คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มีนาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาต่อเรื่อง จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ตอนที่ 13 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวของความฝันของดาเนียล เกี่ยวกับสัตว์ทั้ง 4 การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” ในบทที่ 7 นี้ เป็นช่วงปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์

เบลชัสซาร์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของบาบิโลน เป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าให้เจอเหตุการณ์อักษรปริศนา 3 คำ เขียนบนผนังท้องพระโรง แล้วก็เรียกให้ดาเนียล มาตีความหมาย พอรู้ความหมายปุ๊บ คืนนั้น ก็ถูกปลงพระชนม์ บาบิโลน ก็ถูกยึดไป โดยสิ้นยุคของอาณาจักรบาบิโลน เข้าสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย แต่ช่วงเวลาที่ดาเนียลฝัน ในบทที่ 7 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ย้อนไปปีแรกของเบลชัสซาร์ที่ขึ้นครองราชย์ ดาเนียลฝันตรงนี้ แล้วเก็บไว้ เป็นนิมิตที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเรา ไปถึงวันสิ้นโลกนี้เลย

บอกไว้ด้วยว่าก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก ที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง? นิมิตนี้เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ ทั้งในอดีต ที่เกิดขึ้นแล้ว และขณะเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมไว้หมดแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่มีชื่อว่า Holy  Bible ภาษาไทยเรียกว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หนังสือเล่มนี้แหละ บอก และส่วนหนึ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ ก็คือหนึ่งในจำนวนหนังสือนี้  ไดอารี่นี้ ก็คือหนังสือดาเนียล เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คืออดีต ปัจจุบัน อนาคตของมวลมนุษยชาติและสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่ต้องไปค้นที่ใต้ทะเล ไม่ต้องส่งจรวดไปที่ดวงดาวต่างๆ เพราะอย่างไรก็ไม่มีจบ บอกเลย หาอย่างไรก็ไม่เจอ เพราะจุดจบมันอยู่ในนี้ ถ้ามาหาในนี้อาจจะเจอ

เขาเรียกว่าพระเจ้าเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของโลกนี้ ไว้นานแล้ว ทั้งประวัติศาสตร์ในอดีต ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังศึกษาอยู่ ทั้งประวัติศาสตร์ลูกหลานเหลนโหลนของเราในอนาคตจะศึกษาด้วย  พระเจ้าบันทึกไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ให้เราอ่าน

เพื่อเป็นการยืนยันและเป็นการหนุนใจประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ว่าพระองค์ได้ชนะโลกนี้แล้ว จะได้มีกำลังใจขึ้น เอเมน

และเราซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ ก็ได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูด้วย เอเมน

นี่คือจุดมุ่งหมายที่พระเจ้าให้เราได้เรียนรู้ ให้ดาเนียลบันทึกเอาไว้ หลายคนก็มีคำถามเยอะเลย  ผมเองก็มีคำถามอย่างนี้ เคยถามไหมว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน?  เมื่อลูกเจ็บปวด พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  มันทุกข์เหลือเกิน ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย ไหนพระองค์บอกว่า …. (แล้วแต่คุณจะใส่อะไรลงไป)”

โดนไหม? เข้าไปในหัวใจเลย ทำไมรู้? ก็รู้สิ เพราะเป็นมนุษย์เท่ากันแหละ พระเจ้าก็รักผม รักท่านเท่ากัน เพราะฉะนั้น แชร์กันไป คนละนิดคนละหน่อย ก็แล้วกัน

ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกแล้ว ไหนบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์จะให้เป็นผลดี

“ผลดีอย่างไร? ชนะโลกแล้วไง? ควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร? ไม่รักลูกหรืออย่างไร?”

มันรู้สึกขัดแย้งกันมาก จริงหรือไม่จริง? จริง เราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ ความทุกข์ยากลำบาก  ยกตัวอย่างเช่น คนในครอบครัวอาจเจ็บป่วย รักษาไม่หาย ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจเกิดขึ้นในครอบครัว หรือเกิดขึ้นในชีวิตเรา มันไม่จบสักที ทำไมมันถึงโหดร้ายกับเราอย่างนี้ ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงของสังคม ทั้งบ้านเรา ประเทศไทย หรือโลกใบนี้ ทำไมมันยุ่งอย่างนี้ ไหน พระเจ้าบอกควบคุมอยู่ ทำไมไม่ให้มันสงบๆ ภัยธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากได้ สึนามิมันเกิดมาได้อย่างไร? ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวอย่างนี้ หรืออุบัติเหตุต่างๆ ที่ร้ายแรงมากๆ ที่ทำให้ผู้คนสูญเสียคนที่รักไปเยอะแยะมากมาย แล้วพระเจ้าอยู่ไหน ตอนที่มันเกิดอันนี้ขึ้น เห็นไหม?

พรั่งพรูเลยว่ามันจริง เราเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้ายิ่งคิดใหญ่ เขาถึงไม่อยากเชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? แต่คนที่เชื่อ ก็ยังคงเชื่อ ทั้งๆ ที่หาคำตอบไม่ได้

“ก็ไม่รู้ ฉันก็เชื่อของฉันต่อไป ฉันก็ดำเนินชีวิตของฉันต่อไปเหมือนเดิม”

แล้วเราก็มีคำถามในใจของเรา “แล้วพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ปล่อยให้ลูกของพระองค์ คนที่รักพระองค์ต้องเจ็บปวด พระองค์ไม่เห็นเหรอ”

หรือบางครั้ง เราอาจจะคิดเหมือนชัดรัด เมชาค เอเบดเนโกว่า “หรือว่าเฉพาะเรื่องนี้ พระองค์ไม่สามารถทำได้”

แต่ถึงแม้คิดว่าพระองค์ไม่สามารถทำได้ ก็ยังเชื่อวางใจในพระองค์อยู่ดี วางใจแล้ว และคำตอบ ก็คือพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าให้เรารู้ ยืนยันกับเราว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกอย่าง และเป็นผู้กำหนด เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงนิมิตที่เรากำลังศึกษาอยู่ในหนังสือดาเนียลด้วย เพื่อเป็นการตอบคำอธิษฐาน ตอบคำถามเมื่อตะกี้ที่เราถามว่า …

“แล้วพระเจ้าไม่รู้เหรอ? ทำไม? พระองค์อยู่ไหน?”

พระองค์ตอบตรงนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกไว้ในนิมิตนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว หลายพันปี ทำให้เราได้รับรู้ เชื่อ และวางใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดทุกสิ่ง เป็นผู้ควบคุมครอบครองทุกอย่างจริงๆ  และตอนจบของนิมิต ก็คือพระเยซูทรงเป็นผู้ชนะ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจะอยู่นิรันดร์กาล ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ และเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับชัยชนะนี้ร่วมกับพระองค์ไปด้วย เราได้ครอบครองอาณาจักรของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซู

เพราะฉะนั้น คำตอบของพระเจ้า ก็คือให้เราอดทน และเชื่อวางใจในพระเจ้าและมั่นใจในพระองค์ว่าในที่สุด เราชนะ หมายถึงเราต้องรอถึงวันสิ้นโลกหรือไม่? ไม่ต้อง  รอวันที่เราหมดลมหายใจจากโลกนี้ เราก็ชนะแล้ว คือวันตายของเรา ตราบใดที่เรายังอยู่ คือพระเจ้ายังใช้งานเราอยู่ คำว่า “ชนะ” แปลอย่างนั้น แต่คำว่าสิ้นโลกนั้น หมายถึงจบงาน จบเรื่องแล้ว เฉพาะเราแต่ละคน จบเมื่อหมดลมหายใจ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า หมดภาระ เขาถึงบอกไม่ให้เราโศกเศร้าเสียใจเมื่อใครจากไปก่อนหน้านั้น เราควรจะดีใจกับเขาด้วยซ้ำไป

นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าประทานนิมิต และให้เรามาเรียนรู้กัน อัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านทางนิมิตเหล่านี้ ผ่านทางการบอกล่วงหน้าเหล่านี้ เพื่อให้เรามีกำลังใจ มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเสียหาย ความวิปริตที่เรียกว่าบาปนั่นเอง บาป คือ Miss the target บาป คือไม่ได้ตรงตามเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้โลกนี้ เป็นอย่างนั้น ไม่ให้มนุษย์เจออย่างนี้ ไม่ได้สร้างมาอย่างนี้ แต่มันวิปริตไปแล้ว พระเยซูใช้คำนี้ว่า “ชนชาติแห่งความวิปริต” คือมันเพี้ยนไปหมดเลย  พระเจ้ากำลังซ่อมแซมกลับคืนสู่ที่เดิม แต่สิ่งที่อันตราย คือการที่มีบางคน หรือบางกลุ่ม หรือบางพวก ศึกษานิมิตแหล่านี้ แล้วนำไปใช้ในทางที่ผิด  คือพยายามไปตีความหมาย และพยายามคำนวณเวลา เพื่อจะค้นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ตามนิมิต จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาไหน? ปีไหน? เดือนไหน? คือกลายเป็นโหรเลย พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามาเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่ออย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นแน่ๆ 100% แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาใด? ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งพระเยซู ก็ไม่รู้เหมือนกัน คนไปถามพระเยซู พระเยซูบอก …

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แล้วใครรู้?  โน่นไปถามพ่อ  อยู่ที่พ่อคนเดียว  คือพระบิดา คือพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ แล้วถ้าพระเยซูไม่รู้ แล้วใครอยากรู้ล่ะท่านต้องเจอกับความผิดหวัง และพาประชากรของพระเจ้าไปสู่ความผิดหวังมากมาย

สิ่งที่พระเจ้าต้องการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือให้เราพุ่งเอาความสนใจของเราไปที่ความรู้และความเข้าใจ เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับโรงละครโรงใหญ่นี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นว่ามันดีกับเรา หรือดีกับประชากรพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะคนชั่วที่ดูแล้วจะเจริญรุ่งเรืองตามทางของเขาก็ตาม คนนี้เป็นคนไม่ดี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง หงุดหงิดๆ อิจฉาๆ พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เขาได้อย่างนั้น แต่ได้ไป เพื่ออะไร? เราไม่รู้ พระองค์ทรงเป็นผู้อนุญาตให้คนเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น อยู่ในแผนการใหญ่ของพระองค์ แผนการนั้น ก็เพื่อสิ่งดีที่จะเกิดขึ้นกับเราทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระองค์ และเพื่อเราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในที่สุดนั่นเอง  เอเมน

เหมือนที่พระองค์ทรงใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เบลชัสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เฮโรด ที่ข่มเหงคริสเตียน เหมือนพระองค์ทรงใช้ฟาโรห์

เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาแอบอ้าง ยกนิมิตเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วมาบอกว่าวันนั้น วันนี้ ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะกลับมาใหม่ เป็นวันสิ้นโลกแล้ว หรือบอกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกในขณะนี้ ตรงกับนิมิตที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ตอนนั้น จะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ วันสุดท้ายจะมาถึงแล้ว ฟันธงเลยว่าเป็นเรื่องเทียมเท็จทั้งสิ้น อย่าไปเชื่อ เป็นเรื่องหลอกลวง  เพราะถ้าพระเยซูยังบอกว่าพระองค์ไม่รู้ ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรู้ได้หรอก และที่บอกว่ามีเรื่องอันตราย ก็เพราะว่ามีเกิดขึ้นมาบ่อยๆ ทุกยุคทุกสมัย จึงมาเตือนท่าน อยากรู้

“เมื่อไรนะ ไหนคุณนครบอกจะมา กลับมาแน่นอน วันนี้ใช่ไหม?”

ไปใหญ่เลยคราวนี้ หลังจากประเทศนี้ คงเป็นประเทศนี้ หลังจากคนนี้ ก็เป็นคนนั้น พอบอกคนนี้ แล้วไม่ใช่ขึ้นมา ลักษณะอย่างนี้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านรู้ได้อย่างไร?

อย่างเช่น มีข่าวที่เราได้ยินบ่อยๆ กับคนที่พยายามแอบอ้างการทำนายว่าสิ้นโลก เดือนนี้ ปีนั้น ระบุเลยวันที่อะไร? ปีอะไร? ค.ศ.อะไร? แล้วก็มีคนหลงเชื่อขายทรัพย์สมบัติจนหมดเลย รอวันนี้ ก็ไม่มา อาทิตย์หนึ่ง ก็ไม่มา ที่มาแล้ว คือหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ ล้มละลาย บางกลุ่มก็สุดโต่ง ถึงขนาดฆ่าตัวตาย ก็มี พระเยซูมาแล้ว ตายจะได้มารับทันที นี่คืออันตรายของการศึกษาเรื่องนิมิต ในทางที่ผิดๆ เตือนเราล่วงหน้า เพราะมันสนุกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น พวกเราผู้ซึ่งเข้าใจพระประสงค์พระเจ้า ในการเรียนรู้เรื่องนิมิตของพระเจ้าแล้ว เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ประมาณ 2,600 ปี เกี่ยวข้องกับเราตอนนี้ จนกระทั่งลูกหลานเหลนโหลนของเรา ดาเนียล 7:1-14

ดาเนียล 7:1-14 “1 ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน 2 ดาเนียลฝันเห็นนิมิต ขณะนอนหลับอยู่ เขาได้บันทึกความฝันไว้ดาเนียลกล่าวว่า “ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน 3 แล้วสัตว์มหึมาสี่ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน 4 ตัวแรกเหมือนสิงโตและมีปีก เหมือนนกอินทรี ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนด้วยสองขาแบบมนุษย์ และมันได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์ 5 “ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครงสามซี่ไว้ มีผู้บอกมันว่า ‘ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม’ 6 “หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามองไป มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเหมือนเสือดาว ที่หลังของมัน มีปีกสี่ปีกคล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มีสี่หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง 7 “หลังจากนั้น ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา 8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่ง โผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด 9 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดู ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”

 

ความฝันของดาเนียล เริ่มจากข้อที่ 2 บอกว่า … ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน แล้วสัตว์มหึมา 4 ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน …

ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ใหญ่มหึมา แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้งสี่ตัวนี้ ก็คือ มหาอำนาจทั้งสี่ ประเทศที่ใหญ่ๆ ที่เรียกว่าอาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก นึกย้อนกลับไป 2,600 กว่าปี ดาเนียลได้รับนิมิตนี้มา ตอนที่ได้รับนิมิต อยู่ในรัชกาลของเบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน

ยังจำได้ไหมครับ? นิมิตของเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งให้ดาเนียลเข้าไปแปล แล้วดาเนียลแปลนิมิตนั้นออกมา เป็นเรื่องสี่อาณาจักร การแปลอยู่ในรูปแบบของรูปปั้นขนาดใหญ่ ที่แต่ละส่วนทำด้วยวัตถุต่างๆ กัน เล็งถึงอาณาจักรสี่อาณาจักร มหาอำนาจสี่มหาอำนาจ

ความหมายของสัตว์มหึมาสี่ตัวนี้ มีความหมายเหมือนกันกับรูปปั้น เพียงแต่เปลี่ยน มาใช้สัญลักษณ์สัตว์แทนรูปปั้นนั่นเอง

ข้อที่ 4 ที่บอกว่าตัวแรกเหมือนสิงโต และมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ … ข้าพเจ้าเฝ้าดูจนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ แล้วได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์

สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลเห็น คือสิงโตที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้นในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน

ในสมัยที่อาณาจักรบาบิโลนกำลังรุ่งเรือง จะเปรียบตัวเอง ดั่งสิงโต ที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ นี่เรื่องจริงๆ ของสัญลักษณ์ของประเทศ หรือมหาอำนาจนั้น ในขณะนั้น

รูปปั้น สถาปัตยกรรมต่างๆ ในบาบิโลน ในสมัยนั้น ก็ใช้สัญลักษณ์แบบนั้น คือสิงโตที่มีปีก และที่บอกว่าปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ ก็คือช่วงที่เนบูคัดเนสซาร์เย่อหยิ่งกับพระเจ้า โอหังกับพระเจ้า  และถูกทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ป่า จนกระทั่งสำนึกได้ แล้วถ่อมใจ กลับใจใหม่ ที่ดาเนียลรักเขามาก เห็นใจเพื่อน บอกเนบูคัดเนสซาร์เลิกนิสัยแบบนี้ เลิกทำชั่วร้ายต่างๆ เลิกข่มเหงคน ถ่อมใจลง พระเจ้าอาจจะช่วยท่านได้ แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็ถ่อมใจ แล้วก็ได้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง

ข้อที่ 5 กล่าวถึงสัตว์ตัวที่สอง บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ มีคนบอกมันว่า “ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม”

สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่ 2 คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซียน อาณาจักรที่สอง อย่าลืมนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่ผมอธิบายไป บอกล่วงหน้าหมด

ตอนที่ดาเนียลฝัน เป็นเวลาช่วงในยุคบาบิโลน สมัยเบลชัสซาร์ ก็คือสัตว์ตัวที่ 1 คือสิงโตมีปีก ยังเป็นยุคเหตุการณ์ปัจจุบัน หมายถึงถ้าเทียบกับความฝันที่ดาเนียลได้รับนิมิตนั้น

แต่พอมาถึงตัวที่สอง คราวนี้เริ่มเป็นนิมิตในอนาคตแล้ว บอกล่วงหน้า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คืออนาคตจะมีอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่จะยกทัพมาโค่นบาบิโลน ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส  ซึ่งมันเป็นผลออกมาแล้ว  ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีคาบไว้ ก็คือที่มันชนะมาก่อน หนึ่งในนั้น ก็คือประเทศอียิปต์ ประเทศใหญ่มหาอำนาจเก่าแก่ ก็ถูกโค่นล้มโดยมีเดียเปอร์เซีย และอีกหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือบาบิโลน ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น  ก็ถูกมีเดียเปอร์เซียโค่นล้มอำนาจ มีเดียเปอร์เซียก็มีลักษณะเหมือนหมีที่คาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปากของมัน

และที่บอก “ลุกขึ้นเถิด กินเนื้อให้อิ่ม” เป็นสำนวนที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น พระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์ได้รู้เรื่องนิมิตนี้ และได้เข้าใจเรื่องนิมิตด้วย

ความตั้งใจจริง ก็คือเหมือนให้เราดูหนังสนุกๆ ตื่นเต้น แล้วเทียบกับสัตว์ประหลาดอะไรต่างๆ ท่านนึกภาพสิ เหมือนกับเด็กๆ ในยุคปัจจุบัน ดูเรื่องซุปเปอร์แมน ดูเรื่องอุลตร้าแมน จำได้หมด สมัยนั้น พระเจ้าก็ต้องการให้ประชากรของพระเจ้าได้รู้เรื่องนิมิตต่างๆ เหล่านี้ เป็นลักษณะอย่างนี้เลย  แล้วก็เปรียบเทียบให้ดูว่ามันแปลว่าอะไร?

พระเจ้าได้มอบสิทธิอำนาจให้กับมีเดียเปอร์เซีย ในการครอบครองทั่วโลกในขณะนั้นเลย ซึ่งหมายถึงลุกขึ้น “จงกินเนื้อให้อิ่ม” เอาเต็มที่เลย

ตามประวัติศาสตร์ อาณาจักรมีเดียเปอร์เซียได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่มีการแผ่ขยายอาณาจักร อำนาจการปกครองไปทั่วโลก มากกว่าอาณาจักรใดๆ ทั้งปวงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า

ข้อที่ 6 มาถึงสัตว์ตัวที่สาม มีสัตว์อีกตัวหนึ่ง เหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง … ตรงนี้ ก็คือส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้นที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ก็คือหมายถึงประเทศกรีก หรืออาณาจักรกรีก

สัตว์ตัวที่สาม คือเสือดาว ลักษณะเด่นของเสือดาว คือความรวดเร็ว  มีอำนาจ  สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุด ก็คือเสือดาว เสือซีต้าร์ นี่มันวิ่งเร็วกว่าธรรมดา เพราะมันติดปีก ขนาดบาบิโลนว่าเร็วแล้วนะ แต่บาบิโลนเป็นสิงโตติดแค่ 2 ปีก อันนี้ติด 4 ปีกเลย เร็วมาก เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้แล้วว่าสมัยกรีกรุ่งเรือง กองทัพเขาตีที่ไหน ได้ชัยชนะรวดเร็วมาก แป๊บเดียว ครอบครองไปถึงอินเดีย นี่คือลักษณะของอาณาจักร หรือประเทศต่างๆ ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น

อาณาจักรกรีก ซึ่งในรูปปั้น ในสมัยที่ได้รับนิมิต โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองสัมฤทธิ์ มันจะขยายอาณาจักรเร็วมากเหมือนทองสัมฤทธิ์เลย ซึ่งกษัตริย์ผู้ที่เป็นผู้นำทัพ ที่เราได้ยินและดังมาถึงปัจจุบัน เอาไปทำเป็นหนัง ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช

ข้อที่ 7 มาถึงสัตว์ตัวสุดท้าย ตัวที่สี่ บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา …

สัตว์ตัวที่สี่นี้ ไม่สามารถระบุประเภทได้ คือไม่ใช่เสือ ไม่ใช่หมี ไม่ใช่เสือดาว เพราะเนื้อมันยังไม่เป็นเนื้อเลย มันเป็นเหล็ก มันเป็นหุ่นยนต์ 3 ตัวแรก บอกว่ามันคล้ายกับสัตว์ชนิดใด แต่ตัวนี้ระบุไม่ได้  บอกได้แค่ว่าน่ากลัว สยดสยอง มีฟันเหล็กซี่มหึมา เพราะฉะนั้น สัตว์ตัวที่สี่นี้ ก็เลยมีคนเขาพยายามจะจินตนาการ วาดรูปออกมา แต่ไม่รู้จะวาดอะไร? ถ้าในนิมิตบอกว่าเป็นเสือดาว ก็วาดเสือดาว เป็นหมี เราก็วาดหมี แต่ตัวนี้บอกเป็นอย่างนี้ แล้วท่านจะวาดอย่างไร? ก็แล้วแต่ท่านจะวาดแล้วกัน ใครที่ชอบดูหนังเรื่องอะไรที่มีสัตว์ประหลาดมากๆ ท่านต้องใส่ตามนี้นะ มันต้องมีเขาสิบเขา มีฟันเป็นเหล็ก เขียนเข้าไปแล้วกัน ให้น่ากลัว น่าเกลียดที่สุด เป็นสัตว์ประหลาด

สัตว์ตัวนี้ก็เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรมัน สัตว์ตัวที่สี่ คือสัตว์ประหลาด น่ากลัว น่าสยดสยอง หรืออาณาจักรโรมที่ได้โค่นอาณาจักรกรีกลง และขึ้นมารุ่งเรืองอำนาจแทน ตรงที่บอกว่าสัตว์ตัวนี้ มันมีฟันเหล็กแหลม ซี่มหึมา มันขยำเคี้ยวเหยื่อและส่วนอื่นๆ จนแหลกลาน ก็คือโรมในยุคนั้น โหดร้ายมาก และตามล่าขยายดินแดนที่เหลือจากกรีกสมัยก่อน มากกว่ากรีกอีก ไปไกล ทั่วทั้งยุโรป แอฟาริกา และทั้งเอเชีย และไปที่ไหนขยำยู่ยี่หมด เละเทะหมดเลย  สามอาณาจักรที่เหลือเขาครอบครองเฉยๆ  แต่โรมครอบครองและทำลายด้วย ผู้ที่ทำลายกรุงเยรูซาเล็มก็คือโรม คนอื่นๆ มาเขาก็ปล้นเอาทรัพย์สินไปเฉยๆ แต่นี่เขาทำลาย ยกตัวอย่างให้ฟัง

สัตว์นี้มีเขาสิบเขา หมายถึงกษัตริย์สิบองค์ หรือคำว่า “สิบ” อาจจะไม่ใช่ 10 องค์ตรงๆ แต่อาจจะหมายถึงครบ มีเชื้อสายของมัน มีลูกมีหลานได้  ไม่เหมือนตัวอื่นๆ สามตัวก่อนหน้านั้น จบแล้วจบเลย ตัวนี้จบแล้วมันมีเชื้อต่อ อย่างน้อยๆ ก็ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็ไม่รู้เท่าไร?

ในข้อที่ 8 บอกว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ ทำให้ 3 ใน 10 ของเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กๆ นี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด …

หมายถึงกษัตริย์ผู้ครองอำนาจ ที่เป็นเชื้อสาย เกิดมาจากอิทธิพลการปกครองของโรมัน มีกษัตริย์เยอะแยะมากมาย สมมติเป็น 10 องค์ แต่จะมี 3 ที่แยกออกไปก่อน และจะมีหน่อเล็กๆ กษัตริย์องค์เล็กๆ ขึ้นมา ก็คือเชื้อสายของกลุ่มที่มาจากโรมัน

เขาเล็กๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็คือผู้ที่จะมีอำนาจเกิดขึ้นมาในเชื้อสายของโรม ทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ก็คือประเทศทั้งหมด ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เกือบ 100% มีอิทธิพลมาจากโรมทั้งนั้น แม้กระทั่งเมืองไทย ก็ได้มานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่มาจากแถวยุโรปทั้งหมดเลย

เขาเล็กๆ หนึ่งอัน ที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด ตรงนี้ที่เปาโลพูดไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงผู้ต่อต้านพระเยซูคริสต์ ที่เป็นหลักฐาน เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ เป็นผู้ที่มีอำนาจ ผู้หนึ่ง ไม่รู้ผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่อิทธิพลและฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากข้างบน โลกวิญญาณอีกที ตามภาษาพระคัมภีร์ เขาใช้ชื่อว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมาครอบครอง มีความใหญ่ยิ่ง และคนนี้จะต่อต้านพระเยซูคริสต์ชัดๆ

ตอนที่เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า เปาโลทำอะไร? ข่มเหงคริสเตียน และเดินทางไปดามัสกัส เพื่อไปจับคนที่เป็นคริสเตียนมาติดคุก ระหว่างทางพระเยซูมาปรากฏ และพระเยซูบอกเปาโลว่า …

“ท่านข่มเหงเราทำไม?”

แสดงว่าใครที่ข่มเหงคริสเตียน เขาก็ข่มเหงพระเยซู คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ก็คือคนที่ข่มเหงคนของพระเจ้า จะมีคนๆ หนึ่งที่มีความเย่อหยิ่ง มีความยิ่งใหญ่ มีอำนาจด้วย เหมือนผู้ครองอาณาจักร คล้ายกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คราวนี้ใหญ่เลย จะรุนแรงเลย คือจะข่มเหงคริสเตียน ท่านลองดูไปแล้วกัน และคนๆ นี้ ก็เป็นเชื้อสายมาจากอิทธิพลที่มาจากสัตว์ตัวที่สี่ตัวนี้ คือโรมันที่แผ่กระจายอำนาจไปทั่วยุโรป

ที่ในนิมิตนี้บอกว่าผู้ที่จะเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะมีการข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูเกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาประกาศชัยชนะ พูดง่ายๆ ว่าใกล้ๆ จบ ที่พระเอกชนะ มันตื่นเต้น มันหวาดเสียว คือพระเอกเกือบตาย  เราผู้เชื่อเป็นพระเอก ก่อนพระเยซูมา  ไม่ใช่พูดให้ตกใจ เราเกือบตาย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ   ขอบคุณพระเจ้าที่วันนั้นยังไม่ถึง แต่วันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่พูดมาทั้งหมด มันเกิดขึ้นหมดแล้ว มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24 – 25 อย่างนี้

ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

 

ประชากรของพระเจ้าจะตกอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ก่อนที่ชัยชนะจริงๆ สุดท้ายจะเกิดขึ้น

นี่คือความหมายของเขาสิบเขา และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือพวกกลุ่มผู้ต่อต้านพระคริสต์ ข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อนิมิตทั้งหมดนี้ ตั้งแต่บาบิโลนไล่มาถึงโรม มันเกิดแล้วทั้งหมดจริง และพระเยซูคริสต์ เป็นผู้มาประกาศชัยชนะสุดท้าย อาณาจักรสุดท้าย คืออาณาจักรพระเยซูคริสต์ที่อยู่นิรันดร์ ถ้ามันเป็นจริง พระเยซูคริสต์จะมาประกาศชัยชนะนิรันดร์ ซึ่งเราก็อยู่ในชัยชนะนั่นด้วย แต่เราต้องถูกข่มเหงก่อน

มาถึงข้อที่ 9 อันนี้ไคล์แม๊กของเรื่องเลย ตั้งใจฟังนะ การบอกล่วงหน้าของพระเจ้าในเรื่องนี้ … ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง …

ในพระคัมภีร์เวลามีกล่าวถึงบัลลังก์ของพระเจ้าพร้อมกับเปลวไฟ จะหมายถึงการพิพากษา ในยุคสุดท้าย มีคนตั้งข้อสังเกตว่าบัลลังก์มีล้อด้วย หมายถึงการพิพากษาของพระเจ้าคลุมไปทุกแห่ง ไม่ใช่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ทุกทิศเลย  ก็คือพระองค์ทรงครอบครองและควบคุมทุกสิ่ง หนีคำพิพากษาของพระองค์ไม่พ้น

ในข้อที่ 10 – 12 เขียนไว้ดังนี้ … 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง …

ตรงนี้ หมายถึงคนนับไม่ถ้วน ไม่ใช่นับล้านๆ สมัยก่อนเขานับได้แค่นี้เอง มันนับไม่ถ้วน

คนที่ข่มเหง รังแกประชากรของพระเจ้า ในยุคสุดท้าย ถูกโยนลงไปในบึงไฟ เป็นการสิ้นสุดของความชั่วร้ายของมารซาตาน  แล้วจากนั้น ก็มาถึงวันที่พวกเรารอคอย ซึ่งบันทึกต่อมาในข้อที่ 13 กับ 14 วันแห่งความหวังของพวกเรา ถ้าท่านไม่รอคอยเรื่องนี้ แสดงว่าท่านมีความสุขดีตอนนี้ แต่ถ้าใครก็ตามที่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ในใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่คือความหวังของเรา นี่คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เราเรียนรู้ในนิมิตของดาเนียล มันเป็นไปตามนั้น ถ้าผมคิดเองนะ มันก็ประมาณสัก 75%  เพราะสี่อาณาจักรก็โผล่มาหมดแล้ว  ลูกหลานของโรมัน ก็โผล่มาหมดแล้ว คือยุโรปทั้งหมด ที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ก็มาจากโรมัน ดูก็ไปไกลแล้วนะ  ดังนั้น ช่วงท้ายๆ มันก็น่าจะสัก 20, 30%

ที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้ เพื่อให้เป็นกำลังใจให้เราว่าตอนจบเป็นอย่างไร? ไม่ต้องการให้เรามานั่งคิดว่าตกลงเหลืออีกกี่เปอร์เซ็นต์ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นมั้ง ออกไป คอยนั่งจ้องคนนั้น คนนี้สงสัยจะเป็นเขาเล็กๆ หรือไม่? ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา

อย่างโลกโซเชียวทุกวันนี้ จะโพสต์อะไร? จะเขียนอะไร? ต้องระมัดระวัง มันไปโดนเขา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วเราจะมาขอโทษทีหลัง มันช้าไปแล้ว อันนี้ ก็เหมือนกัน พระเจ้าไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องพูด คนนี้เป็นเขาเล็กๆ คนนี้ข่มเหงคริสเตียนขนาดนี้ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ คนนี้มาจากโรม คนนี้มาจากที่นั่น อย่าไปยุ่งตรงนั้นเลย เรามายุ่งตรงนี้ดีกว่าว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา คือความหวังของเราตรงนี้ ถ้าใครที่ยิ่งทุกข์หนักๆ ความหวังของเขาอยู่ตรงนิมิตตรงนี้ ถ้าความหวังตรงนั้น มันเกิดขึ้นมาทั้งหมด เป๊ะ บาบิโลนก็เป๊ะ มีเดียเปอร์เซียก็เป๊ะ กรีกก็เป๊ะ โรมก็เป๊ะ ประเทศยุโรปทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากโรมจริงๆ ทุกวันนี้เราก็เห็นชัดๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงๆ ด้วย มันก็เป๊ะ เพราะฉะนั้น เรื่องสุดท้ายเรื่องพระเยซูก็ต้องเป๊ะๆ แน่นอน มันจะหนีไปไหนไม่พ้น มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้แล้วทั้งหมด แล้วที่เหลือมันจะไม่เกิดได้อย่างไร?

ในข้อ 13, 14 บอกว่า … 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”

คำว่าบุตรมนุษย์ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล 300 กว่าแห่ง และจะเป็นผู้ใดไม่ได้เลย นอกจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งจะเสด็จมา ทำไมพระเยซูต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะพระเจ้าตั้งแผนการของพระองค์ไว้อย่างนั้น

พระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จมาเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะได้รับสิทธิอำนาจ พระเกียรติสิริ อำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจจะไม่มีวันสิ้นสุด ราชอาณาจักรของพระองค์จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะไม่มีวันถูกทำลายเลย

พระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเหล่าสาวก 40 วัน วันอีสเตอร์แรกของโลก 40 วันที่พระองค์ทรงสั่งสอนมนุษย์เสร็จปุ๊บ  ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์มีสาวกมาส่ง แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกว่าให้ออกไปทั่วโลก ไปประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เริ่มตั้งอาณาจักรบนโลกใบนี้แล้ว ไปเรียกมาเป็นประชากรของพระองค์ โดยการเชื่อวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้เราทุกคน แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วพระองค์บอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกดี ได้ถูกมอบให้กับเราแล้ว

ตอนที่ปีลาตจะจับพระเยซูไปตรึง ตอนที่ฟาริสีจะจับพระเยซูไปฆ่า ถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์บอกว่า … เราคือบุตรมนุษย์ … แล้วพระองค์บอกว่าวันสุดท้าย ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ เสด็จลงมาจากสวรรค์ พร้อมด้วยหมู่เมฆ พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำอะไรอยู่ และมันจะเป็นไปตามนั้น เพราะพระคัมภีร์ได้บอกถึงเรื่องพระองค์ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เรื่องพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้นเลย ตอนที่พระเยซูเดินบนโลกใบนี้  พระองค์จึงบอกว่า …

“เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ให้เป็นไปตามที่ได้เขียนไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา ตั้งแต่ต้นมาแล้วว่าเรามาทำอะไร เราต้องทำตามนั้น  เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า ช่วยเหลือมนุษยชาติ”

นี่คือที่บอกว่าไม่ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร? ก็ตาม เกิดอะไรขึ้นก็ตาม น่ากลัวขนาดไหน? เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าเรากำลังเผชิญอะไรอยู่ก็ตาม ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตามขณะนี้ ปัญหามันจะใหญ่มากขนาดไหนก็ตาม ต่อหน้าเราขณะนี้ ขอให้เชื่อและวางใจ มั่นใจเถิดว่าพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ ไม่ใช่จะชนะ แต่ชนะไปแล้ว

สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงบอกเล่าผ่านทางนิมิตทั้งหลายเหล่านี้  ก็เพื่อย้ำยืนยันให้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งจริงๆ เพื่อให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในมหาจักรวาลนี้ ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักที่สุด เป็นแก้วตาของพระองค์มากกว่ารักต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์เหล่านั้น

เหตุการณ์ทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวเรา ในทุกวันนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ดูแล้วมันเลวร้ายในสายตาเรา เพราะโลกมันตกอยู่ในความวิปริต ความบาปอยู่ มันยังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป มันต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสิ่งเสียหายสึกหรอให้ดี พระเจ้ากำลังใช้เวลาอยู่ มันเลยต้องมีความทุกข์ยากลำบากบ้าง พระเยซูก็บอกแล้วว่าท่านทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ จะพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเราได้ชนะโลกนี้แล้ว  ให้กำลังใจเราอีก พระองค์จึงต้องการให้เรา ประชากรของพระเจ้ามีกำลังใจ พระองค์ทรงรู้แล้วว่าใครก็ตามที่มาเชื่อพระองค์ ก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหงมากกว่าคนอื่นๆ เขาก็ได้ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเราทำไม่ได้ แต่พระองค์ทรงให้นิมิต ให้อัศจรรย์ ให้ถ้อยคำเหล่านี้ บอกล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้เรา ให้เรามีความหวัง ให้เราวางใจในพระองค์ และไม่ให้เราเชื่อพระองค์ธรรมดา แต่เชื่อโดยวางใจ

คำว่า “วางใจ” คือวางเลย ไม่ได้อยู่ที่เราอีกแล้ว วางให้พระองค์ไปเลย แปลว่าอย่างนั้น

พระองค์จึงบอกล่วงหน้าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้  โดยไม่บอกวันเวลาตอนจบว่าตรงไหน? เพราะถ้าบอกวันเวลาตอนจบ ก็ไม่สนุก ท่านวันๆ ก็ไม่ทำอะไรแล้ว มัวแต่รอตอนจบอยู่อย่างเดียว แล้วมันจะเป็นแผนการพระเจ้าได้อย่างไร? สมมติพระเจ้าให้ท่านเกิดความทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะพาท่านไปอีกที่หนึ่ง  ท่านก็ไม่ยอมไป ท่านบอกตอนจบเป็นอย่างนี้ ก็จะรออยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนแล้ว พระเจ้าต้องให้อิสราเอลทุกข์ยากลำบาก จึงนำคนเดินผ่านข้ามทะเลแดง ถ้าไม่ทุกข์ยากลำบาก จะเดินทำไม? ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าจึงไม่บอกตอนจบให้กับเราว่าเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าใช้เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น พาเราเดินไป เพื่อทุกคนจะเป็นผู้รับใช้หมด เป็นแผนการเล็กแผนการน้อย เป็นจิ๊กซอเล็ก เป็นจิ๊กซอชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ เพื่อรวมกัน ให้แผนการใหญ่ของพระองค์สำเร็จ แผนการนั้น ก็คือโลกนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้กลับสู่สภาพดี โดยที่พระเยซูเป็นฝ่ายชนะ และเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ เราได้เป็นประชากรของพระองค์แล้ว เราได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เอเมน

แล้วเหตุการณ์ตอนจบใครเป็นพระเอก ความหวังเราควรอยู่ที่พระเยซูเท่านั้น พระเยซูยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์คือความหวังสูงสุดในชีวิตของเรา คือพลังของเรา พระเยซูคริสต์เท่านั้น คือความดีงามของเรา คือความบริสุทธิ์ คือความรอดของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราเองแม้แต่นิดเดียว เป็นศูนย์เลย  เราพึ่งพระเยซูผู้เดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรากลับมาสู่ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” กันต่อ ซึ่งการบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 12 มีชื่อตอนว่า “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องชีวิตของดาเนียล และนำมาศึกษาอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้า เราอ่านพระคัมภีร์ดาเนียล ศึกษาร่วมกันมา 5 บทแล้ว วันนี้จะมาดูบทที่ 6

ใน 5 บทที่ผ่านมา ย้อนนิดหนึ่ง อยู่ในยุคสมัยอาณาจักรบาบิโลน ปกครองโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนมาจบที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ ที่ให้ดาเนียลแปลอักษรปริศนา บนผนัง ในคืนนั้นกษัติรย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ถูกลอบปลงพระชนม์ แล้วกษัตริย์ดาริอัส แห่งมีเดียเปอร์เซียยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ เป็นอันว่าจบอาณาจักรบาบิโลนไป

ถ้าย้อนกลับไปที่เริ่มต้นเรื่องนี้ จำได้ใช่ไหมครับ เรื่องของรูปปั้น ซึ่งเป็นนิมิต เป็นความฝันที่พระเจ้าได้ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และให้ดาเนียลแปลความฝันนั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรบาบิโลนนั้น ก็เป็นอันว่าจบสิ้นไป หนึ่งแล้ว เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้า โดยพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล

และกำลังย่างเข้าสู่ส่วนต่อไปของรูปปั้น รองลงมา ก็คือที่หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ซึ่งหมายถึงมีเดียเปอร์เซียในนิมิตนี้

ทุกเหตุการณ์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นแผนการของพระเจ้า หลายคนชอบพูดว่าพระเจ้าทำนาย พระคัมภีร์ทำนายว่า ไม่ใช่ทำนาย บอกล่วงหน้ากับทำนายมันต่างกัน บอกล่วงหน้าว่า …

“ฉันเตรียมแผนการนี้ มันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น”

ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วมันก็เป็นไปตามคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกเล่าของพระเจ้าให้ผู้รับใช้ของพระองค์จดบันทึกไว้ อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย คือพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ในหนังสือวิวรณ์ ทั้งหมดนั้นเลย คือการบอกกล่าวล่วงหน้าทั้งสิ้น เวลาท่านไปอ่าน ท่านจงรู้เรื่องนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกไว้เลย นี่พูดถึงช่วงนี้ ช่วงที่เรากำลังพูดกันถึงบาบิโลน เกิดขึ้นมาโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างไร? พระเจ้าเตรียมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ เตรียมให้เขามาเป็นกษัตริย์ ครอบครองบาบิโลน และบอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ชาวยิวถูกต้อนมาเป็นเชลย มาอยู่บาบิโลน 70 ปี แล้วมันก็เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน

และบอกต่อไปว่าหลังจากนั้นบาบิโลนจะถูกโค่นอำนาจลง โดยใคร? ก็บอกเรียบร้อยเลย เพราะฉะนั้น บาบิโลน ก็ถูกโค่นอำนาจลงจริงๆ ในวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน  องค์สุดท้ายของบาบิโลนถูกปลงพระชนม์ กษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซียเข้ายึดครอง

เพราะฉะนั้น วันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันต่อในหนังสือดาเนียลบทที่ 6 ว่าหลังจากที่บาบิโลน ถูกโค่นลงแล้ว และมีเดียเปอร์เซียเข้ามาครอบครองอำนาจ มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นกับดาเนียล และชาวยิวที่อยู่ในบาบิโลนนั้น ในสมัยของดาริอัสนี้ ที่จะทำให้เราได้มีความเชื่อเพิ่มขึ้น เราจะได้รู้ว่าอุปนิสัยพระองค์เป็นอย่างไร? ดาเนียล 6:1-9

ดาเนียล 6:1-9 “1 ดาริอัสทรงเห็นชอบให้แต่งตั้งเสนาบดี 120 คน ปกครองทั่วราชอาณาจักร 2 โดยมีผู้บริหารการปกครองสามนาย ปกครองเหนือคนเหล่านั้น หนึ่งในสามนั้น คือดาเนียล เสนาบดีจะรายงานต่อผู้บริหารการปกครอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกษัตริย์  3 ดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารการปกครองคนอื่นและเสนาบดีทั้งหลาย กษัตริย์จึงดำริจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทั่วราชอาณาจักร 4 ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเสนาบดีทั้งหลายจึงพยายามจับผิดดาเนียล ในงานราชการแผ่นดิน แต่ไม่สำเร็จ พวกเขาไม่พบข้อบกพร่องของดาเนียลเลย เพราะเขาซื่อสัตย์ ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือละเลยหน้าที่ 5 ในที่สุด คนเหล่านี้ก็พูดกันว่า “เราไม่มีทางหาเรื่องจับผิดดาเนียลคนนี้ได้เลย นอกจากเรื่องเกี่ยวกับ พระบัญญัติของพระเจ้าของเขา 6 ฉะนั้น ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเหล่าเสนาบดี จึงรวมกลุ่มกันเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ดาริอัส ขอจงทรงพระเจริญ 7 ข้าพระบาททั้งหลาย ผู้บริหารการปกครอง ข้าหลวงภาค เสนาบดี ราชมนตรี และผู้ว่าการทั้งปวง เห็นพ้องต้องกันว่าฝ่าพระบาทควรออกพระราชกฤษฎีกาว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์ นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันที่จะถึงนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต 8 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้” 9 ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัส จึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร”

 

คุ้นๆ ไหมครับ การแก่งแย่งอำนาจ พอเห็นว่าดาเนียลได้ดีกว่า เด่นที่สุด “จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย” มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ดาเนียลรับตำแหน่งผู้บริหารปกครองนี้ ก็คือรองจากกษัตริย์ เป็นจุดอันตรายของดาเนียล คนรอบข้างเขาพยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะกำจัดดาเนียล แต่ก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะว่าดาเนียลดีพร้อมทุกอย่าง ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อและฉลาด มีสติปัญญา เจ้านายที่ไหนก็ชอบ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ชอบ ดาริอัสก็ชอบ โปรดปราน พวกขุนนางก็เลยต้องหาวิธีอื่นอีก หาไปเรื่อยๆ จนเจอ คือรู้ว่าดาเนียลรักพระเจ้าและติดสนิทใกล้ชิดพระเจ้ามาก ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด บรรดาขุนนางก็ใช้วิธีนี้ คือให้กษัตริย์ออกกฎหมาย ไม่ให้ผู้ใดอธิษฐานกับเทพเจ้าหรือมนุษย์อื่นใด นอกเหนือจากกษัตริย์ ใครฝ่าฝืนจะถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต ซึ่งในข้อที่ 8 ขุนนางบอกว่า …

”ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้”

มีเดียเปอร์เซีย จริงๆ เป็น 2 ประเทศมารวมกัน ช่วยกันทำสงคราม เป็นมหาอำนาจที่ปกครองหลายประเทศ และขยายอาณาจักรในขณะนั้น  ซึ่งถ้ากฎหมายออกมา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใดก็แล้วแต่ จะใช้ทุกประเทศที่ครอบครองอยู่ จะไม่สามารถยกเลิกได้ แม้กระทั่งผู้ออกเอง คือกษัตริย์เอง ก็ไม่สามารถยกเลิกกฤษฎีกานี้ได้ ขุนนางรู้เรื่องนี้ จึงรู้ว่านี่เป็นทางเดียวที่จะบีบเค้นกษัตริย์ เพราะรู้ว่าดาเนียลเป็นคนโปรด

ทำไมถึงใช้คำว่าบีบบังคับกษัตริย์ เพราะที่เราอ่านไปตอนต้นว่ากษัตริย์ดาริอัสทรงโปรดปรานดาเนียลมาก เพราะดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารปกครองคนอื่นๆ กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้ดาเนียลมีอำนาจสูงกว่าคนอื่นๆ คือจริงๆ กษัตริย์ดาริอัสไม่ได้อยากจะทำในเรื่องนี้ รู้ แต่ในทางกฎหมาย จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายไปอย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร? พูดง่ายๆ คือถูกบังคับนั่นเอง มันเป็นแผนการ ความชั่วร้ายของคน เขาเรียกว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล เอาด้วยคาถา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ด้วยคาถา ก็เอาซึ่งๆ หน้าเลย กระชากไปต่อหน้าต่อตา ได้ทั้งหมด คือเป็นความชั่วร้ายที่อยู่ในเชื้อบาปที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพียงแต่ว่าจะบังคับตัวเองได้มากขนาดไหน? ถ้าปล่อยตัวเองไปเรื่อยๆ ก็เยอะ เป็นทาสของความชั่วร้าย  ก็คือเป็นความชั่วร้ายที่คิดขึ้นมา กะจะเลื่อยขา กะจะโค่นอำนาจ เพื่อนร่วมงานของตัวเอง ในยุคปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น วางแผนจัดการกับคู่แข่ง คู่ต่อสู้

ดาเนียลนับจากวันที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลน จนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ประมาณ 50 ปีแล้ว ดาเนียลและเพื่อนๆ ทั้งสามคน ผ่านเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ จึงชินกับเรื่องนี้แล้ว เจอเรื่องนี้ เขาก็เข้าไปปรึกษาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการทำอะไร? ดาเนียลก็เข้าไปอธิษฐานว่า …

“พระเจ้า ข้าพระองค์ขอการทรงนำ จะให้ข้าพระองค์ทำอย่างไร? ในเรื่องนี้”

คือขอคำแนะนำจากพระเจ้า แล้วจบสุดท้ายว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์”

ดาเนียล 6:10-12 มาดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการอะไร?

ดาเนียล 6:10-12 “10 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้ ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัสจึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร” เมื่อดาเนียลทราบว่าพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้แล้ว เขาก็กลับบ้าน และขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งหน้าต่างเปิดไปทางกรุงเยรูซาเล็ม เขาคุกเข่าอธิษฐาน ขอบพระคุณพระเจ้าของเขา วันละสามครั้งตามที่เคยปฏิบัติเสมอมา 11 แล้วคนเหล่านั้น รวมกลุ่มกันไปเฝ้าดู และพบดาเนียลอธิษฐาน ทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า 12 พวกเขาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาว่า “ฝ่าพระบาททรงออกพระราชกฤษฎีกาแล้วไม่ใช่หรือว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์  นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต” กษัตริย์ตรัสตอบว่า “กฤษฎีกานั้น มีผลบังคับใช้ ตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งยกเลิกไม่ได้”

 

ตามที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวของดาเนียลและเพื่อนๆ ทุกๆ ครั้งที่เผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม ดาเนียลและเพื่อนๆ จะอธิษฐานกับพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ และการช่วยกู้จากพระองค์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน กฤษฎีกาออกมาบอกว่าห้ามอธิษฐานกับพระเจ้า ในช่วง 30 วันนี้ แล้วจะทำอย่างไร? ดาเนียลรีบกลับไปบ้าน อธิษฐาน ผมเชื่อมั่นว่าดาเนียลต้องอธิษฐานอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าช่วยชนชาติยิวด้วยเถิด ตอนนี้ถูกบีบบังคับในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของความเชื่อจะทำอย่างไร?”

ถูกไหม?  “พระองค์เจ้าข้า อาจจะมีบางคนกำลังปฏิเสธพระองค์อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขากลัว เขาไม่กล้าเอ่ยนามของพระองค์ในขณะนี้ เขาอยากอธิษฐาน แต่เขาไม่กล้าอธิษฐาน เพราะเขากลัวตาย”

มีเยอะกว่าที่เราคิดว่าคนเหล่านั้นกล้า

“เอาสิ ตายเป็นตาย โยนเข้าถ้ำสิงโตก็ไม่กลัว”

มีสักกี่คน? ผมจะบอกให้ฟัง อันนี้เป็นความเข้าใจธรรมดา 100% มนุษย์ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนไหนขึ้นมาบอกไม่กลัวเหมือนดาเนียล ก็เพราะว่าพระเจ้าใส่ความกล้าหาญลงไปที่เขา เอเมน ต้องคิดถึงตรงนี้ ไม่ใช่เขาเก่ง พระเจ้าให้เขาเป็นฮีโร่ในตอนนั้น เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่หรอก ไม่ใช่ฮีโร่ด้วยซ้ำไป เป็นผู้รับใช้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น พอถึงเวลาของท่าน ถ้าท่านรับไม่ได้อย่างนี้ ท่านบอกว่า …

“30 วันนี้ พระเจ้าเข้าใจลูกด้วย ลูกของดอธิษฐานชั่วคราว”

พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่าน แสดงว่าท่านไม่ได้ถูกเลือกให้มาเป็นผู้รับใช้ในขณะวิกฤต อย่างนั้น แต่ถ้าท่านสามารถ กล้าหาญที่จะอธิษฐานได้ พระเจ้าอาจจะให้ท่านด้วยความกล้าหาญ และไม่มีใครเห็น ท่านก็รอดไป คือไม่มีใครเห็นท่านอธิษฐาน แต่ดาเนียลมีคนเห็น เพราะว่าเขาเฝ้าตามดาเนียลทุกฝีก้าว อธิษฐานเมื่อไร? ฟ้องเลย เราควรจะมองภาพนี้  ไม่ใช่มองภาพอย่างเดียวว่า …

“เราต้องทำตามอย่างดาเนียลหมด”

แล้วใช่น้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเราไหม ให้เราเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าเราทำไม่ได้ เราผิดเหรอ ท่านลองไปคิดดูแล้วกัน เราเชื่อพระเจ้า เพราะต้องการมาขอความช่วยเหลือ ขอกำลังจากพระเจ้า เพราะเราอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ถูกไหม? นี่คือความเข้าใจธรรมดา คิดธรรมดา

หลังจากยุยงกษัตริย์ให้ออกกฎหมายแล้ว พอเจอพฤติกรรมของดาเนียลอย่างนี้ มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องไปฟ้องกษัตริย์ พวกเสนาบดีและผู้ปกครองที่เป็นศัตรูชั่วร้าย ที่คิดปองร้าย นึกในใจ แล้วก็พูดกันเองว่า …

“เป็นไปตามแผนการของเราเลย”

เขานึกว่าเป็นไปตามแผนการของเขา เสร็จเราแน่ ไม่หลุดแน่ สิงโตกินแน่เลย กำจัดได้แล้ว เขาคิดว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ว่านี่คือแผนการของพระเจ้า พวกขุนนางก็นำเรื่องนี้ไปฟ้องกษัตริย์ แล้วก็บีบบังคับให้กษัตริย์ดำเนินตามกฎหมาย ดาเนียล 6:13-18 บันทึกเอาไว้

ดาเนียล 6:13-18 “13 พวกเขาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ดาเนียลซึ่งเป็นเชลยคนหนึ่งจากยูดาห์ ไม่ใส่ใจในฝ่าพระบาท หรือพระราชกฤษฎีกา ที่ทรงให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  เขายังคงอธิษฐานวันละสามครั้ง 14 เมื่อกษัตริย์ทรงทราบเช่นนี้ ก็ทุกข์พระทัยยิ่งนัก ทรงครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหลือดาเนียลจนพลบค่ำ 15 คนเหล่านั้นก็รวมกลุ่มกันมาเข้าเฝ้า และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงระลึกว่าตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย คำสั่งหรือกฤษฎีกาใดๆ ของกษัตริย์ที่ออกไป จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย” 16 ฉะนั้น กษัตริย์จึงมีพระบัญชา และพวกเขาก็จับดาเนียลโยนลงในถ้ำสิงโต กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “ขอให้พระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด17 เขานำหินก้อนหนึ่ง มาปิดที่ปากถ้ำ แล้วกษัตริย์ประทับตราพระธำมรงค์ที่หินนั้น และบรรดาขุนนาง ประทับตราแหวนของตน เพื่อไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลง แก้ไขสถานการณ์ของดาเนียลได้ 18 แล้วกษัตริย์เสด็จกลับวัง ทรงงดเสวยและการบันเทิงทั้งปวง และพระองค์บรรทมไม่หลับตลอดทั้งคืนนั้น”

 

ดาเนียลไม่กลัว ยังกล้าอธิษฐาน แต่หลายคนกลัว ปฏิเสธ ที่ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์ แล้วก็สั่งให้สาวกออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ขณะที่ออกไป ก็ถูกต่อต้านอย่างแรง หนึ่งในจำนวนนั้น คือสเตเฟ่น ถูกหินขว้างตาย เขาก็ไม่กลัว ตายเป็นตาย สาวกอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มเชื่อ ไม่ได้เขียนบันทึกในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่กลัวตาย ในพระคัมภีร์บอกว่าเขาหนีกระเจิดกระเจิงกัน กระจัดกระจายไป ไกลๆ แอบซ่อนอยู่ในถ้ำ มากกว่าไหมคนที่พลีชีวิตตัวเอง แล้วคนเหล่านั้นผิดเหรอ นั่นก็เป็นแผนการของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะเขากลัว เขาจึงหนีออกไป  พระเจ้าก็นำพาเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐที่เขาหนีไปที่นั่น เป็นพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่เราเลย อยากจะบอกให้ฟัง บางคนชอบฟ้องผิดตัวเอง

“คนนั้นความเชื่อดีจัง ฉันทำไมความเชื่อไม่ดี”

ความเชื่อเป็นของประทาน แต่ความไว้วางใจ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ เมื่อเรามาเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าบ่อยๆ เรามาคบหาสมาคมกับคริสเตียน ผู้ที่มีความเชื่อด้วยกัน บ่อยๆ มันทำให้เกิดความไว้วางใจ แต่ความไว้วางใจ มิได้หมายถึงความเชื่อ เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมา ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง ท่านอาจจะหนีก็ได้ ปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดและกระทำแผนการของพระองค์ในชีวิตของเรา

เรามาต่อเหตุการณ์ก็เป็นไปตามแผนการของขุนนางวางไว้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อย่าคิดกำจัดใคร พระเจ้ามองลงมา ฝนตกสาดลงมา เปียกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าท่านวางแผนการชั่วร้ายอย่างนี้แล้ว มันจะกลับสนองท่านเองนั่นแหละ

กษัตริย์จึงมีคำสั่งให้จับดาเนียลโยนลงไปในถ้ำสิงโต ทั้งๆ ที่กษัตริย์เองก็รักดาเนียลมาก และไม่อยากจะทำ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่คือแผนการ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เพราะตนเองก็ออกกฎหมายไปแล้ว แล้วดูสิกษัตริย์ทำอย่างไร? ในนี้บอกว่าก่อนที่จะจับดาเนียลไปที่ถ้ำสิงโต กษัตริย์ยังบอกดาเนียลว่า …

“ขอพระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด”

ซาบซึ้งขนาดไหน? ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้เชื่อในพระเจ้า คือดาเนียลและกษัตริย์ที่ใหญ่สูงสุดในขณะนั้น เป็นมหาจักรพรรดิ เขาเรียกว่าประเทศมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ซึ่งดูเหมือนไม่เชื่อพระเจ้า แต่คำนี้ คือเขาเชื่อ เชื่อเพราะว่าผ่านทางผู้รับใช้ คือดาเนียล ที่เขาทำงานด้วยมาตลอด เคยได้ยินว่ายุคก่อน ที่ทำกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ แล้วตัวเขาเองมาเจอประสบการณ์ คนนี้น่ายกย่อง พระเจ้าได้รับเกียรติ

แสดงว่าดาเนียลรักษาความเชื่อเสมอต้นเสมอปลาย จนกระทั่งเห็นชัดเจน และหลังจากที่ออกคำสั่งให้โยนดาเนียลเข้าถ้ำสิงโตแล้ว กษัตริย์ก็ซึมเศร้ากลับวัง กินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

จำปีลาตได้ไหม? เป็นผู้ครองเมืองที่จักรพรรดิซีซาร์โรมส่งมาปกครองเยรูซาเล็ม สมัยที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นผู้ที่ต้องออกคำสั่งให้พระเยซูถูกตรึง ทั้งๆ ที่พยายามหว่านล้อม อย่าไปทำเขาเลย เขาบริสุทธิ์ จนพวกผู้นำทางศาสนาซ่องสุมผู้คน ร้องเรียกๆ ต้องทำ ถ้าไม่ทำ จะทำให้เกิดปัญหา ยุ่งวุ่นวาย ในการปกครองของท่าน จะเสียชื่อหมดเลย ปีลาตต้องถูกบังคับให้สั่งประหารพระเยซู โดยไม่อยากทำ เป็นไปตามบทบัญญัติ ตามกฎหมาย ที่เขาจำเป็นต้องทำ ย้ำให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพระเจ้ากำหนดให้มันเป็นเช่นนั้น มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ ดาเนียล 6:19-28

ดาเนียล 6:19-28 “19 ทันทีที่ฟ้าสาง กษัตริย์ก็รีบรุดมายังถ้ำสิงโต 20 เมื่อเข้ามาใกล้ถ้ำ  พระองค์ตรัสเรียกดาเนียล ด้วยพระสุรเสียงอันปวดร้าวว่า โอ ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เจ้ารับใช้เสมอมานั้น ช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตได้หรือเปล่า 21 ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 22 พระเจ้าของข้าพระบาท ทรงส่งทูตของพระองค์ มาปิดปากสิงโตไว้ พวกมันไม่ได้ทำอะไรข้าพระบาทเลย เพราะข้าพระบาทบริสุทธิ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า และไม่เคยทำผิดประการใด ต่อหน้าองค์กษัตริย์เลย” 23 กษัตริย์ทรงยินดีเป็นล้นพ้น  ตรัสสั่งให้ดึงดาเนียลขึ้นจากถ้ำ เมื่อดาเนียลขึ้นมาแล้วปรากฏว่าเขาไม่มีบาดแผลใดๆ เพราะเขาไว้วางใจพระเจ้าของเขา 24 กษัตริย์ทรงบัญชา ให้จับบรรดาผู้ที่กล่าวหาดาเนียลอย่างผิดๆ โยนลงในถ้ำสิงโต พร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ร่างของคนเหล่านั้น ก็ถูกสิงโตขย้ำ จนกระดูกแหลก ก่อนที่จะกระทบพื้นถ้ำ 25 แล้วกษัตริย์ดาริอัส ทรงเขียนถึงพลเมืองทุกชาติทุกภาษา ทั่วอาณาจักรว่า “ขอให้ท่านทั้งหลาย เจริญรุ่งเรืองเถิด 26 ข้าพเจ้าออกกฤษฎีกา ให้ทุกคนทั่วราชอาณาจักร จงเคารพยำเกรงพระเจ้าของดาเนียล เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และทรงดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย ราชอำนาจของพระองค์ ไม่มีที่สิ้นสุด 27 พระองค์ทรงช่วย และทรงกอบกู้ ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกอบกู้ดาเนียล จากอำนาจของสิงโต” 28 ดังนั้น ดาเนียลจึงเจริญรุ่งเรือง ในรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส และในรัชกาลของกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย”

 

ถ้ำสิงโตในขณะนั้น  เป็นถ้ำที่มืด เขาเลี้ยงสิงโตให้ดุที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วให้มันหิว พอที่มันจะอยู่ได้ มันทั้งหิวทั้งดุด้วย ถ้ำสิงโตเขามีเอาไว้ขู่พวกคอรัปชั่น พวกกบฏ พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะโกงกินบ้านเมือง

ในนี้บอกว่าพระสุรเสียงกษัตริย์ปวดร้าว คือเศร้า เชื่อว่าดาเนียลตายแล้ว ไม่มีกำลังใจ  เพราะว่าไม่เคยมีใครรอดจากถ้ำสิงโตนี้สักคน ลงไปทุกคน ไม่เหลือซากสักคน ดุมาก

“ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตหรือเปล่า! ยังอยู่ไหม?”

ทันทีทันใดนั้น  ดาเนียลก็ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์หลับสบายดี”

กษัตริย์ก็ดีใจใหญ่

“ดาเนียล จริงหรือ! ตะโกนอีกทีสิ”

“ข้าพระองค์อยู่นี่”

กษัตริย์ดาริอัส ตื่นเต้น และรักดาเนียลมากขึ้น โปรโมทมากขึ้นอีก และสิ่งนี้แหละ มันทำให้ความโปรดปรานนี้ ไปถึงชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้นด้วย ท่านเห็นแผนการพระเจ้าไหม? และพระเจ้าก็จะใช้ สิ่งที่ทำให้กษัตริย์ดาริอัส เริ่มรู้ว่าชนชาติยิวไม่ใช่อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ที่มีอะไรบางอย่างสูงสุด ที่เขาเรียกว่าพระเจ้าอยู่กับเขาด้วย เพราะฉะนั้น เกรงใจเขาหน่อย

เวลายิวบอกว่าครบ 70 ปีแล้ว จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ดาริอัสไปถึงสมัยไซรัส ก็อนุญาตให้ไป แล้วแถมให้เงินอีก นี่สั้นๆ

ท่านเห็นไหมว่าสิ่งที่พระเจ้าทำ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเห็นแผนการนิดเดียว แต่อย่าไปคิดแค่นั้น ดาเนียลที่ลงไปในถ้ำสิงโต เป็นแผนการของพระเจ้า เพื่อให้เกิดผลดีมาถึงเราที่นั่งที่นี่ทุกคนด้วย

พูดเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว ใครเคยได้ยิน ที่สวนสัตว์ประเทศซิลี มีชายคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ปีนรั้วกัน แล้วกระโดดลงไปในกรงสิงโต พอฝูงสิงโตเห็นเขา ก็ตรงดิ่งเข้ามาเล่นงานทันที ผู้คนส่วนมาก คิดว่าชายผู้นี้เป็นโรคจิต และต้องการที่จะฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ เห็นท่าไม่ดี จึงยิงสิงโตตายไป 2 ตัว เพื่อช่วยชายคนนี้ให้มีชีวิตรอด ซึ่งต่อมาถูกนำไปส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส ในข่าวรายงานว่าขณะที่ชายคนนี้ กระโดดลงไปในกรงสิงโต เขาได้ตะโกนข้อพระคัมภีร์ และร้องตะโกนว่า …

“พระเยซูๆ”

ตอนที่กระโดดลงไป และเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบกระดาษในกระเป๋าของเขาที่เขียนถ้อยคำ ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังอ่านนี้ ดาเนียล บทที่ 6 นี่แหละ คงจะอยากทำเหมือนดาเนียลมั้ง อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

และก็ไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ก็เคยมีนักเทศน์คนหนึ่งทำแบบเดียวกันนี้ แต่รายนั้นเสียชีวิตในกรงสิงโต ซึ่งจากการพูดคุยกับคนใกล้ชิดกับนักเทศน์คนนี้ ได้รับการบอกเล่าว่าเขามีความเชื่อว่าเขาได้รับการเจิมจากพระเจ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องเขาเหมือนที่ปกป้องดาเนียล

นี่คือตัวอย่างหนึ่งในการเรียนรู้จากพระคัมภีร์ แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ที่ผิด ซึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ก็เพื่อให้เรามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาชีวิตเรา ไปในทางของพระองค์ ไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เป็นหน้าที่ตัดสินใจของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา เพื่อพระสิริของพระองค์ และเพื่อแผนการใหญ่ที่จะเกิดขึ้น  แล้วแต่พระองค์ทั้งสิ้น  ไม่ได้อยู่ที่ความรับผิดชอบของเราเลย ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหนก็ตาม ถ้าเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น นี่คือเราเรียนรู้อย่างนี้  ไม่ใช่ให้เราเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการทดลองความเชื่อ สถานการณ์แบบดาเนียลมีครั้งเดียว แล้วสถานการณ์แบบนั้น ก็จะไม่มีอีกแล้ว อาจจะดูคล้ายๆ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชัดรัด เมชาค และอาเบคเนโก ที่ถูกโยนไปในเตาไฟ แต่ก็ไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายๆ หรือกษัตริย์ดาวิด ก็ไม่เหมือนกันอีกที่ไปสู้กับโกลิอัท มีอยู่ครั้งเดียวที่พระเจ้า จะให้ท่านอย่างนั้น หรือจะใช้อีกคนหนึ่ง อาจจะคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เหมือนกัน

ในหนังสือมัทธิว บทที่ 4 ตอนที่มารทดลองพระเยซูให้กระโดดลงหน้าผา เพื่อให้พระเจ้ามาช่วย

มารบอก “โดดสิ ในถ้อยคำพระเจ้า พระองค์จะส่งทูตสวรรค์มารองรับเท้าของท่าน ไม่ให้กระแทกถูกหิน”

แล้วพระเยซูตอบมารว่า ..

“อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ก็คือถ้าโดดก็แสดงว่าเราตั้งใจจะโดดเอง เพราะเขาเชียร์ เพราะอารมณ์เรา  เพราะอารมณ์คนนั้นใส่ให้เรา แล้วเราคล้อยตาม แต่ถ้าพระเจ้าให้เราโดดจริง เราจะรู้จากข้างใน พระเจ้าจะนำพาเราเอง เราจะรู้ …

“แล้วรู้ได้อย่างไร?”

“ไม่รู้”

ถามว่าวันนี้ มีคนเอาปืนมาจ่อศีรษะท่าน แล้วบอกให้ท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านต้องตอบว่าอย่างไร? ไม่รู้ ถึงวันนั้นผมก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้ คำว่าไม่รู้หมายถึง ฉันอาจจะยอมให้เขายิงไปเลย หรือฉันอาจจะบอกว่าไม่เอา ยอมปฏิเสธ เราไม่สามารถวางใจในตัวเราเองได้ แต่เราสามารถที่จะวางใจพระเจ้าในทุกเรื่องได้

เปโตรปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง แต่พอพระเยซูกลับมา พระเยซูให้เป็นหัวหน้าเลย สาวก 12 คน ที่เป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐเมื่อ 2,000 กว่าปี หัวหน้าใหญ่สุด คือเปโตร ผู้ซึ่งปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง ทุกคนปฏิเสธหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะไม่ได้เขียนบันทึกถึง เปโตรปฏิเสธ แต่เป็นคนที่เดินตามพระเยซูตอนถูกจับ ยอมเสี่ยงชีวิตไปอยู่ใกล้ๆ เอาอย่างไรล่ะ เราไปตัดสินใจได้หรอกว่าเขากระทำอย่างนั้น เพราะอะไร? แต่วางใจและเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ควบคุม ครอบครองทุกอย่าง

ทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้คน ที่มีความคิดแบบที่ยกตัวอย่างมา และทำในสิ่งที่เป็นการทดลองความเชื่อ อย่างเช่น ท่านเชื่อไหมว่ามีอย่างนี้จริงๆ คือ …

นำงูพิษ มาปล่อยในที่ประชุม แล้วช่วยกันอธิษฐาน เพื่อจะพิสูจน์คำตรัสของพระเยซู ที่บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ จะจับงูพิษได้ด้วยมือเปล่า แล้วไม่เป็นอันตรายใดๆ เลย มีอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ

บางกลุ่มก็เอายาพิษมาดื่มด้วยความเชื่อที่ว่าเขาจะดื่มยาพิษใดๆ จะไม่เป็นอันตรายต่อเขา บันทึกในพระคัมภีร์จริงๆ

ตัวอย่างเปาโลเรือแตก น้ำซัดไปที่เกาะ ไปเก็บฟืนเอามาเผาไฟ  เพื่อให้ความร้อนกับผู้คนและตัวเองด้วย ขณะที่หอบฟืนอยู่นั้น งูแอบอยู่ในกองไม้นั้น เป็นงูพิษแรงที่สุด ชาวบ้านรู้ดี ถ้างูนี้กัดใคร? ตายแน่ๆ ปรากฏว่ากัดเปาโล แล้วเปาโลสลัดมันลงในเตาไฟ คนชาวเกาะตกใจ คอยมองเปาโล อีกไม่ถึงนาทีต้องล้มลงแน่ๆ ปรากฏไม่ตาย นึกว่าเทพเจ้า ทุกคนแห่กัน เรียกทั้งเกาะมาเลย ยกเปาโลแบกเลย จนเปาโลต้องบอกว่าเป็นคนธรรมดา เลยดูแลเปาโลอย่างดี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อเปาโลและพวกที่มาด้วยกันทั้งหมดนั้นจะได้มีข้าวกิน จะมีอะไรดีๆ เพราะคนเหล่านี้ ก็เลี้ยงดูปูเสื่อ แล้วเปาโลก็มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวเกาะเหล่านั้น แค่นี้เอง

เราต้องคิดอย่างนี้ แผนการใหญ่ของพระเจ้า ตอนนี้มีคนมาเรียนรู้อย่างนี้ แล้วก็เอาไปใช้ผิดๆ น่าเศร้าไหม? เรามาเรียนรู้เรื่องดาเนียล และการอัศจรรย์ที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของดาเนียล ก็เพื่อตอกย้ำความเชื่อที่บอกว่าพระเจ้าทรงควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ จำได้ไหม?  โลกนี้ คือละคร พระเจ้าเป็นผู้กำกับเวทีนี้ พระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าของความมั่งคั่ง  ทรัพย์สินเป็นของพระองค์ กำลังเป็นของพระองค์ พระองค์จะให้กับใครก็ได้ อย่างไรก็ได้ แล้วแต่พระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำทุกสิ่งให้กับลูกของพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความรัก และวิถีทางของพระองค์ที่กระทำนั้น ไม่ใช่วิถีทางเดียวกับที่มนุษย์ทุกคนคิด รวมทั้งเราด้วย  ไม่เหมือนไม่พอ ยัง ไกลกว่ากันมาก

ยกตัวอย่าง บางคนเกิดวิกฤตปัญหาการเงิน ก็ขอพระเจ้าช่วยว่า …

“ลูกขาดอยู่ ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด”

แต่บางครั้งการขาดของคนนั้น มันไม่ได้ขาดจริงหรอก มันใช้เกินตัวไป ไม่มีคำว่าพอเพียง แล้วพระเจ้าปล่อยไหม? พอเขาบอกขาด ให้เลย ให้ไปก็เสียคนสิ ไม่มีความพอเพียงอยู่ในตัว อย่างนี้เป็นต้น

เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นพิษ เป็นภัยกับคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้ารู้อยู่ ถ้าพระเจ้ารักเขา พระเจ้าก็ต้องช่วยเขาให้หลุดออกมาจากความคิดอย่างนั้น น้ำพระทัยของพระองค์ไม่ใช่อย่างนั้นเลยลูกเอ่ย พระเจ้าก็จะตอบคำอธิษฐานของเราให้ดีกว่าที่เราคิดอยู่ ให้เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ ไม่ใช่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้ แต่ให้เราได้ในสิ่งที่ดีกว่าที่เราอยากได้ ซึ่งแรกๆ เราอาจจะไม่อยากได้ก็ได้ สอนเราให้มีสติปัญญาที่จะรู้จักคำว่า “เพียงพอ” หรือ “พอเพียง” ซึ่งรวยที่สุด ไม่ใช่รวยทรัพย์สินเงินทอง แต่รวยพอเพียง มีพอจะรวยที่สุด

หรือบางคนอธิษฐานขอพระเจ้าให้ดูแลสุขภาพ

“พระเจ้าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง”

แล้วตัวเอง พอแข็งแรงดี ก็ใช้ร่างกายนั้น ทำมาหากิน หาเงินหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง เครียด กังวลกับธุรกิจการงานของเรานั่นแหละ แล้วก็อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรการเงินให้เยอะขึ้นอีก ถ้าพระเจ้าทำตามนั้น เราก็เครียดขึ้นอีก เอาอีกๆ เอาไม่พอ แล้วจะได้สุขภาพตามที่เราขอได้ไหม? ก็ไม่ได้ พระองค์ก็จะเอาสิ่งที่ยึดเรานั้น ออกไปจากเราซะ มันจะเจ็บตอนแรก เหมือนผ่าตัดวิญญาณ ดึงมันออกมาเลย ทุกข์ทรมาน แต่มันดีสำหรับเรา เหมือนผีเสื้อที่ออกจากดักแด้ใหม่ๆ จริงๆ มันไม่ยากหรอก แต่วิธีการของพระเจ้ากับเราไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ในหลายๆ เรื่องก็เช่นเดียวกัน หลายอย่างที่เราคิดว่าเราควรจะได้หรืออยากได้ พระเจ้ามองการไกลว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ดีที่สุด สำหรับเรา พระองค์ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติ พระสิริ และเป็นไปตามแผนการใหญ่ที่พระองค์ทรงวางไว้สำหรับชีวิตของเรา คือใช้เราให้เป็นประโยชน์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่คนที่ขึ้นมาเทศน์ คนที่เป็นศิษยาภิบาล คนที่เป็นคนรับใช้ แต่ทุกคนเป็นผู้รับใช้ แม้กระทั่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยังเป็นผู้รับใช้ กษัตริย์ดาริอัสยังเป็นผู้รับใช้

ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสืออิสยาห์ พระเจ้าว่า …

“ความคิดของเรา ไม่มีทางเหมือนความคิดของเจ้า ฟ้าสวรรค์ห่างจากแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น  ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น”

ท่านไปคิดดู ห่างกันเท่าไร? เพราะฉะนั้น ทางเดียวของเรา ก็คือวางใจในพระเจ้า และรับรู้ว่าพระองค์ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา มันจะต้องเกิดเป็นผลดีกับเราเสมอ เอเมน ไม่ว่าขณะนั้น เรามองดูแล้วมันไม่ดี หรือคนข้างๆ บอกไม่เห็นจะดีเลย ป่วยมันดีที่ไหน? แต่เรารู้ว่ามันดีสำหรับเรา นี่คือการเชื่อและวางใจในพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงให้กับเราอย่างนั้น เอเมน

เราไม่สามารถที่จะเข้าใจและรู้ได้ว่าบางครั้ง พระเจ้าจะให้เราเดินผ่านพายุ โดยทำให้พายุสงบ หรือเมื่อไรพระเจ้าจะจูงมือเราฝ่าพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ มี 2 ทางเท่านั้นเอง อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน จะไปแบบไหน? ก็แล้วแต่พระเจ้า

ทำไมพระเจ้าปล่อยให้คนหนึ่งเจ็บป่วย ทั้งที่เราเห็นว่าเขาทำสิ่งที่ดีงาม ตามตาเรามองเห็น แต่ขณะเดียวกัน คนหนึ่งแข็งแรง ทั้งๆ ที่ไม่เห็นทำอะไรดีมากมายเลย หรือทำไมพระเจ้าทำให้บางคนร่ำรวยขึ้น ทั้งๆ ที่เราคิดว่าทำอย่างนี้ไม่น่ารวย แต่อีกคนหนึ่งดูเหมือนจนลงทุกวัน เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดหรอกที่พูดไปทั้งหมดนี้ แต่วันหนึ่ง เราจะเข้าใจ วันที่เราไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ที่สวรรค์สถาน เราจะรู้ว่า …

“อ๋อออออ มันเป็นอย่างนี้เอง”

“พระเจ้าอภัยลูกด้วย”

ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ เราต้องใช้ความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียว ความเชื่ออย่างเดียวมันผิดเพี้ยนไปโน่นไปนี่ได้ แต่ถ้าท่านวางใจด้วย จบ

คำว่า “วางใจ” คือวางภาระลงแล้ว ไม่คิดแล้ว เชื่อบางทียังคิดอยู่ว่า …

“ฉันทำได้อันนั้น อันนี้ ฉันต้องสร้างความเชื่อ ฉันต้องอัดความเชื่อไป ฉันจะต้องมีความเชื่อ จะได้ …”

แต่ตอนนี้ท่านบอกว่า “ถึงไม่เชื่อ ฉันก็วางใจ ฉันได้แค่นี้ จบแล้ว เป็นอย่างไร เป็นกัน แล้วแต่พระองค์เข็นลูกไปด้วยเถิด ลูกเดินไม่ไหวแล้ว”

ถามว่าวางใจเป็นอย่างไร?

“วางใจว่าพระเจ้าเป็นพ่อฉัน แล้วพระองค์เป็นพ่อที่ดี แล้วฉันเป็นลูกของพ่อ และพระองค์ทรงรักลูกทุกๆ คน พระองค์ทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ไว้ให้กับลูกของพระองค์เกินกว่าลูกจะคิดได้ว่าเป็นอย่างไร?”

และที่สำคัญที่สุด พระคัมภีร์บอกเสมอ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่มีอะไรที่พระองค์ทำไม่ได้เลย ต้องวางใจขนาดนี้

และสุดท้าย คือพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ สุจริต ไม่หลอกลวง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวเลย

“รักก็คือรัก ต่อให้ลูกจะเลวอย่างไร? เขาเป็นลูกเรา ฉันก็จะรักเขา มีอะไรหรือเปล่าซาตาน”

“เขาทำไม่ดีอย่างนี้ ไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

“ก็ลูกชายฉัน พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาแล้ว มีอะไรหรือเปล่า?”

“เขาไม่เห็นจะเป็นคนดีเลย ไม่เหมาะเข้าสวรรค์เลย”

“มีอะไรไหม? พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระเขาแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์ได้แล้ว มีอะไรไหม?”

จบสุดท้ายต้องเป็นอย่างนี้ คือวางใจ ถ้าท่านไม่วางใจในพระเจ้า ท่านจะตายอยู่ตรงความเชื่อนั้น เพราะท่านจะนั่งคิดว่าตรงนี้ยังไม่พร้อม ตรงนี้ความเชื่อก็น้อย ตรงนี้ความเชื่อหล่นไป ตรงนี้ความเชื่อล้มไป ตรงนี้ก็เชื่อไม่พอ แต่ท่านวางใจเลยว่าตรงนี้พูดว่าอย่างไร?

“พระองค์เป็นพ่อของฉัน ไถ่บาปฉันแล้ว ฉันเชื่อและวางใจ ฉันจบแล้ว อย่างไร ฉันก็ไปสวรรค์”

ถ้าอย่างนั้นง่าย ในชีวิตของเรา เราอาจจะไม่เคยประสบปัญหาหรือประสบการณ์แบบดาเนียล หรือของชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก แบบใหญ่ๆ เราอาจจะไม่เคยเจอ เราอาจจะเชื่อพระเยซูมาปีหนึ่ง สองปี ห้าสิบปี อาจจะรู้สึกประสบการณ์เราไม่เคยมีอัศจรรย์ใหญ่ๆ ผ่านชีวิตเราเลย อาจจะคิดอย่างนั้น เราสามารถมองคนอื่นได้ นี่คือเหตุหนึ่งที่เรามาเรียนเรื่องดาเนียล พระเจ้าให้ดาเนียลบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะว่าเป็นอัศจรรย์ในหนังสือดาเนียลตั้งหลายบท เพราะพระเจ้าต้องการให้คนมาเชื่อในพระองค์ในยุคเราได้เห็น คนมาเชื่อพระองค์ในยุคก่อนได้เห็นตัวอย่าง นี่พระองค์เป็นอย่างนี้ เป็นผู้ที่ทำอย่างนี้ พระองค์เป็นพระองค์อย่างนี้แหละ เอาประสบการณ์ของเขา มาเป็นกำลังใจให้เรา พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ไม่ใช่ดาเนียลเขียน เพื่อจะโชว์ตัวเองว่า …

“ฉันผ่านอัศจรรย์มาเยอะแยะ พระเจ้ารักฉันมาก ฉันยิ่งใหญ่”

พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เขาเขียนอย่างนั้น แต่เขียนเพื่อให้เราได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระองค์ทำเช่นนั้นอย่างไร? ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ อีก 2 คนหลุดออกจากเตาไฟ เพื่ออะไร?  เพื่อให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความสัตย์ซื่อสุจริตของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้าง และไม่ว่าจะช่วยออกมา หรือไม่ช่วย พระองค์ก็อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น ได้มีประสบการณ์ร่วมกัน โดยที่เราไม่ได้เข้าไป อย่างเช่นการข้ามทะเลแดงของชาวอิสราเอล ในอดีต ก็เหมือนกัน เพื่อประจักษ์กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ว่านี่คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่คือพระเจ้าผู้ที่ท่านสามารถวางใจได้ ผู้ที่ประทานพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับท่าน ลองคิดดูนะว่าตั้งแต่เรารู้จักพระเจ้ามา มีอะไรไหมที่พระเจ้าทำอัศจรรย์ในชีวิตเรา เคยนำพาเราผ่านอะไรบ้าง แบบที่เห็นว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อจริงๆ พระองค์ไม่เคยมาสายเลย

บางครั้งเราเห็นว่ามันเล็ก เราไม่สนใจ แต่มีหมดทุกคน พยายามจดจำเอาไว้ เพราะประสบการณ์นั้น ที่ท่านผ่านมา แม้ว่ามันเล็กนิดเดียว เผอิญๆ ว่าวันนั้น ท่านต้องการเงินจำนวนเท่านี้ แล้วไม่รู้จะเอาที่ไหนแล้ว สุดท้ายมาพอดีเลย ไม่เคยสาย หรือว่าเป็นความเจ็บป่วยของท่าน ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ได้อย่างไร?  มันหายได้อย่างไร? ต่างๆ เหล่านี้ แล้วแต่จิปาถะ

สิ่งเหล่านั้นต้องจดจำไว้ เพื่อทำให้ท่าน เกิดความวางใจเพิ่มขึ้น มากขึ้น แล้วเรียนรู้จักคนอื่น คนรอบข้าง คนมีประสบการณ์อะไร เราก็ฟัง ในพระคัมภีร์มีเรื่องอะไร? เราก็ฟัง พระเจ้าผู้เดียวกัน ทำเหมือนเดิม พระองค์ทรงรักและเมตตา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราสามารถระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สัตย์ซื่อนำพาเราผ่าน ขณะที่เราเกิดความกลัวว่าเราจะเผชิญกับอนาคตอย่างไร? พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม พรุ่งนี้จะมีแรงไหม? มะรืนจะนอนป่วยเหมือนคนนอนอยู่โรงพยาบาล ที่เราไปเยี่ยมไหม?  มะเรื่องนี้จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น เหมือนกับในหนังสือพิมพ์เขาลงกับเราหรือไม่?  เราอาจจะกลัว แต่ถ้าเรายังจำได้ว่าพระเจ้าผู้นี้ ผู้ที่ช่วยดาเนียลออกจากถ้ำสิงโต ผู้ที่ช่วยชาวยิวผ่านทะเลแดง ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ จากเตาไฟ โดยอัศจรรย์ เคยช่วยเราวันนั้น เราจำได้ ช่วยเราหลุดพ้นออกมา ที่เราป่วยอยู่ ไม่มีแรงแล้ว จำเป็นต้องไปทำงานหนัก วันนั้น พระเจ้าให้กำลังพิเศษออกไปทำงาน แล้วเกิดอัศจรรย์ใหญ่เลย อะไรก็แล้วแต่ วันนั้นที่บ้านแทบจะไม่มีข้าวกินเลย ไฟฟ้าก็ถูกตัดไป ตกเย็น สามารถเชื่อว่าอยู่ดีๆ มีเงิน 2,000 บาทมาจากที่ไหน ลงตัวเป๊ะในการที่จะมีข้าวกิน 1 มื้อและจ่ายค่าไฟได้พอดีเป๊ะ

ท่านอาจจะเห็นว่าเล็กๆ น้อยๆ  แต่ท่านต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ นั่นแหละสิ่งที่พระเจ้ากำลังสร้างในชีวิตของเรา จดจำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นกำลังใจว่า …

“ถ้าฉันเชื่อในพระองค์ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าฉันวางใจในพระองค์ มันจะเป็นอย่างนี้”

วางใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงดูฉันได้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และครอบครองควบคุมทุกสิ่งสารพัด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ สามารถๆ ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระพละกำลังมากมาย และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในความรักของพระองค์ที่มีต่อลูกของพระองค์ทุกๆ คน และฉันเป็นลูกของพระองค์

ข้อสำคัญ คือมันเป็นพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีไว้ให้กับเราทุกคน และพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ที่ดาเนียลอธิษฐาน ต้องหันไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะในช่วงนั้น พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเจ้าต้องอยู่ในพระนิเวศน์ที่สร้างด้วยมือมนุษย์ ก็คือเหมือนวัดวาอาราม พระเจ้าให้สร้างไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะฉะนั้น เมื่อเขาจะติดต่อกับพระเจ้า ต้องสื่อให้เห็น แล้วแต่เขาจะอยู่ที่ไหน? เขาต้องหันหน้าไปที่ทิศกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็ตรงไปที่วิหารของพระเจ้า หลับตา หรือลืมตา แต่พุ่งความคิดของเขาไปอยู่ที่การทรงสถิตของพระเจ้าที่วิหารที่นั่น วิหารซาโลมอน ที่เยรูซาเล็ม แต่เราในทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดไว้ในหนังสือฮีบรูว่าพระเจ้าอยู่กับเราแล้วตอนนี้ 2,000 ปีมาแล้ว เมื่อพระเยซูตายไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระเจ้าอยู่กับเรา เราไม่ต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเฉียงไหน ก็ไม่ต้องแล้ว หันดูตัวเราเอง พระเจ้าอยู่ในเรา นี่แหละคือความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จะไม่กลัว เอเมน พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงเมตตา ทรงรักษาคำพูดของพระองค์เสมอ และตอนนี้พระองค์ทรงอยู่ในเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “ความรัก ยิ่งให้ ยิ่งได้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017

เรื่อง “ความรัก ยิ่งให้ ยิ่งได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

อีก 2 วัน วันอังคารนี้ก็จะเป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก ถ้าถามว่าความรักคืออะไร? ก็ต้องตอบว่าความรักคือการเสียสละ ความรักคือการให้ … ความรัก คือการเสียสละ ความรัก คือการให้ นี่คือพวกเราทั้งหลายที่ได้เรียนรู้ความรักของพระเจ้า และกฎแห่งความรัก หรือกฎแห่งการให้ ตามพระคัมภีร์ สรุปแล้วบอกว่ายิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากให้คนอื่นมีความสุข เรายิ่งได้ความสุข ยิ่งอยากให้คนอื่นมีทุกข์ เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งเกลียดคนอื่น เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งรักคนอื่น เราก็ยิ่งสุข เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย จำไว้ให้ดีๆ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ แต่ยิ่งอยากให้ ยิ่งได้ นี่คือหลักการของพระเจ้า

นี่คือกฎธรรมชาติ ถ้าบอกว่าหลักการของพระเจ้า บางคนก็จะบอกว่า …

“ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันไม่เชื่อพระเจ้า”

แต่อยากจะบอกว่านี่คือกฎธรรมชาติ และทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาดไปบนโลกใบนี้ ก็ไปโดนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนขี้เกียจ ขยัน ก็โดนแสงอาทิตย์เหมือนกัน ถูกไหม? ไม่ว่าจะเป็นคนแข็งแรง หรือเจ็บป่วย เดินไปใต้ดวงอาทิตย์ ก็ได้รับแสงอาทิตย์เช่นเดียวกันหมด เหมือนฝนตก ไปที่ไหน? มันก็เปียกหมด ไม่ใช่ว่าฝนตกมา คนทำดีไม่เปียก เปียกไหม? เปียก ท่านทำดี ทำไมต้องเปียกด้วย  ก็เพราะมันเป็นกฎ ถ้าคุณทำดี คุณต้องถือร่มด้วย มันจะได้ไม่เปียก มันเป็นกฎใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเอะอะอะไรก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรมๆ ก็มันเป็นกฎ เราต้องเรียนรู้จากกฎ เราจะได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎ

ใครทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ถ้าใครทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ เขาก็จะได้รับตามที่พระเจ้าบอกไว้ ถ้าเขายิ่งให้ เขาก็ยิ่งได้รับเลย ถ้าเขายิ่งเห็นแก่ตัว เขาก็ยิ่งสูญเสีย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งไม่ได้ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ยิ่งเสียหายเยอะ ยิ่งให้ยิ่งได้ นี่คือกฎธรรมชาติ กฎของพระเจ้า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ หมดเลย ฟังนิทานเรื่องนี้ดู รู้ว่าทุกคนอยากฟัง …

… พ่อค้าคนหนึ่ง เขาขนสินค้าจำนวนมาก จะไปขายต่างเมือง โดยเอาลาและม้าไปอย่างละหนึ่งตัว (สมัยก่อนเวลาจะไปไหน ก็จะเอาม้ากับลาไป) และด้วยความที่พ่อค้าเขาอยากจะถนอมม้าไว้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ม้าเอาไว้สำหรับขี่เร็วได้ เขาก็เลยจัดสินค้าทั้งหมด เอาไปไว้บนหลังลา แล้วให้ม้าเดินตัวเปล่าไป ไม่ต้องแบกอะไรเลย ก็ให้ลาแบกเพียงผู้เดียว ม้าก็บอกว่าอย่างนี้ก็สบายจัง ไม่ต้องทำอะไรเลย เดินผิวปาก สบายใจ

แต่สำหรับลา เมื่อถูกให้แบกของหนัก พอมันเดินไปได้ครึ่งทางเท่านั้น มันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า

หมดแรง ลาก็เลยหันมาหาเพื่อน คือม้า แล้วก็บอกม้าว่า …

“ม้าข้าเริ่มรู้สึกหมดแรงแล้ว ถ้ายังขืนแบกของบนหลังต่อไปนะ อีกนิดเดียว ฉันตายแน่ ไม่ไหวแล้ว เพื่อนม้าพอจะแบ่งเบาภาระข้าสักนิดได้ไหมเนี้ย เอาแบ่งไปสักหน่อย เอาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ถ้าต่อไปนะ ข้าตายแน่ๆ ช่วยหน่อยนะเพื่อนรัก ไหนบอกรักข้าไง”

ฝ่ายเจ้าม้าผู้หยิ่งทะนง พอได้ยินลา ร้องขอความช่วยเหลือ ก็หันไปพูดอย่างเพื่อนที่ไร้น้ำใจ

“ฮิ ฮิ ฮิ ได้หมด ถ้าสดชื่น แต่ตอนนี้ข้าไม่สดชื่นเลย ถ้าทำอย่างนั้นไป ข้าไม่สดชื่นเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าไม่มีหน้าที่แบกของหนักๆ การแบกของหนักๆ เป็นหน้าที่ของข้า ข้าเป็นม้านะ เจ้าเป็นลา ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ให้เจ้านายขี่เท่านั้นเอง ข้าคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้หรอก  ฮิ ฮิ ฮิ ตัวใครตัวมันนะ” ม้ามันก็เดินหัวเราะฮิฮิ ไปเรื่อยๆ

ได้ยินดังนั้น เจ้าลาผู้น่าสงสารก้มหน้าก้มตาแบกของทั้งหมด แล้วก็อดทนเดินต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไร? แต่ว่าเพียงเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันก็ล้มลง และขาดใจตายไปเลย พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็เลยขนสินค้าทั้งหมด จากหลังลา เอาไปไว้ที่หลังม้า แค่นั้นยังไม่พอ ยังเอาศพลาที่ตายให้ม้าแบกไปด้วย เพราะศพลาก็มีราคา จะได้ไปขายในเมืองด้วย ถูกหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ม้าได้รับ 2 ต่อ ต้องแบกของทั้งหมดนั้น ร่วมทั้งศพของเพื่อนด้วย หนัก เห็นไหมครับ?

เพราะม้าไร้น้ำใจ ไม่ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระ ความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนลา ผลสุดท้าย มันก็แบกหนักขึ้นไปอีกกว่าเพื่อนด้วยซ้ำไป ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลาอีก อาจจะไม่ตายนะ แต่คางเหลืองไปจนตาย ม้าจะทุกข์ทรมานไปจนตาย เพราะมันต้องทำงานหนัก ถ้ามันตาย ก็ดี แต่ถ้ามันไม่ตาย มันก็ทุกข์ทรมานหนักกว่าลาอีกเยอะมาก จนกว่ามันจะสิ้นชีวิตไป เพราะมันต้องทำงานแทนลาทั้งหมด

ถ้าเจ้าม้าตัวนั้น มันรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้จักแบ่งเบาภาระคนที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่แรก ม้ามันก็คงไม่รู้ตัว มันกำลังทำไม? มันนึกว่ามันไปช่วยลาเช่นไหม? แต่จริงๆ มันช่วยใคร? มันช่วยตัวเองอยู่ เห็นไหม? ถ้าม้าบอกว่า …

“โอเค แบ่งมา”

มันก็นึกว่ามันกำลังช่วยลา ลาจะขอบคุณมัน มันไม่รู้ตัวหรอก ที่ทำไป มันช่วยตัวเองในอนาคต มันไม่รู้ตัว นี่แหละ อุทาหรณ์ บางครั้งเราเห็นว่าเราช่วยคนออกไป เรานึกว่าเราช่วยเขา อย่าคิดอย่างนั้น ท่านกำลังช่วยตัวเอง เวลาเขาขอบคุณท่าน ท่านบอกว่า …

“ไม่ต้องหรอก ผมควรขอบคุณคุณมากกว่า คุณกำลังช่วยผม”

ถูกไหม? มันกลับกัน คิดให้มันกลับกันซะ เขากำลังช่วยเรา เขาเปิดโอกาสให้เรามีโอกาสได้ช่วยเขา เพื่อว่าเราจะได้รับทีหลัง เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  แต่แดดส่องมา มันร้อนแน่ ฝนตกมา มันเปียกแน่ กฎพระเจ้าว่าไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยเขา เรากำลังช่วยตัวเองนั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือสัจจะธรรม  นี่คือตัวอย่างให้เห็นภาพว่าการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระผู้อื่น ปลอบประโลมใจผู้อื่น ตัวเราเองก็จะได้รับ ให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่น เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา โดยที่เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราจะไม่รู้เรื่องเลย มันได้รับแน่นอน มันเด้งกลับมาแน่นอน จะเป็นกี่เด้งเราไม่รู้ แต่เรารู้ว่ามันได้กลับมาแน่นอน

ในพระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:17-18 ได้บันทึกถึงความรัก ในฐานะเพื่อนร่วมโลกกันอย่างนี้ เพื่อนร่วมโลก คือพี่น้องกันนั่นแหละ เห็นหน้าเป็นมนุษย์ คือเหมือนพี่น้องกัน

1 ยอห์น 3:17-18 “17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน แต่ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร? 18 ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”

 

เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ เพื่อประโยชน์ของอีกคนหนึ่ง? ก็ไม่เชิง เพื่อประโยชน์ของท่านเอง สอน เพื่อให้ได้ดีนะ ไม่ใช่มาบังคับ เพื่อให้มาเบียดเบียน ไม่ใช่ กำลังจะบอกว่านี่คือทางที่จะทำให้เจริญ ได้พระพรจากพระเจ้า จะได้เจริญรุ่งเรือง นี่คือหนทางที่ดี เพราะฉะนั้น ทำอย่างนี้นะ ให้เขาไป ถ้ามีความรักของพ่ออยู่ ให้เขาไป แล้วจะได้รับ

ให้ทรัพย์สินในนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทองอย่างเดียว ทุกอย่าง อย่างเมื่อตะกี้ ลาก็ไม่ได้ต้องการเงิน … เงินก็ช่วยเขาไม่ได้ เขาต้องการเอาสินค้าที่เขาแบกอยู่แบ่งเบาไปบ้างเท่านั้นเอง อาหารก็ช่วยเขาไม่ได้นะ อาหารเขาก็ไม่เอา เขาต้องการแบ่งเบาภาระ ปลอบโยนใจเขา แล้วเอามาสัก 2 ถุง ยังพอไหว พอแบกได้มากขึ้น เอาเพิ่มเป็น 3 ได้ไหม? เขาต้องการอย่างนั้นมากกว่า เห็นไหม? ทรัพย์ไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว ไม่ได้หมายถึงอาหารอย่างเดียว หมายถึงอะไรที่ดีๆ ที่แบ่งเบาภาระเขาได้ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ในสถานการณ์เช่นใด สิ่งที่เขาจำเป็นอยู่ เราแบ่งเบาภาระเขา เราเองจะได้รับในอนาคต  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “ใครคือพี่น้องที่แท้จริงของเรา?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017

เรื่อง “ใครคือพี่น้องที่แท้จริงของเรา?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ วันนี้เป็นอาทิตย์แรกของเดือนแห่งความรัก พระคัมภีร์สอนเราว่าอย่างไร? กาลาเทีย 5:14-15 ได้บันทึกอย่างนี้ พระเจ้าสอนเราอย่างไร? พระเยซูสอนเราอย่างไร? ข้อพระคัมภีร์กาลาเทีย 5:14-15 บอกเราอย่างนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเทศกาลนี้ เดือนนี้ทั้งเดือนจะได้เตือนเรา ปีหนึ่งก็ได้ระลึกถึงเรื่องนี้สักทีหนึ่ง เตือนสติ

กาลาเทีย 5:14-15 “14 บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

ถ้าวิวาทกัน แก่งแย่งกัน กินเนื้อกัน ไม่ใช่แย่งกันกินเนื้อวัว ไม่ใช่นะ หมายถึงกินเนื้อกันเอง เราจะตายไปด้วยกัน นี่คือสัจจธรรมบนโลกใบนี้  แต่ถ้าแบ่งเบาภาระกัน แบ่งให้กัน เอื้ออาทรกัน ท่านก็จะไปดีด้วยกันทั้งหมด แล้วลองคิดดูนะว่าโลกจะน่าอยู่ขนาดไหน? ถ้าทำตามพระเยซูบอก แล้วลองสังเกตดูโลกใบนี้ เป็นอย่างนั้นไหมตอนนี้ ทุกวันนี้ แบ่งเบากันไหม? แบ่งกันไหม? เอื้ออาทรกันไหม? หรือกำลังแย่กัน กัดกินเนื้อกัน ใครล้มเหยียบ ใครป่วย ไปแทะเนื้อเขาเลย หรือเผลอๆ เดินอยู่ มาแทะเนื้อเราเล่น อะไรอย่างนี้  เราก็จะกลับไปแทะเนื้อเขาบ้าง?

ลองคิดดู โลกใบนี้เป็นอย่างนี้ไหม? ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูบอก เราก็อยู่กันสบายเลยนะ แต่ถ้าทุกคนมีความคิดอย่างลักษณะนี้ คือกำลังจะเล่าเรื่องให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง ท่านลองนึกถึงภาพว่าโลกใบนี้ ตอนนี้อยู่อย่างนี้ แล้วท่านคิดดูสิว่าจะอยู่กันอย่างไร? จะเกิดผลดีต่อสังคมไหม? สังคมมันจะเป็นอย่างที่พระเยซูอยากให้เป็นไหม? นี่ก็ใกล้ตัวเราเหมือนกันเรื่องนี้ ลองคิดดูว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?

… ลูกค้ากับแม่ค้า ต่างก็ทำไม? เห็นแก่ตัว เจอหน้ากัน ลูกค้า คือคนซื้อ กับคนขาย แม่ค้า ต่างคนต่างวางแผนมา ทั้งสองฝ่าย

สำหรับคนซื้อก็ต้องอย่างไร? … “ฉันจะซื้อให้ถูกที่สุด”

แม่ค้าก็จะคิดอย่างไร? … “ฉันจะขายให้แพงที่สุด”

ไม่รู้ล่ะ ลูกค้า ในกลุ่มของลูกค้าเองก็จะคุยกันว่า … “เวลาเราไปซื้อของนะ แม่ค้าชอบทำแบบนี้ ขายผลไม้ ก็เอาผลไม้ดีๆ วางไว้ตรงหน้าๆ จัดให้เราดูสวยๆ พอเราซื้อ ก็หยิบเน่าๆ มาให้เรา” ลูกค้าก็คุยกันอย่างนี้ ต่อว่าแม่ค้า

พวกแม่ค้าด้วยกัน ก็จะคุยว่า … “ถ้าตานี้มาเมื่อไรนะ หรือแม่คนนี้มาเมื่อไรนะ อย่าลดราคาเด็ดขาด มันต่อทุกร้านเลย ต่อจนร้านสุดท้าย เดินต่อไปๆ บาทหนึ่งก็จะเอา อย่าไปขาย อย่าไปยอม”

นี่เรื่องจริงนะครับ ไปดูร้านค้าที่คล้ายๆ กัน คนนี้มาปุ๊บ เขาจะพูดกันต่อๆ เลย เขาจะปรึกษากันไว้ก่อนด้วยซ้ำ อย่างเราไปทัวร์ เขาจะปรึกษากันเลยว่าห้ามขายต่ำกว่าราคานี้ เพราะเขาจะต่อจากร้านแรกจนไปถึงร้านสุดท้าย เพราะฉะนั้น ร้านแรกและร้านสุดท้าย ราคาเหมือนกัน อะไรประมาณนี้  คือต่างคนต่างป้องกันผลประโยชน์ของตัวเอง ต่างฝ่าย ต่างตั้งใจว่าจะเอามากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความสุขเลย เพราะว่าอยากได้ทั้งคู่

จนกระทั่งในใจไม่ได้คิดอะไร นอกจากว่าผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด แล้วก็ทำให้เสียผลประโยชน์ไป โดยไม่รู้ตัว เสียหายอย่างไร? ลองฟังเรื่องนี้นะครับ ท่านลองคิดดูนะ เรื่องจริงนะ ผมสังเกตดู แล้วผมก็เอามาให้ฟังดู นี่เรื่องจริง หลายคน ก็โดน

… แม่ค้าตั้งราคามังคุดไว้ กิโลกรัมละ 30 บาท นึกในใจตลอดว่า …

“ไม่ให้ใครต่อเด็ดขาด ฉันไม่ยอมลดเด็ดขาด ฉันจะต้องเอากำไรให้สูงที่สุด”

โลละ 30 บาท

คนซื้อก็คิดตลอดเหมือนกัน … “ฉันจะต้องต่อราคาให้ถูกที่สุด”

เกิดมาเพื่อต่อโดยเฉพาะ เพราะต่อแล้วมีความสุข แม้กระทั่งต่อให้สักบาทหนึ่ง ก็มีความสุข นี่คือลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งหมด  มีใครไหมไปซื้อของอย่างเดียวกัน  ร้านเดียวกัน แล้วมีมาบอก

“ฉันดีใจจังเลย ฉันซื้อแพงกว่าเธออีก”

มีไหม? ส่วนใหญ่จะบอกว่าอย่างไร? ดีใจ “เธอซื้อร้านนั้น ฉันซื้อเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกันเลย”

แล้วลงสุดท้ายว่า “ฉันซื้อถูกกว่าเธออีก” ใช่หรือไม่ใช่?

เราอยากจะเยาะเย้ยเขา เพราะว่าเราได้ซื้อถูก … ถูกไหม? ถูกกว่าบาทหนึ่ง ก็ถูกกว่า ดีใจ เอามาอวดกันว่า “ฉันซื้อถูกกว่าเธอ”

ฝ่ายแม่ค้า ก็คิดในใจ … “ไม่ลดเด็ดขาดๆ”

ฝ่ายคนซื้อ ก็คิด … “ไม่ยอมเด็ดขาด อย่างไรก็ต้องลดๆ”

คือมีความสุขอยู่กับบนความทุกข์ของคนอื่น พูดง่ายๆ แล้วในที่สุด ทั้งคู่ก็ไปจะเอ๋กันบนเวที

คนซื้อไปถึงปุ๊บ … “แม่ค้า โลเท่าไร?”

แม่ค้าก็ตอบว่า … “โลละ 30 บาท”

คนซื้อก็คิดในใจ ต้องต่อ เพราะฉะนั้น พอตอบมา 30 ปุ๊บ ในสมองเกิดอะไรขึ้น สงครามเกิดขึ้นแล้ว สงครามในสมองเกิดขึ้น

“ฉันจะซื้อเยอะนะ ซื้อหลายกิโลเลย ลดหน่อยสิ”

“ไม่ได้เด็ดขาด” คุ้นๆ ไหม?  “30 บาทขาดตัว อย่างไรก็ไม่ได้”

“ก็จะซื้อเป็นสิบๆ โลนะ”

“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็ 30”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะซื้อสัก 20 กิโล”

แม่ค้าตั้งใจ หูพึ่งเลย ปกติขาย 2-3 โล นี่จะขอซื้อ 20 โล

“ฉันจะขอซื้อ 20 โล เอาอย่างนี้แล้วกัน เมื่อกี้บอกโลเท่าไรนะ 30 บาท ฉันจะซื้อ เอาอย่างนี้เหมาไปแล้วกัน 3 โล 100 แล้วกัน”

แม่ค้าตกใจ แล้วก็ตอบ “ไม่ได้ ยังไงฉันก็ไม่ให้ ลดไม่ได้เด็ดขาด อย่างไร ก็โลละ 30 เด็ดขาด ขาดตัว ลดไม่ได้ขาด”

ในใจคิดอย่างนั้นตลอดเวลา ป้องกันผลประโยชน์ตัวเองเต็มที่ เข้าใจไหม? ทะเลาะกันแทบตาย ถามว่าเหตุการณ์นี้ มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้

นี่เป็นอุทาหรณ์อันหนึ่ง บางทีเราฟัง เราหัวเราะ แต่จริงๆ แล้ว เรานั่นแหละ พูดกับใคร?  พูดกับตัวเองนั่นแหละ

“ฉันนั่นแหละ เป็นอย่างนั้น”

มันลึกซึ้ง ที่เรากำลังหัวเราะอยู่ มันลึกซึ้งมาก แปลกไหม? โลละ 30 บาท ถ้า 3 โลร้อย มันโลละ 33 บาทกว่าด้วย แล้วทำไมไม่ขายล่ะ ลองคิดในใจ เพราะว่าต่างฝ่าย ต่างคิดอยากได้ไง เลยลืมผลประโยชน์ที่ดีๆ ไปไง เห็นแก่ตัวไง

จำที่ผลให้คติกับท่านได้ไหม? “ถ้าอยากได้ มันจะเสีย” ถ้าไม่อยากได้ คือให้ออกไป มันจะได้ นี่คือหลักของพระเจ้า อีกฝ่ายก็ต่อใหญ่ แทนที่จะซื้อโลละ 30 สบายๆ แล้ว ไปต่อเขา 3 โลร้อย

เพราะอะไรรู้ไหม? ทำไมถึงต่ออย่างนั้น เพราะในใจมันคิดแต่จะหาผลประโยชน์ และคิดจะต่ออย่างเดียวๆ มันก็คุ้นหูมาตลอด ที่เคยซื้อ 3 โลร้อยมันถูกไง ความรู้สึกไง  เวลาเราไปซื้อที่ไหน ก็บอก 3 โล หรือ 3 ชิ้นร้อย มันถูกไง ใจก็คิดว่าอันนี้ถูก ทั้งๆ ที่โง่ เสียผลประโยชน์ไปแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก

“3 โลร้อยแล้วกัน”

ลืมหารไป เพราะในใจมันคิดแต่จะเอาถูก “ฉันจะเอาเปรียบกับเขา” นี่แหละคือสิ่งที่ถูก ได้ราคาถูกแล้ว 3 โลร้อย

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เราฟังดูแล้วเหมือนตลกๆ แต่มันไม่ตลก ถ้าเกิดในชีวิตของเรา  เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ แบบที่พระเยซูสอนเรา  คือการให้ แบ่งเบาภาระ ให้ แล้วเราจะได้

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบ และเป็นแหล่งกำเนิดของความรักแท้ ที่วิเศษที่สุด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คือพระองค์ทรงยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เอง เพื่อมวลมนุษยชาติ พระองค์ทรงรักมวลมนุษยชาติอย่างมาก ยอมตาย เพื่อเขาที่ไม้กางเขน ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนบาป ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายด้วย ที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เราดูแบบอย่างของความรักของพระเยซูคริสต์นี้ และแบบอย่างการเสียสละในความรักแท้นี้ ให้เราหมั่นฝึกฝนในการดำเนินตามรอยเท้า รอยพระบาทของพระองค์ เท่าที่กำลังเราจะสามารถทำได้  คือฝึกฝนนั่นเอง ล้มไป ก็ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็หัดใหม่ ฝึกไปเรื่อยๆพระคัมภีร์บันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนมาก

1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร? คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

 

ไม่ใช่ “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรัก คือมังคุด เราจึงควรจะต่อให้สุด” อย่างนั่นเหรอ ไม่ใช่

ความรัก คือพระเยซูเสียสละ ท่านลองคิดดูนะ  ถ้าเกิดโลกใบนี้ เป็นอย่างนี้ เกิดความสุข มีความสุขมากขนาดไหน? เกิดไปซื้อของ แล้วกลับใหม่ซะ จะมีความสุขมากขนาดไหน? สมมติท่านดำเนินชีวิตแบบนี้ แบบที่พระเยซูกำลังสอน

พระเยซูสอนบอกว่าและเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้องได้อย่างไร?

คุณรู้ไหม? “พี่น้อง” คืออะไร? ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นนะ พี่น้องหมายถึงคนที่ไม่เชื่อด้วยนะ พระเยซูสอน พี่น้องหมายถึงคนที่อยู่ใกล้เรา  … ใครที่อยู่ใกล้เรา?  ใครก็ตาม ที่เราเดินไป แล้วเขาอยู่ใกล้เรา คนนั้นแหละ พี่น้องเรา ถ้าท่านเดินออกไปข้างนอก เจอยามข้างนอก ยามข้างนอกเป็นพี่น้องเรา พี่น้องของท่าน ถ้าท่านออกไปเจอจราจร จราจรเป็นพี่น้อง ถ้าท่านออกไปเจอคนที่มาแย่งชิงกระเป๋าท่านไป เอามือถือท่านไปเลย เขาเป็น … ไม่กล้าตอบ เขาก็คือพี่น้อง แต่ตอนนี้มาขโมยของเราไป ก็จบ ก็ใส่พี่น้องไปสิ ไม่กล้าใส่เหรอ เห็นไหม?

นี่มันหนีไม่พ้น นี่คือพี่น้องของเรา ท่านลองคิดดูสิ สังคมเปลี่ยน เรื่องตะกี้นี้ ง่ายๆ ลองยกตัวอย่างใหม่ เราอดทนตามที่พระเยซูบอก อดทนตามนี้ ไปซื้อมังคุดเขาตั้งไว้ 30 บาท

“แม่ค้าเอาไปโลละ 35 เลยแล้วกัน ขับรถมาตั้งไกล ระยะนี้น้ำมันก็แพง อะไรก็แพง ช่วยนะ ซื้อ 2-3 โล โลหนึ่ง 30 เอ๊าให้อีกห้าบาท” แม่ค้าก็ยิ้ม

แม่ค้าก็บอกว่า “มาซื้อกันประจำ ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้ โลละ 28 ก็พอแล้ว เอาไปเถอะ”

ต่างฝ่าย ต่างให้กันใหญ่เลย มีความสุขทั้งคู่ ได้ทั้งคู่ สิ่งนี้มันจะกำเนิดสิ่งที่เห็นๆ เลยนะ เอาแบบตรรกะ เอาแบบมีเหตุและผลแบบมนุษย์ง่ายๆ ก็คือพอมีสติปัญญา มีสันติสุขอย่างนี้ มันเกิดอะไร แม่ค้าก็ปิ๊ง ในสมองมีสติปัญญา โล่ง สมาธิก็ดี ลูกค้าก็ปิ๊ง โล่ง เดินไปไหนก็สมาธิดี คิดงานก็ออก เราไปทำอันนี้ขาย ได้กำไรเยอะแยะ แม่ค้าเราไปขายทุเรียนช่วงนี้ ได้กำไร? ลูกค้าก็เยอะขึ้น เพราะเอื้ออาทรให้เขา ลูกค้าก็ไปบอกคนนั้นคนนี้

“ร้านนี้ขายดี ขายนี้ผลไม้ดี”

ลูกค้าก็สมองใส คิดอะไรก็ดี แค่นี้ก็เกิดแล้ว ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว ไม่ใช่ กว่าจะได้มา 2 บาท ต่อเขามา 2 บาทแล้ว หน้านิ่ว คิ้วขมวด ลืมคิดถึงงานดีๆ ที่แผนการดีๆ ที่ตัวเองทำอะไรอยู่ สมมติตัวเองขายข้าวแกงอยู่ ลืมคิดว่ามีอะไรดีๆ ที่พระเจ้าจะนำเขา ให้เขาขายต่อไป ซึ่งถ้าเขาสมองดีๆ ใสๆ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งที่รก สกปรกอยู่ในสมองเขา เห็นหรือยัง? นี่เห็นภาพชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำตามถ้อยคำพระเจ้า มันเกิดประโยชน์เสมอ อย่าลืมนะครับ คนที่ใกล้ตัวเรา ไม่ใช่คนที่โบสถ์เท่านั้น คนที่ใกล้ตัวเรา ไม่ใช่คนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น คนที่ใกล้ตัวเรา คือคนที่อยู่ข้างๆ เรา ในขณะที่เราเดินอยู่ข้างนอก คนที่ใกล้ตัวเราที่สุด ไม่ใช่ญาติพี่น้องเราที่บ้านนะ เพราะตอนนั้น เขาอยู่ไกลเรา แต่คือใคร? ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เรา มองไป แล้วใช่คน คนไหนก็ตามที่เป็นมนุษย์ ที่อยู่ใกล้ตัวเรา นั่นแหละ คือพี่น้อง ที่พระเยซูบอกว่าเราต้องเห็นแก่เขา

ฝึกฝน มันไม่ง่าย แต่ว่ามันก็ไม่ยากที่จะฝึกฝนไป อย่างที่บอก ฝึกฝนไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การซื้อของ ไม่ใช่ต่อไปนี้ ซื้อมังคุดไม่ต่อ อย่าอื่นต่อหมด ไม่ใช่นะ ทุกอย่างเลย ไม่ใช่เกี่ยวกับการซื้อของอย่างเดียว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา ที่เกี่ยวกับการต้องเสียผลประโยชน์ หรือจะได้ผลประโยชน์ นึกในใจว่าหัดเสียบ้าง? ยอม เพื่อเขา คิดถึงเขาก่อน ก่อนคิดถึงตัวเราเอง ก่อนทำอะไรก็ตาม คิดถึงเขาก่อนว่าเขาจะเสียอะไรไหม? เขาจะเป็นอย่างไร? คิดอย่างนี้ ตัวเองกับได้ แต่จะคิดเอาตัวเองก่อน เป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นมาตรฐาน กลับเสียผลประโยชน์มากมาย

นี่คือสัจจธรรม ที่เป็นเคล็ดลับที่พระเจ้าสอนเรา พระเจ้าไม่เคยสอนเรา ให้เป็นคนเสียเปรียบเลยนะ เราเข้าใจผิด พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนที่รักแท้ ให้ เสียสละ ไม่เคยเสียเปรียบเลยนะ ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ บทที่ 13 “ความรัก ไม่เคยล้มเหลวเลย” ไม่เคยทำให้ใครล้มเหลว ไม่เคยเห็นมีใครสักคนเสียสละ แล้วให้จนกระทั่งจน ไม่มีอะไรจะกิน ตายไปเลย เคยเห็นไหม? ไม่มีนะ เคยแต่ให้ไปแล้ว จะได้ ได้เรื่อยๆ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ได้ในสันติสุข ความสงบสุขกลับเข้ามาด้วย

เพราะฉะนั้น ขอพระเจ้าเมตตาให้เรามีความรักอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูได้มอบให้กับเรา และส่งมอบความรักแท้ของพระเยซูที่มอบให้กับเรานี้ ให้กับผู้คนรอบข้างเรา ฝึกฝน แล้วก็ย้ำตัวเองอยู่ทุกๆ ปี ปีหนึ่งก็อย่างน้อยมีเดือนหนึ่งที่เขาว่ากันว่าเป็นเดือนแห่งความรัก ไม่ว่ามันจะจริงเท็จอย่างไร ก็อย่างน้อย มีเดือนหนึ่งที่เราจะมานั่งนิ่งๆ ดูตัวเอง ดูตลอด 28 หรือ 29 วันนี้ กุมภาพันธ์ว่าเราเป็นไปตามนี้หรือเปล่า? เรายังอยู่ในประโยชน์ของความรัก ในการดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าสอนเราหรือไม่? หรือเราหลุดออกไปแล้ว เราทำได้แค่ไหน? ปีนี้ ทำได้มากกว่าปีที่แล้วไหม? อดทนได้มากขึ้น เสียสละได้มากขึ้นไหม? หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น ปีหนึ่งได้วิเคราะห์ทีหนึ่ง เหมือนเราวิเคราะห์วันคริสตมาสครั้งหนึ่ง ในความรอด ที่พระเยซูคริสต์สละพระชนม์ชีพของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้เป็นต้น หรือวันอีสเตอร์ที่เรามาระลึกถึงการตายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นต้น เดือนกุมภาพันธ์เป็นการระลึกถึงอะไรบ้าง? เศษเล็ก เศษน้อยในชีวิตของเรา ที่สามารถฝึกฝนตรงนี้ได้ ให้เราฝึกฝน ข้อสำคัญที่สุด ง่ายที่สุด คือเราสามารถอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า และสติปัญญาจากพระเจ้า ให้เราสามารถทำได้ ตรงนี้ ได้เปรียบกว่าใครเพื่อนตรงนี้เลย อยากทำ ทำไม่ได้ พระเจ้าให้กำลัง เอเมน และพระเจ้าให้แน่นอนเลย เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ขออะไรก็ตามที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ได้แน่ๆ เอเมน

 

*****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 11 “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 11 “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มีชื่อตอนว่า “สิ้นยุคบาบิโลน ตามแผนการพระเจ้า” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้พระคัมภีร์ตามหนังสือดาเนียล บทที่ 5 เป็นช่วงเวลาประมาณ 30 ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ และอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เนโบนีดัส ซึ่งสนใจแต่การค้าและขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ไม่ชอบเรื่องการปกครอง ก็เลยแต่งตั้งให้ลูกชาย ขึ้นมาปกครองดูแลแทน ลูกชายชื่อกษัตริย์เบลชัสซาร์ ตามเนื้อเรื่องในดาเนียล บทที่ 5  ที่เราได้เรียนรู้กันบอกไว้อย่างนี้ว่ากษัตริย์เบลชัสซาร์ได้กระทำสิ่งชั่วร้าย ในสายพระเนตรพระเจ้า คือสั่งให้นำเอาภาชนะศักดิ์สิทธิ์ ที่ยึดมาจากวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์มาใช้ในงานรื่นเริงในวัง ดื่มเหล้ากับเหล่าขุนนางเมากัน แค่นั้นยังไม่พอ ยังพากันสรรเสริญเทพเจ้ารูปปั้น รูปเคารพต่างๆ อีกมากมาย ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง และต้องการที่จะลบหลู่พระนามพระเจ้า จนกระทั่งพระเจ้าให้นิ้วมือปรากฏขึ้น แล้วเขียนข้อความบางอย่าง บนผนัง เป็นอักษรปริศนา เหตุการณ์นี้ ทำให้กษัตริย์เบลชัสซาร์กลัวมาก สั่งให้เรียกโหราจารย์และนักปราชญ์ นักอาคมทั้งหลายมาอ่านและแปลความหมายข้อความบนผนัง ซึ่งก็ไม่มีใครทำได้

เราก็รู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าจะสร้างฮีโร่อีกครั้งหนึ่งแล้ว จนกระทั่งพระราชินี คือผู้เป็นแม่ของกษัตริย์เบลชัสซาร์ ก็นึกถึงดาเนียลขึ้นมา เพราะว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน ตอนนั้นดาเนียลอายุประมาณ 80 เศษๆ กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็เลยให้คนไปตามดาเนียลมาเข้าเฝ้า แล้วก็บอกว่าถ้าดาเนียลอ่านข้อความและแปลสิ่งนี้ได้ จะให้รางวัล คือแต่งตั้งให้เป็นลำดับที่ 3 คือจากพ่อ พระราชบิดา ตัวเขาเอง แล้วก็จะให้รองจากเขาเลย

คราวที่แล้วเราได้อ่านดาเนียล บทที่ 5 จนจบแล้ว เราได้ทราบข้อความปริศนา ซึ่งเป็นเรื่องล้ำลึก เรื่องลี้ลับ ที่ต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ให้รับรู้จากพระเจ้าเท่านั้น จึงสามารถทำได้

เราลองย้อนเวลากลับไปที่พระราชวังเบลชัสซาร์ในคืนวันนั้น กำลังเลี้ยงฉลองกัน เอาภาชนะทองคำ อันบริสุทธิ์ ซึ่งปล้นมาจากวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม เก็บไว้ในที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ที่เป็นวิหารของรูปเคารพที่เขานับถืออยู่ กำลังเลี้ยงใหญ่อยู่ มีขุนนาง แขกมาสักพันคน แล้วปรากฏว่ามีนิ้วมือ เขียนข้อความปริศนาบนผนัง จริงๆ มันเป็นลักษณะของตัวอักษรที่เรียงกันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ท่านเป็นดาเนียล ท่านจะทำอย่างไร? ท่านคิดว่าท่านแก้ได้ไหม? บนผนังเขียนไว้อย่างนี้

            น ว ช น น ย อ ณ

เรามาลองช่วยกันดู แบ่งคำ ตัดอักษรสองตัวเป็นหนึ่งคำ

น ว / เป็นหนึ่งคำ

ช น / เป็นหนึ่งคำ

น ย / เป็นหนึ่งคำ

อ ณ / เป็นหนึ่งคำ

มันก็มี 4 คำ ท่านจะแบ่งแต่ละตัวเป็นหนึ่งคำ ก็ได้ เช่น น / ว / ช / น / น / ย / อ / ณ  ทั้งหมดเป็น 8 คำ แล้วแต่ท่านจะขีดตรงไหน? คือแบ่งเป็นคำ สมมติว่าแบ่งเป็นคู่ๆ

“น ว” เป็น น้ำหวาน, นับวัน, นี่หว่า, นักวาด, ในวัง

ท่านก็คิดไปเรื่อย นี่ขนาดแบ่งคำก็ยากแล้ว ถ้าจัดกลุ่ม ท่านต้องคิดให้ออกด้วยว่ากลุ่มนั้น มันเป็นคำอะไรได้บ้าง?

ผมลองแบ่งเป็นอย่างนี้ 2 ตัวเป็นหนึ่งคำ แล้ว 3 ตัว เป็นหนึ่งคำ

น ว / ช น น / ย อ ณ

“ช น น” เป็น  ชนนี, ชนะแน่, ใช้แน่นอน, ชั่วแน่นอน

มันไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ที่จะทำตรงนี้ได้ มันยากมากๆ เลย

ความรักจากพระเจ้าที่ให้ในวันนั้น เกี่ยวข้องกับวันนี้เลย ก็คือให้ดาเนียลเว้นคำ ดาเนียลแบ่งเป็น 3 ตัว “ช น น” คือ ชั่งน้ำหนัก

เสร็จแล้ว 3 ตัวสุดท้าย คือ ย อ ณ  แยกอาณาจักร

พระเจ้าบอกดาเนียลแล้วว่าเป็นอะไร? …

คำที่ 1 น ว … นับเวลา หมายถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ ถูกพระเจ้านับเวลา ในการครอบครองอาณาจักรบาบิโลนหมดแล้ว สิ้นสุด คือการนับเวลา

คำที่ 2 ช น น … ชั่งน้ำหนัก  คือพระเจ้าได้เอากษัตริย์เบลชัสซาร์ เหมือนขึ้นศาล ชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าไม่ได้มาตรฐานของพระเจ้า สอบตก

คำที่ 3 ย อ ณ … แยกอาณาจักร ก็คือเมื่อสอบตก ก็ถูกริบเอาสิทธิอำนาจ และอาณาจักร และตำแหน่งกษัตริย์ออกมาจากเบลชัสซาร์

ก็คือจบ นี่คือสิ่งที่ดาเนียลได้ทำในวันนั้น ซึ่งเมื่อเป็นภาษาพระคัมภีร์ เป็นภาษาฮีบรู หรือภาษาอะไรต่างๆ ในสมัยก่อน อ่านว่า …

เมเน เมเน แปลว่านับเวลา ความหมายคือพระเจ้าได้ทรงนับเวลาของรัชกาลของกษัตริย์เบลชัสซาร์ และนำมาถึงจุดจบแล้ว

เทเคล แปลว่าชั่งน้ำหนัก คือเบลชัสซาร์ถูกชั่งน้ำหนักบนตาชั่ง และเบากว่าที่กำหนด  เบากว่ามาตรฐานพระเจ้า

เปเรส แปลว่าแบ่งแยก ความหมายคือราชอาณาจักรของเบลชัสซาร์จะถูกแบ่งแยก และยกให้ชาวมีเดีย

หลังจากที่ดาเนียลแปลความหมาย ข้อความบนผนังเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่าในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ก็ถูกปลงพระชนม์ และดาริอัสแห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้  ช่วงเวลาในราวปี 539 ก่อนคริสตศักราช มาถึงตรงนี้ เรียกได้ว่าเป็นการสิ้นยุคบาบิโลน ที่เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เรียกว่าเป็นยุคทองของบาบิโลนในสมัยนั้น และมีการสร้างสวนขนาดใหญ่มากบอกไว้ว่าหนึ่งใน 7 มหัศจรรย์โลก มาถึงทุกวันนี้เลย สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Hanging Gardens of Babylon เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก

ยังจำเหตุการณ์ที่ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหมก่อนหน้านี้ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ฝันเห็นรูปปั้น แล้วดาเนียลก็ทำนายฝันรูปปั้นนั้นว่า …

“ศีรษะ” ทำด้วยทองคำ เล็งถึงอาณาจักรบาบิโลน ที่กำลังรุ่งเรือง

นี่ตอนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เพิ่งเริ่มครองราชย์ใหม่ๆ บาบิโลนเพิ่งจะเรืองอำนาจใหม่ๆ ไม่กี่ปี พระเจ้าให้คำพยากรณ์ คำบอกล่วงหน้า คำเผยพระวจนะผ่านทางดาเนียลว่ามันเป็นอย่างนี้

“หน้าอกและแขน” ทำด้วยเงิน คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซียที่มาโค่นบาบิโลน

“ท้องและต้นขา” ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงยุคกรีก

“ขา” ทำด้วยเหล็ก คือยุคอาณาจักรโรมัน

“เท้า” ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ก็คือการแผ่กระจายอำนาจของกลุ่มโรมันที่เข้าไปสู่ประเทศเล็กๆ ต่างๆ ในยุโรป จนถึงปัจจุบัน

เมื่ออาณาจักรบาบิโลนล่ม ก็มาสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย อันที่ 2 เริ่มต้นแล้ว พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เป็นอย่างนั้น พออันที่ 2 เริ่มต้นปุ๊บ เดี๋ยวมีเดียเปอร์เซีย ก็จะถูกอาณาจักรกรีกโค่นทำลาย อาณาจักรกรีกก็จะถูกโรมันโค่นทำลาย แล้วหลังจากอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจแล้ว จะมีหินก้อนหนึ่ง ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า หินก้อนนี้ก็จะมากระแทกถูกเท้าของรูปปั้นนี้ จนแตกกระจายหมด ไม่เหลืออะไรเลย  และหินก้อนนี้ ก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นภูเขามหึมา คลุมโลกใบนี้หมด และหินก้อนนี้ คืออาณาจักรพระคริสต์

ให้ท่านเห็นว่านิมิตที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ทุกอย่างถูกกำหนดและมีบันทึกไว้ล่วงหน้าอย่างนี้ ก่อนเหตุการณ์จริงๆ จะเกิดขึ้น แม้กระทั่งเวลา ปียังตรง แบบเป๊ะๆ ทั้งหมดเลย

ในเยเรมีย์ อันนี้เป็นอันหนึ่งที่บอกล่วงหน้าแล้วว่าเนบูคัดเนสซาร์เป็นใคร? เยเรมีย์ 27:4-6 สิ่งนี้พูดไว้ ก่อนที่เนบูคัดเนสซาร์จะเป็นกษัตริย์ด้วย พูดก่อนแล้ว

เยเรมีย์ 27:4-6 “4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า 5 “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

นี่คือคำพูดของพระเจ้า พูดกับชาวยิว ชาวอิสราเอล ชาวยูดาห์ พูดว่า …

“บัดนี้เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ ของเรา (หรือผู้ที่เราจะใช้เขา) แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

ตอนที่พูด ประมาณหลายสิบปีก่อนที่เนบูคัดเนสซาร์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ตรงตามนี้เป๊ะเลย  เขาบอกว่าเขาสามารถควบคุมจิตใจของสิงโต สมัยก่อนพวกเสือ สิงโต ในแถบนั้น เขาถือว่าเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ มีพลัง แต่เนบูคัดเนสซาร์สามารถควบคุมสิงโตได้ นี่เรื่องจริง แล้วชอบเรื่องเกี่ยวกับสิงห์สาราสัตว์

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง หลายสิบปี ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนนั้น เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ไม่ใช่เนบูคัดเนสซาร์เก่ง พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบครองของบาบิโลนเป็นเวลา 70 ปี และจากนั้นอาณาจักรบาบิโลนจะถูกลงโทษบ้าง ถูกโค่นลง ก็คือสมัยกษัตริย์เบลชัสซาร์ที่เราเรียนกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เยเรมีย์ 25:12  ได้บันทึกไว้อย่างนี้

เยเรมีย์ 25:2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

มีเหตุและมีผล กษัตริย์บาบิโลนผู้นี้ ก็คือเบลชัสซาร์ พอครบ 70 ปีตามที่กำหนดไว้เป๊ะ บาบิโลนก็ถูกโค่นล้มลงจริงๆ วันที่ครบ 70 ปี ก็คือวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้ให้ดาเนียลมาอ่านข้อความบนผนังนั้น บาบิโลนก็ถูกโค่นหมด ในคืนวันนั้น

นี่คือสิ่งที่เราเน้นกันมาตลอด ในการบรรยาย เรื่องของดาเนียลว่าจงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า คำว่า “จงนิ่งเสีย” ก็คือให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ทั้งบนฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้กำกับโลกใบนี้ ถ้าเราเปรียบโลกใบนี้เป็นโรงละครโรงใหญ่ พระเจ้าก็ทรงเป็นผู้กำกับ

ชาวยิวต้องมาเป็นเชลยที่บาบิโลน ก็เป็นแผนการของพระเจ้า เนบูคัดเนสซาร์ได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เรืองอำนาจ ก็เป็นแผนการของพระเจ้า อาณาจักรบาบิโลนต้องถูกโค่นลง ก็เป็นแผนการของพระเจ้า  ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และรวมทั้งอาณาจักรต่างๆ หลังจากบาบิโลน มาเป็นมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก เป็นโรม และเป็นอะไรต่างๆ ต่อมา ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้า อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เรียบร้อยตอนที่พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บอกไว้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์จะมาเริ่มต้นอาณาจักรสวรรค์ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรพระคริสต์ แล้วรวบรวมผู้คนของพระองค์ทั้งหมด ตั้งแต่ 2,000 ปีแล้ว จะรวบรวมต่อไป และจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด จะครอบครองอยู่เหนือโลกนี้ทั้งหมด และครอบครองอยู่เหนือมหาจักรวาลทั้งหมดเลย และไม่มีอาณาจักรไหนเหลืออยู่แล้ว นอกจากอาณาจักรของพระคริสต์เท่านั้นในอนาคต เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแผนการของพระเจ้าด้วย และมันก็ต้องเป๊ะๆ เหมือนกันด้วย

ที่สัญญากับเราไว้ว่าสวรรค์เป็นของเรานิรันดร์ เราก็นอนยิ้ม นั่งยิ้มเลย ขณะที่เรานอนหลับกลางคืน ก็ฝันว่าอย่างไร?

มีสวรรค์อันงดงามเลิศนักหนา      ถ้าเราเชื่อจึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา         และเดี๋ยวนี้ ยังเตรียมที่ไว้ก่อนท่า

ในเวลา ไม่ช้านาน                            จะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ

ในเวลา ไม่ช้านาน                            ฉันจะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ

ที่พักนั้น คือ Kingdom of Chrits. หรือประเทศที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วเราเป็นประชากร เรามีบัตรประชาชน เขาเรียกว่า ID Card บอกว่าเราเป็นใครในอาณาจักรพระคริสต์ ท่านมีหรือยัง? มีแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า คือให้เรารับรู้ตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่จริงๆ พระคัมภีร์ย้ำเสมอว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระองค์ทรงทำงานทุกสิ่งตามแผนงานของพระองค์ เพื่อพระสิริ พระเกียรติของพระองค์ และเพื่อสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้นมา นำพาเขาขึ้นมา สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงทำให้ดีหมด แม้กระทั่งต้นไม้ ก้อนหิน และมากกว่านั้นสักเท่าไรที่พระองค์ต้องการให้มนุษย์บนโลกใบนี้ได้ดี เพราะมนุษย์บนโลกใบนี้  คือลูกของพระองค์ที่พระองค์ทรงสร้างมา จากวิญญาณของพระองค์เอง มีสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวที่มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในนั้น ก็คือมนุษย์

ดาเนียลกับเพื่อน รวมทั้งชาวยิวก็ถูกต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ทุกครั้งที่เขาเผชิญปัญหา อุปสรรค ท้อแท้ เขาจะเข้าไปหาพระเจ้าเสมอ นี่เป็นตัวอย่างดีอันหนึ่งที่เราสบายกว่าเขาตั้งเยอะ เราเป็นคริสเตียนทุกวันนี้ ปัญหาน้อยกว่าเยอะเลย เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา และจากเรื่องราวของทั้งจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์และเบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ก็ได้สอนเราในเรื่องใจที่ถ่อมลง รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และไม่เย่อหยิ่ง ยโส โอหัง สดุดี 31:23 บันทึกไว้อย่างนี้

สดุดี 31:23 “ประชากรทั้งสิ้นของพระเจ้าเอ๋ย จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องรักษาผู้ที่ซื่อสัตย์ แต่ผู้ที่เย่อหยิ่งอวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่”

 

พระเจ้าชอบคนมีใจถ่อม  ซื่อสัตย์  แต่ผู้ที่เย่อหยิ่ง อวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่ เพราะรักเขานะ

จะเห็นได้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เป็นตัวอย่างของผู้ที่ได้รับการอวยพรอย่างมาก และประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ไม่สามารถจัดการกับความสำเร็จของตัวเอง ให้ถูกต้อง ถูกวิธีได้ ไม่สามารถควบคุมความภาคภูมิใจของตัวเอง ให้มันอยู่ในระดับที่พอดีได้ เมื่อความภาคภูมิใจมันเยอะเกินไป มันก็ล้นออกมา จนกลายเป็นความเย่อหยิ่ง ยกตนข่มท่าน คนที่อวดตัว ก็จะไปข่มเหงผู้อื่น ดูถูกผู้อื่น ดูแคลนผู้อื่น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อความเย่อหยิ่งเข้ามา ความพินาศก็จะตามมาทันที สุภาษิต 11:2 บันทึกไว้อย่างนี้

สุภาษิต 11:2 “เมื่อความเย่อหยิ่งมา ความอัปยศก็ตามมา ส่วนปัญญา มากับความถ่อมสุภาพ”

 

สุภาษิต 16:18 “ความยโสโอหัง จะทำให้พินาศ และใจหยิ่งผยอง จะทำให้ล้มคว่ำ”

 

ไม่ใช่ล้มธรรมดา ล้มคว่ำเลย จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าในยุคไหน? สมัยไหน? ก็ตาม ปกติแล้วพระเจ้าอวยพรให้ ประทานความสำเร็จพิเศษให้ ประทานความสามารถให้ แรกๆ ขอบคุณพระเจ้า

“ลูกขอบคุณพระเจ้า ทุกสิ่งที่ลูกมีอยู่เป็นของพระองค์ ล้วนเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เดียว”

นี่คือตอนแรกๆ พอได้ไปเรื่อยๆ ชักชิน ชักใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นานๆ เข้า ความสำเร็จ มันเยอะ ความคิดมันก็เริ่มเปลี่ยนนิดๆ ที่เคยบอกทุกอย่างมาจากพระเจ้า ตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าเราก็ไม่น้อยหน้าเขา เราก็เก่งเหมือนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราเก่ง พอเราแน่ คนอื่นก็เริ่มแย่ เริ่มเปรียบ เริ่มทนไม่ไหว เริ่มข่มท่านนั่นเอง นี่แหละความเย่อหยิ่งมักเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเราทำอะไรดีกว่าคนอื่น เหนือกว่าคนอื่น จากที่เชื่อฟังคำแนะนำ คำสอนของผู้อื่น ก็ไม่ฟังใครแล้ว สอนไม่ได้ เตือนไม่ได้ แนะนำก็ไม่ได้ มันโดนหมดเลยนะ คิดให้ดีๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ บางทีบางคนไม่ได้สำเร็จอะไรมาก สำเร็จเรื่องอายุเท่านั้นเอง พอตัวเราเองอายุมาก เด็กๆ มาเตือน

“ฉันเป็นใคร? ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกนะ”

นั่นก็คือความเย่อหยิ่งชนิดหนึ่ง มันไม่ได้เป็นความสำเร็จอะไร? นึกว่าเป็นความสำเร็จ เรามีอายุมาถึงปูนนี้ได้ 70-80 ได้ เราก็นึกว่าเราแน่กว่าเขา ไม่ฟังเขา เด็กๆ เขาอาจจะมีแนวคิดแบบเจเนชั่น Z  เราไม่ฟังเขา

“ฉันจะเอาอย่างนี้ สมัยก่อนเป็นอย่างนี้”

“นั่นมันสมัยพ่อ นี่มันสมัยฉันแล้ว”

ระวังจะโดนอย่างนั้นนะ ต้องไปเหมือนสมัยก่อน บางเรื่องโอเค แต่บางเรื่องเราต้องฟังเขา บางเรื่องต้องเปลี่ยนแปลงไป บางเรื่องต้องรักษาไว้ มันต้องฟังบ้าง ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะโดนมากกว่า ผู้ใหญ่จะเป็นอย่างนี้มากกว่า เด็กๆ คงไม่อย่างนี้หรอก

ดังนั้น ความเย่อหยิ่ง ผยอง มักเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าเราเหนือกว่าผู้อื่น ความเย่อหยิ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ที่สามารถทำลายชีวิตของเรา หรือใครก็ตาม อย่างเงียบๆ ทีละนิดทีละหน่อย เคยได้ยินไหม ที่เขาพูดว่า …

“ความสำเร็จ ฆ่าคนได้”

ถามว่าความสำเร็จที่ฆ่าคนได้ เพราะอะไร? เพราะถูกฆ่าด้วยความเย่อหยิ่ง ความเย่อหยิ่งฆ่าคนที่สำเร็จใหญ่โตได้ มันมีโอกาสกว่าคนอื่น คนนั้นก็มายอ คนนี้ก็มายอ เมื่อความภูมิใจมีเยอะ โอกาสที่จะเย่อหยิ่งก็เยอะ พอความเย่อหยิ่งเยอะมากขึ้น เดี๋ยวความพินาศ ก็ตามมามากขึ้น นี่มันเห็นเป็นเหตุเป็นผลเลย 1 เปโตร 5:5-6 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 5:5-6 “5 ให้ท่านทุกคนถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ6 เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมใจลง ภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้น เมื่อถึงเวลาอันควร”

 

นี่คือเคล็ดลับจริงๆ อยู่กับพระเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ เคล็ดลับที่คนนึกไม่ถึง ทำอย่างไรเราถึงจะเจริญรุ่งเรืองได้ ทำอย่างไรเราจึงเป็นที่รักของพระเจ้าได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่รอดปลอดภัย และทางเรียบ ไม่ขรุขระมากนัก พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ ใครๆ ก็อยากได้พระคุณจากพระเจ้า พระคุณมากยิ่งกว่าพระพรอีกนะ เพราะพระคุณ คือเราทำผิด ก็ยังให้ พระพร ถ้าเราทำผิด ก็ไม่ได้ พระพรเหมือนกับว่ามันเป็นกฎระเบียบ ถ้าท่านไม่ฝ่าไฟแดง ท่านก็จะได้รับพระพร ถ้าท่านฝ่าไฟแดง ท่านก็จะได้รับคำสาปแช่ง แล้วถามว่าตำรวจเป็นศัตรูกับท่านหรือ? เปล่า รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นศัตรูกับท่านหรือ? เปล่า กฎระเบียบเขามีไว้อย่างนี้ว่าถ้าท่านฝ่าไฟแดง ก็คือผิด ต้องโดนลงโทษได้รับคำสาปแช่ง แต่ถ้าท่านไม่ฝ่า ท่านได้พร บางครั้งคนที่ได้พรอยู่ ก็ไม่ได้นึกว่าตัวเองได้พรอยู่ จนกว่าเมื่อไรถูกสาปแช่ง จึงรู้ว่าสมัยก่อนมันคือพร ตอนที่ขับรถอยู่สบายๆ ไม่มีใครมาจับ ไม่เคยนึกถึงว่าเราได้พระพร ฝ่าไฟแดงครั้งหนึ่ง ถึงรู้ว่าการไม่ฝ่า คือพรอันยิ่งใหญ่

พระเจ้าต่อสู้กับคนที่เย่อหยิ่งจองหอง ก็คือคนนั้นไม่ได้พระพร ก็คือกฎระเบียบของพระเจ้าต่อสู้นั่นเอง เพราะฉะนั้น ต้องฝึก ที่จะถ่อมใจ ระลึกอยู่เสมอว่าความสามารถของเราทุกอย่าง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ สำคัญหรือไม่สำคัญ มาจากพระเจ้า อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า ถึงความสามารถที่พระองค์ทรงประทานให้เราเสมอ มีใครภูมิใจในการทำอาหารอร่อยไหม? มันอดไม่ได้ มีคนชมบ่อยๆ เราทำอร่อย  นั่นก็คือความหยิ่งยโสอันหนึ่ง มันจะมาเรื่อยๆ อย่านึกว่าเราไม่ได้ดังอะไร? เราไม่มีใครรู้จัก มันสามารถออกมาได้ ทุกสถานะของผู้คน ถวายเกียรติแด่พระเจ้าทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จอะไรก็ตาม ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ขอบคุณพระเจ้าเสมอ

“ทำกับข้าวอร่อยจริง”

“ขอบคุณพระเจ้า”

ไม่ต้องไปบอกอย่างนี้ “ไม่ต้องชมๆ”

ช่างเขา เขาจะชม ก็ขอบคุณพระเจ้า คือรับ แล้วก็มอบให้พระเจ้า ถ้าท่านไปรับเยอะๆ แล้วรับด้วยตัวเอง ท่านต้องรับผิดชอบ ถ้าท่านไม่รับชอบ ท่านก็ไม่ต้องรับผิด ถ้าท่านรับชอบด้วย ท่านก็ต้องรับผิดด้วย เขาจึงเรียกว่ารับผิดชอบ ไม่อร่อย ก็แล้วแต่พระเจ้า

“พระเจ้าให้มาแค่นี้”

ก็ไม่ได้โกรธอะไร?  ถ้าทำอาหารอร่อย ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่อร่อย เขาว่าเรา ไม่ต้องโกรธ ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ต้องไปฝึกให้มันดีขึ้น

เพราะฉะนั้นเราต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนเสมอ มอบให้พระเจ้าก่อนเลย ถูกโวยมา ก็ขอบคุณพระเจ้า ถูกชม ก็ขอบคุณพระเจ้า 1 พงศาวดาร 29:11-12 เป็นการสรุปเรื่องที่เราได้เรียนมาตลอด 11 ตอน ในเรื่องเกี่ยวกับหนังสือดาเนียล

1 พงศาวดาร 29:11-12 “11 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ เกียรติสิริ บารมี และเดชานุภาพ เป็นของพระองค์ ทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และในพิภพโลก เป็นของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูน ในฐานะประมุขเหนือสิ่งสารพัด 12 ความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่ง พลังอำนาจอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่จะเชิดชูและประทานกำลังแก่ทุกคน”

 

สรุป ก็คือจงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า  ก็คือรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ทรงครอบครองควบคุมสรรพสิ่ง ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง ผู้ทรงพระเกียรติสิริแต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว และเมื่อรับรู้ขนาดนั้นไม่พอ ต้องรับรู้ต่อจากนั้นด้วย และพระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจทั้งหมด ตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันอีสเตอร์แรกของโลก 2,000 ปีมาแล้ว สิทธิ์อำนาจทั้งหมดที่เรากำลังพูดอยู่นี้ ที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ตลอดเวลาว่าพระองค์เป็นใคร? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? บัดนี้ มามอบให้กับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ที่พระองค์ประทานให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ควบคุมอยู่เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์ และอาณาจักรของพระเยซูคริสต์นี้ พระคัมภีร์ พระเจ้าได้บอกล่วงหน้าแล้ว เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่บอกล่วงหน้า แล้วเราไปเช็คกันดู แล้วมันก็เกิดขึ้นตามนั้นทุกอย่าง สำหรับอาณาจักรของพระคริสต์  หรือพระบุตรของพระองค์นั้น ได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว เผยพระวจนะไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะดำรงอยู่ตลอดกาล จะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้มากขึ้นๆ แผ่ขยายไปจนกระทั่งเต็มโลก ตามคำสั่งของพระเจ้า จนบริบูรณ์ คลุมไปหมดเลย เหลืออาณาจักรเดียวในอนาคต ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน เหลือประเทศเดียวในอนาคต เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่าประเทศอื่นๆ เพราะว่าระบบ เทคโนโลยีจะสูงสุดเลย  เพราะว่าเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเทคโนโลยีแบบวิญญาณ เราจะมีร่างกายใหม่ ที่ไม่ใช่เป็นอย่างนี้  มันเป็นการเปลี่ยนระบบทางวิญญาณ

ทุกวันนี้ ท่านรู้ไหมว่าระบบมันเปลี่ยนมา 2,000 ปีอย่างไร? 4,000 ปีอย่างไร? นี่มันเปลี่ยนอยู่นะ ชีวิตพวกเรา ร่างกายพวกเรา การมอง การเห็น มันเปลี่ยนไปตลอด แม้ว่าท่านดูเหมือนมนุษย์ในสมัย 2,000 ปีก่อน  แต่มันไม่ใช่ มันเปลี่ยนไปตั้งเยอะแล้ว ทั้งระบบเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไป การรับประทานอาหาร ก็เปลี่ยนไป การเดินทางก็เปลี่ยนไป การใช้เครื่องบิน การใช้จรวดก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปหมดเลย มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และสุดท้าย มันจะเหลืออยู่ประเทศเดียว ที่มีเทคโนโลยีสูงสุดเลย ร่างกายเราจะมียิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก เรียกว่ากายทิพย์ อาจารย์เปาโลใช้คำนี้  เป็นร่างกายทางฝ่ายวิญญาณ อาจารย์เปาโลบอกว่าร่างกายฝ่ายเนื้อหนังอย่างนี้ ที่เห็นๆ มีใช่ไหม? ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ก็มีด้วย และเราจะได้รับร่างกายนั้น เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์ปกครองและควบคุมอยู่เหนืออาณาจักรทั้งมวล เอเมน

และสิ่งทั้งมวลต่างๆ ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นจริง เป๊ะๆ แล้ว สิ่งที่กำลังพูดนี้ เรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรพระคริสต์ ก็ต้องเป๊ะๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อย่าหยิ่งยโสโอหัง ทะนงตน แต่จงถ่อมใจ และแสวงความจริงจากองค์พระเยซูคริสต์เถิด และพึ่งในพระองค์  ไม่ว่าคนที่เชื่อแล้ว เป็น คริสเตียนแล้ว หรือคนที่ยังไม่เชื่อก็ตาม ถ่อมใจและเชื่อในพระองค์ พึ่งในพระองค์เถิด พระคัมภีร์ได้สอนไว้ว่าใครที่ถ่อม และแสวงหาพระองค์ คนนั้นก็จะได้พร ก็คือคนนั้น ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิต ใครที่ทะนงเย่อหยิ่ง อวดดี ก็จะได้รับการลงโทษ มันเป็นกฎ มันเป็นระเบียบ

เพราะฉะนั้น ให้เราพึ่งพาในพระเจ้า และผลตามมา ก็คือเมื่อพึ่งพาในพระเจ้า เราก็จะรักมนุษย์ เราจะไม่ยกตนข่มท่าน เราก็จะได้พบกับพระพรในชีวิตเยอะแยะมากมาย สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ตรงกันข้าม คือเมื่อพึ่งในตัวเอง เราก็จะข่มเหงมนุษย์ แล้วก็จะโอหัง อวดดี แล้วก็จะไม่ได้รับพระพร คือสิ่งดีๆ ในชีวิตเลย

          สรุปแล้ว เป็นตรรกะ เป็นสูตรอย่างนี้ว่า …

                                      …  พึ่งพระเจ้า รักมนุษย์ ถ่อมใจ ได้รับพระพร  …

                   หรือจะ        …  พึ่งตัวเอง ข่มมนุษย์ โอหัง อวดดี ไม่ได้พระพร  …

 

ขอให้ท่านเลือกอย่างแรก ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 10 “จงถ่อมใจและวางใจในการควบคุม ของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 10 “จงถ่อมใจและวางใจในการควบคุม

ของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นตอนที่ 10 ของการบรรยายชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” มีชื่อตอนว่า “จงถ่อมและวางใจในการควบคุมของพระเจ้า (อักษรปริศนาบนผนัง)”

เรายังคงเรียนรู้ผ่านทางเรื่องราวของดาเนียล ที่เป็นตัวอย่างของการมอบถวายชีวิตให้กับพระเจ้า และเชื่อวางใจแบบสุดๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมและครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

ครั้งที่แล้ว ดาเนียลบทที่ 4 เราได้จบลง ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ หลังจากที่กลับไปกลับมา ที่สรรเสริญสลับกับความเย่อหยิ่ง ทะนงตน ยังจำได้ใช่ไหมครับว่าดาเนียลทายความฝันถูก เนบูคัดเนสซาร์ก็ยกย่องสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่ พอแป๊บเดียว ไม่นาน ก็สร้างปฏิมากรรมรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ แล้วก็ทะนงว่าตัวเองใหญ่มาก บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ พอเพื่อนดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ก็โกรธมาก เปิดไฟแรงที่สุด โยนเลย แต่พอได้เห็นพระเจ้าทำการอัศจรรย์ช่วยเหลือเพื่อนดาเนียลทั้งสามรอด จากการถูกไฟไหม้

“อ้าว! ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ยังอยู่เหรอ”

ก็เสียงอ่อนเลย ยอมจำนนอีก สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้าอีกแล้ว แต่พอยอมจำนนต่อพระเจ้าได้ไม่นาน ก็กลับมาลืมตัวอีก มีอยู่คืนหนึ่ง เนบูคัดเนสซาร์ก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าของพระราชวัง มองลงมา เห็นอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล แล้วก็เห็นความอัศจรรย์ของสวนลอยฟ้าบาบิโลน ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นประจักษ์พยานว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? แล้วพูดว่า …

“เราเองเป็นผู้สร้างอาณาจักรบาบิโลน อันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้  ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเราเอง และเพื่อเกียรติบารมีของเราเอง”

“เรา” ก็เลยซวยเลย  นี่คือสิ่งที่เนบูคัดเนสซาร์ลืมตัวอีกแล้ว แล้วก็พูดตรงนี้ออกมา ทั้งๆ ที่ดาเนียลก็เตือนหลายครั้งแล้วว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? จงถ่อมใจๆ หลังจากนั้น ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ที่ดาเนียลเคยทำนายฝันเอาไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์จะถูกไล่ออกไป ใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ป่า และจะอยู่จนครบวาระที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วจึงกลับมามีใจถ่อมอีกครั้งหนึ่ง มีบันทึกไว้ในหนังสือดาเนียล บทที่ 4 ตอนท้ายว่าไว้อย่างนี้  ดาเนียล 4:34-37

ดาเนียล 4:34-37 “34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”

 

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเขียนบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เอง  แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมไว้ พระเจ้าต้องการให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนอย่างนี้ เพื่อที่จะเป็นพยานว่า …

“ฉันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อแล้วว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองทุกสิ่ง แต่เพียงผู้เดียว  ผู้ทรงกระทำทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว ผู้ทรงสมควรได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นเหรอ ผมว่าไม่ใช่แน่ พระเจ้าอยากให้ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์มาจนถึงยุคปัจจุบัน และต่อไปถึงยุคไหนก็ตาม ได้รู้ว่าพระองค์เป็นอย่างไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และใครที่ทำตามที่พระองค์บอกไว้ จะได้พร ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ได้พร คือเชื่อว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด อย่าเย่อหยิ่งจองหอง  อย่านึกว่าตัวเราแน่

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เรากำลังเรียนรู้ อยู่ในสมัยบาบิโลน ในทางประวัติศาสตร์ เขาเพิ่งจะค้นพบหลักฐานไม่นานนี่เอง คือมีการค้นพบแผ่นประตูทองสัมฤทธิ์ที่มีภาพยืนยันเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น บอกท่านว่าพระเจ้าต้องการให้เป็นคำพยาน ให้ผู้คนได้รู้เรื่องว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ทุกขั้นตอน ทุกเหตุการณ์ จำได้ไหมเมื่อเราเริ่มเรียนเรื่องนี้ เราใช้ชื่อเรื่องว่าโลกนี้คือละคร โลกนี้พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ดูแลอยู่ทั้งหมด พวกเราคือนักแสดง อย่าซ่าส์

และหลังจากที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กลับใจ และถ่อมใจกับพระเจ้าแล้ว เนบูคัดเนสซาร์ก็กลับมาครอบครองบาบิโลนต่อ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ประมาณปี 562 ก่อนคริสตราช คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือก่อนวันคริสตมาสแรกของโลกนี้นั่นเอง อายุประมาณ 83-84 พรรษา ครองราชย์มาทั้งหมด 43 ปี

และเรื่องราวที่เรากำลังจะฟังกันต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากเนบูคัดเนสซาร์สิ้นพระชนม์ไป 30 ปี ในหนังสือดาเนียล 5:1-4

ดาเนียล 5:1-4 “1 กษัตริย์เบลชัสซาร์ทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ ประทานแก่ขุนนางผู้ใหญ่หนึ่งพันคน และทรงเสวยเหล้าองุ่นร่วมกับเขา 2 ขณะเสวยอยู่ ก็รับสั่งให้นำภาชนะเงินและทองคำ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาได้ยึดมาจากพระวิหารในเยรูซาเล็มนั้น มาให้กษัตริย์ ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนมใส่เหล้าองุ่น 3 พวกเขาจึงนำภาชนะทองคำ ซึ่งริบมาจากพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม มาให้กษัตริย์ ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนม ใส่เหล้าองุ่นดื่ม 4 พวกเขาดื่ม พร้อมทั้งสรรเสริญเทพเจ้า ที่ทำจากทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน”

 

กษัตริย์เบลชัสซาร์จัดงานเลี้ยงใหญ่ ให้บรรดาเหล่าขุนนาง ก็ดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงธรรมดาที่เราก็นึกภาพออก แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่เบลชัสซาร์สั่งให้นำภาชนะเงิน และทองคำที่ไปยึดมาจากวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาใช้ใส่เหล้าองุ่นดื่มกินกัน จนเมา ในวิหาร ชาวยิวถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ของในนั้น ต้องบริสุทธิ์มากๆ ก็แสดงว่าภาชนะเหล่านั้น เป็นภาชนะที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พิเศษ ที่ไว้ใช้สำหรับถวายเกียรติ ถวายงานแด่พระเจ้า แต่เบลชัสซาร์ กลับให้นำมาใส่เหล้าองุ่นดื่มกินกันไม่พอ แล้วยังเอาไป เลี้ยงสรรเสริญเทพเจ้าที่เขานับถือ ที่เขาเคารพ รูปปั้นต่างๆ ที่ทำจากทองคำ จากเงิน จากเหล็ก จากไม้ และหิน  นี่คือการดูหมิ่นแบบตั้งใจ

ไม่ใช่พระเจ้า ไม่พอพระทัย เพราะเราไปดูหมิ่นพระเจ้า แต่เพราะความเย่อหยิ่งจองหอง เป็นศัตรูกับพระเจ้ามาก  ไม่ใช่เพราะพระเจ้าต้องการรักษาชื่อเสียงตัวเอง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่อยากให้เราได้สิ่งที่ไม่ดีในชีวิต ไม่อยากให้เราได้รับคำสาปแช่ง ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง เราจะได้รับคำสาปแช่ง อันนี้เป็นกฎที่วางไว้เลย มาดูกันเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น ดาเนียล 5:5-9

ดาเนียล 5:5-9 “5 ทันใดนั้น มีนิ้วมือมนุษย์ปรากฏขึ้น และเขียนบนผนัง ใกล้คันประทีป ในพระราชวัง กษัตริย์ทอดพระเนตรดูมือนั้นเขียนไป 6 พระพักตร์ของพระองค์ก็ซีดเผือด ทรงตกพระทัยจนเข่าสั่นกระทบกัน แข้งขาอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง 7 พระองค์ตรัสเรียกให้นำตัวนักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามทั้งหลายมา และตรัสแก่ปราชญ์ของบาบิโลนเหล่านี้ว่า “ผู้ใดก็ตาม อ่านข้อความนี้แล้ว บอกเราได้ว่ามีความหมายว่าอะไร เราจะให้ผู้นั้น สวมชุดสีม่วงกับสร้อยคอทองคำ และให้ครองอำนาจเป็นที่สามในราชอาณาจักร” 8 แล้วปราชญ์ทั้งปวงของกษัตริย์ก็มาเข้าเฝ้า แต่ไม่มีใครสามารถอ่านข้อความที่เขียนไว้ หรือทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่าหมายความว่าอะไร  9 ดังนั้น กษัตริย์เบลชัสซาร์จึงยิ่งตกพระทัย และพระพักตร์ยิ่งขาวซีด ขุนนางทั้งปวงก็ว้าวุ่นใจ”

 

เบลชัสซาร์เอาจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า มากินเมากันใหญ่ แล้วก็มีนิ้วมือเคลื่อนที่ไป หยุดที่กำแพง แล้วเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง ในนี้บอกว่ากษัตริย์เบลชัสซาร์ตกใจจนหน้าซีดเผือด แสดงว่ามันน่ากลัวมาก แถมเข่าสั่นกระทบกัน ต้องตกใจมากๆ ยิ่งกว่าคนที่จะถูกนำไปประหารชีวิตอีก

แล้วกษัตริย์เบลชัสซาร์ก็เรียกให้โหราจารย์และนักปราชญ์ ทั้งราชอาณาจักรบาบิโลน มาช่วยอ่านอักษรปริศนาบนผนังให้ทีว่ามันแปลว่าอะไร?  แล้วก็ประกาศว่าใครที่อ่านอักษรนี้หรือแปลอักษรปริศนานี้ได้ จะให้รางวัล จะให้สวมชุดสีม่วงกับสร้อยคอทองคำ ให้ครองอำนาจ เป็นที่ 3 ในราชอาณาจักรบาบิโลน ที่ 3 ก็คือรองจากพระราชบิดา รองจากเบลชัสซาร์ แล้วคนนั้นจะได้ตรงนี้

แต่แม้จะประกาศให้รางวัลขนาดนี้ ก็ยังไม่มีนักปราชญ์ หรือโหราจารย์คนไหนในบาบิโลนสามารถตอบได้อีก ก็ถึงเวลาของพระเจ้าจะสร้างฮีโร่อีกแล้ว ดูสิว่าคราวนี้ใครจะเป็นฮีโร่ ดาเนียล  5:10-12

ดาเนียล 5:10-12 “10 พระราชินีทรงได้ยินพระสุรเสียงของกษัตริย์ และเสียงเหล่าขุนนาง ก็เสด็จเข้ามาในท้องพระโรง ซึ่งมีงานเลี้ยงนั้น พระนางตรัสว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ อย่าตกพระทัยจนพระพักตร์ซีดเลย 11 มีชายผู้หนึ่งในราชอาณาจักร ซึ่งมีวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์สถิตด้วย ในรัชสมัยของพระราชบิดา เราพบว่าชายคนนี้มีสติปัญญา ไหวพริบ และความหยั่งรู้เสมอเหมือนเทพเจ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ราชบิดาของพระองค์จึงทรงแต่งตั้งเขา ให้เป็นหัวหน้านักเล่นอาคม นักเวทมนตร์โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามทั้งปวง 12 ดาเนียลผู้นี้ ซึ่งกษัตริย์ตรัสเรียกว่าเบลเทชัสซาร์เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม มีความรู้ความเข้าใจ และยังสามารถทำนายฝัน แก้ปริศนา และปัญหายุ่งยากทั้งหลาย ขอให้ตามตัวดาเนียลมาเถิด เขาจะสามารถกราบทูลว่าข้อความนี้หมายความว่าอะไร”

 

พระราชินีคงหมายถึงมเหสีใหญ่ คือมเหสีของพระราชบิดา คือพ่อนั่นเอง และเป็นแม่ของกษัตริย์เบลชัสซาร์ พระราชินีได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในท้องพระโรง อาจจะเป็นเพราะคนที่อยู่ข้างๆ ตกใจกลัว ที่อยู่ในงานเลี้ยงนั้น ก็เลยเดินมาดูว่าเป็นอย่างไร?

พระราชินีจำได้คุ้นๆ ว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น  และมีคนทำได้  แม่ก็จำได้ว่าดาเนียลนี่แหละ ที่เคยทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ ก็เลยบอกว่า …

“ลูกเอ่ย ไปตามดาเนียลมา คนนี้ยอดเยี่ยม คนนี้ช่วยได้ คนนี้อ่านออก”

เบลชัสซาร์รีบทันทีเลย ไปตามดาเนียลมาเร็ว แล้วเกิดเหตุอะไรต่อ ดาเนียล 5:13-16

ดาเนียล 5:13-16 “13 ดาเนียลจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้า กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือดาเนียล เชลยที่ราชบิดาของเรานำตัวมาจากยูดาห์หรือ! 14 เราได้ยินมาว่าวิญญาณของเทพเจ้าอยู่ในตัวเจ้า และเจ้ามีความหยั่งรู้ ไหวพริบและสติปัญญาล้ำเลิศ 15 เราได้เรียกบรรดาปราชญ์ และนักเล่นอาคม ให้มาอ่านข้อความนี้ และแจ้งความหมายแก่เรา แต่พวกเขาอธิบายความไม่ได้ 16 เราได้ยินมาว่าเจ้าสามารถอธิบายความ และแก้ปริศนาอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนได้ หากเจ้าสามารถอ่านข้อความนี้ และบอกความหมายแก่เราได้ เราจะให้เจ้าสวมชุดสีม่วง และสวมสร้อยคอทองคำ แล้วแต่งตั้งให้เจ้าครองอำนาจเป็นที่สามในราชอาณาจักร”

 

ข้อ 13 “ดาเนียลจึงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือดาเนียล เชลยที่ราชบิดาของเรานำตัวมาจากยูดาห์หรือ!”

เจ้า คือทาส คือต่ำกว่าเรานั่นเอง ไม่ได้ให้เกียรติดาเนียลเลย

นี่คือการแสดงออกถึงความหยิ่งยโส โอหัง อวดดีของเบลชัสซาร์ ที่มีต่อคนอื่น แม้กระทั่งตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะเดือดร้อนก็ตาม แต่มันอยู่ในใจเขา อาการของความเย่อหยิ่ง จองหอง โอหัง ความภูมิใจตนเองจนเกินไป  ซึ่งพระเจ้าไม่ชอบมาก พระคัมภีร์บอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้าความล้มลง นำหน้าความพินาศ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม คนที่เย่อหยิ่ง จองหอง เขาจะดูแคลนคนอื่นเสมอ ดังนั้นพังเพยไทยถูกต้องเสมอ  “ยกตนข่มท่าน”

ยกตนเมื่อไร ข่มท่าน เมื่อนั้น ก็คือเย่อหยิ่งจองหองเมื่อไร โอหังเมื่อไร มันจะดูแคลนคนอื่นเสมอ นี่ออกมาจากใจลึกๆ ของเบลชัสซาร์ ดูแคลนชาวยิว คนละระดับกันเลย

“ยิวคือพวกที่ถูกต้อนมา มาเป็นเชลยในบาบิโลน แล้วฉันเป็นใคร? ฉันเป็นชาวบาบิโลน แล้วแถมเป็นกษัตริย์ด้วย แม้ว่าจะได้รับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อ ฉันก็ไม่ให้เกียรติ”

เรามาดูสิว่าดาเนียล เจอดูถูกอย่างนี้ จะช่วยไหม? จะทำอย่างไรดี? ดาเนียล 5:17-23

ดาเนียล 5:17-23 “17 ดาเนียลจึงทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงเก็บของประทานไว้ และปูนบำเหน็จแก่ผู้อื่นเถิด อย่างไรก็ดี ข้าพระบาทจะอ่านข้อความถวายฝ่าพระบาท และทูลความหมายให้ทรงทราบ 18 ข้าแต่กษัตริย์ พระเจ้าสูงสุดได้ประทานราชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเกียรติบารมีแก่เนบูคัดเนสซาร์ ราชบิดาของฝ่าพระบาท 19 เนื่องจากฐานะสูงส่งที่พระเจ้าประทานให้พระองค์มวลประชาชาติและคนทุกภาษา จึงยำเกรงครั่นคร้ามพระองค์ ผู้ที่กษัตริย์ประสงค์ให้ประหาร ก็จะถูกประหาร ผู้ที่ทรงประสงค์ให้ไว้ชีวิต ก็จะรอดชีวิต ทรงให้ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือถอดถอนผู้ใด ตามแต่ชอบพระทัย 20 แต่เมื่อพระทัยของพระองค์เย่อหยิ่ง และกำเริบเสิบสาน พระเจ้าจึงทรงปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ และริบเอาเกียรติบารมีของพระองค์ไป 21 พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และได้รับความคิดจิตใจแบบสัตว์ ทรงใช้ชีวิตอยู่กับลาป่า กินหญ้าเหมือนวัว กายตากน้ำค้าง จนกระทั่งทรงเรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งปวง และทรงตั้งผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ให้ครองอาณาจักร 22 ข้าแต่เบลชัสซาร์ แต่ฝ่าพระบาทผู้เป็นโอรส ทรงทราบเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมพระทัยลง 23 กลับยกองค์ ลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะจากพระวิหารของพระเจ้า มาให้ฝ่าพระบาท ขุนนาง มเหสี และเหล่านางสนม ใส่เหล้าองุ่นดื่ม ทรงยกย่องสรรเสริญเทพเจ้าที่ทำจากเงิน ทอง ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้ และหิน ซึ่งมองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ ฝ่าพระบาทไม่ได้เทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้กุมชีวิตและวิถีทางทั้งปวงของฝ่าพระบาทไว้ในพระหัตถ์”

 

ดาเนียลตอนนั้น คงกำลังโมโห แต่ไม่ใช่โมโห เพราะเขาดูถูกตัวเอง แต่ไม่พอใจสิ่งที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ทำ เป็นการดูหมิ่น ด้วยความตั้งใจ ต่อพระเจ้า ทั้งๆ ที่รู้ เขาเรียกว่าโอหัง ก็เลยพูดประชดว่า …

“รางวัลที่จะให้ เก็บไว้เถอะ”

ไม่อยากได้เลย ไม่เหมือนกับสมัยที่เนบูคัดเนสซาร์ให้รางวัล ดาเนียลก็รับธรรมดา ไม่ได้ทำขนาดนี้

และก่อนดาเนียลจะบอกความหมายให้กษัตริย์เบลชัสซาร์ได้รู้ ดาเนียลก็ได้ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าพระเจ้าเคยสอนเนบูคัดเนสซาร์มาอย่างไร?  ให้เห็นว่าพระเจ้า คือผู้ที่ควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ความยิ่งใหญ่ อำนาจ บารมีทั้งหลาย ที่เคยอยู่คู่กับเนบูคัดเนสซาร์ ก็มาจากพระเจ้า ที่เป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น แต่เมื่อเนบูคัดเนสซาร์เกิดเย่อหยิ่ง พระเจ้าก็ทรงปลดออกจากการมีอำนาจ บารมีทุกอย่าง และต่ำจนถึงขนาดต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนกระทั่งเรียนรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ทั้งปวง และทรงตั้งผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยให้ครองอาณาจักร

ดาเนียลกำลังทบทวนให้เบลชัสซาร์ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เคยเจออะไรมาบ้าง? และมาถึงตอนนี้ นี่คือสิ่งที่ดาเนียลพูดกับกษัตรย์เบลชัสซาร์ว่า …

“ข้าแต่เบลชัสซาร์ ฝ่าพระบาทเป็นโอรส ทรงทราบเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่ได้ถ่อมพระทัยลง กลับยกตัวเองขึ้น ลบหลู่ โอหัง ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะที่มาจากวิหารของพระเจ้ามาให้ฝ่าพระบาท ขุนนาง มเหสีทั้งหลายใส่เหล้าองุ่นดื่มกิน ทรงยกย่องเทพเจ้าที่ทำด้วยรูปปั้นเหล่านั้น เหล็ก ไม้ หิน ซึ่งมองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน และก็ไม่เข้าใจด้วย ฝ่าพระบาทไม่ได้เทิดพระเกียรติพระเจ้าผู้กุมชีวิต และวิถีทางทั้งปวงของฝ่าพระบาทไว้ในพระหัตถ์เลย”

ดาเนียล 5:24-31 “24  ฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงส่งมือมาเขียนข้อความนั้น 25 ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า “เมเน เมเน เทเคล ปาร์ซิน” 26 “ความหมายนั้น ก็คือเมเน หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงนับวันเวลาแห่งรัชกาลของฝ่าพระบาทไว้ และนำมาถึงจุดจบ 27 เทเคล หมายความว่าฝ่าพระบาทถูกชั่งบนตราชั่ง และเบากว่าที่กำหนด 28 เปเรส หมายความว่าราชอาณาจักรของฝ่าพระบาทถูกแบ่งแยก และยกให้ชาวมีเดียและเปอร์เซีย” 29 แล้วเบลชัสซาร์รับสั่งให้ดาเนียลสวมชุดสีม่วงและสร้อยคอทองคำ แล้วแต่งตั้งให้เป็นผู้ครอบครองอันดับที่สามของราชอาณาจักร 30 ในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลนก็ถูกปลงพระชนม์ 31 และดาริอัสแห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ ขณะนั้น ดาริอัสทรงมีพระชนมายุ 62 พรรษา”

 

สรุปความหมายของอักษรปริศนาบนผนัง ก็คือเมเน เทเคล ปาร์ซิน หมายความว่าพระเจ้าได้ทรงพิพากษากษัตริย์เบลชัสซาร์แล้ว และพระองค์สอบไม่ผ่าน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะทรงริบอำนาจ บารมีทั้งหมด คืนจากพระองค์

จบเลย งานเลี้ยงเลิกรา หลังจากดาเนียลอ่านข้อความ ตีความหมายให้เบลชัสซาร์เสร็จแล้ว  กษัตริย์เบลชัสซาร์ก็ทำตามคำสัญญา ก็มอบตำแหน่งรองอันดับ 3 ยิ่งใหญ่สูงสุดของบาบิโลนให้กับดาเนียล แต่ดาเนียลก็ได้เป็นผู้ครอบครองระดับ 3 ของบาบิโลนสมัยนั้น ได้ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ เพราะในข้อที่ 30 บอกว่าในคืนวันนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ก็ถูกปลงพระชนม์ และดาริอัส แห่งมีเดีย ทรงยึดอาณาจักรบาบิโลนได้

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ในวันที่เกิดเหตุ เข้ายึดครองบาบิโลนได้นั้น ตรงกันวันที่ 12 เดือนตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตศักราช เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ในดาเนียล บทที่ 5 ที่เรากำลังอ่านนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เดือนตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตศักราชนั่นเอง คืนนั้น แล้วรุ่งขึ้น ก็เปลี่ยนยุค เป็นของเมโดเปอร์เซีย ถูกยึดไปแล้ว

ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ว่าชาวมีโดเปอร์เซีย ได้ยกทัพมาประชิดบาบิโลน แล้วก็เจาะทะลุอุโมงค์ใต้น้ำ ปกติสมัยก่อน เมือง โดยเฉพาะในวัง ในส่วนลึก เขาจะมีน้ำล้อมรอบ ทหารของมีเดียเปอร์เซีย ลงไปใต้น้ำ แล้วก็ไปเจาะกำแพง ใต้น้ำนั้น มุดเข้าไป ไปโผล่ที่ห้องบรรทมพอดี เจอเบลชัสซาร์ปลงพระชนม์ในคืนวันนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามพระเจ้ากำหนดไว้ทุกประการ ถามว่าทำไมพระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์ ที่เคยดูหมิ่นพระเจ้า โอหังต่อพระเจ้าเหมือนกัน หรือเขาเรียกว่าทะนงตน แต่พระเจ้ากลับให้อภัย แล้วให้โอกาสให้เขามีการกลับใจใหม่ ท่านคิดไหม?

ในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เคยได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า ตอนที่เคยถ่อมใจ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ระลึกถึงว่าพระเจ้าเป็นใคร? ปุ๊บ จนได้เขียนสรรเสริญพระเจ้า ในบทที่ 4 ที่เราได้อ่านไปแล้ว สรรเสริญใหญ่เลย  เพราะพระเจ้าให้โอกาสเขา ถูกไหม? แต่มาถึงกษัตริย์เบลชัสซาร์ต่างกัน เนบูคัดเนสซาร์ไม่เคยได้ยิน แต่เบลชัสซาร์เคยได้ยินมาก่อน จากบรรพบุรุษแล้ว ผ่านทางเนบูคัดเนสซาร์งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกไว้เรียบร้อย เป็นบันทึกของบาบิโลนเลย เป็นเรื่องที่ดังมาก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนไว้ให้ทุกคนได้รู้ รวมทั้งลูกหลานของตัวเองด้วย เพราะฉะนั้น เบลชัสซาร์ก็ต้องรู้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นใคร? พูดง่ายๆ ทำอะไรไว้ แต่ทั้งๆ ที่รู้ ก็ยังเย่อหยิ่ง จองหอง ไม่ถ่อมใจ ลบลู่พระเจ้าถึงขนาดเอาภาชนะทองคำของชาวยิว ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระวิหารออกมาใช้ในงานเลี้ยง เอามาดื่มเหล้ากัน มันเป็นการเหยียดหยามมาก พระเจ้าเลยไม่ให้โอกาสเลย

เราอาจจะทำไมคนนี้ได้ คนนั้นไม่ได้ แต่พระเจ้าดูที่ใจของคนนั้นว่าเขาเย่อหยิ่งจองหองขนาดไหน? บางคนอาจจะหยิ่งเฉยๆ บางคนอาจจะลืมตัวทะนงตนเฉยๆ แต่ไม่ถึงขนาดโอหัง กำเริบเสิบสานขนาดนั้น ตอนเนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าให้โอกาส เพราะพระเจ้ามองเห็นจิตใจข้างในของเนบูคัดเนสซาร์ว่ายังมีความถ่อมใจอยู่

ตั้งแต่วันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ครอบครองอาณาจักรในโลกวิญญาณแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมีเยอะแยะมากมาย ที่ทำเหมือนเนบูคัดเนสซาร์และทำเหมือนเบลชัสซาร์อย่างนี้ มี 2 พวกเลย พวกหนึ่งทำ เพราะข้างในยังมีโอกาสถ่อมอยู่ แต่ไม่รู้ พอเจออะไรหลายๆ อย่างพระเจ้าสอน กลับใจ ยอม แต่ก็มีอีกหลายคนที่รู้ ก็ไม่ยอม รู้ ก็โอหังต่อไป สุดท้ายเป็นเหมือนเบลชัสซาร์ แล้วเราควรจะทำอย่างไร? ที่เรากำลังเรียนรู้เรื่องเขา

ปัจจุบัน ท่านจะไปไหนก็จะเจออยู่ 2 พวกนี่แหละ

ให้เราอยู่เฉยๆ อธิษฐานในใจ

“ขอพระเจ้าเมตตาเขา ให้เหมือนกับที่ประทานความเมตตาให้กับเนบูคัดเนสซาร์เถิด ช่วยเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป อย่างน้อยให้เขามีโอกาสกลับใจใหม่ด้วยเถิด ให้เขาถ่อมใจ ให้เขารู้จัก ให้เขาเห็นพระองค์ด้วยเถิด”

เราคงไม่อธิษฐานขอให้เป็นเหมือนเบลชัสซาร์ เป็นไปเลยแล้วกัน พรุ่งนี้แล้วกัน ขอเป็นวันนี้เลยแล้วกัน เบลชัสซาร์ยังได้ตั้งหลายชั่วโมงนะ บางทีหลายครั้ง เราอึดอัดใช่ไหม? เพราะเรารักพระเจ้าของเรา ก็มนุษย์ธรรมดา ใครรักใคร ก็หวงของเรา เรารักของเรา ดังนั้นตรงนี้ก็เป็นอันหนึ่งให้เราได้เห็นว่าเราไม่ต้องกลัว แทนที่จะกลัวและโมโห เราควรจะมีเมตตา สงสาร เข้าใจเขามากกว่า ตกใจแทนเขา

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครอง ควบคุมทุกสิ่ง เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์จะยกอาณาจักรผู้ใดก็ได้ ตามแต่น้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงพอพระทัยผู้ใด ผู้นั้น ก็ได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ และพระองค์บอกว่าพระองค์ชอบคนที่มีใจถ่อม นี่เคล็ดลับ เพราะฉะนั้น ใครอยากได้อะไรดีๆ จากพระเจ้า ก็ให้มีใจถ่อม มากกว่าการอธิษฐานด้วยซ้ำ อธิษฐานไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าข้างในใจมีแต่ความเย่อหยิ่ง ความจองหอง ท่านต้องฝึกฝนใจถ่อม พอท่านใจถ่อม ต่อให้ไม่อธิษฐานอะไรเลย พระเจ้าก็อยากจะให้

“พระเจ้าช่วยลูกเถอะ ให้ลูกเป็นคนใจถ่อม”

ให้เราวางใจ และวางภาระของเราลง สำหรับคริสเตียน คนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ตามหัวข้อซีรี่ส์นี้ ก็คือจงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเป็นผู้สร้างฮีโร่ เพราะฉะนั้น อย่าโอหัง จงรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า บางคนเอาพระคัมภีร์ข้อนี้ขึ้นมา จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า นึกถึงแต่ความยิ่งใหญ่อย่างเดียว ต้องนึกถึงว่าจงรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงครอบครองและทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราทำอะไรได้ เราอธิษฐานสั่งพระเจ้าทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น จงถ่อมใจ อย่าโอหัง และรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า จงพูดกับตัวเองเสมอ พูดกับคนอื่นเมื่อไร คือเป็นคนเย่อหยิ่ง

คนเย่อหยิ่ง โอหัง คนที่ยกย่องสรรเสริญตัวเอง จะมีอาการหนึ่งออกมา ก็คือยกตนข่มท่าน เขาจะเหยียดคนอื่น เขาจะดูถูกคนอื่น เขาจะไม่ให้เกียรติคนอื่น เมื่อไรท่านเห็น เช็คในจิตใจท่าน รีบขอพระเจ้าเอามันออกไปที ก่อนอะไรทั้งสิ้นเลย เอเมน จำไว้เลย

เพราะฉะนั้น อย่าโอหัง อวดตัว ดูหมิ่นผู้อื่น ดูหมิ่นพระเจ้า เราคงไม่ดูหมิ่นแล้ว เพราะเราเป็นคริสเตียนแล้ว แต่เราจะดูหมิ่นพระเจ้าทางอ้อม โดยไม่รู้ ก็คือเราดูหมิ่นคนอื่น พอเราดูหมิ่นคนอื่น ก็คือเรากำลังเย่อหยิ่งจองหอง เมื่อเราเย่อหยิ่งจองหอง ก็คือเราไม่เชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ารู้ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

เพราะฉะนั้น ท่านเห็นภาพตรงนี้แล้วนะ จากนี้ต่อไป วางใจในพระเจ้าทุกอย่าง ทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ และอย่าเย่อหยิ่ง ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น นิ่งๆ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มอบภาระทุกอย่างไว้ที่พระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2017 เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่  15  มกราคม  2017

เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ถ้าจะให้เข้าบรรยากาศต้องพูดว่าอย่างไร? ใครรู้บ้าง?  ต้องบอกว่า “สวัสดีวันเด็ก” ใช่ไหม? แต่มองไป ต้องบอกว่า “สวัสดีคนเคยเด็ก” เพราะส่วนใหญ่เป็นคนเคยเด็กทั้งนั้น เด็กมีไม่กี่คน แต่ว่าพวกเรา ถึงแม้ว่าจะเลยวันเด็กมานานแล้วแต่ บางคนก็บอกว่าเลยวันเด็กมานาน บางคนในที่นี่บอกว่าเลยวัยเด็กมานานนนนนน มากเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตร่วมกับเด็ก บางคนเป็นพ่อแม่ บางคนเป็นปู่ย่า ตายาย ทวด ลุงป้า น้าอาเยอะแยะไปหมดแล้ว มีลูกมีหลาน ต้องอยู่ร่วมกับเด็ก มีใครบ้างที่ไม่มีประติสัมพันธ์ ไม่มีร่วมกับเด็กเลย มีไหม? ไม่มีเนอะ อย่างน้อยก็เป็นอาเป็นน้า

มีไหมสมัยนี้มองดูเด็กๆ แล้วก็บ่น หรือตั้งคำถามว่าอย่างนี้ว่า …

“เด็กสมัยนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ”

หรือไม่ก็ “สมัยเราเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย เราตอนเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย”

แล้วส่วนเด็กๆ พอผู้ใหญ่บ่น เด็กๆ ก็จะบอกว่า “ผู้ใหญ่นะเอ้าท์ ไม่มีเทรนเลย”

รู้จักไหมเอ้าท์ แปลว่าอะไร? ไม่มีเทรนเลย อะไรก็แล้วแต่ ผมก็ไม่รู้ประมาณนี้ คือพูดง่ายๆ เชย ไม่มีเหตุผล นั่นแหละ แต่เขามีคำศัพท์ของเขา เขาหันตาดูกัน แล้วเขาพูดกันบางอย่าง ผมไม่รู้หรอก แปลว่าอะไร? แต่รู้ว่า “คุณนะเชย” ระวังนะ ใครมีลูก มีหลาน ก็คอยสังเกต ถ้าเขาหันไปซุบซิบ นั่นแหละ แสดงว่าเขากำลังนินทาคุณ

อย่างสมัยก่อน เวลาพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่พูดคำเดียวว่า “ไม่” ทุกคนหยุดหมดเลย ไม่มีใครกล้าเถียง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง บางครั้ง ก็ไม่พูดด้วยซ้ำ แค่มองตา ชำเรืองนิดหนึ่ง หยุดทันที นั่นมันสมัยโน้นนะครับ แต่เด็กสมัยนี้เป็นไง? ถ้าบอกว่า “ไม่ อย่าทำ” ถึงให้มองตาถลนเลย ก็ยังทำอยู่ ก็จะสวนกลับทันทีเลย พอบอกว่า “อย่า”  เขาจะสวนกลับทันทีเลย “ทำไมๆ?” ไม่ใช่ว่าเขาดื้อนะ  ทำไม จะให้เขาหยุดทำไม? อธิบายให้เขาฟังสิ มีเหตุผลอะไร? นี่เด็กปัจจุบัน  หยุด ก็จะหยุด ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อน ฟังก่อน  แม่ไม่มีเหตุผลเลย อธิบายก่อนสิ มันคืออะไร? ถ้าสมัยก่อนมีเหรอ โต๋เต๋มีเหรอ ทำไม โดนดิ แต่ตอนนี้ต่อให้มองตาถลน ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

นี่คือปัญหาช่วงวัยของคน Generation gap ที่ทำให้คนในครอบครัว ในสังคมที่มีมุมมองความคิด ความเข้าใจ พื้นฐานการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ไม่รัก ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันไม่เข้าใจกันนั่นเอง ฟังอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร? แต่จริงๆ แล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของครอบครัวและสังคมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมคนไทย คนแถบเอเชีย ยิ่งเยอะใหญ่ เพราะคนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่จะอยู่ร่วมกัน แบบครอบครัวใหญ่ๆ มีสมาชิกหลายๆ รุ่นอยู่ร่วมกัน และในสังคมไทยและในสังคมเอเซียก็ยังยึดติดอยู่กับระบบอาวุโส ชนชั้น ค่อนข้างมาก นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน วันเด็กต้องมาคุยเรื่องนี้ เพราะเราต้องอยู่กับเด็กตลอดไป แล้วเราต้องพึ่งเขาในอนาคตด้วย ไม่ใช่พึ่งเขาในอนาคต ตอนนี้ก็พึ่งอยู่แล้วล่ะ

ดังนั้น หากทุกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจกันได้ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม มันก็ทำให้เกิด เขาเรียกว่า Gap ช่วงวัยที่ต่างกัน มันไม่มีปัญหา มันยังคุยกับพอสื่อกันรู้เรื่อง ถูกหล่อหลอมมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ให้มีพฤติกรรมบ่งบอกถึงความจริงใจซึ่งกันและกัน ตรงนี้เขาหมายความว่าอย่างไร? ไม่ตีความหมายผิดว่าอย่างนี้เรียกว่าดื้อ อย่างนี้เรียกว่าแม่ไม่รัก อย่างนี้เรียกว่าพ่อไม่รัก ตีความหมายผิดหมดเลย อย่างนี้มันก็จะเกิดปัญหา ทำให้สังคมไม่สามารถอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวใหญ่ๆ

ถามว่า “สังคม” คืออะไร? สังคมเราทุกวันนี้ ก็คือครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ท่านสังเกตสิครับ ครอบครัวเรา ก็คือสังคมหนึ่ง สถาบันครอบครัวเล็กๆ บ้านเรา ก็คือครอบครัว ออกไป มาโบสถ์ ก็คือครอบครัว อยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยทั้งหมด ก็คือครอบครัว ไปข้างนอกโลกทั้งหมด ก็คือครอบครัว … ครอบครัวคืออะไร? คือครอบด้วยครัว ก็คือครอบด้วยผู้คนมากมาย  มีปฏิสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ มีความติดต่อกัน แล้วถ้ามันไม่เข้าใจกัน มันเกิดอะไร? มันเกิดปัญหา มันไม่มีความสุข วันนี้จึงเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง สนุกมากเลยนะ

… มีอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อธิบายไว้ถึงลักษณะของสังคมปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร? ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมดว่าแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม เรียกว่า 4 Generation จำได้ไหม Generation ที่ผมบรรยายเรื่องพระเจ้าว่าในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองอยู่ อาณาจักรของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์ คำว่า “ทุกชั่วชาติพันธุ์” คือ Generation to Generation จาก Generation ไปสู่ Generation หนึ่ง คืออยู่ตลอดเลย พระเจ้าครอบครองและควบคุมบังคับทุกอย่างอยู่ทั้งหมดนี้

คำว่า Generation ไปสู่ Generation  น่าจะแปลว่าวัยหรือยุค หรือชั่วอายุก็ได้  พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ชั่วอายุ”

พระเจ้า อาณาจักรของพระองค์ทรงอยู่เหนือ จากชั่วอายุหนึ่งไปยังชั่วอายุหนึ่งตลอดจนนิรันดร์

ชั่วอายุหนึ่ง คืออะไร? เรามาดูนะครับว่าอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าอย่างไร? แบ่งไว้อย่างไร? มีอยู่ 4 Generation คือ 4 ยุคในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 4 ยุค

กลุ่มที่ 1 หรือยุคที่ 1 หรือเรียกว่า Generation ที่ 1 เป็นกลุ่มที่เป็นผู้อาวุโสในยุคปัจจุบัน เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นคนนแก่ในยุคปัจจุบันนะ ฟังให้ดีๆ เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2489 – ช่วงอายุที่เกิดในปี พ.ศ.2507 คืออายุประมาณ 71 – 53 ปี บางคนก็ถามว่าถ้าเกิน 71 ขึ้นไปล่ะ ก่อน 2489 เรียกว่าซุปเปอร์อาวุโส อันนั้นเขาไม่นับแล้ว เหลือน้อย ไม่ใช่เวลาเหลือน้อยนะ แต่คนอยู่อย่างนี้ น้อย เขาเลยไม่นับ

เขาเรียกกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มยุคสงครามโลกครั้งที่ 2” กลุ่มอาวุโส ซึ่งประเทศต่างๆ เร่งผลิตประชากรมาช่วยพัฒนาประเทศที่กำลังบอบช้ำจากสงคราม พูดง่ายๆ คือสงครามเกิด ผู้ชายตายไปเยอะ คนตายไปเยอะแยะมากมาย แล้วก็ต้องการคนงานเยอะแยะมาช่วยกันฟื้นฟูประเทศ ก็เลยเชียร์กันให้มีลูกเยอะๆ เขาเรียกกันว่ายุคลูกดก ภาษาอังกฤษจะชัดมาก เขาเรียกว่ายุค “Baby Boomer (ยุคลูกดก)” คือยุคที่ยุให้มีลูกเยอะๆ หรือภาษาในปัจจุบันเรียกยุคนี้ว่า Gen B

คนที่อายุ 53 ขึ้นไป เรียกว่ายุค Gen B ซึ่งคนในยุคนนี้จะได้เห็นความลำบากลำบนของพ่อแม่ เพราะเกิดสงคราม เห็นความแร้นแค้นของพ่อแม่ จึงทำให้เกิดความอดทนสูง สู้งาน ใช้ชีวิตเรียบง่าย  เป็นคนที่เก็บออม มากกว่าการใช้สอย ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ถูกมาก แล้วเก็บไว้ให้ใคร?

และเนื่องจากในยุคนั้น ใน Gen B ยังไม่เทคโนโลยีทันสมัย เหมือนปัจจุบัน ความรู้ต่างๆ จึงตกอยู่กับชนชั้นผู้นำ หรือชั้นปกครอง ที่เรียนมาเยอะๆ เรียนจากเมืองนอกบ้าง อะไรบ้าง? จึงทำให้คนในยุค Gen B ยังยึดถือในระบบชนชั้น รับฟังคำสั่งจากผู้นำ หรือหัวหน้างานที่มีความรู้มากกว่าตัวเอง  เป็นอย่างนั้นจริงๆ

กลุ่มที่ 2 เรียกว่า Generation X หรือ Gen-X  ซึ่งเป็นคนวัยทำงานในปัจจุบันเกิด พ.ศ.2508 -2522 คืออายุประมาณ 52 – 38 ปี กลุ่มนี้เรียกว่า Gen-X เป็นผลจากการผลิตประชากรล้นในยุคก่อนหน้า เสียใจหรือดีใจไหมรู้ เป็นผลจากการผลิตประชากรจนล้นในยุคก่อน จึงมาเริ่มคุมกำเนิดในยุคนี้ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเริ่มทันสมัย และแพร่หลายมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ เริ่มมีความอดทนน้อยลง และมักจะตั้งคำถามว่า …

“ทำไม ชีวิตต้องทน”

ในเมื่อมีโอกาส และตัวเลือกมากขึ้น ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะในบ้านมีลูกน้อยกว่าแต่ก่อนนี้ มี 2 คน แต่ก่อนนี้มีตั้งนานคน Gen ก่อนหน้านี้ คนในยุคคนนี้ยังทำงานด้วยตัวเอง ยึดระบบชนชั้นเหมือนกัน แต่น้อยลงแล้ว เก็บออมและใช้เท่าที่มี เลือกทำงานที่ชอบ รักอิสระ และเริ่มมีความคิดสร้างสรรแบบออกนอกกรอบ ถูกหรือไม่ถูก?

กลุ่มที่ 3 Generation Y หรือ Gen-Y  เป็นวัยนักศึกษาจนถึงเริ่มทำงาน ในยุคปัจจุบันนี้ เกิดพ.ศ.2523 – 2540 อายุ 37 – 20 ปี Gen-Y คนกลุ่มนี้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแพร่หลายแล้ว ทำให้มีความอดทนน้อยลงไปอีกกว่า Gen-X สมาธิสั้น มักเปลี่ยนงานบ่อย คน Generation จะไม่ชอบเรื่องชนชั้นแล้วคราวนี้ ทั้งในเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิต เด็กยุคนี้ชอบการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ค ทำงานร่วมกันมากกว่าการฟังคำสั่งจากหัวหน้างานคนเดียวหรือฟังจากผู้นำอย่างเดียว และไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ เข้าใจไหม? นี่พูดแทนวันเด็กนะ วันนี้วันเด็ก พูดให้เขาหน่อย  เด็กที่อายุโตแล้ว ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปจนถึงอายุ 37 เขาบอกว่า …

“เขาไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่” เข้าใจไหม?

กลุ่มที่ 4 Generation Z หรือ Gen-Z เกิดหลัง พ.ศ.2540 จนกระทั่งหนึ่งวัน เมื่อวานนี้ อายุตั้งแต่ 19 ปีลงมา เขาเรียกว่า Gen-Z ในบ้านเรามีเยอะนะ เป็นกลุ่มวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงมัธยมศึกษา คนกลุ่มนี้ เกิดมาด้วยการเลี้ยงดูที่เพียบพร้อม รายรอบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และแพร่หลาย เพียงกระดิกนิ้ว ก็ได้สิ่งของที่ต้องการ ทำให้คนกลุ่มนี้ มักทำในสิ่งที่ชอบ รักความสะดวกสบาย ไม่ชอบพิธีการ

“ฉันชอบโบสถ์ แต่ฉันไม่ชอบพิธีการ อาจารย์อย่ามากเกิน”

และรุ่นนี้ Gen-Z เขาสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เราบอกอ่านหนังสือ แล้วยังฟังเพลงอีก  แล้วยังแถมเล่นเกมส์ไปด้วยในตัวพร้อมกัน แล้วจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร?  สมัยพ่อไม่เป็นอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น  เพื่อนทำ 5 อย่างเลย ล้างชามไปด้วย ล้างชาม เล่นไลน์ โอ๊ย! ทุกอย่างเลย ดูแลไปในตัว ทำได้ แต่เราสมัยก่อน ไม่ได้ นี่คือความสามารถผิดกัน

กลับมาที่คำถามว่า … “วัยรุ่นสมัยนี้ ทำไมไม่เชื่อฟังพ่อแม่” …

ก็เพราะคนยุคนนี้ ไม่ชอบเรื่องชนชั้นไง เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เด็กรู้สึกว่าเหมือนเป็นเพื่อน มากกว่าความเป็นพ่อแม่ เด็กก็จะค่อยๆ เปิดใจเข้าหา จะเห็นว่าหากบ้านใดที่ผู้ใหญ่ฟังเด็กมากๆ บ้านนั้น เด็กก็จะรักผู้ใหญ่มาก ใช่ไหม? เราต้องเข้าไปเป็นเพื่อนเขา ไม่ใช่เข้าไปเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว มันคนละยุคแล้ว ผู้ใหญ่บางคนมักคิดว่าตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อน พยายามยัดเยียดความเป็นตัวเองให้กับเด็ก แต่ปัจจุบัน สภาพการมันไม่ได้เป็นไปตามนั้นแล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว หากยังฝืนยึดความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ยัดเหยียดอย่างนั้นให้เด็ก ผู้ใหญ่อาจกลายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมของเด็ก  และเขาจะหันไปสนใจสมาท์โฟน คอมพิวเตอร์ อะไรแล้วแต่เยอะแยะไปหมด เขาไม่สนใจคุณ เขาก็คิดคุณเหมือนสภาพแวดล้อม เหมือนต้นไม้ มันจะเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ไม่รัก ความเป็น Gep คือสื่อสารกันไม่เข้าใจ

นี่คือวันเด็กนะ จึงเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะได้ปรับตัวให้เข้ากับเขา จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

และคำถามที่ว่า … “ทำไมเด็กสมัยนี้ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้ง อ่านหนังสือไปด้วย  ฟังเพลงไปด้วย  ทำอะไรไปด้วย”

อาจารย์ท่านนี้บอกว่าตรงนี้ก็เป็นเพราะความสามารถของคนยุคนี้ ความสามารถมันพัฒนาขึ้น มีความสามารถทำอะไร? หลายๆ อย่างเวลาเดียวกัน คือพัฒนาขึ้น แต่ละยุคพัฒนาขึ้น เขาสามารถทำได้ ยิ่งเป็นสิ่งที่เขารักด้วย เขายิ่งทำให้มากหลายอย่าง และแม้จะทำหลายอย่าง ผลงานก็ออกมาดี ซึ่งผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่ควรจะเข้าใจสิ่งนี้ เขาทำได้หลายอย่าง

คิดดูนะ บางทีผมก็งงเหมือนกันนะ “โต๋จะเป็นนักเล่นเปียโน ดูแลนิ้ว สมัยพ่อนะ เล่นเปียโน แล้วทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องไปฝากธนาคารไว้ แล้วก็ประกันภัยชีวิตของนิ้ว นิ้วหักไม่ได้ ไปไหนต้องระวัง”

นี่มีที่ไหน? เล่นเปียโน ไปเล่นบาส … บาสกับเปียโนสมัยก่อน มันไม่ได้กันเลยนะ ห้ามเด็ดขาด เป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาด เป็นเรื่องจริง อะไรที่เกี่ยวกับนิ้ว นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แต่กันนี้ไปเล่นบาส แตะลูกบอล แค่นั้นไม่พอ วันดีคืนดีเตะบอลอีก เตะบอล อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นเยอะ

“โธ่ พ่อ โต๋เตะแบบพอมันส์”

พอมันส์ เตะอย่างไง ลูกบอลจะสั่งมันได้เหรอ เตะกับกลุ่มคนที่ไม่รุนแรง อะไรประมาณนั้น เขาดูแลตัวเองได้  แค่นั้นไม่พอ ไปฟิตเนตอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนไป ยกเวต แค่นั้นยังไม่พอ จำไม่ได้ เยอะเหลือเกิน ผมจำไม่ได้ แต่เขาทำได้ แต่เป็นนักเล่นเปียโน

ทุกคนมาถาม ลูกเล่นเปียโน เก่งจังเลย ไม่กล้าพูดกับเขา ไม่ได้ซ้อมเลยครับ นี่เรื่องจริง แต่เขาทำได้ เขาไม่เหมือนคนในยุคก่อน ไม่ใช่เขาเก่งหรือไม่เก่ง เขาเป็นคนในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคผม ยุคผมวันทั้งวันเล่นแต่กีต้าร์ เล่นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะต้องซ้อมแต่กีต้าร์ เพราะยุคผมได้แค่นั้น ตอนนี้เลยมา 2 ยุคแล้ว มาถึงยุคเขา เขาทำได้หลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง แต่เพราะเป็นคนในยุคนี้ เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ต้องบอกว่า …

“ไม่ได้ อยากจะเล่นดนตรี ก็ต้องเล่น เปียโนต้องดูแลให้ดีๆ อย่าไปทำอย่างอื่น”

เขาก็อึดอัดๆ ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เขาทำได้ ต้องไว้ใจเขา แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทุกวัน ต้องบ่นกันทุกวัน

“เล่นเปียโนต้องระวังนิ้ว”

เขาก็ไปเล่น ดึกดื่นไปเตะบอล คิดดูสิ เขาไปเตะบอลที่สนามบอล ตอนไหน? สมัยก่อน เราก็เตะตอนตี 5 … 6 โมงเช้า 8 โมง นี่เขาไปเตะตอนไหนรู้ไหม? 4 ทุ่ม เขาว่างตอนนั้น เพราะก่อนหน้านั้น เขาไปทำอย่างอื่นเยอะแยะไปหมด เขาว่างตอนนี้ เพราะเพื่อนๆ เขาว่างตอนนี้ เตะตอน 4 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ตี 1 เตะจริงๆ อย่างนี้ แล้วตอน 2 ทุ่มอยู่ไหน? อยู่ที่สนามบาส เล่นบาส อย่างนี้ แล้วที่เขาไปเตะบอล สนามหญ้าเทียม เขารู้จักหญ้าจริงไหม? ไม่รู้จัก เขามองสนามเขาก็รู้ว่าหญ้าเทียมยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ ราคาเท่าไร? พอไปเจอหญ้าจริงๆ อะไรอ่ะ

ความแตกต่าง แตกต่างขนาดไหน? ท่านเห็นไหม? ถ้าเราไม่เข้าไป พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ไม่เข้าไปอย่างนี้ ท่านจะถูกเอ้าท์ไปเรื่อยๆ ถูกทิ้งไปเรื่อยๆ ไกลๆ แล้วท่านก็จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แล้วไม่มีโอกาสที่จะชี้แนะแนวทางอะไรบางอย่าง ที่ท่านคิดว่าดี หรือว่าประสบการณ์ของท่าน ในทางที่เขาสามารถรับได้ให้กับเขาอีกต่อไป เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องนั่นเอง

อาจารย์สรรเพชร ชัยสิริยะสวัสดิ์ จึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้ข้อสรุปไว้อย่างนี้ว่า …

“คนแต่ละรุ่น มีความคิดและพฤติกรรมที่ต่างกัน แน่นอนเวลาทำอะไร อาจจะดูขัดหูขัดตา แต่ก็อยากให้รู้และเข้าใจธรรมชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันที่ดีของสังคม”

สรุปท้ายตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจ อย่าไปบ่นเขา เวลาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ อยู่กับแม่ทุกวัน อยู่กับพ่อทุกวัน เวลาเรียกกัน ส่งไลน์มาเรียก ลงมากินข้าว แทนที่จะมาพูด เวลาจะไป ก็พ่อไปแล้วนะ ไม่ได้พูดนะ ส่งไลน์มา

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์แม่”

เมื่อเช้าก็เจอ แทนที่จะพูด ไม่พูด ส่งไลน์มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์

แล้วส่งอะไรมาอีก “รักนะจุ๊บๆ”

ก็จูบจริงๆ ก็ได้ เจอกันทุกวัน เดี๋ยวเย็นนี้ก็มาจุ๊บสักนิด ไม่ได้เดี๋ยวลืม ตอนกลางคืนมากลับดึก แม่นอนแล้ว

เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ทำเป็นงอน “ลูกไม่เข้ามาหาเลย แต่ก่อนนี้ยังมา”

เขาโตแล้ว เขาก็ไปของเขาสิ “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาหาเลย แต่ก่อนยังมาสวัสดี ตอนนี้ส่งแต่ไลน์มา”

ไม่รับไลน์ เดี๋ยวอีกหน่อย เขาไม่ส่งไลน์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ฝึกหัดเล่นไลน์ ถ้าแม่ไม่มีไลน์ เขาก็ไม่มีจะส่งให้ เพราะฉะนั้น เราต้องไปฝึกเล่นไลน์ เพื่อเขาจะส่งต่อ คุยกับเราได้บ้าง เอเมน ขอให้มีความสุขกับวันเด็ก วันครอบครัวนะครับ

 

****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มกราคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 9 “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด

เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 9 ของซีรี่ส์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” วันนี้มีชื่อตอนว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว” เรายังอยู่ในเรื่องราวเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ดาเนียลอยู่ ช่วงและสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่พระเจ้าเรียกว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ซึ่งพระองค์ได้เตรียมความยิ่งใหญ่ให้เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นฮีโร่อย่างที่ผมเคยบอก พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง สร้างสถานการณ์ และสร้างฮีโร่ จากตอนก่อนๆ ที่ได้อ่านกันไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้เตรียมเนบูคัดเนสซาร์ให้เป็นจอมจักรพรรดิ แห่งบาบิโลน ให้เรืองอำนาจในสมัยนั้น ไปรบที่ไหน ก็ชนะ พระเจ้าก็ประทานอาณาจักรต่างๆ ก็คือประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่เล็กในสมัยนั้น ให้อยู่ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ รวมทั้งอาณาจักรยิว คืออาณาจักรอิสราเอลของพระเจ้าด้วย ยกให้ไปเลย แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็รับใช้พระเจ้าตามแผนการของพระองค์ ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ไม่รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่

เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้จักพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่บ้าง ผ่านทางดาเนียล ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก 4 หนุ่มน้อยยิว ที่ไปชนะอิสราเอล ปล้นอิสราเอล เอาทรัพย์สินเงินทอง ทุกอย่างของอิสราเอลกลับมา รวมทั้งผู้คนด้วย 4 คนนี้ ก็คือ 1 ในจำนวนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก และดาเนียล พระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ใหญ่ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางเด็กหนุ่ม 4 คนนี้ และกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทุกครั้ง และทุกครั้งที่ยอมจำนน หลังจากนั้นไม่นาน ก็หยิ่งอีกแล้ว

ดาเนียลทำนายฝันให้ถูกต้อง เข่าอ่อนเลย ประกาศว่า …

“พระเจ้าของดาเนียลยิ่งใหญ่มาก ขอสรรเสริญพระเจ้าของดาเนียล”

แต่งตั้งดาเนียลและเพื่อนทั้ง 3 คน เป็นผู้สำเร็จราชการ มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต รองจากกษัตริย์เลย เพราะเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่ถ่อมใจได้ไม่นาน พอมีคนแนะนำให้สร้างปฏิมากรทองคำ ให้ผู้คนกราบไหว้ เหมือนเป็นการแก้เคล็ด ก็รู้สึกเหิมเกริมอีกแล้วว่า …

“ตัวข้านี่แหละยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว”

มันเป็นอย่างนี้ พอเพื่อนดาเนียลทั้งสามคน คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมกราบไหว้รูปปั้นนี้ ก็โกรธใหญ่เลย

มันเป็นอย่างนี้ สำแดงถึงความเย่อหยิ่งของตนเองออกมา โกรธมากเลย  ไม่ยอมทำตามคำสั่ง สั่งจับ 3 คนนี้โยนลงไปในเตาไฟเลย ไม่ใช่ไฟธรรมดา เอาร้อนแรงสุดๆ ไปเลย อย่างที่เราได้เรียนกันมา แค่นั้นยังไม่พอ แถมยังหมิ่นประมาทพระเจ้าว่า …

“ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้ พระเจ้าของแกก็ช่วยไม่ได้”

แต่พอพระเจ้าทำการอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น เห็นกับตาอีกครั้งหนึ่งว่าหลังจากที่ทหารโยน 3 คนนี้เข้าไปในเตาไฟ ปรากฏว่าเนบูคัดเนสซาร์เห็น 4 คนอยู่ในนั้น คนที่ 4 มีลักษณะเหมือนเทพบุตร พูดง่ายๆ ว่าเห็นพระเยซูอยู่ในนั้น  ก็เลยเปลี่ยนอีกแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเนบูคัดเนสซาร์เดินไปที่ประตูเตาไฟ ตรัสว่า …

“ชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุดเอ๋ย จงออกมาเถิด จงออกมานี่”

เปลี่ยนท่าทีแล้ว คราวนี้ประกาศอีกว่า …

“ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ผู้ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์ พวกเขาไว้วางใจในพระเจ้า ละเมิดคำสั่งของกษัตริย์ และยอมตายเสียดีกว่าปรนนิบัติพระอื่นใด เว้นแต่พระเจ้าของตน และไม่มีเทพเจ้าอื่นใด สามารถช่วยได้ถึงเพียงนี้”

นี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประกาศอย่างนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แล้วก็ออกประกาศสำคัญเลย  สั่งไปทั่วราชอาณาจักรของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“ต่อไปนี้ ห้ามใครกล่าววาจาล่วงเกินพระเจ้าของทั้งสามคนนี้ (ของคนยิวนี้) ใครขัดคำสั่ง จะถูกฟันเป็นท่อนๆ”

นี่คือบุคลิกที่เราได้เห็นเกี่ยวกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่ผมยังเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อื่นๆ ในลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ ในชีวิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เข่าอ่อนสลับเข่าแข็ง

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็มีคนแบบเนบูคัดเนสซาร์เยอะแยะ คือพอได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า ก็สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้ามีชีวิตอยู่จริงๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ พระเจ้าของเธอยอดเยี่ยม พอไปสักพักหนึ่งก็ลืมพระเจ้า แล้วหลายครั้ง ก็ยังสบประมาทพระเจ้าอีก

“พระเจ้าของเธอ ไม่เห็นช่วยเลย”

มันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในชีวิตของเรา นี่คือลักษณะของมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ไม่รู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว เพียงแต่ได้รับรู้ ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักพระเจ้าอย่างจริงๆ ยังไม่ได้สัมผัสกับพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าสำหรับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แล้ว พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาได้รู้จักผ่านทางดาเนียลกับเพื่อนๆ นั้น เป็นเพียงหนึ่งในพระเจ้า (S) หรือหนึ่งในเหล่าเทพเจ้าจำนวนหลายๆ องค์ที่เขาเคยรู้จักเท่านั้นเอง ไม่เหมือนดาเนียลกับเพื่อน และพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว รู้จักจริงๆ ว่ามีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แล้วพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว

หลักการเชื่อพระเจ้าของดาเนียล สำหรับคริสเตียน คือเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเที่ยงแท้ ประโยคนี้ในพระคัมภีร์ หมายถึงนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด หนังสือดาเนียลที่เราได้อ่านกัน เรียนกันในครั้งนี้ ตั้งแต่บทที่ 1 จนกระทั่งหมดเลย จะบอกถึงเรื่องนี้ พระเจ้าต้องการสำแดงพระองค์เองว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างนี้ นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าเที่ยงแท้อื่นใดอีกแล้ว สมมติว่าตอนนี้ผมถามว่า …

“มีมิสเตอร์ ABC เป็นคนดังมากเลย ท่านรู้จักเขาไหม?”

ท่านบอกว่า “รู้จักๆ”

“ดูในทีวี คนนี้รู้จัก” สมมติ

แต่กับอีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนกับนาย ABC ตั้งแต่ก่อนเขาจะดังออกทีวีอีก รู้จักกับเขาเลย สนิทสนม กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ถามว่า …

“รู้จักไหม ABC”

เขาก็จะบอกว่า “ผมรู้จัก”

เห็นไหม? คนแรกรู้จัก กับคนที่สองรู้จัก ไม่เหมือนกัน คำว่า “รู้จัก” ต้องหมายถึงมีปฏิสัมพันธ์ มีความผูกพันกัน มีการติดต่อกัน มีการ Followership มาบ้างแล้ว ไม่ใช่รู้จักแต่เขาว่ามา เขาเล่าว่า อย่างนี้ไม่ใช่

นี่คือความมั่นคงของความเชื่อที่ว่ารู้จักพระเจ้าจริงหรือไม่?  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เห็นพระเจ้าทำอัศจรรย์ จึงเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พวกเราถึงไม่เห็นอัศจรรย์ เราก็เชื่อว่ามี มันแตกต่างกัน

ผมนึกถึงบทเพลงมาจากพระคัมภีร์ในหนังสือจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่เขียนบอกว่า …

“ข้าพเจ้ารู้จัก พระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ”

ท่านรู้จักพระเจ้า ที่ท่านเชื่อไหม? ไม่รู้จัก หมายถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ เขาเอามาแต่งเป็นเพลงเลยนะ

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ           และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์          จนถึงกาลวันนั้นได้”

หลังจากเหตุการณ์ที่เพื่อนของดาเนียล คือชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโกถูกจับโยนเข้าไปในเตาไฟ แล้วพระเจ้าช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นมา 20 ปี พระเจ้าดลใจให้เนบูคัดเนสซาร์เขียนบันทึกด้วยตัวเอง เหตุการณ์ ประสบการณ์ของตัวเอง บันทึกไว้เหมือนเป็นคำพยาน เพื่อพระเจ้าจะได้บอกแก่บรรดามวลมนุษยชาติ ไม่ใช่บอกแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างเดียว ไม่ใช่บอกเฉพาะมาถึงชาวยิวในสมัยนั้น แล้วก็ไม่ได้บอกมาเฉพาะแค่คนเป็นคริสเตียน ในสมัยยุคพระเยซูเท่านั้น แต่จะบอกจากนี้ต่อไปจนวันสุดท้ายของโลกใบนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

พระองค์ยิ่งใหญ่มากๆ พระองค์กล้าบันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว แปลว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว ก็แสดงว่านอกนั้น เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยกย่องพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด และโปรดปรานชาวยิว เพราะชาวยิวรู้จักพระเจ้าผู้นี้  จากเหตุการณ์นั้น ปีแล้วปีเล่า จนผ่านไป 20 ปี มาดูว่าอะไรเกิดขึ้น ในดาเนียล 4:1-18 นี่เขาบันทึกด้วยตัวเองเลย เป็นคำพยานของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอง

ดาเนียล 4:1-18 “1 เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถึงท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพลเมือง ทุกชาติ ทุกภาษาทั่วโลก ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรือง 2 เราเห็นควรที่จะแจ้งให้ทราบถึงหมายสำคัญ และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำเพื่อเรา 3 หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ 4 เรา เนบูคัดเนสซาร์ อยู่ในวังอย่างผาสุกและรุ่งเรือง 5 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราได้ฝัน ทำให้ตกใจกลัว ภาพและนิมิตต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความคิด ทำให้ตระหนกตกใจ

6 เราจึงสั่งให้นำปราชญ์ของบาบิโลนทั้งหมด มาทำนายฝันให้ 7 เมื่อบรรดานักเล่นอาคม  นักเวทมนตร์ โหราจารย์ และหมอดูฤกษ์ยามมาแล้ว เราก็แจ้งความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาไม่สามารถแก้ฝันให้ได้ 8 แล้วดาเนียลก็มาเข้าเฝ้า เราจึงเล่าความฝันให้ฟัง (เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า “เบลเทชัสซาร์” ตามชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง วิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขา) 9 เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย เรารู้ว่าวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า และไม่มีความล้ำลึกใดๆ ยากเกินความเข้าใจของเจ้า เราฝันเช่นนี้ จงแก้ฝันให้เราเถิด 10 ขณะนอนอยู่บนเตียงเราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ตรงกลางแผ่นดิน มันสูงใหญ่มาก

11 ต้นไม้นั้น เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนยอดสูงจรดฟ้า แม้แต่สุดโลกก็ยังมองเห็น 12 ใบของมันงามน่าดู ผลก็ดกเต็มต้น มันให้อาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง มาพักพิงใต้ร่มของมัน เหล่านกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของมัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเลี้ยงชีพด้วยผลของมัน 13 ขณะนอนอยู่บนเตียง เราเห็นนิมิต คือเรามองไปเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ 14 เขาประกาศก้องว่า โค่นต้นไม้ลง ลิดกิ่งออก ตัดใบทิ้งให้หมด และสลัดผลให้เกลื่อนกระจาย ไล่สัตว์ทั้งหลายออกจากใต้ร่ม และไล่นกออกจากกิ่งต่างๆ ไป 15 แต่จงทิ้งตอกับรากไว้ เอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์ ล่ามทิ้งไว้อย่างนั้น กลางดงหญ้าในทุ่ง ให้กายเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ ให้เขาอาศัยอยู่กับสัตว์ท่ามกลางพืชพันธุ์ต่างๆ ของแผ่นดินโลก

16 ให้ความคิดจิตใจของเขาเปลี่ยนจากมนุษย์ กลายเป็นเหมือนสัตว์ จนครบเจ็ดวาระ 17 เหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้แจ้งคำตัดสินนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุดทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา 18 “นี่เป็นความฝันของเรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บัดนี้ เบลเทชัสซาร์เอ๋ย บอกเรามาเถิดว่าฝันนี้หมายความว่าอะไร เพราะไม่มีปราชญ์คนใดในอาณาจักรของเราแก้ฝันให้เราได้ แต่เจ้าทำได้ เพราะวิญญาณของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเจ้า”

 

อย่างที่บอกไว้ 20 ปีผ่านไป ลืมไปแล้ว ดาเนียลเป็นคนสุดท้ายที่มาเข้าเฝ้า เพื่อที่จะมาถวายคำแปลนิมิตนี้ ไปปรึกษาคนอื่นมาเยอะแล้ว ลืมพระเจ้าของดาเนียลไป

“เรากล่าวว่า เบลเทชัสซาร์ หัวหน้านักเล่นอาคมเอ๋ย”

ข้อ 3 “หมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วอายุ”

ที่ต้องการให้อ่านตรงนี้ เพราะตรงนี้ เป็นพล๊อตสำคัญ อีกอันหนึ่ง ข้อ 17

ข้อ 17 “‘พระเจ้าสูงสุดทรงครอบครอง เหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย’”

จำตรงนี้ไว้ เห็นภาพพื้นฐานของความเชื่อในพระเจ้าของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้วใช่ไหม? เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าพระเจ้าของดาเนียลใหญ่ยิ่งจริงๆ สูงสุดด้วย แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ อยู่ เพียงแต่เจ้าองค์นี้ คงจะใหญ่กว่าอะไรประมาณนั้น  ในบาบิโลน มีพวกนักปราชญ์ นักเล่นคาถาอาคม นักเวทมนตร์ นักโหราจารย์ แปลเป็นไทยอีกฝั่งเรียกว่านักวิเคราะห์ทางวิญญาณเยอะแยะมากมาย

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกให้ผู้คนเหล่านั้น มาทำนายฝัน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ จึงนึกถึงดาเนียล … ดาเนียลจึงมาเข้าเฝ้า เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าดาเนียลจะทำนายฝันได้ เพราะว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“ครั้งที่แล้ว เรายังไม่ได้บอกว่าเราฝันว่าอะไร?  เขายังรู้เลย”

จึงเชื่อมั่นว่าดาเนียลทำได้  แล้วก็เชื่อมั่นว่าดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (S) หมายถึงว่าในตัวของดาเนียลมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ 1 องค์ พูดง่ายๆ ในจำนวนหลายๆ องค์ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพื้นฐานลึกๆ มันเป็นอย่างไร? ในยุคปัจจุบัน ความรู้สึกด้านของวิญญาณมนุษย์ ไม่แตกต่างเลย เหมือนเดิม เพียงแต่ทางวัตถุภายนอก  ที่เราเห็นทุกวันนี้ การเจริญรุ่งเรืองของเทคโนโลยี วัตถุสิ่งของ เจริญไป ต่างจากสมัยก่อน เรามีแก๊ส เรามีรถยนต์ มีคอมพิวเตอร์ แต่ทางด้านจิตวิญญาณของมนุษย์มันเหมือนเดิม ไม่มีผิดเลย

นี่คือคำพูดที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นผู้พูดเอง ข้อที่ 3 ที่บอกว่าหมายสำคัญของพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือล้ำ การอัศจรรย์ของพระองค์เกรียงไกรยิ่งนัก ราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ทรงครอบครองอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จากที่ยอมจำนนจากอัศจรรย์ที่เขาเห็น ที่พระองค์ทรงกระทำ แต่ประเด็นสำคัญที่เราจะเรียนรู้จากเรื่องราวในบทที่ 4 ในครั้งนี้ อยู่ข้อที่ 17 ที่ในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ มีเหล่าทูตสวรรค์เป็นรูปลักษณะคนมาเผยนิมิต ประกาศว่าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้แจ้งคำตรัสนี้ เพื่อผู้มีชีวิตอยู่ จะรู้ว่าพระเจ้าสูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใด ก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุด ให้ปกครองพวกเขา

ตรงนี้ ตรงนั้น รวมกันเรียกว่าอาณาจักร หรือว่า Kingdoms พระเจ้าผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ก็แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครอง ดูแลอยู่เหนือประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคตอีก ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามชอบพระทัย คือตามแต่พระประสงค์ของพระองค์ที่วางไว้ บางครั้งพระองค์ก็เลือกอย่างนี้ มีอะไรไหม? แต่เพื่อแผนการที่ดี สำหรับโลกใบนี้ทั้งใบ สำหรับพวกเราทั้งหลายบนโลกใบนี้ แต่เรามองว่าเลือกอย่างนี้มาได้อย่างไร? โหดร้ายมาก เลือกฮิตเลอร์ได้อย่างไร? แต่ในนี้บอกทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และสอนมนุษย์ทั้งมวล เพราะในนี้บอกว่าเพื่อผู้มีชีวิตอยู่ ก็คือมวลมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง จะทรงสร้างใครเป็นฮีโร่ ก็ได้ ให้ใครใหญ่ก็ได้  ให้ใครเล็กลงก็ได้ ตามแต่พระประสงค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น จบ ถ้าเราจะเติมต่อ เราบอกมีอะไรไหม? เดี๋ยวฟังดู ไม่ใช่ผมพูดเอง  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดคำนี้ด้วย

พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่าจิตใจของเนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างไร? วันนี้สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เดี๋ยวเผลอๆ เย่อหยิ่งอีกแล้ว พระเจ้าจึงสอนผ่านเขาเลย ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ บอกไว้เลยล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น แบบที่เรียกว่าให้ดาเนียลทำนายฝันไว้ล่วงหน้าก่อน เพื่อจะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เชื่อและเห็นความอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่าใช่แน่ๆ เพื่อเขาจะได้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เขียนสิ่งนี้ เป็นพยานให้กับมวลมนุษยชาติได้รู้อีกหนึ่งครั้ง ในจำนวนเยอะแยะหลายๆ ครั้ง ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รู้และเขียนเป็นคำพยานอยู่ในนี้ว่าอย่าเย่อหยิ่ง ให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? ดาเนียล 4:19-27

ดาเนียล 4:19-27 “19 แล้วดาเนียลก็ตกตะลึงและว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ความคิดของเขา ทำให้เขาหวาดวิตก กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝัน หรือความหมายของมัน ทำให้เจ้าตกใจกลัวไปเลย” เบลเทชัสซาร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้ความฝันและความหมายของมัน ตกแก่ศัตรูของฝ่าพระบาทเถิด 20 ต้นไม้ที่ฝ่าพระบาทเห็น ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ยอดสูงจรดฟ้าจนสุดโลกยังมองเห็น 21 ซึ่งมีใบสวยงาม ให้ผลดกเป็นอาหารแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ให้ร่มเงาแก่บรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง และมีกิ่งก้านให้เหล่านกมาอาศัยทำรัง 22 ข้าแต่กษัตริย์ ต้นไม้นั้น คือฝ่าพระบาททรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร รุ่งโรจน์เทียมฟ้า และแผ่อำนาจไปถึงสุดโลก 23 ข้าแต่กษัตริย์ที่ฝ่าพระบาทเห็นทูตสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และป่าวประกาศว่าจงโค่นต้นไม้ลงและทำลายมันเสีย แต่เหลือตอไว้  ล่ามมันไว้กลางทุ่งหญ้า ด้วยเหล็กและทองสัมฤทธิ์ ขณะที่รากยังหยั่งลึกอยู่ในดิน ให้เขาตากน้ำค้าง และอาศัยอยู่เยี่ยงสัตว์ป่า จนครบเจ็ดวาระ

24 ข้าแต่กษัตริย์ นิมิตนั้นมีความหมายดังนี้ ประกาศิตขององค์ผู้สูงสุดเกี่ยวกับฝ่าพระบาท 25 คือฝ่าพระบาทจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า จะกินหญ้าเหมือนวัว และตากน้ำค้างจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย 26 พระบัญชาที่ให้เหลือตอและรากไว้ หมายความว่าฝ่าพระบาทจะได้รับอาณาจักรกลับคืนมาอีก หลังจากทรงเรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์นั้น ครอบครองอยู่ 27 ฉะนั้น ข้าแต่กษัตริย์ ขอโปรดยอมรับคำแนะนำของข้าพระบาท ขอทรงละทิ้งบาปด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง และขอทรงละทิ้งความชั่ว ด้วยการเมตตากรุณา ผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง แล้วฝ่าพระบาทจะได้ทรงเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”

 

ในนี้เขียนบอกว่าดาเนียลตกใจกลัว หวาดกลัวเลย  เพราะนิมิตที่จะเกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มันรุนแรงมาก ผมคิดว่าดาเนียลกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  เพราะว่านี่ก็ 20 กว่าปีแล้ว ที่ดาเนียลอยู่ที่นี่ แล้วดาเนียลคงได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มาก และความโปรดปรานนี้ก็แผ่ไปถึงบรรดาชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลนด้วย ดาเนียลจึงมีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้านายด้วย เป็นเพื่อนด้วย คือตกใจกลัว แล้วจึงทูลกษัตริย์จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์เลย ให้เกิดขึ้นกับศัตรู เพราะมันน่ากลัว พระเจ้ากำลังสอนเนบูคัดเนสซาร์ให้รู้ว่าพระองค์คือใคร? จะได้เลิกเย่อหยิ่งสักที

ดาเนียลแปลความฝันว่าพระเจ้าจะทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต้องถูกขับไล่ออกไปจากสังคมมนุษย์ ให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า กินหญ้าเหมือนวัว และต้องตากน้ำค้าง จนกว่าเนบูคัดเนสซาร์จะได้เรียนรู้ และได้ถ่อมใจรับรู้ว่ามีพระเจ้า เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว อย่าซ่าส์ อย่าเย่อหยิ่ง ที่ในพระคัมภีร์เมื่อกี้เขียนไว้ว่า …

“จนกว่าฝ่าพระบาทจะเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุด ทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัยของพระองค์”

ดาเนียลบอกว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ต้องถ่อมใจนะ เลิกปฏิบัติตัวอย่างนี้  แล้วพระเจ้าอาจจะเมตตา ลดโทษให้ก็ได้ ทำอย่างนี้เถิด ด้วยความหวังดี”

ดาเนียล 4:28-37 “28 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คือ 29 สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่กษัตริย์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังของบาบิโลน 30 พระองค์ตรัสว่า “เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ขึ้นเป็นราชวัง ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ” 31 กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงดังจากฟ้าสวรรค์ว่า “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย นี่คือประกาศิตสำหรับเจ้า ราชอำนาจถูกพรากไปจากเจ้าแล้ว 32 เจ้าจะถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ให้ไปอาศัยอยู่กับสัตว์ป่า ให้กินหญ้าเหมือนวัว จนครบเจ็ดวาระ ตราบจนเจ้าเรียนรู้ว่าองค์ผู้สูงสุดทรงครอบครองเหนืออาณาจักรมนุษย์ พระองค์จะประทานอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ ตามแต่ชอบพระทัย”

33 ทันใดนั้น เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นไปตามประกาศิตของพระเจ้า พระองค์ทรงถูกขับไล่จากมวลมนุษย์ และกินหญ้าเหมือนวัว กายนั้นเปียกชุ่มด้วยน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนกระทั่งผมยาวเหมือนขนนกอินทรี และมีเล็บยาวเหมือนกรงเล็บของนก 34 เมื่อครบกำหนดแล้ว เรา เนบูคัดเนสซาร์ แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์  ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า พระองค์ทำอะไรนี่?” 36 ขณะนั้นสติสัมปชัญญะของเรากลับคืนมา เกียรติและบารมีกลับคืนมาสู่เรา เพื่อสง่าราศีแห่งอาณาจักรของเรา ราชมนตรีและขุนนางทั้งหลายมาตามหาเรา ให้กลับไปครองราชบัลลังก์ดังเดิม และรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อน  37 บัดนี้ เรา เนบูคัดเนสซาร์ ขอถวายสรรเสริญ และยกย่องเทิดทูนองค์กษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพราะทุกสิ่งที่ทรงกระทำนั้นถูกต้อง และทางทั้งปวงของพระองค์ก็ยุติธรรม บรรดาผู้ดำเนินชีวิตอย่างหยิ่งยโส พระองค์สามารถกระทำให้เขาถ่อมลง”  เอเมน

 

สรุป คำเตือนของดาเนียลไม่ได้ผล ก็เหมือนพวกเราทุกคนในปัจจุบัน เพราะการทดลองมันรุนแรงมาก ถ้าเราตกลงไปในการทดลองแบบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราก็อาจจะสอบไม่ผ่านเหมือนกัน

12 เดือนต่อมา ขณะที่เนบูคัดเนสซาร์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเรื่องนี้ยังอยู่ 1 ใน 7 มหัศจรรย์ เขาเป็นผู้ครอบครอง เขาเป็นผู้สร้างสิ่งนั้นขึ้นมา เขาลืมไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นการทดลองที่รุนแรง ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวัง ก็คือสวนลอยฟ้าของบาบิโลน ยิ่งใหญ่มาก แล้วพระองค์ตรัสว่า …

“เราได้สร้างบาบิโลนอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเกรียงไกรของเรา และเพื่อเกียรติบารมีของเราไม่ใช่หรือ”

ในนี้บันทึกว่ากษัตริย์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ เพราะเตือนไว้แล้ว ก็มีเสียงดังจากฟ้า พระเจ้าก็ตัดสิน สอนให้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ สอนให้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร? วิธีการสอน ก็คือทำให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ถ้าเอาปัจจุบัน ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็คือเสียสติ ฟั่นเฟือนเหมือนคนบ้าเลย ไม่มีสติ สตังค์แล้ว เพราะในสมัยก่อน ไม่มีหมอรักษาโรคจิต พอสติฟั่นเฟือน ไม่มียา เขาก็ต้องไล่ออกไปอยู่นอกเมือง การเข้าไปอยู่ในป่า ก็คือการเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ เหมือนเราเห็นคนสติไม่ดี เดินอยู่ริมถนนทุกวันนี้ คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าทุกวันนี้ ก็ไปเขี่ยถังขยะหาของทาน แต่สมัยก่อน ไม่ใช่ เขาต้องไปกินน้ำค้าง พืชพันธุ์ ผัก อะไรก็ว่ากันไป ไม่อาบน้ำ ปล่อยผมยาวรุงรัง เล็บไม่ตัด เป็นเหมือนที่ตะกี้นี้อธิบาย

แล้ววันหนึ่ง ตามนิมิตนี้  เขาก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า  ประทานความถ่อมใจให้กับเขา ในนี้เขียนบันทึกว่าเขาแหงนหน้ามองดูฟ้า เริ่มนึกขึ้นได้ ทั้งหมดมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระราชวัง ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนสร้าง 1 ใน 7 มหัศจรรย์ สวนลอยฟ้า และบรรดาประเทศชาติต่างๆ ที่เขาไปปล้นมา พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ทั้งสิ้น ความยิ่งใหญ่ของเขา พระเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วยเถิด”

อะไรประมาณนั้น  เขาจึงบันทึกตรงนี้ว่า …

“ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ทรงครอบครองทุกสิ่ง ราชอาณาจักรของพระองค์ที่อยู่เหนืออาณาจักรของมนุษย์ทั้งหมด คือราชอาณาจักรของพระองค์ในสวรรค์สถาน ราชอาณาจักรของพระองค์ในโลกวิญญาณ มันยิ่งใหญ่สูงสุด และไปทุกชั่วชาติพันธุ์ คือนิรันดร์นั่นเอง”

ราชอาณาจักรบนโลกใบนี้ ยังอยู่เพียงชั่วคราว 30 ปี 100 ปี แต่ราชอาณาจักรของพระองค์ ราชอาณาจักรในวิญญาณ มันอยู่ตลอดกาลเลย เห็นถึงความยิ่งใหญ่ไหม? แค่คำๆ เดียว ราชอาณาจักรของพระองค์ยืนยงตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าแห่งวิญญาณ อาณาจักรของพระองค์ ก็เป็นอาณาจักรแห่งวิญญาณ และอาณาจักรของพระองค์ที่เป็นวิญญาณนี้ ก็เป็นอาณาจักรนิรันดร์ คือครอบครองใหญ่ที่สุด นิรันดร์กาล

เรื่องราวในพระคัมภีร์ดาเนียล ที่เราอ่านกันวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอย่างนี้ทั้งหมด พระเจ้าต้องการให้มวลมนุษยชาติทุกคน เรียนรู้ว่าพระองค์เป็นใคร? เตือนมนุษย์ ด้วยความรัก ความปรารถนาดี เหมือนดั่งที่ดาเนียลได้เตือนด้วยความรัก ความห่วงใยว่ามีพระเจ้าจริงๆ และพระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่สูงสุดจริงๆ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พูดประโยคสุดท้ายว่า …

“มวลมนุษยชาติในโลกนี้ ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจที่จะทำต่อทูตสวรรค์และมวลมนุษยชาติตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่าพระองค์ทำอะไรเนี้ย”

พระเจ้าต้องการให้รู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอยู่ตลอดชั่วอายุคน หมายถึงเจเนเรชั่น ทรูเจเนเรชั่น จากชั่วอายุคนหนึ่ง ไปอีกชั่วอายุคนหนึ่ง พูดง่ายๆ เดี๋ยวนี้ถ้าย้อนกลับไปในพระคัมภีร์ ก็จะบอกว่าจากชั่วอายุอาดัมมาถึงยุคโมเสส ไล่มาจนถึงอายุพวกเราปัจจุบันนี้ แล้วต่อไปอนาคต พระเจ้าครอบครองอยู่ตลอดเลย เอเมน

และหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระองค์ถูกตรึง และตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย อาณาจักรของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรที่อยู่นิรันดร์ มาเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรของพระคริสต์ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา จนถึงทุกวันนี้ คืออาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า จึงสำคัญยิ่งใหญ่กว่าอาณาจักรใดๆ ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน ไม่ว่าจะเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นกรีก ไม่ว่าจะเป็นโรมัน หรือเป็นประเทศอะไรต่างๆ ต่อมาเรื่อยๆ  จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปอนาคต ไม่รู้ว่าใครจะคิดว่าใครใหญ่แล้วแต่ บนโลกใบนี้ พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาประเทศนั้น อาณาจักรนั้นขึ้นมา และอยู่ไม่นานหรอก อาณาจักรของพระองค์ อาณาจักรของพระคริสต์อยู่นานกว่า สำคัญกว่า

ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังเรียนกันอยู่นี้ บอกอย่างนั้นว่าพระองค์เป็นผู้กำหนด เป็นผู้แต่งตั้งกษัตริย์ ผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ ทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง พระองค์จะให้กับใครก็ได้ พระองค์ควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ จงวางใจ และเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงมอบอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ให้พระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรสวรรค์ เป็นจอมราชันของอาณาจักรสวรรค์ และพระองค์ได้สถาปนาอาณาจักรพระคริสต์นี้ไว้ตลอดกาล  จากคนชั่วอายุหนึ่งไปชั่วอายุหนึ่ง ท่านพอเห็นภาพไหม? จากอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า เริ่มจากอาดัม ไล่มาถึงพระเยซู ถึงพระเยซูก็ครอบครองต่อไป แต่เปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรพระคริสต์ ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้

และอาณาจักรของพระคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด และชนะทุกอาณาจักรไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นชัยชนะนิรันดร์ด้วย และใครก็ตามที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นประชากรในอาณาจักรนี้ เป็นผู้คนในอาณาจักรนี้ มีบัตรประชาชนที่อยู่ในอาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์นี้ เขาก็จะมีชัยชนะนิรันดร์เช่นเดียวกัน เอเมน

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่จบไปเลยล่ะ ก็ได้ชัยชนะแล้ว ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

ถูกไหม? แต่ไม่ใช่อย่างนั้น  มันจำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าชัยชนะนิรันดร์นั้น พระเจ้าทำสำเร็จแล้วก็จริง แต่ขบวนการสุดท้ายมันยังไม่จบ เพราะชัยชนะนี้ ยังต้องเรียกบรรดาผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนี้ ให้เข้ามา เหมือนเราในอดีต เหมือนผมเมื่อ 29 ปีที่แล้ว ผมก็ย้ายจากอาณาจักรของโลกใบนี้  อาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว ถ้าเผื่อตรงนี้จบก่อน 29 ปีที่แล้ว ผมก็แย่เลย ผมยังอยู่ในอาณาจักรของความมืดเลย ผมแพ้ตลอด ตอนนั้น พอเข้าใจไหม? ขณะนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าเที่ยงแท้มีเพียงพระองค์เดียว และอาณาจักรของพระองค์อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คืออาณาจักรที่พระองค์สถาปนาไว้ ชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ มีชัยชนะนิรันดร์ คนยังไม่รู้ หรือบางคนรู้ ก็รู้แบบเนบูคัดเนสซาร์ คือรู้แบบเข้าๆ ออกๆ เขาไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เพราะเขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ประเทศในโลกวิญญาณ รอให้มีใครบอกเขาเสียก่อน เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องทำงานต่อ เรายังต้องเหน็ดเหนื่อยต่อไป เพราะงานของพระองค์ยังไม่เสร็จ เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกข่าวประเสริฐนี้ ให้เขารู้ว่าอาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว จงวางใจเถิด ตอนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เราเหมือนนกที่ไร้รัง ค่ำไม่รู้จะนอนที่ไหน? บินตลอดทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยล้า ชีวิตมันยิ่งเหนื่อย เพราะมันบินนาน ปีกมันเมื่อย แล้วเราก็ได้ยินแว่วๆ มา พระเยซูตรัสว่า …

“ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย กำลังบินเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข เราเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่เธอจะมาสร้างรัง อยู่ที่กิ่งก้านของต้นนี้ ร่มเย็น  มาๆ เลย”

เราก็บินโฉบ เข้าไปอยู่ที่ต้นไม้ สร้างรังของเรา แล้วเราก็ได้รู้จักกับนกตัวอื่นๆ ที่มาพักผ่อนในนี้เยอะแยะมากมายไปหมด รังเล็กๆ ของเรา มีชื่อว่ารังโฮลี่ อยู่ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 พวกเราบินมาเหนื่อยทุกคน ก่อนหน้านี้ เพราะเหนื่อยจึงมาหาพระเยซูไง ไม่เหนื่อย ไม่มาอยู่แล้ว ไม่เหนื่อยก็บินต่อไป ใครอยากจะบินต่อไป ก็บิน ถ้าคิดว่าเหนื่อยแล้ว ก็มาหาพระเยซูเถิด พระเยซูบอกพอเถอะ เหนื่อยเปล่าๆ มาพักสงบเถิด

เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่ที่จะไปบอกกับคนอื่นๆ ที่กำลังบินอยู่แล้ว มันเหนื่อย เพื่อนๆ เราที่อยู่ข้างๆ เหนื่อยเหลือเกิน มาเถิด มาพักในร่มเงาของอาณาจักรนี้ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นอาณาจักรนิรันดร์ และเราจะครอบครองร่วมกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น บทเรียนในวันนี้ จึงมี 2 ประเด็น ที่เราจะสรุป ก็คือ …

(1) พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ จึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ ภัยต่างๆ แบบแปลกประหลาดต่างๆ มนุษย์อวกาศ มนุษย์ดวงดาวอื่นมา จะมาทำสงครามเลเซอร์อะไรต่างๆ ไม่ต้องไปกลัวเลย ให้เราวางภาระลง ไว้ที่พระองค์ พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรนี้ชนะแล้ว

(2) ที่เรายังต้องดำเนินอยู่บนโลกใบนี้   แม้เราจะชนะแล้วก็ตาม  เพราะพระเจ้ายังมอบหมายหน้าที่ให้เราทำอยู่ ในการที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นส่วนหนึ่งในการแผ่กิ่งก้านสาขา ต้นไม้ใหญ่แห่งความรอดขององค์พระเยซูคริสต์สู่สวรรค์ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสวรรค์เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่บรรดานกกาเขาจะมาพักอาศัยได้ ให้เป็นที่พักพิงของฝูงนกที่กำลังเหนื่อยและล้ากันในขณะนี้  ให้เขาได้ยินได้ฟัง และนำพาเขาเข้ามาสู่ต้นไม้ต้นนี้ ให้เขาไปหารังต่างๆ บนต้นไม้ต้นนี้อยู่ ไม่ว่าจะรังที่กรุงเทพกรีฑา หรือรังที่ถนนสุขุมวิท หรือรังที่ถนนเพชรบุรี ไปรังไหนก็ได้ ไปอยู่ในรังซะ สงบ คุยกันเรื่องพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปีนี้ หรือปีไหนก็ตาม ใครมาขู่อะไร? ข่าวอะไรต่างๆ บอกมาว่าน่ากลัวอย่างนั้น น่ากลัวอย่างนี้ ให้เราวางใจ มอบภาระลงไว้ที่พระเจ้า แล้วเราจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************