คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2017 เรื่อง “New Years พอเพียง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่  1  มกราคม  2017

เรื่อง “New Years พอเพียง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีปีใหม่ ปีนี้ปีระกา ก็คือไก่ จำได้ไหมครับว่าผมเคยพูดว่าไก่ มันทำไมนะ? มันร้องอย่างไงนะไก่ ปกติไก่ทุกเช้ามันจะร้องว่าอย่างไร? ลองร้องสิ ลองดู

“อยู่ก็รกโลก”

เพราะฉะนั้น ปีนี้ ไปที่ไหน เราก็จะเห็นแต่ไก่ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เห็นไก่ ก็เตือนสติตัวเองว่าอย่าอยู่บนโลกนี้ แบบรกโลก เขาไม่ได้ว่าเรา เขาเตือนเราว่าอย่าอยู่ก็รกโลก วันนี้จะไม่อยู่รกโลก เอเมน

ส่วนใหญ่พอมาถึงวันปีใหม่ คนก็มักจะตั้งเป้าหมายประจำปี ทุกปี ท่านทราบไหมครับว่าคนตั้งเป้าหมายตอนปีใหม่มากที่สุด ให้ทาย?  ท่านคิดในใจนะ ถ้าเป็นท่านปีใหม่ปีนี้ท่านจะทำอะไร?

ลดความอ้วน ดูแลสุขภาพให้ดี ออกกำลังกาย กินอาหารให้มีประโยชน์อะไรต่างๆ นี่เป็นเบอร์หนึ่ง เขาพิสูจน์กันมาแล้ว ทุกประเทศ ทุกแห่ง และทุกนานมาแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ สมัยอดีต ก็เป็นอย่างนี้ คือตั้งเป้าว่าจะลดความอ้วน จะออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพตัวเอง พอถึงสิ้นปี ทำได้ไหม? ไม่ได้ … ไม่ได้ ก็เลยทำไม? ตั้งใหม่ คนที่ยังไม่ตั้ง ก็มาตั้งเก่า มันก็มากขึ้นทุกวัน ใช่ไหม?

ถามว่าทำไมเขาถึงตั้งกัน เพราะอะไร? เพราะว่าเขารู้ว่าสุขภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา หมายถึงคนเราที่ดูๆ กันอยู่นี้นะ ไม่นับถึงโลกวิญญาณ สุขภาพสำคัญที่สุด ทุกๆ คนก็รู้ แล้วก็ตั้งเป้าไว้ แต่พอถึงเวลา มันไม่ได้ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่มาดึงเราออกไป จากความสำคัญนี้แน่ๆ จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับความสวยความงาม เราไม่ได้ตั้งใจจะลดความอ้วน เพื่อความสวย จริงไหม? จริงๆ เราต้องการลดความอ้วน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง มากกว่าต่างหาก แต่มีอะไรบางอย่างที่มันใหญ่กว่า สำคัญกว่านั้นหรือ? ที่ทำให้เราไม่ได้สักทีหนึ่ง ว่าจะออกกำลังกาย จากนี้ต่อไปจะออกกำลังกายทุกวัน วันอย่างละน้อยๆ 30 นาที วันที่ 2 มกราคม ก็ทำได้ 30 พอวันที่ 5 ก็เหลือ 20 พอจบเดือนมกราคมไม่ทำแล้ว กลับมาเหมือนเดิม อย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ เป็นแล้วเป็นเล่า มันเป็นเพราะอะไร? วันนี้จะมาเปิดเผยท่าน

ท่านรู้ไหมว่าในพระคัมภีร์ พระเยซูสั่งให้เราระวังอะไร? พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้นะ พระเยซูตรัสเอง ลูกา 12:15 ท่านดูว่าจริงไหม?

“จงระวังให้ดี จงระวังตนจากความอ้วนทุกชนิด” ไม่ใช่นะ

“ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ที่การอ้วน หรือผอม” ไม่ใช่อีกแหละ

ลูกา 12:15 พระเยซูบอก “จงระวังให้ดี”

แสดงว่ามันทำไม? มันอันตรายมากสำหรับชีวิตเรา

ลูกา 12:15 “จงระวังให้ดี ระวังตนจากความโลภทุกชนิด ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สินสิ่งของเหลือเฟือ”

 

แสดงว่าความโลภมันอันตรายมาก มีสิ่งเดียวสิ่งที่พระเยซูตรัสสอนเรา “จงระวัง” ก็คือระวังตรงนี้ ไม่ใช่ระวังว่าจะอ้วน แต่ผอมได้ ก็ดีนะ ไม่ใช่ระวังอย่างอื่น แต่ระวังตรงนี้แหละ และตรงนี้ จะเป็นสาเหตุที่ผมบอกว่าตั้งเป้า แล้วก็ไม่ได้ ตั้งเป้า แล้วก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาไปมัวแต่อยากจะมีสิ่งของเหลือเฟือ “ระวังตนจากความโลภทุกชนิด” เป็นคำเตือน คำตรัสของพระเยซูมาแล้ว 2,000 ปี ยังคงทันสมัย ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ

ในทางโลก คนมักจะตั้งเป้าหมาย หรือมีความฝันกันว่าจะต้องมีบ้านหลังใหญ่ๆ โตๆ มีเงินทองสะสมเยอะๆ มีชีวิตหรูหราสุขสบาย มีรถขับสบายๆ แล้วก็ทำไม? ทุ่มเททุกอย่างเลย ตั้งแต่เริ่มต้นปี ที่คิดว่าตัวเองจะดูแลตัวเอง ทำอะไร? หาทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกวิถีทาง เพื่อจะได้มาในสิ่งที่ฝันเอาไว้นี่แหละ และเมื่อได้แล้ว ก็บอกกับตัวเอง พอใครได้ สิ้นปี พอได้ตามฝัน ก็บอกว่า …

“ชีวิตนี้ประสบผลสำเร็จแล้ว”

ถูกไหม? พอสิ้นปี การงานเจริญรุ่งเรือง ทุกอย่างดีหมด ทรัพย์สินเงินทองมากขึ้นกว่าเก่า รถก็เปลี่ยนคันใหม่ อย่าว่าแต่เขาพูดตัวเองสำเร็จ คนข้างๆ มองไปยังบอกว่าเขาประสบผลสำเร็จในชีวิต แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร?

ในทางพระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าเรียกคนเหล่านี้ ที่คิดว่าตัวเองสำเร็จแล้วนี้ว่าอะไร? “โลภ” โลภ คืออยากได้ทรัพย์สิน สิ่งของเหลือเฟือ เรียกว่าโลภ แต่เรามนุษย์เราเรียกว่า “สำเร็จ” เรายังแอบชมคนข้างๆ เลย ปีนี้เขาประสบผลสำเร็จ แต่จริงๆ มันคือโลภ เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดต่อไป คืออะไร?

เพราะความโลภนี่แหละ ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อย กลายเป็นคนตามที่พระเจ้าส่งไก่มาเตือน ก็คือเป็นคนที่อยู่ไปก็รกโลก เขาเรียกว่าสวนทางคำอวยพรบนโลกนี้เลยนะ สวนทางที่เราได้ยินได้ฟังมาตอนสิ้นปีว่าความสำเร็จ คืออะไร? หน้าหนังสือพิมพ์ก็ลง คนนั้นก็สำเร็จ คนนี้ก็สำเร็จ คนนี้เป็นมหาเศรษฐีเบอร์ 1 จากแต่ก่อนนี้เป็นเบอร์ 5 ตอนนี้มหาเศรษฐีคนนี้เคยเป็นเบอร์ 1 ตอนนี้เป็นเบอร์ 3 กลุ้มใจมากเลย คนเขาชมกันใหญ่เลยว่าประสบผลสำเร็จ แต่เราดูสิว่าพระคัมภีร์ พระเยซูสอนเอาไว้อย่างไร?

เพราะอะไรที่ทำให้คนเราเกิดความโลภ? ก็เพราะว่าเราอยากได้ในสิ่งที่เนื้อหนังความต้องการ ฝ่ายร่างกาย ก็คือฝ่ายบาป เชื้อบาปทางร่างกาย มันอยากได้ แล้วมันพร้อมจะกระทำทุกอย่างที่เรียกว่าบาป ที่เรียกว่าผิด ความโลภจะทำให้เราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ที่ผิด ที่บาป เพื่อจะได้มาในสิ่งที่ตัวเองฝันเอาไว้ ที่เราต้องการ

คอนเชปในชีวิต ที่เราตั้งเอาไว้ เราอยากได้สิ่งนั้น เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้สิ่งนั้น เราจะลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างเลย  เพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติ สิ่งของเหล่านี้เข้ามา เพื่อจะได้คำว่า “ประสบผลสำเร็จ” จากคนข้างเคียง เพื่อจะได้รับคำชม คำว่า “ประสบความสำเร็จ” จากโลกนี้ ที่เขาชมออกมา ใช่ไหม? ถูกไหม? แต่พระเยซูบอกว่านั่นแหละ เรียกว่า “โลภ” และมันอันตรายมากต่อชีวิตของเราเลยทีเดียว

พระคัมภีร์บอกว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย “โลภ” ถือเป็นบาปที่รุนแรง ร้ายแรงที่สุด พูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้  พระคัมภีร์บอกว่าความโลภ เป็นบาป เป็นความผิดที่ร้ายแรง เกิดผลรุนแรงที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุหลัก ที่จะนำไปสู่ความบาปอื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด การกระทำชั่วร้ายอื่นๆ ไปหมด เกิดขึ้นจากในใจที่มีแต่ความโลภเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เราควรที่จะกลัวความโลภมากกว่ากลัวสิ่งอื่นๆ มากกว่ากลัวเจ็บป่วย มากกว่ากลัวมะเร็งอีก กลัวควาโลภดีกว่า เราอาจจะบอกเราอาจจะไปออกกำลังกาย เพื่อจะมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อจะหนีจากโรคมะเร็งใช่ไหม? หนีจากโรคร้ายต่างๆ ใช่ไหม? นั่นก็ดีอยู่แล้วนะ แต่ยังดีไม่พอเลย ดีกว่านั้น และดีที่สุด คือท่านต้องหนีจากความโลภ เพราะความโลภนี่รุนแรงที่สุด

ความโลภเปรียบเหมือนอะไรรู้ไหมครับ? พระคัมภีร์บอกว่ารูปเคารพ เหมือนพระเจ้าอีกองค์หนึ่งที่เราไปนมัสการไม่รู้ตัว ที่ทำให้มนุษย์ทุกคน ที่ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ถ้าเจอตัวนี้เข้าไป แพ้ความโลภเข้าไป ทำให้เกิดอะไร? เขาจะมองเห็นคุณค่าของสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้มากกว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ มากกว่าพระเยซู มากกว่าพระบิดาของพระเยซู มากกว่าพระเจ้าผู้ทรงประทานความรอดให้กับมนุษย์ทุกคน มากกว่าพระเจ้าผู้ทรงครอบครอง ควบคุมทุกอย่าง กำชีวิตมนุษย์ เขาหนีไปแล้ว เขาไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เขาไปนมัสการ เขาไปกราบไหว้รูปเคารพตนหนึ่ง ที่มองด้วยตาไม่เห็น ที่เรียกว่าความโลภ

พระเยซูสอนอย่างไรในเรื่องนี้ ที่บอกว่าให้ระวังตนจากความโลภทุกชนิด ระวังอย่างไร? ฟังพระเยซูพูดสอนเรานะครับ เจ็บแสบจริงๆ มัทธิว 6:19-21 พูดชัดเจนมากๆ จนกระทั่งไม่ว่าเมื่อไรก็ตามเอาอันนี้มาอ่าน ก็โดนใจทุกปี  ไม่ใช่เฉพาะปีใหม่ปีเดียว วันที่ 1 มกราคมอย่างเดียว ทุกวัน เอามาอ่านทุกวัน ใช่ทุกวัน และมันจริงทุกวัน และมันโดนตลอดไม่ใช่เฉพาะปี 2017 นี้เท่านั้น ตั้งแต่ไม่ถึง 2,000 ก่อนหน้า 2,000 อีก ตั้งแต่ก่อนค.ศ.อีก ตั้งแต่มนุษย์เกิดมาและตกลงไปในความบาป มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น พระเยซูเลย รับตรัส สอนเราก่อน เพราะรักเรา กลัวเราจะทำลายชีวิตของตัวเราเอง

มัทธิว 6:19-21 พระเยซูเตือนเรานะครับ สมมติว่าพรเยซูวันนี้มาเจอเรา มาคุยกับเราเรื่องปีใหม่ ขณะที่เรากำลังตั้งเป้าว่าปีหน้าเราจะอันโน้น ปีหน้าเราจะทำอันนี้ เราจะอย่างโน้นอย่างนี้ เรามองดูหนังสือพิมพ์ มองดูคนรอบข้างทั้งโลก คนนี้ก็ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่ คนนั้นก็ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่ คนนั้นก็ร่ำรวยมหาศาล คนนี้มีชื่อเสียงเยอะแยะมากมาย เราคงจะตั้งอะไรบางอย่างในชีวิตของเรา ฟังว่าพระเยซูเช้าวันนี้  มาพบเราในตอนเช้าวันปีใหม่ 2017 นี้ แล้วบอกเราว่าอย่างไร? แล้วท่านจะเชื่อไหม? นี่มีพระเยซูมาปรากฏกับท่านเช้าวันนี้ แล้วบอกอย่างนี้ ท่านจะเชื่อไหม? ท่านจะมีกำลังไหม? เชื่อแน่มีกำลังแน่ สมมติว่าตอนนี้พระเยซูกำลังพูดกับท่านอยู่ พระเยซูเช้าวันนี้กำลังพูดกับท่านว่าอย่างไร? ในขณะที่โลกกำลังรุนแรงมากในเรื่องเกี่ยวกับการสะสมทรัพย์สิ่งของ การอยากได้ในสิ่งที่เป็นของโลกนี้ พระเยซูกำลังมาบอกเรา กำชับเราว่าอย่างนี้ว่า …

          มัทธิว 6:19-21 “19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้  และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 21 เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”

 

พระเยซูกำลังพูดกับเรา ตรัสด้วยความรัก ความห่วงใยชีวิตของเรามากเลย ยิ่งนักวัน ยิ่งมากขึ้นทุกวัน แล้วในหนังสือ 1 ยอห์น 12:15 ยังบันทึกไว้อย่างนี้

1 ยอห์น 12:15 “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

 

ก็หมายถึงเขาไม่ได้รักพระเจ้านั่นเอง  อย่าไปโกหกเลยว่ารักพระเจ้า ไม่จริง มันต้องมีอะไรอันหนึ่งอยู่ในใจของคุณ อะไรเบอร์หนึ่ง นั่นแหละ คุณกำลังกราบไหว้สิ่งนั้น พระเจ้าหรือทรัพย์สินเงินทอง พระเจ้าหรือชื่อเสียงเกียรติยศบนโลกใบนี้ พระเจ้าหรือคำอวยพรต่างๆ หรือคำที่เขายกย่องเราต่างๆ ว่าสำเร็จแล้วบนโลกใบนี้ อะไรสำคัญกว่า ท่านให้อะไรสำคัญกว่า

ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน? ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูตรัสกับเราอย่างนี้ บอกเราอย่างนี้ว่านี่คือความจริง ทรัพย์เราอยู่ที่ไหน? ใจเราอยู่ที่นั่น ตอนนี้ใครซื้อรถมาใหม่เมื่อวานนี้ สมมติ หรือซื้อมาเมื่อปีนี้เอง ตอนนี้ บอกท่านว่ารถท่านถูกชนแล้ว ท่านฟังรู้เรื่องไหมเนี้ย? ไม่ต้องรถใหม่หรอก รถเก่าก็ได้ ตอนนี้ มีใครไม่รู้ ไม่ต้องถูกชนเลย มีคนมาขีดรถคุณเป็นรอย ฟังรู้เรื่องไหมเนี้ย นั่นแหละใจท่านอยู่ไหน? อยู่ที่นั่น มันต้องฝึกฝน มันทำได้นะ มันต้องฝึกฝนว่า …

“ช่างมัน ฉันจะอยู่กับพระเจ้า ช่างมัน ฉันจะอยู่กับพระเยซู”

นี่หมายถึงว่าพูดแบบง่ายๆ ก่อนนะ ต้องค่อยๆ เรียนรู้ว่าชีวิตอย่างนี้ทำอย่างไร? ถ้าเราต้องเลือกรักพระเจ้าพระบิดากับรักโลกนี้ คือรักทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เราจะเลือกใคร? ถ้ารักทรัพย์สมบัติ ก็ต้องใส่เครื่องหมายคำถามว่ารักพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ถามตัวเองนะ อย่าไปถามคนอื่น ถามตัวเอง วันนี้ลองถามตัวเอง ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าเราอยากได้โน่น อยากได้นี่ ลองถามตัวเองว่าความอยากนั้น มันอยากเกินกว่าที่เรามีพระเจ้าอยู่ในตัวไหม? เกินกว่าที่เรามีพระเยซูสถิตอยู่ในใจไหม? เกินกว่าที่เราเป็นลูกพระเจ้าไหมเนี้ย มันเกินกว่าไหม?

คำว่า “เป็นลูกพระเจ้า” กับคำว่า “ร่ำรวย” เราให้อันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากันนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกอบกับช่วงนี้ เป็นช่วงแห่งการตั้งเป้าหมาย แล้วก็เป็นช่วงที่เราได้ยินข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายเยอะแยะไปหมดเลย เรารู้ใช่ไหมว่ามันคืออะไร? มันคือสิ่งที่จะมาล่อเรา มันเหมือนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กำลังประกาศว่า …

“ให้ก็ตามที่ได้ยินเสียงระฆังนี้แล้ว เสียงเพลงนี้แล้ว จงก้มกราบปฏิมากรหรือรูปปั้นทองคำ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ปั้นขึ้น สมัยบาบิโลน”

ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกบอกว่า … “ไม่ ฉันไม่กราบไหว้”

คล้ายๆ กัน ตอนนี้มีเสียงกระดิ่งเยอะแยะไปหมดเลย ทุกวันๆ ว่า …

“ถ้าได้ยินเสียงกระดิ่งนี้แล้ว จงกราบสิ ก้มกราบ วิธีรวย วิธีสำเร็จ วิธียอดเยี่ยม ไปๆ”

จะไปหรือไม่ไป?  หรือจะยึดมั่นว่า … “ฉันจะยึดมั่นพระเยซู พระเจ้าของเรา”

ท่านลองคิดดูนะ แม้กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9  ที่เรารัก ที่เราอาลัยท่าน ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ยิน ได้ฟังบ่อยมากเลย โครงการเยอะแยะมากมาย พระดำรัสของพระองค์เต็มไปหมดเลยที่สอนเรา อะไรบ้างที่สำคัญที่สุด เตือนแล้วๆ เตือนอีก ทำเป็นตัวอย่าง ก็คือเศรษฐกิจ

ถามว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” คืออะไร? ก็คือสิ่งที่ตะกี้นี้ พระเยซูตรัสเตือนนั่นเอง ก็คืออย่าโลภ น่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะตั้งใจเอาจริงเอาจัง ฝึกฝนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ในเรื่องของความไม่โลภ เริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปอย่างจริงจัง โดยมี 2 พ่อเป็นกำลังใจให้กับเรา คือพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ และพ่อหลวงของเรา ที่แม้ว่าจะจากเราไป แต่พระดำรัส ความรัก ความห่วงใยของพระองค์ก็ยังอยู่กับเรา ใช้โอกาสนี้ว่าได้กำลังใจจาก 2 พระองค์มาช่วยเราในการที่จะสามารถพบกับความสุขที่แท้จริง

ในหลวง รัชกาลที่ 9 ตรัสสั่งไว้ว่า … “ความพอเพียง คือสิ่งที่จะทำให้คนไทยได้พบกับความสุขที่แท้จริง”

ตรงเป๊ะกับที่พระเยซูเตือนเมื่อตะกี้นี้ พระดำรัสของพระองค์ตอนหนึ่ง ในหลวงตรัสไว้อย่างนี้

“คำว่า “พอ” ก็เพียงพอ … เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง … คนเรา ถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย … เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย … ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภมาก … คนเราก็อยู่เป็นสุข

พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง”

เหมือนในหลวงรัชกาลที่ 9 สรุปให้เราเรียบร้อยเลย  จากที่ตะกี้เราฟังพระเยซูตรัสแล้ว ตอนนี้ในหลวงสรุปให้เรา … เราทำอย่างนี้แหละ มิได้หมายถึงมีของหรูหราไม่ได้ แต่มีไว้ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า มีไว้เพื่อให้ มีไว้แจกจ่าย มีไว้เพื่ออนุเคราะห์ ผู้คนอื่นๆ ที่เขาลำบากลำบน ไม่ใช่มีไว้เพื่อสนองกิเลสตัณหาตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ มีหรูหรา เพื่อไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น แล้วแถมเอื้อเฟือต่อคนอื่น เพราะเรามีมาก เพราะเราทำงานเหนื่อยมาก อดทนมาก ขยันหมั่นเพียร เรามีมาก เราก็แบ่งปันคนอื่น ไม่ใช่เอาไว้ๆ อย่างเดียว

เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้โลกไม่ได้สอนเรา สิ่งเหล่านี้ โลกเอาไว้เชิดชูตอนปีใหม่ว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ตรัสสอนเรา เพราะฉะนั้น ในช่วงปีใหม่นี้ เป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้ตั้งใจและเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ในการทำดี เพื่อพ่อผู้สถิตในสวรรค์ของเรา และเพื่อพ่อหลวงของเรา คือพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ไม่โลภ ไม่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติเงินทองบนโลกนี้ แต่ตั้งใจที่จะสะสมทรัพย์สมบัติของเราไว้ในสวรรค์ เหมือนเพลงที่เราร้องกันบ่อยๆ

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา            ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้               ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่         ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้                 ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

แล้วจะไปห่วงอะไรล่ะ แล้วจะเอาไปทำไมเยอะแยะ ตายไปแล้ว ก็เอาไปไม่ได้ แจกจ่ายใช้ให้ดีที่สุด ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เอเมน

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ธันวาคม  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 7 “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชืื่อแบบไม่หวั่นไหว)

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ เป็นตอนที่ 7 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ ชื่อเรื่องว่า “เทวรูปทองคำและเตาไฟ (เชื่อแบบไม่หวั่นไหว)” เรายังเรียนรู้ชีวิตคริสเตียน จากเรื่องราวของดาเนียลกันอยู่ ครั้งที่แล้ว ดาเนียลได้ทำนายฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าอย่างนี้ว่าแต่ละส่วนของรูปปั้นที่ทำจากวัสดุต่างๆ ก็เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตั้งแต่สมัยที่นิมิตเกิดขึ้น ก็คือเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คือก่อนคริสตกาลนั่นเอง และดาเนียลก็ได้ทำนายความฝันอย่างนี้ว่า …

“ศีรษะ” ที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็กวาดต้อนชาวยิว มาเป็นเชลย

“หน้าอกและแขน” ที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรเปอร์เซียที่รุ่งเรืองขึ้นมา ภายหลังจบยุคสมัยของบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ที่เป็นทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีกที่จะมารบชนะเปอร์เซีย และแผ่ขยายไปทั่วโลก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คืออาณาจักรโรมัน ที่พระคัมภีร์บอกว่าแข็งแกร่ง เหมือนเหล็ก ที่จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน

“เท้า” ซึ่งทำด้วยเหล็กผสมดินเหนียวเซรามิก ตรงนี้เล็งถึงยุคที่อาณาจักรโรมัน เริ่มเสื่อมสลาย และแตกแยกกลายเป็นประเทศเล็กๆ ต่างๆ เต็มไปหมดเลย ทั่วยุโรป

คำทำนายฝันของดาเนียล ที่บอกว่าจะเกิดอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้ฟังกันและได้เรียนรู้กัน ครั้งที่แล้ว เป็นคำทำนายในยุคบาบิโลน ตอนที่พูดอยู่นี้ ซึ่งในยุคนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าความฝันนี้จะเป็นจริงตามคำทำนายของดาเนียลหรือไม่? ถึงแม้รู้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? ก็ไม่รู้ว่าอันไหนหมายถึงประเทศอะไร? แต่มาถึงวันนี้ ประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นแล้ว ตามคำทำนายตามนั้นจริงๆ ทุกยุค ทุกสมัย มาถึงปัจจุบันนี้ ประมาณ 2,600 ปี ตรงตามนั้นหมดเลย  เมื่อตรงอย่างนั้น  จากนี้ต่อไป จนสิ้นยุค คือสิ้นโลกนี้เลย ก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วย มันจึงน่าตื่นเต้น การที่จะมาศึกษาเรื่องนี้ด้วยกัน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เรา ได้มีความมั่นใจ ในสิ่งที่เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าควบคุม ครอบครองทุกสิ่งในโลกใบนี้

หลังจากสิ้นสุดอาณาจักรทั้ง 4 คือบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก และโรมันแล้ว ดาเนียลก็ทำนายต่อว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรือง หรือมีอำนาจทั่วโลก เกิดขึ้นอีก จากนั้นมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้น แตกกระจายแหลก ไม่เหลือร่องรอย หินที่กระแทกรูปปั้นแตกกระจายแหลก เป็นชิ้นๆ ตรงนี้ ในคำทำนายบอกไว้ว่าอย่างนี้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล นี่คือหนึ่งในจำนวนที่แปลความฝันนี้ ซึ่งเรามานั่งอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ เรารู้ว่าอาณาจักรที่จะมั่นคงตลอดกาล คืออาณาจักรของพระเยซู Kingdom of Christ กำลังเริ่มฉลองกันปีนี้ ค.ศ.2016 ช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงสัปดาห์ของคริสตมาส เรากำลังฉลองอันนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ฉลอง Kingdom of Jesus Christ ฉลองอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่นิมิตนี้บอกว่าอาณาจักรนี้จะยั่งยืน มั่นคงตลอดกาล มากขึ้นไปอีก

ย้อนกลับไป 2,600 ปีที่แล้ว ที่ดาเนียลกำลังพูดความหมายของนิมิตให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ยินว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเป็นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรบาบิโลนที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นมหาอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหนก็ชนะ กวาดต้อนคนเยอะแยะมากมาย มาเป็นเมืองขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีคนมาทำนายฝันว่าเดี๋ยวอีกไม่นาน จะมีคนมาโค่นล้มราชวงศ์เรา โค่นล้มประเทศเรา แล้วจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทนตัวเรา ท่านไม่มีความสุขแน่ ท่านต้องกลัวแน่ๆ จะบอกว่าไม่กลัวหรอก เราไม่เชื่อ  จะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ เพราะว่าดาเนียลทำนายฝันที่เป๊ะๆ เลย ไม่ได้บอกว่าฝันว่าอะไร? แต่พูดถูกหมดเลย

แสดงว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่ามันใช่จริงๆ ก็ยิ่งกังวล กลัวว่ามันจะเป็นไปตามความฝัน เป็นไปตามนิมิตที่ได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล เมื่อเชื่อแน่นอนแล้ว ก็ต้องตั้งหลัก

เราย้อนกลับไปดูว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทำอย่างไรต่อไป เมื่อได้รู้เรื่องนี้ ซึ่งบันทึกไว้ในดาเนียล 3:1-7 ก่อน

ดาเนียล 3:1-7 “1 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก ตั้งไว้ในที่ราบดูรา ในมณฑลบาบิโลน 2 แล้วทรงให้เรียกเสนาบดี ข้าหลวงภาค ผู้ว่าการ ราชมนตรี ขุนคลัง ผู้พิพากษา ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของทุกมณฑลมาชุมนุม เพื่อร่วมงานฉลองเทวรูป ซึ่งสถาปนาขึ้นนั้น 3 คนเหล่านั้น ก็มาร่วมฉลอง และยืนอยู่หน้าเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น 4 แล้วมีเสียงป่าวประกาศว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติทุกภาษา มีพระราชโองการว่า 5 ทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น 6 ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที” 7 ฉะนั้น ทันทีที่คนทั้งหลาย  ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ และเสียงดนตรีทุกชนิด พลเมืองทั้งปวง จากทุกชาติทุกภาษา ก็หมอบกราบลง นมัสการเทวรูปทองคำ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างขึ้น

 

ในคำทำนายฝันของดาเนียล บอกว่าอาณาจักรบาบิโลนของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือส่วนศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ

อาณาจักรบาบิโลน ก็เปรียบเหมือนทองคำ คือเฟื่องฟูมาก เป็นอาณาจักรแห่งการทำมาค้าขาย  ที่เจริญรุ่งเรืองจริงๆ นี่คือหนึ่งในจำนวนลักษณะที่พระเจ้าบอกว่าในนิมิตนี้ ให้เป็นรูปทองคำ เพราะจริงๆ พระเจ้ากำหนดให้บาบิโลนเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นทองคำจริงๆ แต่รูปปั้นที่อยู่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์นั้น มันมีเฉพาะแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น ที่ทำด้วยทองคำ ส่วนอื่นๆ ทำด้วยเงิน ทองแดง และเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรอื่นๆ ที่จะมีอำนาจต่อจากบาบิโลน ก็คือจะมาโค่นล้มบาบิโลนนั่นเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลัว กลัวว่าหัวจะขาดไป กลัวว่าจะถูกยึดอำนาจ เพราะฉะนั้น ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ฝันร้าย หรือแก้เคล็ด

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างเทวรูปทองคำ สูงถึง 60 ศอก กว้าง 6 ศอก 30 เมตรประมาณเกือบๆ 10 ชั้น และมีความกว้าง 3 เมตร ไปที่ไหนก็เห็น ในฝันบอกว่ามีเฉพาะหัวใช่ไหม?

“เพราะฉะนั้น  ฉันทำเป็นทองคำทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่านี่คือฉัน … ฉันจะไม่ยอมสยบให้ใครเด็ดขาด ฉันชนะ”

“ฉัน เป็นตัวฉันทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเงิน ทองแดง และเหล็ก” แก้เคล็ด

พอสร้างเทวรูปเสร็จแล้ว ก็เรียกทุกคนมาร่วมชุมนุมกัน แล้วประกาศว่า …

“บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา มีพระราชโองการว่าทันทีที่พวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด จงหมอบกราบลงนมัสการเทวรูป ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สร้างขึ้น  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมกราบนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที”

สังเกตตรงคำว่า “บรรดาพลเมืองทุกชาติ ทุกภาษา” อย่างที่บอกว่ายุคของบาบิโลน คือยุคของทองคำ ซึ่งจะมีบรรดาเมืองขึ้นเต็มไปหมดเลย เพราะเขาไปตีเมืองได้ชนะเยอะแยะไปหมด ชนชาติ ภาษาอะไรต่างๆ มากมาย เขาก็ต้องการ ให้พวกนี้สิโรราบกับเขา ให้รู้สึกว่าเกรงกลัว กลัวว่าเขาจะไปรวมหัวกัน แล้วขึ้นมากบฏ ขึ้นมาต่อต้าน ไม่เป็นเมืองขึ้นอีกต่อไป เขาก็คิดในใจว่าอาจจะมีประเทศใด ประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง รวมหัวกัน ในที่สุด ก็กลายเป็นหน้าอก ที่เป็นรูปเงินนั้นจะมาทำลายบาบิโลน พูดง่ายๆ ตามภาษาไทย เรียกกันว่าตัดไม้ข่มนาว่า …

“อย่าหือนะ ฉันใหญ่มากนะ”

กราบนมัสการ “ก็คือสิโรราบต่อฉันซะ”

นี่คือคำสั่งเด็ดขาด ถ้าใครไม่ทำตาม โยนเข้ากองไฟเลย  เอาตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้รวมกลุ่มเลย  แค่ต่อต้านนิดหนึ่ง ก็จับโยนเข้ากองไฟ อย่างนี้เป็นต้น เขาก็คิดว่าช่วยได้ ไม่ให้เป็นไปตามข่าวร้าย หรือฝันร้าย ที่เขาได้รับมา

เมื่อดาเนียลทำนายฝัน อย่างถูกต้องแล้ว กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ทำตามสัญญา ให้รางวัลงามและตั้งดาเนียล ให้ดำรงในราชสำนัก แล้วดาเนียลก็ทูลขอกษัตริย์ว่าขอเพื่อนๆ คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก  มาช่วยทำงานด้วย กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็แต่งตั้งดาเนียลเป็นเหมือนกับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ แล้วมีเพื่อนๆ อีก 3 คน ดูแลปริมณฑลต่างๆ

ดาเนียลกับเพื่อน 3 คน เป็นชาวยิว ศัตรูร้ายกาจแล้ว พระเจ้ายกขึ้นมา มีหน้าตาดี ได้รับเกียรติได้เรียนรู้ในพระราชวัง สำนักของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือบาบิโลน จนได้ดิบได้ดี จนได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามารับราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ดังนั้น จึงถูกเสนาบดีอื่นๆ อิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา มีการทูลเท็จ พยายามเลื่อยขา บางคนอาจจะเป็นอาจารย์ของดาเนียลและเพื่อนๆ ตอนสมัยเริ่มเรียนใหม่ๆ ก็ได้ ท่านลองคิดดูนะว่าชีวิตของดาเนียลกับเพื่อนๆ ทั้ง 3 คนในราชสำนัก คงต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา จะทำอะไรต้องมีแผนการ ตลอดเวลา เพราะมีแต่ปัญหาการเมืองทั้งนั้น ดาเนียลและเพื่อน 3 คน ต้องพึ่งพาในพระเจ้า วางใจในพระเจ้า และขณะเดียวกัน แน่นอนเขาจะต้องถูกจ้องจับผิด  ถูกจ้องใส่ร้าย ถูกจ้องทำร้ายอย่างแน่นอน

คราวนี้มาดูของจริง ดาเนียล 3:8-12 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,600 ปีที่ผ่านมา

ดาเนียล 3:8-12 “8 ในครั้งนั้น มีโหราจารย์บางคนมาทูลฟ้องกษัตริย์เรื่องชาวยิว 9 พวกเขา  มาทูลเนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 10 ฝ่าพระบาททรงประกาศพระราชกฤษฎีกาว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิด  ให้หมอบกราบลงนมัสการเทวรูปทองคำ 11 และผู้ใดที่ไม่ยอมหมอบกราบลงนมัสการ จะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที 12 แต่มีชาวยิวบางคน คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ที่ฝ่าพระบาททรงแต่งตั้งให้ดูแลมณฑลบาบิโลนนั้น ไม่ยอมทำตามพระบัญชา เขาเหล่านั้น ไม่กราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ ของฝ่าพระบาท และไม่ยอมนมัสการเทวรูปทองคำ ที่ฝ่าพระบาททรงสร้างขึ้น”

 

ในโลกนี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย คนมีอำนาจ ก็กลัวว่าจะเสียอำนาจ คนที่ทำงานร่วมกัน เขาสูงกว่าก็พยายามที่จะไปเลื่อยขาเขา  มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกคงจะชิน มาอีกแล้ว

“พระองค์เจ้าข้า เที่ยวนี้จะโปรโมทอะไรอีกล่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก”

ท่านลองนึกภาพ บางคนก็กำลังคิดใช่ไหมว่าทำไมฟ้องแค่ 3 คน แล้วดาเนียลหายไปไหน? ตอนที่กษัตริย์แต่งตั้งตำแหน่งนี้ ให้แต่งตั้งชัดรัด เมชาค อาเบคเนโก ไปเป็นผู้บริหารที่มณฑลบาบิโลน มณฑลเหมือนต่างจังหวัด ข้างนอกเมือง แต่สำหรับดาเนียล ได้รับการดำรงตำแหน่งในราชสำนัก เหมือนผู้สำเร็จราชการ อยู่ในเมือง และเทวรูปทองคำ ที่ต้องก้มลงกราบ เมื่อมีเสียงดนตรีเกิดขึ้นนี้  ถูกนำไปตั้งไว้ที่ราบ ชื่อว่าดูรา ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของบาบิโลน ซึ่งอยู่นอกเมือง พูดง่ายๆ คือพระเจ้าเขียนบทนี้ ให้ดาเนียลพัก ฉากนี้เป็นของเพื่อนเกลอ 3 คนล้วนๆ ได้แสดงเต็มๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เมื่อได้ยินจากโหราจารย์ว่าเพื่อนทั้ง 3 คนของดาเนียล ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ก็โกรธมาก

สั่งให้นำตัว 3 คนนี้มาสอบ มาคุยด้วย พูดตรงๆ ก็ยังเกรงใจดาเนียลและเด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้อยู่ เพราะรู้ว่าผู้คนเหล่านี้มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัวเขา ที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ ทั้งสติปัญญาด้วย ก็เลยให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายกับ 3 เกลอนี้ว่าถ้าได้ยินเสียงดนตรี แล้วก้มกราบนมัสการเทวรูปทองคำของเขา ก็จะปล่อยตัว แต่ถ้ายังขัดขืน ขัดคำสั่ง ไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟที่ร้อนแรง เผาทั้งเป็น ดาเนียล 3:13-15 ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

ดาเนียล 3:13-15 “13 เนบูคัดเนสซาร์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้นำตัวชัดรัค   เมชาค และอาเบดเนโกมาเข้าเฝ้า 14 แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จริงหรือที่พวกเจ้าไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของเรา หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่เราสร้างขึ้น 15 บัดนี้  หากพวกเจ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ ขลุ่ย พิณ พิณเขาคู่ พิณใหญ่ ปี่ และเสียงดนตรีทุกชนิดประโคมขึ้นแล้ว ถ้าพวกเจ้าพร้อมที่จะหมอบกราบนมัสการเทวรูปที่เราสร้างขึ้นก็ดี แต่หากพวกเจ้าไม่นมัสการจะถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชนทันที แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

 

นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง จองหองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันอย่างถูกต้องแม่นยำ เนบูคัดเนสซาร์ถึงกับเข่าอ่อน ตรัสว่า …

“พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชันย์ และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้”

ยกย่องพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าพระทั้งมวล ตอนกำลังกลัว มาถึงตอนนี้ หลังจากที่ได้สร้างเทวรูปทองคำใหญ่มหึมา มีคนป้อยอมากมายว่าพระองค์เก่ง พระองค์ยอดเยี่ยม เป็นจอมราชันย์ เป็นผู้พิชิต เยอะแยะไปหมด ก็ลืมตัว คงประมาณว่าเราได้แก้เคล็ดแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว ทำให้เกิดความเย่อหยิ่งขึ้น ทุกวันได้ออกมาเห็นเทวรูปที่สร้างขึ้นมาเบ้อเริ่มเทิ่ม ก็รู้สึกภูมิใจว่าเป็นสีทองทั้งหมด มันเป็นของเรา เป็นบาบิโลน ไม่มีใครมาล้มล้างได้ มันจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไป ราชวงศ์ของเรา ฮึกเหิม ลืมนิมิตที่พระเจ้าได้ประทานให้ครั้งที่แล้ว

ดูข้อ 15 ตรงท้ายๆ บอกว่า …

“แล้วเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะสามารถช่วยพวกเจ้า  ให้พ้นจากมือเราไปได้?”

เมื่อไม่นานมานี้บอกว่า “พระเจ้าของเจ้าใหญ่ที่สุดแล้ว”

แต่ตอนนี้บอก “พระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

เขากำลังสบประมาทพระเจ้าของดาเนียลและเพื่อนทั้งสามคนนี้ เขาลืมประโยคแรกในดาเนียล บทที่ 2 ที่บอกว่า …

“ท่าน คือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าได้ให้ท่านเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ให้ปกครองประเทศอิสราเอลและประเทศทั้งมวล พระเจ้าได้ให้ท่าน”

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ความเย่อหยิ่ง นำหน้าความพินาศ”

ความเย่อหยิ่ง ความจองหองนำหน้าความพินาศ คนเราจะเย่อหยิ่งจองหองได้ เมื่อเราประสบความสำเร็จ คนไม่ประสบความสำเร็จ จะไม่มีทางเย่อหยิ่ง เพราะไม่มีโอกาสจะหยิ่ง แต่พอมีอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันจะเริ่มหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเอง เรารู้สึก เราช่วยตัวเองได้ เราอยู่คนเดียวก็ได้ เราไม่ต้องพึ่งใครก็ได้ นั่นแหละคือหยิ่ง บางครั้งเราคิดว่า …

“ฉันก็อยู่ของฉันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็ได้ ฉันพอแล้ว ฉันก็ทำดีของฉันไปเรื่อยๆ ก็โอเคแล้ว”

ในทางพระเจ้า เขาเรียกว่าความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่งเหมือนกัน และความเย่อหยิ่งนี้นำหน้าความพินาศ คือจะไม่ได้รับสิ่งที่ดี ที่เตรียมไว้ให้กับเขา ชีวิตเราก็เหมือนกัน หลายครั้ง ตอนมารู้จักพระเจ้าปีแรก รักพระเจ้ามาก พระเจ้าช่วยตรงนั้น พระเจ้าช่วยตรงนี้ โรคก็ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ดี พอเลยมาสักระยะหนึ่ง ลืมพระเจ้าแล้ว อะไรๆ ก็ตัวฉันหมด ทุกอย่างก็ตัวฉันหมด ลืมพระเจ้าไป ทิ้งพระเจ้าไป

“เอะอะอะไรก็ฉันเอง ฉันเป็นคนทำ ฉันดีเอง ทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ได้ เพราะฉันฉลาด เพราะฉันทำงานเก่ง ขยันหมั่นเพียร อดทน เพราะฉันทั้งหมด”

ลืมพระเจ้าไป นี่ก็คือนำหน้าการพินาศนั่นเอง

นี่คือสิ่งที่สามารถเตือนชีวิตเราได้ด้วย อย่าทำเหมือนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

กลับมาที่เพื่อนของดาเนียล ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร?

“ถ้าท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อพระเยซู เราจะให้ท่านรอด จะไม่ฆ่าท่าน แต่ถ้าท่านบอกว่าท่านยังเคารพพระเยซูอยู่ ยังเชื่อพระเยซูอยู่ เราจะฆ่า ตัดคอท่านเลย”

ท่านจะตอบว่าอย่างไร?   ในปัจจุบัน  เกิดเหตุอย่างนี้จริงๆ แถวตะวันออกกลาง   จับมิชชั่นนารีหรืออาจจะไม่ใช่ เป็นคนงานธรรมดา แล้วก็บังคับ มีอย่างนี้จริงๆ สมัยโรมันเรืองอำนาจ หลายคนถูกทรมาน เพราะอย่างนี้ ถ้าปฏิเสธพระเยซูก็จะไม่เผาไฟ แต่ไม่ปฏิเสธ ก็จะถูกเผา ย่างบนไม้ แล้วก็เอาฟืนเผาทั้งเป็นเลย นี่ก็ลักษณะเดียวกัน  เรามาดูดาเนียล 3:16-18

ดาเนียล 3:16-18 “16 ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่เนบูคัดเนสซาร์ ข้าพระบาททั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องทูลแก้ต่างให้ตนเองต่อฝ่าพระบาทในเรื่องนี้ 17 หากข้าพระบาทถูกโยนเข้าไปในเตาไฟลุกโชน ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าที่ข้าพระบาททั้งหลายปรนนิบัตินั้น จะทรงกอบกู้ และทรงช่วยข้าพระบาททั้งหลาย ให้พ้นจากเงื้อมพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทได้ 18 แต่ถึงแม้ พระองค์ไม่ทรงช่วย ข้าแต่กษัตริย์ ก็ขอฝ่าพระบาททรงทราบเถิดว่าข้าพระบาทจะไม่ยอมปรนนิบัติเทพเจ้าของฝ่าพระบาท หรือนมัสการเทวรูปทองคำที่ทรงตั้งขึ้นเป็นอันขาด”

 

ผมจะเน้นตรงนี้ให้ท่านดูว่าภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ 3 คนนี้ตอบว่า …

“พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ พระองค์สามารถช่วย แล้วพระองค์ปรารถนา ที่จะช่วยอยู่แล้ว ให้ข้าพระบาทรอดจากเตาไฟ แต่ถึงแม้พระองค์ไม่สามารถ”

หมายถึงถ้าพระองค์ไม่สามารถช่วย  ก็ยังจะเชื่อพระเจ้าอยู่ดี ก็ไม่กราบรูปเคารพนั้น ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ยังเป็นเด็กหนุ่มเจริญเติบโตมาจากความเชื่อแบบคนยิว เป็นลูกยิวแท้ๆ ความเชื่อในพระเจ้าของเขาเต็มเลย เชื่อแบบไม่หวั่นไหวในทุกอย่าง มีข่าวมาว่ากองทัพของบาบิโลนมาล้อมเมืองแล้ว เขาคงอธิษฐานกันทั่วเมือง แล้วตัวเขาและครอบครัว คงอธิษฐานกันใหญ่

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ พระเจ้าช่วยกู้ได้ พระเจ้าทรงอยู่ด้วยในยามยากลำบาก พระองค์เป็นพระเจ้านิรันดร์ พระองค์จะไม่ทิ้งประชากรของพระองค์”

ขณะที่เขากำลังตื่นเต้น อธิษฐาน วางใจในพระเจ้า เขาก็ได้ยินเสียงโครม ศัตรูพังประตูที่เขาอยู่ด้วยกัน เข้ามาถึงภายใน อาจจะฆ่าหลายคนไป  แล้วก็ลากเอาตัวเขาและเพื่อนๆ ไปเป็นเชลย ขณะที่ถูกต้อนไปบาบิโลน เขาคงคิดตลอด พระเจ้าที่เขาเชื่อตลอดเวลา เขารู้จักตลอดเวลา ทำไมไม่ช่วยเขา  ชาวยิวจะถูกปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? เขาคงคิดในใจ ก็เพราะพระเจ้าไม่สามารถช่วยได้ ถ้าพระเจ้าช่วยได้ คงช่วยไปแล้ว เพราะเขาเชื่อในพระเจ้า

เขาจึงตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่สามารถช่วยนะ ไม่เป็นไร ฉันก็ยังเชื่อพระเจ้าอยู่”

นี่เขาเรียกว่าความเชื่อแบบไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“ไม่ว่าจะสามารถหรือไม่สามารถ ฉันไม่รู้ ฉันเชื่อในพระองค์ และฉันเชื่อตลอดไป วางใจเลย”

เราถูกสอนมาว่าให้เชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง นี่เขาบอกว่า …

“แม้กระทั่ง ทำไม่ได้บางสิ่ง ฉันก็ยังเชื่ออยู่”

เลยไปอีก เชื่อแบบสุดไปอีก หลายครั้ง เราคิดว่าพระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร?  เราเชื่อแล้ว เชื่อเลย ผมยกตัวอย่างให้ ก็เหมือนชีวิตเราหลายคน หลังจากผมเชื่อพระเจ้ามาปีหนึ่ง คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้า ตอนมาเชื่อที่เป็นมะเร็งอยู่นะ หายเลย คือจะหายหรือไม่หาย เราไม่รู้ แต่อย่างน้อยๆ รู้ว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีอาการอะไรต่างๆ เป็นเวลา 10 ปีเต็มๆ ด้วยความสุขสนุกสนานไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ ไปประกาศ ไปกับผมทุกแห่ง ทุกจังหวัด ขับรถกันไปหลายจังหวัดเลย  เป็นช่วงเวลาที่แม่บอกว่ามีความสุขมากที่สุดเลย รักพระเจ้ามาก คิดดู 60 กว่า 70 เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า จะมาเรียนรู้อะไรอย่างเรามากมายนัก แต่เชื่อเพราะเชื่อแล้ว สิ่งหนึ่งที่คุณย่าบอกไว้ จำแม่นเลยว่า …

“ฉันขอกอดขาพระเจ้า”

ก็เหมือนชัดรัด เมชาค อาเบดเนโกพูด …

“ใครจะพูดอะไรไม่รู้ ฉันขอกอดขาไว้ก่อน ฉันไม่คิดอะไรมากมาย ไม่สนใจเลยว่าพระเจ้าทำได้หรือไม่ได้”

นี่แหละความเชื่อแบบกอดขาพระเจ้าเอาไว้ พอ 10 ปีผ่านไป อาการมะเร็ง ก็กลับมาใหม่ ก็มีความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน เจ็บร่างกายเหมือนกัน แต่ก็กอดขาพระเจ้าไว้แน่น ไม่มีหวั่นไหวเลย แม้แต่นิดเดียว คนหวั่นไหว คือพวกเราต่างหาก ที่อยู่ข้างๆ

ผมเลยคิดว่าความเชื่อต้องเป็นลักษณะเดียวกันอย่างนี้ กอดขาพระเจ้าไว้แน่นๆ หลายคนอาจจะบอกคุณย่า หรือมีหลายคนอาจจะบอก หรือบางคนอาจจะคิด …

“ไหนบอกมาเชื่อพระเจ้า หายจากมะเร็ง”

แต่คุณย่าบอก “ไม่รู้ ฉันกอดขาพระเจ้าไว้แล้ว”

ก็ไปหาหมอตามปกติ ไปโรงพยาบาลตามปกติ แล้วท่านก็จากไปด้วยความสงบ ด้วยความเชื่อที่เต็มสมบูรณ์ครบถ้วน ยิ้มไปเลย ในขณะที่ผู้คนรอบข้าง เป็นไปได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้

ชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ฝึกเอาไว้เลย ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ให้มีความเชื่อแบบนี้

“อะไรเกิดขึ้นก็ได้ ฉันจะกอดขาพระเจ้าไว้ให้แน่นๆ ไม่ว่าพระเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ทำ  ไม่ว่าพระเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่มี ฉันกอดขาพระเจ้าไว้ และเชื่อในพระเจ้า”

บางคนบอกว่ารอให้ท่านเชื่อก่อน พระเจ้าถึงจะทำ ไม่ต้อง ท่านไม่เชื่อเลย พระเจ้าก็ทำได้  เอเมน ท่านอยู่เฉยๆ พระเจ้าก็ทำได้ ต่อให้ไม่เชื่อแถมยังต่อต้านอีก พระเจ้าก็ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บังคับทุกสิ่ง  และครอบครองทุกอย่าง เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ทุกสิ่งบนโลกใบนี้อยู่นั่นเอง เอเมน

ท่านไม่มีสิทธิ์ ท่านจะไปสู้อะไรกับพระเจ้าได้ ถ้าใครยอมเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข ถ้าท่านต่อต้าน ท่านก็ทุกข์ของท่านเอง เหมือนถีบประตักที่พระเยซูบอก ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น  จงรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด และทุกสถานการณ์ ทุกแผนการ แผนการที่พระองค์ทรงกระทำมี 2 อย่างเท่านั้น นั่นคือ …

  1. เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์ คือถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
  2. เพื่อผลดีสำหรับใครก็ตามที่ยอมเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือใครที่เชื่อในพระองค์

แค่นั้นเอง ไม่ว่าท่านจะเห็นว่าเหตุการณ์นั้นมันร้ายต่อชีวิตของเรา ไม่ดีต่อเรา  ไม่ดีต่อคนที่เรารัก 2 สิ่งเท่านั้นเอง ที่ท่านจำไว้ มันเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิด เพื่อน้ำพระทัยของพระเจ้าจะได้สำเร็จ ถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อเป็นผลดีสำหรับคนๆ นั้น และเป็นผลดีสำหรับใครก็ตามที่รักในพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์ แล้วท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปต่อต้าน ท่านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว

ฝากตรงนี้ไว้ว่าถ้าเราขอพระเจ้าทุกวัน ขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เรากอดพระเจ้าไว้แน่น มีความเชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลย บางครั้งหวั่นไหว ไม่รู้ล่ะ หวั่นไหว ฉันก็ยังเชื่ออยู่ ก็เป็นคน มันก็หวั่นไหว ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ก็เป็นคน เขาได้เห็นมา บ้านเมือง ครอบครัวถูกทำลาย พ่อแม่อาจจะถูกฆ่า ตัวเขาถูกลากมาเป็นเชลย เขาเห็นกับตา แล้วจะให้เขาบอกว่าพระเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  เขาบอกไม่ได้ เขาบอก ตอนนั้น พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้ เขาอาจจะคิดอย่างนี้ไง

เพราะฉะนั้น ท่านจะพูดอย่างไร ก็พูด แต่ขอให้ท่านเชื่อในพระเจ้าก็แล้วกัน ท่านอาจจะบอก

“ทำไมลูกฉันไม่หายสักที”

“เพราะพระเจ้าไม่เก่งมั้ง”

ไม่เป็นไร พูดไปเถอะ แต่ขอให้ท่านยังเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ และเชื่อในพระองค์ แต่เรื่องนี้พระองค์อาจจะทำไม่ได้ ก็ได้ พูดอย่างนี้ได้ไหม? ได้

“ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ฉันอดอยากถึงขนาดนี้ ลำบากลำบน เจ๊งมากี่ครั้งแล้ว ไปไหนก็รู้สึกลำบากลำบน มีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น”

“อ๋อ พระเจ้าอาจจะทำไม่ได้มั้งเรื่องนี้ ตอนนี้ ไม่เป็นไร แต่ฉันเชื่อพระเจ้า ถึงทำไม่ได้ฉันก็เชื่อ แต่ฉันรู้ว่าถ้าพระเจ้าทำได้ พระเจ้าช่วยฉันแน่นอน นี่มันเกิดขึ้น พระเจ้าคงจะทำไม่ได้ ฉันโอเค ขอบคุณพระเจ้า”

ได้หมดทุกอย่าง เห็นไหม? ก็ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า และวางใจในพระเจ้าสุดๆ แบบนี้ แบบไม่หวั่นไหว และสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้บอกไว้แล้วใช่ไหม? อาณาจักรสุดท้าย อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ หินก้อนนั้น ศิลาก้อนนั้น จะกลายเป็นภูเขาก้อนใหญ่ มหึมา ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายคือผู้เชื่อ คือคริสตจักร วางอยู่บนศิลานี้ ศิลานี้เป็นความรอด เป็นความช่วยเหลือ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของเรา เป็นความแข็งแกร่งของเรา ลมพายุพัดอะไรแรงเท่าไร มันก็จะไม่มีวันล้ม มันจะตั้งยืนอยู่ตลอดไป บนศิลานี้  จงวางใจและเชื่อตรงนั้น แบบนี้ เชื่อแบบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน

 

**********************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็จะเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ชื่อตอนว่า “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 5 ใช้ชื่อว่า “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

การบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 5 จบลงตรงที่ว่าดาเนียลทายความฝันได้อย่างถูกต้อง รอดตาย และเริ่มต้นแปลความหมายของความฝันให้กับกษัตริย์  วันนี้เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติม ขยายความให้ละเอียดขึ้นของคำทำนายฝันของดาเนียล เกี่ยวข้องมาถึงพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ในขณะนี้ และต่อไปข้างหน้า อนาคต จนสิ้นยุคเลย จนหมดโลกใบนี้ จนพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่อีกครั้ง

เรามาทบทวนความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก่อน เปิดไปที่หนังสือดาเนียล 2:31-35

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

นี่คือความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่ฝันและให้ดาเนียลทายว่าฝันว่าอะไร?

นิมิตเป็นเหมือนเรื่องราว พูดง่ายๆ ปัจจุบันคือหนัง แต่เป็นหนังจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   แล้วพระเจ้าให้มนุษย์ได้รู้ก่อน โดยใช้สื่อ คือเป็นหนังที่อยู่ในความฝันเขา อยู่ในนิมิต บางคนไม่ได้ฝัน แต่เห็นเป็นนิมิต ก็คือหลับตาเห็น ลืมตายังเห็นเลย เวลาติดตามในเรื่องของการฟังคำบรรยาย หรืออ่านพระคัมภีร์ เรื่องเกี่ยวกับนิมิต เกี่ยวกับความฝัน เกี่ยวกับรูปภาพต่างๆ เหล่านั้น ท่านจงนึกภาพว่าพระเจ้ากำลังฉายหนังให้เราเห็น อธิบายเป็นภาษาอะไรลำบาก ก็ฉายเป็นหนังให้เราดู แล้วเราจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ทั้งหมดนั้น คือภาพยนตร์ นิมิต ความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่พระเจ้าได้ให้ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา ลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้น มีศีรษะทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ถ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันแค่นี้ ก็คงไม่ต้องกลัวแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เนบูคัดเนสซาร์ตกใจ และบอกว่าเป็นฝันร้าย ก็คือข้อความต่อไปนี้ ที่บอกว่า ..

“ขณะที่ฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั่น ก็มีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจายไป”

สมมติว่าเรากำลังยืนมองรูปปั้น กำลังพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ มีทอง มีเงิน มีดินเหนียว กำลังมองเพลินๆ แล้วกำลังจะตีความฝันด้วยตัวเอง

“ฉันคือรูปปั้นนี้  หมายถึงฉัน ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะฉันเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนั้น เป็นกษัตริย์สูงสุดแล้ว บาบิโลนเป็นของฉันแล้ว อาณาจักรบาบิโลนใหญ่ที่สุดในโลก”

ในขณะที่ดูเพลินๆ อยู่นั้น ทันทีทันใดนั้น ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งเล็กๆ ค่อยๆ พุ่งลงมา ใหญ่ขึ้นๆ มากระแทกถูกรูปปั้นนี้ กระจุยกระจาย ไม่เหลือซากเลย สะดุ้งเลย โครมเดียว ตกใจตื่น เหงื่อแตก ผมเดาว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เพราะผมก็เคยฝันอย่างนี้ เหมือนกัน ท่านก็เคยฝันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้นะ ฝันอื่นๆ ตอนตกใจ มันต้องมีอะไรบางอย่างทำให้เราตกใจในความฝัน เชื่อว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงใช้ชื่อว่าความฝันของเขา เป็นฝันร้ายตกใจกลัว เขาจึงให้โหรมาทำนาย ความฝันนี้สำคัญต่อชีวิตของเขามาก ถ้าทายได้ ให้รางวัลมหาศาลเลย ถ้าทายไม่ได้ ฆ่าให้ตายหมด เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? ฉันว่าฉันใหญ่แล้ว อะไรมาทำลายฉันถึงขนาดนี้ ฉันจะได้รู้ก่อนล่วงหน้า จะได้ป้องกันได้

มาดูคำทำนายของดาเนียล ที่ตีความหมายของความฝันว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือไม่? ตามที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันไว้ เราจะค่อยๆ ดูกันไปทีละส่วน เริ่มต้นเลย ดาเนียล 2:37-38

ดาเนียล 2:37-38 “37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

 

ดาเนียลทำนายฝันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าแต่ละส่วนในรูปปั้น ที่ทำมาจากวัสดุต่างๆ นั้น เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เริ่มต้นจาก …

ศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ทำไม? ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พระเจ้าได้เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเกิดขึ้นจริง บันทึกไว้ในหนังสือเยเรมีย์ 27:5-6

เยเรมีย์ 27:5-6 “5 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เรายกสิ่งเหล่านี้แก่ใครก็ตาม ที่เราพอใจ”

พระเจ้าพอใจ นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์จริงๆ ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย  ที่บาบิโลน  อย่างหฤโหดนั้น  เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้ เรียบร้อยแล้ว

คำเผยพระวจนะ ที่สะดุดหูที่สุด คำว่า “เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า”

ก็คือแผ่นดินของชาวยิวทั้งหมด “ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา”

เวลาพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “โมเสส คือผู้รับใช้ของเรา”

นี่พูดกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ผู้ซึ่งเป็นผู้โหดร้าย  ทำลายประชากรของพระเจ้า แต่พระเจ้าเรียกเขาว่า “ผู้รับใช้ของเรา” พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ หลายครั้งพระเจ้าจะใช้แต่คนดีๆ นะ หรือคนต้องอย่างนี้ อย่างนั้น ตามที่เราคิด เขาอาจจะดีในแง่หนึ่ง พระเจ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พูดง่ายๆ พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ พระองค์จะใช้ใครก็ได้ ให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เราไม่รู้ เรามองด้วยตาเราเอง คนนี้โหดร้าย คนนี้ไม่ดี คนนี้ดี เราคิดของเราเองไป

แต่พระเจ้าบอก “เราจะใช้คนนี้ๆๆ       และคนเหล่านี้ ที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อแผนการใหญ่ของฉัน เพื่อประชากรของฉันทุกคนบนโลกใบนี้”

เพื่อทุกคน เพื่อสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย พระเจ้าอาจจะใช้บางอย่างที่ดูแล้ว เหมือนตอนนี้ไม่ดี แต่มันจะเป็นเหตุให้เกิดผลดี สำหรับส่วนรวมในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น เยรูซาเล็มล่มสลาย ด้วยน้ำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน เป็นต้น

นี่คือความเสียหาย ที่พระเจ้าเห็นแล้ว เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ แต่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดสิ่งที่ใหญ่โตในอนาคต ซึ่งพระเจ้าจะทำให้กับประชากรของพระองค์ทั้งหมดในโลกใบนี้เลย

จากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงอาณาจักรบาบิโลน ต่อมา ก็คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน และท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มาดูว่าหมายถึงอะไร?  ดาเนียล 2:39

ดาเนียล 2:39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก”

 

หน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรที่จะรุ่งเรืองขึ้นมา หลังจากจบยุคสมัยของอาณาจักรบาบิโลนนั่นเอง  ตอนนั้น เขาไม่รู้หรอก แต่เรารู้แล้ว เราเรียนประวัติศาสตร์มา มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะ ว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบ- ครองของบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พอครบ 70 ปีเป๊ะเลยนะ เป็นอิสระ สามารถกลับไปเยรูซาเล็มได้

หลังจาก 70 ปี อาณาจักรบาบิโลนของเนบูคัดเนสซาร์ก็ล่มสลาย ถูกอาณาจักรเปอร์เซียตีแตก  เข้ามาครอบครองแทน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในเยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

ตะกี้เราบอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ตอนนี้พระองค์เขียนว่าเราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลน  และชนชาติของเขา

“เราจะลงโทษเขา เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขา ถูกทิ้งร้างตลอดไป”

หมดยุคไปเลย สิ้นชาติไปเลยบาบิโลน จากที่พระเจ้าเคยเรียกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ตอนนี้ เรียกกษัตริย์เปอร์เซีย มาครอบครองแทน อิสยาห์ 44:28

อิสยาห์ 44:28 “ทรงกล่าวถึงไซรัสว่า ‘เขาเป็นคนเลี้ยงแกะของเรา และจะทำทุกสิ่งให้สำเร็จตามที่เราพอใจ เขาจะกล่าวถึงเยรูซาเล็มว่า “ให้สร้างมันขึ้นใหม่” และกล่าวถึงพระวิหารว่า “ให้วางฐานรากของมัน”

 

นี่คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ที่เข้ามาครอบครองแทนบาบิโลน พระเจ้าให้เขาเป็น “คนเลี้ยงแกะของเรา” เลี้ยงแกะของพระเจ้า คือชนชาติยิวนั่นเอง พระเจ้าให้เปอร์เซียเข้ามาครอบครอง โดยให้กษัตริย์ไซรัสขึ้นมา เป็นคนชอบพอ โปรดปรานชาวยิวที่เป็นผู้อพยพ ถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่สมัยบาบิโลน … 70 ปีที่แล้ว ตอนนี้มีลูก มีหลานเยอะแยะแล้ว ก็โปรดปราน ให้ความดีความชอบ จนกระทั่งให้โอกาส ช่วยเหลือชาวยิว ไปตั้งรกราก กลับไปที่เยรูซาเล็มใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมาอยู่ที่นี่

เห็นไหม? พระเจ้าหยิบคนนั้น ใส่คนนี้ จับคนนั้น คนนี้ เรามองอยู่ข้างล่าง จะเอาเดี๋ยวนี้  จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ ถ้าเรามองดูพระเจ้าอย่างเดียว เราคงมีสันติสุข มีความสงบมากกว่านี้

จากนั้น ก็คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นอาณาจักรที่ 3 ซึ่งจะครอบครองทั่วโลก ตามนิมิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ดาเนียลได้ทำนายฝันไว้

ท้องและต้นขาที่เป็นทองสัมฤทธิ์เล็งถึง … เรารู้แล้ว เพราะเราเรียนประวัติศาสตร์มา ก็คืออาณาจักรกรีก ผู้นำมีชื่อว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช … อเล็กซานเดอร์รบชนะเปอร์เซีย ทำให้กรีกมีราชอาณาจักร ที่กว้างใหญ่ไพศาล ปกครองไปทั่วโลกจริงๆ ตรงตามที่ได้บอกล่วงหน้าไว้ ในพระคัมภีร์ ซึ่งอยู่ในช่วงปี 331 – 168  ก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

คำเผยพระวจนะนิมิตที่ดาเนียลพูดถึง ที่เป็นความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ 600 ปีก่อนพระเยซูมาเกิด พูดง่ายๆ เลยมาครึ่งหนึ่ง เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจริง ที่อเล็กซานเดอร์มหาราชครอบครอง

คราวนี้มาถึงส่วนสุดท้ายของรูปปั้น ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันถึง ก็คือขา ซึ่งทำด้วยเหล็ก และเท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คือจักรวรรดิโรม

ที่ในนี้บอกว่าแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน เรารู้เพราะเราเรียนประวัติมาแล้ว อาณาจักรโรมันขึ้นมายิ่งใหญ่มาก แข็งแกร่งมาก เป็นเหล็กจริงๆ ไปที่ไหนยับเยินที่นั่น จริงตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

หลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ อาณาจักรกรีกก็เริ่มอ่อนแอลง และแยก แตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แก่งแย่งชิงดีกัน จนกระทั่งราวปี 168 ก่อนคริสตกาล  168 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด อาณาจักรเหล็ก หรือโรมัน ก็จัดการกรีกย่อยๆ เหล่านั้น จนราบคาบเลย

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช รบเก่งมาก และนำชนกรีก ไม่เยอะเลยนะ เมื่อเทียบกับเปอร์เซีย ซึ่งครองอำนาจ เป็นมหาอำนาจอยู่ตอนนั้น น้อยกว่าเขาเยอะหลายเท่า แต่ปรากฏว่าเขามีใจที่เด็ดเดียว แข็งแกร่ง เข้มแข็ง และรบเก่ง จึงสามารถที่จะถ่ายทอด อิทธิพลแห่งความมั่นใจ พลังแห่งความเชื่อ หมายถึงความมั่นใจให้กับลูกน้อง แม่ทัพทุกคน ตายเป็นตาย … ตายแล้วได้เกียรติ ดังนั้น ทุกคนจึงมีความมั่นคง มั่นอกมั่นใจ เด็ดเดี่ยวในการต่อสู้ … สู้รบมาก แม้จะมีคนน้อย ก็ทำงานได้เยอะ จึงสามารถถล่มจนเปอร์เซียแพ้ พินาศไป แล้วเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น

ทำไมเรียกเขาว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช เพราะเขาเป็นผู้พิชิตทั้งโลก พูดง่ายๆ ใครใหญ่ขึ้นมา เขาจะไปพิชิตหมด ปรากฏว่าเขาเกิดมาเป็นผู้พิชิตจริงๆ  เขาไม่ทำอะไรเลย ไม่วางแผน ไม่เตรียมตัว เรียกว่ากรีกจะเป็นอย่างไรต่อไป บริหารอย่างไร? เขาไปพิชิตอย่างเดียว สู้รบอย่างเดียว สู้ไปเพื่ออะไร? ไม่รู้ เพราะเกิดมาเป็นผู้พิชิต ต้องพิชิต จนกระทั่งไม่มีให้พิชิต เขาเลยเสียใจ กลุ้มใจ เขาบอกว่าเมื่อเขาเป็นผู้พิชิต แล้วไม่มีอะไรให้พิชิต เขาเลยไม่ได้เป็นผู้พิชิต เลยเครียด นี่เรื่องจริง อยากจะไปรบ จนกระทั่งพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญซ้ายขวานักรบต่างๆ ที่อยู่กับเขา ให้ไปรบต่อ นักรบเหล่านี้ เหนื่อย รบตั้งนาน ไปรบเพื่ออะไร? หยุดได้แล้ว ลูกเมียไม่เห็นหน้ามาตั้งหลายปีแล้ว พอแล้ว จะรบต่อไป ไม่ยอมหยุด ในที่สุด ถูกปลงพระชนม์ แล้วทหารคนสนิทเหล่านั้น ก็กระจัดกระจายไปตั้งกลุ่มของตัวเอง ก็อ่อนกำลังลง ในที่สุด ก็เป็นอาณาจักรโรมเข้ามาครอบครองแทน

คิดดูนะ สิ่งที่ดาเนียลบอกความฝัน และทำนายความฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้นเป๊ะเลย ถามว่าดาเนียลรู้เองหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เน้นให้กับเราว่าพระเจ้า คือผู้ทรงควบคุมและครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละครใหญ่  คือโลกใบนี้  ทั้งสิ้น เอเมน

ผ่านมาแล้ว 4 อาณาจักรตามนิมิต จนมาถึงเท้าที่ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดาเนียลก็ตีความของความฝันว่าอาณาจักรนี้  จะมีส่วนแข็งแกร่ง  และส่วนที่เปราะบาง  เหมือนดินเหนียว  ดินที่ปั้นเซเรมิก เหล็กผสมกับความเปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดาเนียลบอกไว้อย่างนี้  มาดูว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม?

เท้าที่เป็นเหล็กปนดินเหนียวนั้น เป็นยุคที่อาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นเหล็กเริ่มเสื่อมสลายลง มันไม่ใช่เหล็กแท้ๆ แล้ว มันเป็นเหล็กปนดินเหนียว ปนเซรามิกเข้าไป แล้วแตกแยกเป็นเผ่าๆ เล็กๆ น้อยๆ คืออาณาจักรโรมันเริ่มแตกออก เป็นหลายส่วน

มีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และตีความว่าสัญลักษณ์เท้าที่มี 10 นิ้ว ก็คือการแตกแยกของอาณาจักรโรมหรือโรมันเป็น 10 ชนชาติของยุโรปในยุคแรกเริ่ม ซึ่งก็คือ … อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ออสโทรโกทส์ ซึ่งต่อมาถูกทำลายไปแล้ว สิ้นประเทศไปแล้ว, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์, แวนดัลล์ แอฟาริกาเหนือ ซึ่งต่อมา ก็ถูกทำลายสิ้นชาติไปแล้ว, โปรตุเกส และฮีรูลี หลังจากประมาณสัก 200 ปีหลังจากพระเยซูเกิด ก็สูญหายไปเหมือนกัน นี่คือนักประวัติศาสตร์เป็นคนค้นคว้านะว่าหมายถึงอย่างนั้น อันนี้เราไม่ต้องชัดเจนนัก ไม่ต้องไปเรียนรู้ลึกถึงขนาดนั้น  เอาแค่เห็นชัดๆ ง่ายๆ

นี่คือคำอธิบายเรื่องความหมายของรูปปั้นนั้น ในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงเท้า และหลังจากนั้น ที่ดาเนียลทำนายนิมิตในความฝัน มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ หลังจากบาบิโลนหมดไปแล้ว เปอร์เซียหมดไปแล้ว สิ้นสุดกรีกแล้ว สิ้นสุดโรมแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรืองและมีอำนาจไปทั่วโลกอีกแล้ว

เพราะในความฝัน บอกว่ามีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้ารูปปั้นนั้น และแตกกระจายไป แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ไม่เหลืออะไรเลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมทั่วโลก

ความหมายของหิน ที่มาทำให้รูปปั้นแตกกระจายไป ไม่ได้เป็นหินที่เกิดจากมือมนุษย์ ก็คือเป็นหินที่มาจากพระเจ้า … พระเจ้าส่งหินนี้มาเอง พูดง่ายๆ แล้วหินนี้มาโค่นล้มรูปปั้น จนไม่เหลือร่องรอย อดีตเขาเรียกว่าเป็นแกลบปลิวไปในลม ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ก็คือไม่เหลือซากเลย  … แล้วหินนั้น ก็กลับกลายเป็นภูเขาปกคลุมไปทั่วโลก ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้ทั้งหมดทั้งปวง อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป  พูดง่ายๆ ว่าในยุคของอาณาจักรโรมัน เขาใช้ชื่อเรียกกษัตริย์ของเขาว่าซีซาร์ หรือจักรพรรดิ์

ในยุคของจักรพรรดิ หลายองค์ของจักรวรรดิโรมัน พระเจ้าจะส่งหินนี้มาในยุคนั้นแหละ ยกตัวอย่าง จักรพรรดิ หรือซีซาร์ หรือกษัตริย์ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน มีชื่อว่าออกัสตัส ที่ออกพระราชกฤษฎีกาให้ผู้คนไปลงทะเบียน ประกาศถึงผู้ที่ครอบครองจักรวรรดิโรมันทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย  พระเยซูมาเกิดช่วงนั้นแหละ

สรุปว่าหินที่เป็นลักษณะของอาณาจักรสุดท้าย

ถ้าเอาความหมายตรงนี้ ไปใส่ตรงคำเผยพระวจนะของดาเนียล  ผมจะอ่านให้ท่านฟัง …

“ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ คืออาณาจักรของพระเยซู จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล เอเมน”

ตอนเริ่มต้นของจักรพรรดิ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นเหล็ก มีชื่อว่าออกัสตัสนั้น พระเจ้าจะเริ่มตั้งอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมา เป็นอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครทำลายล้างได้

หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันทั้งหมด จนถูกเป๊ะเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย ดูในดาเนียล 2:46-49

ดาเนียล 2:46-49 “46 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็ทรงทรุดองค์ลงกราบดาเนียล และรับสั่งให้นำเครื่องบูชากับเครื่องหอมมาถวายดาเนียล 47 กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชัน และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้” 48 แล้วกษัตริย์ทรงแต่งตั้งดาเนียล ให้ดำรงตำแหน่งสูง และประทานบำเหน็จรางวัลมากมาย ทรงตั้งให้ปกครองบาบิโลนทั้งมณฑล และให้ดูแลปราชญ์ทั้งปวงของบาบิโลน 49 ยิ่งกว่านั้น กษัตริย์ทรงแต่งตั้งชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน  ตามที่ดาเนียลทูลขอ ส่วนดาเนียลเอง อยู่ที่ราชสำนัก”

 

หลังจากที่ทำนายฝันเสร็จปุ๊บ  เรารู้ทันทีว่าถูกต้องแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย เพราะตกใจมาก ทำไม ยอดเยี่ยมขนาดนี้  เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาจึงนึกว่าดาเนียล คือพระเจ้ายกย่องดาเนียลมาก

สิ่งที่ทายมาทั้งหมด มันตรงเป๊ะ ตามที่เขาฝันเลย เนบูคัดเนสซาร์เชื่อทันทีว่าสิ่งล้ำลึกเหล่านี้ คำเผยพระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าแน่ๆ เขานึกว่าดาเนียล คือพระเจ้าเดินบนโลกใบนี้แหละ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ กราบดาเนียล ไม่ใช่กราบพระเจ้า และให้รางวัลดาเนียลอย่างมากมาย เป็นผู้ทรงอำนาจอิทธิพลสูงสุด รองจากกษัตริย์อีกทีหนึ่ง คือเบอร์ 2 พอได้ปุ๊บ ดาเนียลหันไปหาข้างๆ ชัดรัด, เมชาค และอาเบคเนโก เป็นรองผู้บังคับการใหญ่ของมหาอำนาจบาบิโลนที่ใหญ่สูงสุด สรุปแล้วยิวมีอิทธิพลในบาบิโลนนี้  อยู่ไปอีก 70 ปี ยังพออยู่ได้ ท่านพอมองเห็นไหมว่าพระเจ้าทำอะไร? บอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ … วีรบุรุษอย่าเย่อหยิ่ง อยู่เฉยๆ เพราะไม่ใช่เธอทำหรอก พระเจ้าเป็นผู้ทำ ถ้าวีรบุรุษเย่อหยิ่ง เดี๋ยวโดน  พระคัมภีร์จึงบอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้า ความพินาศ

เราย้อนกลับมาดูคำทำนายของดาเนียล สิ่งสำคัญตรงนั้น ก็คือก้อนหิน อาณาจักรสุดท้ายในรูปปั้น ปฏิมากรนั้น เรื่องก้อนหินที่บอกว่าเล็งถึงพระเยซู ซึ่งทั้งพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ มีเยอะแยะมากมาย ที่สอดคล้องกับคำทำนายนี้ว่าพระเยซู คือ “ศิลา” ก็คือหินนั้น

ภาษาฮีบรู ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อมีการกล่าวถึงพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์สัญญาว่าจะส่งมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป พระคัมภีร์หลายแห่งใช้คำว่าหิน ศิลา เพื่อเล็งถึงพระมาซีฮาห์ หรือพระเมซียาห์ ที่บันทึกไว้ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ส่วนใหญ่จะใช้คำนี้แทนทั้งหมด เล็งถึงผู้ที่กำลังจะเสด็จมาช่วยมนุษย์  คือพระมาซีฮาห์นั้น  ใช้คำว่า “หิน” แทน ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสืออิสยาห์ 26:16 ได้บันทึกไว้

อิสยาห์ 26:16 “ฉะนั้น พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่ง  ไว้ในศิโยน เป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เหมาะเป็นรากฐานอันมั่นคง ผู้ที่วางใจจะไม่มีวันท้อแท้”

 

ศิลา คือพระเยซู ศิลามุมเอก หมายถึงเสาที่สำคัญ หินก้อนที่สำคัญที่สุดของอาคารหลังนั้น เราเรียกว่าศิลามุมเอก ในหนังสือสดุดี ก็มี ยกตัวอย่างให้เห็น สดุดี 118:19-23

สดุดี 118:19-23 “19 จงเปิดประตูแห่งความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเข้าไป และถวายคำขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 นี่คือประตูขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ชอบธรรมจะเข้าไปทางประตูนี้ 21 ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ พระองค์ทรงมาเป็นความรอดของข้าพระองค์ 22 ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลับกลายเป็นศิลามุมเอก 23 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา”

 

“ความชอบธรรม” คือการพ้นจากบาป … บาป คือผู้ไม่ชอบธรรม ได้ถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรม โดยศิลานี้ ก็คือโดยพระเยซู เป็นศิลามุมเอกนั่นเอง พระเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา เอเมน จากคนบาป ผ่านพระเยซูได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม มหัศจรรย์ ยิ่งใหญ่มาก และพระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว หลังจากที่ดาเนียลได้ทำนายความฝันให้กับเนบูคัดเนสซาร์ ในนิมิตนี้ และแปลความฝันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นมาประมาณ 600 ปี พระเยซู คือหินก้อนนั้น มาเกิดในยุคของเหล็ก คือโรมัน

แล้วพระเยซูก็พูดถึงตนเองว่าเป็นหินก้อนนั้นแหละ พระองค์ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะนั้น ที่พูดถึงพระมาซีฮาห์ ก็คือศิลานี้ ศิลามุมเอกที่คนขว้างทิ้ง ที่คนไม่ต้อนรับ คนปฏิเสธ คนต่อต้าน เป็นศัตรูกับพระเยซู ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้  ผมจะพาท่านไปดู แล้วท่านจะเห็นความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ในนิมิตนี้ ที่ดาเนียลได้ผ่านทางพระเจ้าบอกเขา ให้มาบอกเราทุกคน บอกใครก็ตามที่พระเจ้าเรียกมาให้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงสมัยนี้ ให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์เถิดว่าจบแล้ว พระองค์ชนะอย่างไร? แล้วเราอยู่ฝ่ายชนะอย่างไรบ้าง? ฟังพระเยซูพูด ในมัทธิว 21:33-43 พระเยซูกำลังพูดถึงอุปมาในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พูดง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรมที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ สวรรค์ ก็คือผู้ชอบธรรม ผู้ที่พ้นจากบาป จึงจะเข้าไปอยู่ได้นั่นเอง พระเยซูยกเป็นอุปมาให้ฟาริสีฟัง ผู้นำทางศาสนา ผู้ที่สะดุดก้อนหินนี้ ไม่รับก้อนหินนี้ ไม่เชื่อในก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับพระเยซู ดูสิว่าพระเยซูสอนเขาอย่างไรบ้าง? มัทธิว 21:33-43 บอกอย่างนี้ …

มัทธิว 21:33-43 “33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่อง คือเจ้าของสวนแห่งหนึ่งทำสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน 34 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่า เพื่อรับผลผลิตของเขา  35 “พวกผู้เช่าก็จับเหล่าคนรับใช้ของเขามาทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง และเอาหินขว้างคนที่สามจนตาย 36 เจ้าของสวนจึงส่งคนไปอีก มากยิ่งกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกผู้เช่าเล่นงานเหมือนครั้งก่อน 37 สุดท้ายเจ้าของสวนส่งลูกชายไปหาพวกเขากล่าวว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ 38 “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นลูกชายเจ้าของสวนก็พูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขา แล้วยึดเอามรดกของเขา’ 39 พวกนั้นจึงจับลูกชายเจ้าของสวนองุ่น โยนออกมานอกสวน แล้วฆ่าเสีย  40 “เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา  เขาจะทำอย่างไรกับผู้เช่าเหล่านั้นดี?” 41 พวกเขาทูลตอบว่า “เจ้าของสวนย่อมจะจัดการกับคนเลวๆ เช่นนั้นอย่างสาสม และให้ผู้เช่ารายอื่นที่ยอมส่งส่วนแบ่งของผลผลิตให้เขา เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าสวนองุ่นนี้” 42 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า  “พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า  “‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา 43 “ฉะนั้น เราบอกท่านว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะถูกริบไปจากท่าน และยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน”

 

ท่านคิดดู ผู้นำทางศาสนา ฟาริสีต่างๆ เหล่านั้น เขาทำอะไร? ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ส่งมา ไม่ว่าเป็นโมเสส อาโรน ผู้เผยพระวจนะอีกเยอะแยะ ผู้นำศาสนา ที่คิดว่าตัวเองเคร่งศาสนาเหล่านี้ จริงๆ แล้วแอบแฝงไปด้วยความอยากจะเป็นใหญ่ ต่อต้านผู้รับใช้พระเจ้าทั้งนั้น กลั่นแกล้งบ้าง ฆ่าบ้าง ในอุปมานี้ พระเยซูบอกว่า …

“พระเจ้าเลยบอก โอเค ส่งลูกชายไป  เขาอาจจะเห็นเป็นลูก เขาจะได้เกรงใจบ้าง?”

ปรากฏว่าส่งพระเยซูลงมา พระเยซู เป็นพระบุตร เป็นลูกชายจริงๆ  ก่อนหน้านี้ โมเสส อาโรน ก็เป็นผู้รับใช้เฉยๆ เป็นคนธรรมดา นี่ส่งพระเยซูลงมานะ แทนที่จะ … ลูกเจ้าของสวน ลูกของโลกใบนี้ ลูกของพระเจ้า มายิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สรรพสิ่งและผู้คนทั้งหลาย ก็เป็นของพระองค์ นี่เจ้าของมาเองนะ แทนที่จะให้เกียรติ กลับฆ่าตายเลย ไม่ใช่เป็นศัตรูอย่างเดียว แอบฆ่า แล้วนึกในใจว่า …

“ฆ่าเสีย จะได้ยึดให้หมดเลย”

เมื่อเป็นอย่างนี้ เจ้าของสวนก็จัดการไล่พวกนี้ออกไปซะ แล้วก็ริบสิ่งของทั้งหมด ไม่ให้ดูแล้ว ดูเอง อาณาจักรทั้งหมดนี้  คือโลกใบนี้ เอามาดูเองหมดเลย แล้วยกให้ใคร? อาณาจักรสวรรค์ ยกให้ใคร?

ในนี้ใช้คำว่า “ยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน” พูดง่ายๆ แทนที่จะเป็นของคนยิวอย่างเดียว เป็นของพวกเราด้วย เพราะชาวยิวเป็นอย่างนี้  พระเยซูตรัสว่า …

“ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ในสายตาของเรา”

จากสดุดีเมื่อตะกี้ พระเยซูได้อ้างตรงนี้ขึ้นมาว่า …

“ศิลานี้ ท่านไม่เอาใช่ไหม? ไม่เป็นไร เราจะไปให้คนอื่น”

ก็คือพวกเราทั้งหลายที่จะเกิดผลจากสวรรค์ จากศิลานี้ คือคนที่มาเชื่อ ในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นลำต้น และเราเป็นกิ่ง  ไม่มีทางที่กิ่งจะออกผลด้วยตัวของมันเอง มันจะต้องมาต่อกับลำต้น ก็คือพระเยซูนั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ที่เรียกว่าบัพติศมา หรือการฝังรากลึกเข้าในตัวพระองค์ เมื่อเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไร? เราก็เกิดเป็นผลขึ้นมาทันที ผลนั่นแหละ ได้รับสวรรค์ ได้รับความชอบธรรมนี้ไป เพราะฉะนั้น สวรรค์เป็นของเรา

สรุป นิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ สมัยที่พูดนี้ คือ 600 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และมันก็เกิดขึ้นตามนั้นหมดแล้ว ในที่สุดอาณาจักรสวรรค์นี้ก็จะถูกมอบให้กับพวกเรา ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกวัน ไปจนถึงวันสุดท้าย จากนิมิตที่บอกว่าจากหินก้อนหนึ่ง ที่กระแทกถูกรูปปั้น จนแหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ได้กลายเป็นภูเขา ค่อยๆ โตขึ้น ก็หมายถึงพวกเราที่ได้ก่อตั้งบนศิลานี้ บนพระเยซูนี้ ผู้เชื่อทุกคนที่ถูกก่อตั้งบนศิลานี้ เราต่างคน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขานี้ ภูเขาที่เรียกว่าศิโยนของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก เป็นฐาน ก็หมายถึงคริสตจักร

พระเยซูบอก “เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรนี้ได้เลย”

เราทุกคนต่างก็เป็นหินก้อนเล็ก ก้อนน้อยจากที่ต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาเราไปไหน เราก็มีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเราเดินไปด้วย อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในใจของท่าน พระเยซูบอก พอเราเชื่อปุ๊บ อาณาจักรของพระเจ้าก็มาอยู่ในตัวเรา  ทุกวันนี้ อาณาจักรของพระเจ้าขยายไป ทั่วโลก ดั่งที่พระคัมภีร์ ที่เราได้เรียนรู้กันในคำทำนายนี้ ที่ดาเนียลได้บอกไว้ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ บอกว่ามันเป๊ะเลย

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อย่ากลัว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ อยู่ที่ตรงไหนก็ตาม รู้สึกน่ากลัว ไม่ต้องกลัว อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในชีวิตเรา อาจจะดูเหมือนเลวร้าย ท่านเห็นตัวอย่างที่เราเรียนรู้มา ไม่ต้องกังวล พระเจ้าทรงควบคุมดูแลอยู่ พระเจ้าองค์นี้ ยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง และดูแลทุกอย่างได้ ถ้าเราเรียนมาทั้งหมดนี้ ตามนิมิตนี้มันตรงหมด  เพราะฉะนั้น ที่เหลือมันก็ตรงด้วย ก็คือพระเจ้าได้รับชัยชนะ และเราอยู่ในพระเจ้า เราก็ได้รับชัยชนะไปด้วย พระเยซูได้รับชัยชนะนิรันดร์กาล เราก็อยู่ในพระเยซู เราก็ได้รับชัยชนะนี้ นิรันดร์กาล เราจะได้ครอบครองกับพระองค์นิรันดร์กาล เราได้รับความรอด เพราะเราอยู่ในศิลานี้ ศิลานี้คือพระเยซูคริสต์        ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง  “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะกลับมาสู่การบรรยายในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ตอนที่ 5 ห่างไปนาน จนบางท่าน ไม่รู้ว่าเราบรรยายกันเรื่องอะไร?

ที่ผ่านมา 4 ตอน  เราได้เรียนรู้จักเรื่องของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์ ซึ่งผมได้เปรียบเทียบไว้ว่าโลกนี้เปรียบเหมือน โรงละคร ที่มนุษย์ทุกคนเป็นตัวแสดง บางคนก็เป็นพระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย นางร้าย บางคนก็เป็นนางรอง บางคนก็เป็นตัวอิจฉา ผสมผสานกัน แต่ไม่ว่าใครจะแสดงเป็นตัวอะไรก็ตาม ก็จะมีผู้กำกับละคร ที่คอยควบคุมกำกับการแสดงของทุกคน และผู้กำกับผู้นี้ เรารู้จักกันดี ก็คือพระเจ้า

เรื่องราวที่เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลนี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี ที่เชื่อฟัง และยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง

มาทบทวนกันสักนิดว่าเราทิ้งท้ายกันไว้ตรงไหน? พระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ถ้าท่านเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วพระเจ้าเปิดเผยให้ท่านรู้ความจริงไปเรื่อยๆ มันไม่สามารถที่จะมาเปิดอ่าน แล้วก็เรียนรู้เฉยๆ ได้ พระคัมภีร์นี้จะต้องเรียนรู้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น หมายถึงอ่านด้วย และอธิษฐานไปด้วย วันแล้ววันเล่า พระเจ้าจะสำแดงให้กับท่าน เขาเรียกว่านิมิต จะเปิดเผยความจริงให้กับท่านมากขึ้นทุกวันๆ ผู้ใดแสวงหา ผู้นั้นก็พบ  ผู้ใดเคาะ ผู้นั้น ก็ถูกเปิดออกให้กับเขา ผู้ใดขอ ผู้นั้นก็จะได้รับ ทั้งหมดนี้ เป็นต่อเนื่อง ก็คือผู้ใดขอ … ขออยู่เรื่อยๆ เขาก็ได้รับอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดเคาะ แล้วก็เคาะอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะได้รับ การเปิดให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ก็จะพบสิ่งที่เขาแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ถ้าตัดคำว่า “เรื่อยๆ” ออกไป แสวงหาครั้งเดียว ก็ได้รับครั้งเดียว อยากรู้เยอะ ก็ต้องแสวงหาบ่อยๆ ผู้ใดที่เปิดพระคัมภีร์อ่านทุกวัน อธิษฐานทุกวัน ขอพระเจ้าเมตตา เรื่องนี้ให้เราทราบ ก็จะถูกเปิดให้กับเขารู้เรื่องทุกวัน … ทุกวันๆ ผู้ใดที่เปิดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะเปิดให้เขา 1 ครั้ง พระองค์สัตย์ซื่อ ไม่บังคับเรา  … เราเข้ามาครั้งเดียว ขอครั้งเดียว ก็ให้ครั้งเดียว แต่ถ้าเราขอทุกวัน ได้ทุกวัน  ขอก็ได้ พระเจ้าให้เสมอ เอเมน

ต้องทำทุกวัน  ครั้งแรกๆ มันจะไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ารู้เรื่องหมด ก็ไม่ใช่เรื่องพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์บอก เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องวิญญาณ พระองค์เป็นวิญญาณ เราต้องเข้ามาหาพระองค์ ด้วยความเชื่อนี้ ในวิญญาณ อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอ่านไปๆ แล้วก็อธิษฐานไป  เดี๋ยวก็รู้เอง

เรื่องราวของหนังสือดาเนียล ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นวนิยายที่เขียนขึ้นมา พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นประวัติศาสตร์ สามารถคิด ค้นหาหลักฐาน และย้อนกลับไปได้จริงๆ เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศักราช พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งชาวยิวถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่เมืองบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วย แล้วดาเนียลกับเพื่อนก็ได้รับคัดเลือก ถูกส่งตัวไปฝึกฝนวิชาโหราศาสตร์ คาถาอาคมของบาบิโลน เพื่อเตรียมตัวจะรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ในวัง เข้าไปรวมอยู่กับนักปราชญ์ของชาวบาบิโลน

เราได้เรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในช่วงนี้ ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามาก หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนรู้เรื่องคาถาอาคม ต้องฝึกที่จะอยู่ในวิถีชีวิตของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมของบาบิโลนอีกด้วย ภายนอกเราดูเหมือนว่าเขาและเพื่อนๆ อ่อน ผ่อนตามชาวโลก ก็ไปเรียนสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งไม่ควรจะไปเรียน  แต่ภายในดาเนียลและเพื่อนๆ ยืนหยัดในความเชื่อ ยังคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว อย่างนั้นจริงๆ ภายนอกกับภายในต่างกันเยอะเลย

และหลังจากที่เรียนรู้เรื่องตำราโหราศาสตร์ของชาวบาบิโลน มาได้สักพักหนึ่ง อยู่ๆ วันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เกิดความฝันประหลาด ไม่ใช่ประหลาดธรรมดา เขาเรียกว่าฝันร้าย ตื่นขึ้นมาตกใจ เหงื่อแตก กลัวมากเลย แล้วก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ และนักปราชญ์ในวังมาทำนายฝันให้ แต่แทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง ให้พวกโหรแปล ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟัง แต่บอกว่าให้พวกโหรเป็นคนทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทายได้ ก็ให้รางวัล ถ้าทายไม่ได้ก็จะฆ่าให้ตายทั้งหมดเลย บรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย ไม่มีใครทำได้เลย  แล้วก็ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่พระองค์ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น จะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์”  ในดาเนียล 2:11 ที่บันทึกไว้

เทพเจ้า หมายถึงรูปเคารพต่างๆ ที่บรรดาชาวบาบิโลนเขานับถืออยู่

พวกโหราจารย์ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็เลยโกรธมาก เรียกให้นำตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต ซึ่งหมายถึง รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อนด้วย เพราะเข้าไปอยู่ในกลุ่มบรรดานักปราชญ์ไปเรียบร้อยแล้ว

พอดาเนียลรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาไปประหาร ดาเนียลก็เริ่มเจรจาต่อรองกับทหารที่มาคุมตัว

“เดี๋ยวๆ ขอเวลาสักนิดหนึ่ง เราจะขออาสา เป็นคนไปทำนายฝันให้กษัตริย์เอง”

ซึ่งตอนที่เจรจาอยู่นั้น ดาเนียลรู้ไหมว่ากษัตริย์ฝันว่าอะไร? ไม่รู้ แต่เอาไว้ก่อน

เพราะสิ่งที่กษัตริย์สั่งให้ทำนั้น  ไม่ใช่เรื่องของสติปัญญา หรือวิชาการ ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้แบบมนุษย์ แต่เป็นความล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น สามารถทราบและสามารถเปิดเผยและทำสิ่งเหล่านี้ได้ ดาเนียลกับเพื่อนจึงอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้พระองค์ประทานสติปัญญาให้หยั่งรู้ในเรื่องล้ำลึกนี้  แล้วในที่สุด พระเจ้าได้ทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ คือเปิดเผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?  เพราะสติปัญญามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจได้ แม้สติปัญญานั้นจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่สิ่งนี้ต้องการการเปิดเผยจากพระเจ้า เผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?

เหมือนกับที่ผมบอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์ โดยใช้สติปัญญามนุษย์ ท่านอาจจะบอกเข้าใจได้ในเชิงประวัติศาสตร์บางอย่าง แต่เรื่องจริงๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร? ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หนาขนาดนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเลย มันเป็นไปได้อย่างไร? อ่านบางทีก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นคือท่านใช้สติปัญญาของตนเอง แต่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้งที่ท่านอ่าน ท่านจะรู้แล้วว่ามันลึกเข้าไปกว่านั้น เข้าไปกว่านั้น มองไม่เห็น มันคืออะไร? ท่านก็จะอ๋อ! ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็ประทานให้ดาเนียลได้รู้ว่านิมิตคืออะไร?

หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งนี้แล้ว ดาเนียลก็ขอบคุณพระเจ้าใหญ่ แล้วก็ให้ทหารรีบพาตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

ท่านนึกภาพนะ เรารู้แล้วพระเจ้าอยู่กับเรา บอกเรา สิ่งเหล่านี้ ยืนยันว่ามันใช่เลย เพราะฉะนั้นดาเนียลจึงเดินเข้าไปหากษัตริย์ โดยไม่มีความกลัวเลย  ไม่ใช่ไม่มีความเคารพ คนละเรื่อง ไม่มีความกลัวเลย  ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลา  และเขากำสิ่งนี้ไว้ ก็คือเขารู้ความจริงแล้วว่าคืออะไร? ถ้าเขาพูดไป  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยอมจำนนแน่ๆ เพราะมนุษย์ไม่มีใครทำได้ แต่พระเจ้าทำได้ และพระเจ้าได้สำแดงสิ่งนี้ให้เขารู้แล้ว ดาเนียลจึงทูลต่อกษัตริย์ว่า …

ดาเนียล 2:27 “ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

 

นี่คือคำตอบแรกที่ดาเนียลตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นี่สำแดงถึงความมั่นคงในความเชื่อ และความไม่กลัวของดาเนียล ถ้าเป็นเรา … เรากล้าเหรอ! ถ้าดาเนียลไม่ได้มั่นคงอย่างนี้ ไม่ได้รับจากพระเจ้าอย่างนี้ว่าพระเจ้าสำแดงนิมิตอย่างนี้ คงไม่กล้าตอบคำถามอย่างนี้หรอก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สามารถสั่งฆ่าใครก็ได้ เดี๋ยวนั้นทันที ง่ายๆ ก็ทำมาตลอด ดาเนียล 2:27-30

ดาเนียล 2:27-30 “27 ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม  และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28 แต่มีพระเจ้า องค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น   มีดังนี้ 29 “ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่ และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30 ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

 

ในคำตอบตรงนี้ ดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่กษัตริย์ให้ทำ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้หรอก ดาเนียลต้องการประกาศให้เนบูคัดเนสซาร์รู้ว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ลี้ลับ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้  และดาเนียลก็สำแดงความถ่อมใจ บอกว่าที่พระเจ้าทรงบอกสิ่งล้ำลึก ความลับในโลกวิญญาณให้ ก็ไม่ใช่เพราะว่า …

“ตัวเองเก่ง ฉันเป็นคนที่มีอะไรดีมากกว่าคนอื่น”

ไม่ใช่ แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ที่ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทราบความหมายของความฝัน เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้ความหมายของความฝันแปลว่าอะไร? ตัวดาเนียลเอง เป็นแค่ตัวแสดงตัวหนึ่ง ที่พระเจ้าใช้มาแค่นั่นเอง อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตว่าเราควรจะจดจำสิ่งนี้ไว้ แล้วก็ทำตาม อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าใช้เราทำ ดูอัศจรรย์มากมาย คนอาจจะมากราบไหว้เรา ยกย่องเรา ระวังให้ดีนะ ไม่ใช่ตัวเราเลย พระเจ้าให้เราทั้งนั้น มองแล้วรีบๆ ผ่านไปเร็วๆ คือดาเนียลกำลังบอกกษัตริย์ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือพระเจ้า ทุกอย่างเป็นแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งความฝัน ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันด้วย

ก่อนจะเฉลยว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? ผมจะเสริมข้อมูลนิดหนึ่ง คือมีผู้ศึกษาพระคัมภีร์ ในเรื่องนี้ ให้คำอธิบายไว้อย่างนี้ว่าปกติแล้ว เวลากษัตริย์ฝันอะไร? ก็จะเรียกพวกนักปราชญ์และโหราจารย์มาเข้าเฝ้า ให้ช่วยแปลความฝันให้ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ กษัตริย์ก็จะเล่าความฝันของตัวเองว่าฝันว่าอะไร?

ให้ก่อน แล้วบรรดาโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ก็จะมารวมกันประชุมทำนายฝันนั้น  เปิดตำราบ้าง? นับดวงดาวบ้าง? เดาบ้าง? แล้วสรุปเป็นผลมาว่าเป็นอย่างนี้ๆ ก็ถวายไป แต่มาครั้งนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันก่อน  แต่ให้เหล่านักปราชญ์เป็นคนทำนายว่าฝันว่าอะไรก่อน? ก็เพราะในความฝันครั้งนี้ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุการณ์ร้ายล่วงหน้า ที่เป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและบัลลังก์ของเขา อาณาจักรของเขาในอนาคต เป็นเราก็ต้องตื่นเต้น ก็ต้องกลัวแล้วล่ะ บอกว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? และในรัชกาลเขา เพิ่งจะครอบครองมา 2 ปีเอง มาแล้วเหรอ จะไปไม่รอดแล้วเหรอ กลัว อย่างน้อยเขาก็อยากจะรู้ว่าใครจะมาทำลายอาณาจักรของเขา ศัตรูเขา คือใคร? เขาจะได้เตรียมป้องกัน ในอดีตเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้ารู้ก่อนได้ เขาจะได้ป้องกันได้ คนนี้มาจากทิศนี้ เราจะได้ป้องกัน อะไรประมาณนั้น

ท่านจะได้รู้ว่าทำไมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เหงื่อแตกกับเรื่องนี้ เพราะเป็นข่าวร้าย เป็นฝันร้ายสำหรับเขา แต่ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาอาจจะเตรียมตัวพร้อม แล้วป้องกันได้

เนบูคัดเนสซาร์เลยต้องการให้มีคนมาแปลความฝันเขา ให้มั่นใจว่าใช่แน่ ไม่ใช่ศัตรูมาทางทิศเหนือ ไปแปลความฝันว่ามาจากทิศใต้ ไปเตรียมทิศใต้ ก็ตายสิ เนบูคัดเนสซาร์ฉลาดมาก จึงบอกให้เอาอย่างนี้ดีกว่าทำนายฝันมาเลย ถ้าทำนายฝันถูกแสดงว่า …

“รู้ว่าฉันฝันอะไร? ฉันก็ยอมแล้ว สยบแล้ว รู้ว่ามาจากพระเจ้าแน่ เพราะฉะนั้น พอบอกว่าศัตรูมาจากทิศไหน? ฉันก็จะได้เชื่อ แน่นอนนี่ถูกต้อง”

นี่ขนาดคนไม่รู้จักพระเจ้ายังรู้ว่าทำอย่างไร? ถึงสามารถเชื่อ และมีเหตุมีผล และมั่นใจได้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร?  ดาเนียล 2:31-35 ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตเราด้วยนะ

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

​            บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องนี้ตื่นเต้น เพราะว่ามันเกี่ยวกับเราด้วย นี่เป็นคำเผยพระวจนะล่วงหน้า  ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ หลายร้อยปีก่อน อาณาจักรต่างๆ พูดในนี้จะเกิดขึ้น และเป็น 2,000 กว่าปี มาถึงปัจจุบันที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของในนี้  ส่วนของเราอยู่ตรงข้อ 35

“แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก

“กลับกลาย” แปลว่าไม่ได้เป็นเดี๋ยวนั้นเลย  แต่แปลว่าค่อยๆ เป็นภูเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่กระแทกปุ๊บ เป็นภูเขาใหญ่ แต่เริ่มเป็นภูเขาใหญ่ แล้วภูเขานี้ก็ใหญ่ไปเรื่อยๆ ปกคลุมอยู่เหนือทั่วโลก

ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือพระองค์ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา มีลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้นนั้น  ฟังจากเมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน มีศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก  เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คำว่า “ดินเหนียว” ไม่ใช่ดินเหนียวธรรมดา เหล็กปนดินเหนียว ที่เอามาทำเซรามิก คือต้องการให้เห็นว่าตรงนี้มันแตกง่าย มันบอบบาง มันตรงกันข้ามกับเหล็กเลย แต่มันผสมกับเหล็ก

ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ในช่วงนี้ ต้องการเน้นให้เห็นว่าผู้กำกับใหญ่  ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ก็คือพระเจ้า … พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น  เริ่มตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วสั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน โดยไม่บอกว่าฝันอะไร แล้วประทานนิมิตให้ดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน บอกว่าฝันนั้นแปลว่าอะไร?  พูดง่ายๆ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมบอก พระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างฮีโร่หรือวีรบุรุษ สรุป ก็คือพระเจ้าสร้างวีรบุรุษ ใครก็ได้ ขึ้นมาแป๊บเดียว ก็เป็นวีรบุรุษแล้ว ฉะนั้น อย่านึกว่ามาจากตัวเอง เหมือนอย่างที่ดาเนียลตอบกษัตริย์ไปว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่น เพื่อฝ่าพระบาทจะทราบความหมายและสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

เรามาดูว่าความฝันตรงนี้ เกี่ยวพันอะไรกันกับเนบูคัดเนสซาร์ … เนบูคัดเนสซาร์ต้องเตรียมตัวอะไร? ดาเนียล 2:36-43 ตั้งใจอ่านให้ดี เกี่ยวกับพวกเราในนี้ด้วย

ดาเนียล 2:36-43 “36 นั่นคือความฝัน บัดนี้ ข้าพระบาทขอทูลความหมายให้ทรงทราบ 37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ  ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น 39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก” 40 ท้ายสุด คืออาณาจักรที่สี่ ซึ่งแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เหล็กฟาดฟันทุกสิ่งให้ย่อยยับ อาณาจักรนั้นจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวง ให้ยับเยิน เหมือนเหล็กที่ทำให้สิ่งอื่นๆแหลกลาญ 41 ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นว่าเท้าและนิ้วเท้า เป็นดินเหนียวปนเหล็ก แสดงว่าอาณาจักรนี้ แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ก็จะมีกำลังแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นเป็นเหล็กปนดินเหนียว 42 ดังที่นิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก อาณาจักรนี้ ก็จะมีส่วนที่แข็งแกร่ง และส่วนที่เปราะบาง 43 และตามที่ฝ่าพระบาททรงเห็นเหล็กปนกับดินเหนียว  ประชาชนก็จะผสมผสาน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหล็กผสมดินเหนียว”

 

อีกอันหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกอย่าง เราเรียนรู้กันว่าเนบูคัดเนสซาร์ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แถมเป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ฆ่าใครง่ายๆ เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห แล้วก็เย่อหยิ่ง แต่ดูดาเนียลแปลความฝันนี้ว่าอย่างไร?

“ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี”

ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง

“พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกร และเกียรติแก่ฝ่าพระบาท”

“และพระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

ทุกอย่างอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในขณะนั้น ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้ให้อำนาจทั้งหมด ท่านคิดดู เนบูคัดเนสซาร์ที่ย่ำยีหัวใจของชาวยิว ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของพระเจ้า  ประชาชนของพระเจ้า ย่ำยีเยรูซาเล็ม แล้วก็ลากเอาผู้คนของพระองค์ที่ไม่ได้ฆ่าตาย ที่ยังเหลืออยู่ เอาคนดีๆ มาใช้งาน มาเป็นทาสที่บาบิโลน เผาเมืองเลย  ทำเหี้ยมโหดต่อเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

พระเจ้าเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถสอนตัวเราเองได้ พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของผู้ใด เราควรจะตามพระเจ้าให้เกียรติผู้นั้น สิทธิอำนาจเป็นของใคร? พระเจ้าให้ เราต้องยอม ไม่ว่าทำตามมนุษย์ หรือด้วยเหตุผลอะไร? อาจจะหลายอย่าง เป็นคนไม่ดี ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย กษัตริย์อย่างนี้ มาตีเมืองเยรูซาเล็ม ทำร้ายประชากรของพระองค์ … พระองค์ทำนิดหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ไปแล้ว ทำไมปล่อยให้เขาย่ำยีอิสราเอลถึงขนาดนั้น ทำไมเขาครอบครองอิสราเอล พระเจ้าเสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ ประชากรของพระองค์ก็เสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ แล้วทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้ล่ะ ก็ต้องตอบว่า …

“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือพระเจ้าสัญญาว่ามันจะเป็นสิ่งดี สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่ถวายพระสิริแก่พระองค์”

เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนี้  แผนการจะเป็นอย่างไร? หลายครั้งพระองค์ใช้แผนการเล็กๆ ให้ความเสียหาย หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย เป็นที่อิจฉาริษยาสำหรับคนที่เชื่อพระเจ้ามากเลย  แต่พระเจ้าบอก …

“เล็กๆ ที่เขาสำเร็จนั้น เอามาสนับสนุนแผนการใหญ่ของฉัน ที่มีไว้สำหรับพวกเธอทั้งหลาย ลูกๆ ของฉันทั้งนั้น เทียบกันไม่ติดเลย แผนการที่เธอเห็นเขาสำเร็จ นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่ทำให้แผนการใหญ่ที่ฉันวางไว้ สำหรับพวกเธอ ลูกๆ ของฉันสำเร็จ”

พระเจ้าถามเราว่า …

“เข้าใจไหม?”

ยอมให้เป็นอย่างนี้  เพื่อสิ่งนี้จะมาสนับสนุนแผนการใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ให้สำเร็จ โอเคไหม? ยกตัวอย่างง่ายๆ ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ ให้กับเธอทั้งหลาย ที่ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไปจนนิรันดร์เลย อันไหนใหญ่กว่า อันนี้ ดูท่าทางแย่ แต่อีกอันหนึ่ง มันใหญ่กว่า ดีกว่า ใครได้เกียรติยศกว่า? พระเจ้าได้รับเกียรติ พระสิริเป็นของพระองค์ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ พูดง่ายๆ  ที่สุดแล้ว ใครเชื่อพระองค์ ก็ชนะด้วย เพราะว่าที่สุดแล้ว พระองค์เป็นฝ่ายชนะ นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ได้เห็นตรงนี้

จากความฝันรูปปั้นมหึมา ที่แต่ละส่วน ทำด้วยส่วนผสมต่างๆ ดาเนียลก็ตีความให้กษัตริย์ได้เห็นว่าแปลว่าอะไร?

เริ่มต้นจากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คือยุคของอาณาจักรบาบิโลน เป็นยุคที่ 1 ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองคำ

ต่อมาหน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็เล็งถึงอาณาจักรที่จะครอบครองต่อจากบาบิโลน มาโค่นล้มบาบิโลนในอนาคต ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย หรือเมโดเปอร์เซีย หรือมีเดียเปอร์เซีย ซึ่งจะรุ่งเรืองน้อยกว่าอาณาจักรบาบิโลน

ส่วนที่สาม คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก

สุดท้าย คือขา ทำด้วยเหล็ก  และเท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คือปนเซรามิก เล็งถึงอาณาจักรโรมัน จักรวรรดิโรมัน ซึ่งมาโค่นล้มอาณาจักรกรีกอีกทีหนึ่ง ที่ในนี้บอกว่าโรมันแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวงให้กระเจิง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่กรุงโรม หรือจักรวรรดิโรมรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจตอนนั้น เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งมาก ไปที่ไหนทำลายหมด

และที่เท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดินที่เอามาทำเซรามิก ก็ตีความได้ว่าอาณาจักรนี้ มีส่วนที่แข็งแกร่งและส่วนที่เปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน และไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงที่เท้า ก็คือต่อจากเหล็ก จะไม่มีอาณาจักรแล้ว จะมีเศษๆ อาณาจักรผสมกันอยู่ เป็นเหล็กผสมกับเซรามิก ซึ่งไม่แข็งแรงแล้ว ดูเหมือนแข็งแรง แต่ก็เปราะบาง ไม่เหมือนอาณาจักรก่อนๆ หน้านี้แล้ว ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของเหล็ก อิทธิพลของโรมัน ยังคงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ และเป็นบ่อเกิดของประเทศต่างๆ เหล่านี้ มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คืออิทธิพลตะวันตก … ตะวันตก คือยุโรป … ยุโรป คือจักรวรรดิโรมันในอดีตนั่นเอง

ถ้าท่านเรียนรู้ไป แล้วท่านได้รับการสำแดงจากพระเจ้าด้วย ท่านจะเข้าใจด้วย และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในชัยชนะได้ตลอด ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงินและทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาท ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในข้อที่ 44 บอกว่า “ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น ไม่เหมือนเยรูซาเล็ม ไม่เหมือนประเทศอิสราเอล อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป”

ยุคของกษัตริย์เหล่านั้น ก็คือกษัตริย์ที่อยู่ในช่วงเหล็ก ก็คือในยุคของจักรพรรดิซีซาร์และผู้มีอำนาจสืบต่อไปเรื่อยๆ อาณาจักรเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งในช่วงนั้น ถามว่าเริ่มต้นช่วงไหน? หนังสือลูกาบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูบังเกิดมาเป็นมนุษย์ ในสมัยของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสนั่นแหละ และไปเรื่อยๆ ของกษัตริย์เหล่านั้นเยอะแยะ ผู้ครองเหล่านั้น เริ่มต้นตรงนั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คือช่วงเดียวกัน และในนี้บอกว่านี่คือความหมายของนิมิต เรื่องหิน

นิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ คำว่า “ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์” คุ้นๆ ไหม? ตอนที่พระคัมภีร์สอนเรื่องเกี่ยวกับพลับพลาของพระเจ้า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าวัดของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ที่พระเจ้าให้โมเสสสร้างขึ้น ที่เป็นเต็นท์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนชำระพวกเราให้พ้นจากบาปแล้ว บอกว่าเต็นท์นี้ ยกเลิกไปแล้ว พระเยซูนำเอาโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เข้าไปยังพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คำเดียวกันนั่นนะ คำว่าไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ ก็คือคำว่า “โดยพระเจ้า” นั่นเอง

เพราะฉะนั้น นิมิตเรื่องหิน ก็คือหินนี้ถูกสกัดจากภูเขา เป็นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องมนุษย์แล้ว พูดง่ายๆ เป็นพระเจ้าสกัดหินก้อนหนึ่งออกมา หิน ซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำกระจายไป

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องจริง”

สิ่งเหล่านี้ ตอนนั้น เขาไม่รู้ แม้กระทั่งดาเนียลอาจจะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? แต่เรามาเรียนย้อนกลับไป เรารู้ พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นศิลา พระองค์บอกว่า …

“เราจะสร้างคริสตจักรของเราบนศิลา และศัตรูจะไม่มีชัยชนะ เหนือคริสตจักรของเราได้”

พระองค์เป็นศิลา … ศิลาก้อนหนึ่ง ถูกคนปฏิเสธ แต่พระเจ้าได้ทำให้ศิลาก้อนนี้ เป็นศิลามุมเอก หมายถึงชุดที่ก่อร่างสร้างอาคารขึ้นมาใหญ่โต เริ่มจากเสาเอก พูดง่ายๆ  เพราะฉะนั้น หินนี้ ก็คือพระเยซู พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากคำทำนายนี้ ประมาณ 600 ปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยของเหล่ากษัตริย์ ก็คือของโรมันที่กำลังครอบครองอยู่เหนือทุกแห่งเลย รวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย พระเยซูเกิดในช่วงสมัยออกัสตัส ซีซาร์ แล้วพระองค์ก็ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อน 30 เป็นคนธรรมดา เป็นช่างไม้อะไรก็ว่าไป แต่อายุ 30 ปุ๊บ เริ่มต้นประกาศข่าวดี เริ่มต้นทำงานให้พระเจ้าแล้ว ประกาศคำแรกว่า …

“สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่แล้ว กำลังมาๆ เรากำลังพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้า”

ตลอดเวลา 3 ปี พูดแต่เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าตั้งอยู่ๆ พระองค์มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้ แต่เป็นอาณาจักรที่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ อาณาจักรที่ตามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และทุกวันนี้มันปกคลุมไปทั่วโลกเลย จากวันนั้น แค่หินก้อนเดียว คือพระเยซู และเดี๋ยวนี้เป็นเท่าไร? ในขณะที่ 4 ประเทศมหาอำนาจ ที่ตะกี้เราพูด ไม่เหลือซากแล้ว เป็นแกลบกระจุยกระจายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ตามคำทำนายหมด โรมยังไม่เหลือเลย โรมันเหลือแต่ซาก เหลือแต่กลิ่น เหลือแต่อิทธิพลที่ติดตามต่อไป ในประเทศที่ใช้ชื่ออื่นๆ แม้กระทั่งทั่วโลกทุกวันนี้ เราก็อยู่แบบหลายอย่าง มาจากโรมทั้งนั้น มาจากตะวันตก พูดง่ายๆ

ท่านพอเห็นภาพไหมว่าที่ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร? แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น ตูมออกมา ไม่ใช่อาณาจักรพระเจ้าเกิดขึ้นมาเลยนะ ตูมมาปุ๊บ เกิดหน่อเล็กๆ ขึ้นมาหน่อหนึ่ง แล้วค่อยๆ บานไปเรื่อยๆ เป็น The Kingdom of Jesus อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ครอบครอง พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่  มันหมายถึงอย่างนี้ แล้วมันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีน้อยลง มีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เข้าไปแทรกทุกซอก ทุกมุมของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ไม่ว่าจะเป็นคนพันธุ์ใด เผ่าใดที่ไกลจากความเจริญ เดี๋ยวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรของพระองค์ไปถึงหมดทุกแห่งเหล่านั้น

สมัยก่อนนี้อาณาจักรที่เราเห็น สุดท้ายที่เราดูในรูปปั้น ตั้งแต่บาบิโลน เมโดเปอร์เซีย กรีก และโรม ก็ใช้วิธีนี้  เวลาเขาครอบครอง เป็นมหาอำนาจ เขาต้องไปตี แผ่อำนาจไปให้ที่สุด เท่าที่ทำได้ ตามกำลังของมนุษย์ เหมือนอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีก ตีไป บุกไปถึงอินเดีย จนสุดได้แค่ไหน ก็จบ หมดแรง โรมก็เหมือนกัน พยายามคุมให้ทุกซอกทุกมุม เจอบาบาเลียนที่ไหน? เจอชนเผ่า กลุ่มที่เป็นคนป่าที่ไหนต่อต้าน ก็เข้าไปตี เข้าไปยึดครองให้หมด จะแผ่อำนาจไปให้หมด แต่ในที่สุด อาณาจักรเหล่านั้นก็เป็นศูนย์ ไม่มีเลย แต่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ทำอย่างนั้น แล้วเป็นอยู่จริงตามคำทำนายนี้ ตามนิมิตนี้เป๊ะ ทุกวันนี้เราแต่ละก้อน ก็รวมกันเป็นภูเขาของพระเจ้า เราทั้งหลายเป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เคยได้ยินใช่ไหม?

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์          เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

ที่ไหนๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนของโลกนี้ พอเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นประชากรคนหนึ่งในอาณาจักรของพระคริสต์ เป็นพี่น้องกับเรา เป็นเพื่อน เหมือนร่วมอาณาจักรเดียวกัน ก็คืออาณาจักรพระคริสต์

วันแรกที่อาณาจักรของพระเยซูปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ก็คือวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และวันที่ 3 ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงประกาศชัยชนะเหนือความตาย ประกาศการเริ่มต้นอาณาจักรใหม่ของพระองค์บนโลกใบนี้ ท่านไปอ่านดูในพระคัมภีร์หมดเลย โดยเฉพาะในหนังสือจดหมายฝาก ในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด จะประกาศถึงชัยชนะแห่งอาณาจักรนี้ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงครอบครอง พระเจ้าให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ บนบัลลังก์นี้ ในอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วพวกเราทั้งหลาย ก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์  เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเรา พระองค์เลือกเราทุกคนไว้แล้วว่าเป็นประชากรของพระองค์ นั่งอยู่กับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ที่ได้รับชัยชนะแล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า รับเราไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปี แต่ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีใครมาบอกเรา หรือบอกแล้วเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ พระองค์ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นอีกแล้วทุกวันนี้ พระองค์ทำอย่างเดียว คือเอาข่าวดีไปบอกเขาสิ เอาอันนี้ไปบอกเขา ช่วยกันบอกเขา บอกเขาว่า …

“คุณเป็นของพระเยซู คุณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คุณเป็นของอาณาจักรของพระเยซู … พระเยซูทำให้คุณแล้ว คุณไม่ต้องระเหเร่ร่อน เป็นเหมือนคนพเนจรอีกแล้ว ไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว เข้ามาเถอะ มารับสิทธิของคุณ”

แล้วพอรับสิทธิแล้ว พระองค์ก็ทรงครอบครอง พอครอบครองคนๆ นั้นปุ๊บ พอมาเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา แปลว่าบัลลังก์ของพระองค์อยู่ที่นั่น  อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของคนนั้น แล้วในใจคนนั้น มากมาย ทั้งโลกร่วมกัน ทุกวันนี้ไปที่ไหน ก็มีบัลลังก์ของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย บัลลังก์อยู่ที่ใครก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ไถ่บาปเขาทันที มีพระเยซูอยู่กับเขา และบัลลังก์ของพระองค์อยู่ในใจเขา อยู่กับเขา และอาณาจักรของพระองค์ ที่เผยพระวจนะไว้เมื่อตะกี้นี้ คือมันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อ 30 ปีก่อน ผมมารู้จักพระเจ้าและวันนี้ยังอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ผมเห็นชัดๆ เลย มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการชะงักว่าหยุดแล้ว เยอะขึ้นทุกวันๆ  แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ตามที่เผยพระวจนะเมื่อตะกี้ คือจะใหญ่ที่สุด จนครอบครองเหนือทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้ และในโลกวิญญาณด้วย

เพราะฉะนั้น จงดีใจและชื่นชมยินดีเถิด เราคือผู้ที่อยู่ในอาณาจักร อยู่ในชัยชนะนี้ เราเป็นประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นอาณาจักรแห่งชัยชนะ อาณาจักรที่ถาวรนิรันดร์แล้ว อาณาจักรที่เริ่มต้นสร้างตั้งแต่สมัยโน่น และบอกล่วงหน้ามาเป็นพันๆ ปี ว่าพระเยซูจะมาเกิด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดที่เยรูซาเล็ม ชัดเจนแม้กระทั่งเบธเลเฮ็ม ตำบลเล็กๆ ก็จะบอกด้วยซ้ำ เกิดเมื่อไร? บอกด้วยซ้ำ จะเกิด แล้วเป็นอย่างไร? บอกด้วยซ้ำ เกิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาณาจักรพระเจ้ามาตั้งอยู่จริงๆ เป็นไปตามนั้นทุกอย่างเลย ทั้งเล่มนี้ พูดถึงเรื่องนี้อย่างเดียวเลย รวมทั้งดาเนียลที่เราเรียนรู้นี้ด้วย แล้วบอกไปจนจบเลย  ซึ่งตอนจบ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป ในหนังสือดาเนียลได้บอกเรื่องนี้หมด เราได้อะไรจากการเรียนรู้ในเรื่องนี้ เรามั่นคง แข็งแกร่งในความเชื่อ เรารู้แล้ว เราได้รับชัยชนะนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า เราไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แม้ความตาย เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าควบคุมและครอบครอง ดูแลอยู่ทุกอย่าง ถ้าพระเจ้าจะให้เกิด มันเกิดแน่ แต่มันดีสำหรับเราเสมอ พระเจ้าจะให้กำลังเราทนได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น และพระเจ้าใช้การเกิดนั้น ให้เป็นผลดีในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการใหญ่ของพระองค์ ซึ่งมันสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้กำลังรอให้ครบถ้วนบริบูรณ์

เราควรจะภูมิใจ แม้หลายครั้งเราจะต้องเจ็บปวด แม้หลายครั้งเราอาจจะต้องทุกข์ทรมาน แต่เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เทียบอะไรกับที่เราจะอยู่นิรันดร์ มันเทียบกันไม่ได้เลย ให้สิ่งนี้ หนุนใจเรา อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้เรามั่นใจในสิ่งนี้ พระเจ้าจะนำพาเราไป หลายครั้งเราอาจจะตอบไม่ได้ ทำไมพระเจ้าต้องอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น? แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างเดียว ก็คือ …

“พระเจ้าทำให้มันดีต่อฉัน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์แน่นอน เพราะฉันได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้มารอรับชัยชนะ ฉันได้ชัยชนะไปแล้ว ตอนนี้ อยู่ก็ทำงานให้พระเจ้า ฉันกำลังทำงาน  หมดงาน พระเจ้าก็เอาฉันกลับไป”

พระคัมภีร์จึงบอก คนที่ไปก่อน ก็ได้รับกำไร ตาย ก็ได้กำไร ตายก่อน ก็ได้รับกำไร อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่อสานงาน ให้พระองค์ต่อไปว่าพระองค์จะใช้เราต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพื่อเขาจะได้รู้ข่าวประเสริฐ เพื่อเขาจะได้รับความรอด เหมือนเรา เขาจะได้เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเราทั้งหลาย เอเมน

นั่นคือความเชื่อและเป็นการประกาศว่าราชา จอมราชา เจ้านาย ผู้ครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด และโลกฝ่ายวิญญาณด้วย ของทุกผู้ทุกนาม ตลอดนิรันดรกาล คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราเสมอ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2016 เรื่อง “ตามรอยของพ่อ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

ผ่านมา 17 วัน เกือบ 3 สัปดาห์แล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้าเสียใจ

หลายๆ คนก็ยังอยู่ในสภาวะทำใจ ยังโศกเศร้าอยู่

แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เราก็ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ตลอด

ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่ามีผู้คนเยอะแยะมากมาย ที่ตั้งใจจะทำความดี

ตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปร

มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา

แล้วหลายคนก็เริ่มต้นทำแล้วด้วย ไม่เพียงแต่มีสิ่งดีๆ

เกิดขึ้นเยอะแยะในบ้านเราเท่านั้น ยังมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ทำให้เราคนไทยภูมิใจมากมาย

จากที่ได้เห็นข่าวจากหลายประเทศ

ก็ได้เห็นจัดกิจกรรมเทิดทูนพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่

สมพระเกียรติ อย่างเช่น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

หลายคนก็ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมสมัชชาพิเศษ

ที่สดุดีถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล

เราคนไทย นั่งดูไป ก็เศร้าไป แต่ก็ตื่นเต้น ภูมิใจ

อาการนี้เขาเรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตา คิดถึงสิ่งที่ท่านทำ

สมัยก่อนตอนท่านอยู่ เราก็ไม่ได้คิด แต่พอท่านไป

แล้วทั้งโลกเขาแซ่ซ้อง เราถึงได้มานั่งคิดนะ

คนเราก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเอกฉันท์ทั่วโลก

แล้วก็เป็นความภาคภูมิใจของเราทั้งหลาย ขอบคุณพระเจ้า

ที่ทรงให้เรามาเกิดบนแผ่นดินนี้

และทุกคน เวลาจะพูดถึงในหลวงของเรา ที่เราได้ดู

ทั่วโลกจะต้องกล่าวถึงเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน

ที่ได้ตรากตรำทำงาน เพื่อคนไทยตลอดเวลา 70 ปี

ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว

มีผลกระทบไปยังบรรดาสังคมในโลกนี้ด้วย

พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของใคร? ก็เป็นของผู้นั้น สมควรได้รับ

ก่อนหน้านี้ หลายคน รวมทั้งผมเองด้วย

ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา

ได้คิดและทำมานั้น มีมากมาย

คือเราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก

เยี่ยมพสกนิกร ราษฎร ไกลมากเลย

แต่ก็ไม่เคยนับว่ามีจำนวนโครงการทั้งหมดเท่าไร? จนมาวันนี้

รู้ว่า 4,000 โครงการ

และหนึ่งในโครงการของพระองค์ที่รู้จักกันดีที่สุด

ทุกคนพูดถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยเอง

หรือต่างประเทศทั่วโลกก็ตาม ก็คือโครงการเศรษฐกิจพอเพียง

ไม่ใช่เป็นนโยบาย บอก สอนเฉยๆ แต่ทำเป็นตัวอย่าง

แล้วก็สอนคนเป็นตัวอย่าง เริ่มต้นตรงนั้นเป็นตัวอย่าง

เริ่มต้นตรงนี้เป็นตัวอย่าง พร่ำสอนเรื่องนี้มาตลอด

คนไทยทุกคน จึงคุ้นเคยกับคำว่า “พอเพียง” หรือคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” แต่อย่างว่าก็ยังมีหลายคน

รวมผมเองก็เหมือนกัน

ผมก็คิดว่าผมยังเข้าใจไม่ได้ลึกซึ้งเท่าในหลวงของเราที่พระองค์ท

รงตรัสเอาไว้ แต่ก็ยังมีหลายคนในโลกนี้ และในประเทศนี้

ที่ยังไม่เข้าใจเลย

ถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั

ว ถึงความหมายที่แท้จริง

ที่พระองค์ทรงต้องการให้เราได้เรียนรู้ว่ามันคืออะไร?

มันสำคัญอย่างไรกับชีวิตของคนจริงๆ

มันเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข จุดเริ่มต้นของความสงบ

ไม่ใช่สุขอย่างเดียว แต่จุดเริ่มต้นของชีวิตของคนทีเดียว

อยากบอกว่ามันสำคัญที่สุด

พอดี ก็ติดตามข่าวมาตลอด ในช่วงนี้ เหมือนเราหลายๆ คน

ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ คลิปวีดีโอมากมายถึงสิ่งต่างๆ

ของพระองค์ท่านเยอะแยะในขณะนี้ มีอยู่คลิปหนึ่ง ผมได้เปิดดู

ประทับใจมาก ที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายความหมายของคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” ได้แบบลึกซึ้งเข้าใจง่ายๆ เป็นคลิปสั้นๆ

เท่านั้นเอง ผมฟังแล้วประทับใจมาก ก็ฟังแล้วฟังอีก ยอดเยี่ยมๆ

ถ้าฟังเมื่อ 20 ปีก่อน ผมอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้

ได้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาพอสมควร

เป็นพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม ปี  2541

https://youtu.be/yvO3dbTN4xI (ให้พี่น้องไปเปิดฟัง)

นี่เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น จริงๆ

ผมอยากให้ท่านฟังฉบับเต็มเลย มีประโยชน์มากจริงๆ ฟังแล้ว

นอกจากเราจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านแล้

ว ถ้าเราน้อมนำเอาความคิดทั้งหมดนั้น

มาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราทุกคน

ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ

แม้กระทั่งไปถึงทั่วโลก นี่แหละครับ

ทั่วโลกจึงถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน

ตัวอย่างพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ได้ประทาน

เนื่องในวันปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502 หลายท่านยังไม่ได้เกิดเลย

ประมาณ 57 ปีมาแล้ว มีใจความตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ …

“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น

จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง

และครอบครัว ช่วยป้องกันการขาดแคลนในวันข้างหน้า

การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดี

ไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น

แต่ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

จริงเลยแหละ ไปจนถึงทั่วโลกเลย

ก่อนหน้านี้จะมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง ผมไม่แน่ใจ

เพราะเท่าที่ค้นมา เก่าที่สุด คือ 2502 สอนมา 57 – 58 ปี เกือบ 60

ปีแล้ว สอนเรื่องนี้มาตลอด ถ้าพูดตามสามัญชาวบ้าน

ต้องบอกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ก็ยังไม่เข้าใจกันเท่าไร?

ยังปฏิบัติกันไม่ได้มากในบ้านเมืองเรา ยังไม่เกิดประโยชน์มาก

แต่พระองค์ท่านไม่เคยท้อเลย พูดทุกปี พูดบ่อยๆ

ไม่ใช่พูดอย่างเดียว ทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นโครงการนั้น

โครงการนี้ ในชนบท ตั้งแต่ปี 2502 จนมาถึงคลิปตะกี้นี้ 2541

ก็ยังอธิบายอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็บอกว่าปีหน้าก็ต้องพูดอีก

รู้ว่าเบื่อ แต่รู้ว่าเข้าใจแค่นิดเดียว จะพูดต่อไป

มาถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่เพียงคนไทยเท่านั้น แต่หลายๆ ที่ หลายๆ

แห่งในโลก ก็ได้รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอ ที่เราได้ยินกัน

เพราะมันเกิดผลจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ

พลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา

จึงเป็นอันหนึ่งที่สำคัญมาก ทั่วโลกนำไปใช้ในขณะนี้

ซึ่งเราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เราก็รู้ด้วยตัวเราเอง นั่นมีหลักฐานชัดเจน

ลึกซึ้ง อีกหลายอย่าง ถ้าฟังสมัยก่อน เราอาจไม่ลึกซึ้งขนาดนี้

และถ้าท่านฟังวันนี้ และตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี

ท่านเอาคลิปนี้มาฟังใหม่อีก

ก็จะขยายความเข้าใจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ 15 นาทีเท่านั้น

แต่ความลึกซึ้งมหาศาลมาก

ผมจึงอยากจะใช้เวลานี้ ให้พวกเราได้เข้าใจกับคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” หรือคำว่า “พอเพียง”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “To be contentment” คือ

“มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่” ไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียว

ไม่ใช่สิ่งของอย่างเดียว รวมหมดทุกอย่าง

เหมือนที่พระราชดำรัสที่เราได้ฟังกัน แม้กระทั่งความคิดของเรา

ซึ่งเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ของเราพร่ำสอนมาตลอด 60 ปี เราก็จะใช้เวลานี้แหละ

เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้น

เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว

และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกด้วย

ตามที่มูลนิธิมั่นพัฒนา โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา

ได้เคยกล่าวไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ทรงเปรียบเทียบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหมือนเสาเข็ม

พระองค์ทรงรับสั่งว่าบ้านเมืองของเรา ถ้าจะให้มั่นคง ต้องมีเสาเข็ม

และเสาเข็มมันอยู่ใต้ดิน มองไม่เห็น

คนเลยละเลยไม่ให้ความสำคัญกับเสาเข็ม แต่บ้านมันจะอยู่ได้

ต่อเมื่อเสาเข็มแข็งแรง ถ้าเสาเข็มไม่แข็งแรง วันหนึ่งลมพัด พายุมา

มันก็โค่นล้ม ในหลวงตรัสว่ามันเป็นเหมือนเสาเข็มนี่แหละ

คนมักมองไม่เห็นว่าความสำคัญอยู่ตรงไหน?

ถ้าพื้นฐานของคนไม่มีความอยู่ดีกินดี ตามอัตภาพ

“อยู่ดีกินดีตามอัตภาพ” คืออะไร? เป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่

หมายถึงกินอาหารอย่างเดียว อยู่ดีกินดี

หมายถึงชีวิตทุกอย่างอยู่ในความพอเพียง พอดีแล้ว ตามอัตภาพ

ก็คือตามกำลังของตนเอง คิดก็คิดตามกำลัง อยากก็อยากตามกำลัง

แล้วสุดท้าย ก็คือกินตามกำลัง ใช้สอยเงินตามกำลัง

ไม่คิดอะไรใหญ่โตเกินกว่าที่ตัวเองควรจะคิด ถ้าเป็นอย่างนั้น

นั่นแหละเรียกว่าพื้นฐานที่มั่นคง มันจะไม่ล้มลงมาง่ายๆ

แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะล้มลงง่ายๆ คิดเกินไป

คิดว่าเราจะไปอยู่ตำแหน่งนั้น แต่เราทำไม่ได้ เราคิดเกินไป

เรามีสติปัญญาแค่นี้ ขนาดนี้ เราควรจะรับผิดชอบแค่นี้

เราคิดว่าเราอยากจะมีตำแหน่งอย่างโน้น

แล้วในที่สุดมันก็พังลงมาหมดเลย อย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับอาหาร

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ประทาน

สรุปความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง หรือความพอเพียงตรงนี้

เป็นประเด็นหลักๆ 3 ข้อเริ่มต้น คือ …

(1) พอประมาณ ไม่สุดโต่ง …

(2) มีเหตุมีผล …

(3) มีภูมิคุ้มกันที่ดี …

หลักข้อที่ 1 พอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ก็คือพอประมาณในทุกอย่าง มีความพอดีไม่มาก

หรือไม่น้อยจนเกินไป และไม่เบียดเบียนตนเอง

หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความหมายก็คือตามกำลังของตนเอง

ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ หรูหราไม่ได้

ตามที่พระองค์ท่านตรัสตามคลิปเมื่อตะกี้นี้ มีได้

แต่มีตามกำลังของเราที่มี หรูหราได้ไหม? ได้

ถ้าท่านคิดว่าท่านมีกำลังพอ จะทำอย่างนั้น

ไม่เดือดร้อนชาวบ้านและตนเอง รู้จักประมาณตนนั่นเอง

อย่างตอนหนึ่งในพระราชดำรัสที่เราได้ฟังเมื่อตะกี้นี้

ที่ทรงตรัสว่าพอเพียง ก็คือ 2 ขาของเรายืนอยู่บนพื้นให้ได้

ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมขาของคนอื่น มาใช้สำหรับยืน คำว่าพอ

ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ

ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย

ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ไม่โลภมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้ อาจจะมีมาก

อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น

ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจา ก็พอเพียง

ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง

แค่นี้เอง ลึกซึ้งมาก คิดกับคนข้างๆ ผิด

ก็คือคิดเลยจากความพอเพียง คิดอิจฉา จะไปเลื่อยเก้าอี้เขา

จะไปแทนที่เขา อย่างนี้ เรียกว่าคิดมากเกินไป ไม่ต้องคิดอย่างนี้

คิดพอดี ก็มีความสุข มีสันติสุข เขาก็สุข เราก็สุข

ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน คิดไปเลื่อยขาเขา ก็สร้างแผนการที่ไม่ดี

สิ่งชั่วร้ายก็เกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกว่าพอรู้สึกไม่พอ

ความโลภก็เกิดขึ้น ความโลภ คือความไม่พอ

พระคัมภีร์บอกความโลภ คือบ่อเกิดของความบาปทุกชนิด

ความโลภ คือไม่พอ … พอ ก็คือไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียง

คือเศรษฐกิจที่ไม่โลภ พูดฟังง่ายนะ แต่ปฏิบัติยาก

ต้องเรียนรู้กันต่อไป ต้องปฏิบัติ ฝึกฝน อย่างที่บอก 57 ปี

ในหลวงของเราก็ยังสอนเรื่องนี้ตลอดเวลา

เพราะนี่คือหลักการของชีวิต ที่ทำให้เกิดความสุขสงบได้

ในประเทศนี้ และในโลกนี้เลย

หลักข้อที่ 2 ต้องมีเหตุและมีผล

หมายถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น

จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลด้วย

โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ

อย่างรอบครอบ ไม่ใช่พอบอกว่าใช้ตามอัตภาพ ตามกำลัง

พอเรามีเยอะ ก็ใช้แบบไม่มีสติเลย ไม่มีเหตุ ไม่มีผล

ไม่มีการพิจารณาใคร่ครวญในการใช้ อันนี้ก็ไม่ใช่พอเพียง

พระบรมราโชวาทในพิธีประทานปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2540 … 19 ปีที่แล้ว

มีใจความตอนหนึ่งว่า …

“ข้อสำคัญในการสร้างตัว สร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบครอบ

ระมัดระวัง และความพอเหมาะ พอดี ไม่ทำเกินฐานะ

และกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ”

จำข้อความในพระคัมภีร์ได้ไหม? ความเร่งรีบ คือความบาป …

บาปทำให้เกิดความเร่งรีบ เพราะถ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็จะนิ่งได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็อยากได้ในสิ่งที่เราอยากได้เอง ทุกอย่างจะพึ่งตัวเองหมด

เราก็ทนไม่ไหว ในที่สุดเราก็จะเร่งรีบ ต้องการตรงนั้น

ต้องการตรงนี้ รอไม่ได้ เพราะเราไม่ได้วางใจในพระเจ้า

เมื่อบาปเกิดขึ้น ก็คือเราไม่ได้นึกถึงพระเจ้านั่นเอง การเร่งรีบ

คือคนไม่นึกถึงพระเจ้า ตอนนั้น มันเป็นบาปอยู่ บาป

คือตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า …

พระเจ้าต้องการให้เรานึกถึงพระองค์ …

พระองค์จะให้เราทำอะไร? เรานึกถึงพระองค์เมื่อไร? เราจะไม่รีบ

เรารีบเมื่อไร? เราก็ไม่นึกถึงพระองค์ ถูกไหม?

เพราะรู้ว่าการควบคุมดูแล การกำหนด การจัดเตรียม

จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น เรารู้มาตลอด

แล้วทำไมตอนนี้เรารีบ ก็แสดงว่าเรากำลังลืมพระเจ้า

ลืมถ้อยคำของพระองค์ก็ได้ ลืมคำสอนของพระองค์ก็ได้

ก็คือลืมพระเยซูนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความพอใจ

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่บอกว่า …

“ข้าต้องการพระเยซูยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา”

แล้วในเพลงนี้บอกว่า “ข้าต้องการพระเยซูมากกว่าทุกสิ่ง”

พอมีพระเยซูก็นิ่งแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยว่ากัน แต่ขณะที่เร่งรีบ

พระเยซูหายไปแล้ว

หลักการข้อที่ 3 คือต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง

หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับผลกระทบ

และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ

ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล

ก็คือต้องมีการเรียนรู้ฝึกฝนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้

เช่น เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา ไม่ว่าวิกฤตอะไรก็ตาม

เราจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร? เช่น เมื่อทำตามข้อ 1

ข้อ 2 แล้ว พออัตภาพสำหรับตนแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่นึก ไม่คาด

ไม่ฝันเกิดขึ้นมา เขาเรียกว่าแอดสิเดนเกิดขึ้นมา

ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำอย่างไร?

ต้องเตรียมให้พร้อม ถามว่าพอเพียง

หมายถึงต้องเตรียมให้พร้อม อะไรบางอย่าง เราไม่คาดคิด

มันอาจเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อบนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ถ้าตามพระคัมภีร์

คือพระเยซูบอกแล้วอยู่บนโลกใบนี้มันมีแต่ความทุกข์

เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมา เราต้องรู้ว่าจะเกิดแน่ เมื่อไรไม่รู้

แต่เราต้องพร้อมที่จะรับในสิ่งเหล่านั้นที่มันอาจจะเกิดขึ้นกับเรา

คือหนึ่งในจำนวนพอเพียงนั้น แล้วเราพร้อมได้อย่างไร?

ก็คือเราสามารถเชื่อและวางใจในพระเจ้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า

ก็คือเราพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระเยซูคริสต์

ผู้ที่เป็นกำลังของเรา ฟีลิปปี 4:13

ฟีลิปปี 4:13

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

ขณะที่พูดนั้น ยังไม่มีสถานการณ์อะไรเข้ามาเลย

แต่เตรียมพร้อมไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเข้ามา

ข้าพเจ้าจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

โดยพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า คือการเตรียมชีวิตทั้งหมด

นอกจากเตรียมโดยปฏิบัติแล้ว ต้องเตรียมด้วยความเชื่อด้วย

เราดูแลอย่างนี้ตลอดแล้ว เราประหยัดแล้ว เราพอเพียงแล้ว

รับรองได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราแน่นอน ไม่ใช่อย่างนั้น

ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ได้

แต่ขณะที่เกิดขึ้นนั้น

ต้องให้เราเตรียมพร้อมว่าเราเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุ

มดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ชีวิตของเราอย่างเดียวทั้งหมด

หลังจากเหตุการณ์นี้

อยู่ในความดูแลของพระองค์และพระองค์กระทำทุกสิ่งทุกอย่างตาม

น้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

และมันจะเป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ ที่รักพระองค์

ที่เชื่อในพระองค์เสมอ พูดง่ายๆ ในที่สุด

มันจะเกิดเป็นผลดีสำหรับเรา นั่นก็เกิดสันติสุข ความสงบ

เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ เราก็พอเพียงได้

มันหมายถึงอย่างนั้น

วันนี้เราก็ได้เรียนรู้วิถีทางการพอเพียง

ตามแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา

แล้วคราวหน้าเราก็จะมาเรียนรู้ตามแนวทางของพระเจ้า

ควบคู่กันไป ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้เรา

เดินอยู่ในทางของพระองค์ ด้วยความพอเพียง แล้วท่านจะทึ่ง

เมื่อท่านเรียนไปเรื่อยๆ ทึ่งว่าแนวทางในพระคัมภีร์

เป็นแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างดีกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหล

วงเลย ท่านจะตกใจหลายอย่าง ที่ท่านอาจจะไม่เคยรู้

ตอนนี้สื่อออกมาตรงนี้เยอะ ท่านก็จะได้ฟังตรงนี้ ตรงนั้น หลายๆ

ทาง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า

วันนี้ เราจะจบกันด้วยถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ก่อน

แล้วผมจะอธิบายให้ท่านฟังถึงถ้อยคำนี้ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ

ว่าทั้งหมดที่เราฟังในคลิปเมื่อตะกี้นี้กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึก เมื่อ

2,000 ปีแล้ว เป็นสิ่งเดียวกันเลย ที่เราจะต้องปฏิบัติ

แล้วพระเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติ เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่บนโลกใบนี้

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

1 ทิโมธี 6:6-8 “ 6

แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี

ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า

เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหาร

และเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น”

นี่คือปรัชญาชีวิต นี่คือความเป็นจริงของชีวิต

นี่คือแนวทางที่พระเจ้าบอกเราว่าถ้าเราทำอย่างนี้

ชีวิตเราจะอยู่บนโลกนี้อย่าง มีความสุขสงบมาก ปลอดภัย

(มากที่สุด) แต่ทางของพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจ

ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ตรงนี้ภาษาเดิมหมายความว่าอย่างไร?

คำพูดนี้เขียนตอนที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน

หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด

เรียบร้อยแล้ว พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า

ผู้สถิตในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาส่งพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อตายที่ไม้กางเขน พระบิดาต้องการให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน

เพื่อหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งเป็นโลหิตของความบริสุทธิ์

เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป โลหิตของพระองค์จะชำระบาป

ชดใช้บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย พระองค์จะตายที่นั่น

และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และครอบครองเหนือทุกสิ่ง

แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น

ที่ท่านทั้งหลายจะไปหาพระเจ้า ท่านจะไปหาพระบิดาเจ้า …

เจ้าของสวรรค์ ถ้าท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์

“พระเจ้าส่งฉันมา

เพื่อให้บอกท่านว่าฉันเป็นทางที่ท่านจะไปหาพระเจ้า

เป็นทางที่ท่านจะไปสวรรค์

เป็นทางที่ท่านจะไปหาพระบิดาในสวรรค์ ฉันเป็นทางนั้น”

ทางนี้ทำด้วยอะไร? “ทางนี้ทำด้วยความตายของฉัน

ทางนี้ทำด้วยโลหิตของฉันที่หลั่งที่ไม้กางเขน

เพื่อชำระบาปให้กับท่าน”

เรากลับมาดูเมื่อตะกี้ แต่ในทางพระเจ้า ทางพระเยซู

ในนี้กำลังจะบอกว่าในทางพระเจ้า

พร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็คือเริ่มต้นด้วย

ถ้าท่านอยู่ในทางพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าท่านเชื่อพระเยซูแล้ว

พร้อมด้วยท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ กำไรงาม จบ

ชีวิตท่านเยี่ยม เป็นกำไรชีวิตที่งามที่สุดในโลกนี้

ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น Godliness with contentment

ภาษาเดิมแปลภาษาอังกฤษว่าความบริสุทธิ์ที่ท่านได้จากทางนี้

จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านไม่สามารถทำเองได้

พระคัมภีร์บอกเราไม่สามารถไถ่บาปตัวเราเองได้

เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระโลหิตของพระเยซู

ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ สะอาดหมดจด

สามารถไถ่บาปเราได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะบริสุทธิ์

ท่านได้ความบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ท่านได้กำไรไปแล้ว

แต่ไม่กำไรถึงที่สุด ท่านต้องได้พระเจ้าไปด้วย

และมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ท่านจะมีกำไรงาม …

งามมากเลย นี่คือเคล็ดลับ

แล้วก็บอกว่าพอมีทางพระเจ้า แล้วมีความพอใจ

แค่ท่านมีอาหารและเสื้อผ้าก็พอใจ ยกตัวอย่าง อะไรก็ได้

แล้วแต่พระเจ้าให้ พูดง่ายๆ แล้วแต่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้

แม้นกในอากาศ พระองค์ยังดูแลเลย แล้วท่านเป็นใคร?

พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? พระเยซูตรัส

ขนาดนกในอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกหญ้า

สวยงามมากเลย เดี๋ยวไม่กี่วันมันก็เฉาแล้ว ถูกแดดเผา

พระเจ้ายังตกแต่งมันสวย

แล้วท่านจะอยู่กับพระองค์ไปตลอดนิรันดร์

แล้วเป็นลูกของพระองค์ด้วย

พระเจ้าจะไม่ดูแลมากกว่าดอกไม้ไม่กี่วันนั่นเหรอ

ต้นหญ้าไม่กี่วันเหรอ นกกระจอกอายุมันอยู่นานเท่าไร?

พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย มันไม่ทำงาน วันๆ บินออกมา ร้องจิ๊บๆ

เดี๋ยวมันก็กลับไปบ้าน มันก็อยู่ได้ของมัน

พระเยซูสอนให้เรามองสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านเป็นใคร?

เมื่อท่านอยู่ในทางพระเจ้า ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าจะดูแลท่านเอง พระเจ้าที่ดูแลนกนั่นนะ

พระเจ้าที่ดูแลต้นหญ้าให้มีดอกสวยขนาดนั้น เป็นพ่อของท่าน

จะดูแลชีวิตท่าน

และยกตัวอย่าง เมื่อสมัยท่านเป็นคนบาป

หรือทุกวันนี้ท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้จักรักลูกของท่าน

ให้ของดีๆ ใช่ไหม? เราก็ต้องบอกว่าใช่

แล้วมากกว่านั่นสักเท่าไรที่พ่อ ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ เป็นพ่อของท่าน

พระเจ้าบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ใช่เป็นคนบาป

จะรักท่านและให้ของดีๆ กับท่านมากกว่านั้นสักเท่าไร?

ท่านคิดเอาเอง เทียบเอาเอง เราเป็นห่วงลูกของเรามากเลยนะ ดึกๆ

ดื่นๆ ถ้าทำอันโน้นอันนี้ สมมตินะ เราเป็นห่วงมาก เป็นห่วงสุขภาพ

ตอนเขาไม่สบาย เราก็เป็นห่วงมาก พระเยซูบอกให้เราคิดเอาเอง

พระเจ้าเป็นห่วงเราขนาดไหน?

มากกว่านั้นสักเท่าไรที่ถ้าเกิดตอนนี้เราเป็นหวัด

พระเจ้าเป็นห่วงเรามากกว่านั้นสักเท่าไร?

นี่เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลย ถ้าเราได้สิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด

รวมกับความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” วันทั้งวันนั่งยิ้ม

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งจากโลกนี้ไป ฉันก็ไปอยู่ในสวรรค์

ขอบคุณพระเจ้า อยู่บนโลกนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์

จะให้มีเงิน ฉันก็จะใช้เงินเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เพราะพระเจ้าสอนฉันว่าถ้าให้มีเงิน หรูหราได้ไหม? ได้

แต่ความหรูหรานั้น มีสติปัญญาจากพระเจ้า

คือเป็นเหมือนผู้อารักขาของพระเจ้า

ใช้ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

เห็นไหม? ไม่ใช่มีเงิน แล้วมานึกว่า …

“ฉันรวยแล้ว อันนี้เป็นของฉัน”

เปล่า “ฉันเป็นผู้อารักขาเงินจำนวนนี้

และพระเจ้าก็อนุญาตให้ฉันใช้ด้วย แต่ใช้อย่างมีสติ”

มีสติว่าอย่างไร? นี่เป็นเงินของพระเจ้า ใช้ในทางของพระเจ้า

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรูหราได้ไหม? ได้ แต่คิดทางนี้

เขาเรียกว่าคิด มีเหมือนไม่มี ขับรถใหญ่หรูหราเลย มี

แต่เหมือนไม่ใช่ของเรา … เราไม่ได้ไปยึดมันเป็นของเรา

เมื่อไรพระเจ้าจะเอาคืนไป ไม่มี ก็ไม่มี …

มีก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางของพระเจ้า มีสติ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น นี่คือหนทางที่มีสันติสุข และมีความสงบสุขจริงๆ

บนโลกใบนี้ และมีความหวังในโลกหน้าด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 4 “โลกนี้ คือละคร” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

เราก็ยังอยู่ในซีรี่ส์การบรรยายชุด

“จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” และวันนี้เป็นตอนที่ 4

และเป็นตอนจบของชื่อตอน “โลกนี้คือละคร”

เนื้อหาหลักของตอนนี้ ก็คือโลกนี้เปรียบเหมือนโรงละคร

โรงใหญ่ ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็นนักแสดงและมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ

และพระเจ้าก็วางบทให้บางคนเป็นตัวเด่น บางคนเป็นตัวสำรอง

บางคนเป็นพระเอก บางคนเป็นนางเอก บางคนเป็นคนดี

บางคนเป็นคนร้าย โหดร้าย แต่ไม่ว่าจะแสดงบทไหนก็ตาม

ภายใต้การควบคุมของผู้กำกับผู้นี้ ที่มีชื่อว่าพระเจ้า

พระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งสิ้น

ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงนอกบทที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ได้เลย

ฉะนั้น ใครที่รู้เรื่องนี้ แล้วพยายามทำตามพระองค์

ก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็จะมีสันติสุข มีความสุข

เท่าที่เป็นไปได้ในโลกนี้ และโลกหน้ามากที่สุด

ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้มาก ก็มีสันติสุขมาก

ทำตามได้น้อยก็ได้น้อยตาม เราถึงเรียกว่าน้ำพระทัย

เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว จงทำตามน้ำพระทัย เพื่อชีวิตของเราเอง

แม้คนไม่รู้จักพระเยซู เรายังอยากให้เขาทำตามน้ำพระทัย

เพราะเขาทำ เขาจะได้ แม้เขาไม่รู้จักพระเยซู

แม้เขาจะได้ในสิ่งที่เขาควรจะได้ตรงนั้น

ซึ่งไม่เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับความรอดนะ

เกี่ยวกับผลประโยชน์มันเกิดขึ้นเอง โดยธรรมชาติ ถ้าเราไปฝืนมัน

ไม่ทำตามกฎ ซึ่งเราเรียกกันว่ากฎธรรมชาตินั่นเอง

ไม่ทำตามบทบาทที่พระเจ้าวางไว้ให้กับเขา ก็ทุกข์ระทม

พระเจ้าวางเป็นตัวสำรอง

เรายังอยากจะเป็นพระเอกอยู่นั่นแหละ อยากๆ

ไปอิจฉาริษยาชาวบ้านเขา ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง ในที่สุดก็ทุกข์

นี่ยังไม่ได้พูดถึงเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

นี่คือความจริง

ยังจำได้ไหมครับ เพลงประกอบเรื่องนี้ โลกนี้คือละคร

ตอนจบเขาว่าอย่างไร?

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูเศร้าใจ ชั่วชีวิตวัย

หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน

เปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ

ครั้นแล้วไม่นาน ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ

นี่คือเพลงโลกนี้คือละคร สำหรับคนทั่วๆ ไป

ที่อาจจะยังไม่รู้จักพระเยซู ยังไม่รู้จักพระเจ้า คือเปิดฉากด้วยความ

สวยงาม ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความทุกข์

ความสุขวนเวียนกันไป ตามบทบาทของแต่ละคน

แต่สุดท้ายทุกคนต้องจบลงที่เดียวกัน คือความตาย

ทุกคนเจอเหมือนกันหมด สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า

เมื่อละครปิดม่านลง ก็ตามบทเพลงนี้

เกิดความเศร้าโศกอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าตายไปแล้ว

จะไปอยู่ไหน? ถึงแม้บางคนอาจจะรู้บ้าง

แต่ไม่แน่ใจว่ามันใช่ไหม? ไม่มีการคอนเฟิร์มในหัวใจของเขา

ในวิญญาณของเขา

มันจึงเหมือนละครเศร้า สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

คลอดออกมา ทุกคนเปล่งปลั่ง ผิวพรรณเจริญเติบโต เลี้ยงฉลอง

แล้ววันหนึ่ง มารวมตัวกันอีกทีที่เชิงตะกอน ที่เขาจะไปเผา

ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม? มานั่งร้องห่มร้องไห้ตรงนั้น

นี่คือเรื่องราวของทั่วๆ ไปในสังคมมนุษย์บนโลกใบนี้

แต่สำหรับเราคริสเตียน หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พอผู้กำกับสั่งจบ

หรือเขาเรียกว่า “คัท” จบ บอกว่า …

“บทบาทการแสดงละครบนโลกนี้”

สำหรับตัวแสดงคนนี้ จบลงแล้ว หมดหน้าที่บนโลกใบนี้

คือตายนั่นเอง เรารู้ทันทีว่าเราจะไปไหน?

เพราะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้ายืนยันกับเราในหัวใจ

แน่ใจ มั่นใจ 100% เลย ว่าหลังจากจบละครบนโลกใบนี้แล้ว

เราจะไปไหน เราจะพบกับอะไร?

เรามั่นใจว่าจะเป็นตอนที่แฮปปี้เอ็นดิ่ง เป็นตอนที่พระเอกชนะ

จบปุ๊บ เราก็ร้องเพลงนี้

มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา ถ้าเราเชื่อ

จึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา

และเดี๋ยวนี้ยังเตรียมที่ไว้คอยท่า

ในเวลา ไม่ช้านาน จะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ X2

ลมหายใจสุดท้าย ออกจากตัว น่าจะเป็นอย่างนั้น

ทุกคนควรจะร้องเพลงนี้ได้ ไม่ใช่ลมหายใจสุดท้าย ก็คือ

ปิดม่านด้วยความเศร้าใจ อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว

แสดงว่าไม่ค่อยมาโบสถ์ วันอาทิตย์ไปเที่ยวหรือเปล่า?

ฉะนั้นอย่าไปเที่ยวเยอะ ฟังบ้าง ถึงไม่ได้ไปเที่ยว ก็ไปเปิดในยูทูป

ไปเปิดใน Facebook ที่เขาถ่ายทอดสดฟังบ่อยๆ บ้าง ลมหายใจสุดท้าย

มันจะได้จบลงที่ว่าในสวรรค์

เพราะฉะนั้น เพลงประกอบโลกนี้คือละคร เวอร์ชั่น

สำหรับคริสเตียน ก็จะเป็นเพลงแบบนั้น

และเพลงจบสุดท้ายจะไม่ใช่เพลงแบบโลกคือละคร

แต่มีอีกเพลงหนึ่ง ซึ่งสมควรมากที่เราจะต้องจำไว้ บรรยายจบ

จะร้องเพลงนั้นให้ฟัง

กลับมาที่เรื่องราวของพระคัมภีร์

เรากำลังเรียนรู้ชีวิตของดาเนียล

ซึ่งได้เป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี

ที่เชื่อฟังและยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง ดาเนียล บทที่ 2

เป็นช่วงที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วก็ให้พวกนักปราชญ์

และโหราจารย์ในวัง ถามว่าพระองค์ฝันอะไร?

แล้วค่อยทำนายฝันนั้น แต่ไม่มีใครทำได้

กษัตริย์จึงสั่งให้เอานักปราชญ์ทั้งหมด พวกเฉลียวฉลาดทั้งหมด

เอาไปฆ่าให้หมด เจ็บใจนัก เลี้ยงเสียข้าวสุก

ซึ่งรวมทั้งดาเนียลด้วย

กษัตริย์สั่งให้เขาบอกว่าตัวเองฝันอะไร?

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของสติปัญญาหรือวิชาการ

ที่จะสามารถทำอย่างนี้ได้ มาเรียนรู้ว่าคนนี้ฝันว่าอะไร?

ถ้าใช้วิชาการ หรือความรู้แบบมนุษย์

อาจจะสามารถบอกความฝันมา แล้วฉันจะไปทายดู ถ้าฝันว่างู

มันเกี่ยวกับคู่รัก อย่างนี้ พอที่จะใช้สติปัญญามนุษย์ได้ แต่บอกว่า

“เมื่อวานฉันฝันอะไร?”

“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร?”

เขาเรียกว่าเป็นเรื่องล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น

ที่สามารถล่วงรู้หรือทำได้นั่นเอง ดาเนียลรู้เรื่องนี้ดี

จึงได้ไปทูลขอให้พระเจ้าเมตตาช่วยสำแดงเรื่องนี้

ให้รู้ทีว่าเรื่องล้ำลึกตรงนี้ หมายความว่าอะไร? กษัตริย์ฝันว่าอะไร?

แล้วพระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกให้แก่ดาเนียล ในนิมิต

ครั้งที่แล้วเราเน้นกันตรงนี้ว่าสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้ได้ด้วยสติปัญญา

ใช้คำว่าการเรียนรู้ แต่สำหรับเรื่องที่ล้ำลึกอย่างนี้

เกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า

“การสำแดง” “การเปิดเผย” “การเปิดตาฝ่ายวิญญาณ” “การเปิดตา”

พระคัมภีร์จะใช้คำเหล่านี้ ตลอดเสมอมา ทั้งพระคัมภีร์ใหม่ด้วย

การเปิดเผย การสำแดงโดยพระเจ้า

ที่ลึกซึ้งเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ได้

จนกว่าพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณ

สำแดงให้เขาได้เห็นว่ามันคืออะไร? ซึ่งคราวที่แล้ว

เราได้ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบให้เห็น

อย่างเช่นเรื่องของข่าวประเสริฐ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ก็คืออันเดียวกันนั่นเอง

การที่รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ ต่อให้เรียนอย่างไร

ก็ไม่มีวันเข้าใจ เราไปสอนอย่างไร ก็ไม่เข้าใจ

แต่ไม่ใช่ไม่ให้สอนนะ สอน

แต่อย่าไปนึกว่าสอนแล้วเขาจะเข้าใจ เขาแค่รับรู้

แต่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ถูกชักจูง เขาแค่ เหรอๆ

รอจนกว่าสิ่งที่เราสอนไป

จะได้รับการสำแดงเปิดเผยความจริงจากพระเจ้า

ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาจะ …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับใคร

ให้ใจเย็นๆ อย่าใช้ความรู้สึก

“ควรจะเชื่อแล้วๆ”

ไม่ควรมีคำว่า “ควร” ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

เน้นไปที่การสำแดง เหมือนดาเนียล อธิษฐาน ขอพระเจ้า

“พระเจ้าเมตตาคนนี้ที เมตตาคนนั้นที

เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รู้ถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ที่ลูกเล่าให้เข

าฟังแล้ว ขอเมตตา ทรงดลใจ

เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาเชื่อในสิ่งที่ลูกได้พูดเรื่องข่าวดีของพระ

เยซูคริสต์ เปิดเผยความจริงนี้ ให้เขาได้รู้ สำแดงเรื่องนี้กับเขาได้รู้”

อย่างนี้เขาเรียกว่าอธิษฐาน ถูกต้องเลย เอเมน

ภารกิจที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มอบหมายให้ทำ

เป็นสิ่งที่ล้ำลึก เกินกว่ามนุษย์คนไหนที่จะสามารถหยั่งรู้ได้

ไม่มีตำรา ไม่มีศาสตร์ใด ไม่มีการสอน ไม่มีการทำนายฝันแบบนี้

และพระเจ้าก็ได้สำแดงสิ่งนี้ให้กับดาเนียล

ครั้งที่แล้วเราได้ ทิ้งท้ายไว้ที่ดาเนียล 2:23

ดาเนียล 2:23 “ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์

ข้าพระองค์ขอบพระคุณ และสรรเสริญพระองค์

พระองค์ประทานสติปัญญา และฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์

พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์

ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทราบความฝันของกษัตริย์”

พระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับดาเนียล

ตอนอยู่ในสำนักราชวัง เขาเรียนเก่งกว่าคนอื่น 10 เท่า

แต่ขณะที่มีสติปัญญาอย่างนั้น ก็ไม่สามารถที่จะทายฝันอย่างนี้ได้

ในนี้จึงบอกว่าพระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจ

ตรงนี้แหละ เขาเรียกฤทธิ์อำนาจ

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องราวของดาเนียล

ตั้งแต่ตอนที่ถูกกวาดต้อนจากเยรูซาเล็ม มาเป็นเชลยที่บาบิโลน

ดาเนียลต้องเผชิญกับการทดสอบมากมาย

ต้องไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ตรงกันข้ามกับเรื่องทางพระเจ้า

บาบิโลนกับเยรูซาเล็มคนละเรื่องเลย แต่ดาเนียลก็ยังยืนหยัด

และมั่นคงในความเชื่อ ยังมั่นใจในความรัก

ความเมตตาของพระเจ้าในชีวิตของเขา

แต่สังเกตให้ดี คำว่า “ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ”

ของดาเนียลตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าดาเนียลจะต้องยืนกราน

ทำตามสติปัญญา หรือความคิดของตัวเองเสมอไป

อย่างตอนที่ดาเนียลถูกคัดเลือก

ให้ไปเรียนรู้วิชาอาคมหรือไสยศาสตร์ จากชาวบาบิโลน

คนละเรื่องกับทางพระเจ้า ถ้าคิดตามหลักมนุษย์

เป็นเราก็จะต้องบอกว่า …

“จะไปเรียนได้อย่างไร? ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ทางของพระเจ้า

หัวเด็ด ตีนขาด ก็ไม่ไปเรียน”

ต้องไม่ยอม ตายเป็นตาย อย่างนี้ ใช่ไหมที่เราสอนๆ กันมา

ถ้าดาเนียลทำแบบนั้น จะเกิดอะไรขึ้น

หัวถูกเด็ดแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งฆ่าคนสบายๆ ง่ายๆ

ก็คงเอาไปตัดคอเลย ได้เด็ดหัวจริงๆ

แล้วมันเป็นไปตามน้ำพระทัยไหม? ไม่ได้เป็น แต่สิ่งที่ดาเนียลทำ

คือทุกครั้ง ไม่ว่าต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม สถานการณ์ใดก็ตาม

ดาเนียลจะทำตัวเป็นนักแสดงที่ดีของโลกนี้

เขาจะเข้าไปถามผู้กำกับก่อนว่า …

“พระเจ้า … องก์นี้ จะให้เล่นบทอะไร? แสดงอย่างไร?”

ภาษาละครเขาเรียก “องก์” ก็คือในแต่ละฉาก

หรือแต่ละตอนของละคร เขาจะใช้คำว่า “องก์” จะทำอย่างไรดี?

จะเล่นแบบไหนดี?

พอกษัตริย์สั่งว่าให้ไปเรียนวิชาวิทยาคมกับชาวบาบิโลน

ดาเนียลก็ไปถามผู้กำกับว่าองก์นี้ จะให้แสดงแบบไหน?

ผู้กำกับบอกว่าให้ไปเรียนได้ ดาเนียลก็ไปเรียน

ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือตามคำสั่งของผู้กำกับเอก ซึ่งเขารู้จักดี

ก็คือพระเจ้า เชื่อแล้ว ทำเลย

มาถึงองก์ที่กษัตริย์บังคับให้ทานอาหารที่ถูกส่งมาจากในวัง

ดาเนียลก็หันไปถามผู้กำกับ คือพระเจ้าว่าจะให้ทานไหม?

ซึ่งมันก็เรียกว่าทำลายสนธิสัญญากับพระเจ้า ทานอาหารมีมลทิน

จะทานไหม? คราวนี้ผู้กำกับพระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ต้องทาน”

เห็นไหม? ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้ ให้เรียนวิทยาคมได้

แต่ทำไมทานไม่ได้ มนุษย์ไม่เข้าใจ ถ้าให้ไปเรียนได้

มันก็ทานอะไรก็ได้สิ เราต้องคิดอย่างนั้น แต่นี่ผู้กำกับบอกองก์นี้

เล่นตัวหน่อย ไม่ต้องทำตามเขา ดาเนียลก็ทำตาม ยืนยันว่าไม่เอา

จะขอทานผักกับน้ำอย่างเดียว

ถามว่าดาเนียลรู้ล่วงหน้าไหมว่าถ้าปฏิเสธอย่างนี้

เดี๋ยวพระเจ้าจะดลใจเอง ให้ทหารที่คุมอยู่ ใจอ่อน เขาจะชอบพอ

แล้วเขาจะยอม ไม่รู้ เขาทำเลย เสร็จแล้วพระเจ้าจึงทำตาม

พอเขาทำอย่างนั้น แผนการพระเจ้าจึงให้ผู้คุมนั้นใจอ่อน ยอม

แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตของตัวเขาเอง หมายถึงตัวทหารที่คุมเองก็ตาม

มาถึงองก์ต่อไป ฉากต่อไป อยากให้ท่านเห็นอะไรบางอย่าง

เพื่อเอามาใช้ในชีวิตของเราได้ด้วย อีกฉากหนึ่ง

คือกำลังจะถูกจับไปประหาร

เพราะไม่มีนักปราชญ์คนไหนสามารถทำนายฝันของกษัตริย์ได้

ตอนที่ดาเนียลขอเวลาทหารว่าจะอาสาไปทำนายฝันให้

ตอนนั้นดาเนียลก็ไม่ทราบว่าพระเจ้าจะประทานคำตอบให้

เพียงแค่ขอเวลาไปถามผู้กำกับก่อนเท่านั้นเอง เขาไม่มั่นใจ

รู้ได้อย่างไรว่าไม่มั่นใจ ก็เขายังบอกเพื่อนเขา 3

คนช่วยกันอธิษฐานหน่อย

ท่านพอจะเห็นไหมครับ?

ที่พยายามจะโยงความคิดของดาเนียลกับคำว่าโลกนี้

คือละคร เพราะต้องย้ำประเด็นที่สำคัญว่าละครแต่ละเรื่อง

ผู้กำกับไม่ได้ให้บทที่เหมือนกันกับนักแสดงทุกคน

ในละครทุกเรื่อง มีแต่คนดีทั้งหมด ไม่มีคนร้ายเลย

ทุกคนหล่อหมดเลย ไม่มี ทุกคนสวยหมด ไม่มีนางเอก

ฉันใดก็ฉันนั้น นักแสดงทุกคนบนเวทีโลกนี้ ก็คือมนุษย์ทุกคน

ผู้กำกับใหญ่ คือพระเจ้า ก็ไม่ได้ให้บทบาทที่เหมือนกันแก่ทุกคน

เช่นเดียวกัน อันนี้ส่งไปถึงคนที่ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว

แต่ส่งไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ จงรู้เถิดว่าพระเจ้าควบคุม

เป็นผู้กำกับอยู่ แล้วพระองค์ทรงให้บททุกคน ไม่เหมือนกัน

เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องดาเนียล

เพื่อที่จะบอกว่าทุกคนต้องกินผัก หรือทำทุกอย่างเหมือนดาเนียล

แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำเหมือนดาเนียล

คือให้หันไปถามผู้กำกับก่อนในทุกๆ เรื่อง

ให้พระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา

ให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดชีวิตเรามากที่สุด

แสวงหาพระองค์มากที่สุด ในทุกๆ สถานการณ์ ในทุกๆ เรื่อง

งานยิ่งใหญ่เท่าไร

ยิ่งต้องพึ่งในการทรงนำของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น

อย่าแสดงละครตามความคิด ความเข้าใจ

หรือตามเหตุผลของตัวเอง อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด

ทุกคนบนโลกใบนี้ ชอบทำอย่างนี้แหละ

พ่อและแม่บอกให้เราเรียนอย่างนี้

อาจารย์บอกเราควรจะเป็นอย่างนี้ สังคมบอกเราควรเป็นอย่างนี้

เราไม่เคยดูตัวเราเองว่าเราควรเป็นใคร? โทษทีนะ

ร้องเพลงเพี้ยนจะมากๆ แต่พยายามจะเป็นนักร้อง สมมตินะ

อันนี้มันเห็นชัด อยากจะเป็นนางเอกมาก จนไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้า

เพื่อจะได้สวยๆ และเป็นนางเอก แล้วมันไปรอดไหม? คลอดลูกมา

ไม่รู้ลูกใคร ทำไมหน้าไม่เหมือนเรา ลืมไปว่าเราไปทำหน้ามา

อันนี้อธิบายให้ฟัง จะอธิบายให้เราฟังว่าพระเจ้าให้แสดงบทอะไร

นี่ไม่ได้หมายถึงให้เราไปทำหน้าทำตาไม่ได้ ทำได้

แต่พยายามอย่าเป็นนางเอกเท่านั้นเอง

เป็นนางเอกในบ้านคนเดียวพอแล้ว

ท่านจะทำอะไรมาถามศิษยาภิบาล เพื่อหาคำปรึกษา

ได้รับข้อมูลไป แล้วเอาไปไตร่ตรอง

ผู้สุดท้ายที่จะบอกว่าเราควรทำหรือไม่? คือพระเจ้า ใจเย็นๆ

คอยมองให้ดีๆ แสวงหาพระเจ้า คือแสวงหาให้บ่อยๆ

พระคัมภีร์ทั้งเก่าและใหม่ แปลว่าแสวงหาเสมอ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ

บางทีเราแปลกันมาสั้นๆ ว่าจงแสวงหาพระเจ้า แต่จริงๆ

มันหมายถึงจงแสวงหาพระเจ้า อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

แล้วพระองค์จะตอบ

แสวงหา ไม่ใช่ในห้องอธิษฐาน แล้วก็จบแค่นั้น ขอโทษทีนะ

ท่านเคยแสวงหาความร่ำรวยไหม? ทุกคนเป็นหมด ตั้งแต่หนุ่มๆ

พอหาเงินได้ ก็อยากจะรวย แล้วท่านทำอย่างไร? เฉพาะที่ทำงาน

คิดแค่นั้นเหรอ คนที่คิดแสวงหาความร่ำรวย ทั้งวันทั้งคืน

เขาคิดแต่ว่าจะหารายได้อย่างไร? เหมือนกัน

แสวงหาพระเจ้าทั้งวันทั้งคืน

คือไม่ใช่เข้าไปอธิษฐานมาโบสถ์แค่วันอาทิตย์

วันธรรมดาอธิษฐาน จบ ออกจากห้องอธิษฐานเขาคิด

ไม่ใช่หมายถึงไม่ทำอะไรนะ ครุ่นคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา

“พระเจ้าเรื่องนี้ที่อธิษฐานฝากไว้ที่พระองค์

ตกลงเราจะทำอย่างไร?”

ทำอะไรไป ก็คิดแต่เรื่องนี้ทั้งหมด

เดี๋ยวพระเจ้าจะประทานนิมิตผ่านทางอะไรบางอย่าง

ขึ้นรถเมล์เห็นตรงนี้ อ๋อ! พระเจ้าเริ่มตอบ เข้าใจแล้ว

จะรู้เรื่องมากขึ้นไปเรื่อยๆ รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร?

ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าจะบอกเดี๋ยวนี้เลย

สมมติจะให้ไปต่างประเทศ บอกอธิษฐาน ออกมาถึง บอกแล้วเนี้ย

ไม่ใช่อย่างนั้น ใจเย็นๆ ค่อยๆ มองไปเรื่อยๆ จะซื้อรถดีไม่ดี

จะซื้อคันละ 5 แสน หรือ 2 แสน

เยอะแยะไปหมดที่จะสามารถเข้าไปปรึกษาพระเจ้าได้ ค่อยๆ มอง

ใจเย็นๆ อัศจรรย์ที่พระเจ้าอาจจะทำให้เกิดขึ้นกับใครคนหนึ่ง

ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทำให้เกิดอย่างนั้นกับทุกคน

ไม่ใช่ว่ากินแต่ผักกับน้ำ แล้วพระเจ้าทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง

สวย หล่อ ฉลาดกว่าคนอื่น 10 เท่า แล้วคนอื่น ก็กินผักกับน้ำ

พระเจ้าก็จะทำให้เขาแข็งแรงด้วย ไม่ใช่ ลองทำตาม

อาจจะตายเลย จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น

เหมือนที่ผมเคยย้ำอยู่บ่อยๆ ว่ามีคริสเตียน 2

คนป่วยเหมือนกัน อาการเท่าๆ กัน เป็นโรคเดียวกัน

แม้จะอธิษฐานทูลขอพระเจ้าในสิ่งเดียวกัน

แล้วทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

พระเจ้าก็อาจตอบคำอธิษฐานไม่เหมือนกัน คนหนึ่งอาจจะหายป่วย

ส่วนอีกคนหนึ่ง พระเจ้าอาจจะให้ป่วยต่อไป เพื่ออะไรบางอย่าง

เราไม่รู้ แต่เรารู้แค่ว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์

ที่จะให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ซึ่งมันจะดีต่อทุกสิ่ง

ไม่ใช่กับเราคนเดียว แต่ดีต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาหมด ตามน้ำพระทัย

ตามแผนการของพระองค์ และมันจะดีสำหรับเราที่พระองค์ทรงใช้

แน่นอน

พระคัมภีร์สัญญาไว้ แล้วบอกด้วยว่าทั้งหมดที่ดีนั้น

เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

หมายถึงเพื่อความรักและความดีงามของพระเจ้า

จะได้สำแดงออกมา ทั่วโลกว่านี่พระเจ้าผู้นี้

เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระเจ้าแห่งความดีงาม

พระเจ้าแห่งความยิ่งใหญ่สูงสุด มันแปลว่าอย่างนี้

แล้วใครได้สิ่งเหล่านี้ไป

คนนั้นจะได้เป็นไปตามทางที่พระเจ้าวางไว้ คือสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเขา

ไปจนถึงนิรันดร์

ประเด็นสำคัญ คือถ้าเราถามผู้กำกับแล้ว

คืออธิษฐานแล้ว ได้รับคำตอบอย่างไร

ก็ให้ทำหน้าที่ของการเป็นนักแสดงที่ดีอย่างนั้น

คือเชื่อฟังและทำตามอย่างนั้นเลย ไม่ต้องเข้าใจ ก็ทำตาม

และมั่นใจได้เลยว่าจะเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเราเองอย่างแ

น่นอน แล้วมันจะเป็นผลดีต่อคนอื่น รอบข้างหมด

และจะเป็นผลดีต่อต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ทั้งหลายที่เรารัก

โลกใบนี้ทั้งใบ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ และเป็นผลดี

ไม่ใช่แค่ที่ตามองเห็น เราตายไปแล้ว สิ่งที่เราทำนั้น

มันยังดีต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่คนเดียว ทุกคน มันจะมีผลไปเรื่อยๆ

อยู่ในแผนการใหญ่ของพระเจ้านั่นเอง

เรามาอ่านต่อเรื่องราวของดาเนียล

ในพระคัมภีร์ว่าหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้กับดาเนียลในนิ

มิต ให้สามารถหยั่งรู้ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้ว

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป

ดาเนียล 2:24-30 “ 24 แล้วดาเนียลไปพบอารีโอค

ซึ่งกษัตริย์ทรงใช้ให้ไปประหารชีวิตเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลน

ดาเนียลกล่าวกับเขาว่าอย่าประหารเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลนเ

ลย โปรดนำข้าพเจ้าไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทำนายฝันถวาย 25

อารีโอคจึงพาดาเนียลไปเข้าเฝ้าทันที

และทูลว่าข้าพระบาทพบชายผู้หนึ่ง ในหมู่เชลย ที่มาจากยูดาห์

ซึ่งสามารถกราบทูลว่าความฝันนั้นหมายความว่าอะไร” 26

กษัตริย์ตรัสถามดาเนียล (หรือที่เรียกกันว่าเบลเทชัสซาร์)

‘ว่าเจ้าสามารถเล่าสิ่งที่เราฝัน และแก้ฝันให้ได้หรือ’ 27

ดาเนียลทูลตอบว่า ‘ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถา

อาคมและโหรคนใดสามารถทูลความล้ำลึก

ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28

แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก

และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต

ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น

มีดังนี้ 29 ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่

และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก

ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30

ที่พระเจ้าทรงโปรด ให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท

ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ

แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาใ

นพระดำริ”

“พระดำริ” หมายถึงความนึกคิด … คิดตลอดเวลา ฝันได้เรื่อยๆ

ตลอด ดาเนียลทูลขอการสำแดงจากพระเจ้า

ที่จะสามารถทายฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้

แล้วพระเจ้าก็ทรงประทานให้ แล้วดาเนียลก็เข้ามาเฝ้ากษัตริย์

เพื่อทำนายฝัน ตื่นเต้น … ตื่นเต้นไหม? และความฝันนี้

มันรวมไปถึงตั้งแต่วันที่พูด 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

จนมาถึงเราทุกวันนี้ 2,000 ปี แล้วเกี่ยวข้องจากนี้ ต่อไป

ที่เราอาจจะตาย พรุ่งนี้ มะรืนนี้ แล้วก็ไปอีก ความฝันนี้

บอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันพิสูจน์มาแล้ว 2,600 ปี

มันตรงเป๊ะหมดเลย เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ไป มันก็ต้องตรงแน่ๆ

เลย

สังเกตคำตอบของดาเนียล มีอยู่ 2 ประเด็นที่สำคัญ

1. ที่บอกว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทย์มนต์ นักเล่นคาถาอาคม

และโหรคนไหน สามารถทูลความล้ำลึก

ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

คิดดูสิ กษัตริย์กำลังโมโหมากเลย มีเด็กคนหนึ่งบอกว่า …

“ผมทำได้ ขอเวลาหน่อย”

พอมาถึงกลับตอบว่า “ไม่มีใครทำได้หรอก”

ตอบคำแรก สมควรฆ่าตาย

ขึ้นต้นมาอย่างนี้เลย ทำไมเขากล้าพูดอย่างนี้

เพราะเขารู้แล้วว่ามันคืออะไร?

สิ่งที่พระเจ้าบอกเขาเกี่ยวกับความฝัน เขามั่นใจ 100%

ว่าพระเจ้ามีชีวิตอยู่ เพราะพระเจ้าบอกมาเป็นฉากๆ เลย

จะเกิดอะไรขึ้น นิมิตเป็นอย่างนี้ พระองค์ฝันว่าอย่างนี้ ถ้าพูดไปปุ๊บ

กษัตริย์ต้องคุกเข่าแน่ เพราะมันอัศจรรย์มากเลย รู้ได้อย่างไร?

ในข้อนี้ที่บอกว่า “ไม่มีนักปราชญ์ เวทมนต์ใดๆ คาถาคนใด

โหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึกของฝ่าพระบาท

ตามคำถามนี้ได้”

หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอาไปตัดหัว

“แต่ว่าอย่าเพิ่งโกรธ มีพระเจ้าองค์หนึ่ง ในฟ้าสวรรค์

ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึกนี้

และได้ทรงแสดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ในอนาคต”

คราวนี้ตื่นเต้น

คือดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้านั่นเองว่าพระองค์ทรงยิ่งใ

หญ่สูงสุด

“พระเจ้าของฉัน ที่ฉันกำลังจะพูดถึงยิ่งใหญ่มาก

เรื่องที่กำลังจะบอกเป็นเรื่องลี้ลับ ที่ถามมานั้น

ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้เรื่องหรอก”

กล้าพูดอย่างนี้

“ไม่มีวิชาการใดที่จะสามารถล่วงรู้ได้หรอก

มีเพียงพระเจ้าของฉันองค์เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำได้”

และอันที่สองที่น่าสังเกต คือที่บอกว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้

ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท (ดาเนียล) ไม่ใช่

เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ

แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาใ

นความคิดในความฝัน”

พูดง่ายๆ จะได้เข้าใจว่าความฝันนั้นคืออะไร?

เป็นการถ่อมตัวอย่างมากของดาเนียล

ที่กำลังบอกว่าที่พระเจ้าบอกความล้ำลึกนี้ให้

ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองดี หรือเก่งกว่าคนอื่น

แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง

ที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รู้เรื่องนี้

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นตัวแสดงตัวหนึ่ง

ที่อยู่ในบทบาทหนึ่ง ในแผนการนี้ ซึ่งเกี่ยวถึงเรื่องพระเยซูด้วย

เกี่ยวถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ดาเนียลได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

โดยบอกว่าเขาเป็นส่วนประกอบเล็กๆ

คนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้กำกับโรงละครนี้อยู่

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเลียนแบบเขา ก็คือต้องถ่อมใจ

ไม่ว่าเราจะเก่งอะไรก็ตาม เราต้องถ่อมใจ

ไม่มีอะไรที่เราเก่งสักอย่างเลย

พระองค์อยากให้ทำอะไร พระองค์ก็ใส่สิ่งนั้นมา เราก็ทำได้

บางคนบอกว่า …

“ฉันร้องเพลงเก่ง”

“ฉันเล่นดนตรีเก่ง”

บางคนบอก “ฉันเรียนหนังสือเก่ง”

“ฉันเป็นอะไรเก่งๆ”

อันตรายมากเลย

เอาอันนี้ออกไปจากริมฝีปากของเราว่าเราเก่ง

เขาจึงสอนให้เราทำอะไรก็ตาม จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า

จงมอบให้พระเยซูคริสต์ ถามว่าพระเยซูอยากได้เกียรติเหรอ

ไม่ใช่ ป้องกันเรา ไม่ให้เราเย่อหยิ่ง

เพราะความเย่อหยิ่งจะทำให้เราถูกดึงลงมา

ความเย่อหยิ่งจะทำให้เราพินาศ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ความเย่อหยิ่งทำให้เราไปในทางที่แย่ ความเย่อหยิ่ง

คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามผู้กำกับ ก็เสร็จสิ

เดี๋ยวก็โดน ยินยอมตามผู้กำกับ ก็คือถ่อมใจ

“ไม่ใช่ฉันเลย เขาสั่งมา”

สมมติตอนนี้ผู้กำกับเขาเขียนบทให้เรา เป็นผู้มั่งมี ร่ำรวย

อย่าซ่าส์ๆ หรือตอนนี้เขาเขียนบทให้เราเป็นคนจน

มันก็แค่การแสดงบทหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าไปยึดว่ามันจริง

มันใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เป็นบทป่วย ก็ป่วย บทแข็งแรง

ก็ไม่ต้องซ่าส์ว่าแข็งแรง บางคนคิด ถ้าหายโรคอย่างอัศจรรย์

เรียกว่าพระพร ไม่ใช่

ผมไม่ได้หมายถึงใช่หรือไม่ใช่? คำว่า “ไม่ใช่”

อย่าไปกำหนดว่าอย่างนั้น มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เข้าใจใช่ไหม?

อย่าไปยึดตรงนั้น มันเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว

ถ้าท่านไม่ยึดตรงนั้น วันที่ท่านป่วย ท่านจะทรมานใจมากเลย

ถ้าท่านบอกว่าท่านแข็งแรงได้รับพระพร ถ้าท่านป่วย

เขาเรียกว่าอะไรล่ะ ตรงกันข้ามกัน

ท่านคงไม่ว่าตอนนี้ถูกพระเจ้าสาปแช่ง ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ …

พระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม พระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย

ถึงขนาดประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์

คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ขณะที่เราเป็นคนบาป เรายังรักลูกของเรา มากกว่านั้นสักเท่าไร

พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สะอาด รักเรามากกว่านั้นอีกตั้งเยอะเลย

แต่เราไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไร? ไม่ต้องเข้าใจ แค่รู้ว่าดีก็แล้วกัน

ต้องฝึกไว้ตรงนี้ว่าจงถ่อมใจตลอดเวลา อะไรเข้ามา

จงขอบคุณพระเจ้า การขอบคุณพระเจ้า

คือการถ่อมใจนั่นเอง ยอมเป็นไปตามการกำกับของพระเจ้า

สรุป

ก็คือดาเนียลกำลังตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าผู้กำกับใหญ่

ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ก็คือพระเจ้า

ตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์ฝัน สั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน

โดยไม่บอกว่าฝันอะไร? พอทำไม่ได้ ก็สั่งให้เอาไปฆ่า

แล้วก็ประทานนิมิตให้กับดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องก็เป็นเพียงแค่นักแสดงที่ได้รับบทมา

ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ทั้งสิ้น เฉพาะเรื่องนี้ พระเจ้ากำลังทำองก์นี้

หรือฉากนี้ หรือตอนนี้ สร้างให้ดาเนียลเป็นฮีโร่ ที่บอกไว้ไง

สถานการณ์สร้างฮีโร่ และใครเป็นผู้สร้างสถานการณ์ พระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างฮีโร่ ถ้าเมื่อไรท่านเป็นฮีโร่

อย่านึกว่าท่านเก่งเป็นฮีโร่ พระเจ้าสร้างมา ถ่อมใจไว้

ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 จึงบอกว่าผู้ที่จะมาเชื่อพระเจ้า

ต้องมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ฮีบรู 11:1-3, 6

ฮีบรู 11:1-3, 6 “ 1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้

และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง

ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ

เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น

สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา 6

ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย

เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่

และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น

ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง” เอเมน

เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาหาพระเจ้า

ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ถูกกำหนดโดยอะไรบางอย่าง

ที่อยู่ในโลก ที่มองไม่เห็น หลายครั้งที่เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

ซึ่งเราไม่สามารถคิดได้ว่ามันจะดีได้อย่างไร? คิดตามภาษามนุษย์

พูดง่ายๆ นะ เหมือนพระเจ้าไม่ยุติธรรม อันนี้เป็นเรื่องปกติ

เมื่อไรก็ตามที่เราคิดนอกกรอบที่พระเจ้าสอนเรา

คิดตามภาษามนุษย์ เรามักจะพูดอย่างนี้เสมอว่าพระเจ้าโหดร้าย

พระเจ้าไม่ยุติธรรม

ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าไม่เคยมีเขียนไว้ตรงไหนเลย

ไม่ว่าพระคัมภีร์ใหม่หรือเก่า มีแต่บอกพระเจ้าดีงาม พระเจ้าดีที่สุด

พระเจ้าแสนดี พระเจ้าเป็นความยุติธรรม พระเจ้าเป็นความรัก

ไม่เคยเกลียดใคร

“พระเจ้าเกลียดฉันคนเดียว”

มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเราเข้าในหนทางที่ผิด

เพราะมันเกินกว่าความคิดของเรา ที่จะเข้าใจ

เพราะพระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม

แต่เราคิดของเราเองว่าที่เห็นๆ เกิดขึ้น มันยุติธรรมที่ไหน?

พระคัมภีร์จึงบอกว่าความคิดของเรากับพระเจ้ามันห่างไกลมาก

ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรากับพระเจ้า

ก็ต่างกันเท่านั้น ทางของเรากับทางของพระเจ้า ก็ต่างกันเท่านั้น

เราไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเหตุการณ์นั้น ที่เกิดขึ้น

ทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น เราไม่มีทางเข้าใจหรอก

ทำไมคนชั่วได้ดี หรือคนทำดีแล้ว ไม่ได้ดี อะไรประมาณนี้

อันนี้ชัดเลย

บางครั้งเราพูดอย่างนี้บ่อยๆ ตอนที่เราไม่รู้จักพระเจ้า

ยังไม่รับเชื่อ แต่หลายครั้งที่เรามาเชื่อแล้ว เราก็ยังอดคิดไม่ได้

เหมือนความคิดเก่าๆ เผลอๆ พูดออกมาด้วย

“พระเจ้าไม่ยุติธรรม”

เรากำลังบอกว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม

แต่พระเจ้าบอกเสมอในพระคัมภีร์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้ายุติธรรม

พระองค์ทรงทำงานทุกสิ่งตามแผนการของพระองค์

เพื่อพระสิริของพระองค์ และสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่รักพระองค์

และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงสร้าง

แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทำให้เรารู้สึกสบาย

มีความสุขบนโลกใบนี้ แต่หมายถึงสิ่งต่างๆ

เหล่านี้ที่เกิดขึ้นทางวิญญาณนั้น มันจะเกิดผลเป็นสิ่งที่ดี

สำหรับชีวิตของเราอย่างแน่นอน เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เอเมน

ดาเนียลกับเพื่อนที่ถูกต้อนไปเป็นเชลย เขาก็ไม่รู้สึกท้อแท้

ตามที่เขียนนะ แต่แน่นอนผมมั่นใจว่าที่เขาไม่ได้เขียนไว้

หลายครั้งเขาคงท้อแท้แหละ ที่เขาไม่ท้อแท้ เพราะเขาเชื่อ

ในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าผู้ควบคุมอยู่จริงๆ

พระเจ้าสูงสุดอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะดาเนียลรู้

ว่าพระเจ้าคอยควบคุมทุกอย่าง เป็นผู้ทรงนำพาให้เขาและเพื่อนๆ

และชาวยิวมาเป็นเชลย เขาจึงเขียนคำแรก

ในหนังสือบทนี้เลยว่าพระเจ้ามอบอิสราเอลมาเป็นเชลยให้กับกษัต

ริย์เนบูคัดเนสซาร์ เขาเขียนคำนี้เลย ให้มาเป็นเชลย

พระองค์ทรงทำทุกอย่างได้ แม้แต่สิ่งนี้ ดูตามสายตาแล้ว

พระองค์ทรงโหดร้ายกับลูกของพระองค์นัก อิสราเอลหรือยิว

คือลูกรักของพระเจ้าที่ทรงหวงแหนมาก

ดูแลประคบประหงมตลอดเวลา เป็นประชากรของพระเจ้า

แล้วพระองค์ทรงทำอย่างนี้กับประชากรของพระเจ้าเหรอ

ก็เปรียบเทียบเหมือนพระเจ้าทำอย่างนี้กับลูกของพระองค์เหรอ

พระเจ้าทำอย่างนี้กับ คริสเตียนเหรอ แต่สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น

มาเป็นผลดี อย่างที่ผมบอก

นี่คือหนึ่งในแผนการที่ทำให้อนาคตเกิดขึ้น เลยมา 600

ปี จึงมีพระเยซูคริสต์มาประสูติ และตายที่ไม้กางเขนได้

อันนี้พูดสั้นๆ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวค่อยต่อๆ กันไปเรื่อยๆ

พอเข้าใจไหมว่าพระเจ้าทำเพื่อแผนการใหญ่มาก แต่ถ้าเราดูเล็กๆ

เราก็จะว่า …

“พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเอาประชากรของพระองค์

ชาวยิวไปเป็นทาส บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกก็ต้องไปเป็นทาสเขา

ลูกสาวก็ต้องไปเป็นนางบำเรอเขา พ่อก็ถูกฆ่าตาย

บ้านแตกสาแหรกขาด”

พระเจ้าบอก 70 ปี คุณคิดว่าคนที่ไปเป็นเชลย

หลายคนคงจะไปอยู่อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว

เขาตายไปด้วยความทุกข์ใจว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ใช่ไหม?

นอกจากบางคนที่อยู่เลยกว่า 70 ปี อย่างดาเนียลถึงได้เห็น

ใช่จริงๆ หลายครั้งบางทีเราหรือคนข้างเคียงเรา

สิ้นชีวิตไปก่อนแล้ว ซึ่งสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น แต่เราได้เห็นจริงๆ

เพราะปู่เรา เพราะทวดเรา เพราะซุปเปอร์ก๋งเรา ทำอย่างนี้ไว้ มิน่า

เราเห็นแค่นิดๆ บางอย่างเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เราไม่เห็น

เราก็บ่นไปเรื่อย อาก๋งเราอาจจะบ่นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะบ่นหรือไม่บ่น

มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะผู้กำกับสั่งไว้แล้ว

เพียงแต่คนที่ไม่มีความสุข คือคนๆ นั้น ที่บ่น เปลี่ยนอะไรก็ไม่ได้

บ่น เสียความสุขในชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ เสียดายเวลา

เพราะอย่างนี้ ดาเนียลและพวกเพื่อนๆ

เขาจึงสามารถอยู่บาบิโลนได้ ด้วยความอดทน

เพราะเขารู้ว่าพระเจ้ากำกับทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้นำเขามา

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะพาเขาต่อไป ตายเป็นตาย

เขาจึงมุ่งมั่นขอความช่วยเหลือจากผู้เดียว คือพระเจ้า

ผู้ทรงควบคุมทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรค ปัญหาใดๆ ก็ตาม

คอยเงี่ยหูฟังผู้กำกับว่าจะให้เล่นบทอะไร? บทนี้จะเล่นอย่างไรดี

ซึ่งถ้านักแสดงคนไหนสามารถทำได้แบบนี้ อย่างที่ผมบอกตอนต้น

มนุษย์คนใดบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เป็นคริสเตียน

ทำได้แบบนี้ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข ไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก

ทำได้มาก ก็สันติสุขมาก เผลอๆ เป็นสุขมากขึ้น

สามารถแสดงตามบทบาทของตัวเองตามที่พระเจ้ากำกับมาให้

จนจบเรื่อง จบทุกฉาก จบทุกตอน แฮปปี้เอ็นดิ้ง เอเมน

แล้วที่สำคัญที่สุด ฉากจบสุดท้ายของนักแสดงทุกคน

ที่มีพระเจ้าพระเยซูเป็นผู้กำกับ ตอนปิดม่าน

ต้องเป็นฉากที่เรียกว่าแฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างแน่นอน

เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้ว

โดยผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร?

เห็นไหม? ใครเชื่อพระเยซู คนนั้นก็สบาย

เพราะเป็นลูกของพระองค์แล้ว

เพราะฉะนั้น

ฉากจบของคนที่เป็นนักแสดงที่มีพระเจ้าพระเยซูเป็นผู้กำกับ

มันแฮปปี้เอ็นดิ้ง แฮปปี้จริงๆ เพราะฉะนั้น อย่างที่ผมบอกตอนต้น

เพราะฉะนั้น เพลงประกอบฉากสุดท้ายของเรื่องโลกนี้คือละคร

สำหรับคริสเตียนแล้ว หรือเรียกว่าลูกของพระเจ้า

ที่พระองค์ทรงเลือกมาผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

ควรจะเป็นเพลงนี้ …

(1) โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

(2) สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย

คิดร้อนใจ ไปเปล่า

เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา อย่ามัวซมเซา

ทุกคน เรา ทนมัน

(3) โลกคือละคร อย่าอาวรณ์เลย สุขทุกข์อย่างเคย

รักแล้วเป็นเช่นกัน

ปล่อยไปตามพระ-เยซูบันดาล อย่ามัวโศกศัลย์

ยิ้มสู้มันเป็นไร

เชิญ สำราญร่วมเบิกบาน ดวงใจ ลืม ทุกข์ไป ทำให้ใจ

เริงรื่น

(4) สุขกันเถอะดี อย่ามัวรีรอ อย่าทำหน้างอ

ยิ้มนิดพอใจชื่น

ชีพจะดำรง อยู่ยงคงคืน ต่ออายุยืน

ยิ้มนิดเดียวให้ชื่นใจ

(5) โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 3 “โลกนี้คือละคร” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 3 “โลกนี้คือละคร” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”  ในตอนนี้มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ตอน 2 จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า

ครั้งที่แล้วเราย้ำกันในเรื่องพื้นฐานของความเชื่อ ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า ก็คือรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองและควบคุมอยู่ในทุกสิ่งสารพัด และทรงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ควบคุมเป็นผู้กำกับ  คือโดยตัวมนุษย์เองแล้ว ไม่มีใครเก่งสักคนหนึ่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ ไม่เคยมีใครทำอัศจรรย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ดาวิดชนะโกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาชาวอิสราเอลอพยพ หรือแม้กระทั่งเรื่องของดาเนียลและพรรคพวกกินแค่ผักกับน้ำ ก็มีพลังกำลังดี สติปัญญาดีกว่านักปราชญ์คนอื่นๆ ถึง 10 เท่า

ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้การกำกับการแสดง การควบคุมของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสามารถสร้างวีรบุรุษขึ้นมาแต่ละคนๆ บนโลกนี้เสมอๆ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า เรียกกันว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เคยได้ยินใช่ไหม? ในชีวิตของเราเคยเจอหลายครั้ง ลองคิดให้ดีๆ เราเองก็เคยถูกพระเจ้าสร้างให้เป็นวีรบุรุษ

บางครั้งเราไปหาใครคนหนึ่ง เราไม่รู้เรื่องเลย เผอิญๆ วันนี้ เราจะเดินทางผ่านไปทางนั้นพอดี ก็เลยไปเยี่ยมคนๆ นี้ พอเข้าไปเยี่ยม เขาบอกว่า …

“พระเจ้า ผมกำลังอธิษฐาน คุณมาหาพอดี มีกำลังใจมากเลย”

เราบอกว่า “เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย  ไม่ได้ตั้งใจมาหาคุณด้วย เผอิญผ่านมา”

ไม่มีเผอิญ พระเจ้าควบคุมชีวิตอยู่ สร้างเราให้เราได้รับเกียรติ มีเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง มีเด็กตกน้ำ และชายคนหนึ่งโดดลงไป ช่วยเด็กขึ้นมา ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ นักข่าวไปสัมภาษณ์ชายคนนี้ใหญ่เลย นึกอย่างไรจึงโดดลงไป สามารถช่วยชีวิตเด็กได้ อย่างอัศจรรย์เลย ชายคนนี้บอกไม่รู้ใครผลักผมลงไป ผมไม่ได้ตั้งใจลงไปเลย อันนี้สมมติ ผู้ชายคนนี้เป็นฮีโร่ไปแล้ว หลายครั้งมันจะเป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าของเราอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

เราก็เลยมีคำเปรียบเทียบว่าโลกนี้ เปรียบเหมือนเวทีโรงละครโรงใหญ่ ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็นนักแสดง เป็นดารา ใครที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นดารา มันเป็นแล้ว ไม่รู้ตัวเอง เกิดมาก็เป็นแล้ว เข้ามาสู่เวทีโลกใบนี้แล้ว บางคนก็เป็นฮีโร่ พระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย บางคนก็ได้รับบทเด่น บางคนก็เป็นเพียงแค่ตัวสำรองเล็กๆ ไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญในเวทีโลกเลย แต่ทั้งหมดนี้ บทบาทการแสดงทุกคน ถูกกำกับโดยผู้กำกับละครที่มีชื่อว่าพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน เมื่อเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อตรงนี้ก่อน เหมือนที่เราเรียนรู้กันในพระคัมภีร์ฮีบรู บทที่ 11 ท่านมีความเชื่อ ท่านต้องเชื่อตรงนี้ก่อนว่าสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่เรามองเห็นนั้น เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น  สิ่งที่มองไม่เห็น คือพระเจ้า ก็เลยมีหลายคนอยากจะฟังเพลงนี้ สมัยก่อน เป็นเพลงที่ดังมาก ที่เกี่ยวกับโลกนี้ คือละคร เนื้อเพลงเป็นอย่างนี้

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน        เปรียบเหมือนละคร

                        ถึงบทเมื่อตอน เร้าใจ           บทบาทลีลาแตกต่างกันไป

                        ถึงสูงเพียงใด                        ต่างจบลงไปเหมือนกัน

                        โลกนี้คือละคร                      บทบาทบางตอน

                        ชีวิตยอกย้อน  ยับเยิน          ชีวิตบางคน  รุ่งเรืองจำเริญ

                        แสนเพลิน เหมือนเดินอยู่บนหนทางวิมาน

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูเศร้าใจ ชั่วชีวิตวัย

                        หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน

                        เปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ

                        ครั้นแล้วไม่นาน       ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ

ฟังแล้วมันเศร้านะ แต่พอเรารู้จักพระเยซู ไม่เศร้าเลย นี่ตอนจบบอกว่าเปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ ผมเห็นเลยเด็กๆ เพิ่งคลอดออกมา มีทั้งคนเอาของมาให้ จัดงาน โกนจุก เสร็จแล้วเด็กคนนี้ ในที่สุด ก็แก่หง่อม โรคภัยไข้เจ็บมา แล้วตาย ถ้าไม่รู้จักพระเยซู ก็ไม่รู้จะไปไหน แต่รู้จักพระเยซู สบายใจแล้ว มีความหวังแน่นอน นี่แค่เริ่มต้นชีวิตเรา บนโลกใบนี้ เราจะอยู่ 80 ปี 100 ปี เรากำลังมีชีวิตใหม่ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เห็นไหมว่ามีความหวัง แต่ถ้าไม่มีฟังแล้วมันเศร้ามากเลย พระคัมภีร์จะบอกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด เพียงแต่ไม่ใช้คำนี้ คือโลกคือละคร บอกเพียงแต่ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงกำกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่ในการดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น

เราบอกว่าโลกนี้ คือละคร ก็คือพระเจ้าเป็นผู้กำกับ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ดูแลโลกใบนี้อยู่ ความหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ตาม เราต้องยึดมั่นและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่าง ซึ่งถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุม หรือการกำกับของพระเจ้าได้ เหมือนนักแสดงเชื่อฟังผู้กำกับ ทำตามบท เราก็จะสามารถวางใจในพระเจ้าได้ทุกสถานการณ์ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์ลำบากมากนัก เต็มไปด้วยสันติสุข

และตัวอย่างนักแสดงที่ดีของละครเวทีใหญ่แห่งนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ในครั้งนี้ ก็คือดาเนียลเมื่อ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด นับจากนี้ย้อนกลับไป ก็คือ 2,600 ปี ดาเนียลก็เป็นนักแสดงที่ดี ที่ยอมแสดงในบทบาท ด้วยความอดทน บากบั่น ไม่มีการบ่นว่าผู้กำกับ เมื่อต้องแสดงบทที่ไม่ถูกใจ แสดงบทที่ลำบาก ทุกข์ยาก ไม่เคยย่อท้อ เวลาเจอบทยากๆ ก็ไม่บ่น ไม่ว่าใครทั้งสิ้น อดทน เชื่อมั่นในผู้กำกับของเขา

ดาเนียลกับเราเหมือนกันเลย อยู่บนโลกใบนี้ แบบโลกนี้ คือละคร รู้จักพระเจ้าเหมือนกัน แต่เราได้เปรียบกว่าเยอะมาก

ครั้งที่แล้ว เราทิ้งท้ายกันไว้ที่หลังจากที่ดาเนียลกับเพื่อน ได้รับการคัดเลือก และถูกส่งไปเรียนวิชาเวทมนต์คาถา และวิชาการต่างๆ ของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ๆ วันหนึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็เกิดฝันประหลาดขึ้นมา แล้วเรียกให้เหล่านักปราชญ์ โหราจารย์ คนที่ฉลาดที่สุดในประเทศ มารวมกัน เพื่อมาช่วยแก้ความฝัน และแทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง แล้วให้พวกโหรหรือว่านักปราชญ์ต่างๆ เหล่านั้น ทำนาย หรือบอก หรือแปลความฝันให้ ตามที่เคยทำมา ทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้ ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟังว่าตัวเองฝันว่าอะไร? แต่บอกว่าให้พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านี้ทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทำได้ ได้รางวัล ถ้าทำไม่ได้ เอาตัวไปประหารชีวิต

สรุปว่าพวกนักปราชญ์ โหราจารย์เหล่านั้น ที่ถูกตามมาเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทำนายฝัน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยกษัตริย์ตรงนี้ได้ แม้ว่ากษัตริย์บอกว่าทำไม่ได้ จะถูกฆ่า การข่มขู่ตรงนั้น ไม่ได้ช่วยให้เขาฉลาดขึ้น  ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน?

โหราจารย์และนักปราชญ์เหล่านั้น ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์ที่จะทำได้”

วิสัยมนุษย์ ก็คือต่อให้มนุษย์เก่งเท่าไร? ก็ทำไม่ได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้า ก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ เทพเจ้าของเขา หมายถึงเทพเจ้า รูปเคารพ ที่เต็มไปหมดของเขาเท่านั้น ที่สามารถทำตรงนี้ได้ และพระเจ้าไม่ได้อยู่กับมนุษย์ หมายถึงว่าพระเจ้าไม่ได้มาติดต่อกับมนุษย์ ไม่ได้มาคุยกับมนุษย์อย่างนี้ ความรู้สึกของเขากับพระเจ้าเยอะแยะเหล่านั้น ที่ไม่ใช่พระเจ้า พระเยโฮวาห์ของอิสราเอลในสมัยนั้น ก็คืออยู่ไกลเหลือเกิน ไกลกันมาก ติดต่อกับไม่ได้ ได้แต่ขอ … ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าของเขาไม่สามารถพูดได้ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ พูดไปก็ไม่ได้ยิน อะไรอย่างนี้

พอพวกโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็โกรธมาก ในที่สุด เรียกให้นำนักปราชญ์ ผู้เฉลียวฉลาดเหล่านั้นทั้งหมด ไปประหารชีวิตเสีย รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อน เพราะไปเป็นนักปราชญ์กับเขาด้วย เห็นไหมว่าพระเจ้าวางแผนอะไรบางอย่าง สร้างวีรบุรุษอีกแล้ว ยังหนุ่มๆ อยู่เลย ก็รวมไปกับนักปราชญ์ ตอนที่โดนสั่งประหารชีวิต ดาเนียลกับเพื่อนไม่ได้อยู่ในวังนะ เขาเรียกแต่นักปราชญ์เก่งๆ ไป ดาเนียลเป็นพวกที่ยังเด็กอยู่ ยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่ได้เข้าไปอยู่ในนั้น อยู่ข้างนอก  เรามาดูว่าเกิดอะไรต่อไป ดาเนียล 2:12-16

ดาเนียล 2:12-16 “12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน 15 ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา เพื่อจะทูลความหมายของความฝันให้ทรงทราบ”

 

ตอนที่ทหารมาจับดาเนียลไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ขอไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เพื่อขอเวลา เพราะเขาเพิ่งรู้ ให้เขาได้มีโอกาสที่จะได้ตอบความฝัน  ดาเนียลกล้าดีอย่างไรไปบอกว่า …

“ขอไปคุยกับกษัตริย์หน่อย ขอเวลาหน่อย ฉันจะเป็นคนทำเอง”

แสดงว่าดาเนียลมั่นใจในพระเจ้าของเขามาก นอกจากมั่นใจแล้ว คงไม่มีทางอื่น ไม่อย่างนั้น ก็ถูกตัดคอ เพราะฉะนั้น ใจดีสู้เสือ เข้าไปพูด ขอเวลานิดหนึ่ง ดาเนียล 2:17-18

ดาเนียล 2:17-18 “17 จากนั้น ดาเนียลกลับไปบ้าน และเล่าเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอลกับอาซาริยาห์ ผู้เป็นเพื่อนฟัง 18 แล้วเร่งเร้าให้พวกเขาอธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะทรงกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้ด้วย เพื่อดาเนียลกับเพื่อนๆ จะไม่ถูกประหาร ไปพร้อมกับปราชญ์คนอื่นๆ ในบาบิโลน”

 

ดาเนียลรู้ตัวว่าลำพังตัวเขาเอง ก็เหมือนนักปราชญ์คนอื่น ทำไม่ได้หรอก แต่เขารู้ว่ามีผู้ที่สามารถทำได้แน่นอน และผู้นั้น ก็คือผู้กำกับใหญ่ เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด ดาเนียลกลับไปเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง แล้วบอกให้ทุกคน ช่วยกันอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เห็นไหม? ขณะที่นักปราชญ์คนอื่นๆ โหราจารย์คนอื่นๆ เป็นอาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าพระเจ้าของเขานั้น เป็นใบ้ หูไม่ได้ยิน ไม่ได้ติดต่ออยู่ท่ามกลางมนุษย์ คือติดต่อกันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน พอมาถึงดาเนียล … ดาเนียลบอก …

“เดี๋ยวๆ ไปคุยกับพระเจ้าก่อน”

อธิษฐาน ก็คือไปติดต่อ ไปพูดคุยกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านั่นเอง ต่างกันอย่างไร? สังเกตตรงข้อ 18 ที่บอกว่า …

“ดาเนียลเร่งเร้าให้เพื่อนๆ อธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้”

เร่งรัด ก็คือมีเวลาน้อย ขณะเดียวกัน ตื่นเต้น วิตกและกังวล ก็เหมือนเราทั้งหลายนั่นแหละ เจอปัญหา ก็ต้องวิตกกังวลธรรมดา แต่ก็ยังเชื่อว่าพระเจ้ายังช่วยเราได้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ

คำว่า “เรื่องล้ำลึก” ตรงนี้ หมายถึงเรื่องที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถหยั่งรู้ได้  ด้วยปรัชญาแห่งเหตุผลของมนุษย์ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “ลอจิก” ไม่สามารถใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ สติปัญญาแบบเหตุและผล ไม่สามารถที่จะล่วงรู้สิ่งนี้ได้เลย ต่อให้เรียนวิชาความรู้สูงแค่ไหน? ต่อให้เก่งแค่ไหน? ฉลาด ปราดเปรี่ยงแค่ไหน?  ต่อให้มี IQ สูงแค่ไหน? ก็ไม่มีทางหยั่งรู้เรื่องล้ำลึกนี้ได้ มันแปลว่าอย่างนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องวิชาความรู้บนโลกใบนี้  ไม่ใช่เรื่องที่จะมาสอนกันแบบวิชาความรู้ที่สอนกันได้บนโลกใบนี้ ที่ใช้ตรรกะ ความคิดของมนุษย์ ที่จะทำได้ มันไม่สามารถฝึกฝนได้ แม้พระเจ้าจะประทานสติปัญญาให้ก็ตาม คนนั้นก็ทำไม่ได้

แต่ก่อนนั้น ดาเนียลกับเพื่อนทั้งสาม มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าทรงประทานให้เขามากกว่าคนอื่นๆ ตั้ง 10 เท่า แต่ทำเรื่องนี้ไม่ได้ สติปัญญาที่พระเจ้าให้ ก็ส่วนให้ แต่พอล้ำลึกอย่างนี้ มันเกินสติปัญญาแล้ว ทำไม่ได้ มีพระเจ้าผู้เดียวที่ทำได้

ดาเนียลก็เลยทูลขอ ให้พระเจ้าช่วยสำแดงเรื่องล้ำลึกนี้ ให้ที สำแดงนะครับ ไม่ใช่สอน ไม่ใช่ประทานให้ บอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร? เพราะมันใช้ความคิดไม่ได้แล้ว ต้องใช้พูดเอา บอกเอาเลยว่าเป็นอย่างไร?

แล้วพระเจ้าก็ทรงสำแดงให้กับดาเนียล ในดาเนียล 2:19-23

ดาเนียล 2:19-23 “19 คืนนั้น พระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ แก่ดาเนียลในนิมิต ดาเนียลจึงสรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 20 และกล่าวว่า “สรรเสริญพระนามของพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจเป็นของพระองค์ 21 พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลา และฤดูกาล ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ พระองค์ประทานสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด และประทานความรู้ แก่ผู้ที่ฉลาดหลักแหลม 22 พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้ง และซ่อนเร้นอยู่ ทรงทราบสิ่งที่แฝงอยู่ในความมืด   และความสว่างอยู่กับพระองค์ 23 ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ พระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์ ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบความฝันของกษัตริย์”

 

ท่านทราบไหมว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสำแดง มันเกี่ยวกับชีวิตพวกเราที่นั่งที่นี่ด้วย และเกี่ยวกับพวกเราที่ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ ไปถึงนิรันดร์เลย  ในคืนนั้น ที่ตกใจกลัวมากๆ ดาเนียลคงอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าสำแดงสิ่งนี้ คือเผยความจริง เปิดเผย หรือในภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปิดตาฝ่ายวิญญาณ” ไม่ต้องใช้ความคิดแล้ว เปิดปุ๊บ ก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไรเลย มันอ๋อเลย นี่แหละคือความล้ำลึก ไม่มีทางที่จะเข้าใจ

เวลาปกติ เราเรียนหนังสือ สมมติ 1+2+4 เราก็นั่งคิด  เป็นอย่างนี้ เป็นความล้ำลึกในโลก แต่ฝ่ายวิญญาณไม่ต้องมานั่งคิดอย่างนั้น ถ้าพระเจ้าเปิดปุ๊บ เห็นปั๊บ เปิดปุ๊บ ใช่ เปิดปุ๊บ อ๋อๆ ไม่ต้องมานั่งคิด คิดๆๆๆ แล้วอ๋อ มันจะอ๋อทันที นี่คือข้อสังเกต อะไรที่มาจากพระเจ้า ในเรื่องข้อล้ำลึกเหล่านี้ ในชีวิตของพวกเราทุกวันนี้ มันจะอ๋อ มันจะไม่มีเหตุมีผล มันรู้อยู่ข้างใน

เมื่อพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ให้กับดาเนียลและพรรคพวกอย่างนี้ได้ ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็สามารถให้กับพวกเราได้เช่นเดียวกัน ท่านก็สามารถขออย่างนี้กับพระเจ้า ถ้าท่านไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ขอพระเจ้าอย่างนี้  พระเจ้าก็จะเปิดเผยให้ท่าน อาจจะเป็นนิมิต อาจจะเป็นความรู้ขึ้นมาเฉยๆ ท่านก็จะรู้ว่ามันเป็นอะไร? ดาเนียลอาจจะเข้าไปหาพระเจ้าด้วยความตกใจกลัว ด้วยความวิตกกังวลว่ากษัตริย์ให้ทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ และทุกคนกำลังจะถูกฆ่าตาย และลึกๆ ในใจดาเนียลก็รู้และมั่นใจว่าเบื้องหลังของการตัดสินใจของกษัตริย์ที่ทำอย่างนี้  ซึ่งรู้ว่าไม่มีใครทำได้ ดาเนียลรู้ว่าก็มาจากพระเจ้าเป็นผู้ดลใจเนบูคัดเนสซาร์ทำอย่างนี้แน่ๆ เห็นหรือยัง? เวลาเราเชื่อในผู้กำกับ หรือเชื่อในโลกนี้ คือละคร และเชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เราจะรู้ทันทีว่าสิ่งที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรามองเห็น แต่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น คือนอกจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ยังมีใครบางท่านที่ใหญ่กว่า ที่อยู่ในโลก ที่เรามองไม่เห็น

พอบอกเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ท่านนึกถึงอะไร? เหมือนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า การสำแดงความรู้เรื่องล้ำลึก การสำแดงความรู้เรื่องพระเยซู มันเป็นความล้ำลึกทั้งสิ้น ไม่มีทางเลยที่มนุษย์คนใดจะเข้าใจและเชื่อได้ด้วยเหตุผลของตัวเอง   ด้วยความคิดโลจิกของตัวเอง  ด้วยการเรียนด็อกเตอร์เรื่องพระเยซู จะได้เชื่อพระเยซู ไม่มีทาง เพราะเป็นเรื่องที่เรียกว่าล้ำลึก

ก็คือในเรื่องฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครสามารถทำได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เชื่อยาก

เปาโลจึงบอกว่าต้องทูลขอการสำแดงจากพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เราถึงจะได้รู้เรื่องของพระเยซู เอเฟซัส 1:17 ใช้คำเดียวกันเลย

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น”

 

ให้พระองค์สำแดง ทุกวันนี้พระวิญญาณเป็นผู้สำแดง ความล้ำลึก ที่สติปัญญามนุษย์ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย แต่เราสามารถเข้าใจได้  โดยการสำแดงจากพระเจ้า ให้กับเรา พอสำแดงปุ๊บ เรารู้เลย ไม่ว่าจะเป็นตาสีตาสา ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ไม่ต้องเป็นด็อกเตอร์จบสูงๆ ไม่ต้องเฉลียวฉลาดบนโลกใบนี้  ก็สามารถรู้และเข้าใจได้ เพราะพระเจ้าทรงสำแดง เปิดตาให้เขาเห็น เอเมน

สิ่งที่มนุษย์สามารถหยั่งรู้ได้ ด้วยสติปัญญาของตัวเอง ก็คือใช้สติปัญญา ธรรมดา เราเรียกเขาว่าวิชาการ  เรียกว่าความรู้ อย่าง Google คือแหล่งแห่งวิชาการ ความรู้ แต่ท่านไปถาม Google ได้ไหมว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? จะตอบไม่ได้เลย

ใครที่พระเจ้าสร้างให้เป็นคนที่มีสติปัญญามาก มีสมอง เขาเรียกว่ามีมันสมองเยอะกว่าคนอื่นเขา ก็อาจจะเรียนรู้ได้เร็ว ได้เยอะกว่าคนอื่น เหมือนกับสตีฟ จ๊อบ เหมือนกับไอสไตน์

แต่สำหรับเรื่องล้ำลึก ที่เรากำลังเรียนรู้นี้ มันเกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจ ต้องอาศัยการสำแดงการเปิดเผย เปิดตาฝ่ายวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Reveal มันแปลว่าเปิดความจริงออกมาให้เห็น เปิดเลย ทันที เห็น รู้เลย

ดาเนียลขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม จนมาถึงเราทุกวันนี้ พระเจ้าสัญญาว่าใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ แสวงหาพระองค์ พระองค์จะเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับเขา ใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ จะรู้จักพระองค์ ใครที่แสวงหาพระองค์มากๆ พระองค์จะเปิดเผยสำแดงให้กับเขารู้มากๆ ใครที่ต้องการจากพระองค์ พระองค์จะให้เขาต้องการมากขึ้น บอกอย่างนี้เสมอ ขึ้นอยู่กับคนนั้นจะเข้าไปหาพระองค์ไหม? อธิษฐานกับพระองค์ อยากได้ไหม? อยากได้ไปบอกพระเจ้าเราอยากรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? เดี๋ยวก็รู้มากขึ้น เหมือนท่านมาโบสถ์ตอนนี้ ทุกวันอาทิตย์ คนอื่นเขาอาจจะไปเที่ยว มีธุระส่วนตัว ก็ว่ากันไป แต่ท่านยอมเสียเวลา มาทุกอาทิตย์ๆ

ถามว่าท่านมาเพื่ออะไร?  เรามาเพื่อแสวงหาพระเจ้า เราไม่ได้มาแสวงหาพระพร ตรงนี้แหละ ท่านจะได้รู้มากขึ้น เพราะท่านมาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะเปิดเผยความล้ำลึกนี้ให้กับท่าน เป็นนิมิต เป็นความรู้เกิดขึ้นมา เป็นความฝัน เรียนทุกวันท่านจะรู้มากขึ้นทุกวัน เยอะขึ้นทุกวัน ในเรื่องเกี่ยวกับความล้ำลึกในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยดาเนียล สมัยโมเสส สมัยกษัตริย์ดาวิด สมัยอับราฮัม พระเจ้าที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้กำกับในโลกฝ่ายวิญญาณ กับโลกแห่งความเป็นจริงที่เรามองเห็น  มันไกลกันมาก

การอธิษฐาน ต้องเข้าไปหาพระเจ้าที่บัลลังก์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เหมือนกับต้องเดินทางไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เสร็จแล้ว ค่อยกลับมาบนโลกใบนี้ ทำอะไรบางอย่างต่อไป มันห่างไกลกันมาก ดาเนียลต้องไปอธิษฐาน สมมติบัลลังก์ของพระเจ้า ต้องลงจากบัลลังก์พระเจ้า มาสู่โลกใบนี้ ไปที่ท้องพระโรง ไปคุยกับกษัตริย์ว่าเขาได้อะไรมา แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ได้เป็นอย่างนี้  ตั้งใจฟังให้ดีนะ เรานั่งอยู่ที่นี่ ในสมัยที่พระเยซูได้มาบังเกิดแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระมนุษย์ให้พ้นจากความบาปผิดทั้งหลายแล้ว นำมนุษย์กลับ คืนสู่พระเจ้า เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอาบาปทั้งหลายออกไปจากมนุษย์หมดแล้ว ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า สามารถเป็นที่สถิตของพระเจ้าได้แล้ว

ตอนนี้ คือตอนที่ใครก็ตามที่เชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเจ้านั่นเอง จะมาสถิตอยู่ ต่างกว่าเมื่อตะกี้นี้เยอะ ต่างกว่าตอนที่ดาเนียลต้องไปอธิษฐาน ขึ้นไปที่บัลลังก์ของพระเจ้า กับตอนนี้พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเขาที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าลงมาอยู่กับเขา อยู่กับมนุษย์ สวรรค์ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พระเยซูบอกใช่ไหม? ตอนที่พระเยซู เริ่มประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระองค์บอกว่าสวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมาแล้ว อีกไม่กี่ปี พระองค์ก็จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละ สวรรค์กำลังมาแล้ว สวรรค์อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะมาสถิตอยู่กับเรา

พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็คือพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือพระเจ้ามาอยู่กับเรา พระเจ้าก็จะเปิดเผย เปิดตาฝ่ายวิญญาณ สำแดงความจริงอันล้ำลึก ที่เราบอกล้ำลึกๆ ที่คนไม่เข้าใจ เราเองก็ไม่เข้าใจ นักปราชญ์ก็ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระวิญญาณนี้ จะสำแดงเปิดเผยความล้ำลึกนี้ให้กับเรา ความล้ำลึกของโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น  พระเยซูเป็นใคร? ทำไมต้องตายที่ไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนมีฤทธิ์เดชอำนาจ หมายความว่าอย่างไร? เราได้รับความรอดแล้ว หมายความว่าอย่างไร? เราได้รับชีวิตใหม่ หมายความว่าอย่างไร? เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล หมายความว่าอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้  ใช้ภาษามนุษย์ ใช้สติปัญญามนุษย์เรียนให้ตาย ก็ไม่เข้าใจ แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู เรา อ๋อๆๆ แล้วอธิบายให้เพื่อนฟังได้ไหม? ไม่ได้ มัน อ๋อ อยู่ข้างใน เราได้แต่บอกหนทาง

“ถ้าเธออยากเข้าใจ เธอต้องไปหาพระเยซู”

พระเยซูเป็นคำตอบของทุกๆ สิ่ง ปัญหาที่ท่านอยากรู้ว่ามันแปลว่าอะไร? ถ้าท่านมาถามผม  ผมไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย นอกจากจะบอกทางให้ท่านไปหา คือทางพระเยซูเท่านั้น  ฉันไม่สามารถช่วยอะไรเลย ศิษยาภิบาลก็ช่วยไม่ได้ มีผู้เดียวที่ช่วยได้ คือพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณท่าน ท่านไม่ต้องขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว สวรรค์ลงมาอยู่ที่นี่แล้ว รอบตัวท่าน ท่านเปิดใจปุ๊บ สวรรค์ก็เข้ามาทันที แต่ถ้าท่านปิดอยู่ สวรรค์ลงมา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็เข้าไม่ได้ สวรรค์เหมือนอะไร? ถ้าในยุคปัจจุบัน สวรรค์ก็เหมือนสัญญาณไวไฟ เคยไปร้านอาหารไหม? เดี๋ยวนี้แทบทุกร้านเลย เขาจะเขียนว่า …

“ที่นี่บริการสัญญาณไวไฟฟรี”

ฟรีนะ ไม่เสียตังค์ แต่คุณต้องทำอะไร?

  1. ต้องเชื่อก่อนว่ามันมีสัญญาณไวไฟจริงๆ
  2. คุณต้องบอกว่า “ฉันจะใช้” แล้วคุณก็กดโค๊ดลงไป

คุณต้องแสดงความจำนงว่าคุณจะใช้ มันมีอยู่นั่นแหละ แต่ก็เหมือนไม่มี แต่ถ้าคุณจะใช้เมื่อไร? ไปขอโค๊ดเขา เปิด กด มีทันที ในทำนองเดียวกัน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณจะเปิด โค๊ดก็คือเยซู กดสัญญาณเปิด คราวนี้ท่านก็เพลินในการเล่นไลน์แล้ว ไลน์กับใคร? ใช้วิญญาณเลย คุยกับพระเจ้า คุยกับพระวิญญาณ เราเรียกกันว่าอธิษฐาน  ถ้าเราไลน์กันเอง เราเรียกว่าเม้าส์

พระวิญญาณจะสำแดงความจริงให้กับเราได้รู้ เพราะว่าทุกวันนี้พระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว และรอคอยที่จะเปิดเผยเรื่องราวความจริงให้กับเรารู้มากขึ้นทุกวันๆ ขอให้เราสนใจพระองค์หน่อย เข้าไปหาพระองค์หน่อย อธิษฐานบอกพระองค์หน่อย แล้วก็คอยสังเกตให้ดีๆ เดี๋ยวก็รู้เรื่องมากขึ้นทุกที แล้วพระองค์ก็ยังทรงทำงานอยู่ทุกวันนี้ตลอดไป ตามที่พระคัมภีร์นี้ได้บอกไว้ ทำเหมือนที่ทำให้กับดาเนียล 1 โครินธ์ 2:6-11 บันทึกอย่างนี้

1 โครินธ์ 2:6-11 “6 อย่างไรก็ดี พวกเรากล่าวถ้อยคำแห่งสติปัญญากับบรรดาผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่สติปัญญาของยุคนี้ หรือสติปัญญาของผู้ครอบครองของยุคนี้ ผู้ซึ่งกำลังจะเสื่อมสูญไป 7 แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า พระปัญญาซึ่งทรงปิดบัง และซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้  เพื่อศักดิ์ศรีของเรา ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลก 8 ไม่มีผู้ครอบครองคนใดของยุคนี้ ที่เข้าใจพระปัญญา  เพราะหากเข้าใจ ย่อมจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ไว้ที่ไม้กางเขน 9 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่เคยมีใครได้เห็น ไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้ สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ 10 แต่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นแก่เรา โดยพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณทรงสืบทราบทุกสิ่ง แม้แต่สิ่งล้ำลึกของพระเจ้า 11 ความคิดของมนุษย์ ใครไหนเล่าจะรู้ เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหยั่งรู้ พระดำริของพระเจ้าได้ นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า”

 

นี่คือชีวิตเราทุกคนที่นี่  ที่เราเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็แบบนี้เลย แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า เรื่องข่าวประเสริฐ เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า

มันเป็นความล้ำลึก ลึกซึ้งมาก ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระปัญญาซึ่งทรงปิดบังไว้ และซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เป็นศักดิ์ศรีของพวกเรา คือเป็นประโยชน์สำหรับเราทุกคน ให้เราได้กลับไปหาพระเจ้าอย่างอัศจรรย์

ในนี้บอกว่าไม่มีผู้ครองคนใดในยุคนี้เข้าใจพระปัญญา เพราะถ้าเข้าใจจะไม่ตรึงพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ถ้าเผื่อฟาริสีที่จับพระเยซูไปตรึงสมัยนั้น รู้เรื่องนี้ เขาไม่จับหรอก แต่เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องล้ำลึกนี้ว่าพระเยซูคือใคร? พระเจ้ามาเกิดบนโลกใบนี้ได้อย่างไร? พระเจ้ามาเดินท่ามกลางเราได้อย่างไร?  มันรับไม่ได้ อยู่ดีๆ มาบอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า รับไม่ได้ เอาไปประหารชีวิตเสีย เขาคิดอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าคนนี้เป็นพระเจ้า ต่อให้เขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะว่าถ้าเห็นอัศจรรย์ แล้วก็เชื่อ ก็คือความคิดของเขา มนุษย์เข้าใจไง ยังมีเหตุผลว่านี่ทำอัศจรรย์ เพราะถ้าทำอัศจรรย์ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น นี่มันเกินกว่านั้น ต่อให้เห็นพระเยซูชุบให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะสิ่งนี้ไม่สามารถที่จะใช้เหตุผลบนโลกใบนี้ แล้วทำให้เกิดความเชื่อได้ ต้องมาจากพระเจ้าเป็นผู้เปิดเผยให้

ต้องจำตรงนี้ไว้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไปทะเลาะกับชาวบ้านเขาทั้งหมด เพื่ออยากให้เขารู้ๆ เหมือนอย่างที่เรารู้ ทั้งๆ ที่เรารู้ก็มาจากพระเจ้า ไม่มีใครมาสอนเราเลย ผมเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็จะฟังผมสอน ท่านอาจจะคล้อยตาม แต่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ท่านไม่อ๋อหรอก ท่านก็ฟังไปอย่างนั้น จนกว่าท่านกลับไปบ้าน วันหนึ่งตื่นนอนมา อยู่ดีๆ ท่านก็เชื่อเรื่องนี้แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแหละ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ผมสอนแล้วท่านเข้าใจ เพียงแต่ได้รับรู้ว่ามันมีเรื่องนี้อยู่ แต่ท่านยังไม่ถูกชักจูงให้เป็นไปตาม ตัดสินใจว่า …

“ฉันเชื่อเรื่องนี้จริง”

ยังๆ ยังไม่ใช่ ณ วันนี้ก็เหมือนกัน ที่ผมพูดไป ท่านอาจจะฟัง บางคนเชื่อแล้วก็มี ได้แล้วก็มี แต่บางคนก็ฟังไว้ก่อน ถ้าท่านไม่หยุดแสวงหาพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยย่อยให้ ย่อยในวิญญาณ เช้าไปเย็นมา อาจจะผ่านไปปี 2 ปี 3 ปี 10 ปี อ๋อเข้าใจแล้ว จำไม่ได้ว่าใครสอน แต่ประติดประต่อตรงนั้นตรงนี้หน่อย อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะครับ

เราเป็นใคร? นี่ปิดบังไว้ทั้งหมด ไม่มีใครรู้ แต่เปิดเผยให้กับเรา เป็นใครก็ไม่รู้เลย สติปัญญาเท่าดาเนียลก็ไม่มี โนเนม แล้วเปิดเผยให้เรารู้เรื่องราวเหล่านี้  รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร?  ท่านคิดดู  ท่านเก่งขนาดไหน?  ขนาดด็อกเตอร์ หรือฉลาดขนาดไหน? เขายังไม่รู้เลยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เป็นใคร? ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งมาจากไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดผลได้อย่างไร? แต่เรารู้หมดแล้ว นี่แหละคือความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้เปิดเผยให้เรารู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เอเมน

ผมจะเล่าคำพยานให้ท่านฟัง นี่ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาเนียล ทุกท่านก็เป็นอย่างนี้ ผมก็เป็นอย่างนี้ ดาเนียลเกิดเมื่อ 2,600 ปีก่อน คืนวันนั้นดาเนียลได้รับการสำแดงจากพระเจ้าเป็นนิมิต คืนวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 ประมาณ 28 ปีมาแล้ว พระเจ้าก็สำแดงให้กับผมเหมือนกัน ในห้องสวดมนต์ ในห้องทำสมาธิ มีคนคุยเรื่องพระเจ้ากับผมไม่รู้ตั้งกี่ปี เป็น 10 ล่ะมั้ง ผมก็ใช้เหตุผลของมนุษย์เถียงเขา จนเขาแพ้หมดแล้ว ต้องแพ้อยู่แล้วล่ะ พอเรามารู้ความจริง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ด้อยที่สุดเลย ไม่มีเหตุผลที่สุด จึงเป็นเรื่องลี้ลับ เป็นเรื่องเร้นลับ เขาก็เล่าให้ผมฟังมาตั้งนานแล้ว แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ก็เถียงเขาไปตามประสามนุษย์ เราก็ว่าไปตามเหตุและผล เถียงสู้เราไม่ได้เลย แต่ ณ วันที่ผมกำลังเดือดร้อนใจ อยากจะรู้ว่าที่เขาพูดมันก็น่าสนใจ แต่เราไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่าให้ผมไปหาพระเจ้า เขาคงเหนื่อยและขี้เกียจเล่าให้ผมฟัง เลยไล่ไปหาพระเจ้าเองแล้วกัน  แต่เขาไม่พูดอย่างนี้นะ ในใจมันยากมาก

เขาบอกว่า “คุณนครก็ไปหาพระเยซูสิ ไปบอกกับพระองค์เอง อยากจะรู้อะไรก็ไป”

ผมก็เข้าไปในคืนวันนั้น ก็คุกเข่าอธิษฐาน บอกว่า “พระเยซูเป็นใคร ผมอยากรู้จัก สำแดงให้ผมรู้หน่อย”

ตอนนั้น ไม่รู้ใช้คำนี้ได้อย่างไร? ผมใช้คำนี้เลย เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  จะบอกว่าอย่างไร?  พระเยซูเป็นใคร? ที่เพื่อนเขาพูด ผมก็ไม่รู้ ผมอยากรู้จัก ไม่ใช่ว่าจะดื้อหรืออะไร? ก็เห็นเขาพูดมันดีๆ ทั้งนั้น อะไรก็ดีหมด อยากได้ของดีๆ นั้น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน? มันไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีจริง เพื่อนเขาบอกว่าให้มาพูดอย่างนี้ ผมก็พูด เหมือนท้าทาย แต่ไม่ได้ท้าทายแบบไม่ดีนะ ผมก็บอกว่าถ้าพระเยซูมีจริง สำแดงให้ผมเห็นที ผมอยากรู้จัก ทุกคืนๆ เพราะว่าผมทำสมาธิทุกคืน ก่อนนอน ผมก็จะพูดคำนี้ พูดๆ พูดประโยคนี้ ผ่านไป 7 วัน คืนวันที่ 7 สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาเนียล เกิดขึ้นกับผมจริงๆ อย่างนี้แหละ ผมจึงรู้ว่าดาเนียลเขาเจออะไร?

เอาให้สั้นๆ อ่านตามพระคัมภีร์ พระเจ้าก็สำแดงให้กับนครได้เข้าใจถึงเรื่องล้ำลึกเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นใคร? โดยพาผมไปเปิดพระคัมภีร์ที่เพื่อนผมเขาให้มา ซึ่งตอนนั้นผมกำลังป่วย ไม่ไหว เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัด ทรมาน ทรกรรม คลานไป แทนที่จะพูดว่าพระเยซูสำแดง พูดไม่ไหว เข้าห้องสมาธิก็ไม่ไหว อยู่บนเตียงนั่นแหละ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? มองไปมีพระคัมภีร์อยู่บนหัวเตียง ก็เลยคลานไปหยิบมา สิ่งเหล่านี้พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม กำกับการแสดงทั้งนั้น ผมก็เลย คลานไป แล้วก็นึกในใจเหมือนเดิม ไม่ได้พูด

“พระเยซู ถ้ามีอยู่จริง สอนผม วันนี้ไม่ได้เข้าไปในนั้น สอนผมในการอ่านพระคัมภีร์ของพระองค์”

แล้วก็สุ่มเปิด พอเปิด การสำแดงเกิดขึ้น ลูกา บทที่ 15 พูดถึงเรื่องบุตรน้อยหลงหาย คือสรุปแล้วให้ผมเห็นนิมิตผ่าน แป๊บเดี๋ยวไม่ถึง 5 นาที ผมรู้ว่าผมเป็นลูกของพระเจ้าที่หลงหายไป ตอนนี้พระเจ้าเจอผมแล้ว ดีใจมาก ในสวรรค์มีการเลี้ยง เฮฮากันหมดเลย มองมาถึงเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ใช่มองมาว่าผมเป็นศิษยาภิบาลไม่ใช่ หมายถึงว่าชีวิตผมสบายแล้ว ผมอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลผม ทุกอย่าง เกิดนิมิตนี้ขึ้นมา อยู่ดีๆ มันรู้ขึ้นมาได้อย่างไรว่าฉันบาป ไม่มีบาปแล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเรา เราเป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไป ตอนนี้กลับมาหาพระเจ้าแล้ว แป๊บเดียวเอง เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่นั่นเอง เห็นไหม? อัศจรรย์ไหม?

นี่แหละ คือการเปิดเผยข้อล้ำลึก ผมจึงรู้ว่าเมื่อเปรียบเทียบ ก่อนคืนวันนั้น ก่อนที่จะสำแดง  ผมเชื่อว่าดาเนียลทรมานมาก เพราะกำลังจะตาย ไม่ใช่ตัวเองตายคนเดียว เพื่อนๆ ตายหมด แล้วยังแถมครูบาอาจารย์ที่รักกัน ถึงแม้เขาไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม เขาตายหมดเลย เดือดร้อน ทั้งวิตกกังวล แล้วทำอย่างไร? อธิษฐาน เหมือนที่ผมอธิษฐาน เสร็จแล้วพระเจ้าก็สำแดงความล้ำลึกให้กับดาเนียลได้เห็น แล้วดาเนียลก็คงจะอย่างนี้นะ ก่อนอธิษฐาน ลองคิดถึงภาพนะ เหมือนกับผมเลย

“พระเจ้าตายแน่ๆ ทำอย่างไรดี ช่วยหน่อยเรื่องนี้”

พระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกแก่ดาเนียล ในความฝัน ในนิมิตนี้ บอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่า … เอาไว้ต่อตอนหน้า … ไม่ถึงหนึ่งนาที ดาเนียลรู้หมดแล้ว ไม่มีตรงไหนบอกลุก คนเรามันดีใจ มันคุกเข่าไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นมาบอก …

“สรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ สรรเสริญพระนามของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ดีงามเหลือเกิน พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงนี้ให้ลูกได้รู้ ลูกรอดตายแล้ว ทุกคนรอดตายแล้ว พระองค์ยอดเยี่ยม”

เมื่อพระเจ้าเปิดเผยให้เราได้รู้ ช่วยให้เราได้รอดอะไรบางอย่าง เราจะตื่นเต้นมากกับความรู้นั้น คืนวันนั้นผมก็เป็นอย่างนี้แหละ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้ายิ่งใหญ่ ก็สรรเสริญพระเจ้าอย่างนี้แหละ

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้ายอดเยี่ยม ทรงประทานสิ่งต่างๆ ให้กับลูก”

ลองอ่านต่อไปอีก

“พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลา และฤดูกาล”

เห็นไหม? พอมันเข้าใจปุ๊บ

“พระองค์ยิ่งใหญ่ ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ พระองค์ทรงเป็นสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด ประทานความรู้แก่ผู้ฉลาดหลักแหลม และพระองค์ทรงเปิดเผย (สำแดง) สิ่งที่ลึกซึ้งและซ่อนเร้นอยู่ให้ทราบ” เข้าใจใช่ไหม?

“ประทานสติปัญญาให้กับลูก เมื่อตอนอดอาหารนั้น ตอนกินผักกับน้ำ  ตอนนี้สำแดงความล้ำลึกนี้ให้กับลูก พระองค์ทรงรู้จักหมดในความมืดนั้น ความสว่างพระองค์ก็อยู่ที่นั่น”

ผมจะให้ท่านเห็นว่าความรู้สึกดาเนียลเป็นอย่างไรตอนนั้น เราทั้งหลายมีโอกาสที่จะมีประสบการณ์อย่างนี้ได้ เพราะเราก็คือผู้รับใช้เหมือนดาเนียล แต่เราดีกว่า ตรงที่เราไม่ใช่รู้จักพระเจ้าเฉยๆ แต่พระเจ้าลงมาสถิตกับเรา ดาเนียลเป็นผู้รับใช้ รู้จักพระเจ้า แต่พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ แต่ตอนนี้สวรรค์ลงมาอยู่กับเรา เราเป็นผู้รับใช้เหมือนดาเนียล แต่พระเจ้าอยู่กับเราในร่างกายนี้เลย ง่ายนิดเดียว อยู่บนรถเมล์เราก็อธิษฐานได้ ไม่ต้องกลับไปที่บ้านเลย

ท่านเห็นไหมว่าเราได้เปรียบกว่ามากเท่าไร? แต่พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีใครสามารถเทียบพระองค์ได้ พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นผู้กำกับโรงละครของโลกนี้ทั้งหมด ท่านจะพึ่งใครล่ะ พระองค์เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ควบคุมทุกอย่าง เส้นใหญ่สุดแล้ว

คนไปถามพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ พระเยซูบอกว่าเราควรอธิษฐานอย่างไร? ในมัทธิว 6:9 พระองค์สอนเราอย่างไร? จงอธิษฐานอย่างนี้นะ

“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์”

ก็คือรู้เลยนะว่าพระเจ้าเป็นพ่อเรา

“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการบูชา  ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนโลกใบนี้ เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจ”

ตอนจบบอกว่า …

“ราชอาณาจักร พระสิริ  พระเกียรติ ฤทธิ์เดช เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”

พูดง่ายๆ ว่าขึ้นต้นรู้นะว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ที่รักเรายิ่ง หวงแหนเรามากกว่าที่เรารักลูกของเราอีก สุดท้ายก็คือผู้ที่รักเรานี้ เป็นพ่อของเรา รักเราขนาดนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ครอบครอง ควบคุมทุกอย่างแล้ว จะไปกลัวอะไรอีกเล่า ต่อไปนี้มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และรับใช้พระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบให้รู้อย่างนี้ แล้วรับใช้พระเจ้าไปเรื่อยๆ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ น้ำพระทัยของพระองค์จงสำเร็จในชีวิตของเราเถิด เอเมน

 

********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้มีชื่อ “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 2 “โลกนี้ คือละคร” สดุดี 46:10

สดุดี 46:10 “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

 

นี่เป็นประโยคที่พระเจ้าพูด  เราได้คุยกันไปแล้วใช่ไหม? ถ้าพระเจ้าพูดอย่างนี้กับเรา แสดงว่าเรากำลังสับสนวุ่นวาย วิตก กังวล กลัว เราคงไม่นิ่ง ถ้าเราไม่นิ่ง แล้วพระเจ้าจะให้เรานิ่ง พระเจ้าจึงตรัสว่า …

“จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

ผมได้ยิน ผมยังเอเมน น้ำหูน้ำตาไหล

เราได้ย้ำความหมายของคำว่า “จงนิ่งเสีย” ว่าหมายถึงให้เราวางใจในทุกๆ สิ่ง ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา ไม่ใช่บางสิ่ง ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เราเข้าใจ ทุกๆ สิ่ง หมายถึงรวมทั้งสิ่งที่เราไม่เข้าใจด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าต้องเผชิญความทุกข์ยากขนาดไหน? จงวางใจในพระองค์ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง และทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์เสมอ เอเมน

และที่พระคัมภีร์เตือนแล้วเตือนอีกว่าจงนิ่งเสียและรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า สอนแล้วสอนอีกว่าให้วางใจในพระเจ้า จุดมุ่งหมาย ก็คือเพื่อให้เราทุกคนได้พบกับสันติสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขนะ สันติสุขที่แท้จริง ความสงบสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือสามารถมีสันติสุข มีความสงบสุขได้ ในท่ามกลางทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์แห่งความทุกข์ใจ ความเจ็บปวด คงไม่ต้องบอกว่าให้พยายามสงบนิ่ง ในสถานการณ์แห่งความชื่นชมยินดี

และครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต แบบที่เรากำลังพูดถึงนี้ คือแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ ในทุกพื้นที่ชีวิตของเขาจริงๆ เรามาทบทวนนิดหนึ่ง

เรากำลังคุยกันถึงเรื่องดาเนียล ถึงเหตุการณ์ตอนที่เยรูซาเล็มอยู่ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งอาณาจักรบาบิโลน ประมาณ 600 ปีก่อน ที่พระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรบาบิโลน ได้กวาดต้อนชาวยิวเป็นเชลย แล้วตอนที่อยู่บาบิโลน ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เรากำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของโลก ที่ได้บันทึกไว้ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มของคนที่มีหน่วยก้านดี เป็นคนฉลาด สอนได้ ถูกนำไปอบรมความรู้ด้านโหราศาสตร์ ด้านไสยศาสตร์ วิทยาคม อาคม  เพื่อเตรียมตัวให้เขาไปรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการบรรยายครั้งที่แล้ว คือพวกคนหนุ่มเหล่านี้ ให้รับการดูแล เลี้ยงดูอย่างดี อาหารก็ถูกส่งมาจากวัง ซึ่งปกติแล้ว จะไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธอาหารที่สั่ง โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เลย เพราะทุกคนรู้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมมาก ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง แต่ดาเนียลและเพื่อนกล้าที่จะปฏิเสธอาหารจากกษัตริย์ และอาหารที่ส่งมาให้นั้น ตามหลักของชาวยิวแล้ว ถือว่าเป็นอาหารที่มีมลทิน โดยจะขอกินเพียงแค่ไม่ใช่มังสวิรัติ แต่มากกว่านั้น คือกินเฉพาะผักกับน้ำ และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเพียงแค่ผักกับน้ำนี่แหละ จะทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าคนอื่นได้

พระเจ้าก็เริ่มดลบันดาลใจหัวหน้ากรมวัง ให้เกิดมีความโปรดปราน หรือเรียกว่าความชอบพอ พอใจในดาเนียลและเพื่อน ยอมให้ดาเนียลและเพื่อนทำตามที่ขอ คือให้กินแต่ผักและน้ำ ลองดู 10 วัน แล้วผลก็คือหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังของดาเนียล ดูดีกว่าคนหนุ่มอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้

นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามากถึงมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะยืนหยัดมั่นคงในทางของพระเจ้าของเขา และวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะสามารถทรงช่วยเหลือ ช่วยกู้เขาและพรรคพวกได้ ในทุกๆ สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ แบบที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าวางใจในพระเจ้าแบบตายเป็นตาย

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป             แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตายไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตามไป”

ตอนนี้ร้องได้ ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น มาเชื่อพระเจ้า แล้วถูกไล่ออกจากบ้าน มันร้องยากนะ นี่ไม่ได้หมายถึงเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่พูดให้เห็นว่าถึงเวลา ถึงสถานการณ์ที่เราจะต้องร้องเพลงนี้ โดยประสบกับความลำบาก มันยากที่จะร้อง ไม่ได้ร้องง่ายๆ เหมือนตอนนี้ที่ร้องนะ

กลับมาที่บาบิโลน หลายครั้งที่ดาเนียลกับเพื่อนต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนเรื่องเวทมนต์คาถา ท่านลองคิดดูสิ เราเชื่อพระเจ้าสุดๆ เราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าสุดๆ วางใจในพระเจ้าสุดๆ แต่พระเจ้ากำลังนำเรามา เรียนวิชาที่เราไม่อยากเรียนเลย คือวิชาวิทยาคม ไสยศาสตร์ หมอผี โหราศาสตร์ ต้องถูกฝึกให้ยอมรับวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของชาวบาบิโลน  ซึ่งตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า  100% เลย  คุ้นๆ ไหม? เหมือนเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลับไปที่ทำงาน แปลกไปหมดเลย  ให้เราทำอะไรหลายอย่าง ที่มันไม่ตรงตามที่ผู้เชื่อทำ แล้วเราจะทำไหม? คิดไว้ในใจก่อน เรียนไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้ว่าแล้วเราจะทำไหม?  ตอบว่า …

“แล้วแต่พระเจ้า”

ไม่ใช่เรา อย่าไปคิดสิ ฉันไม่ได้คิดอย่างนี้ คนข้างๆ บอก ศิษยาภิบาลก็บอก ไม่ใช่เราไม่เชื่อศิษยาภิบาลนะ แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะตัดสินให้เราทำหรือไม่ทำ คือพระเจ้า เราต้องไปคุยกับพระเจ้า  เหมือนกับดาเนียล โดยบัญญัติ ดาเนียลทำไม่ได้หรอก สิ่งเหล่านี้  อาหารเป็นมลทินยังไม่กินเลย แล้วให้ไปเรียนไสยศาสตร์ จะไปเรียนได้อย่างไร? พระเจ้าอนุญาตให้เรียน เขารู้ เขาก็เลย ยอมหมด ยอมผ่อนตาม เห็นความแตกต่างไหม? ในขณะที่ภายนอก ดูเหมือนเขาจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ในการศึกษาเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้ แต่ภายในนั้น ดาเนียลยังยืนหยัดในความเชื่อ และคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เป็นตัวอย่างของการยืนหยัด ในความเชื่ออย่างมีสติปัญญา และให้พระเจ้าเป็นผู้นำแท้จริง ไม่ใช่เชื่อแบบไร้สติ เชื่อแบบจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ พูดเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระเยซูพูดเรื่อง

“จงฉลาดเท่าทันงู แต่จงรักษาความสงบ เหมือนนกพิราบ”

ให้ท่านไปคิดเอง ผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร?  จงฉลาดให้เท่าทันงู  ก็คือเราต้องเฉลียวฉลาด เพราะงูมันเล่ห์กลเยอะ เล่ห์กลเราต้องเหนือกว่างู เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเล่ห์กล ไม่ใช่ซื่ออย่างเดียวนะ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน ที่ผมพูดเป็นทางบวกทั้งนั้น ไม่ใช่เล่ห์กลในทางลบ ไม่ใช่ดำเนินด้วยความรักๆ อย่างเดียว ยอมทุกอย่าง ซื่อๆ ทื่อๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้ใช้ท่านซื่อๆ ทื่อๆ ตลอดเวลา บางครั้งพระเจ้าก็ใช้คนของพระองค์ คริสเตียนนะ ที่วางแผนเก่งเหมือนกัน เขาเรียกว่ามีกลยุทธอะไรบางอย่างเหมือนกัน แบบคล้ายๆ โลกนี้เขาทำ เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อแผนการพระเจ้าที่กำลังช่วยบรรดาผู้คน ที่เรียกร้องขอความช่วยเหลือ จากพระองค์ ในโลกนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย นี่คือการมีสติ

ก่อนที่จะเข้าเรื่องในวันนี้ ผมจะขอเสริมจากครั้งที่แล้วอีกสักนิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ยังมีหลายคนเข้าใจไม่ถูกต้อง คือเรื่องที่ดาเนียลและเพื่อนๆ กินผักและน้ำ อธิษฐานกับพระเจ้า หลายคนก็เลยเข้าใจว่าเป็นวิธีที่พระคัมภีร์สอนให้ทำ เวลาที่จะอธิษฐาน ทูลขออะไรจากพระเจ้า สำคัญๆ มากๆ ต้องอดอาหารเหลือแต่ผักและน้ำ อย่างน้อย 10 วัน แต่ดาเนียลและเพื่อนไม่ใช่แค่ 10 วันนะ เขากินอย่างนี้ไปอีก 3 ปี แต่หลังจากนี้ยังกินอย่างนี้อีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ได้บันทึกไว้ จริงๆ แล้ว ที่ดาเนียลกับเพื่อนทำนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เฉพาะครั้งนั้น เพียงครั้งเดียวที่พระเจ้าให้ทำ คือทั้งหมดเกิดจากการวางแผนของพระเจ้า  เกิดจากการดลใจของพระเจ้า ดาเนียลเป็นผู้บันทึกเรื่องนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้มอบให้ชาวยิวมาเป็นเชลยในบาบิโลน พระองค์ทั้งสิ้น ดาเนียลรู้หมด

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดลใจให้เกิดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าดลใจให้ดาเนียลมีความกล้า ที่จะขัดคำสั่งกษัตริย์ในครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่ทานอาหารที่ส่งมาให้ ซึ่งอ้างว่าเป็นมลทิน แต่การไปเรียนไสยศาสตร์ เรียนโหราศาสตร์ ก็เป็นมลทินเหมือนกัน แล้วทำไมไม่อ้างว่าไม่เรียน พอจะเห็นหรือยัง? นี่คือสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า และพระเจ้าดลใจให้หัวหน้ากรมวังที่ดูแลอยู่ เห็นใจ และยอมตามที่ดาเนียลขอ ถ้าพระเจ้าไม่ดลใจ กรมวังไม่มีทางยอมแน่ เพราะถ้าเกิดดาเนียลและพวกล้มป่วยลง หรือผอมแห้งแรงน้อย ครบ 10 วัน กรมวังตายก่อน กษัตริย์คงถามว่า …

“ทำไมไม่ให้เขากิน ไปเชื่อเขาทำไม? ทำไมไม่เชื่อฉัน”

ตัดหัวกรมวังก่อนเลย แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสิ่งนี้อีกแล้ว ดลใจให้กรมวังทำสิ่งนี้ ซึ่งเสี่ยงกับชีวิตของเขา เพื่อบางอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้อะไรเลย เห็นไหม? เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ นี่คืออัศจรรย์เหมือนกัน ดาเนียลกับเพื่อน เป็นหนุ่มๆ อายุ 14, 15 ต้องการโปรตีนมาก เพราะกำลังเจริญเติบโต กล้ามเนื้อกำลังจะสร้าง แทนที่จะกินโปรตีน ถั่วก็ไม่ได้กิน โปรตีนมันอยู่ในถั่ว แต่กินผักกับน้ำ 2 อย่างเอง  10 วัน ถ้าใครอายุ 14, 15 ท่านทดลองดู ถ้าท่านกินอย่างนี้ ไม่ต้อง 10 วัน ผมว่า 3 วันก็เห็นผลแล้ว เหี่ยวแห้ง หัวโตแน่ แต่นี่กินไป 10 วัน มีหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังดีกว่าคนอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่เขา 4 คนกินแต่ผักกับน้ำ ไม่ได้บำรุงอะไรเลย  แต่คนอื่นบำรุงเต็มที่เลย นี่คืออัศจรรย์

ที่ผมจะเน้น ก็คือหลายครั้งที่พระเจ้าให้เกิดอัศจรรย์ขึ้นนั้น  เป็นส่วนตัวของคนๆ นั้น เพียงครั้งเดียว หรือเรียกว่าเรื่องเฉพาะ สำหรับเหตุการณ์นั้นๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพื่ออะไรบางอย่าง ที่เป็นพระประสงค์หรือน้ำพระทัย หรือแผนการของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะทำกัน อย่างที่มนุษย์อย่างเราคิด พอเห็นพระเจ้าทำอย่างนั้น อยากได้บ้าง ก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่ ต้องสังเกตดูให้ดีๆ ว่าอย่างนี้เป็นปกติวิสัยที่พระเจ้าสอนเราทำหรือไม่? อย่างความรัก คือการให้ อย่างนี้สิเป็นปกติวิสัย ที่ทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกฝนทุกวัน

ถ้าเราจะดูในอดีต เหมือนกษัตริย์ดาวิด อัศจรรย์ใหญ่ที่สุด ที่เขาเรียกว่าเป็นประกาศนียบัตรของกษัตริย์ดาวิด ทำให้ใครๆ ทั้งโลกรู้จักกษัตริย์ดาวิด ก็คือออกไปสู้กับยักษ์โกไลอัท แล้วชนะ แค่ก้อนหินเพียงก้อนเดียว ก็เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียวของกษัตริย์ดาวิดที่ใหญ่ๆ แบบนั้น ไม่ใช่พระเจ้าประทานกำลังวิเศษให้กับดาวิด ไปที่ไหนก็เอาแค่ก้อนหิน ก้อนเดียว ดาบไม่ต้องใช้ เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียว เพื่อให้แผนการของพระองค์บางอย่าง สำเร็จเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือให้ทุกคนเริ่มสนับสนุน ซึ่งจะมาเป็นผู้นำของอิสราเอลแทนซาอูลในสมัยนั้น  นี่แค่คิดตามมนุษย์ครั้งเดียวเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา เราอ่านดูประวัติ เรื่องของกษัตริย์ดาวิด หนีหัวซุกหัวซุนเลย ไม่กล้าเหมือนตอนสู้กับโกไลอัทเลย เข้าใจไหม?

ตอนของโมเสสก็เหมือนกัน อัศจรรย์ใหญ่ของโมเสส คือพาอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ แหวกทะเลแดง หนีกองทัพอียิปต์ พระเจ้าก็ให้เกิดอัศจรรย์ แค่ครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะให้ไม้เท้ากับโมเสส แล้วจากนี้พาอิสราเอลไป ใช้ไม้เท้าลูกเดียว ใครมาก็เอาไม้เท้าตีหัวตลอด ไม่ใช่

หลังจากที่แหวกทะเลแดง ก็มีข้าวมาจากฟ้า เรียกว่ามานา มีนกคุ่มตกลงมา มีน้ำออกมาจากหิน หลังจากนั้นเป็นปกติ เป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวปศุสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เหมือนคนธรรมดา เห็นไหม? เรื่องพวกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ปกติวิสัยของคน ที่จะมาแหวกทะเลแดงตลอดเวลา ไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่จะมาฆ่าโกไลอัทด้วยก้อนหิน เพียงก้อนเดียวตลอดเวลา

กลับมาเรื่องของดาเนียลต่อ ไม่ใช่คนที่เชื่อพระเจ้าทุกคน ต้องทำแบบนี้ คือพอเจอสถานการณ์เช่นเดียวกันกับดาเนียล ต้องกินผักและกินน้ำอย่างเดียว เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ตอบคำอธิษฐาน ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ก็คือไปหาพระเจ้า แล้วดูสิว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับเรา ในตอนนั้น อย่างไร ซึ่งไม่เหมือนใคร

พระเจ้าเตรียมอัศจรรย์บางอย่างให้กับสถานการณ์บางอย่าง เหมือนคำพูดที่บอกว่า  …

“สถานการณ์สร้างฮีโร่”

พระเจ้าเตรียมเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เพื่อแผนการของพระองค์ เป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องปกติ พระเจ้าต้องการสร้างฮีโร่คนไหน? พระองค์ทรงเตรียมสถานการณ์ชงไว้เรียบร้อยแล้ว คนนี้เข้าไป เป็นฮีโร่ทันที

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเวลาเรารับเกียรติจากพระเจ้า จงถวายคืนแด่พระองค์ อย่าเว่อร์ไปรับ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง จนเกินตัว ไปแย่งพระสิริจากพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าหวงพระสิริของพระองค์ แต่กลัวลูกของพระองค์ลำบาก เพราะทำผิดกฎ ไปเอาตรงนั้นมา แล้วในที่สุด ก็จะล้มพินาศลง ผู้ที่เย่อหยิ่งเขาก็จะล้มและพินาศลง พอเกิดอัศจรรย์ขึ้น เป็นฮีโร่ขึ้นมา จงรู้ว่าที่เป็นฮีโร่นั้น พระเจ้าเป็นผู้ทำ

“พระเจ้าวางแผนให้ฉันเป็นฮีโร่ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ได้เก่งอะไรเลย พระเจ้าวางทั้งสิ้น อย่าให้มนุษย์มายกเรา เก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย ฉันก็เป็นคนธรรมดา พระเจ้าวางทุกอย่างไว้ให้ ใครมาตรงนั้น ก็จะได้ตรงนี้”

พอเข้าใจใช่ไหม? ใครที่พระเจ้าจับวาง เขาเป็นฮีโร่ เขาเห็นภาพเหล่านี้ได้หมดแหละ ไม่ใช่ฉัน ต้องคิดอย่างนี้ เวลาเราได้อะไรดีๆ อย่านึกว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันทำเอง ฉันโน่น ฉันนี่ วันหนึ่งท่านก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ วันนั้นอาจจะสายไป ก็ได้ เพราะฉะนั้น เตือนไว้ก่อน พระคัมภีร์ก็จะเตือนอย่างนี้เสมอ

เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ เพราะนี่คือพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาที่เรากำลังพูดถึง ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในสายตาเราจะดูว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม ถ้าดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเรา เราเป็นฮีโร่ขึ้นมา ได้รับเกียรติขึ้นมา จงรับรู้ว่าไม่มีใครเก่ง เราก็ไม่เก่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ เราก็ไม่ได้วิเศษ พระองค์ชงไว้แล้วว่าถ้าเราวางมือวันนั้น คนป่วยคนนี้ คนที่เป็นง่อยเดินได้ อย่านึกว่าตัวเองมีความเชื่อมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเราอธิษฐานเยอะ เพราะว่าเราอดอาหาร เพราะเรามีความรู้เยอะ เพราะเรามีความเชื่อเยอะกว่า เดี๋ยวก็รู้สึก พระเจ้าจับวางเราไว้ ให้เราเป็นดาวิดในวันนั้น ให้เราเป็นโมเสสในวันนั้น  แล้วเราก็อยากจะเป็นวันนั้นตลอดไป เดี๋ยวเราก็รู้สึก

ไม่ว่าจะเป็นดาวิดตัวเล็กๆ ชนะยักษ์โกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาคนอิสราเอลอพยพ ดาเนียลกินแต่ผักกับน้ำ แล้วมีกำลังที่ดี หน้าตาดี ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้าชงเอาไว้ วางเอาไว้ทุกอย่าง ปั้นคนนี้ให้ดัง คล้ายๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าซ่าส์ๆ พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น เป็นผู้สร้างขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน                  เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ

บทบาทลีลาแตกต่างกันไป             ถึงสูงเพียงใด ต่างจบลงไปเหมือนกัน”

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ มีความสุข บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ถึงสูงเพียงใด จะดีขนาดไหน ยอดเยี่ยมขนาดไหน ต่างจบลงไปเหมือนกัน คือตายเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครเก่งสักคน

ตอนนี้ มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ทำไมผมถึงใช้คำว่าโลกนี้ คือละคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราพูดมา

พูดถึงละครทุกเรื่อง มีเวที มีนักแสดง มีแนวทางของละครว่าจะเป็นอย่างไร? เรื่องจะไปทางทิศไหน? นักแสดงแต่ละคนจะต้องทำอะไรบ้าง? ต้องทำท่าทางอะไรบ้าง? เป็นหน้าที่ของผู้กำกับการแสดง หรือเราเรียกว่าผู้กำกับ สั้นๆ ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเปรียบว่าโลกนี้ คือละครเวทีใหญ่ มนุษย์ทุกคน ที่อยู่บนโลกนี้ ก็คือนักแสดงแต่ละคน ที่มีบทบาทเยอะแยะไปหมด ไม่เหมือนกัน คล้ายๆ กันบ้าง แล้วผู้กำกับการแสดงของเวทีของละครโลกใบนี้  คือพระเจ้า เพราะเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง เรารู้เลย เหมือนนักแสดงทุกคน ที่ต้องเรียน เล่น และรู้บทที่ได้รับมา ที่ผู้กำกับการแสดงบอกมา สั่งมาว่าเธอต้องรับบทนี้

มีนักแสดงคนไหนไหมครับ ที่พอผู้กำกับสั่งให้ร้องไห้เยอะๆ ก็บอกว่าทำไมต้องร้องด้วย  บทนี้น่าจะหัวเราะ แย้งกับผู้กำกับ ผู้กำกับบอกบทนี้ทำหน้าเศร้าหน่อย ฉันจะยิ้ม คนนั้นคงถูกไล่ออก ไล่ออกแล้วทุกข์ใจไหม? ทุกข์ใจ ตกงาน ไม่มีอะไรกิน เหมือนกันแหละ ถ้าเราไม่ยอมรับบทแสดงนั้น เราก็จะทุกข์ บทแสดงของโลกใบนี้ มันมีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับการแสดงบนโลกใบนี้ทั้งหมด

นี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจที่บอกครั้งที่แล้ว แล้วหัวใจของการเชื่อศรัทธานั้น คนนั้น ต้องเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็น มีอะไรบางอย่างที่ควบคุมโลกใบนี้อยู่ ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าไม่เชื่อตรงนี้  ก็เหมือนไม่มีสติปัญญา เพราะนี่คือความจริง ก็เหมือนคนตาบอดเดิน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย โอกาสที่จะเดินตกโน่น ตกนี่ ชนนั่น ชนนี่ ล้มหัวฟาด มีเยอะไหม? เยอะกว่าคนที่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ คอยหลบคอยหลีก นี่ยังไม่ได้พูดถึงพระเจ้า แค่ให้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็นควบคุมสถานการณ์อยู่ แค่นี้เอง ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าคนที่ไม่รู้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ หรือบนเวที โลกนี้นั้น พระเจ้าเป็นผู้กำกับทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุมหรือกำกับของพระเจ้าแบบนี้ได้ คือเชื่อทั้งหมด เชื่อเหมือนนักแสดงที่เชื่อฟังผู้กำกับการแสดง เราก็สามารถวางใจในพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ ทุกแห่งหน พระเจ้าเป็นผู้กำกับโรงละคร โรงใหญ่ทั้งโลกใบนี้ ตัวแสดงทุกตัวบนโลกนี้ ก็ถูกกำกับโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าสามารถดลใจมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ทำดีกับเราก็ได้ ให้ทำไม่ดีกับเราก็ได้ ให้รักเราก็ได้  ดลใจให้เขาเกลียดเราก็ได้ ประทานให้ใครบางคน คอยช่วยเหลือเราก็ได้ หรือให้คอยกลั่นแกล้งเลื่อยขาเราได้ไหม? ได้ พระองค์เป็นผู้กำกับการแสดงทุกคน ทุกคนเลย ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะเข้าใจและยอมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้โดยดี ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ไม่คิดแค้นใคร สามารถอภัยให้ทุกคนได้ เพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นการแสดงของตัวละครที่พระเจ้าได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำจะเป็นผลดีสำหรับเราเสมอ ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขนะ แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหตุการณ์นั้น อาจจะทำให้เราไม่มีความสุข แต่ผลดี สำหรับเรา และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเสมอ เป็นแผนการของพระองค์ แผนการใหญ่ๆ เราเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้น

ท่านนึกถึงแผนการทั้งหมด บนโลกใบนี้ สมมติมีมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ล้านๆๆๆ คน สมมติ เราเป็นเศษเล็กๆ ในแผนการนั้น เราเป็นจิ๊กซอตัวหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ภาพนั้น เท่านั้นเอง แต่เมื่อสิ้นสุดแล้ว พระองค์ก็จะทำจิ๊กซอตัวเล็กๆ นี้ให้ลงตำแหน่งของมันให้ได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง หน้าที่ของเรา ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งบนเวทีใหญ่ คือเชื่อและวางใจในผู้กำกับ ถึงแม้ว่าเราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับเลย รูปของพระเยซู เป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือว่าใครเคยเห็น แม้บางคนบอกเคยเห็นในความฝัน ก็เป็นจินตนาการ ไม่มีใครรู้ พระคัมภีร์ก็บอก ไม่มีใครรู้ เราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับของเราเลย แต่เราก็เชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อ คือการเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น นี่คือสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ไม่ใช่เราเก่ง ถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้กับเรา เราอาจจะไม่ได้เชื่อมั่นคงจริงๆ ว่าบนโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น มีผู้หนึ่งที่ดูเราอยู่ และคุ้มครอง ปกปักษ์เราอยู่ เป็นพ่อของเรา ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้า เมื่อก่อนเราอาจจะไม่รู้ เพียงแค่เขาบอกว่ามีพระเจ้า เราก็เชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ แต่ทุกวันนี้ เราเชื่อจริงๆ ฮีบรู 11:1-3 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดมาก นี่คือสัจจะธรรมของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และความจริงที่พระเจ้าสำแดงให้พวกเราได้เห็น ถ้าคนที่มารู้จักพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็อาจจะรู้ว่าความเชื่อนี้หมายถึงอะไร? แต่ถ้าอ่านแล้ว อาจจะยังพอเข้าใจบ้าง แต่อาจจะไม่รู้เรื่องว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ฮีบรู 11:1-3

ฮีบรู 11:1-3 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับโดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น 3 โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น พอเชื่อปุ๊บ สิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น มันมองเห็นได้ปุ๊บ มันหมายความว่าอย่างนั้น พอมีความเชื่อแบบนี้ขึ้นมา สิ่งที่เราไม่เคยเห็น จับต้องมองไม่เห็น แต่กลายเป็นจับต้องมองเห็น มีอยู่จริงๆ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะความเชื่ออย่างนี้เอง ที่คนสมัยก่อนได้รับการชมเชย โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า … สมัยก่อน ก็คือที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ คือดาเนียล โมเสส ดาวิด สมัยนั้น คนเหล่านี้ เขาเชื่อว่าจักรวาล มีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า เห็นไหม? จักรวาลนี้ คือดวงดาวที่เขาเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ดวงอาทิตย์ อะไรต่างๆ เขามองทุกอย่างเลย พระเจ้าสร้างด้วยความเชื่อแบบนี้ จะเกิดอย่างนี้ขึ้น คือเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าควบคุมทุกอย่างอยู่ คือเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นนั้น เกิดขึ้นโดยพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ อะไรต่างๆ ที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา คือสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น จากโลกวิญญาณนั้นเอง เอเมน แค่นี้ก็เป็นสติปัญญาอันยิ่งใหญ่แล้วนะ พูดแค่ 2-3 ประโยคแค่นี้เอง ล้ำลึกมากเลย ใครที่มีความเชื่ออย่างนี้ ไปรอดแล้ว เพราะเขารู้ความจริง พอรู้ความจริง ตาสว่าง ก็อ๋อ! รู้ความจริง ก็ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้ ถ้าคนที่ไม่รู้ความจริงว่าโลกใบนี้ ที่กำลังเกิดอะไรขึ้น มีบางอย่าง ที่บนโลกที่เรามองไม่เห็น ควบคุมทุกอย่างอยู่ แล้วมันเป็นจริงตามนั้น แล้วเขาไม่รู้ ท่านคิดดู ทำอะไรก็ผิดหมดเลย แต่สำหรับเราที่รู้ ทำอะไร ก็ถูกหมด เพราะเรารู้จักข้างบนแล้ว เอเมน ชัดไหม?

ผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ต้องเชื่อตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม พระเจ้าทรงพระชนมอยู่ และพระเจ้าทรงกำกับการแสดงเวที โรงละครโรงใหญ่ คือโลกใบนี้ทั้งหมด เอเมน ต้องเป็นอย่างนั้น ดาเนียลก็เป็นอย่างนั้น โมเสสก็เป็นอย่างนั้น ดาวิดและคนอื่นๆ มีมากหลาย ก็เป็นอย่างนั้น

ทุกวันนี้ ที่เราอยู่ในบ้านเมืองนี้ ในประเทศไทย เหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นใช่ไหม? หลายอย่างเราคิด อันนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ อันนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ ลุ้นกันใหญ่นะครับ ถามว่าเราเคยเอะอะโวยวายไหม? ที่มันไม่เป็นไปตามที่เราคิด บางครั้งเราหงุดหงิดนิดหน่อย บางครั้งเราหงุดหงิดมาก บางครั้งเราฟังข่าวเขาประกาศออกมา มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ดีต่อประเทศชาติ เราก็คิดของเราไปเรื่อย ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์ บางครั้งที่เราหงุดหงิดนั้น มันใช่จริงๆ มันไม่ดีจริงๆ ถูกไหม?  เราเคยบ่นว่าไหม? มันไม่ดีจริงๆ ทำไมทำอย่างนี้นะ เคยหรือไม่เคย?  เคย เราเคยสงบนิ่งไหม? เมื่อเขาพูดถึงบ้านเมือง แล้วเราไม่ชอบ เรารู้ว่ามันไม่ดีจริงๆ ด้วย เราเคยสงบนิ่งไหม? มันเกิดอะไรไม่ดี พระเจ้าควบคุมอยู่ ก่อนที่จะบ่น เราบอก พระเจ้าควบคุมอยู่ พระเจ้าดูแลอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับทุกอย่าง พระเจ้ามองเห็น พระองค์ทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราเคยพูด ละไว้ในฐานที่เข้าใจไหม? ไปคิดดู แล้วเอาตามที่เราสบายใจก็แล้วกัน เราคิดอยากจะทำอย่างไรก็เชิญเลย พระเจ้าควบคุมอยู่นะ อยากจะบ่น ก็บ่น พระเจ้าฟังคำบ่นของท่าน แล้วอ้าว! เปลี่ยนแผน ไปคิดดูแล้วกัน

นี่เป็นประสบการณ์จริงของพวกเราเองเลย แล้วเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองมันชัด เขาบอกว่าห้ามคุยกันเรื่องศาสนากับเรื่องบ้านเมือง เดี๋ยวตีกันตาย อย่าว่าแต่วงเพื่อนเลย ขนาดวงครอบครัวยังแตกแยกกัน เพราะคุยกันเรื่องนี้ เพราะเขาไม่รู้มี หรือรู้ว่ามี แต่ละเลยไม่สนใจเพิกเฉยต่อความเป็นจริงว่ามีผู้กำกับการแสดงอยู่ข้างบน ถ้าเขารู้อย่างนั้น เขาก็คงไม่ทะเลาะกัน เขาคงไม่ใช้อารมณ์และความคิดของตนเองว่า …

“ฉันยอด ฉันเยี่ยม ฉันดี” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

แม้ว่าตามเหตุผลเราถูกต้องด้วยซ้ำ หรือตามเหตุผลบางกลุ่มจะถูกต้องด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเรารู้ว่าข้างบนมีการควบคุมดูแลอยู่ เราก็สามารถนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า จงเงียบเสีย เลิกบ่นสักทีหนึ่ง (พูดกับตัวเองนะ)

หรือเวลาที่เราถูกใครเขาเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งสิ่งที่เรามีอยู่ เราโวยวาย หรือท้อใจว่าไม่ยุติธรรม เราโวยวายไหม? ในสถานการณ์ที่เราไม่ชอบ เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าหรือเปล่าว่าพระองค์กำลังนำเราเข้าไปในเหตุการณ์นั้น เพื่อสิ่งดีสำหรับเรา และเพื่อแผนการของพระองค์ และเพื่อพระองค์จะได้รับเกียรติในแผนการนั้น เราเคยคิดอย่างนี้ไหม? มันคิดยากมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เราต้องเจ็บปวด หรือต้องเสียหาย หรือต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป มันเจ็บปวดมาก ที่จะต้องเข้าใจถึงคำว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่

เราสามารถสงบนิ่ง วางใจในพระเจ้าได้แค่ไหน? ชีวิตที่วางใจในพระเจ้า ก็คือเชื่อว่าไม่ว่าจะทุกข์ สุข ลำบาก หรือสบาย พระเจ้าทรงควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ และพระองค์ทรงรักเรา และจะทำให้เกิดผลดีสำหรับเรา ในทุกสิ่งเหล่านั้น และให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ได้ ถึงแม้ตอนนั้นมันรับยากขนาดไหนก็ตาม แต่ขอให้ประโยค ถ้อยคำเหล่านี้ที่พระคัมภีร์บอกเรานั้น มันฝังหัวเราตลอดเวลา แล้วขอพระเจ้าเมตตา ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเถิด

กลับมาเรื่องดาเนียลต่อ สิ่งที่ดาเนียลกับเพื่อนทำอยู่ ก็คือการทำตัวเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีโลกแห่งนี้ และยอมเชื่อผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ยอมแสดงตามในบทบาททุกอย่าง ด้วยความบากบั่น มั่นคง และอดทน นี่คือตัวอย่าง

ในต้นของหนังสือดาเนียล ได้กล่าวถึง การควบคุมสถานการณ์ของพระเจ้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ทรงมอบอิสราเอลให้อยู่ภายใต้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าทรงมอบชาวยิวทั้งหมด ให้มาเป็นเชลยของบาบิโลน ทรงให้ดาเนียลมาเรียนรู้วิชาอาคม วิทยาคม ไสยศาสตร์ของบาบิโลน

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเจ้าเป็นผู้มอบให้” ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ถ้าท่านไปอ่านพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่ม ท่านจะเห็นคำนี้เยอะไปหมดเลย ดาวิดก็ใช่ โมเสสก็ใช่ ดาเนียล 1:1-2

ดาเนียล 1:1-2 “1 ปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม 2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ พร้อมทั้งภาชนะบางอย่างในพระวิหารของพระเจ้า ไว้ในมือเนบูคัดเนสซาร์ เนบูคัดเนสซาร์ ทรงนำสิ่งเหล่านี้ ไปเก็บไว้ที่คลังของวิหารเทพเจ้าของตน ในบาบิโลน”

 

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอิสราเอลอ่อนแอกว่าบาบิโลนใช่หรือไม่? เป็นเพราะกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เก่งใช่ไหม? เป็นไสยศาสตร์ คาถาอาคมหรือเทพเจ้าของบาบิโลนใหญ่กว่าพระเจ้าของอิสราเอลใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่เลยทั้งหมด แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ หรือมอบให้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ควบคุมทุกสิ่ง พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นนั่นเอง ชัดแจ๋วเลย

ไหนพระองค์บอกพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ไง? ไหนบอกว่าอิสราเอลเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรักมากไง? แล้วพระองค์ไม่รู้หรือว่าลูกหลานเหล่านั้นที่เกิดมาหลังจากนั้น ในอิสราเอลจะทุกข์มากขนาดไหน? ดาเนียลอายุ 13-15 ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยตอนนั้น ทำไมต้องมารับกรรมเหล่านี้ ถูกเนรเทศ ไม่ได้รับเกียรติ แถมถูกบังคับต่างๆ นานา มารับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่โหดเหี้ยม และเป็นผู้ทำลายประเทศของตัวเอง กัดฟันอยู่ตรงนั้น ไม่ยุติธรรมเลย เพราะฉะนั้น ต้องลงไลน์ เฟสบุ๊คว่ากันหน่อยแล้วอย่างนี้ ต้องเยาะเย้ย ต้องแก้ไข บางทีเราก็ทำอย่างนั้นในปัจจุบัน  สมัยก่อนไม่มีโอกาส แต่เดี๋ยวนี้ ไปได้ทั่วโลก พระเจ้ายอดเยี่ยมเลย เพื่อให้เราได้เห็นว่าเชื้อบาปมันอยู่ในเราจริงๆ ไม่ว่าจะมีเครื่องมือหรือไม่มีเครื่องมือ เราก็เป็นคนบาปคนนั้นแหละ เพียงแต่ว่ามีเครื่องมือเยอะๆ มีเทคโนโลยีเยอะๆ ทำบาปได้มากขึ้นเท่านั้นเอง

บาปนี้หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมนะ อะไรไม่ตามใจเราหน่อย เราคิดต่างปุ๊บ เราก็จะบ่น แทนที่เราจะคิด มีพระเจ้าอยู่ ดาเนียลคงไม่ได้คิดตามที่ผมกำลังพูดนะ เพราะดาเนียลรู้ความจริงว่ามีผู้กำกับอยู่ และผู้กำกับผู้นี้เก่งมากเลย ก็คือพระเจ้าของอิสราเอล พระเจ้าของเขา เป็นผู้ควบคุมอยู่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  พระเจ้านำพาเขามาแล้ว จะแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวของพระองค์เอง

ในบทที่ 2 หลังจากเหตุการณ์กินผักแล้ว ดาเนียลกับเพื่อนก็ได้เรียนรู้วิชาการต่างๆ ของบาบิโลน เรียนรู้ขนบธรรมเนียม วิชาไสยศาสตร์ เทพเจ้าก็ว่ากันไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาทำนายฝัน แปลความฝัน เขาจะมีหนังสือเลย ในสมัยนั้น บาบิโลนเฟื่องฟูมาก เรื่องวิชาการทำนายฝัน มีหนังสือ เป็นตำรา ในนั้นเปิดเข้ามาจะมีตำราว่าถ้าเผื่อฝันอย่างนี้ หมายถึงอย่างนั้น อย่างนี้ แปลว่าอย่างนั้น คนต้องไปเรียนรู้จริงๆ ถึงมีความสามารถในการทำนายฝันได้อย่างละเอียด และได้ทุกเรื่อง และค่อนข้างตรง จะตรงหรือไม่ตรง ผมไม่รู้ ขึ้นอยู่กับผู้กำกับอีกแหละ ดาเนียลก็ต้องไปเรียนรู้กับพวกเขาอย่างนั้น  นี่คือหนึ่งในวิชานั้น ที่ดาเนียลต้องไปทำ

อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ฝันประหลาด ก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ คือพวกอาจารย์ต่างๆ ที่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ และนักปราชญ์ในวัง พวกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก นักปราชญ์กับเหล่าโหราจารย์นี้  ก็คือพวกที่ฉลาดที่สุดในประเทศบาบิโลน ในตอนนั้น ซึ่งเป็นมหาอำนาจ ท่านลองคิดดู ถือว่าฉลาดที่สุดของโลกในสมัยนั้น เพราะเป็นประเทศที่เจริญที่สุด กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกคนเหล่านี้มาทำนายฝันหน่อย ตื่นขึ้นมาเหงื่อแตก ให้มาช่วยทำนายฝัน แล้วบอกว่าถ้าทำนายฝันไม่ได้ ตาย แต่ถ้าทำนายฝันถูกต้องได้ ให้รางวัลใหญ่โตเลย พอเหล่าโหราจารย์เข้าร่วมกันประชุม ที่ท้องพระโรง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าว่าเขาฝันอะไร? ท่านเข้าใจความรู้สึกไหม? มาทำนายฝัน ทุกคนก็เข้าไป สติปัญญา ทำนายมาหลายครั้งแล้ว มีชื่อเสียงในเรื่องทำนายฝัน เอาตำรามาเต็มเลย

“กษัตริย์มีอะไรให้ข้าพระบาททำนาย พระองค์ฝันว่าอะไร?”

ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ใช่ไหม? บอกมาสิว่าฝันว่าอะไร?  แต่กษัตริย์บอกว่า …

“ไม่บอก ทำนายมาสิว่าฉันฝันว่าอะไร?”

พวกโหราจารย์ พวกนักปราชญ์ สะดุ้งเลย แล้วก็ตอบกษัตริย์ว่า …

“ไม่มีกษัตริย์องค์ใดทำอย่างนี้นะ เรียกคนมีสติปัญญา นักปราชญ์ นักทำนายฝันมา แล้วบอกว่า “ฉันไม่รู้ ฉันฝันอะไร ทำนายสิว่าฉันฝันว่าอะไร? มีแต่บอกว่าฉันฝันว่าอะไร? เดี๋ยวพวกข้าพระบาทจะเปิดหนังสือช่วยกัน”

อยู่ดีๆ มาบอกว่า “ช่วยทำนายทีว่าฉันฝันว่าอะไร?”

นี่ขนาดยอดสติปัญญา ก็ยังทำไม่ได้  ผมบอกท่านตอนแรกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ  พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ พระเจ้าอยากให้ใครเป็นวีรบุรุษ เดี๋ยวพระเจ้าสร้างเอง

ดาเนียล 2:10-16 “10 โหราจารย์ทั้งหลายทูลว่าไม่มีใครในโลกนี้ สามารถทำอย่างที่ฝ่าพระบาทประสงค์ได้ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดจะถามเช่นนี้ จากผู้เล่นอาคม นักเวทมนตร์ หรือโหราจารย์ได้ ไม่ว่ากษัตริย์องค์นั้น จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด 11 สิ่งที่ฝ่าพระบาทให้ทำนี้ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นจะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ 12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณ 15 ดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา  เพื่อจะทูลความหมายของความฝัน ให้ทรงทราบ”

 

พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เจออย่างนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในข้อ 11 บอกว่ามีแต่เทพเจ้าเท่านั้น … เทพเจ้า หมายถึงเทพเจ้าของพวกเขานะ พวกบาบิโลน มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น ที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ หมายถึงเทพเจ้าก็ไม่ได้คุยกับมนุษย์อย่างนี้ ใกล้ชิดกันอย่างนี้ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อได้ พูดคุยไม่ได้ มีแต่บนได้ บนกับอธิษฐาน คนละเรื่องกันนะ บนแล้วแต่เวรแต่กรรม ไม่รู้จะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิด ในการพูดกับพระเจ้า คนละเรื่องกัน

พอโหราจารย์ตอบไม่ได้ กษัตริย์ก็โกรธมาก เรียกให้เอาตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต คือเหมือนกับว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก เสียโต๊ะฮ่องเต้ไปตั้งหลาย ใช้อะไรไม่ได้เลย เปล่าประโยชน์ และในบรรดานักปราชญ์ที่จะต้องถูกประหารชีวิต ดาเนียลและเพื่อน ซึ่งเป็นนักปราชญ์ หัวกะทิเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงนั้น ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกัน

ตอนที่ทหารจะมาจับตัวดาเนียล เพื่อนำไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ได้พูดคุย บอกกับหัวหน้าให้พาไปหากษัตริย์หน่อยจะขอเวลากลับไปทำนายฝัน ขอเวลาหน่อย เรื่องนี้มันจะเกี่ยวพันมาถึงเรื่องเราทุกวันนี้ เกี่ยวข้องหมดเลย 2,600 ปีและจะเกี่ยวข้องมาถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ จนกระทั่ง ไม่รู้เมื่อไร พระเยซูกลับมาใหม่ และจนกระทั่งเราไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล ขอพระเจ้าอวยพร

 

********************