูลความหมายของความฝันให้ทรงทราบ”

 

ตอนที่ทหารมาจับดาเนียลไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ขอไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เพื่อขอเวลา เพราะเขาเพิ่งรู้ ให้เขาได้มีโอกาสที่จะได้ตอบความฝัน  ดาเนียลกล้าดีอย่างไรไปบอกว่า …

“ขอไปคุยกับกษัตริย์หน่อย ขอเวลาหน่อย ฉันจะเป็นคนทำเอง”

แสดงว่าดาเนียลมั่นใจในพระเจ้าของเขามาก นอกจากมั่นใจแล้ว คงไม่มีทางอื่น ไม่อย่างนั้น ก็ถูกตัดคอ เพราะฉะนั้น ใจดีสู้เสือ เข้าไปพูด ขอเวลานิดหนึ่ง ดาเนียล 2:17-18

ดาเนียล 2:17-18 “17 จากนั้น ดาเนียลกลับไปบ้าน และเล่าเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอลกับอาซาริยาห์ ผู้เป็นเพื่อนฟัง 18 แล้วเร่งเร้าให้พวกเขาอธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะทรงกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้ด้วย เพื่อดาเนียลกับเพื่อนๆ จะไม่ถูกประหาร ไปพร้อมกับปราชญ์คนอื่นๆ ในบาบิโลน”

 

ดาเนียลรู้ตัวว่าลำพังตัวเขาเอง ก็เหมือนนักปราชญ์คนอื่น ทำไม่ได้หรอก แต่เขารู้ว่ามีผู้ที่สามารถทำได้แน่นอน และผู้นั้น ก็คือผู้กำกับใหญ่ เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด ดาเนียลกลับไปเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง แล้วบอกให้ทุกคน ช่วยกันอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เห็นไหม? ขณะที่นักปราชญ์คนอื่นๆ โหราจารย์คนอื่นๆ เป็นอาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าพระเจ้าของเขานั้น เป็นใบ้ หูไม่ได้ยิน ไม่ได้ติดต่ออยู่ท่ามกลางมนุษย์ คือติดต่อกันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน พอมาถึงดาเนียล … ดาเนียลบอก …

“เดี๋ยวๆ ไปคุยกับพระเจ้าก่อน”

อธิษฐาน ก็คือไปติดต่อ ไปพูดคุยกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านั่นเอง ต่างกันอย่างไร? สังเกตตรงข้อ 18 ที่บอกว่า …

“ดาเนียลเร่งเร้าให้เพื่อนๆ อธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้”

เร่งรัด ก็คือมีเวลาน้อย ขณะเดียวกัน ตื่นเต้น วิตกและกังวล ก็เหมือนเราทั้งหลายนั่นแหละ เจอปัญหา ก็ต้องวิตกกังวลธรรมดา แต่ก็ยังเชื่อว่าพระเจ้ายังช่วยเราได้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ

คำว่า “เรื่องล้ำลึก” ตรงนี้ หมายถึงเรื่องที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถหยั่งรู้ได้  ด้วยปรัชญาแห่งเหตุผลของมนุษย์ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “ลอจิก” ไม่สามารถใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ สติปัญญาแบบเหตุและผล ไม่สามารถที่จะล่วงรู้สิ่งนี้ได้เลย ต่อให้เรียนวิชาความรู้สูงแค่ไหน? ต่อให้เก่งแค่ไหน? ฉลาด ปราดเปรี่ยงแค่ไหน?  ต่อให้มี IQ สูงแค่ไหน? ก็ไม่มีทางหยั่งรู้เรื่องล้ำลึกนี้ได้ มันแปลว่าอย่างนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องวิชาความรู้บนโลกใบนี้  ไม่ใช่เรื่องที่จะมาสอนกันแบบวิชาความรู้ที่สอนกันได้บนโลกใบนี้ ที่ใช้ตรรกะ ความคิดของมนุษย์ ที่จะทำได้ มันไม่สามารถฝึกฝนได้ แม้พระเจ้าจะประทานสติปัญญาให้ก็ตาม คนนั้นก็ทำไม่ได้

แต่ก่อนนั้น ดาเนียลกับเพื่อนทั้งสาม มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าทรงประทานให้เขามากกว่าคนอื่นๆ ตั้ง 10 เท่า แต่ทำเรื่องนี้ไม่ได้ สติปัญญาที่พระเจ้าให้ ก็ส่วนให้ แต่พอล้ำลึกอย่างนี้ มันเกินสติปัญญาแล้ว ทำไม่ได้ มีพระเจ้าผู้เดียวที่ทำได้

ดาเนียลก็เลยทูลขอ ให้พระเจ้าช่วยสำแดงเรื่องล้ำลึกนี้ ให้ที สำแดงนะครับ ไม่ใช่สอน ไม่ใช่ประทานให้ บอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร? เพราะมันใช้ความคิดไม่ได้แล้ว ต้องใช้พูดเอา บอกเอาเลยว่าเป็นอย่างไร?

แล้วพระเจ้าก็ทรงสำแดงให้กับดาเนียล ในดาเนียล 2:19-23

ดาเนียล 2:19-23 “19 คืนนั้น พระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ แก่ดาเนียลในนิมิต ดาเนียลจึงสรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 20 และกล่าวว่า “สรรเสริญพระนามของพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจเป็นของพระองค์ 21 พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลา และฤดูกาล ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ พระองค์ประทานสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด และประทานความรู้ แก่ผู้ที่ฉลาดหลักแหลม 22 พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้ง และซ่อนเร้นอยู่ ทรงทราบสิ่งที่แฝงอยู่ในความมืด   และความสว่างอยู่กับพระองค์ 23 ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ พระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์ ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบความฝันของกษัตริย์”

 

ท่านทราบไหมว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสำแดง มันเกี่ยวกับชีวิตพวกเราที่นั่งที่นี่ด้วย และเกี่ยวกับพวกเราที่ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ ไปถึงนิรันดร์เลย  ในคืนนั้น ที่ตกใจกลัวมากๆ ดาเนียลคงอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าสำแดงสิ่งนี้ คือเผยความจริง เปิดเผย หรือในภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปิดตาฝ่ายวิญญาณ” ไม่ต้องใช้ความคิดแล้ว เปิดปุ๊บ ก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไรเลย มันอ๋อเลย นี่แหละคือความล้ำลึก ไม่มีทางที่จะเข้าใจ

เวลาปกติ เราเรียนหนังสือ สมมติ 1+2+4 เราก็นั่งคิด  เป็นอย่างนี้ เป็นความล้ำลึกในโลก แต่ฝ่ายวิญญาณไม่ต้องมานั่งคิดอย่างนั้น ถ้าพระเจ้าเปิดปุ๊บ เห็นปั๊บ เปิดปุ๊บ ใช่ เปิดปุ๊บ อ๋อๆ ไม่ต้องมานั่งคิด คิดๆๆๆ แล้วอ๋อ มันจะอ๋อทันที นี่คือข้อสังเกต อะไรที่มาจากพระเจ้า ในเรื่องข้อล้ำลึกเหล่านี้ ในชีวิตของพวกเราทุกวันนี้ มันจะอ๋อ มันจะไม่มีเหตุมีผล มันรู้อยู่ข้างใน

เมื่อพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ให้กับดาเนียลและพรรคพวกอย่างนี้ได้ ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็สามารถให้กับพวกเราได้เช่นเดียวกัน ท่านก็สามารถขออย่างนี้กับพระเจ้า ถ้าท่านไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ขอพระเจ้าอย่างนี้  พระเจ้าก็จะเปิดเผยให้ท่าน อาจจะเป็นนิมิต อาจจะเป็นความรู้ขึ้นมาเฉยๆ ท่านก็จะรู้ว่ามันเป็นอะไร? ดาเนียลอาจจะเข้าไปหาพระเจ้าด้วยความตกใจกลัว ด้วยความวิตกกังวลว่ากษัตริย์ให้ทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ และทุกคนกำลังจะถูกฆ่าตาย และลึกๆ ในใจดาเนียลก็รู้และมั่นใจว่าเบื้องหลังของการตัดสินใจของกษัตริย์ที่ทำอย่างนี้  ซึ่งรู้ว่าไม่มีใครทำได้ ดาเนียลรู้ว่าก็มาจากพระเจ้าเป็นผู้ดลใจเนบูคัดเนสซาร์ทำอย่างนี้แน่ๆ เห็นหรือยัง? เวลาเราเชื่อในผู้กำกับ หรือเชื่อในโลกนี้ คือละคร และเชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เราจะรู้ทันทีว่าสิ่งที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรามองเห็น แต่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น คือนอกจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ยังมีใครบางท่านที่ใหญ่กว่า ที่อยู่ในโลก ที่เรามองไม่เห็น

พอบอกเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ท่านนึกถึงอะไร? เหมือนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า การสำแดงความรู้เรื่องล้ำลึก การสำแดงความรู้เรื่องพระเยซู มันเป็นความล้ำลึกทั้งสิ้น ไม่มีทางเลยที่มนุษย์คนใดจะเข้าใจและเชื่อได้ด้วยเหตุผลของตัวเอง   ด้วยความคิดโลจิกของตัวเอง  ด้วยการเรียนด็อกเตอร์เรื่องพระเยซู จะได้เชื่อพระเยซู ไม่มีทาง เพราะเป็นเรื่องที่เรียกว่าล้ำลึก

ก็คือในเรื่องฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครสามารถทำได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เชื่อยาก

เปาโลจึงบอกว่าต้องทูลขอการสำแดงจากพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เราถึงจะได้รู้เรื่องของพระเยซู เอเฟซัส 1:17 ใช้คำเดียวกันเลย

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น”

 

ให้พระองค์สำแดง ทุกวันนี้พระวิญญาณเป็นผู้สำแดง ความล้ำลึก ที่สติปัญญามนุษย์ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย แต่เราสามารถเข้าใจได้  โดยการสำแดงจากพระเจ้า ให้กับเรา พอสำแดงปุ๊บ เรารู้เลย ไม่ว่าจะเป็นตาสีตาสา ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ไม่ต้องเป็นด็อกเตอร์จบสูงๆ ไม่ต้องเฉลียวฉลาดบนโลกใบนี้  ก็สามารถรู้และเข้าใจได้ เพราะพระเจ้าทรงสำแดง เปิดตาให้เขาเห็น เอเมน

สิ่งที่มนุษย์สามารถหยั่งรู้ได้ ด้วยสติปัญญาของตัวเอง ก็คือใช้สติปัญญา ธรรมดา เราเรียกเขาว่าวิชาการ  เรียกว่าความรู้ อย่าง Google คือแหล่งแห่งวิชาการ ความรู้ แต่ท่านไปถาม Google ได้ไหมว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? จะตอบไม่ได้เลย

ใครที่พระเจ้าสร้างให้เป็นคนที่มีสติปัญญามาก มีสมอง เขาเรียกว่ามีมันสมองเยอะกว่าคนอื่นเขา ก็อาจจะเรียนรู้ได้เร็ว ได้เยอะกว่าคนอื่น เหมือนกับสตีฟ จ๊อบ เหมือนกับไอสไตน์

แต่สำหรับเรื่องล้ำลึก ที่เรากำลังเรียนรู้นี้ มันเกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจ ต้องอาศัยการสำแดงการเปิดเผย เปิดตาฝ่ายวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Reveal มันแปลว่าเปิดความจริงออกมาให้เห็น เปิดเลย ทันที เห็น รู้เลย

ดาเนียลขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม จนมาถึงเราทุกวันนี้ พระเจ้าสัญญาว่าใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ แสวงหาพระองค์ พระองค์จะเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับเขา ใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ จะรู้จักพระองค์ ใครที่แสวงหาพระองค์มากๆ พระองค์จะเปิดเผยสำแดงให้กับเขารู้มากๆ ใครที่ต้องการจากพระองค์ พระองค์จะให้เขาต้องการมากขึ้น บอกอย่างนี้เสมอ ขึ้นอยู่กับคนนั้นจะเข้าไปหาพระองค์ไหม? อธิษฐานกับพระองค์ อยากได้ไหม? อยากได้ไปบอกพระเจ้าเราอยากรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? เดี๋ยวก็รู้มากขึ้น เหมือนท่านมาโบสถ์ตอนนี้ ทุกวันอาทิตย์ คนอื่นเขาอาจจะไปเที่ยว มีธุระส่วนตัว ก็ว่ากันไป แต่ท่านยอมเสียเวลา มาทุกอาทิตย์ๆ

ถามว่าท่านมาเพื่ออะไร?  เรามาเพื่อแสวงหาพระเจ้า เราไม่ได้มาแสวงหาพระพร ตรงนี้แหละ ท่านจะได้รู้มากขึ้น เพราะท่านมาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะเปิดเผยความล้ำลึกนี้ให้กับท่าน เป็นนิมิต เป็นความรู้เกิดขึ้นมา เป็นความฝัน เรียนทุกวันท่านจะรู้มากขึ้นทุกวัน เยอะขึ้นทุกวัน ในเรื่องเกี่ยวกับความล้ำลึกในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยดาเนียล สมัยโมเสส สมัยกษัตริย์ดาวิด สมัยอับราฮัม พระเจ้าที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้กำกับในโลกฝ่ายวิญญาณ กับโลกแห่งความเป็นจริงที่เรามองเห็น  มันไกลกันมาก

การอธิษฐาน ต้องเข้าไปหาพระเจ้าที่บัลลังก์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เหมือนกับต้องเดินทางไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เสร็จแล้ว ค่อยกลับมาบนโลกใบนี้ ทำอะไรบางอย่างต่อไป มันห่างไกลกันมาก ดาเนียลต้องไปอธิษฐาน สมมติบัลลังก์ของพระเจ้า ต้องลงจากบัลลังก์พระเจ้า มาสู่โลกใบนี้ ไปที่ท้องพระโรง ไปคุยกับกษัตริย์ว่าเขาได้อะไรมา แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ได้เป็นอย่างนี้  ตั้งใจฟังให้ดีนะ เรานั่งอยู่ที่นี่ ในสมัยที่พระเยซูได้มาบังเกิดแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระมนุษย์ให้พ้นจากความบาปผิดทั้งหลายแล้ว นำมนุษย์กลับ คืนสู่พระเจ้า เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอาบาปทั้งหลายออกไปจากมนุษย์หมดแล้ว ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า สามารถเป็นที่สถิตของพระเจ้าได้แล้ว

ตอนนี้ คือตอนที่ใครก็ตามที่เชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเจ้านั่นเอง จะมาสถิตอยู่ ต่างกว่าเมื่อตะกี้นี้เยอะ ต่างกว่าตอนที่ดาเนียลต้องไปอธิษฐาน ขึ้นไปที่บัลลังก์ของพระเจ้า กับตอนนี้พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเขาที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าลงมาอยู่กับเขา อยู่กับมนุษย์ สวรรค์ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พระเยซูบอกใช่ไหม? ตอนที่พระเยซู เริ่มประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระองค์บอกว่าสวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมาแล้ว อีกไม่กี่ปี พระองค์ก็จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละ สวรรค์กำลังมาแล้ว สวรรค์อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะมาสถิตอยู่กับเรา

พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็คือพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือพระเจ้ามาอยู่กับเรา พระเจ้าก็จะเปิดเผย เปิดตาฝ่ายวิญญาณ สำแดงความจริงอันล้ำลึก ที่เราบอกล้ำลึกๆ ที่คนไม่เข้าใจ เราเองก็ไม่เข้าใจ นักปราชญ์ก็ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระวิญญาณนี้ จะสำแดงเปิดเผยความล้ำลึกนี้ให้กับเรา ความล้ำลึกของโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น  พระเยซูเป็นใคร? ทำไมต้องตายที่ไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนมีฤทธิ์เดชอำนาจ หมายความว่าอย่างไร? เราได้รับความรอดแล้ว หมายความว่าอย่างไร? เราได้รับชีวิตใหม่ หมายความว่าอย่างไร? เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล หมายความว่าอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้  ใช้ภาษามนุษย์ ใช้สติปัญญามนุษย์เรียนให้ตาย ก็ไม่เข้าใจ แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู เรา อ๋อๆๆ แล้วอธิบายให้เพื่อนฟังได้ไหม? ไม่ได้ มัน อ๋อ อยู่ข้างใน เราได้แต่บอกหนทาง

“ถ้าเธออยากเข้าใจ เธอต้องไปหาพระเยซู”

พระเยซูเป็นคำตอบของทุกๆ สิ่ง ปัญหาที่ท่านอยากรู้ว่ามันแปลว่าอะไร? ถ้าท่านมาถามผม  ผมไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย นอกจากจะบอกทางให้ท่านไปหา คือทางพระเยซูเท่านั้น  ฉันไม่สามารถช่วยอะไรเลย ศิษยาภิบาลก็ช่วยไม่ได้ มีผู้เดียวที่ช่วยได้ คือพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณท่าน ท่านไม่ต้องขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว สวรรค์ลงมาอยู่ที่นี่แล้ว รอบตัวท่าน ท่านเปิดใจปุ๊บ สวรรค์ก็เข้ามาทันที แต่ถ้าท่านปิดอยู่ สวรรค์ลงมา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็เข้าไม่ได้ สวรรค์เหมือนอะไร? ถ้าในยุคปัจจุบัน สวรรค์ก็เหมือนสัญญาณไวไฟ เคยไปร้านอาหารไหม? เดี๋ยวนี้แทบทุกร้านเลย เขาจะเขียนว่า …

“ที่นี่บริการสัญญาณไวไฟฟรี”

ฟรีนะ ไม่เสียตังค์ แต่คุณต้องทำอะไร?

  1. ต้องเชื่อก่อนว่ามันมีสัญญาณไวไฟจริงๆ
  2. คุณต้องบอกว่า “ฉันจะใช้” แล้วคุณก็กดโค๊ดลงไป

คุณต้องแสดงความจำนงว่าคุณจะใช้ มันมีอยู่นั่นแหละ แต่ก็เหมือนไม่มี แต่ถ้าคุณจะใช้เมื่อไร? ไปขอโค๊ดเขา เปิด กด มีทันที ในทำนองเดียวกัน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณจะเปิด โค๊ดก็คือเยซู กดสัญญาณเปิด คราวนี้ท่านก็เพลินในการเล่นไลน์แล้ว ไลน์กับใคร? ใช้วิญญาณเลย คุยกับพระเจ้า คุยกับพระวิญญาณ เราเรียกกันว่าอธิษฐาน  ถ้าเราไลน์กันเอง เราเรียกว่าเม้าส์

พระวิญญาณจะสำแดงความจริงให้กับเราได้รู้ เพราะว่าทุกวันนี้พระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว และรอคอยที่จะเปิดเผยเรื่องราวความจริงให้กับเรารู้มากขึ้นทุกวันๆ ขอให้เราสนใจพระองค์หน่อย เข้าไปหาพระองค์หน่อย อธิษฐานบอกพระองค์หน่อย แล้วก็คอยสังเกตให้ดีๆ เดี๋ยวก็รู้เรื่องมากขึ้นทุกที แล้วพระองค์ก็ยังทรงทำงานอยู่ทุกวันนี้ตลอดไป ตามที่พระคัมภีร์นี้ได้บอกไว้ ทำเหมือนที่ทำให้กับดาเนียล 1 โครินธ์ 2:6-11 บันทึกอย่างนี้

1 โครินธ์ 2:6-11 “6 อย่างไรก็ดี พวกเรากล่าวถ้อยคำแห่งสติปัญญากับบรรดาผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่สติปัญญาของยุคนี้ หรือสติปัญญาของผู้ครอบครองของยุคนี้ ผู้ซึ่งกำลังจะเสื่อมสูญไป 7 แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า พระปัญญาซึ่งทรงปิดบัง และซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้  เพื่อศักดิ์ศรีของเรา ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลก 8 ไม่มีผู้ครอบครองคนใดของยุคนี้ ที่เข้าใจพระปัญญา  เพราะหากเข้าใจ ย่อมจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ไว้ที่ไม้กางเขน 9 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่เคยมีใครได้เห็น ไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้ สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ 10 แต่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นแก่เรา โดยพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณทรงสืบทราบทุกสิ่ง แม้แต่สิ่งล้ำลึกของพระเจ้า 11 ความคิดของมนุษย์ ใครไหนเล่าจะรู้ เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหยั่งรู้ พระดำริของพระเจ้าได้ นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า”

 

นี่คือชีวิตเราทุกคนที่นี่  ที่เราเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็แบบนี้เลย แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า เรื่องข่าวประเสริฐ เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า

มันเป็นความล้ำลึก ลึกซึ้งมาก ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระปัญญาซึ่งทรงปิดบังไว้ และซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เป็นศักดิ์ศรีของพวกเรา คือเป็นประโยชน์สำหรับเราทุกคน ให้เราได้กลับไปหาพระเจ้าอย่างอัศจรรย์

ในนี้บอกว่าไม่มีผู้ครองคนใดในยุคนี้เข้าใจพระปัญญา เพราะถ้าเข้าใจจะไม่ตรึงพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ถ้าเผื่อฟาริสีที่จับพระเยซูไปตรึงสมัยนั้น รู้เรื่องนี้ เขาไม่จับหรอก แต่เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องล้ำลึกนี้ว่าพระเยซูคือใคร? พระเจ้ามาเกิดบนโลกใบนี้ได้อย่างไร? พระเจ้ามาเดินท่ามกลางเราได้อย่างไร?  มันรับไม่ได้ อยู่ดีๆ มาบอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า รับไม่ได้ เอาไปประหารชีวิตเสีย เขาคิดอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าคนนี้เป็นพระเจ้า ต่อให้เขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะว่าถ้าเห็นอัศจรรย์ แล้วก็เชื่อ ก็คือความคิดของเขา มนุษย์เข้าใจไง ยังมีเหตุผลว่านี่ทำอัศจรรย์ เพราะถ้าทำอัศจรรย์ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น นี่มันเกินกว่านั้น ต่อให้เห็นพระเยซูชุบให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะสิ่งนี้ไม่สามารถที่จะใช้เหตุผลบนโลกใบนี้ แล้วทำให้เกิดความเชื่อได้ ต้องมาจากพระเจ้าเป็นผู้เปิดเผยให้

ต้องจำตรงนี้ไว้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไปทะเลาะกับชาวบ้านเขาทั้งหมด เพื่ออยากให้เขารู้ๆ เหมือนอย่างที่เรารู้ ทั้งๆ ที่เรารู้ก็มาจากพระเจ้า ไม่มีใครมาสอนเราเลย ผมเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็จะฟังผมสอน ท่านอาจจะคล้อยตาม แต่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ท่านไม่อ๋อหรอก ท่านก็ฟังไปอย่างนั้น จนกว่าท่านกลับไปบ้าน วันหนึ่งตื่นนอนมา อยู่ดีๆ ท่านก็เชื่อเรื่องนี้แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแหละ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ผมสอนแล้วท่านเข้าใจ เพียงแต่ได้รับรู้ว่ามันมีเรื่องนี้อยู่ แต่ท่านยังไม่ถูกชักจูงให้เป็นไปตาม ตัดสินใจว่า …

“ฉันเชื่อเรื่องนี้จริง”

ยังๆ ยังไม่ใช่ ณ วันนี้ก็เหมือนกัน ที่ผมพูดไป ท่านอาจจะฟัง บางคนเชื่อแล้วก็มี ได้แล้วก็มี แต่บางคนก็ฟังไว้ก่อน ถ้าท่านไม่หยุดแสวงหาพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยย่อยให้ ย่อยในวิญญาณ เช้าไปเย็นมา อาจจะผ่านไปปี 2 ปี 3 ปี 10 ปี อ๋อเข้าใจแล้ว จำไม่ได้ว่าใครสอน แต่ประติดประต่อตรงนั้นตรงนี้หน่อย อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะครับ

เราเป็นใคร? นี่ปิดบังไว้ทั้งหมด ไม่มีใครรู้ แต่เปิดเผยให้กับเรา เป็นใครก็ไม่รู้เลย สติปัญญาเท่าดาเนียลก็ไม่มี โนเนม แล้วเปิดเผยให้เรารู้เรื่องราวเหล่านี้  รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร?  ท่านคิดดู  ท่านเก่งขนาดไหน?  ขนาดด็อกเตอร์ หรือฉลาดขนาดไหน? เขายังไม่รู้เลยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เป็นใคร? ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งมาจากไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดผลได้อย่างไร? แต่เรารู้หมดแล้ว นี่แหละคือความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้เปิดเผยให้เรารู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เอเมน

ผมจะเล่าคำพยานให้ท่านฟัง นี่ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาเนียล ทุกท่านก็เป็นอย่างนี้ ผมก็เป็นอย่างนี้ ดาเนียลเกิดเมื่อ 2,600 ปีก่อน คืนวันนั้นดาเนียลได้รับการสำแดงจากพระเจ้าเป็นนิมิต คืนวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 ประมาณ 28 ปีมาแล้ว พระเจ้าก็สำแดงให้กับผมเหมือนกัน ในห้องสวดมนต์ ในห้องทำสมาธิ มีคนคุยเรื่องพระเจ้ากับผมไม่รู้ตั้งกี่ปี เป็น 10 ล่ะมั้ง ผมก็ใช้เหตุผลของมนุษย์เถียงเขา จนเขาแพ้หมดแล้ว ต้องแพ้อยู่แล้วล่ะ พอเรามารู้ความจริง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ด้อยที่สุดเลย ไม่มีเหตุผลที่สุด จึงเป็นเรื่องลี้ลับ เป็นเรื่องเร้นลับ เขาก็เล่าให้ผมฟังมาตั้งนานแล้ว แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ก็เถียงเขาไปตามประสามนุษย์ เราก็ว่าไปตามเหตุและผล เถียงสู้เราไม่ได้เลย แต่ ณ วันที่ผมกำลังเดือดร้อนใจ อยากจะรู้ว่าที่เขาพูดมันก็น่าสนใจ แต่เราไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่าให้ผมไปหาพระเจ้า เขาคงเหนื่อยและขี้เกียจเล่าให้ผมฟัง เลยไล่ไปหาพระเจ้าเองแล้วกัน  แต่เขาไม่พูดอย่างนี้นะ ในใจมันยากมาก

เขาบอกว่า “คุณนครก็ไปหาพระเยซูสิ ไปบอกกับพระองค์เอง อยากจะรู้อะไรก็ไป”

ผมก็เข้าไปในคืนวันนั้น ก็คุกเข่าอธิษฐาน บอกว่า “พระเยซูเป็นใคร ผมอยากรู้จัก สำแดงให้ผมรู้หน่อย”

ตอนนั้น ไม่รู้ใช้คำนี้ได้อย่างไร? ผมใช้คำนี้เลย เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  จะบอกว่าอย่างไร?  พระเยซูเป็นใคร? ที่เพื่อนเขาพูด ผมก็ไม่รู้ ผมอยากรู้จัก ไม่ใช่ว่าจะดื้อหรืออะไร? ก็เห็นเขาพูดมันดีๆ ทั้งนั้น อะไรก็ดีหมด อยากได้ของดีๆ นั้น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน? มันไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีจริง เพื่อนเขาบอกว่าให้มาพูดอย่างนี้ ผมก็พูด เหมือนท้าทาย แต่ไม่ได้ท้าทายแบบไม่ดีนะ ผมก็บอกว่าถ้าพระเยซูมีจริง สำแดงให้ผมเห็นที ผมอยากรู้จัก ทุกคืนๆ เพราะว่าผมทำสมาธิทุกคืน ก่อนนอน ผมก็จะพูดคำนี้ พูดๆ พูดประโยคนี้ ผ่านไป 7 วัน คืนวันที่ 7 สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาเนียล เกิดขึ้นกับผมจริงๆ อย่างนี้แหละ ผมจึงรู้ว่าดาเนียลเขาเจออะไร?

เอาให้สั้นๆ อ่านตามพระคัมภีร์ พระเจ้าก็สำแดงให้กับนครได้เข้าใจถึงเรื่องล้ำลึกเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นใคร? โดยพาผมไปเปิดพระคัมภีร์ที่เพื่อนผมเขาให้มา ซึ่งตอนนั้นผมกำลังป่วย ไม่ไหว เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัด ทรมาน ทรกรรม คลานไป แทนที่จะพูดว่าพระเยซูสำแดง พูดไม่ไหว เข้าห้องสมาธิก็ไม่ไหว อยู่บนเตียงนั่นแหละ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? มองไปมีพระคัมภีร์อยู่บนหัวเตียง ก็เลยคลานไปหยิบมา สิ่งเหล่านี้พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม กำกับการแสดงทั้งนั้น ผมก็เลย คลานไป แล้วก็นึกในใจเหมือนเดิม ไม่ได้พูด

“พระเยซู ถ้ามีอยู่จริง สอนผม วันนี้ไม่ได้เข้าไปในนั้น สอนผมในการอ่านพระคัมภีร์ของพระองค์”

แล้วก็สุ่มเปิด พอเปิด การสำแดงเกิดขึ้น ลูกา บทที่ 15 พูดถึงเรื่องบุตรน้อยหลงหาย คือสรุปแล้วให้ผมเห็นนิมิตผ่าน แป๊บเดี๋ยวไม่ถึง 5 นาที ผมรู้ว่าผมเป็นลูกของพระเจ้าที่หลงหายไป ตอนนี้พระเจ้าเจอผมแล้ว ดีใจมาก ในสวรรค์มีการเลี้ยง เฮฮากันหมดเลย มองมาถึงเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ใช่มองมาว่าผมเป็นศิษยาภิบาลไม่ใช่ หมายถึงว่าชีวิตผมสบายแล้ว ผมอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลผม ทุกอย่าง เกิดนิมิตนี้ขึ้นมา อยู่ดีๆ มันรู้ขึ้นมาได้อย่างไรว่าฉันบาป ไม่มีบาปแล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเรา เราเป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไป ตอนนี้กลับมาหาพระเจ้าแล้ว แป๊บเดียวเอง เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่นั่นเอง เห็นไหม? อัศจรรย์ไหม?

นี่แหละ คือการเปิดเผยข้อล้ำลึก ผมจึงรู้ว่าเมื่อเปรียบเทียบ ก่อนคืนวันนั้น ก่อนที่จะสำแดง  ผมเชื่อว่าดาเนียลทรมานมาก เพราะกำลังจะตาย ไม่ใช่ตัวเองตายคนเดียว เพื่อนๆ ตายหมด แล้วยังแถมครูบาอาจารย์ที่รักกัน ถึงแม้เขาไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม เขาตายหมดเลย เดือดร้อน ทั้งวิตกกังวล แล้วทำอย่างไร? อธิษฐาน เหมือนที่ผมอธิษฐาน เสร็จแล้วพระเจ้าก็สำแดงความล้ำลึกให้กับดาเนียลได้เห็น แล้วดาเนียลก็คงจะอย่างนี้นะ ก่อนอธิษฐาน ลองคิดถึงภาพนะ เหมือนกับผมเลย

“พระเจ้าตายแน่ๆ ทำอย่างไรดี ช่วยหน่อยเรื่องนี้”

พระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกแก่ดาเนียล ในความฝัน ในนิมิตนี้ บอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่า … เอาไว้ต่อตอนหน้า … ไม่ถึงหนึ่งนาที ดาเนียลรู้หมดแล้ว ไม่มีตรงไหนบอกลุก คนเรามันดีใจ มันคุกเข่าไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นมาบอก …

“สรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ สรรเสริญพระนามของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ดีงามเหลือเกิน พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงนี้ให้ลูกได้รู้ ลูกรอดตายแล้ว ทุกคนรอดตายแล้ว พระองค์ยอดเยี่ยม”

เมื่อพระเจ้าเปิดเผยให้เราได้รู้ ช่วยให้เราได้รอดอะไรบางอย่าง เราจะตื่นเต้นมากกับความรู้นั้น คืนวันนั้นผมก็เป็นอย่างนี้แหละ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้ายิ่งใหญ่ ก็สรรเสริญพระเจ้าอย่างนี้แหละ

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้ายอดเยี่ยม ทรงประทานสิ่งต่างๆ ให้กับลูก”

ลองอ่านต่อไปอีก

“พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลา และฤดูกาล”

เห็นไหม? พอมันเข้าใจปุ๊บ

“พระองค์ยิ่งใหญ่ ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ พระองค์ทรงเป็นสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด ประทานความรู้แก่ผู้ฉลาดหลักแหลม และพระองค์ทรงเปิดเผย (สำแดง) สิ่งที่ลึกซึ้งและซ่อนเร้นอยู่ให้ทราบ” เข้าใจใช่ไหม?

“ประทานสติปัญญาให้กับลูก เมื่อตอนอดอาหารนั้น ตอนกินผักกับน้ำ  ตอนนี้สำแดงความล้ำลึกนี้ให้กับลูก พระองค์ทรงรู้จักหมดในความมืดนั้น ความสว่างพระองค์ก็อยู่ที่นั่น”

ผมจะให้ท่านเห็นว่าความรู้สึกดาเนียลเป็นอย่างไรตอนนั้น เราทั้งหลายมีโอกาสที่จะมีประสบการณ์อย่างนี้ได้ เพราะเราก็คือผู้รับใช้เหมือนดาเนียล แต่เราดีกว่า ตรงที่เราไม่ใช่รู้จักพระเจ้าเฉยๆ แต่พระเจ้าลงมาสถิตกับเรา ดาเนียลเป็นผู้รับใช้ รู้จักพระเจ้า แต่พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ แต่ตอนนี้สวรรค์ลงมาอยู่กับเรา เราเป็นผู้รับใช้เหมือนดาเนียล แต่พระเจ้าอยู่กับเราในร่างกายนี้เลย ง่ายนิดเดียว อยู่บนรถเมล์เราก็อธิษฐานได้ ไม่ต้องกลับไปที่บ้านเลย

ท่านเห็นไหมว่าเราได้เปรียบกว่ามากเท่าไร? แต่พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีใครสามารถเทียบพระองค์ได้ พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นผู้กำกับโรงละครของโลกนี้ทั้งหมด ท่านจะพึ่งใครล่ะ พระองค์เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ควบคุมทุกอย่าง เส้นใหญ่สุดแล้ว

คนไปถามพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ พระเยซูบอกว่าเราควรอธิษฐานอย่างไร? ในมัทธิว 6:9 พระองค์สอนเราอย่างไร? จงอธิษฐานอย่างนี้นะ

“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์”

ก็คือรู้เลยนะว่าพระเจ้าเป็นพ่อเรา

“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการบูชา  ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนโลกใบนี้ เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจ”

ตอนจบบอกว่า …

“ราชอาณาจักร พระสิริ  พระเกียรติ ฤทธิ์เดช เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”

พูดง่ายๆ ว่าขึ้นต้นรู้นะว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ที่รักเรายิ่ง หวงแหนเรามากกว่าที่เรารักลูกของเราอีก สุดท้ายก็คือผู้ที่รักเรานี้ เป็นพ่อของเรา รักเราขนาดนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ครอบครอง ควบคุมทุกอย่างแล้ว จะไปกลัวอะไรอีกเล่า ต่อไปนี้มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และรับใช้พระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบให้รู้อย่างนี้ แล้วรับใช้พระเจ้าไปเรื่อยๆ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ น้ำพระทัยของพระองค์จงสำเร็จในชีวิตของเราเถิด เอเมน

 

********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้มีชื่อ “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 2 “โลกนี้ คือละคร” สดุดี 46:10

สดุดี 46:10 “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

 

นี่เป็นประโยคที่พระเจ้าพูด  เราได้คุยกันไปแล้วใช่ไหม? ถ้าพระเจ้าพูดอย่างนี้กับเรา แสดงว่าเรากำลังสับสนวุ่นวาย วิตก กังวล กลัว เราคงไม่นิ่ง ถ้าเราไม่นิ่ง แล้วพระเจ้าจะให้เรานิ่ง พระเจ้าจึงตรัสว่า …

“จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

ผมได้ยิน ผมยังเอเมน น้ำหูน้ำตาไหล

เราได้ย้ำความหมายของคำว่า “จงนิ่งเสีย” ว่าหมายถึงให้เราวางใจในทุกๆ สิ่ง ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา ไม่ใช่บางสิ่ง ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เราเข้าใจ ทุกๆ สิ่ง หมายถึงรวมทั้งสิ่งที่เราไม่เข้าใจด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าต้องเผชิญความทุกข์ยากขนาดไหน? จงวางใจในพระองค์ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง และทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์เสมอ เอเมน

และที่พระคัมภีร์เตือนแล้วเตือนอีกว่าจงนิ่งเสียและรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า สอนแล้วสอนอีกว่าให้วางใจในพระเจ้า จุดมุ่งหมาย ก็คือเพื่อให้เราทุกคนได้พบกับสันติสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขนะ สันติสุขที่แท้จริง ความสงบสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือสามารถมีสันติสุข มีความสงบสุขได้ ในท่ามกลางทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์แห่งความทุกข์ใจ ความเจ็บปวด คงไม่ต้องบอกว่าให้พยายามสงบนิ่ง ในสถานการณ์แห่งความชื่นชมยินดี

และครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต แบบที่เรากำลังพูดถึงนี้ คือแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ ในทุกพื้นที่ชีวิตของเขาจริงๆ เรามาทบทวนนิดหนึ่ง

เรากำลังคุยกันถึงเรื่องดาเนียล ถึงเหตุการณ์ตอนที่เยรูซาเล็มอยู่ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งอาณาจักรบาบิโลน ประมาณ 600 ปีก่อน ที่พระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรบาบิโลน ได้กวาดต้อนชาวยิวเป็นเชลย แล้วตอนที่อยู่บาบิโลน ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เรากำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของโลก ที่ได้บันทึกไว้ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มของคนที่มีหน่วยก้านดี เป็นคนฉลาด สอนได้ ถูกนำไปอบรมความรู้ด้านโหราศาสตร์ ด้านไสยศาสตร์ วิทยาคม อาคม  เพื่อเตรียมตัวให้เขาไปรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการบรรยายครั้งที่แล้ว คือพวกคนหนุ่มเหล่านี้ ให้รับการดูแล เลี้ยงดูอย่างดี อาหารก็ถูกส่งมาจากวัง ซึ่งปกติแล้ว จะไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธอาหารที่สั่ง โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เลย เพราะทุกคนรู้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมมาก ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง แต่ดาเนียลและเพื่อนกล้าที่จะปฏิเสธอาหารจากกษัตริย์ และอาหารที่ส่งมาให้นั้น ตามหลักของชาวยิวแล้ว ถือว่าเป็นอาหารที่มีมลทิน โดยจะขอกินเพียงแค่ไม่ใช่มังสวิรัติ แต่มากกว่านั้น คือกินเฉพาะผักกับน้ำ และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเพียงแค่ผักกับน้ำนี่แหละ จะทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าคนอื่นได้

พระเจ้าก็เริ่มดลบันดาลใจหัวหน้ากรมวัง ให้เกิดมีความโปรดปราน หรือเรียกว่าความชอบพอ พอใจในดาเนียลและเพื่อน ยอมให้ดาเนียลและเพื่อนทำตามที่ขอ คือให้กินแต่ผักและน้ำ ลองดู 10 วัน แล้วผลก็คือหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังของดาเนียล ดูดีกว่าคนหนุ่มอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้

นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามากถึงมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะยืนหยัดมั่นคงในทางของพระเจ้าของเขา และวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะสามารถทรงช่วยเหลือ ช่วยกู้เขาและพรรคพวกได้ ในทุกๆ สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ แบบที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าวางใจในพระเจ้าแบบตายเป็นตาย

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป             แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตายไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตามไป”

ตอนนี้ร้องได้ ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น มาเชื่อพระเจ้า แล้วถูกไล่ออกจากบ้าน มันร้องยากนะ นี่ไม่ได้หมายถึงเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่พูดให้เห็นว่าถึงเวลา ถึงสถานการณ์ที่เราจะต้องร้องเพลงนี้ โดยประสบกับความลำบาก มันยากที่จะร้อง ไม่ได้ร้องง่ายๆ เหมือนตอนนี้ที่ร้องนะ

กลับมาที่บาบิโลน หลายครั้งที่ดาเนียลกับเพื่อนต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนเรื่องเวทมนต์คาถา ท่านลองคิดดูสิ เราเชื่อพระเจ้าสุดๆ เราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าสุดๆ วางใจในพระเจ้าสุดๆ แต่พระเจ้ากำลังนำเรามา เรียนวิชาที่เราไม่อยากเรียนเลย คือวิชาวิทยาคม ไสยศาสตร์ หมอผี โหราศาสตร์ ต้องถูกฝึกให้ยอมรับวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของชาวบาบิโลน  ซึ่งตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า  100% เลย  คุ้นๆ ไหม? เหมือนเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลับไปที่ทำงาน แปลกไปหมดเลย  ให้เราทำอะไรหลายอย่าง ที่มันไม่ตรงตามที่ผู้เชื่อทำ แล้วเราจะทำไหม? คิดไว้ในใจก่อน เรียนไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้ว่าแล้วเราจะทำไหม?  ตอบว่า …

“แล้วแต่พระเจ้า”

ไม่ใช่เรา อย่าไปคิดสิ ฉันไม่ได้คิดอย่างนี้ คนข้างๆ บอก ศิษยาภิบาลก็บอก ไม่ใช่เราไม่เชื่อศิษยาภิบาลนะ แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะตัดสินให้เราทำหรือไม่ทำ คือพระเจ้า เราต้องไปคุยกับพระเจ้า  เหมือนกับดาเนียล โดยบัญญัติ ดาเนียลทำไม่ได้หรอก สิ่งเหล่านี้  อาหารเป็นมลทินยังไม่กินเลย แล้วให้ไปเรียนไสยศาสตร์ จะไปเรียนได้อย่างไร? พระเจ้าอนุญาตให้เรียน เขารู้ เขาก็เลย ยอมหมด ยอมผ่อนตาม เห็นความแตกต่างไหม? ในขณะที่ภายนอก ดูเหมือนเขาจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ในการศึกษาเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้ แต่ภายในนั้น ดาเนียลยังยืนหยัดในความเชื่อ และคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เป็นตัวอย่างของการยืนหยัด ในความเชื่ออย่างมีสติปัญญา และให้พระเจ้าเป็นผู้นำแท้จริง ไม่ใช่เชื่อแบบไร้สติ เชื่อแบบจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ พูดเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระเยซูพูดเรื่อง

“จงฉลาดเท่าทันงู แต่จงรักษาความสงบ เหมือนนกพิราบ”

ให้ท่านไปคิดเอง ผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร?  จงฉลาดให้เท่าทันงู  ก็คือเราต้องเฉลียวฉลาด เพราะงูมันเล่ห์กลเยอะ เล่ห์กลเราต้องเหนือกว่างู เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเล่ห์กล ไม่ใช่ซื่ออย่างเดียวนะ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน ที่ผมพูดเป็นทางบวกทั้งนั้น ไม่ใช่เล่ห์กลในทางลบ ไม่ใช่ดำเนินด้วยความรักๆ อย่างเดียว ยอมทุกอย่าง ซื่อๆ ทื่อๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้ใช้ท่านซื่อๆ ทื่อๆ ตลอดเวลา บางครั้งพระเจ้าก็ใช้คนของพระองค์ คริสเตียนนะ ที่วางแผนเก่งเหมือนกัน เขาเรียกว่ามีกลยุทธอะไรบางอย่างเหมือนกัน แบบคล้ายๆ โลกนี้เขาทำ เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อแผนการพระเจ้าที่กำลังช่วยบรรดาผู้คน ที่เรียกร้องขอความช่วยเหลือ จากพระองค์ ในโลกนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย นี่คือการมีสติ

ก่อนที่จะเข้าเรื่องในวันนี้ ผมจะขอเสริมจากครั้งที่แล้วอีกสักนิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ยังมีหลายคนเข้าใจไม่ถูกต้อง คือเรื่องที่ดาเนียลและเพื่อนๆ กินผักและน้ำ อธิษฐานกับพระเจ้า หลายคนก็เลยเข้าใจว่าเป็นวิธีที่พระคัมภีร์สอนให้ทำ เวลาที่จะอธิษฐาน ทูลขออะไรจากพระเจ้า สำคัญๆ มากๆ ต้องอดอาหารเหลือแต่ผักและน้ำ อย่างน้อย 10 วัน แต่ดาเนียลและเพื่อนไม่ใช่แค่ 10 วันนะ เขากินอย่างนี้ไปอีก 3 ปี แต่หลังจากนี้ยังกินอย่างนี้อีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ได้บันทึกไว้ จริงๆ แล้ว ที่ดาเนียลกับเพื่อนทำนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เฉพาะครั้งนั้น เพียงครั้งเดียวที่พระเจ้าให้ทำ คือทั้งหมดเกิดจากการวางแผนของพระเจ้า  เกิดจากการดลใจของพระเจ้า ดาเนียลเป็นผู้บันทึกเรื่องนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้มอบให้ชาวยิวมาเป็นเชลยในบาบิโลน พระองค์ทั้งสิ้น ดาเนียลรู้หมด

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดลใจให้เกิดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าดลใจให้ดาเนียลมีความกล้า ที่จะขัดคำสั่งกษัตริย์ในครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่ทานอาหารที่ส่งมาให้ ซึ่งอ้างว่าเป็นมลทิน แต่การไปเรียนไสยศาสตร์ เรียนโหราศาสตร์ ก็เป็นมลทินเหมือนกัน แล้วทำไมไม่อ้างว่าไม่เรียน พอจะเห็นหรือยัง? นี่คือสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า และพระเจ้าดลใจให้หัวหน้ากรมวังที่ดูแลอยู่ เห็นใจ และยอมตามที่ดาเนียลขอ ถ้าพระเจ้าไม่ดลใจ กรมวังไม่มีทางยอมแน่ เพราะถ้าเกิดดาเนียลและพวกล้มป่วยลง หรือผอมแห้งแรงน้อย ครบ 10 วัน กรมวังตายก่อน กษัตริย์คงถามว่า …

“ทำไมไม่ให้เขากิน ไปเชื่อเขาทำไม? ทำไมไม่เชื่อฉัน”

ตัดหัวกรมวังก่อนเลย แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสิ่งนี้อีกแล้ว ดลใจให้กรมวังทำสิ่งนี้ ซึ่งเสี่ยงกับชีวิตของเขา เพื่อบางอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้อะไรเลย เห็นไหม? เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ นี่คืออัศจรรย์เหมือนกัน ดาเนียลกับเพื่อน เป็นหนุ่มๆ อายุ 14, 15 ต้องการโปรตีนมาก เพราะกำลังเจริญเติบโต กล้ามเนื้อกำลังจะสร้าง แทนที่จะกินโปรตีน ถั่วก็ไม่ได้กิน โปรตีนมันอยู่ในถั่ว แต่กินผักกับน้ำ 2 อย่างเอง  10 วัน ถ้าใครอายุ 14, 15 ท่านทดลองดู ถ้าท่านกินอย่างนี้ ไม่ต้อง 10 วัน ผมว่า 3 วันก็เห็นผลแล้ว เหี่ยวแห้ง หัวโตแน่ แต่นี่กินไป 10 วัน มีหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังดีกว่าคนอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่เขา 4 คนกินแต่ผักกับน้ำ ไม่ได้บำรุงอะไรเลย  แต่คนอื่นบำรุงเต็มที่เลย นี่คืออัศจรรย์

ที่ผมจะเน้น ก็คือหลายครั้งที่พระเจ้าให้เกิดอัศจรรย์ขึ้นนั้น  เป็นส่วนตัวของคนๆ นั้น เพียงครั้งเดียว หรือเรียกว่าเรื่องเฉพาะ สำหรับเหตุการณ์นั้นๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพื่ออะไรบางอย่าง ที่เป็นพระประสงค์หรือน้ำพระทัย หรือแผนการของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะทำกัน อย่างที่มนุษย์อย่างเราคิด พอเห็นพระเจ้าทำอย่างนั้น อยากได้บ้าง ก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่ ต้องสังเกตดูให้ดีๆ ว่าอย่างนี้เป็นปกติวิสัยที่พระเจ้าสอนเราทำหรือไม่? อย่างความรัก คือการให้ อย่างนี้สิเป็นปกติวิสัย ที่ทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกฝนทุกวัน

ถ้าเราจะดูในอดีต เหมือนกษัตริย์ดาวิด อัศจรรย์ใหญ่ที่สุด ที่เขาเรียกว่าเป็นประกาศนียบัตรของกษัตริย์ดาวิด ทำให้ใครๆ ทั้งโลกรู้จักกษัตริย์ดาวิด ก็คือออกไปสู้กับยักษ์โกไลอัท แล้วชนะ แค่ก้อนหินเพียงก้อนเดียว ก็เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียวของกษัตริย์ดาวิดที่ใหญ่ๆ แบบนั้น ไม่ใช่พระเจ้าประทานกำลังวิเศษให้กับดาวิด ไปที่ไหนก็เอาแค่ก้อนหิน ก้อนเดียว ดาบไม่ต้องใช้ เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียว เพื่อให้แผนการของพระองค์บางอย่าง สำเร็จเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือให้ทุกคนเริ่มสนับสนุน ซึ่งจะมาเป็นผู้นำของอิสราเอลแทนซาอูลในสมัยนั้น  นี่แค่คิดตามมนุษย์ครั้งเดียวเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา เราอ่านดูประวัติ เรื่องของกษัตริย์ดาวิด หนีหัวซุกหัวซุนเลย ไม่กล้าเหมือนตอนสู้กับโกไลอัทเลย เข้าใจไหม?

ตอนของโมเสสก็เหมือนกัน อัศจรรย์ใหญ่ของโมเสส คือพาอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ แหวกทะเลแดง หนีกองทัพอียิปต์ พระเจ้าก็ให้เกิดอัศจรรย์ แค่ครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะให้ไม้เท้ากับโมเสส แล้วจากนี้พาอิสราเอลไป ใช้ไม้เท้าลูกเดียว ใครมาก็เอาไม้เท้าตีหัวตลอด ไม่ใช่

หลังจากที่แหวกทะเลแดง ก็มีข้าวมาจากฟ้า เรียกว่ามานา มีนกคุ่มตกลงมา มีน้ำออกมาจากหิน หลังจากนั้นเป็นปกติ เป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวปศุสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เหมือนคนธรรมดา เห็นไหม? เรื่องพวกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ปกติวิสัยของคน ที่จะมาแหวกทะเลแดงตลอดเวลา ไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่จะมาฆ่าโกไลอัทด้วยก้อนหิน เพียงก้อนเดียวตลอดเวลา

กลับมาเรื่องของดาเนียลต่อ ไม่ใช่คนที่เชื่อพระเจ้าทุกคน ต้องทำแบบนี้ คือพอเจอสถานการณ์เช่นเดียวกันกับดาเนียล ต้องกินผักและกินน้ำอย่างเดียว เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ตอบคำอธิษฐาน ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ก็คือไปหาพระเจ้า แล้วดูสิว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับเรา ในตอนนั้น อย่างไร ซึ่งไม่เหมือนใคร

พระเจ้าเตรียมอัศจรรย์บางอย่างให้กับสถานการณ์บางอย่าง เหมือนคำพูดที่บอกว่า  …

“สถานการณ์สร้างฮีโร่”

พระเจ้าเตรียมเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เพื่อแผนการของพระองค์ เป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องปกติ พระเจ้าต้องการสร้างฮีโร่คนไหน? พระองค์ทรงเตรียมสถานการณ์ชงไว้เรียบร้อยแล้ว คนนี้เข้าไป เป็นฮีโร่ทันที

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเวลาเรารับเกียรติจากพระเจ้า จงถวายคืนแด่พระองค์ อย่าเว่อร์ไปรับ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง จนเกินตัว ไปแย่งพระสิริจากพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าหวงพระสิริของพระองค์ แต่กลัวลูกของพระองค์ลำบาก เพราะทำผิดกฎ ไปเอาตรงนั้นมา แล้วในที่สุด ก็จะล้มพินาศลง ผู้ที่เย่อหยิ่งเขาก็จะล้มและพินาศลง พอเกิดอัศจรรย์ขึ้น เป็นฮีโร่ขึ้นมา จงรู้ว่าที่เป็นฮีโร่นั้น พระเจ้าเป็นผู้ทำ

“พระเจ้าวางแผนให้ฉันเป็นฮีโร่ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ได้เก่งอะไรเลย พระเจ้าวางทั้งสิ้น อย่าให้มนุษย์มายกเรา เก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย ฉันก็เป็นคนธรรมดา พระเจ้าวางทุกอย่างไว้ให้ ใครมาตรงนั้น ก็จะได้ตรงนี้”

พอเข้าใจใช่ไหม? ใครที่พระเจ้าจับวาง เขาเป็นฮีโร่ เขาเห็นภาพเหล่านี้ได้หมดแหละ ไม่ใช่ฉัน ต้องคิดอย่างนี้ เวลาเราได้อะไรดีๆ อย่านึกว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันทำเอง ฉันโน่น ฉันนี่ วันหนึ่งท่านก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ วันนั้นอาจจะสายไป ก็ได้ เพราะฉะนั้น เตือนไว้ก่อน พระคัมภีร์ก็จะเตือนอย่างนี้เสมอ

เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ เพราะนี่คือพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาที่เรากำลังพูดถึง ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในสายตาเราจะดูว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม ถ้าดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเรา เราเป็นฮีโร่ขึ้นมา ได้รับเกียรติขึ้นมา จงรับรู้ว่าไม่มีใครเก่ง เราก็ไม่เก่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ เราก็ไม่ได้วิเศษ พระองค์ชงไว้แล้วว่าถ้าเราวางมือวันนั้น คนป่วยคนนี้ คนที่เป็นง่อยเดินได้ อย่านึกว่าตัวเองมีความเชื่อมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเราอธิษฐานเยอะ เพราะว่าเราอดอาหาร เพราะเรามีความรู้เยอะ เพราะเรามีความเชื่อเยอะกว่า เดี๋ยวก็รู้สึก พระเจ้าจับวางเราไว้ ให้เราเป็นดาวิดในวันนั้น ให้เราเป็นโมเสสในวันนั้น  แล้วเราก็อยากจะเป็นวันนั้นตลอดไป เดี๋ยวเราก็รู้สึก

ไม่ว่าจะเป็นดาวิดตัวเล็กๆ ชนะยักษ์โกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาคนอิสราเอลอพยพ ดาเนียลกินแต่ผักกับน้ำ แล้วมีกำลังที่ดี หน้าตาดี ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้าชงเอาไว้ วางเอาไว้ทุกอย่าง ปั้นคนนี้ให้ดัง คล้ายๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าซ่าส์ๆ พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น เป็นผู้สร้างขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน                  เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ

บทบาทลีลาแตกต่างกันไป             ถึงสูงเพียงใด ต่างจบลงไปเหมือนกัน”

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ มีความสุข บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ถึงสูงเพียงใด จะดีขนาดไหน ยอดเยี่ยมขนาดไหน ต่างจบลงไปเหมือนกัน คือตายเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครเก่งสักคน

ตอนนี้ มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ทำไมผมถึงใช้คำว่าโลกนี้ คือละคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราพูดมา

พูดถึงละครทุกเรื่อง มีเวที มีนักแสดง มีแนวทางของละครว่าจะเป็นอย่างไร? เรื่องจะไปทางทิศไหน? นักแสดงแต่ละคนจะต้องทำอะไรบ้าง? ต้องทำท่าทางอะไรบ้าง? เป็นหน้าที่ของผู้กำกับการแสดง หรือเราเรียกว่าผู้กำกับ สั้นๆ ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเปรียบว่าโลกนี้ คือละครเวทีใหญ่ มนุษย์ทุกคน ที่อยู่บนโลกนี้ ก็คือนักแสดงแต่ละคน ที่มีบทบาทเยอะแยะไปหมด ไม่เหมือนกัน คล้ายๆ กันบ้าง แล้วผู้กำกับการแสดงของเวทีของละครโลกใบนี้  คือพระเจ้า เพราะเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง เรารู้เลย เหมือนนักแสดงทุกคน ที่ต้องเรียน เล่น และรู้บทที่ได้รับมา ที่ผู้กำกับการแสดงบอกมา สั่งมาว่าเธอต้องรับบทนี้

มีนักแสดงคนไหนไหมครับ ที่พอผู้กำกับสั่งให้ร้องไห้เยอะๆ ก็บอกว่าทำไมต้องร้องด้วย  บทนี้น่าจะหัวเราะ แย้งกับผู้กำกับ ผู้กำกับบอกบทนี้ทำหน้าเศร้าหน่อย ฉันจะยิ้ม คนนั้นคงถูกไล่ออก ไล่ออกแล้วทุกข์ใจไหม? ทุกข์ใจ ตกงาน ไม่มีอะไรกิน เหมือนกันแหละ ถ้าเราไม่ยอมรับบทแสดงนั้น เราก็จะทุกข์ บทแสดงของโลกใบนี้ มันมีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับการแสดงบนโลกใบนี้ทั้งหมด

นี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจที่บอกครั้งที่แล้ว แล้วหัวใจของการเชื่อศรัทธานั้น คนนั้น ต้องเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็น มีอะไรบางอย่างที่ควบคุมโลกใบนี้อยู่ ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าไม่เชื่อตรงนี้  ก็เหมือนไม่มีสติปัญญา เพราะนี่คือความจริง ก็เหมือนคนตาบอดเดิน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย โอกาสที่จะเดินตกโน่น ตกนี่ ชนนั่น ชนนี่ ล้มหัวฟาด มีเยอะไหม? เยอะกว่าคนที่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ คอยหลบคอยหลีก นี่ยังไม่ได้พูดถึงพระเจ้า แค่ให้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็นควบคุมสถานการณ์อยู่ แค่นี้เอง ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าคนที่ไม่รู้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ หรือบนเวที โลกนี้นั้น พระเจ้าเป็นผู้กำกับทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุมหรือกำกับของพระเจ้าแบบนี้ได้ คือเชื่อทั้งหมด เชื่อเหมือนนักแสดงที่เชื่อฟังผู้กำกับการแสดง เราก็สามารถวางใจในพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ ทุกแห่งหน พระเจ้าเป็นผู้กำกับโรงละคร โรงใหญ่ทั้งโลกใบนี้ ตัวแสดงทุกตัวบนโลกนี้ ก็ถูกกำกับโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าสามารถดลใจมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ทำดีกับเราก็ได้ ให้ทำไม่ดีกับเราก็ได้ ให้รักเราก็ได้  ดลใจให้เขาเกลียดเราก็ได้ ประทานให้ใครบางคน คอยช่วยเหลือเราก็ได้ หรือให้คอยกลั่นแกล้งเลื่อยขาเราได้ไหม? ได้ พระองค์เป็นผู้กำกับการแสดงทุกคน ทุกคนเลย ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะเข้าใจและยอมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้โดยดี ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ไม่คิดแค้นใคร สามารถอภัยให้ทุกคนได้ เพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นการแสดงของตัวละครที่พระเจ้าได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำจะเป็นผลดีสำหรับเราเสมอ ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขนะ แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหตุการณ์นั้น อาจจะทำให้เราไม่มีความสุข แต่ผลดี สำหรับเรา และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเสมอ เป็นแผนการของพระองค์ แผนการใหญ่ๆ เราเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้น

ท่านนึกถึงแผนการทั้งหมด บนโลกใบนี้ สมมติมีมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ล้านๆๆๆ คน สมมติ เราเป็นเศษเล็กๆ ในแผนการนั้น เราเป็นจิ๊กซอตัวหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ภาพนั้น เท่านั้นเอง แต่เมื่อสิ้นสุดแล้ว พระองค์ก็จะทำจิ๊กซอตัวเล็กๆ นี้ให้ลงตำแหน่งของมันให้ได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง หน้าที่ของเรา ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งบนเวทีใหญ่ คือเชื่อและวางใจในผู้กำกับ ถึงแม้ว่าเราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับเลย รูปของพระเยซู เป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือว่าใครเคยเห็น แม้บางคนบอกเคยเห็นในความฝัน ก็เป็นจินตนาการ ไม่มีใครรู้ พระคัมภีร์ก็บอก ไม่มีใครรู้ เราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับของเราเลย แต่เราก็เชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อ คือการเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น นี่คือสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ไม่ใช่เราเก่ง ถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้กับเรา เราอาจจะไม่ได้เชื่อมั่นคงจริงๆ ว่าบนโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น มีผู้หนึ่งที่ดูเราอยู่ และคุ้มครอง ปกปักษ์เราอยู่ เป็นพ่อของเรา ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้า เมื่อก่อนเราอาจจะไม่รู้ เพียงแค่เขาบอกว่ามีพระเจ้า เราก็เชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ แต่ทุกวันนี้ เราเชื่อจริงๆ ฮีบรู 11:1-3 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดมาก นี่คือสัจจะธรรมของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และความจริงที่พระเจ้าสำแดงให้พวกเราได้เห็น ถ้าคนที่มารู้จักพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็อาจจะรู้ว่าความเชื่อนี้หมายถึงอะไร? แต่ถ้าอ่านแล้ว อาจจะยังพอเข้าใจบ้าง แต่อาจจะไม่รู้เรื่องว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ฮีบรู 11:1-3

ฮีบรู 11:1-3 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับโดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น 3 โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น พอเชื่อปุ๊บ สิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น มันมองเห็นได้ปุ๊บ มันหมายความว่าอย่างนั้น พอมีความเชื่อแบบนี้ขึ้นมา สิ่งที่เราไม่เคยเห็น จับต้องมองไม่เห็น แต่กลายเป็นจับต้องมองเห็น มีอยู่จริงๆ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะความเชื่ออย่างนี้เอง ที่คนสมัยก่อนได้รับการชมเชย โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า … สมัยก่อน ก็คือที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ คือดาเนียล โมเสส ดาวิด สมัยนั้น คนเหล่านี้ เขาเชื่อว่าจักรวาล มีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า เห็นไหม? จักรวาลนี้ คือดวงดาวที่เขาเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ดวงอาทิตย์ อะไรต่างๆ เขามองทุกอย่างเลย พระเจ้าสร้างด้วยความเชื่อแบบนี้ จะเกิดอย่างนี้ขึ้น คือเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าควบคุมทุกอย่างอยู่ คือเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นนั้น เกิดขึ้นโดยพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ อะไรต่างๆ ที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา คือสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น จากโลกวิญญาณนั้นเอง เอเมน แค่นี้ก็เป็นสติปัญญาอันยิ่งใหญ่แล้วนะ พูดแค่ 2-3 ประโยคแค่นี้เอง ล้ำลึกมากเลย ใครที่มีความเชื่ออย่างนี้ ไปรอดแล้ว เพราะเขารู้ความจริง พอรู้ความจริง ตาสว่าง ก็อ๋อ! รู้ความจริง ก็ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้ ถ้าคนที่ไม่รู้ความจริงว่าโลกใบนี้ ที่กำลังเกิดอะไรขึ้น มีบางอย่าง ที่บนโลกที่เรามองไม่เห็น ควบคุมทุกอย่างอยู่ แล้วมันเป็นจริงตามนั้น แล้วเขาไม่รู้ ท่านคิดดู ทำอะไรก็ผิดหมดเลย แต่สำหรับเราที่รู้ ทำอะไร ก็ถูกหมด เพราะเรารู้จักข้างบนแล้ว เอเมน ชัดไหม?

ผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ต้องเชื่อตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม พระเจ้าทรงพระชนมอยู่ และพระเจ้าทรงกำกับการแสดงเวที โรงละครโรงใหญ่ คือโลกใบนี้ทั้งหมด เอเมน ต้องเป็นอย่างนั้น ดาเนียลก็เป็นอย่างนั้น โมเสสก็เป็นอย่างนั้น ดาวิดและคนอื่นๆ มีมากหลาย ก็เป็นอย่างนั้น

ทุกวันนี้ ที่เราอยู่ในบ้านเมืองนี้ ในประเทศไทย เหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นใช่ไหม? หลายอย่างเราคิด อันนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ อันนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ ลุ้นกันใหญ่นะครับ ถามว่าเราเคยเอะอะโวยวายไหม? ที่มันไม่เป็นไปตามที่เราคิด บางครั้งเราหงุดหงิดนิดหน่อย บางครั้งเราหงุดหงิดมาก บางครั้งเราฟังข่าวเขาประกาศออกมา มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ดีต่อประเทศชาติ เราก็คิดของเราไปเรื่อย ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์ บางครั้งที่เราหงุดหงิดนั้น มันใช่จริงๆ มันไม่ดีจริงๆ ถูกไหม?  เราเคยบ่นว่าไหม? มันไม่ดีจริงๆ ทำไมทำอย่างนี้นะ เคยหรือไม่เคย?  เคย เราเคยสงบนิ่งไหม? เมื่อเขาพูดถึงบ้านเมือง แล้วเราไม่ชอบ เรารู้ว่ามันไม่ดีจริงๆ ด้วย เราเคยสงบนิ่งไหม? มันเกิดอะไรไม่ดี พระเจ้าควบคุมอยู่ ก่อนที่จะบ่น เราบอก พระเจ้าควบคุมอยู่ พระเจ้าดูแลอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับทุกอย่าง พระเจ้ามองเห็น พระองค์ทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราเคยพูด ละไว้ในฐานที่เข้าใจไหม? ไปคิดดู แล้วเอาตามที่เราสบายใจก็แล้วกัน เราคิดอยากจะทำอย่างไรก็เชิญเลย พระเจ้าควบคุมอยู่นะ อยากจะบ่น ก็บ่น พระเจ้าฟังคำบ่นของท่าน แล้วอ้าว! เปลี่ยนแผน ไปคิดดูแล้วกัน

นี่เป็นประสบการณ์จริงของพวกเราเองเลย แล้วเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองมันชัด เขาบอกว่าห้ามคุยกันเรื่องศาสนากับเรื่องบ้านเมือง เดี๋ยวตีกันตาย อย่าว่าแต่วงเพื่อนเลย ขนาดวงครอบครัวยังแตกแยกกัน เพราะคุยกันเรื่องนี้ เพราะเขาไม่รู้มี หรือรู้ว่ามี แต่ละเลยไม่สนใจเพิกเฉยต่อความเป็นจริงว่ามีผู้กำกับการแสดงอยู่ข้างบน ถ้าเขารู้อย่างนั้น เขาก็คงไม่ทะเลาะกัน เขาคงไม่ใช้อารมณ์และความคิดของตนเองว่า …

“ฉันยอด ฉันเยี่ยม ฉันดี” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

แม้ว่าตามเหตุผลเราถูกต้องด้วยซ้ำ หรือตามเหตุผลบางกลุ่มจะถูกต้องด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเรารู้ว่าข้างบนมีการควบคุมดูแลอยู่ เราก็สามารถนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า จงเงียบเสีย เลิกบ่นสักทีหนึ่ง (พูดกับตัวเองนะ)

หรือเวลาที่เราถูกใครเขาเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งสิ่งที่เรามีอยู่ เราโวยวาย หรือท้อใจว่าไม่ยุติธรรม เราโวยวายไหม? ในสถานการณ์ที่เราไม่ชอบ เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าหรือเปล่าว่าพระองค์กำลังนำเราเข้าไปในเหตุการณ์นั้น เพื่อสิ่งดีสำหรับเรา และเพื่อแผนการของพระองค์ และเพื่อพระองค์จะได้รับเกียรติในแผนการนั้น เราเคยคิดอย่างนี้ไหม? มันคิดยากมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เราต้องเจ็บปวด หรือต้องเสียหาย หรือต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป มันเจ็บปวดมาก ที่จะต้องเข้าใจถึงคำว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่

เราสามารถสงบนิ่ง วางใจในพระเจ้าได้แค่ไหน? ชีวิตที่วางใจในพระเจ้า ก็คือเชื่อว่าไม่ว่าจะทุกข์ สุข ลำบาก หรือสบาย พระเจ้าทรงควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ และพระองค์ทรงรักเรา และจะทำให้เกิดผลดีสำหรับเรา ในทุกสิ่งเหล่านั้น และให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ได้ ถึงแม้ตอนนั้นมันรับยากขนาดไหนก็ตาม แต่ขอให้ประโยค ถ้อยคำเหล่านี้ที่พระคัมภีร์บอกเรานั้น มันฝังหัวเราตลอดเวลา แล้วขอพระเจ้าเมตตา ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเถิด

กลับมาเรื่องดาเนียลต่อ สิ่งที่ดาเนียลกับเพื่อนทำอยู่ ก็คือการทำตัวเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีโลกแห่งนี้ และยอมเชื่อผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ยอมแสดงตามในบทบาททุกอย่าง ด้วยความบากบั่น มั่นคง และอดทน นี่คือตัวอย่าง

ในต้นของหนังสือดาเนียล ได้กล่าวถึง การควบคุมสถานการณ์ของพระเจ้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ทรงมอบอิสราเอลให้อยู่ภายใต้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าทรงมอบชาวยิวทั้งหมด ให้มาเป็นเชลยของบาบิโลน ทรงให้ดาเนียลมาเรียนรู้วิชาอาคม วิทยาคม ไสยศาสตร์ของบาบิโลน

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเจ้าเป็นผู้มอบให้” ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ถ้าท่านไปอ่านพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่ม ท่านจะเห็นคำนี้เยอะไปหมดเลย ดาวิดก็ใช่ โมเสสก็ใช่ ดาเนียล 1:1-2

ดาเนียล 1:1-2 “1 ปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม 2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ พร้อมทั้งภาชนะบางอย่างในพระวิหารของพระเจ้า ไว้ในมือเนบูคัดเนสซาร์ เนบูคัดเนสซาร์ ทรงนำสิ่งเหล่านี้ ไปเก็บไว้ที่คลังของวิหารเทพเจ้าของตน ในบาบิโลน”

 

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอิสราเอลอ่อนแอกว่าบาบิโลนใช่หรือไม่? เป็นเพราะกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เก่งใช่ไหม? เป็นไสยศาสตร์ คาถาอาคมหรือเทพเจ้าของบาบิโลนใหญ่กว่าพระเจ้าของอิสราเอลใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่เลยทั้งหมด แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ หรือมอบให้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ควบคุมทุกสิ่ง พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นนั่นเอง ชัดแจ๋วเลย

ไหนพระองค์บอกพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ไง? ไหนบอกว่าอิสราเอลเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรักมากไง? แล้วพระองค์ไม่รู้หรือว่าลูกหลานเหล่านั้นที่เกิดมาหลังจากนั้น ในอิสราเอลจะทุกข์มากขนาดไหน? ดาเนียลอายุ 13-15 ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยตอนนั้น ทำไมต้องมารับกรรมเหล่านี้ ถูกเนรเทศ ไม่ได้รับเกียรติ แถมถูกบังคับต่างๆ นานา มารับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่โหดเหี้ยม และเป็นผู้ทำลายประเทศของตัวเอง กัดฟันอยู่ตรงนั้น ไม่ยุติธรรมเลย เพราะฉะนั้น ต้องลงไลน์ เฟสบุ๊คว่ากันหน่อยแล้วอย่างนี้ ต้องเยาะเย้ย ต้องแก้ไข บางทีเราก็ทำอย่างนั้นในปัจจุบัน  สมัยก่อนไม่มีโอกาส แต่เดี๋ยวนี้ ไปได้ทั่วโลก พระเจ้ายอดเยี่ยมเลย เพื่อให้เราได้เห็นว่าเชื้อบาปมันอยู่ในเราจริงๆ ไม่ว่าจะมีเครื่องมือหรือไม่มีเครื่องมือ เราก็เป็นคนบาปคนนั้นแหละ เพียงแต่ว่ามีเครื่องมือเยอะๆ มีเทคโนโลยีเยอะๆ ทำบาปได้มากขึ้นเท่านั้นเอง

บาปนี้หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมนะ อะไรไม่ตามใจเราหน่อย เราคิดต่างปุ๊บ เราก็จะบ่น แทนที่เราจะคิด มีพระเจ้าอยู่ ดาเนียลคงไม่ได้คิดตามที่ผมกำลังพูดนะ เพราะดาเนียลรู้ความจริงว่ามีผู้กำกับอยู่ และผู้กำกับผู้นี้เก่งมากเลย ก็คือพระเจ้าของอิสราเอล พระเจ้าของเขา เป็นผู้ควบคุมอยู่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  พระเจ้านำพาเขามาแล้ว จะแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวของพระองค์เอง

ในบทที่ 2 หลังจากเหตุการณ์กินผักแล้ว ดาเนียลกับเพื่อนก็ได้เรียนรู้วิชาการต่างๆ ของบาบิโลน เรียนรู้ขนบธรรมเนียม วิชาไสยศาสตร์ เทพเจ้าก็ว่ากันไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาทำนายฝัน แปลความฝัน เขาจะมีหนังสือเลย ในสมัยนั้น บาบิโลนเฟื่องฟูมาก เรื่องวิชาการทำนายฝัน มีหนังสือ เป็นตำรา ในนั้นเปิดเข้ามาจะมีตำราว่าถ้าเผื่อฝันอย่างนี้ หมายถึงอย่างนั้น อย่างนี้ แปลว่าอย่างนั้น คนต้องไปเรียนรู้จริงๆ ถึงมีความสามารถในการทำนายฝันได้อย่างละเอียด และได้ทุกเรื่อง และค่อนข้างตรง จะตรงหรือไม่ตรง ผมไม่รู้ ขึ้นอยู่กับผู้กำกับอีกแหละ ดาเนียลก็ต้องไปเรียนรู้กับพวกเขาอย่างนั้น  นี่คือหนึ่งในวิชานั้น ที่ดาเนียลต้องไปทำ

อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ฝันประหลาด ก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ คือพวกอาจารย์ต่างๆ ที่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ และนักปราชญ์ในวัง พวกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก นักปราชญ์กับเหล่าโหราจารย์นี้  ก็คือพวกที่ฉลาดที่สุดในประเทศบาบิโลน ในตอนนั้น ซึ่งเป็นมหาอำนาจ ท่านลองคิดดู ถือว่าฉลาดที่สุดของโลกในสมัยนั้น เพราะเป็นประเทศที่เจริญที่สุด กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกคนเหล่านี้มาทำนายฝันหน่อย ตื่นขึ้นมาเหงื่อแตก ให้มาช่วยทำนายฝัน แล้วบอกว่าถ้าทำนายฝันไม่ได้ ตาย แต่ถ้าทำนายฝันถูกต้องได้ ให้รางวัลใหญ่โตเลย พอเหล่าโหราจารย์เข้าร่วมกันประชุม ที่ท้องพระโรง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าว่าเขาฝันอะไร? ท่านเข้าใจความรู้สึกไหม? มาทำนายฝัน ทุกคนก็เข้าไป สติปัญญา ทำนายมาหลายครั้งแล้ว มีชื่อเสียงในเรื่องทำนายฝัน เอาตำรามาเต็มเลย

“กษัตริย์มีอะไรให้ข้าพระบาททำนาย พระองค์ฝันว่าอะไร?”

ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ใช่ไหม? บอกมาสิว่าฝันว่าอะไร?  แต่กษัตริย์บอกว่า …

“ไม่บอก ทำนายมาสิว่าฉันฝันว่าอะไร?”

พวกโหราจารย์ พวกนักปราชญ์ สะดุ้งเลย แล้วก็ตอบกษัตริย์ว่า …

“ไม่มีกษัตริย์องค์ใดทำอย่างนี้นะ เรียกคนมีสติปัญญา นักปราชญ์ นักทำนายฝันมา แล้วบอกว่า “ฉันไม่รู้ ฉันฝันอะไร ทำนายสิว่าฉันฝันว่าอะไร? มีแต่บอกว่าฉันฝันว่าอะไร? เดี๋ยวพวกข้าพระบาทจะเปิดหนังสือช่วยกัน”

อยู่ดีๆ มาบอกว่า “ช่วยทำนายทีว่าฉันฝันว่าอะไร?”

นี่ขนาดยอดสติปัญญา ก็ยังทำไม่ได้  ผมบอกท่านตอนแรกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ  พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ พระเจ้าอยากให้ใครเป็นวีรบุรุษ เดี๋ยวพระเจ้าสร้างเอง

ดาเนียล 2:10-16 “10 โหราจารย์ทั้งหลายทูลว่าไม่มีใครในโลกนี้ สามารถทำอย่างที่ฝ่าพระบาทประสงค์ได้ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดจะถามเช่นนี้ จากผู้เล่นอาคม นักเวทมนตร์ หรือโหราจารย์ได้ ไม่ว่ากษัตริย์องค์นั้น จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด 11 สิ่งที่ฝ่าพระบาทให้ทำนี้ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นจะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ 12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณ 15 ดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา  เพื่อจะทูลความหมายของความฝัน ให้ทรงทราบ”

 

พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เจออย่างนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในข้อ 11 บอกว่ามีแต่เทพเจ้าเท่านั้น … เทพเจ้า หมายถึงเทพเจ้าของพวกเขานะ พวกบาบิโลน มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น ที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ หมายถึงเทพเจ้าก็ไม่ได้คุยกับมนุษย์อย่างนี้ ใกล้ชิดกันอย่างนี้ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อได้ พูดคุยไม่ได้ มีแต่บนได้ บนกับอธิษฐาน คนละเรื่องกันนะ บนแล้วแต่เวรแต่กรรม ไม่รู้จะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิด ในการพูดกับพระเจ้า คนละเรื่องกัน

พอโหราจารย์ตอบไม่ได้ กษัตริย์ก็โกรธมาก เรียกให้เอาตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต คือเหมือนกับว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก เสียโต๊ะฮ่องเต้ไปตั้งหลาย ใช้อะไรไม่ได้เลย เปล่าประโยชน์ และในบรรดานักปราชญ์ที่จะต้องถูกประหารชีวิต ดาเนียลและเพื่อน ซึ่งเป็นนักปราชญ์ หัวกะทิเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงนั้น ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกัน

ตอนที่ทหารจะมาจับตัวดาเนียล เพื่อนำไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ได้พูดคุย บอกกับหัวหน้าให้พาไปหากษัตริย์หน่อยจะขอเวลากลับไปทำนายฝัน ขอเวลาหน่อย เรื่องนี้มันจะเกี่ยวพันมาถึงเรื่องเราทุกวันนี้ เกี่ยวข้องหมดเลย 2,600 ปีและจะเกี่ยวข้องมาถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ จนกระทั่ง ไม่รู้เมื่อไร พระเยซูกลับมาใหม่ และจนกระทั่งเราไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล ขอพระเจ้าอวยพร

 

********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต” ตอน 5 “ข้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุท ธิ์และความรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้จะเป็นการสรุปจบของหัวข้อการบรรยายชุด

“หลักข้อเชื่อของอัครทูต” หรือ Apostle’s Creed หัวข้อเรื่องก็คือ “ข้าเชื่อ

ตอนที่ 5 “ข้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์และความรอด”

ทบทวนสั้นๆ ก่อน หลักข้อเชื่อของอัครทูต ที่เราเรียนกันมา 4

ตอนแล้ว มีอยู่ 12 ข้อ สามารถจัดเป็นกลุ่มได้ 4 กลุ่มหลัก คือ …

กลุ่ม 1 เกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา มี 1 ข้อ

กลุ่ม 2 เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มี 6 ข้อ

กลุ่ม 3 เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

และสากลคริสตจักร มี 2 ข้อ

กลุ่ม 4 เกี่ยวกับความรอด หรือผลจากความเชื่อ

ที่เราได้รับ มี 3 ข้อ

ทั้งหมดรวมกันจะครบ 12 ข้อ เราได้เรียนกันไปแล้ว ก็คือ กลุ่ม

1 และกลุ่ม 2 คือความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา

ความเชื่อในเรื่องพระเยซูคริสต์ พระบุตร 2 อันรวมกัน

เรียนไปแล้ว 7 ข้อ

วันนี้เราจะมาสรุปจบในเรื่องกลุ่มที่ 3 และ 4

รวมกันเลยนะครับ ก็คือความเชื่อในเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์

และความเชื่อจากผลของความเชื่อ มีอยู่ 5 ข้อ

รวมกันแล้วจะได้ครบ 12 ข้อ คือตั้งแต่ข้อที่ 8

ข้อที่ 8 ข้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้อที่ 9 ข้าเชื่อวางใจในสากลคริสตจักรและการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน

ข้อที่ 10 ข้าเชื่อวางใจในการอภัยโทษบาป

ข้อที่ 11 ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย

ข้อที่ 12 ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในชีวิตนิรันดร์

วันนี้เราจะย้ำอีกว่าเวลาเราพูดว่าความเชื่อๆ

หรือหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือเรียกว่า Apostle’s Creed

เรากำลังพูดถึงความเชื่อที่มีลักษณะเรียกว่าความเชื่อศรัทธา

ไว้วางใจ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อถึงขนาดวางใจ

และเต็มไปด้วยความศรัทธา กล้าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ได้เลย

ไม่สามารถให้ความเชื่อนี้กับใครได้อีกแล้วบนโลกใบนี้

หรือในมหาจักรวาลนี้

ไม่ใช่ความเชื่อที่เกิดจากการสัมผัสด้วยร่างกาย ด้วยผิวหนัง

ความเชื่อที่เรากำลังพูดนี้ เป็นความเชื่อศรัทธา

ที่จับต้องมองเห็นไม่ได้ หรือเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์หรือมีหลักฐาน

ไม่ใช่อย่างนั้น เราเชื่อแม้ไม่มีสิ่งที่พิสูจน์ได้ แล้วไม่มีหลักฐาน

นี่ความเชื่อของเรา ที่กำลังพูดถึงตรงนี้ ถ้าเผื่อมันสัมผัสได้

ถ้าเผื่อมันมีเหตุมีผล ในสิ่งที่เราเข้าใจ ตามความคิดของมนุษย์

เราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อศรัทธานี้แล้ว

ดังนั้น ความเชื่อศรัทธาตรงนี้

มันหมายถึงความเชื่อที่เกินกว่าเหตุผล สัมผัสไม่ได้ด้วยตา

สัมผัสไม่ได้ด้วยร่างกาย ด้วยมือ แต่ความเชื่อศรัทธานี้

หมายถึงความเชื่อศรัทธาตามถ้อยคำพระเจ้า …

ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้น เราเชื่อแล้ว เชื่อศรัทธาในผู้พูด

วางใจในผู้บอก ผู้พูด ก็คือพระเจ้า

เจ้าของถ้อยคำในพระคัมภีร์นั่นเอง

เมื่อถ้อยคำพระเจ้าพูดอย่างนั้น เราก็เชื่อว่าอย่างนั้น ไม่ต้องพิสูจน์

ไม่ต้องจับต้องมองเห็น นั่นคือเรากำลังพูดถึงความเชื่ออย่างนี้

เรามาเริ่มข้อที่ 1 เลยนะครับ

“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ความหมายของการเชื่อและวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์

ก็คือเราเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์

พระเยซูคริสต์ คือเชื่อในการเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์

มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเรา

หรือเรียกว่าเป็นแพะรับบาปให้กับเรา

และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

ถ้าเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตามที่พูดมา

พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาสถิตอ

ยู่กับเรา นี่คือพระสัญญา

ถามว่า

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่าน?”

ขนลุก ตอนนี้ขนลุกไหม? ไม่ ร้อนวูบวาบๆ ในตัวหรือเปล่า?

เปล่า! แต่เราเชื่อ เพราะบอกไว้ เพราะพระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น

พระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น กิจการ 2:17 บันทึกไว้อย่างนี้

กิจการ 2:17 “พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย

เราจะเทพระวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง”

“ในวาระสุดท้าย” ก็คือวาระที่พระเยซูคริสต์

พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายที่ไม้กางเขน

หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย

“ในวาระนี้ ใครเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวดีนี้

เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาอยู่เหนือประชากรทั้งปวง”

ประชากรทั้งปวง ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้ ใครก็ได้ที่เชื่อ

ก็ได้รับตรงนั้น

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ขอ

งพระองค์ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาอยู่เหนือประชากร

ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย เงื่อนไขมีอยู่นิดเดียวเท่านั้นเอง ก็คือ …

(1) คนนั้นต้องเป็นประชากรของพระเจ้า …

ประชากรของพระเจ้า ก็คือมนุษย์ จะเป็นต้นไม้ก็ไม่ได้

จะเป็นสัตว์ก็ไม่ได้ ต้องเป็นมนุษย์

(2) มนุษย์คนนั้น ต้องเชื่อในพระเยซูคริสต์

เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์

เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์

เชื่อในสถานะของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกเป็นพระเจ้า

มาเกิดเป็นมนุษย์

ถ้าทำตามเงื่อนไข 2 ข้อนี้แล้ว

คนนั้นก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเขา ในอดีต

ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง

ได้เผยพระวจนะไว้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในยุคของพระเยซูคริสต์

คือยุคปลาย ยุควาระสุดท้ายนั่นเอง ลองมาดูยอห์น 7:37-39

ยอห์น 7:37-39 “ 37 ในวันสุดท้าย

ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดของเทศกาล

พระเยซูทรงยืนขึ้นและตรัสเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย

ให้เขามาหาเรา 38 และดื่มเถิด ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้

ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเรา สายธารซึ่งมีน้ำที่ให้ชีวิต

จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น” 39 ที่ตรัสดังนี้

พระองค์ทรงหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์

จะได้รับในภายหลัง”

พระเยซูตรัสเอง

ตอนที่พระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้

เราเชื่อมั่นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเราแล้ว

ก็เพราะว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราอาจจะไม่เข้าใจ

เราอาจจะนึกภาพไม่ออก เราอาจจะสัมผัสไม่ได้ด้วย

เราอาจจะไม่รู้สึกมีอะไรเกิดขึ้นในร่างกายนี้ แต่เรามีความเชื่อมั่น

เชื่อศรัทธา 100% ตามถ้อยคำพระเจ้าว่ามันเป็นไปตามนั้นจริงๆ

นี่แหละเรียกว่าความเชื่อศรัทธา ไว้วางใจ

เพราะฉะนั้น ข้อนี้ก็คือเราเชื่อศรัทธา

และมั่นใจว่าเมื่อเราอ่านถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แล้ว

ไม่ว่าเราจะรู้สึกทุกข์ รู้สึกหงุดหงิด

หรือรู้สึกกำลังโมโหใครก็ตาม ขณะนั้น

พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา

บางคนบอก “อยู่ได้อย่างไร ไม่เห็นบริสุทธิ์เลย

บริสุทธิ์ต้องนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลยสิ แต่นี้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?

ยังด่าคน ยังดุคนแบบเกรี้ยวกราดอยู่เลย”

ที่คริสเตียนกำลังเกรี้ยวกราดนั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเขาไหม? อยู่สิ ก็ไม่ใช่เงื่อนไขนั้น

เงื่อนไขบอกว่าคนที่เกรี้ยวกราดอยู่นั้น

เขาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์อยู่หรือเปล่า? ถ้าเขายังเชื่ออยู่

เขาจะหงุดหงิดบ้าง เขาจะทำอะไรบ้าง มันเรื่องของเขา

แต่ว่าเขาเชื่อในพระเยซูคริสต์ หรือว่าใครเชื่อในพระเยซูคริสต์

แล้วไม่หงุดหงิดอีกต่อไปเลย

“อะไร คุณยังนิสัยเป็นอย่างนี้อยู่ คุณยังกินเหล้าอยู่เลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับคุณได้อย่างไร?

เป็นไปได้อย่างไร?”

เราบอกเขาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่

เพราะว่าพระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างนั้น

นี่ไม่ได้พูดให้เราไปกินเหล้านะ

กำลังบอกท่านว่าคนอื่นเขาจะคิดอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าบริสุทธิ์สะ

อาดมาก เราสกปรกขนาดนี้ พระเจ้าจะอยู่กับเราได้อย่างไร?

เราบอกเขาว่าเราสะอาดหมดจด ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเอง

แต่เพราะเราเชื่อในการไถ่บาป ในการชำระบาปจากพระเยซูคริสต์

เอเมน เราไม่ต้องทำด้วยตัวเราเอง

เพราะพระคัมภีร์บอกว่าเป็นพระคุณๆ เป็นอะเมชิ่งเกรซ

เกรซ แปลว่าอะไรก็ตามที่เราได้รับ

โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ แม้ว่าเราไม่สมควร

ก็จะให้ เขาเรียกว่าโปรดปรานพิเศษ เอเมน แล้วเราทุกคน

ก็ได้รับตรงนั้น

มีใครไหมครับที่บอกว่า

“ตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉันแล้ว เพราะฉะนั้น

ฉันสามารถสัมผัสได้ ขนลุกซู่เลย ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเลย”

เคยได้ยินไหม? เคย ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา ถามว่ามีไหม?

มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น

จึงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์

แต่ถ้ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว มีพระเจ้าสถิตอยู่แล้ว

บางครั้งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็โอเคไป

แต่มันไม่ได้เป็นสาระสำคัญ เราต้องไปเอาหลักฐานตรงนั้น

มาบอกว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่

หลักฐานของการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของใครคนใดคนหนึ่

ง อยู่ที่ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า

ถ้อยคำพระเจ้าบอกถ้าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์

พระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน นั่นแหละ คือหลักฐานชัดเจน

เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินใคร ในขณะที่แต่ละคนเต้นโลด

พระวิญญาณสถิตอยู่กับเขา คนนี้นั่งนิ่งๆ

แล้วบอกว่าพระวิญญาณไม่สถิตอยู่กับเขา อย่าไปตัดสินอย่างนั้น

มันอาจจะตรงกันข้ามก็ได้นะ เราก็ไม่รู้

ฉะนั้นให้เรารู้ว่าสาระสำคัญมันอยู่ตรงไหน?

แล้วท่านรู้ไหมว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตกับท่าน

จะมาคอยช่วยเหลือ คอยสอน ให้เรารู้จักพระเจ้า ตามพันธสัญญา

มาเป็นพี่เลี้ยงเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ให้เราได้สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

เชื่อไหม? เชื่อ

แล้วทำไมไม่เห็นทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าหลายอย่างเลย

ก็เคยบอกแล้วใช่ไหม? พอเราเชื่อพระเยซูปุ๊บ

พระเยซูประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับเราใช่ไหม?

ขณะเดียวกัน พระเยซูก็ปักป้ายอยู่ที่หลังเรา เขียนว่า

“อยู่ในการก่อสร้าง ขออภัยในความไม่สะดวก”

ชีวิตเราทุกคนก็อย่างนี้ มันก็ไม่สะดวก ยังไม่เสร็จ เพราะฉะนั้น

อาจจะมีตกหล่น บกพร่องไป พระเยซูบอก “อภัยด้วยค่ะ/ครับ

คนนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง” ถ้าท่านไม่เชื่อ

ท่านลองเอาป้ายติดตัวเองก็ได้ ต่อไปนี้เกิดอะไรขึ้น หงุดหงิดไป

พูดจาเลอะเทอะไป กรุณาอภัยด้วย

เพราะว่าพระเยซูบอกว่าอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

ขออภัยล่วงหน้า เอเมน ลองมาอ่านดูในโรม 8:26-27

โรม 8:26-27 “ 26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเรา

เมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใด

อย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา

ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ 27

และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์

ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ

เพราะว่าพระวิญญาณทรงอธิษฐานขอ เพื่อธรรมิกชน

ตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า”

บางครั้งเราไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไร? เราเซ็งตัวเองเหลือเกิน

ทำไมโลภอีกแล้ว ทำไมหงุดหงิดอีกแล้ว ทำไมโมโหอีกแล้ว

ทำไมอีกหลายๆ อย่าง ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอีกแล้ว

เคยไหม? เคย มันก็เป็นอย่างนี้แหละ

แล้วพระวิญญาณก็จะช่วยเราทีละนิดทีละหน่อย ก่ออิฐไปทีละก้อน

โบกปูนไปทีละนิด ค่อยๆ แกร่งขึ้นๆ สร้างไปเรื่อยๆ เสร็จเมื่อไร?

โน่น อยู่ในสวรรค์จึงจะเสร็จ บนโลกนี้ไม่เสร็จ

ตอนที่ท่านล่วงหลับไป ร่างกายบนโลกใบนี้หยุดทำงาน

ตอนนั้นก็ยังไม่เสร็จ แต่วิญญาณออกไป เมื่อรับร่างกายใหม่

จากพระเจ้าแล้ว เสร็จเรียบร้อย เอเมน เพราะไม่มีเชื้อบาปแล้ว

เมื่อเราเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราอย่างนี้แล้ว

พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ

เราก็พร้อมแล้วที่จะเชื่อวางใจในหลักข้อเชื่อต่อไป

ที่เรากำลังจะเรียนต่อไป ก็คือ …

“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในสากลคริสตจักร

และในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน”

คำว่า “สากลคริสตจักร” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Catholic Church”

คาทอริค ที่เขาเรียกกันว่าโบสถ์คาทอริค

คำว่า “Catholic” เป็นภาษาดั้งเดิม แปลว่าสากล

หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือภาษาอังกฤษ คือคำว่า Oneness

แปลว่าหนึ่งเดียว

คำว่า “Catholic Church”

จึงมีความหมายว่าคริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียว พวกเราส่วนใหญ่

เวลาพูดถึงคริสตจักร ก็มักจะนึกถึงสถานที่ คริสตจักรโน้น

คริสตจักรนี้ โบสถ์โน้น โบสถ์นี้ วิหารโน้น วิหารนี้

ที่คริสเตียนไปรวมกัน ผู้ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว มาร่วมกันนมัสการ

มาร่วมกันศึกษาพระคัมภีร์ ฟังคำบรรยาย มารู้จักกันอะไรต่างๆ

เหล่านั้น

แต่จริงๆ แล้ว คำว่า “คริสตจักร” หรือ “Church”

ไม่ได้หมายถึงเป็นแค่สถานที่ หรือแค่ตัวอาคารเท่านั้น

แต่คริสตจักรจริงๆ หมายถึงครอบครัวที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคน

ผู้ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์

เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ นี่แหละเรียกว่าคริสตจักร

คริสตจักร ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์นั่นเอง หรือ Kingdom of

Christ

เมื่อเราเชื่อพระเยซู

เราถูกนำเข้าไปอยู่ในราชอาณาจักรของพระเยซูคริสต์

เหมือนประเทศ ประเทศหนึ่งของพระเจ้า ใหญ่มาก

เพราะว่าพระคัมภีร์บอกแล้วว่าอาณาจักรของพระองค์

จะไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาล ทุกยุคทุกสมัย

ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์

ที่ตั้งต้นตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย

จนถึงวันนี้ ก็ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ครอบครองไปทุกๆ ปี

ในอนาคตตลอดไป

พอเราเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู

เราได้ถูกจับใส่เข้ามา โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทางวิญญาณ

เข้าไปอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรของพระเยซูคริสต์

เรียกว่าคริสตจักร

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามบนโลกใบนี้ ถูกจับเข้าไปในอาณาจักร

ท่านเห็นไหม? ประเทศเดียว เรียกว่าประเทศพระคริสต์

ประเทศพระเยซู เรียกว่าอาณาจักรของพระเยซู

เราทั้งหลายอยู่ในนั้นแหละ

อธิบายอย่างนี้ ท่านพอจะมองเห็นภาพไหม? มีหนึ่งเดียว

มีประเทศเดียว ก็คือประเทศพระเยซู ไม่ว่าอยู่แห่งไหน?

กาลาเทีย 3:26

“เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมกันในพระเยซูคริส

ต์ โดยความเชื่อ”

ท่านทั้งหลาย หมายถึงทั้งหมดบนโลกใบนี้

เป็นบุตรของพระเจ้าร่วมกัน ก็คือเป็นครอบครัวเดียวกัน

เอเฟซัส 2:19 “เหตุฉะนั้น บัดนี้

ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป

แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับวิสุทธิชน

และเป็นครอบครัวของพระเจ้า”

ความหมายของการเชื่อและวางใจในสากลคริสตจักร

หรือ Catholic Church

ก็คือข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ

พระเจ้า ในราชอาณาจักรของพระเยซูคริสต์

ที่มีพระเจ้าเป็นพระบิดา หรือมีพระเจ้าเป็นพ่อ

และมีพระเยซูเป็นเสมือนพี่ชาย …

พี่ชายพาพวกเราทั้งหมดมาหาพ่อ และคืนดีกับพ่อ ไถ่บาปให้กับเรา

แล้วก็กลับเข้ามาอยู่ในอาณาจักรที่พ่อประทานให้พวกเรา

โดยให้พระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็เหมือนน้องๆ เข้ามา

อย่างนี้ ต้องใช้ความเชื่อศรัทธา

ใครถามท่านตอนนี้ว่าสำมะโนครัวของท่านอยู่ที่ไหน?

ใครเป็นหัวหน้าครอบครัว ท่านอาจจะนึกในใจ

“หัวหน้าครอบครัวผม ก็คือพระเยซู”

นี่เรื่องจริง พระคัมภีร์บันทึกไว้ เข้าใจอย่างไร?

คุณอยู่บนโลกใบนี้ คุณนามสกุลนี้ พ่อคุณ ปู่คุณอยู่ตรงนี้

อยู่ประเทศไทยนี้ คุณบอกว่าตอนนี้

คุณอยู่ในอาณาจักรพระเยซูคริสต์

มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าครอบครัว พูดแล้วคนไม่เข้าใจเราเลย

ไม่มีเหตุผลเลย มันจึงต้องใช้ความเชื่อศรัทธาไง

พยายามเน้นความเชื่อศรัทธาท่านว่ามันแปลว่าอย่างนี้

ความเชื่อศรัทธา เชื่อ วางใจ เชื่อศรัทธา คือไม่ต้องสงสัย

พระคัมภีร์พูดอย่างไร? ก็เอาอย่างนั้น ไม่ต้องเข้าใจ

ไม่ต้องมาอธิบายว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?

ไม่ต้องพยายามค้นหาว่าหลักฐานตรงไหนที่เขียนบอกไว้ …

“เอาหลักฐานมาให้ฉันดูหน่อยว่าเธอเป็นประชากรของอาณาจักรข

องพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่ตรงไหน?

ไม่ต้อง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

“เธอเป็นญาติกับพระเยซูตอนไหน? อยู่ดีๆ

พระเยซูไปเป็นพี่ชายเธอ เพราะอะไร? ปู่ชื่อโยเซฟเหรอ”

อะไรอย่างนี้ ไม่ต้อง มันเป็นเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ

ตอบได้อย่างเดียว คือตอบตามพระคัมภีร์

พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น จบ เอเมน ไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

ไม่ต้องรอให้เขาถาม อธิบายอย่างนั้นอย่างนี้

นี่คือความเชื่อศรัทธาแปลว่าอย่างนี้ ในเรื่องนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ไม่ต้องมานั่งคิดว่า

“แล้วความเชื่อศรัทธาสายของเธอมาจากฮาม ยาเฟท

หรือตั้งแต่สมัยโนอาห์”

พระคัมภีร์บอกผู้เชื่อทุกคนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวของพ

ระเจ้า ทุกคนเป็นพี่น้อง มีความสัมพันธ์

ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเนื้อหนัง

แต่เป็นความสัมพันธ์ทางฝ่ายวิญญาณ ผูกพันกัน

ในฐานะที่ต่างฝ่าย ต่างก็เป็นลูกของพระเจ้า

มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต เหมือนกัน

ได้รับการไถ่บาปจากพี่ชายคนโต คือพระเยซูเหมือนกัน

ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับโดยผ่านทางความเชื่อ

โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ที่ทรงประทานให้กับเราด้วยความรัก สำแดงสิ่งต่างๆ ค่อยๆ

สอนเราทีละนิดทีละหน่อย

ตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกที่พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา

ก็จะสอนเราในเรื่องพระเจ้านี่แหละ

มีคำกล่าวไว้ว่าอย่างนี้ …

“ครอบครัวของพระเจ้า เป็นสิ่งเดียวเท่านั้น”

นึกถึงครอบครัวของพระเจ้า ก็คือ Catholic Church นั้น

ครอบครัวของพระเจ้า เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้นบนโลกนี้

และจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นครอบครัวเดียวเท่านั้น ครอบครัวอื่นๆ

เกิดแล้วก็ดับๆ แต่ใครที่เข้ามาเกิดในครอบครัวของพระเจ้านี้แล้ว

ในคริสตจักรสากลนี้แล้ว ใน Catholic Church นี่แล้ว

เขาจะคงอยู่ในครอบครัวนี้ นิรันดร์ คือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้

ต้องมีวันเสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

แต่ครอบครัวของพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป แม้จนวันหนึ่ง

ร่างกายเรา ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ล่วงหลับไป หยุดทำงาน

หัวใจหยุดเต้น วิญญาณเราออกจากร่าง

เราก็ยังคงสถานะอยู่ในครอบครัว เป็นสมาชิกนี้

อยู่ในครอบครัวนี้เหมือนเดิม และอยู่ไปตลอดเลย เอเมน

และจากความเชื่อทั้งหมดนี้ ที่เราเรียนรู้มาทั้งหมดนี้ 9 ข้อแล้ว

คราวนี้เราก็มาเรียนรู้กันต่อ และเชื่อไม่ยาก ในข้อต่อไป

ง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะมันต่อกันมา

เรามาติดตามหัวข้อนี้กันต่อ

“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในการอภัยโทษบาป

ในร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่พระเจ้าสัญญาไว้

และชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้”

ข้าพเจ้าเชื่อทั้งหมดนี้เลย

ย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าทั้งหลายทั้งปวง

ที่เราพูดกันในเรื่องหลักข้อเชื่อ เป็นความเชื่อ

ที่เกินกว่าความคิดจะเข้าใจ ไม่ต้องใช้ความเข้าใจเลย

ไม่ต้องใช้ความรู้สึก ไม่ต้องใช้การสัมผัส

แต่ใช้ความเชื่อง่ายๆ สั้นๆ แต่ก็คือเชื่อศรัทธา

ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างไร ก็เชื่อตามนั้น

หลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อนี้ ที่มีการรวบรวมกันมาตั้งแต่ยุคแรกๆ

ยุคอัครทูตเดิมๆ ที่เดินกับพระเยซู ยุคเริ่มต้น

รวบรวมสาระสำคัญและแก่นแท้ของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู

คริสต์ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก จากพระคัมภีร์มารวมกัน

ขมวดเป็นข้อที่สำคัญๆ มากๆ อยู่ใน 12 ข้อนี้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อมา 9 ข้อแล้ว ในอีก 3 ข้อนี้

มันไม่ยากแล้ว เพราะมันต่อเนื่องกัน

เราสามารถเชื่อวางใจในเรื่องเกี่ยวกับการอภัยโทษบาป

ในร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายและชีวิตนิรันดร์นี้ไม่ยาก

เราเชื่อในสิ่งเหล่านี้ได้ ก็เพราะว่าพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้

ท่านมีความรู้สึกไหมว่าท่านได้รับการอภัยโทษ ไม่มี แต่ท่านรู้ได้

เพราะท่านเชื่อ ไม่ใช่รู้สึก รู้สึกไม่ได้ ถ้ารู้สึก

เกิดวันหนึ่งท่านไม่รู้สึก จะทำอย่างไร? ท่านเคยรู้สึกไหมว่า …

“ฉันไม่ได้รับการอภัยโทษบาป”

“ฉันทำแย่มาก ฉันทำผิดบาปมาก ฉันแย่มากๆ”

เคยไหม? มีความรู้สึกนี้ เคยใช่ไหม? ตัดมันทิ้งไปซะ

เริ่มต้นใหม่ ท่านไม่ต้องรับผิด ท่านก็ไม่ต้องรับชอบ

ท่านไม่ต้องมีความรู้สึกว่า …

“ตอนนี้ฉันได้รับการอภัย เพราะฉันทำดี”

ไม่ต้อง

“ฉันจะดีหรือเลว ในสายตาของใครก็ตาม

หรือตามศีลธรรมก็ตาม”

พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็จะเข้าใจผิด ไม่รู้ล่ะ ยกตัวอย่าง

รู้สึกกำลังโกรธใคร หรือรู้สึกว่า …

“ฉันเลวมากเลย”

ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าท่านรู้สึกอย่างนั้น

ท่านต้องขึ้นตรงต่อถ้อยคำพระเจ้า ท่านได้รับการอภัยโทษบาป

เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า

ท่านต้องยืนกรานตรงนี้ ตราบใดที่ท่านบอกความรู้สึก ผิดหมดเลย

ต้องไม่ใช้ความรู้สึก ต้องใช้ความเชื่อความศรัทธาเพียงอย่างเดียว

พระเยซูก็รู้ว่าเราจะเป็นอย่างนี้

พระเยซูยกตัวอย่างในหนังสือลูกา บทที่ 15

เรื่องเกี่ยวกับบุตรน้อยหลงหาย ตอนหลงหายไปแล้ว

เขารู้ว่าเขาทำอะไร? ผิดต่อใคร? เขารู้สึกว่าเขาผิดต่อพ่อเขา …

เขาคิดเอง พ่อเขาพูดหรือเปล่า? พระเยซูพูดไหมว่าเขาผิด

พระเยซูบอกว่าเขาเอง นั่นแหละ รู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองแย่

เพราะฉะนั้น ขอแค่กลับไปหาพ่อ แล้วขอเป็นแค่ทาส เป็นลูกจ้าง

ขอแค่ไปกินเศษข้าวของพ่อก็ยังดี นี่คือความคิดผิดหมดเลย

นี่คือความคิดในทางติดลบ ขณะนั้น

พ่อไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นลูกเดินมาแต่ไกล โน่น

มาแล้ว จะจัดการให้ เดี๋ยวลงโทษให้สาสมเลย

คิดอย่างนี้หรือเปล่า? พ่อเห็นมาแต่ไกลเลย ลูกมาถึงบอกคนรับใช้

ไปเอาเสื้อ เอาเสื้อคลุมมา เอาแหวนมา เอารองเท้ามา

จัดงานเลี้ยงเลย ไม่ได้คิดถึงว่าทำผิดอะไร? แม้แต่นิดเดียว

ความแตกต่าง พระเยซูให้เห็นว่าพระเจ้าเมตตา พระคุณ

ตรงนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ตรงนี้เป็นหัวใจความรอด

หัวใจของคำว่าเชื่อศรัทธา ไม่เอาความรู้สึกเกี่ยวข้องเด็ดขาด

เอเมน โคโลสี 1:13-14

โคโลสี 1:13-14 “ 13

เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความ

มืด

และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระอ

งค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป

คือการอภัยโทษบาปของเรา”

“ฉันได้รับการไถ่บาป เพราะฉันเชื่อในพระบุตรแล้ว”

ไม่ต้องใช้ความรู้สึก อ่าน แล้วเชื่อ

การอภัยโทษบาปของเรา

ตรงนี้ก็คือเราได้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย

อย่างครบถ้วนถาวรแล้ว โลหิตของพระเยซูคริสต์

หรือเลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งจากไม้กางเขนนั้น

ได้ชำระล้างบาปให้กับเรา บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด

ที่เรียกว่าเชื้อบาปของมนุษยชาติ บาปที่เราเคยทำในอดีต

ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว บาปในปัจจุบันที่กำลังทำอยู่

และบาปในอนาคตที่อาจจะทำ ถามว่ามีทางทำไหม?

หรือจะไม่ทำอีกแล้ว ทำแน่นอน เยอะหรือน้อยเท่านั้นเอง

บาปเหล่านี้ ได้ถูกอภัยเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้าเลย

ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ในยอห์น 8:36 พระเยซูตรัสเอง

“เราทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็เป็นอิสระอย่างแท้จริง”

พระบุตรช่วยให้ท่านเป็นไท เรียกว่าอิสรภาพ

ท่านก็จะเป็นไทอย่างแท้จริง ก็คือเป็นไทอย่างจริงๆ เลย

ไม่มีใครปรับโทษท่านอีกแล้ว มีผู้เดียวที่ปรับโทษท่านได้

คือตัวท่านเอง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน พระคัมภีร์บอก

ไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว รักท่านอย่างมาก มีผู้เดียวที่ทำท่านได้

คือตัวท่านเอง เพราะท่านรู้สึกอย่างนั้น

และผลต่อเนื่องจากการอภัยโทษบาป

ก็คือรับร่างกายใหม่ และชีวิตนิรันดร์

ตามพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าทรงจัดเตรียมให้กับปร

ะชากรของพระองค์ คือคนเหล่านั้น

ที่เชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์

คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” มีความหมายอยู่ 2 มุม นี่ภาษาไทยนะครับ

คำว่า “นิรันดร์” ที่แปลเป็นระยะทาง ก็คือตลอดกาล

เรียกว่านิรันดร์

และอีกอย่างหนึ่ง “นิรันดร์” แบบมีคุณภาพ

ในมุมมองเรื่องระยะเวลา หมายถึงชีวิตที่ไม่มีสูญสิ้น

ซึ่งเรื่องของระยะเวลาที่ไม่มีการสูญสิ้น

พระเจ้าให้กับเราทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว

ตั้งแต่วันที่สร้างมนุษย์คู่แรก

มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

ที่เป็นนิรันดร์แบบไม่สูญสิ้น อยู่แบบตลอดไป

แม้กายภายนอกจะสูญสิ้นไป คือหมดลมหายใจ หัวใจหยุดเต้น

แต่กายทางวิญญาณจะคงอยู่ตลอดไป

ตรงนี้เรียกว่านิรันดร์เหมือนกัน ซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

ที่ต้องการสร้างมนุษย์ให้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกๆ

ระบายลมหายใจของพระองค์เข้าไปอยู่ในมนุษย์

มนุษย์ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่สูญสิ้น เป็นนิรันดร์อยู่แล้ว

พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนเป็นนิรันดร์ ที่คงอยู่ตลอดไป

ไม่สูญสิ้น เหมือนที่พระองค์ทรงเป็น แต่มนุษย์ทำบาป

มนุษย์ต้องตายทางฝ่ายวิญญาณ คนละเรื่องกัน

ตายทางฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน คือไม่สูญสิ้นเหมือนกัน

แต่ไม่สูญสิ้นแบบตาย ตายแปลว่าตายในวิญญาณ

ถ้าตายในร่างกาย พระคัมภีร์ใช้คำว่า “หลับ” “ล่วงหลับ”

ตายในวิญญาณ ก็คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า

การเป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

อยู่คนละข้างกับพระเจ้า นี่แหละตายทางฝ่ายวิญญาณ

ไม่รู้จักพระเจ้า

ความหมายของ “ชีวิตนิรันดร์” ในมุมของคุณภาพ

คือเรามีชีวิตนิรันดร์ ที่ไม่มีวันสูญสิ้นเหมือนกัน

แต่เป็นความไม่สูญสิ้น ที่มีคุณภาพ

มีลักษณะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้จักพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้

กลับไปคืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า

อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เห็นพระเจ้า

ได้ยินเสียงพระเจ้าตลอดไป นี่เขาเรียกว่าคุณภาพ มีพระสิริ

สง่าราศี สติปัญญาเหมือนพ่อ เหมือนพระเจ้า พูดง่ายๆ

เป็นวิญญาณที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ไม่ได้ตายแล้ว ตรงนี้

เขาเรียกว่าชีวิตนิรันดร์

ซึ่งเป็นความหมายหลักของพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระองค์ทรงสัญญา

ว่าเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์

คือเราจะได้รับชีวิตที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป

คือไม่ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าอีกต่อไป

เราจะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์ ตลอดไปเลย

เราจะได้ไปอยู่ในสถานที่ที่พระเจ้าปกครอง ควบคุมอยู่ คือสวรรค์

เราไม่ต้องไปอยู่ในที่อบาย ที่ที่ไม่มีพระเจ้า

ชีวิตนิรันดร์แบบคุณภาพตรงนี้ ที่เป็นมรดกจากพระเจ้า

ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า

คือชีวิตที่มีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่บาปนั่นเอง บริสุทธิ์

ถ้าวิญญาณตายอยู่ ก็คือวิญญาณที่บาปอยู่ บาป

ก็คือเป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า

อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า

แล้วจะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? อยู่ในสวรรค์ไม่ได้อยู่แล้ว

ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่

นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สัญญาว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้คืออะไร?

และบวกกับที่ตะกี้นี้เราบอก ร่างกายใหม่ที่เราเชื่อในร่างกายใหม่

เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือร่างกายที่เราหมดลมหายใจไปแล้ว

พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อถึงวันนั้น

พระเจ้าจะประทานร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายใหม่

ที่เต็มไปด้วย พระสิริของพระเจ้า ให้กับเรา ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด

ไม่ต้องป่วยอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องมีเชื้อบาป

ไม่ต้องต่อสู้กับความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความหงุดหงิดอะไรต่างๆ อีกแล้ว สบายเลย นั่นแหละ

คือสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับเราไว้ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์

เราจะได้รับสิ่งนี้ และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้ความรู้สึกได้ว่า …

“ฉันได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ฉันได้รับแล้ว

ฉันรู้สึกว่าฉันเชื่ออย่างนี้”

ไม่ใช่รู้สึก

“ฉันเชื่อ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น

เป็นพันธสัญญาของพระเจ้า”

เรียกว่าความหวังนั่นเอง

จบแล้วนะ ในหลักข้อเชื่อของอัครทูต ซึ่งเป็นแก่น

เป็นสาระสำคัญของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เกี่ยวกับความรอด

รวมกันมาจากพระคัมภีร์ 12 ข้อ ขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เลย

เราจะมาร่วมกันอ่านตรงนี้ชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง

1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด

ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก

2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์

พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า

3. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี

4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง

ทรงถูกตรึงที่กางเขน จนถึงมรณา

ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์

5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สาม

ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับ ณ

เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด

7. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น พระองค์จะเสด็จมา

พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย

8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ

ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา

9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์

ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน

10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น

11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย

12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต” ตอน 4 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กรกฎาคม  2016

 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต”

ตอน 4 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในหัวข้อคำบรรยายเรื่องหลักข้อเชื่อของอัครทูตอยู่นะครับ ครั้งนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อเรื่องว่า “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” ต่อจากครั้งที่แล้ว

ก่อนที่จะเข้าเรื่องของวันนี้ ให้เรามาทบทวน หลักข้อเชื่อของอัครทูต ซึ่งเป็นแก่น เป็นสาระสำคัญของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีของพระเจ้า พระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย รวบรวมมาเป็น 12 ข้อ มีอะไรบ้าง?

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  3. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ (Holy Church) ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น (มั่นใจในการอภัยโทษจากบาปทั้งหลาย)
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย (ร่างกายใหม่)
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

และสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้สรุปไว้ว่าในหลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อนี้ ถ้าเรามาจัดเป็นกลุ่มๆ สามารถจัดได้เป็นทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน คือ …

กลุ่ม 1 เกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา

กลุ่ม 2 เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

กลุ่ม 3 เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสากลคริสตจักร

กลุ่ม 4 เกี่ยวกับความรอด หรือผลจากความเชื่อ ที่เราได้รับ

ใน 4 กลุ่มนี้ เรื่องความเชื่อในพระเยซูคริสต์มีมากที่สุด ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ข้อ คือ …

  1. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  2. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  3. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  4. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  5. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  6. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย

 

วันนี้เราจะมาดูในแต่ละหัวข้อว่าพระคัมภีร์มีกล่าวถึงหลักข้อเชื่อเหล่านี้ไว้ตรงไหนบ้าง? เราไม่สามารถบอกได้ว่า …

“ผมเชื่อไปแล้วจริงๆ 5 ข้อ อีกข้อไม่เชื่อ”

ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันโยงกันหมด ถ้าท่านไม่เชื่อข้อหนึ่ง แปลว่าท่านไม่ได้เชื่อจริง

เรามาเริ่มจากข้อแรก … ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา

“เชื่อไหมว่าพระเยซู เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ก็เถียงกันอยู่แค่นี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ถ้าผ่านตรงไป ตรงอื่นง่ายขึ้นแล้ว เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระเจ้าจริงไหม?

นึกถึงภาพ 2,000 ปีย้อนกลับไป ยุคสมัยไม่มีคอมพิวเตอร์ นึกถึงรถราก็ไม่มี มีบุคคลหนึ่ง เป็นชาวยิวลุกขึ้นยืนท่ามกลางชนชาวยิวด้วยกัน ประกาศว่า …

“เรา คือพระเจ้า”

ท่านลองนึกภาพสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น? บุคคลผู้นี้ คือพระเยซู ทรงตะโกนออกไปว่า …

“เรากับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน”

คำว่า “พระบิดา” ตรงนี้ ก็หมายถึงพระเจ้านั่นเอง ซึ่งพระเจ้าของชาวยิว เป็นที่เทิดทูนของเขามาก แค่พูดชื่อ ก็ไม่ได้แล้ว นี่ยังมาบอกว่าเป็นลูกของพระเจ้าอีก พระเยซูกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็แปลว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  ยอห์น 10:36-38

ยอห์น 10:36-38 “36 เราเป็นบุตรของพระเจ้า ในเมื่อพระบิดาเป็นผู้เลือก และส่งเราเข้ามาในโลกนี้? 37 ถ้าเราไม่ได้ทำ สิ่งที่พระบิดาของเราทรงกระทำ ก็อย่าเชื่อเราเลย 38 แต่ถ้าเราทำสิ่งนั้น แม้ท่านไม่เชื่อเรา ก็จงเชื่อสิ่งที่เราทำเถิด เพื่อท่านจะได้รู้ และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”

 

คำว่า “พระเจ้า พระบิดา” หมายถึงผู้ที่เขาเทิดทูนสูงมาก แล้วมนุษย์ คือพวกเขา ต่ำต้อยมากเลย ตอนนี้มีมนุษย์คนหนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา เป็นพี่น้อง มีฐานะเป็นลูกของพ่อที่ชื่อโยเซฟ เป็นช่างไม้ และแม่ชื่อแมรี่ อายุประมาณ 30 กว่า แล้วมาพูดอย่างนี้ ท่านลองนึกถึงภาพ 2,000 ปีแล้ว เป็นอย่างนี้ ถ้าเรื่องนี้โกหก เป็นเรื่องไม่จริง จะมีคนเชื่อ หรือจนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปี คนเชื่อเยอะมาก

หลักข้อเชื่อที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระเจ้าเป็นความเชื่อที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญข้อแรกเลย ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เพราะถ้าท่านจะเชื่อเรื่องพระเยซูทั้งหมด 6 ข้อที่เป็นสาระสำคัญ ท่านต้องมีความเชื่อและวางใจ ในข้อนี้ก่อน แล้วข้ออื่นๆ ถึงตามมาได้ เป็นเหมือนออโต้เลย มันจะมาเอง

การประกาศข่าวประเสริฐ ข้อมูลแรกๆ ต้องบอกเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า

ถามว่า “คริสตมาส คือวันอะไร?”

“วันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์”

และนี่คือเหตุผลที่บอกว่าหลักข้อเชื่อข้อนี้ เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด ก็เพราะมันสำคัญที่สุด เพราะพวกที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์รู้จักพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์กลับไปสู่อ้อมกอดของพ่อของเขา คือพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์กลับคืนดีกับพ่อผู้ให้กำเนิดเขา คือพระเจ้า พวกที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ก็คือมารซาตาน มันรู้ดีเรื่องนี้ มันพยายามให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด ป้องกันเรื่องนี้ มากที่สุด ไม่อยากให้คนรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้ามากที่สุด เพราะรู้ว่าถ้าใครหลุดตรงนี้ไป รู้ตรงนี้ทันที เชื่อตรงนี้ทันที อย่างอื่นไม่ยากแล้ว จะตามมาเอง

เพราะฉะนั้น มันจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะหาข้อโต้แย้งว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า เรามาเชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าช่วยให้เราเชื่อ ไม่ใช่เราเชื่อเอง หรือคนนี้สอนดีมาก จนเราเชื่อ ไม่ใช่ บางคนฟังคำบรรยายตั้งเยอะ ค้นคว้าตั้งเยอะ ก็ยังไม่เชื่อสักที บางคนยังไม่ทันฟังคำบรรยายเลย แค่ได้ยินเพื่อนพูด 2-3 คำ รุ่งขึ้นเชื่อแล้ว

ถามว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่กำความรอดของมนุษย์ไว้ ก็คือพระเจ้า พระบิดา ความรอดเป็นของพระองค์ พระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณ ให้เรา เราถึงได้เห็น  ใช่จริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า เชื่อตรงนั้น จนเรายอมคุกเข่าลง ไม่ได้หมายถึงคุกเข่าจริงๆ นะ หมายถึงยอมถ่อมใจลง ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ช่วยเราได้

สรุปแล้ว ก็คือพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เราจึงสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้ คือเราเชื่อ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์

การมีหลักฐานพิสูจน์ ก็เป็นเพียงแค่การเพิ่มพูนความรู้ เพิ่มพูนสติปัญญา เพื่อเราจะได้มีความลึกซึ้งในพระคุณของพระเจ้า ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย รู้จักพระองค์มากขึ้นนั่นเอง และสามารถมีความรู้ที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐได้มากขึ้น ได้มันขึ้น  มันก็ตื่นเต้นขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญที่ท่านต้องพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็น โดยการหาหลักฐานมาให้เขาดู ไม่ต้องถึงขนาดนั้น อธิษฐานให้เขาดีกว่า

หลักข้อเชื่อข้อที่ 2 เกี่ยวกับพระเยซู คือ “ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากแมรี่ หญิงสาวพรหมจารี”

ทำไมต้องใส่ตรงนี้ เป็นข้อที่ 2 ทำไมตรงนี้เป็นสาระสำคัญ เป็นคริสเตียนต้องเชื่อตรงนี้ เมื่อกี้ เราบอกว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระเจ้าใช่ไหม? มาข้อนี้ ก็ขยายความขึ้นไปอีกว่าที่พระองค์เป็นพระเจ้า และมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระองค์ปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทรงกำเนิดจากแมรี่ หญิงสาวพรหมจารีไง  เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ ที่เกิดแบบพวกเรา มาดูในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู  32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

พระคัมภีร์จดไว้อย่างนี้ ทูตสวรรค์ตอบว่าอย่างไร?

“พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ แมรี่ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมอยู่เหนือเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

นี่แหละเหตุผล แต่สมัยนั้น ไม่มีใครรู้เรื่อง อะไร? งง เพราะเทคโนโลยียังไปไม่ถึง ได้แต่เชื่อเฉยๆ ว่านั่นแหละ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ องค์บริสุทธิ์มาบังเกิด หลายคนเชื่อ หลายคนไม่เชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ที่ผู้หญิงไม่แต่งงาน แล้วจะมีท้อง จะตั้งครรภ์

นึกถึงภาพตอนนั้น 2,000 กว่าปี นานมาก การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และคลอดลูก เรียกว่ายิ่งกว่าอัศจรรย์อีก เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย พูดง่ายๆ ถ้าไปพูดกับใคร เขาจะบอกว่าบ้าหรือเปล่า? มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้  ผ่านมา 2,000 กว่าปี ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกได้ หนังสือพิมพ์ลงเยอะแยะ เสีย 300,000 … 400, 000 … 500,000 … 600,000 เป็นไปได้ ไม่ยากด้วย ถ้ามีเงิน ชาวบ้านเรียกว่าอุ้มบุญ

ข้อต่อไป “พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์”

ต้องเชื่อตรงนี้  นี่คือข้อที่ 3  เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู หลักข้อเชื่อข้อนี้ ไม่ต้องพูดเยอะนะ เพราะศุกร์ประเสริฐก็พูด อีสเตอร์ก็ต้องพูดตรงนี้ ดวงใจของข่าวประเสริฐ ก็คือตรงนี้แหละ คือมนุษย์จะได้รับความรอด จะต้องเชื่อตรงนี้ คือเชื่อว่าพระเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า องค์เดียว ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ โดยกำเนิดจากหญิงพรหมจารี ทรงต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกตรึงที่กางเขน และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา และมวลมนุษยชาติ คือต้องเชื่อว่าพระเยซูตายจริงๆ ไม่ตายจริง เขาไม่เอาไปใส่ในอุโมงค์ฝังศพ เห็นไหม? มันต่อเนื่องกันหมดเลย ที่พระเยซูต้องอยู่ในอุโมงค์นั้นจริง ตายจริงๆ หมดลมจริงๆ เริ่มเน่านิดหนึ่งแล้ว มีกลิ่นแล้ว ผมคิดว่า 3 วันต้องมีกลิ่นบ้างแหละ

ถามว่าทำไมต้องเขียนไว้ว่าถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ ก็เป็นการพิสูจน์ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระองค์บรรจุไว้ในอุโมงค์จริงๆ แสดงว่าพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ไม่ได้แกล้งตาย ไม่ใช่ไม่ตาย … ตายจริงๆ และถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์จริงๆ

ข้อที่ 4 “พระองค์ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เป็นเรื่องที่เราฟังมาจนคุ้นหู แต่เรื่องที่บอกว่าพระองค์เสด็จลงสู่แดนมรณา อาจยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราบางคน เพราะไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องนี้กัน ผมจะพยายามสรุปให้เข้าใจง่ายๆ

ในช่วงหลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และก่อนที่จะเป็นขึ้นจากตาย  ในวันที่สาม คือช่วงหลังวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนวันอีสเตอร์

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเสด็จลงสู่แดนมรณา คำว่า “ตาย” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงร่างกายตาย เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงวิญญาณของพระองค์ตายด้วย วิญญาณของพระเยซูถูกทอดทิ้ง ตายทางวิญญาณ คือถูกทอดทิ้ง เป็นกบฏต่อพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ซึ่งมีผู้ค้นคว้าหลายท่านเชื่อว่าจากพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ ในเรื่องเกี่ยวกับความตายของพระเยซู … พระเยซูตายฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์หรอก แต่เริ่มจากคืนวันพฤหัสฯ แล้ว ตอนที่พระเยซูสอนสาวกครั้งสุดท้ายว่า …

“พระบิดาอยู่ในเรา … เราอยู่กับพระบิดา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราพูด เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้พูดเอง พระบิดาเป็นผู้บอกเรา บอกที่ไหน จากในเรา คุยกันตลอด”

แต่อีกไม่กี่ชั่วโมง ต่อมาที่สวนเกเสมนี พระเยซูบอกว่า …

“เรากลัว … กลัวจนแทบจะขาดใจ”

เกิดมา พระองค์ไม่เคยพูดคำนี้เลย อยู่ดีๆ พระองค์บอกพระองค์กลัวจนแทบจะขาดใจ ต้องเดินไปหาสาวก บอกมาเป็นเพื่อนเราหน่อยได้ไหม? พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วจะมาเรียกให้มาเป็นเพื่อน เคยไหม ครั้งก่อนๆ เคยเรียกเปโตร ยอห์น ยากอบไปเป็นเพื่อนไหม? ไม่มี ตอนนี้บอก

“มาเป็นเพื่อนเราหน่อย”

มิหนำซ้ำ ไปอธิษฐาน พระเจ้า พระบิดาให้จอกนี้ คือหน้าที่นี้ คือการถูกตรึงตาย ที่ไม้กางเขน เลื่อนไปได้ไหม? คือไม่ทำได้ไหม?  ไม่เข้าไปได้ไหม?

อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แสดงว่าไม่ได้ยินอะไร? คุยกันไม่ได้แล้ว แสดงว่าพระองค์ทรงถูกทอดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเริ่มจะรับบาปแทนมนุษยชาติ มาเป็นคนบาปเหมือนเรา เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐาน 3 ครั้ง ทรุดตัวลงไป ไม่มีกำลัง เหมือนเราทั้งหลายที่เจอความทุกข์ยากลำบาก บางครั้ง เราไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วยพระเจ้า เหมือนกันเลย ครั้งที่สาม เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานบอกว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าเผื่อไม่มีทางอื่นให้เลือก”

ในพระคัมภีร์เขียนว่าทูตสวรรค์มาเสริมกำลังให้กับพระองค์ พระบุตรของพระเจ้า ต้องมีทูตสวรรค์มาเสริมกำลังเหรอ ไม่ใช่บุตรของพระเจ้าแล้วตอนนั้น แต่เป็นคนบาป เหมือนพวกเราทั้งหลาย ทูตสวรรค์ต้องมาเสริมกำลัง เพื่อให้ไปทำภารกิจในวันรุ่งขึ้น คือต้องถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี ทรมาน เพื่อให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จ เขาจึงเชื่อกันว่าพระเยซูตายทางฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่ก่อนไปไม้กางเขน คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นอะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าทุกอย่างเลย ก่อนที่พระองค์จะล่วงหลับที่ไม้กางเขนนั้น ร่างกายของพระองค์หมดลมหายใจ หัวใจจะหยุดเต้น สมองหยุดทำงาน พระองค์ตะโกนว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน? พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมถึงทอดทิ้ง”

ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ พระเจ้าอยู่ไหน?

คือพระเจ้าต้องละพระองค์ เพราะพระองค์เป็นบาปแล้ว  รับบาป ซึ่งการรับโทษบาปเหล่านี้ของพระเยซู เพื่อเรา มันเป็นผลของความบาป

พระคัมภีร์บันทึกว่าผลของความบาป คือความตายและตาย … ตาย 2 อย่างเลย ตายทางร่างกาย ตายอยู่แล้ว ตายทางวิญญาณด้วย

ผลของความบาป คือความตาย

ผลของความบาป คือการอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

ผลของความบาป คือเข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ผลของความบาป คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ผลของความบาป คือเป็นกบฏกับพระเจ้า

ผลของความบาปเหล่านี้ โทษ ก็คือตายและตาย  เพราะพระองค์มารับบาปแทนเรา พระองค์ก็เลยได้รับผล

เมื่อถูกตัดขาดจากพระเจ้า หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณพระองค์ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ต้องไปอยู่ที่ที่เรียกว่า “แดนมรณา” หรือ “นรก” พระคัมภีร์ก็อธิบายว่าเป็นที่แห้งแล้ง เป็นที่พระเจ้าไม่อยู่ พระเจ้าทอดทิ้ง เป็นที่ที่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นที่ที่แย่

สำหรับคนที่ล่วงหลับไป หรือวิญญาณออกจากร่าง โดยที่ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังไม่รู้จักพระเจ้า ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เรียกว่า “แดนมรณา” แต่สำหรับผู้ที่รู้จักพระเจ้า ก็จะไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะรู้จักกัน เป็นลูกเจ้าของสวรรค์ เราก็เลยพลอยไปอยู่ในสวรรค์ด้วย

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเสด็จไปที่แดนมรณา เพื่อช่วยคนเหล่านั้น ที่ถูกกักกัน เหมือนประกาศข่าวดีให้กับบรรดาผู้ที่ตายไปก่อนหน้าที่พระเยซูจะเกิด ไม่มีโอกาสได้รับความรอด ไม่มีโอกาสได้เจอพระเยซู พระเยซูก็เลยถือโอกาสไปพูดเรื่องข่าวประเสริฐด้วย เราขอบคุณพระเจ้า บางทีเราบอกว่า …

“เธอไม่เชื่อพระเยซู เธอจะต้องลงไปในนรก”

มีความรู้สึก รับไม่ได้ แต่นี่ง่ายๆ เอง ไม่ต้องพูดถึงเชื่อพระเยซู หรือไม่เชื่อพระเยซู ถ้าท่านรู้จักเจ้าของสวรรค์ ท่านก็ไปอยู่ในสวรรค์ได้ สมมติว่ามีเจ้าของสวรรค์จริงๆ  แล้วเราไม่รู้จัก เราออกจากร่างไป ก็ไปอยู่ในที่ไม่รู้จักพระเจ้าสิ มันก็ธรรมดา เรียกว่าบึงไฟนรก ที่ที่มีพระเจ้าอยู่ เรียกว่าสวรรค์

ถ้าพระเจ้าผู้นี้ ที่เราเชื่อตั้งแต่ข้อแรก บอกว่าพระองค์มีผู้เดียวเท่านั้น ที่สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงฤทธานุภาพและอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่มีชื่อว่าพระเจ้าจริงๆ แท้ๆ ที่มีอยู่เพียงผู้เดียว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตามที่เราเชื่อ แล้วคนไม่เชื่อตามนี้ เขาก็ต้องไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ นึกภาพน่ากลัวนะ โหดร้ายไหม?

ข้อที่ 5 พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด”

อันนี้ท่านก็ต้องเชื่อ กิจการ 1:8-9

กิจการ 1:8-9 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก 9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไป  ต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา”

 

บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เราเชื่อตามนั้น ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาผู้คนมากหลาย ลอยขึ้นไปเลย พระเจ้าทรงรับพระเยซูขึ้นไป ชัดๆ เลย อยู่ที่เบื้องขวา โคโลสี 3:1 บันทึกไว้

โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

 

อยู่ที่พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า แล้วในนั้นยังบอกต่อไปอีกว่าอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่อยู่เพื่อครอบครองทั้งหมดเลย ในมหาจักรวาล ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุดเลย เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าไปเลย  และพระองค์เป็นพี่ชายของเรา  รับโทษบาปแทนเรา สำแดงความรักให้กับเราถึงขนาดยอมตาย ยอมทุกข์ทรมาน ยอมเป็นคนบาป ลงไปนรกแทนเราเลย  สนิทกันอย่างนี้เลย ไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นไปแล้วจริงๆ พอคนมาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ต้องรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วต้องเชื่อสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดความลึกซึ้งในพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ในนี้บอกว่าให้ท่านทั้งหลายจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ให้ท่านคิดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คิดแล้วสบายใจ คิดแล้วสนุกสนาน คิดแล้วมีกำลังใจในชีวิต คิดแล้วสามารถต่อสู้กับทุกอย่างในชีวิตได้ ยืนหยัดอยู่ในทุกเหตุการณ์ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้ มีสันติสุขได้ มีความสงบสุข เพราะรู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว ตอนนี้เหมือนนั่งรถไฟ หรือนั่งรถเมล์ แล้วรู้ปลายทางแล้ว จะหลับ น้ำลายยืดก็ได้ เพราะพระเยซูจะนำพาเราไปเอง ให้ใจจดจ่ออยู่ตรงนี้ ที่เบื้องบน

ข้อที่ 6 “จากที่นั่น (ที่ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย”

เพราะว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว พระองค์ก็เลยมาพิพากษาได้ไง

ถามว่า “คนเป็นและคนตาย” คือใคร? คนตาย คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เกลียดพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

คนเป็น ก็คือคนที่เป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  เชื่อในการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นตัวแทนเรา เมื่อพระองค์ทำ เราทำด้วย เมื่อพระองค์ตาย รับบาปที่ไม้กางเขน บาปของเราถูกรับไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ เราเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  เมื่อพระองค์นั่งที่เบื้องขวา เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยกับพระองค์

เพราะฉะนั้น คนเป็น ก็คือคนที่รู้จักพระเจ้า วันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะเสด็จกลับมา แล้วก็มาดูว่าใครอยู่ซ้าย? ใครอยู่ขวา? ใครรู้จักพระเจ้า ก็ว่ากันไป รู้จักพระเจ้า รู้จักสวรรค์ รู้จักพระเยซู ผ่านทางพระเยซู บาปก็ไม่มีแล้ว สมมติเรียกคนหนึ่งออกมา นาย ก. แล้วถามว่า …

“มีบาปไหม?”

“มีครับ แต่พระโลหิตพระเยซูชำระสะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า”

อ้าว! ไป

เพราะรู้จักพระเจ้า อีกคนหนึ่งมา

“ฉันทำอันโน้นดี ฉันทำอันนี้ดี ฉันไปบริจาค ฉันช่วยคนนั้น ช่วยคนนี้”

ไม่ได้ถามว่าไปทำอะไรมา? ถามว่าบาปหรือเปล่า? ไม่ได้ถามว่าทำดีตรงไหน?  ถามว่าทำบาปหรือเปล่า? มีใครสักคนหนึ่งสามารถยืนกับพระเจ้า แล้วบอกได้ว่า …

“ผมเป็นผู้บริสุทธิ์”

มีใครกล้าพูด นอกจากคนนั้นเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน สมัยก่อนเรายังไม่กล้า พูดอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้ยังพูด

“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกบริสุทธิ์ เพราะพระเยซูคริสต์ เพราะพระโลหิต พระเยซูชำระข้าพระองค์ ไม่ใช่ตัวเราเอง”

พระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ว่าวันที่พระเยซูกลับมา มีบัญชีจดเอาไว้ เป็นหนังสือสำหรับผู้ที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ คือได้รับความรอดจากบาป ผู้ที่จะได้เข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นบุตรของพระเจ้าได้ หนังสือจดไว้ เรียกว่าหนังสือชีวิตนิรันดร์ “The book of life” จดว่ามีชื่อคนๆ นี้อยู่หรือเปล่า? นอกจากจะถามเมื่อตะกี้ คนนั้นอาจจะบอกว่า …

“ฉันทำโน่น ฉันทำนี่”

“ไม่มีนะ ในหนังสือไม่มีชื่อเธอ”

แล้วหนังสือพวกนี้ ไม่ใช่คนเขียน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะตกหล่น หรือใช้เส้น จ่าย สตังค์ แล้วก็เขียนชื่อเราเข้าไป พระเจ้าให้ทูตสวรรค์บันทึกเอาไว้ วันที่ 18 มิถุนายน 1988 ได้บันทึกไว้แล้วว่าคนนี้ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วว่าเป็นคนของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการชำระบาปแล้ว วิญญาณเขาได้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดขึ้นมาใหม่ ณ วันนั้น ขณะที่เขาเดินอยู่บนโลกนี้ อยู่เมืองไทย อยู่ในกรุงเทพนี้ แต่วิญญาณเขาเกิดใหม่แล้ว เขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาพ้นจากบาป สะอาดหมดจดแล้ว จดเข้าไปเลยในหนังสือ คนๆ นั้นมีชื่อว่า …. (ใส่ชื่อท่านลงไป ใส่วันที่ที่ท่านเชื่อลงไปเลย) ท่านไปคิดดูวันไหนไม่รู้ ถูกจดไว้แล้วในหนังสือแห่งชีวิต วันหนึ่งข้างหน้า หนังสือนี้มีความหมาย พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว  จะถูกเปิดออกมา จะถูกอ่าน ชื่อของเราจะถูกเรียกว่าเราสมควรไปอยู่ในสวรรค์หรือไม่? เอเมน

นี่คือความหมายของคำว่า “เชื่อ” ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แก่นสาร สาระสำคัญในข่าวประเสริฐนี้ คือเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูใน 6 ข้อนี้ จำให้แม่น แล้วเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต” ตอน 3 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กรกฎาคม  2016

 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต”

ตอน 3 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาคุยกันต่อในเรื่องหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือ Apostle’s Creed ครั้งนี้เป็นตอนที่ 3

ชื่อตอนว่า “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” ขอทบทวนนิดหนึ่งก่อนนะครับ หลักข้อเชื่อที่เราเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นแก่นแท้ หรือความเชื่อศรัทธาตามหลักพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตามหลักของคริสเตียน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความรอดจากบาป ที่เราได้รับจากพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อนี้ มันเป็นแก่นแท้ เป็นสาระ ซึ่งเอามาจากพระคัมภีร์ทั้งเล่ม และเหตุผลที่เราควรจะมาเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้ ก็คือ …

(1) เพื่อหล่อหลอมประชากรของพระเจ้าให้มีหลักความเชื่อ ที่ถูกต้อง ตรงกัน คริสเตียนทั่วโลก ไม่ว่ายุคสมัยไหน?

(2) เพื่อให้เกิดความเข้าใจ กระจ่างในหลักการ และความเชื่อทั้งหมด ในเรื่องของคริสเตียน

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรสากล หรือสากลคริสตจักร หรือเรียกกันว่า Holy Church ทั่วโลก ทุกยุคทุกสมัย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? เป็นใครก็ตาม?  เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นพี่น้องกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นคริสตจักรเดียวกัน เวลาเราใส่ชื่อคริสตจักร เราใส่เพื่อที่จะได้เรียก เหมือนเรียกหมู่บ้าน ให้รู้ว่าคริสตจักรเราอยู่ที่ไหน?

สมมติว่าคริสตจักรเราที่นี่ ชื่อคริสตจักรอภิสุทธิสถาน พอฟังชื่อ ก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ประเทศไทย ลงในหนังสือโทรศัพท์ ก็จะรู้ว่าอยู่ตำแหน่งไหน? แต่ไม่ว่าอยู่ที่นี่ หรืออยู่แถบไหนในโลกนี้ ก็เป็นหนึ่งเดียว คล้ายๆ เราเป็นสาขาหนึ่ง อะไรประมาณนี้

หลักข้อเชื่อ มี 12 ข้อ …

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  3. ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก) และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. จากที่นั่น (สวรรค์) พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ (Holy Church) ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น (มั่นใจในการอภัยโทษจากบาปทั้งหลาย)
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

ชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงความยาวอย่างเดียว แต่หมายถึงคุณภาพ คำนิรันดร์ แปลได้ 2 อย่าง

–    แปลว่าจำนวน ก็คือมันยาว ไม่มีที่สิ้นสุด

–  คุณภาพของชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า วิญญาณที่เหมือนพระเจ้า ก็คือเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง

ตอนที่แล้ว เราได้เริ่มในหลักข้อเชื่อข้อแรก คือ “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก”

และครั้งที่แล้ว ผมได้ยกตัวอย่างความหมายของคำว่า “เชื่อวางใจในพระเจ้า” ที่มาติน ลูเธอร์ได้เขียนไว้ มาติน ลูเธอร์ คือบิดาของคริสเตียน โปรแตสแตนท์ ทุกวันนี้ ท่านเขียนไว้ละเอียดลึกซึ้งว่าถ้าใครสามารถมีความเชื่อ ตามที่มาติน ลูเธอร์ได้บรรยายไว้ รับรองว่าชีวิตของผู้นั้น จะเต็มล้นไปด้วยสันติสุข และความสงบสุขอย่างแน่นอน มาติน ลูเธอร์ได้ให้ความหมายของคำว่า “เชื่อวางใจในพระเจ้า” ไว้อย่างนี้ว่าการเชื่อวางใจในพระเจ้า คือไม่เพียงแค่ว่าสิ่งที่มีการกล่าวถึงพระเจ้า เป็นเรื่องจริงเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อ ที่ทำให้เราสามารถวางทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตของเรา  ไว้ที่พระองค์ได้ เป็นความเชื่อที่ทำให้เราสามารถยอมรับความเสี่ยง และสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้

เป็นความเชื่อที่อยู่เหนือความสงสัยใดๆ เป็นความเชื่อที่มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระเจ้าพระบิดา ทรงมีแผนการ สำหรับเรา หรือสำหรับฉัน หรืออนุญาตให้เกิดขึ้นกับฉันหรือกับเรานั้น จะต้องเป็นไปตามพระสัญญาของพระองค์ในพระคัมภีร์ทุกประการ ท่านเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า?

และเราไม่สามารถมอบความเชื่อ และความวางใจในลักษณะอย่างนี้ ให้กับใครได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใด หรือสิ่งอื่นใด ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น  มีเพียงพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด และผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเท่านั้น  ที่เรามอบความเชื่อศรัทธานี้ไว้ให้กับเขา ถ้าท่านมีอย่างอื่น วางใจเท่าๆ กัน เขาเรียกว่าท่านกำลังมีรูปเคารพ ก็คือท่านไม่ได้เชื่อนั่นเอง

พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อในพระองค์จริงๆ  เราจะได้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา แต่ถ้าเราไม่เชื่อจริงๆ มันก็ไม่ได้ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ถ้าเราเชื่อ 12 ข้อนี้ทั้งหมด เราจะได้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาเต็มไปหมดเลย ตั้งแต่ชีวิตนี้ จนถึงชีวิตหน้า จนถึงชีวิตนิรันดร์ ทั้งหมดฟรีๆ ด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย

ด้วยความเชื่อและวางใจนี้ เราจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ อีกเลย เพราะเราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงเป็นพ่อของเรา มีฤทธิ์อำนาจสูงสุดเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ความเชื่อและวางใจของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย  ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับภัยอันตราย หรืออุปสรรค ปัญหาใดๆ ก็ตาม ความเชื่อวางใจในพระเจ้าพ่อของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าจะในยามสุขหรือยามทุกข์ ในยามมั่งมี หรือยากจน ไม่ว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามใจเราต้องการหรือไม่ก็ตาม?

ตอนนี้เราอาจจะยังทำไม่ได้ครบ 100 ฉันกำลังเดินทางไปตรงนั้นแหละ

และจากมาติน ลูเธอร์ได้บรรยายไว้ เราจะมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ระหว่างคำว่า “เชื่อ” กับคำว่า “เชื่อวางใจ”

“เชื่อ” เฉยๆ ก็คือเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตเราหรอก เชื่อไปลอยๆ นั่นแหละ ให้ทำตามความเชื่อนั่น ไม่เอา ถ้าต้องเสี่ยง

แต่คำว่า “เชื่อและวางใจ” “เชื่อศรัทธา” เป็นความเชื่อที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนๆ นั้นจริงๆ เป็นความเชื่อที่สามารถขับเคลื่อนเป็นการกระทำของคนนั้น หรือของเรา หรือของฉันได้จริงๆ กล้าเสี่ยงจริงๆ ไม่ใช่เชื่อด้วยปาก แล้วไม่ทำอะไรเลย  เป็นความเชื่อที่ออกมาจากใจจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ พร้อมที่จะทุ่มเท หรือพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กับความเชื่อตรงนี้ คือยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อความเชื่อตรงนี้  อะไรจะเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะเชื่อและวางใจต่อไป

นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทั้งหลาย ต้องเชื่อ … เชื่อเหมือนกับเวลาเขาลงบัพติศมาในน้ำ ตอนที่เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เขาให้ท่านร้องเพลง …

“ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู  ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

คำสุดท้ายนี้ บอกถึงความเชื่อเราขนาดไหน? ไม่หันกลับจริงนะ กลับไปบ้าน ถูกไล่ออกจากบ้าน อะไรประมาณนั้น ยังจะเชื่อไหม?  มันก็ต้องมีบททดสอบว่าเชื่อจริงไหม?

ในหลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อ จัดได้เป็น 4 กลุ่มความเชื่อ

  1. ความเชื่อในเรื่อง พระเจ้า   
  2. ความเชื่อในเรื่อง พระเยซูคริสต์
  3. ความเชื่อในเรื่อง พระวิญญาณบริสุทธิ์และ สากลคริสตจักร
  4. ความเชื่อในเรื่อง ผลจากความเชื่อ

หลักข้อเชื่อในเรื่องพระเจ้า มีแค่ข้อเดียว คือเชื่อและวางใจในพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก คือต้องเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงครอบครอง ควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลาย  และเป็นพ่อของเรา

กลุ่มที่ 2 เป็นหลักข้อเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

ข้อ 2  บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”

ข้อ 3 “ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารีย์”

ข้อ 4 “ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์”

ข้อ 5 “ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”

ข้อ 6 “พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด”

ข้อ 7 ข้อสุดท้าย “จากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมาพิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย”

นี่เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งหมดเลย ทั้งหมด 6 ข้อ

หลักข้อเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มีถึง 6 ข้อ ในขณะที่หลักข้อเชื่ออื่นๆ มีแค่ 1 หรือ 2 ข้อเท่านั้น

          การที่หลักข้อเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้องมีเนื้อหาและรายละเอียดมากกว่าเรื่องอื่นๆ ก็เพราะเรื่องราวและประวัติของพระเยซู ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้เป็นที่ถกเถียงกันเยอะมาก ในทุกยุคทุกสมัย จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปในอนาคตอีก รวมทั้งคำสอนเทียมเท็จเกี่ยวกับพระเยซูก็มีเยอะด้วย เพราะว่าพระเยซูเป็นหลัก เป็นหัวใจ เป็นสาระแก่น ของแก่นอีกทีหนึ่ง ในเรื่องเกี่ยวกับความรอดจากบาป อย่างเช่น คำสอนเทียมเท็จที่มาตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงทุกวันนี้  และจะมีต่อไป

 

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้รู้คร่าวๆ  เวลาไปเปิดในอินเตอร์เนต หาดูจะได้สบายใจ  มีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยไม่มีอินเตอร์เนต หรือสมัยไม่มีหนังสือ ก็พูดแบบนี้  ตัวอย่างเหล่านี้ คือคำสอนเทียมเท็จเกี่ยวกับเรื่องพระเยซู

“พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้กำเนิดจากหญิงพรหมจารีย์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้สิ้นพระชนม์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้ถูกฝังไว้ที่อุโมงค์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้เสด็จไปที่แดนมรณา (หรือนรก) จริงๆ”

ก็คือไม่ได้ตายจริงๆ ตายในที่นี้หมายถึงตายในวิญญาณ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ก็ต้องไปที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ เราเรียกกันว่า “นรก” เป็นที่อยู่ของคนตาย หมายถึงวิญญาณมันตายแล้ว วิญญาณที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละ แต่ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ซึ่งคนไทยเรียกกันว่า “นรก” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Hell”

และอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ที่ถกเถียงกันตลอดมาในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าจริง เขาก็พยายามหาข้อมูลมาหักล้างความจริงเกี่ยวกับพระเยซูในพระคัมภีร์ เพราะว่าความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเป็นหัวใจหลัก เป็นแกนสำคัญ เป็นสาระที่สำคัญที่สุด ที่จะนำมนุษย์ทั้งหลายมาสู่ความรอด หรือหลุดพ้นจากโทษของความบาป คือความตาย คือต้องลงนรก ก็คือที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

ฉะนั้นท่านก็รู้แล้วว่าใครเป็นผู้ที่พยายามจะบิดเบือนเหล่านี้  ก็คือผู้ที่ไม่หวังดีต่อมนุษย์ ไม่อยากให้มนุษย์กลับไปหาพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์รู้ความจริงว่าไปอยู่กับพระเจ้า มันไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว ไม่อยากให้มนุษย์รู้เลยว่าพระเจ้าเตรียมทางไว้เรียบร้อยแล้ว ผ่านพระเยซู เมื่อไม่อยาก ก็พยายามให้มนุษย์ทำๆ ทำด้วยตัวเอง

“เธอต้องทำๆ ถ้าเธอไม่ทำ เธอจะได้ ได้อย่างไร? เธอต้องทำสิ เธอต้องทำด้วยตัวเอง คนทำถึงจะได้ คนไม่ทำไม่ได้หรอก ใช้ความเชื่อ มันจะได้อะไรเหล่า?”

ฟังดู เหมือนมีเหตุผลนะ แต่เป็นเหตุผลที่ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอก …

“เพราะเธอทำไม่ได้ ฉัน (พระเจ้า) จึงส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยเธอฟรีๆ ไง”

เราก็อยากจะทำนั่นแหละ อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าสอนเทียมเท็จ ซึ่งท่านจะรู้ว่ามาจากใคร? ใครที่ไม่หวังดีต่อมนุษย์ ก็คือไม่ใช่มนุษย์ ง่ายนิดเดียว

เพราะฉะนั้น ความรอด ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซู เรื่องพระเยซู หัวใจสำคัญ ก็คือที่เราบอกกันว่าต้องมาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู … พระเยซูพอเสร็จสิ้นการงาน พระองค์ไม่ได้บอกว่าให้พวกเราไปสอนอะไรมากมาย แค่ให้เราไปประกาศข่าวดี

ข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็คือ …

“ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารีย์ ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด จากที่นั่น พระองค์จะเสด็จมาพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย”

จบข่าวดี  นี่คือหลัก แกนสำคัญที่สุด ใน 12 ข้อนี้ ความเชื่อศรัทธาของคริสเตียน ต้องตรงหมด ไม่ใช่ มี 6 ข้อ เกี่ยวกับพระเยซู ปรากฏว่าคนนี้เชื่อไป 5 อีกอันหนึ่งไม่เชื่อ ไม่ได้ เพราะมันโยงกันหมด

ทำไมท่านถึงได้ชีวิตนิรันดร์ เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้าไง ยกตัวอย่าง ทำไมท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริง  มนุษย์เท่านั้น ถึงจะเป็นตัวแทนมนุษย์ได้ไง  ถ้าไม่เป็นมนุษย์ แล้วจะเป็นตัวแทนเราได้อย่างไร? เมื่อไม่เป็นตัวแทนเรา แล้วเราจะพ้นจากบาปได้อย่างไร? เห็นไหม? มันไม่มีทางหนีเลย ยกเว้นอันเดียว ได้ไหม? ไม่เกิดจากหญิงพรหมจารีได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าไม่เกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้นต้องเชื่อทั้งหมด ถึงเรียกว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต ที่เป็นต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยโน่นเลย เพราะว่าอัครทูตเหล่านี้ก็ได้รับคำกำชับจากพระเยซูให้ไปประกาศข่าวดีของเรา (พระเยซู)

ตอนที่พระเยซูขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ แล้วประกาศข่าวประเสริฐคนรุ่นนั้น ถูกข่มเหงรังแกอย่างมากมาย เราได้ยินได้ฟังประวัติศาสตร์เยอะแยะ จะถูกเผาทั้งเป็นเขาบอกว่า …

“ถ้าเพียงแต่คุณบอกว่า “คุณไม่เชื่อพระเยซูแล้ว” เราจะละคุณ ปล่อยคุณเป็นอิสระ คุณไม่ต้องถูกเผา”

เขาบอก “ไม่ใช่ ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์จริงๆ”

ไม่ใช่คนเหล่านั้นไม่มีทางไปนะ บางคนเป็นถึงขุนนาง บางคนเป็นถึงเศรษฐี แต่ยังพูดว่า …

“ตายเป็นตาย ฉันเชื่อในพระเยซู … พระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ”

แล้วเขาก็ถูกเผาไฟ แล้วก็ตายในไม้ที่เสียบไว้ เผาจริงๆ แต่สิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นนั้น กลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่หนุนความเชื่อคนที่มีชีวิตอยู่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูมีจริงแน่ กลับกลายเป็นอย่างนั้นอีก พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งที่มนุษย์คิดว่าไม่ดี แต่กลับเป็นสิ่งที่ดีขึ้นกว่าเก่าตั้งเยอะเลย เอเมน

นี่แหละคือพระเจ้าของเรา ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถทำได้ทุกอย่าง เรานึกว่าอย่างนี้ก็แย่สิ ตาเราบอกแย่ แต่พระเจ้าสามารถแก้ที่เราบอกแย่ให้กลายเป็นดี (มากเกินกว่าที่เราจะคิด) พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราไม่สามารถขอพระเจ้าในสิ่งที่เราอยากได้มากที่สุดได้หรอก เพราะเราไม่สามารถขอในสิ่งที่เรารู้ว่าพระเจ้าทำได้ ท่านเข้าใจไหม?

ถ้าเป็นคนเล่นหมากรุกจะรู้ เราขอพระเจ้าแค่ชนะตาเดียว หมากรุกตานี้ แต่พระเจ้ามองให้เราโน่น 10 ตาล่วงหน้า อีก 10 ก้าวล่วงหน้า ตานี้อาจจะแพ้ๆ โน่นแค่ตาที่ 10 พระเจ้าเดินหมาก ชนะ แต่เราบอกเอาชนะเลยได้ไหม? ขอชนะก่อนได้หรือเปล่า? เอาชัวร์ๆ เราคิดอย่างนี้ แต่เอาชัวร์ๆ นั้น มันอาจจะได้ผลมานิดเดียวเอง 10% เท่านั้น แต่พระเจ้าบอกรอก่อน ใจเย็นๆ ตาที่ 10 พระเจ้าเดินให้ได้ผล 100% ยกตัวอย่างให้ฟัง พระเจ้าจะอย่างนี้เสมอ

เพราะฉะนั้น ความเชื่อมั่นในพระเจ้า จะต้องเป็นอย่างที่บอกไว้เสมอ เมื่อตะกี้นี้ว่าเป็นการเชื่อพระเจ้า แบบวางชีวิตลง ยอมเสี่ยง เป็นไงเป็นกัน ให้มันรู้ไปสิ ตายเป็นตาย พาให้ท่านไปเห็นว่าเมื่อมันเชื่อจริงๆ ตายก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรื่องพระเยซู แม้แต่เรื่องธรรมดา เมื่อมีความเชื่อมากๆ ตายไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ที่เราเชื่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงกำชีวิต และกำทุกสิ่งทุกอย่างในพระหัตถ์ของพระองค์ มากกว่านั้นสักเท่าไร เมื่อถึงสถานการณ์นั้น ท่านไม่ต้องกลัว ตอนนี้ท่านคิดไปล่วงหน้า มันก็หวาดเสียว แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ พระเจ้าให้ท่านได้แน่นอน เอเมน

นี่คือความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ คือเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เสด็จมาบนโลกใบนี้ ในฐานะของมนุษย์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตในสภาพมนุษย์จริงๆ เป็นมนุษย์จริงๆ และตามประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ พระองค์ทรงถูกกล่าวหา ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และในวันที่ 3 ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  นี่เป็นประวัติศาสตร์ เพื่อช่วยมนุษย์ ให้หลุดรอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะความบาปของเขา และจนถึงวันนี้ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์แบบนี้ ก็มีความหวังใจ จนถึงทุกวันนี้ อย่างแน่วแน่และมั่นใจว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร? อย่าไปใส่เอง พระองค์เองยังไม่ทราบเลย พระองค์ตรัสไว้ว่าพระองค์ก็ยังไม่ทราบว่าพระองค์จะมาเมื่อไร? สิ่งนี้รู้เพียงผู้เดียว คือพระบิดา คือพระเจ้า และความเชื่อศรัทธาอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายต้องยึดเอาไว้ เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราอาจจะเรียนรู้ตอนนี้ แล้วเราอาจจะเช็ค list ในจิตใจของเรา รู้สึกมันยังไม่ครบ แต่ท่านไม่ต้องห่วง เพราะท่านกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง พระเจ้ากำลังพาท่าน สอนท่านทีละนิดทีละหน่อย แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน ท่านมีความรู้สึกไหมว่าวิญญาณท่านโตขึ้น

“ฉันร้องเพลงพระเจ้า รู้สึกซาบซึ้งขึ้น  บางครั้งมันตื้นตัน ฉันอธิษฐาน รู้สึกไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ แม้ว่าจะพูดยังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเดิม แต่ฉันรู้ว่ามีคนฟังฉันแล้ว ทั้งที่แต่ก่อนนี้ ฉันพูดคนเดียว”

มีความรู้สึกอย่างนี้ไหม?   “มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก”

ไม่สามารถวัดซึ่งกันและกันได้  คนนี้มากกว่าคนนี้ คนนี้น้อยกว่าคนนี้ ไม่ได้หรอก ตอนที่ท่านอยู่คนเดียวกับพระเจ้า ท่านจะรู้ว่าท่านโตขึ้นหรือไม่? ท่านจะรู้ว่าเพราะเชื่อมาเรื่อยๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่ธรรมดา แต่ทำไมวันนี้ รู้สึกไม่ติดยึดอะไรกับบนโลกใบนี้แล้วกิเลสมันน้อยลง ยังไม่ได้ทำอะไรกับตัวเองเลย เรารู้สึก กลัวตายไหม? ก็ยังกลัวๆ อยู่ แต่ก็ไม่กลัวมากแล้ว แต่ก่อนรับเรื่องนี้ไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้ พอรับได้อะไรอย่างนี้  คือภาพในเรื่องเกี่ยวกับความตาย  ชีวิตหลังความตาย มันชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก่อนนี้มองไม่เห็น ทั้งๆ ที่มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน นี่แหละ คือการเดินทางที่พระเจ้านำพาเราค่อยๆ เจริญเติบโต นิ่งขึ้นทุกวันๆ จนในที่สุด นิ่งได้จริงๆ คือไม่หายใจเลย บางทีสุขภาพเราดี ไปไหนมาไหนได้ แต่ใจมันจะนิ่งขึ้นทุกวัน จะเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ไปสู่น้ำพระทัยพระเจ้า เอเมน

และผลของความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์แบบนี้ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเรา ก็จะนำให้เราไปสู่ความเชื่อมั่นได้ว่าเรามีส่วนได้กลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้มีส่วนอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ และยังเป็นพ่อของเราด้วย นี่แหละ คือความเชื่อศรัทธา เมื่อเจริญเติบโตขึ้น มันจะต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็นอื่น นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ ที่บันทึกเอาไว้อย่างนี้  ซึ่งตอนมาเชื่อใหม่ๆ หรือไม่เชื่อเลย อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราเชื่อ แล้วเริ่มอ่าน ก็ยังมีประโยชน์ เริ่มนิดหนึ่ง แต่ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่า ข้อความเดิมนั่นแหละ แต่ความรู้ข้างใน ความเชื่อข้างใน เกิดเป็นผลที่มันน้ำหูน้ำตาไหล มันเป็นจริงเป็นจังในชีวิตของเราแล้ว คือเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  เทียบกับเดือนแรกที่เรามาเชื่อ ในเรื่องพระเยซูคริสต์ เขาบอกเราเป็นลูกพระเจ้า เราเอเมนๆ ไปอย่างนั้น แต่ในใจ ยังไม่ค่อยเป็นไปด้วยกันกับปากของเราเลย

กาลาเทีย 3:26-28 บันทึกไว้อย่างนี้

กาลาเทีย 3:26-28 “26 ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์”

 

รู้สึกเปลี่ยนแปลงไหม?  เปลี่ยนกว่าเมื่อแต่ก่อนที่อ่านไหม?  ไม่ได้อ่านข้อนี้ หรือไม่ได้ยินข้อนี้มานานเท่าไรแล้ว เห็นไหมพออ่านอีกที มันใช่ เขาถึงบอกว่าต้องเชื่อใน Holy Church หรือคริสตจักรสากล เพราะว่าไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีประเทศโน่น ไม่มีคนไทย ไม่มีคนลาว ไม่มีคนเขมร ไม่มีคนพม่า ไม่มีคนอเมริกัน ทั้งหมดเป็นคริสเตียน เป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เหมือนกัน นี่แหละต้องเชื่อตรงนี้ ต้องเป็นมาตรงนี้

พระเจ้านำพาเราทั้งหลายกลับมาสู่ครอบครัวเดียวกัน เราทั้งหลายเป็นชนชาติของพระองค์ เป็นครอบครัวใหญ่ๆ ครอบครัวหนึ่งที่มีพระเจ้า พระบิดาเป็นพ่อของเรา และพระเยซูเป็นเสมือนพี่ชายคนโตของเรา และเราก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ มีความสุขไหม?

สิ่งสำคัญที่สุด และเงื่อนไขเดียวที่เราอ่านเมื่อตะกี้ ที่ทำให้เรารับสภาพในพระคริสต์ หรือพระบุตรของพระเจ้า และได้มีส่วนในพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย  โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นบุตรองค์เดียว ที่เราเชื่อใช่ไหม? พอเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้มีส่วนเข้าไปอยู่ในพระองค์ พระองค์เป็นอะไร? เราเป็นด้วย เพราะฉะนั้นพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า เราเลยเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งแรกๆ เราอ่าน แล้วตะขิดตะขวางใจ แต่เดี๋ยวนี้ยิ่งอ่านสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น เราก็เห็นว่ามันใช่แล้ว ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ในตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก เราเห็นชัดเจนเลยว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เราจะได้รับ มีสิ่งสำคัญอยู่อย่างเดียวที่เราต้องกระทำ คือเชื่อศรัทธา วางใจแบบที่ตะกี้นี้บอก เสี่ยง ตายเป็นตาย ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรแล้ว เชื่อจริงๆ ไม่ใช่เชื่อด้วยปาก แต่มันเกิดขึ้นในใจ มันเกิดขึ้นในวิญญาณ มันปิ๊งอยู่ในนั้น มันบอกไม่ได้ มันเกิดขึ้น เมื่อไรของใคร ก็ของคนๆ นั้น วันไหนก็ไม่รู้ แต่ละวัน แต่ละคนเอาไปคิดเอาเอง

ทุกคนจะมีวันหนึ่งของท่าน ที่ท่านเกิดใหม่ ข้างในท่าน นั่นแหละความเชื่อมันลงมาอยู่ในตัวของท่าน ความเชื่อมันเกิดขึ้นมา อย่างนั้นแหละ ความเชื่อมันมีลักษณะเป็นอย่างนี้ ตายเป็นตาย ยอมทุกสิ่ง ไม่มีอะไรมาเทียบกับความเชื่อนี้ได้ และไม่สามารถให้ความเชื่อนี้กับใคร? กับที่ไหน? กับอะไรได้อีกแล้ว นอกจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน

นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีที่จะทำให้คนนั้น ได้รับสิทธิ ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเขาแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ถูกเรียกว่าแพะรับบาป หรือผู้ไถ่บาปให้กับเรา

มาถึงทุกวันนี้ คนเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ยังเป็นเรื่องจริงอยู่ ทุกคนรู้ดีว่าพระเยซูคริสต์ คือพระผู้ไถ่ ไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้ แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็รู้ความจริงนี้

พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ และเมื่อผู้คนนั้น เชื่อในพระผู้ไถ่บาปองค์นี้ ก็คือเขาเชื่อในสิทธิของเขาว่าพระเจ้าประทานสิ่งนี้ให้เขา เขาก็ได้สิ่งนี้ไป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ถ้าคนที่อายุเกิน 60 ปีแล้ว ไปที่อำเภอ จะไปเอาเงิน 600 บาทค่าครองชีพ ตามสิทธิที่รัฐบาลประกาศ และทางอำเภอบอกว่าคุณต้องอย่างโน้น ต้องจ่ายให้เขา 20% ไม่ต้องเลย เพราะคุณไม่ต้องให้อะไรเลย  คุณไปยื่น และไปเขียนเฉยๆ คุณไม่ต้องไปกวาดถนนให้เขา ไม่ต้องไปกวาดลานอำเภอให้เขา ไปยกน้ำให้เขา ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เขาบอกฟรี คุณเข้าใจไหม? คุณมีสิทธิฟรี สำหรับประชาชนชาวไทยที่อายุเกิน 60 ปี ได้ฟรี

เหมือนกัน ข่าวประเสริฐ มาถึงมนุษย์ทุกคน … ทุกคนมีสิทธิ์รอดพ้นจากโทษของความบาปของเขา โดยที่ไปรับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ ไม่ต้องถวายทรัพย์ ไม่ต้องอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรทุกอย่างเลย เขาได้ฟรีๆ โดยใช้ความเชื่อศรัทธาวางใจจริงๆ

ยอห์น 20:31 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ครับ …

ยอห์น 20:31 “แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลาย จะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อ ท่านจะได้มีชีวิต ในพระนามของพระองค์”

 

โดยความดีใช่หรือไม่? โดยการกระทำ? โดยการบริจาคทรัพย์ ฯลฯ ในนี้บอกโดยความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย

จำเรื่องหนึ่งที่พระเยซูเล่าให้ฟัง เรื่องบุตรน้อยหลงหาย คือคนที่รู้ตัวเองว่าบาป แล้วก็ไม่ไหวแล้ว จะกลับมาหาพระเจ้า จะให้เป็นทาสก็ตาม เป็นคนรับใช้ที่บ้านก็ได้ รู้สึกแย่เหลือเกิน ตัวเองลำบากลำบน ตัวเองสกปรก แย่ ไม่มีทาง เขาจะรับเราเหรอ แต่ไปหาพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว จัดงานเลี้ยงอย่างเดียว เอาเสื้อคลุมมาให้ เอาแหวนมาให้ ฉลองอย่างเดียว ฟรีหมด แต่คนที่เป็นบาปอยู่เกิดคิดแย่ ลำบากลำบนมากเลย ไม่กล้ากลับไป กลัวด้วย

นี่แหละ การที่จะไปเป็นทาส ก็คืออยากจะไปทำอะไรแลกกับพระเจ้า พระเจ้าบอก …

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น  เธอเป็นลูกของฉัน ที่หลงหายไปเท่านั้นเอง ยังเป็นลูกฉันเหมือนเดิม ก็มาเชื่อเท่านั้นเอง”

นี่คือข่าวประเสริฐ สาระสำคัญและแก่นแท้ ย้ำอีกครั้งว่าด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาปเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านก็สามารถได้รับความรอดพ้นจากโทษของความบาป ที่เป็นผลทำให้ท่านเกิดความตายและตาย ตายในฝ่ายร่างกายและตายทางฝ่ายวิญญาณ คือไปอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่านรก คือที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ตลอดนิรันดร์ แต่ถ้าท่านเชื่อ ท่านได้รอดพ้นจากความตายนั้น ท่านจะไปมีชีวิตอยู่เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม รอดพ้นจากบาป และท่านจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เช่นเดียวกัน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอ้ครทูตร” ตอน 2 “ข้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดา” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้เรามาทบทวนของครั้งที่แล้ว วัตถุประสงค์หลักที่มีการรวบรวมหลักข้อเชื่อนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน หรือเป็นมาตรฐาน ในการหล่อหลอมความเชื่อศรัทธาของรุ่นต่อๆ มา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรงกันตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เหตุผลที่ผมตั้งใจสอนให้ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ …

เหตุผลที่ 1 เพื่อจะหล่อหลอมความเชื่อของคริสเตียนทั้งหลาย ในการร่วมเป็นประชากรของพระเจ้า  ร่วมเป็นลูกของพระเจ้าด้วยกัน มีความเชื่อตรงกัน

เหตุผลที่ 2 เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และเกิดความมั่นคงในเรื่องของความเชื่อ ที่เป็นสาระสำคัญ หรือเป็นแก่นแท้ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แก่นแท้ของข่าวประเสริฐนั่นเอง

 

การตีความหมายพระคัมภีร์ที่หลากหลาย ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยๆ  ก็ไม่เป็นอะไรมากนัก   ไม่ใช่แก่น  แต่ถ้าเป็นสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระคุณของพระเจ้า เกี่ยวข้องกับความรอดจากบาป การที่ได้กลับมาคืนสู่ความดีของพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั้น อันนี้เป็นหลัก เป็นแก่นเลย ผิดไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ยกตัวอย่าง …

–  กินหมูหรือไม่กินหมู อย่างนี้น้อย ไม่ได้เป็นหลัก ไม่ได้เป็นแก่น

–  วันสะบาโตต้องหยุดทำงานไหม?    หรือทำได้หรือไม่ได้?    บางแห่งก็ทำได้   บางแห่งก็ทำไม่ได้

อย่างนี้ ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ แตกต่างกันได้ บางนิกาย บางคริสตจักรอาจจะมีขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ ในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญเหล่านี้แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง ที่อเมริกาคงไม่มีเช็งเม้ง แต่ประเทศไทยมี นี่คือสาระไม่สำคัญ

“จะร่วมก็ร่วมไปเถอะ ไม่ร่วม ก็ไม่เห็นเป็นไร?”

ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ มันเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรมของเราที่นี่ เรามีเช็งเม้ง ถ้าเทียบกับประเพณีของอเมริกา เขาเรียก Memory day หรืออะไรสักอย่าง คือวันแห่งการระลึกถึงคนที่จากไปแล้ว  เขาก็จะเอาดอกไม้ช่อหนึ่ง หรืออะไรต่างๆ ไปที่หลุมศพ ไปคำนับ ไปให้เกียรติ ไประลึกถึงใครก็ตามที่เรารัก ที่เขาจากไป ถามว่าพอเรามาเป็นคริสเตียน เราไปเช็งเม้งได้ไหม? ถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

นี่ยกตัวอย่างให้อันเดียว ท่านก็เอาเรื่องนี้ไปใช้กับทุกเรื่องได้หมดเลย  แต่ท่านต้องเรียนรู้ หลักข้อเชื่อเสียก่อน จะอเมริกาหรือเมืองไทยจะต้องเชื่อเหมือนกันว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ต้องเชื่อเหมือนกันว่าพระเยซูเกิดจากแมรี่หรือมารีย์ ที่เป็นหญิงพรหมจารีย์ เห็นประโยชน์หรือยัง? แทบไม่ต้องไปถามใคร? …

“ฉันไปงานนี้ได้ไหม?  ฉันไปงานศพ ฉันควรจะทำอะไร?”

ท่านเอาไปวิเคราะห์เองได้  ท่านเป็นอิสระ นี่คือสิ่งที่พระเยซูอยากบอกให้เรารู้ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ความจริงจะทำให้เราเป็นไทได้อย่างไร? แต่ถ้าเมื่อไรที่มีความเชื่อที่แตกต่างจากหลักข้อเชื่อ 12 ข้อนี้ ต้องตอบว่าคริสเตียนรับไม่ได้ ผิดแน่นอน ถ้าผิดจากหลักข้อเชื่อนี้ ก็ถือว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จทันที

เหตุผลที่ 3 เพื่อให้เรามีความเข้าใจในเรื่องของคริสตจักรสากล และเห็นถึงความสำคัญของการร่วมสามัคคีธรรมกัน ร่วมดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณกับพี่น้องในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เหมือนเพลงที่ร้องว่า …

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ แปลว่าเราเป็นยูไนเตด คือดองกัน  เป็นครอบครัวเดียวกัน ของใครก็ตามที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ทั่วโลกเลย ที่ไหนก็ตาม ที่เขาเชื่อเหมือนเรา 12 ข้อนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากล เราเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เชื่อ 2,300 กว่าล้านคน

 

ท่านได้ยินคำว่า “คริสตจักรบริสุทธิ์” เมื่อไร? จงจำไว้ หมายถึงผู้เชื่อ 1 คน และผู้เชื่ออีกเหมือนๆ กันอย่างนี้ในพระเยซูคริสต์อีกหลายๆ คนทั่วโลกเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคริสตจักรเดียว

สรุปง่ายๆ เหตุผลที่เราควรเรียนรู้หลักข้อเชื่อ มีอยู่ 3 ประการ ก็คือ …

(1) เพื่อให้มีหลักและความเชื่อที่ถูกต้องตรงกันทั่วโลก

(2) เพื่อให้เกิดความเข้าใจ อย่างกระจ่างในหลักข้อเชื่อ ในพระคัมภีร์ใหม่

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันของ     Holy Church    คือของคริสตจักรสากล   หรือคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักรบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เอเมน

 

ถามว่าคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ทำไมบริสุทธิ์ เพราะที่นั่นอธิษฐานเยอะ เพราะที่นั่นอดอาหาร ไม่ใช่แต่เพราะพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ไถ่บาปให้กับเขาทุกคน  ตั้งแต่คนที่มาเชื่อเมื่อตะกี้นี้ กับคนที่รับเชื่อไปเมื่อ 80 ปีที่แล้ว บริสุทธิ์เท่ากันไม่มีผิด ตั้งแต่คนที่อธิษฐาน แค่ 3 คำ กับอีกคนหนึ่งอธิษฐานมา 30 ปีแล้ว ก็บริสุทธิ์เท่ากัน นี่แหละความจริงจะทำให้เราเป็นไท

วันนี้เรามาดูข้อแรกก่อน

“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก”

เราย้ำเรื่องความแตกต่างของคำว่า “เชื่อ” กับคำว่า “เชื่อศรัทธา” หรือเชื่อวางใจ ที่ผมได้ยกตัวอย่างคนไต่ลวด ที่เขาท้าทายคนดูให้ขี่คอ และไต่ไปพร้อมกัน แต่ไม่มีใครกล้าขึ้นไป มีเพียงเด็กชายเล็กๆ ปีนขึ้นไปเท่านั้น

แล้วผมก็ยกตัวอย่างว่ามันต่างกันอย่างไร? เด็กคนนี้เขาเชื่อ คนดูก็เชื่อ ซึ่งเป็นคำยกตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำว่า “เชื่อศรัทธาในพระเจ้า ในพระบิดา” เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับพ่อเหมือนกัน เด็กคนนี้ เขารู้จักคนที่ไต่ลวดคนนั้น เพราะเป็นพ่อของเขา ไม่ใช่รู้จักธรรมดา รู้จักสนิท รู้จักเขาถึงไส้ ถึงพุงเลย วางใจคนนี้แน่นอนเลย  เพราะเป็นพ่อเขา แต่คนอื่นเชื่อ เพราะได้ยินความสามารถ ความเก่งกาจของคนๆ นี้ จากคนอื่นเล่ามา เคยเห็นคนนี้ทำ เชื่อเฉยๆ แต่พอให้ไปเสี่ยงชีวิต ไม่เอาแล้ว เพราะไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ ไม่ได้เชื่อวางใจในความสามารถของเขาจริงๆ ซึ่งตรงนี้ ผมใช้คำว่า “เชื่อศรัทธา”

อยากให้เราเห็นว่าความเชื่อศรัทธา วางใจสุดชีวิตกับความเชื่อเฉยๆ มันแตกต่างกันอย่างไร? แล้วพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา เมื่อมาเป็นคริสเตียน คนจะเกิดใหม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ รับความรอดในพระเยซูคริสต์ได้ จะต้องมีความเชื่อศรัทธาวางใจตรงนี้ เกิดผล ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ มันไม่เกิดผล เหมือนที่ยกตัวอย่างในหนังสือโรม 10:9

โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด”

 

ในหลักข้อเชื่อ ข้อแรกนี้  ที่ขึ้นต้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก” พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า แบบศรัทธาวางใจ วางชีวิตเราลงเลย ไม่ได้บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดเฉยๆ” เพราะฉะนั้น ใน Apostle’s Creed จึงใช้คำว่าเชื่อ เป็น “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจและศรัทธาในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด” เอเมน

เวลาท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระบิดาเจ้า จงมีความรู้สึกในใจว่าเราเชื่ออย่างนี้จริงๆ เชื่อศรัทธาวางใจ เสี่ยงชีวิตกับพระองค์ได้เลย

คำว่า “เชื่อ” เฉยๆ ก็คือแค่การเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของเรา แต่คำว่าเชื่อศรัทธาวางใจ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Believe by faith เป็นความเชื่อที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเราจริงๆ เป็นความเชื่อที่สามารถขับเคลื่อนการกระทำในชีวิตของเรา ง่ายๆ เลย เป็นความเชื่อ ที่เปลี่ยนชีวิตเรา กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เป็นความเชื่อที่ออกมาจากใจลึกๆ ของเราจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ พร้อมที่จะทุ่มเท หรือพร้อมที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความเชื่อนี้ได้ ไม่ใช่บางอย่าง อะไรจะเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะเชื่อและวางใจ

เชื่อว่าพระเจ้าเป็นพ่อของเรา ดูแลเราได้ คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คริสเตียน ก็อาจจะมีหลายคน ที่เชื่อเหมือนกันว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ผู้สร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก แต่ความเชื่อแค่นี้ ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของเขาเลย แม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเชื่อแค่นี้  เหมือนคนดูที่เชื่อในการเดินข้ามอีกครั้งหนึ่งของนักไต่ลวด ไม่มีประโยชน์กับเขาเลย เพราะว่าเขาเชื่อแค่นั้น แต่พอบอกให้ไปเสี่ยง เชื่อจริงๆ ก็ขึ้นไปสิ เขาไม่ขึ้น ก็เพราะเขาไม่ได้เชื่อจริง

หลายคนในโลกนี้ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็เป็นอย่างนี้แหละ ดูอยู่ห่างๆ แล้วก็เชื่อ แต่เอาไหม? ไม่เอา เพราะยังห่วงประเพณี ห่วงญาติพี่น้อง ห่วงคนโน้นว่า ห่วงคนนี้ว่า ไม่ใช่ศาสนาเรา ไม่ใช่ประเพณีเรา ก็เลยเชื่อเฉยๆ แต่พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั้งหมดที่นี้ เดินก้าวออกมาใช่ไหม?  โดนด่าไปแล้ว ใช่หรือเปล่า? โดนต่อต้านไปแล้ว แต่เราก็มั่นใจ

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป”

นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ “ฉันก็จะตามไป”

คิดถึงที่บ้านเขากำลังโกรธ ที่เรามารับบัพติศมาในน้ำ มันต้องมีแน่นอน เพราะว่ามันต้องเปลี่ยน แต่ที่เราเปลี่ยนได้ ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในจิตใจเรา  ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราได้เห็นความจริง … ความจริงทำให้เราเป็นไท เราหลุดออกมาจากกรอบเดิม เราหลุดออกมาจากประเพณีเดิม ที่มนุษย์สร้างไว้เป็นกรอบ บอกว่าอันนี้ดี แต่ไม่ใช่ ตอนนี้ดีที่สุดของเรา คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา … เรามีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ … พระองค์ทรงนำพาเราไปสวรรค์ได้อย่างแน่นอน เราพ้นจากบาปแล้ว เราเดินไปด้วยความเชื่อ (ศรัทธาและวางใจพระองค์)

“แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

ทุกวันนี้ มีอยู่ 2 อย่าง มีโปแตสแตนต์กับคาทอริค เอาง่ายๆ ก่อน มาติน ลูเธอร์เป็นเหมือนบิดา เป็นผู้เริ่มต้น เป็นผู้รวบรวม แล้วให้กำเนิดโปแตสแตนต์

มาติน ลูเธอร์ให้คำนิยามความหมายของคำว่า “เชื่อ ศรัทธา วางใจในพระเจ้า” ไว้อย่างนี้ นี่ 500 กว่าปี นี่คือสิ่งที่เขาเขียนไว้ เขาไปพบความจริง เขาอยากให้ผู้คนได้รู้ เขาเลยเขียนรวบรวมความเป็นจริง เหล่านี้ขึ้นมาว่า Apostle’s Creed หรือหลักข้อเชื่อในนี้ ต้องเชื่อและวางใจ

คำว่า “เชื่อและวางใจในพระเจ้า”  คือไม่ใช่เพียงแค่ว่าสิ่งที่มีการกล่าวถึงพระเจ้า เป็นเรื่องจริง แต่เป็นความเชื่อที่ทำให้เราสามารถวางทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราไว้ที่พระองค์ได้  เป็นความเชื่อศรัทธาวางใจ ที่ทำให้เราสามารถยอมรับความเสี่ยงและสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้  เป็นความเชื่อที่อยู่เหนือความสงสัยใดๆ ที่เรียกกันว่า “Beyond Understanding” เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เป็นความเชื่อศรัทธา ที่มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีแผนการ สำหรับเรานั้น หรืออนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรานั้น จะต้องเป็นไปตามพระสัญญาของพระองค์ทุกประการ คือดีแน่นอน และเราไม่สามารถมอบความเชื่อวางใจในลักษณะนี้ให้กับใครได้อีกแล้ว  จะต้องเป็นความเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใด สิ่งใด ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น มีเพียงพระเจ้าพระบิดา ผู้สูงสุด และผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  เพราะถ้าท่านรู้ตรงนี้ ท่านจะเป็นอิสระ

ท่านจะรู้ว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม?  ใจท่าน มีพระองค์สูงสุดไหม?  บางคนบอกว่ากำลังโลภใช่ไหม? ท่านกำลังอธิษฐานกับพระบิดาในใจว่าอะไร? เป็นของพระองค์ ข้างนอกใครจะทำอะไร ไม่มีใครรู้หรอก ใช่ไหม?

และด้วยความเชื่อและวางใจนี้ เราจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ อีกเลย เพราะเราเชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา  มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  ความเชื่อและวางใจของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับภัยอันตราย หรืออุปสรรคปัญหาใดๆ ก็ตาม ความเชื่อศรัทธาในพ่อของเรา จะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าจะในยามสุข หรือทุกข์ ในยามมั่งมีหรือยากจน ความเชื่อวางใจในพระเจ้า  ในลักษณะนี้  ที่เราให้กับพระเจ้านี้ จะไม่วันน้อยลงเลย ไม่ว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐาน ตามใจปรารถนาของเราหรือไม่ก็ตาม

นี่คือบทสรุป ที่มาติน ลูเธอร์บอกไว้ ความเชื่อศรัทธาต้องเป็นอย่างนี้ เหมือนตัวอย่างพระเยซูบนไม้กางเขน พระเยซูไถ่บาปให้กับมนุษย์ ต้องรับโทษทั้งหมดของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน ทุกข์ทรมาน พระองค์อธิษฐานว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ก่อนที่พระองค์จะสิ้นใจ พระองค์ตรัสว่า …

“พระเจ้า พระบิดา ลูกมอบวิญญาณให้กับพระองค์”

ก็คือเอาไงเอากัน แล้วแต่พระองค์ ไม่เคยตายมาก่อน ไม่เคยแยกจากพระองค์ หมายความว่า ณ วันนี้ต้องทำ พระเจ้าพระบิดา แล้วแต่พระองค์ เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ นี่คือความเชื่อศรัทธา วันหนึ่งเราก็ต้องตัดสินใจ แล้วแต่พระองค์ ในใจลูกวางใจในพระองค์ อยากถามพวกเราทุกคนในที่นี้ว่าความเชื่อและวางใจในพระบิดา ผู้เป็นพ่อของเรา ณ วันนี้ ในขณะนี้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้  เป็นเหมือนที่มาติน ลูเธอร์ได้อธิบายไว้หรือเปล่า?

ในหลักข้อเชื่อข้อแรกนี้ “ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” มีหัวใจสำคัญอยู่ 2 อย่างเท่านั้นเอง ในข้อนี้ คือ …

(1) เชื่อและวางใจหรือศรัทธาว่าพระเจ้า พระบิดา เป็นพ่อของเรา

(2) เชื่อและวางใจหรือศรัทธาว่าพระเจ้า พระบิดา ผู้เป็นพ่อของเรา เป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พูดง่ายๆ เราต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ครอบครองทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง ยิ่งใหญ่สูงสุด ขณะเดียวกันเชื่อว่าพระองค์เป็นพ่อจริงๆ พ่อที่รักเรามาก พ่อที่ดูแลทุกก้าวในชีวิตของเรา นิดๆ หน่อยๆ ก็ดูตลอด

เราต้องเชื่อตรงนี้ให้ได้ นี่แหละคือคริสเตียน และขอเพียงท่านมีความเชื่อและวางใจใน 2 สิ่งนี้ ความเชื่อของท่านก็จะเป็นแบบมาติน ลูเธอร์ พูดเมื่อสักครู่นี้ ท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน จริงๆ เลย เหมือนที่เด็กคนนั้น ขึ้นไปขี่หลังพ่อเขา แล้วก็เดินไต่ลวดข้ามเหว โดยไม่มีตาข่ายรองรับ  และเชื่อไหมว่าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ปัญหาของท่านขี้ประติ๋วสำหรับพระเจ้า แค่นั้นเอง และสิ่งที่มาติน ลูเธอร์ อธิษฐานไว้ ทั้งหมด ก็มาจากพระคัมภีร์

มาติน ลูเธอร์ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์สอนเรา ให้อธิษฐานอย่างนี้  พระองค์ทรงเริ่มต้นการงาน โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระองค์ประกาศคำแรกว่า …

“อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว”

พอเริ่มสอนไปนิดหนึ่ง มีคนถามว่าแล้วเราจะอธิษฐานกับพระบิดาอย่างไร? พระเยซูก็สอนให้เขาอธิษฐานอย่างนี้  ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่ดังที่สุด อยู่ในหนังสือมัทธิว  เรียกว่า The Lord prayer คือคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9-13

มัทธิว 6:9-13 “9 ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่าข้าแต่พระบิดา แห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่เคารพสักการะ 10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก 11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ในกาลวันนี้ 12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิด ต่อข้าพระองค์นั้น 13 และขออย่านำข้าพระองค์ เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจและฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”

 

นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้  ขึ้นต้นว่า …

“ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเยซูกำลังสอนเราให้เชื่อว่าพระเจ้า ไม่ใช่พ่อของโลก ไม่ใช่พ่อของมหาจักรวาล แต่เป็นพ่อของเรา ส่วนตัว แล้วพระองค์ทรงมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์สามารถดูแลเราทุกสถานการณ์ได้ ตามคำอธิษฐานทั้งหมดนั้นแหละ

ตอนที่พระองค์ทรงสอนอยู่นั้น อีกไม่นาน พระองค์จะทรงตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนมนุษยชาติทั้งปวง และวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และจะเสด็จสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เปิดทางสว่างให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ สามารถเข้ามาหาพระเจ้า กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระองค์ได้ สอนล่วงหน้าไว้เลยว่ากำลังจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น พระองค์ทรงทราบดีว่าภารกิจของพระองค์บนโลกใบนี้ คืออะไร? พระองค์เลยสอนล่วงหน้าว่าจากนี้ต่อไป ให้อธิษฐานอย่างนี้นะ จากนี้ต่อไปไม่ได้หมายถึงจากนี้ไปอีก 1 ปี จากนี้ไปอีก 3 วัน จากนี้ไปอีก 1 อาทิตย์ จากนี้ไปจนกระทั่งพระองค์จะกลับมาใหม่ แล้วเราไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกเลย

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จนมาถึงคริสตจักรอภิสุทธิสถาน พระเยซูสอนเราให้อธิษฐานลักษณะอย่างนี้ จงเชื่ออย่างนี้ และจากนี้ต่อไปอีกกี่ปีไม่รู้ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาใหม่ เปลี่ยนแปลงหมดทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องอธิษฐานกับพระองค์แล้ว เพราะเราจะเห็นหน้าพระเจ้าพระบิดาหน้าต่อหน้าเลย เอเมน เมื่อนั้นสวรรค์ก็ลงมาตั้งอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้สวรรค์มาตั้งอยู่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ครบบริบูรณ์

คราวหน้าเราจะมาต่อในรายละเอียดของความหมายของคำว่า “พระบิดา” หรือ “พ่อ” “อับบา” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ” ตอน 1 “หลักข้อเชื่อของอัครทูต” โดย นคร เวชสุภาพร

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเพิ่งจะฉลองวันเพ็นเทคอสต์ ต่อด้วยฉลองวันครบรอบ 23 ปีของคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของเรา  ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ร่วมอยู่ในงานนี้ แต่ผมก็ได้ร่วมนมัสการร่วมฉลองไปกับพี่น้องด้วย ผ่านการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เนต

ที่เล่าให้ฟัง เพราะอยากให้ท่านทราบว่าเทคโนโลยีช่วยเราได้มาก ถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้อยู่วันอาทิตย์ในโบสถ์ ก็สามารถฟังได้ที่บ้าน เปิดยูทูป แล้วก็หาลิ้งค์ของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ฟังนะครับ มันช่วยได้เยอะมาก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ส่งคลิปมานำท่านชมวิหารเซนต์พอล ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่เมลเบิร์นครับ ผมได้มีโอกาสนมัสการกับเขาที่โน้นด้วย และหนึ่งในจำนวนการนมัสการ มีการให้ที่ประชุมยืนขึ้น ร่วมกันกล่าวหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Apostle’s Creed ผมก็เลยตั้งใจว่ากลับมาแล้ว จะมาคุยเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพราะผมเห็นว่ามีประโยชน์มากๆ เลย ท่านจะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างของโลกนี้ที่กว้างออกไปกว่าที่เคยเป็น

หลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือบางแห่งเรียกว่าสัญลักษณ์ของอัครทูต ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Apostle’s Creed ก็คือคำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อของคริสตศาสนา ที่มีมาตั้งแต่ยุคแรกเลย

คำว่า Apostle ก็คือสาวกของพระเยซูรุ่นแรกๆ

ส่วนคำว่า Creed หมายถึงหลักข้อเชื่อ

รวมกัน ก็คือหลักข้อเชื่อของอัครทูต  คำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อของอัครทูต ก็คือคริสเตียนทุกคน เราเรียกตัวเองว่า “เป็นผู้เชื่อ”  เชื่อใน Good News หรือข่าวประเสริฐ

ข่าวดี ก็มาจากพระคัมภีร์ ทุกคนเชื่อพระคัมภีร์หมด แต่พอถามว่าเชื่ออะไร? ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้น อ่านพระคัมภีร์เยอะไหม? ศึกษาละเอียดขนาดไหน?  ถ้าศึกษาน้อย ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ถ้าศึกษามาก ก็อาจจะตอบได้เยอะ ก็อาศัยพูดกันต่อๆ มาว่าเชื่อว่าอะไร? เขาบอกมาว่าอย่างนี้ ความเชื่อของคริสเตียนในยุคแรก ก็เริ่มหลากหลาย  แตกต่างออกไปเรื่อยๆ กระจัดกระจาย ถูกบ้างผิดบ้าง ตรงตามพระคัมภีร์บ้าง ไม่ตรงตามพระคัมภีร์บ้าง

อย่างเช่น กินอาหารที่เขาเอาไปบูชารูปปั้นได้ไหม?  อย่างนี้เป็นต้น วันสะบาโต คือวันอะไร?  วันสะบาโตจำเป็นไหม? ต้องไปโบสถ์ ทำงานได้ไหม? อะไรประมาณนั้น นี่เป็นส่วนเล็กๆ ที่ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่ามันกระจัดกระจาย เชื่อว่าวันสะบาโตต้องไม่ทำงาน หรือเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อว่าอาหารบางอย่างทานไม่ได้

คริสตจักรในยุคแรกๆ จึงรวบรวมสาระสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของพระคัมภีร์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ในเรื่องของความเชื่อและตามหลักพระคัมภีร์ด้วย โดยรวบรวมจากความเชื่อและคำสอนของบรรดาเหล่าสาวก หรืออัครทูตของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เดินกับพระเยซู แล้วก็เรียกสรุปสาระสำคัญเหล่านี้ว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต

คริสตจักรในยุคแรกๆ ก็ใช้หลักข้อเชื่อนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีต่างๆ ในโบสถ์ เช่น ในการประชุม ก็จะอ่านหลักข้อเชื่อนี้ร่วมกัน เพื่อจะไม่ลืม หรือผู้เชื่อใหม่ ที่จะรับบัพติศมาในน้ำ ก็ต้องกล่าวหลักข้อเชื่อนี้ก่อนบัพติศมา ซึ่งพิธีการต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังมีการทำอยู่ในทุกวันนี้ ในคริสตจักรหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะคริสตจักรในนิกายเก่าแก่ ตั้งแต่รุ่นเมื่อ 500 – 600 ปีก่อน ยังคงทำอยู่ อย่างเช่น ลูเธอร์แลนด์  แองทีคั้น (ก็คือโบสถ์เซนต์พอลที่ผมไปมา) เพรสไบทีเรียล  เบสท์ทอดิส เป็นต้น ก็มีอย่างอื่นอีก

คือก่อนที่จะเข้าพิธีรับบัพติศมาในน้ำ ผู้เชื่อจะประกาศความเชื่อของตัวเอง ด้วยการกล่าวว่า …

“ข้าเชื่อ” แล้วก็ตามด้วยหลักข้อเชื่อของอัครทูต ก่อนลงน้ำ

เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “ข้าเชื่อ” ตอนที่ 1

ท่านต้องติดตามทุกตอน ท่านจะได้ขอบคุณพระเจ้ารู้ว่าเราเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ขอบคุณพระเจ้า ใหญ่โตขนาดนี้เหรอ ขอบคุณพระเจ้า ท่านจะมีความมั่นใจในสิ่งที่ท่านกำลังเชื่ออยู่ในตอนนี้ แข็งแกร่งมั่นคง ภูมิใจมากยิ่งขึ้น เรามาดูกันก่อนว่าที่มาของ Apostle’s Creed มาจากที่ไหน?

หลักข้อเชื่อของอัครทูต Apostle’s Creed เป็นหลักข้อเชื่อตามพันธสัญญาใหม่ ก็คือพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงพระคัมภีร์สมัยที่พระเยซูคริสต์บังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จนกระทั่งพระเยซูขึ้นไปอยู่บนสวรรค์บันทึกไว้จนกระทั่งถึงพระองค์จะกลับมาใหม่

พันธสัญญาใหม่ เริ่มจากการประสูติของพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส มาถึงวันศุกร์ประเสริฐ ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ การเสด็จไปแดนมรณาหรือนรก หรือแดนคนตาย ในช่วงที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จนถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในวันที่สาม คือวันอีสเตอร์ ต่อมาถึงการปรากฏพระองค์กับบรรดาเหล่าสาวก เป็นเวลา 40 วัน เพื่อยืนยันการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ และเมื่อครบ 40 วัน ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า หลังจากนั้น 10 วัน เมื่อครบ 50 วัน คือวันเพนเตคอสต์ ที่พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์ทั้งปวง

 

พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ มีพูดถึงเรื่องการก่อตั้งคริสตจักรสาวก การกำเนิดคริสตจักรสากล การพิพากษาในยุคสุดท้าย การได้รับร่างกายใหม่ของผู้เชื่อทั้งหลาย วันหนึ่งข้างหน้า และการได้รับชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ที่จะอยู่กับพระเจ้าตลอดไปในสวรรค์สถาน นี่แหละคือสาระสำคัญในพันธสัญญาใหม่ ในหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้

เรามาดูกันว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือ Apostle’s Creed มีอะไรบ้าง?

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์  พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
  3. ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์  หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. จากที่นั่น  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

อาเมน แปลว่าใช่ ฉันเชื่ออย่างนั้นแหละ มันเป็นไปตามนั้น

เวลาเราได้ยินคำเทศน์ หรือคำบรรยาย หรือถ้อยคำพระเจ้าอะไรต่างๆ หรือข้อความอะไรบางอย่างเข้ามา แล้วเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นที่สรรเสริญพระเจ้า  เราสามารถตะโกนดังลั่นว่า “เอเมน” มันเป็นอย่างนั้นแหละ บางคนบอกว่าสรรเสริญพระเจ้า เรารีบบอกเลยว่าอาเมน อย่างนี้เป็นต้น ท่านควรทราบ และเอาไปใช้ให้ถูกต้องนะ

Apostle’s Creed หรือหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้  ไม่ได้เป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่ามีสิทธิอำนาจอะไร? อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ เป็นการรวบรวมความเชื่อ ตามหลักข้อพระคัมภีร์ ที่บรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ได้บันทึกเอาไว้ แล้วพระคัมภีร์ทุกฉบับ ไม่ว่าอัครทูตคนไหนก็ตาม ใครเป็นคนเขียนก็ตาม ในพระคัมภีร์นั้น  เป็นถ้อยคำของพระเจ้าทั้งหมด ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  ซึ่งเราเรียกกันว่าพระวจนะของพระเจ้า หรือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง 2 ทิโมธี 3:14-16 ได้บันทึกไว้

2 ทิโมธี 3:14-16 “14 แต่ส่วนท่านจงดำเนินต่อไป ในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ และได้เชื่อมั่น เพราะท่านรู้จักคนเหล่านั้น ที่ท่านเรียนรู้จากเขา 15 และรู้ว่าตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้รู้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถทำให้ท่านมีปัญญา ที่จะมาถึงความรอดได้ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 16 พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม”

 

สรุปหลักข้อเชื่อ ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นหลักความเชื่อตามพระวจนะ หรือถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ บางคนถามว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ด้วย? ทำไมเราต้องให้ความสนใจกับหลักข้อเชื่อนี้? ที่เราควรจะสนใจ ก็เพราะเขาสรุปมาให้เป็นแก่น เป็นสาระสำคัญเหมือนที่บอกมาโบสถ์สำคัญ ก็สำคัญ แล้วไม่มาโบสถ์ได้ไหม? ได้รับความรอดไหม? ก็ได้รับ ไม่ใช่เอามาบังคับว่าจะต้องมา ท่านถึงได้รับความรอด อย่างนี้เป็นต้น

การเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องหลักข้อเชื่อต่างๆ ตรงนี้ ก็จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจที่ดีขึ้น กระจ่างขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความรอด หรือพระคุณของพระเจ้า และสามารถดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ ได้ถูกต้อง เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นอิสระจากระบบพิธีการของมนุษย์ที่คิดขึ้นมาเอง เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในกรอบที่มนุษย์คิดขึ้นมา ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้  แล้วท่านจะรู้ว่าเราควรจะทำอะไรตามที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลสอนเรา บอกเราว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นคริสเตียน เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร?  ทำอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นที่พอพระทัย ถึงเรียกว่าถูกต้อง เอเมน

สาเหตุที่ต้องมีหลักข้อเชื่อนี้ ก็เพราะว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยคริสตจักรแรกๆ มีหลายคนที่เข้าใจเนื้อหาในพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง แล้วก็มีการสอนกันแบบผิดๆ จนมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีผิดอยู่ และการผิดนี้ มีสองอย่างเท่านั้นเอง คือ …

มาจากผิดแบบบริสุทธิ์ใจ คือไม่รู้จริงๆ เขาสอนมาอย่างนี้ เราก็เชื่อมาอย่างนี้ ก็ว่าไป พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เขาเชื่อมาอย่างนี้ เขาบอกมาอย่างนี้ ก็เชื่อไป

แต่มีบางอย่าง ที่ผิดแบบไม่บริสุทธิ์ใจ คือตั้งใจสอนแบบผิดๆ เพื่อแสวงหาลาภ ยศ และสรรเสริญ อันนี้ก็น่ากลัวด้วย มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว เพื่อปากท้องของคนสอน เพื่อปากท้องของคนเล่าให้ฟัง ก็ต้องระวัง เพราะฉะนั้น หลักข้อเชื่อนี้จึงมีประโยชน์ ที่เราต้องยึดถือ เราก็เอาตรงนี้เป็นหลักเกณฑ์ไว้ ยึดตรงนี้  เรื่องอื่นๆ นอกจาก 12 ข้อนี้ อาจจะมีความสำคัญเหมือนกัน แต่มันน้อยหน่อย ซึ่งเราต้องมีความเข้าใจ แต่ในเรื่องของความสำคัญที่สุด ก็คือความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า และเรื่องเกี่ยวกับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ นี่สำคัญที่สุด นี่คือหัวใจของพระคัมภีร์ รอดเพราะอะไร? ทำอย่างไรถึงรอด เชื่ออย่างไรถึงรอด ซึ่งมีแก่นอยู่ 12 ข้อ เลยจากนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับความรอด ไม่ว่าท่านจะถวายหรือไม่ถวาย มันก็ไม่เกี่ยวกับความรอด ไม่ว่าท่านจะมาโบสถ์วันอาทิตย์หรือไม่มา ก็ไม่เกี่ยวกับความรอด แต่ถามว่าทั้งสองอย่างนั้นดีไหม? ถ้าท่านปฏิบัติ ดี บางคนสอนผิด เพื่อเอาลาภ ยศ สรรเสริญ ก็บอกให้ท่านมาถวายๆ มาโบสถ์สิ เพื่อจะได้ถวาย อย่างนี้ก็มี ไม่ใช่มีทุกแห่ง

เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ถูกต้อง จึงมีการรวบรวมหลักข้อเชื่อขึ้นมา เพื่อเป็นบรรทัดฐาน  เป็นแบบฉบับในการหล่อหลอมความเชื่อของมวลคริสตจักรทั้งปวง ที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ให้ถูกต้อง ไม่ถูกหลอก และไม่เข้าใจผิดด้วย

เรากลับมาที่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพระคุณความรอดจากบาป อยู่ในหนังสือโรม 10:8-10

โรม 10:8-10 “8 ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? “ถ้อยคำนี้อยู่ใกล้ตัวท่าน อยู่ในปาก และอยู่ในใจของท่าน” คือถ้อยคำแห่งความเชื่อ ที่เรากำลังประกาศอยู่ 9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด” เอเมน

 

บอกไว้ชัดเจนว่าถ้อยคำแห่งความเชื่อที่เราประกาศอยู่นั้น คือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซู เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รับความรอด ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้น ความรอด ขึ้นอยู่กับความเชื่ออย่างเดียว

มาโบสถ์เป็นประจำ แล้วลุกขึ้นยืนตามพ่อแม่ แล้วให้ศิษยาภิบาลทำพิธีให้ ประกาศว่าเราเป็นผู้เชื่อ ผู้ได้รับความรอดแล้ว ไม่ได้ เพราะในนี้บอกว่าประกาศความเชื่อด้วยปาก และยอมรับความเชื่อนั้น ด้วยใจ การเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถที่จะพูดหรือท่องถ้อยคำพระเจ้าได้ ต่อให้เราท่องถ้อยคำพระเจ้าได้หมดทั้งเล่มเลย ก็ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคริสเตียน

ตรงนี้  ที่บอกว่าเชื่อด้วยใจ ไม่ได้หมายความว่าเชื่อว่ามันเป็นจริงเท่านั้น  แต่ต้องวางใจด้วย

หลักข้อเชื่อใช้คำว่าข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Believe by faith” คือเป็นความเชื่อที่ออกมาจากข้างในใจจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ

“ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ” พร้อมที่จะทุ่มเท หรือมอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความเชื่อนี้ หรือพูดง่ายๆ ยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อความเชื่อนี้ เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย ต่อให้ใครไม่ไป ฉันก็จะไป เพราะฉันเชื่อวางใจในพระองค์ มันต่างกับความเชื่อเฉยๆ

“ผมไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์เฉยๆ แต่ผมเชื่อศรัทธาเลย ก็คือผมเชื่อและวางใจ วางชีวิตไว้แล้ว ทุกอย่าง เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น ยอมทุกอย่าง  เอเมน”

มีนักไต่ลวดคนหนึ่ง ตระเวนแสดงการไต่ลวดไปตามสถานที่ต่างๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งชายคนนี้ ก็เปิดการแสดงไต่ลวด คราวนี้ก็เป็นการแสดงแบบท้าทายมาก เป็นการขึงลวดระหว่างภูเขา 2 ลูกข้างผาชัน แล้วสำคัญที่สุด คือไม่มีตะข่ายรองรับ เรียกว่าถ้าพลาด ชีวิตไม่รอด การแสดงครั้งนี้ มีคนดูเยอะมากเลย เงยดูกัน ก่อนเริ่มการแสดงนักไต่ลวดคนนี้ ก็ตะโกนถามคนดูที่อยู่ข้างล่างว่า …

“ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับว่าผมสามารถไต่ลวด เดินข้ามไปได้”

คนดู ก็ตะโกนตอบด้วยความมั่นคงมั่นใจว่า …

“เชื่อ แน่นอน”

เพราะว่าเขาเคยดูคนนี้ ไปเล่นมาทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยก็เคยมา คนนี้ดังมาก ดูในยูทูปมาตลอด ยังไงก็เดินได้ รับรอง 100% แค่นี้ง่ายสำหรับเขามาก  นักไต่ลวดคนนี้ ก็เริ่มการแสดงของเขา จนในที่สุด ก็สำเร็จ เดินข้ามไปได้

การแสดงก็จบลง ท่ามกลางความระทึกตื่นเต้นของผู้ชมมากมาย และเพิ่มความเชื่อให้กับผู้ชมมากมายว่าคนนี้ทำได้ จากนั้น คนนี้ก็ประกาศว่า …

“คราวนี้จะเป็นชุดฟินาเล่ ตอนจบ คือชุดการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมจะเดินข้ามเส้นลวดนี้กลับไปที่เดิม โดยที่จะแบกคนหนึ่งคนไว้ที่ข้างหลัง แล้วข้ามไปพร้อมกับผมด้วย ท่านเชื่อไหมครับว่าผมสามารถทำได้”

คนดูก็เชียร์กันใหญ่เลยว่า … “เชื่อ”

แล้วนักไต่ลวดคนนี้ ก็ตะโกนว่า …

“เอาล่ะครับ ผมขออาสาสมัคร 1 คนที่จะเกาะหลัง แล้วเดินข้ามลวดนี้ไปกับผมด้วย”

ปรากฏว่าคนดูทั้งหมด เงียบกริบเลย สักพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น ขอเป็นอาสาสมัคร ว่าแล้วเด็กชายคนนี้ ก็ค่อยๆ ปีนบันได ขึ้นไปขี่หลังนักไต่ลวดคนนี้ แล้วก็เริ่มต้นข้ามเส้นลวดนี้ไปพร้อมๆ กับชายคนที่ไต่ลวดคนนี้ ด้วยความหวาดเสียว ในที่สุด ก็ข้ามไปได้ด้วยดี ทุกคนปรบมือกันใหญ่เลย การแสดงจบลง ก็มีคนรีบเข้าไปถามเด็กคนนี้ว่า …

“เมื่อกี้ ทำไมหนูถึงใจกล้าจัง ไม่กลัวบ้างหรือ?”

เด็กคนนี้ก็ตอบว่า …

“ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะผู้ชายที่ผมกำลังเกาะหลังอยู่นั้น ก็คือพ่อของผมเอง ผมมั่นใจว่ายังไงๆ พ่อก็ต้องพาผมผ่านข้ามไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอนเลยทีเดียว”

อย่างนี้เรียกว่าเชื่อศรัทธา

นี่คือตัวอย่างของความหมายที่บอกว่าไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อและวางใจ ยอมทุ่มเท ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตของตน ยอมเสี่ยง เพื่อความเชื่อ (ศรัทธา) นั้น มันจึงพิสูจน์ความเชื่อศรัทธานี้ได้ ถ้าไม่ยอมเสี่ยง ก็ยังไม่รู้

เพราะฉะนั้นหลายครั้ง พระเจ้าต้องพาเราผ่านพายุ ให้เราไปพบกับอุปสรรค ปัญหา จึงได้รู้ว่าจริงหรือเปล่า?

“นี่ เชื่อฉันจริงไหม?” หรือว่าเชื่อแค่อยากหายโรค หรือเชื่อแค่ อยากได้พระพรทางการงานการเงิน หรือเชื่อแค่ชีวิตสบายใจ ไม่ต้องลงนรก แค่นั้น ตอนความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เหมือนพระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้ว ยังเชื่ออีกไหม?  

ถ้าท่านตอบตรงนี้ได้ว่ายังเชื่ออยู่ ท่านกำลังเชื่อศรัทธาอยู่ ขณะที่ท่านนอนบนเตียง หายใจ ดูน่าเกลียด เอาอะไรครอบ จะไปหรือไม่ไป ทุกข์ทรมาน ท่านยังเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอยู่ไหม? ท่านยังสามารถเอเมนไหม เวลาศิษยาภิบาลหรือใครไปอธิษฐานที่ที่นอน  ท่านพูดไม่ออก ท่านยังพยักหน้า เอเมน หรือท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ไหว พระเจ้าช่วยด้วย ท่านลองคิดดูแล้วกันว่าท่านอยู่ในสถานะตรงไหน? ความเชื่อนี้ ต้องบวกกับความศรัทธา  เชื่อและวางใจในลักษณะนี้เท่านั้น  ถึงเรียกว่า Apostle’s Creed ได้ ความเชื่อที่ท่านพูด 12 อย่าง

“ฉันเชื่อวางใจว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ พระองค์เป็นพระบิดาผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก”

มันหมายถึงท่านวางใจในพระองค์ได้ ท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อว่า ไว้วางใจว่า ศรัทธาว่าพระองค์ เป็นอย่างนั้นๆ ไม่ใช่พูดลอยๆ ว่าพระองค์เป็นอย่างนั้น ได้ยินได้ฟัง มั่นใจในข้อมูล ไม่ใช่ มันต้องอยู่ข้างใน เชื่อศรัทธาด้วยใจข้างใน แล้วปากพูดออกมานั่นแหละของแท้  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

เรายังเกาะติดสถานการณ์ หลังการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระเยซูได้ปรากฏพระองค์ 40 วัน หลังจาก 40 วัน พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ไปประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น จากอีสเตอร์ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ 36 แล้ว วันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้ ก็ครบ 40 วันพอดี เป็นวันที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า นี่พูดถึง 2,000 ปีที่ผ่านมา

พระเยซูต้องทนทุกข์ทรมาน และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป เพื่อรับบาปของมนุษย์ไว้ เพื่อเป็นแพะรับบาป  และพระเจ้าให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงพูดไว้  เป็นความจริง  และที่สำคัญ  ก็คือให้เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู  มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูด้วย ตรงนี้สำคัญที่สุด

 

พระเยซูต้องปรากฏพระองค์เอง เดินอยู่กับมนุษย์ 40 วันเท่านั้นเอง เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ มากินข้าวกินปลา พูดคุย จับมือ ถือแขนกับพวกสาวกมากมาย เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ ที่เคยประกาศก่อนจะสิ้นพระชนม์ และเพื่อส่งสาวกของพระองค์ออกไปเป็นพยานว่าพระองค์ เป็นอยู่ ทรงพระชนม์อยู่ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว

“จริงๆ ฉันเห็นมากับตา ฉันจับมากับมือจริงๆ”

ตัวนี้สำคัญ ทุกเหตุการณ์มีที่มาที่ไป มีเหตุผล ซึ่งพระคัมภีร์มีบันทึกไว้ทั้งหมด

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษา ก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

ที่พระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปอยู่ในสวรรค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่เสด็จลงมา พระเยซูจึงบอกว่าการที่พระองค์จะจากพวกเราไป เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานนั้น ก็เพื่อผลดีของพวกเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ลงมาสถิตอยู่ในตัวเราเลย เพื่อมาช่วยเราในระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

ถ้าพระเยซูเดินอยู่กับเราตลอดอย่างนี้   ก็แค่อยู่ข้างนอกตัวเรา   แต่ถ้าพระเยซูเสด็จไป พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา พระวิญญาณจะอยู่ในใจของเรา ในวิญญาณของเรา ต่างกันเยอะ เห็นหรือยังว่าพระเจ้าวางแผนอะไรไว้ พระเจ้าสามารถมาสถิตกับเราได้ อยู่กับมนุษย์ได้

ในยอห์น 14:26-27 พระองค์พูดถึงเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สัญญาว่าจะให้มาช่วยเรา

ยอห์น 14:26-27  “26  องค์ที่ปรึกษา  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมา ในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน  และอย่ากลัวเลย” เอเมน

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณ    ทั้ง 3 พระองค์นี้    ในพระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกันเราอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องสภาพของวิญญาณ แต่พระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็คือพระเจ้าพระบิดาอยู่ในเราด้วย พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราด้วย

“อ้าว! แล้วพระเยซู ในพระคัมภีร์บอกสถิตอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์”

ใช่พระองค์ สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ ในขณะเดียวกัน เราเป็นมนุษย์ เราคิดไม่ถึง เหมือนเราไปบอกมดว่า …

“เดี๋ยวเราจะเดินไปหน้าโบสถ์ ใช้เวลา 1 นาที”

มดมันบอกว่า “จะบ้าหรือ! ทำไปได้อย่างไร ใช้เวลา 1 นาที เขาต้องเดินกันเป็นเดือนๆ”

สมมติให้ฟัง มดมองไปไม่มีภูเขา มองทางราบอย่างเดียว แต่เรามองไป โอ้โห! มีเก้าอี้ขวางอยู่ ประตูสูง  เขาบอกเขามองราบอย่างเดียว ไม่เห็นมีอะไรเลย เข้าใจใช่ไหมครับว่าสายตาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน นี่คือใจความสำคัญที่บอกว่าพระวิญญาณมาอยู่กับเราดีกว่าอย่างไร?  ก็คือพระเจ้าพระเยซูสถิตอยู่ข้างในตัวเราเลย

หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ 10 วัน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงลงมา 10 วัน   บวกกับอีก  40  วันหลังวันอีสเตอร์ ก็คือ 50 วัน วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์นั่นเอง

วันที่ 50 ภาษาฮีบรูเขาเรียกว่า เพ็นต้า … เพ็นต้า ก็คือ 5 … เพนเทคอสต์เดย์ วันที่ 50 นับจากวันอีสเตอร์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าวันเพนเทคอสต์ และปีนี้ตรงกับวันที่ 15 เดือนนี้

แล้วเมื่อถึงวันเพนเทคอสต์ ทุกคนก็รู้ โดยเฉพาะที่นี่ ต้องรู้เลย เพราะเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง  คริสตจักรแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้น ในวันเพนเทคอสต์ เมื่อ 23 ปีที่แล้ว

วันศุกร์ประเสริฐ คือวันที่พระเจ้าไถ่บาปให้กับเรา

วันอีสเตอร์ คือวันที่พระเจ้าเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

และวันเพนเทคอสต์ คือวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับเรา

 

ครั้งที่แล้ว เราได้สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มีความมั่นใจอยู่ 2 สิ่ง คือ …

(1) มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ และมั่นใจในร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา แทนร่างกายที่เราเห็นทุกวันนี้ ก็คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์นั่นเอง  พระเยซูไถ่เราที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

(2) มั่นใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่กับเราด้วยทุกหนทุกแห่ง ก็คือผลจากวันเพนเทคอสต์นั่นเอง

ครั้งที่แล้ว เราได้ยกตัวอย่างชีวิตของโยเซฟ บุตรชายคนโปรดของยาโคบ ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกพวกพี่ชายกลั่นแกล้งและขายให้ไปเป็นทาสที่เมืองอียิปต์ ถูกใส่ร้ายจนติดคุก จนกระทั่งได้มีโอกาสทำนายฝันให้กับกษัตริย์ฟาโรห์ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มีอำนาจใหญ่โตในอียิปต์

จนวันหนึ่ง เกิดกันดารอาหาร  และพวกพี่ชายของโยเซฟ   ต้องพากันมา ขอซื้อข้าวที่อียิปต์ และได้พบกับโยเซฟ ซึ่งตอนนั้น โยเซฟได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการไปแล้ว แทนที่โยเซฟจะโกรธพวกพี่ชายที่ได้เคยจะฆ่าตัวเอง โยเซฟกลับบอกพวกพี่ชายว่า …

“เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพราะพวกพี่คิดเองหรอก แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นต่างหาก”

ให้อภัยหมดเลย  เกินกว่าคำว่าให้อภัยอีก เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไร? คิดว่าเป็นพระเจ้าผู้เดียวที่เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เหมือนพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟ ไม่มีต่างกันเลย  แต่ชีวิตของโยเซฟก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราทั้งหลาย ก็เหมือนกัน โยเซฟยังต้องเจออุปสรรคปัญหา และเจอความทุกข์ยากลำบากมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับโยเซฟ เห็นไหม?

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากจะได้อะไร? ก็ได้ตามใจ ไม่ใช่เป็นคนพิเศษ แต่มันหมายถึงพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป จะใช้เรา … เราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในภาพใหญ่ๆ แผนงานใหญ่ของพระเจ้า เราเป็นแค่จิ๊กซอเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ

วันนี้มาดูกันต่อว่าโยเซฟ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย มีคุณลักษณะอย่างไร? และเขารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าโยเซฟมีชีวิตที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา ในทุกสถานการณ์ของชีวิต และการกระทำของโยเซฟ ก็ทำให้คนรอบข้างเห็นถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตของเขา นี่คือแบบอย่างที่ดี ที่เราควรเรียนรู้

ตอนที่คนอิชมาเอลซื้อโยเซฟมาจากพวกพี่ชาย ไปเป็นทาส แล้วเขาก็ขายต่อให้กับโปทิฟาร์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ สังเกตดูว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟอย่างไร? ดูปฐมกาล 39:2-6

ปฐมกาล 39:2-6 “2 องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และทรงอวยพรให้เขาเจริญรุ่งเรืองขึ้น  ในบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์ 3 เมื่อนายเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้า  ประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ 4 โยเซฟจึงเป็นที่โปรดปราน และกลายเป็นคนสนิทของนาย  โปทิฟาร์จึงตั้งให้โยเซฟดูแลครัวเรือนของเขา และมอบทุกสิ่งที่เขามีอยู่ ไว้ในมือของโยเซฟ 5 ตั้งแต่นายมอบหมายให้ โยเซฟดูแลทุกสิ่งในครัวเรือน และทุกสิ่งที่เขามี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรครอบครัวของคนอียิปต์นั้น เพราะเห็นแก่โยเซฟ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกสิ่งของโปทิฟาร์  ทั้งในบ้านและในทุ่งนา 6 ดังนั้น โปทิฟาร์จึงไว้ใจให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งที่เขามี เมื่อมีโยเซฟเป็นผู้ดูแล  เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องใดเลย เว้นแต่อาหารที่จะรับประทาน”

 

คิดดูสิจากการเป็นทาส เขาทำ จนกระทั่งเจ้านาย เจ้าของบ้าน ยกให้เป็นเหมือนบ้านของเขาเลย แค่ถามว่าวันนี้มีอะไรกิน?  องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสำเร็จในทุกสิ่ง ที่เขาทำ เห็นชัดไหม?

นี่หมายถึงคนอื่นเห็นนะ ไม่ใช่เราพูด นี่คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย โยเซฟก็เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา … เขาจึงมีความมั่นใจมาก เขารู้เลยว่าเขาไปเป็นทาส เดินเข้าไป ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่เขารู้ว่าเขาไปเป็นพระพร สำหรับบ้านหลังนี้ เขาจะทำให้ดีที่สุด

จำได้ไหมที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านทราบ ถึงเรื่องที่เราไปสมัครงาน เวลาไปสมัครงาน เราไม่ได้ไปของานเขาทำ แต่เรากำลังจะไปดูว่าพระเจ้าจะพาเราไปอวยพรบริษัทนี้ไหม?   ถ้าสัมภาษณ์เสร็จแล้ว    เขาไม่เอา    แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อวยพรบริษัทนี้ ต้องมั่นใจอย่างนี้ ถึงเดินไปอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่เดินไปจ๋องๆ ไปของานเขาทำ พอเขาไม่ให้งาน เสียใจมากเลย ไม่ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

นี่คือคุณสมบัติพิเศษของผู้เชื่อว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันจริงๆ”

จะเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนจากลูกเศรษฐี กลายมาเป็นทาสรับใช้ในเรือนเจ้านาย แทนที่โยเซฟจะตีโพยตีพาย ร้อง ถามหา …

“พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมทิ้งเราเป็นอย่างนี้? ทำไมกลายเป็นตกต่ำอย่างนี้? ทำไมเสียฟอร์มอย่างนี้? ทำไมแย่อย่างนี้?”

หลายคนไม่เข้าใจ …

“พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วให้เป็นทาสทำไม? ไหนพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อวยพรให้เธอเป็นคริสเตียน  ทำไมจนอย่างนี้”

เคยได้ยินคนพูดไหม? เคย ไม่ต้องแคร์เขา ถ้าพระเจ้าให้ท่านอยู่อย่างนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เอเมน

และเมื่อตอนที่โยเซฟถูกภรรยาของเจ้านายใส่ร้าย กล่าวหาว่าโยเซฟเข้าไปลวนลาม จนกระทั่งโยเซฟถูกจับไปขังคุก มาดูว่าโยเซฟตอบสนองต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร? ปฐมกาล 39:20-23

ปฐมกาล 39:20-23 “20 และเจ้านายนำโยเซฟมาขังไว้ในคุกหลวง 21 แต่ขณะที่โยเซฟถูกขังอยู่ในคุกนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา และทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัศดี  22 ดังนั้น พัศดีจึงตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลนักโทษทุกคน และให้เขารับผิดชอบงานทุกอย่างในคุก 23 พัศดีผู้นั้น ไม่ต้องใส่ใจต่อสิ่งใดๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ” เอเมน

 

ดีใจที่เขาอยู่ในคุกหรือ? ไม่ใช่ … ดีใจ เพราะเขาสำแดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาอีกแล้ว จนกระทั่งหัวหน้าดูแลคุก คือพัศดีได้เห็น ทั้งๆ ที่ตอนเข้าไปเขากลุ้มใจ เขาวิตกกังวล เดินคอตกเข้าไปในคุก เดินเข้าไปในการทดลอง แน่นอน ใครอยาก ก็เป็นมนุษย์  อยากสบายๆ ไปเจออย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจ แต่ขณะตกใจกลัว เขามีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย  ในนี้บันทึกไว้ …

“องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา ทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัสดีคนดูแล”

คนไม่รู้เรื่อง เขาจะถามว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่อยู่ในคุก ไม่ดีกว่าเหรอ”

ถูกหรือเปล่า?  นี่คือความคิดของมนุษย์อีกแล้ว

มาถึงตอนที่โยเซฟ มีโอกาสทำนายฝัน ให้กับคนเชิญจอกเหล้าองุ่นของกษัตริย์ฟาโรห์ หลังจากที่ทำนายฝันให้แล้ว พูดอะไร? ปฐมกาล 40:14-15

ปฐมกาล 40:14-15 “14 เมื่อท่านได้ดีแล้ว โปรดระลึกถึงข้าและเมตตาสงสารข้าด้วย โปรดช่วยทูลฟาโรห์ เรื่องของข้า และช่วยข้าออกจากคุกนี้ 15 เพราะข้าถูกลากตัวมาจากดินแดนของชาวฮีบรู และบัดนี้ ต้องมาอยู่ในคุก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร”

 

เมื่อตอนต้นบอกว่าแม้จะอยู่ในคุก พระเจ้าก็ยังสถิตอยู่ด้วย และโยเซฟ ก็รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย และพระเจ้าอนุญาตให้เขาเข้ามาอยู่ในคุก รู้อย่างนี้แล้ว ทำไมยังต้องดิ้นรนหาทางออกจากคุกด้วย ทำไมมันแย้งกัน ฟังคำพูดเมื่อตะกี้ทรมานไหม? ทรมาน เขาอยากอยู่ในคุกไหม? ไม่อยาก เขาวิงวอนไหม? วิงวอน

แค่คำพูดว่า “ขอเมตตาสงสารข้าด้วยเถิด ข้าถูกใส่ร้าย”

แสดงว่าเขามีความคิดอย่างนี้ตลอดเวลา ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่ในคุกนั้น ถูกไหม?  เขาไม่ได้มานั่งคิดตอนนี้ แต่เขาคงคิดตลอด  ขณะที่เขาคิดอย่างนี้ตลอดเวลา แต่การดำเนินชีวิตเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นคงแข็งแรง ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้าตลอดเวลา จนผู้คนรอบข้างเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาจริงๆ แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียว ขณะที่เขาอธิษฐาน เขาอาจจะบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้าไม่ไหวแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว”

แต่พอเขาเดินออกไปทำงาน  เขาก็ทำอย่างดีที่สุด  คริสเตียนเราเป็นอย่างนี้ ผู้คนมองเข้ามาเข้มแข็ง พอถึงวิญญาณ เราก็อ่อนแอ เราก็ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอความเมตตาจากพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่ซาดิสต์ อยากทุกข์ทรมานมากๆ เขาก็อยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ ทุกข์กาย เพราะกายนี้ มันเป็นกายเก่าที่มีเชื้อบาปอยู่ มันมีเจ็บปวด อ่อนแอมาก  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราก็อยากที่จะสบาย  พูดง่ายๆ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้ดีงามทั้งหมด ไม่มีทุกข์ทรมานอย่างนี้ นี่มันมาจากบาป แต่ต้องอดทน เพราะการไถ่นั้นสำเร็จแล้ว แต่รอขบวนการครบถ้วนบริบูรณ์ก่อน ที่โยเซฟเป็นอย่างนี้ เพราะโยเซฟก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเนื้อหนัง ไม่ใช่คนวิเศษ แตกต่างอะไรกับเราเลย ยังมีความกลัว มีความวิตกกังวล เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่เคยมีใครในโลกนี้ที่ชอบนะครับ แม้จะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

“แต่ถ้าเลือกได้  ก็ขอให้ความทุกข์นี้ ออกไปจากข้าพระองค์เถิด”

ถูกไหม?  มันเป็นความคิดปกติของมนุษย์ทั้งหลายทั่วไป  แม้กระทั่งพระเยซู ก็เป็นเช่นเดียวกัน  จนมาถึงตอนที่โยเซฟมีโอกาสทำนายฝันให้กับฟาโรห์ โยเซฟก็แสดงออกถึงคุณลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา นั่นก็คือเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัว ที่จะพูดในสิ่งที่มั่นใจว่าพระเจ้าอนุญาตให้เขาพูด พระเจ้าบอกเขาอย่างนั้นจริงๆ

ตอนที่คนเชิญจอกออกจากคุกแล้ว ก็ลืมโยเซฟไป 2 ปี แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระเจ้าประทานความฝันให้กับฟาโรห์ ไม่สามารถมีใครมาทำนายฝันได้ คนเชิญจอกคนนี้ นึกขึ้นได้ ยังมีคนรู้จักคนหนึ่ง ชื่อโยเซฟ พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ฟาโรห์ก็บอกให้เรียกมา โยเซฟก็ได้มีโอกาสมาพบฟาโรห์ โยเซฟได้ทำนายฝันให้ฟาโรห์ว่าจะมีการเก็บเกี่ยวผลอย่างมากมาย 7 ปี หลังจากนั้นอีก 7 ปีจะเกิดการกันดารอาหาร และฝันที่ฟาโรห์เห็นนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้เกิดขึ้น

โยเซฟได้แสดงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่จะพูดออกไป เมื่อเขามีความมั่นใจว่านี่พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น   แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ    ถ้าเกิดขึ้นไม่จริงโยเซฟก็คอขาดพอดี  กล้าหาญขนาดไหน? นอกจากมีความกล้าหาญแล้ว ในความมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่  ทำให้เขาได้แสดงออกถึงความมีเมตตาและอภัยด้วย  จากเหตุการณ์การกันดารอาหาร ทำให้พวกพี่ชายมาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟแทนที่จะโกรธพี่ชาย  เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา พระเจ้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ชีวิตเขาอย่างเดียว ทุกคนทุกชีวิต มั่นใจมากเลย

ปฐมกาล 45:5-8 “5 บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเอง ที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะมีการกันดารอาหารในแผ่นดิน สองปีแล้ว ยังอีกห้าปี จะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง 8 ฉะนั้น  มิใช่พี่ เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา”

 

ถ้าเราจะทำเหมือนกับโยเซฟ วันนี้เราจะต้องคิดให้ดีๆ เราอาจจะต้องไปขอบคุณผู้คนที่ครั้งหนึ่ง เคยทำไม่ดีกับเรา  ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่ามันไม่ดี แต่เพราะเหตุการณ์นั้น  มันทำให้เรามาเชื่อพระเจ้าได้ทุกวันนี้ … วันนี้เราต้องคิดใหม่ ไม่ใช่ไม่โกรธเขาไม่พอนะ ต้องหาทางเอากระเช้าดอกไม้ไปขอบคุณเขา  …  เขาคงงง ทำอะไร?

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เรามองไปทุกอย่างสบายๆ แล้ว คือคำว่า “สบายๆ” ก็ต้องผ่านเนื้อหนังอีก ถึงต้องมาสอนกัน เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นมนุษย์ต้องทำอย่างนั้น แต่ให้รู้ว่าข้างในเรา จะทำอย่างไร?  และถ้าเราทำได้ เราเองนั่นแหละ จะได้พรคนแรกเลย คือหายเหนื่อยและเป็นสุข  เอเมน

“ขอบคุณพระเจ้ามากๆ วันนั้นโกงผมไป ผมเลยมีงานใหม่ที่ดีกว่า ถ้าไม่โกง ผมไม่เจ๊ง ผมไม่มีทางมาทำงานนี้หรอก งานนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว ข้อสำคัญที่สุด      คือผมไม่มีทางมาหาพระเจ้าหรอก     ผมเย่อหยิ่งมาตั้งนานแล้ว    แต่เนื่องจากเจอวันนั้น ไปไหนไม่รอด ผมจึงเชื่อ ได้รู้จักพระเจ้าจริงๆวันนี้ ชีวิตของผมเปลี่ยนไปหมดเลย  ทุกอย่างก็ดีกลับมาหมดเลย ขอบคุณมากๆ”

นี่คือความจริง มนุษย์รับยาก แต่เราต้องเรียนรู้กันไป

เรื่องราวของโยเซฟที่เราได้เรียนรู้กันมา ก็คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  ซึ่งจะต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ รอบข้างแบบนี้ และเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเชื่อในการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่กับเราตลอดเวลา ควรเอาเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิต

 

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้อะไร? ก็ได้ทุกอย่าง ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ตรงนี้เป็นหัวใจเลย

พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป เรียกว่ารับใช้

ตอนนั้น อียิปต์ เป็นเหมือนกับประเทศมหาอำนาจ ร่ำรวยมาก โยเซฟเหมือนนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการ ใหญ่มาก เป็นคนฮีบรู เป็นยิว คนยิวก็แห่กันมา ย้ายจากที่ลำบากลำบนมาที่นี่  เส้นใหญ่ครับ เพราะผู้สำเร็จราชการเป็นชาวยิว ก็เลยเอื้ออำนวยให้คนยิวอยู่ดี กินดี เป็นเวลาหลายร้อยปี ผู้คนเหล่านั้น คือพี่น้องของโยเซฟ เป็นชาวยิวทั้งนั้น มีลูกมีเต้าเยอะแยะ ลูกก็แข็งแรง เพราะกินดีอยู่ดี  ฟาโรห์คนเก่า ที่รู้จักโยเซฟตายไป รุ่นของโยเซฟหมดไป ฟาโรห์คนใหม่ไม่รู้จักโยเซฟ มองไป คนยิวน่ากลัว เพราะแข็งแรง คนเยอะแยะมากมาย เกิดคิดกบฏขึ้นมาแย่เลย เพราะฉะนั้นต้องจัดการให้มันน้อยลง ก็กลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนกระทั่งโมเสสก็เกิดในช่วงที่ถูกฟาโรห์คนใหม่ข่มเหง โมเสสเกิดที่นี่ได้อย่างไร? ก็เพราะว่าโยเซฟได้รับพระพร ทำให้ชาวยิวมาที่นี่ ครอบครัวของโมเสสก็อยู่ที่นี่ โมเสสก็คลอดออกมา แล้วเกิดอะไรต่างๆ ที่ไม่ดี  พระเจ้าก็อนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อเป็นไปตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น โยเซฟก็เป็นแค่จิ๊กซอตัวหนึ่งที่ทำให้โมเสสมาเกิด แล้วโมเสสกระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้พวกเราทั้งหลาย นั่งอยู่ที่นี่ได้ รู้จักพระเจ้าได้ การไถ่ถอนของพระเจ้าสำเร็จ เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ ก็เพราะส่วนหนึ่ง ก็คือโยเซฟที่ตกลงไปในบ่อน้ำ

ถ้าคิดมาย้อนปัจจุบัน ผมนึกถึงปู่ผม  … ปู่ผมมีครอบครัวที่ดีมากอยู่ที่ประเทศจีน ในสมัยนั้น เกิดสงครามกลางเมือง จำเป็นต้องอพยพออกมา เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว ก็อธิษฐานกับพระเจ้า …  พระเจ้าก็นำพาโดยอัศจรรย์ มาเมืองไทย อยู่ที่นั่นเป็นครอบครัวที่มีฐานะที่ดี ไม่อย่างนั้นผมคงเกิดที่โน่น พระเจ้านำหมดเลย ตอนที่ปู่ผมตาย ผมยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย มาลำบากลำบนเปล่า?

ปู่ผมไปอยู่กับพระเจ้าไม่กี่ปีต่อมา   ผมมาเชื่อพระเจ้า    …    พระเจ้ามองหมดแล้ว มันจะต้องเกิดวันนี้ คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ มีอายุครบ 23 ปี ก็ต้องมีคนๆ หนึ่ง มาช่วยกันกับอีกหลายๆ คน ทุกคนถูกเตรียมไว้ทั้งหมดแล้ว ให้มาทำอะไร? มันต้องมีคริสตจักรที่นี่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรวันหนึ่งข้างหน้า ผมตายจากโลกนี้ไป ผมจะเห็นภาพอนาคตข้างหน้าว่าเพราะปู่ย้ายมาที่นี่ ผมมาเป็น คริสเตียน ผมมาร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ที่นี่  มาประกาศข่าวประเสริฐ คนนี้ก็เชื่อจากการประกาศของผมออกไป ไม่ใช่ผมดีนะ ผมกำลังจะเล่าให้ท่านฟัง ผมไปประกาศ คนนี้เชื่อ แล้วเขาก็ไปทำงานของเขาเกิดผล ท่านพอจะเข้าใจอะไรไหม?

ผมกำลังพยายามให้ท่านเห็นภาพว่าเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ของการงานของพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าใช้เราอย่างนี้ๆ เราไม่รู้เรื่อง เราก็ว่าของเราไปเรื่อยๆ ตายไป เรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราทำวันนี้  มันกระทบสู่ผลดีอะไร ภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า อีกมากมายขนาดไหนเราไม่รู้ แต่เรารู้แน่ๆ ว่ากระทบแน่นอน เพราะว่ามันเป็นแผนการใหญ่ของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าครอบครัวของพระเจ้า เอเมน

ชีวิตผมเหมือนกัน ถ้าไม่มีวันนั้นลำบากลำบน ผมก็ไม่มาเชื่อพระเจ้า ต้องกลับไปขอบคุณอีกหลายคน ที่ทำให้ผมลำบากลำบนวันนั้น แล้วได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะไม่ใช่เขา แต่เป็นพระเจ้าจัดเตรียมแผนการให้เราเล็ดลอด ค่อยๆ เข้ามาสู่ทางของพระองค์ได้ ชีวิตเราก็ควรจะเป็นแบบโยเซฟ ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ของแผนการของพระเจ้า และในทุกสิ่ง ให้เราคิดเหมือนกับที่โยเซฟคิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม จงเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพื่อผลดีเสมอ ในขณะที่เกิดขึ้น ยังไม่รู้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจ รู้แต่ว่าเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เดี๋ยวมันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน สำหรับเราและผู้คนเยอะแยะมากมาย   ที่จะกระทบเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต   และจงทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ให้ดีที่สุด และยึดมั่นไว้อย่างมั่นคงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอนหลับ หรือตื่นอยู่ พระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคุกหรืออยู่ในวัง จะมีกินหรืออดอยาก หรือจะเจ็บป่วย หรือจะแข็งแรง พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะถูกเขาดูถูกหรือถูกเขาสรรเสริญ พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ท่านก็ไปใส่ทุกอย่าง พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนี้ และเมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราเป็นแผนการส่วนหนึ่งเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็ให้เราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ก็จงดีใจ ไม่ใช่ดีใจ เพราะอยากมีชีวิตอยู่นะ

ตราบใด ท่านมีลมหายใจอยู่ ท่านมีคุณค่าที่จะมีชีวิตต่อไป ถ้าท่านรู้ว่าขณะที่ท่านมีลมหายใจ นั่นคือพระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ มันมีอะไรบางอย่างกระทบต่อไป ท่านอาจจะบอก …

“ก็นอนอยู่ในห้อง ICU ไม่ไปสักที”

พระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ ไม่ต้องคิดว่าใช้อย่างไร? แต่ถ้าหมดลมหายใจ ก็จบงาน พักผ่อนแล้ว ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ท่านรับใช้ได้ตลอด ไม่ว่าเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ท่านก็รับใช้ได้ตลอด คือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คุณค่าที่รู้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลา และนำพาชีวิตเรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือแผนการใหญ่ของพระองค์ที่ดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาดี ไม่ใช่สำหรับเราคนเดียว แต่ดีสำหรับภาพรวมทุกคน เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ