คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018 เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018

เรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สัปดาห์ที่แล้วผมบรรยายเรื่อง “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 10 พอดีวันนั้นเวลาน้อย ก็เลยไม่ได้อธิบายละเอียด ก็เกรงว่าบางท่าน จะถือโอกาส ไม่ละเอียดนั้น ก็เลยอาจจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไป ตามที่ได้ฟัง แล้วก็สนองกิเลสตัณหาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ด้วย กลัวจะตีความไม่ถูกกัน ก็เลยถือโอกาสวันนี้มาอธิบายให้ละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ลงไปชัดๆ เลย เรามาอ่านกันก่อนว่าถ้อยคำพระเจ้าที่ผมกำลังพูดถึงนี้ บันทึกไว้ว่าอย่างไร? 1 โครินธ์ 10:23-31

1 โครินธิ์ 10:23-31 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์   เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้า จึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

สัปดาห์ที่แล้ว เราจบตรงนี้ว่าจะทำอะไร ก็ทำเพื่อพระสิริพระเกียรติ แด่พระเจ้า เห็นแก่พระเกียรติ พระสิริของพระเจ้า ถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อในยุคโน้น ยุคที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นมาจากความตายใหม่ๆ และเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ และมนุษย์ก็ออกไปประกาศ ตามที่พระเยซูสั่ง

บรรดาผู้เชื่อในยุคนั้น พอพระเยซูไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็ไปวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ เยอะแยะ มากมายไปหมดเลย พอจะทำอะไรทีหนึ่ง ก็จะคอยมาถามว่าทำได้ไหม?  ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม? ทั้งๆ ที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว มาเชื่อพระเจ้า เป็นอิสระแล้ว ก็ยังไม่วาย เพราะว่าบรรดาคนที่สอน … สอน เติมในสิ่งที่ตัวเองอยากจะให้ทำลงไปในนั้น ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนั้นได้ไหม?

ยกตัวอย่างเช่น ล้างมือก่อนรับประทานทานผิดไหมเนี้ย ตกลง ต้องล้างหรือไม่ล้างดี?  ไปทานข้าวกับคนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ไหม? เขาไม่เชื่อ เราไปทานกับเขาได้ไหม?

ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

บางเรื่องไปถามผู้เชื่อคนหนึ่งบอกว่าไปถามอาจารย์คนหนึ่ง อาจารย์คนหนึ่งบอกว่าได้ ไปถามอาจารย์อีกคนหนึ่งบอกไม่ได้ ไปถามพี่เลี้ยงคนหนึ่งบอกได้ สรุปได้หรือไม่ได้ มันยุ่งไปหมดเลย อาจารย์เปาโลก็เลยต้องมาแก้ความวุ่นวายตรงนี้ ด้วยข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ แล้วก็อธิบายต่อไป อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น พูดง่ายๆ คือเราได้รับอิสรภาพให้ทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำนั้น มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันมีอยู่ 2 ฝั่ง ไม่เป็นประโยชน์ มันก็เป็นโทษ มันเกิดประโยชน์หรือเกิดโทษล่ะ

ความหมายตรงนี้ ก็คือในทางวิญญาณนะ ในทางโลกวิญญาณ เมื่อเราได้รับการชำระ เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความสาปแช่งมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า 100% ทันทีทันใดเลย ณ บนโลกนั้นแหละ ณ เวลาที่เชื่อนั่นแหละ ไม่ต้องรอไปอยู่ในสวรรค์ถึงได้รับการชำระ ได้ชำระเดี๋ยวนั้นเลย เมื่อเขาพูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ภาพมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เกิดขึ้นอย่างนี้ คือเขาได้ถูกย้ายมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผ้าขาวสะอาดทันทีทันใดเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สกปรกแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎระเบียบอีกต่อไป หลุดพ้นจากกฎระเบียบ … กฎระเบียบมีไว้ใช้ สำหรับอาณาจักรแห่งความมืด ก่อนหน้านั้น  ที่เรายังไม่เชื่อ ต้องมีกฎ พอมาอยู่ในพระเจ้า ไม่มีกฎแล้ว ไม่มีระเบียบแล้ว ใช้กฎเดียว คือกฎแห่งความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีกฎ เราก็ได้รับอิสรภาพ ก็คือได้รับอนุญาตที่เปาโลพูดถึง ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว เราจึงได้รับอนุญาต เป็นอิสระให้ทำทุกสิ่งได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องกฎระเบียบแล้ว เพราะไม่มีกฎระเบียบแล้ว ไม่ต้องกลัวเรื่องบาป ไม่ต้องกลัวเรื่องผิดอีกต่อไป นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้นะ

แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ก็จริงอยู่ แต่อาจารย์ก็ยังบอกว่าแต่จำไว้นะ เรายังอยู่บนโลกใบนี้นะ  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ได้รับอนุญาต มันจะทำ แล้วมีประโยชน์ คิดเอาเองแล้วกันว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำแล้วมีประโยชน์ หรือทุกสิ่งทำแล้วมันจะเป็นการเสริมสร้าง เป็นสิ่งที่ดี เกิดความดีงามขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะมีสิ่งที่ทำได้ด้วย แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เสริมสร้าง เป็นการทำลายด้วย ก็มี

แล้วก็เลยจบด้วยคำนี้ ชัดเจน ว่า … “ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกิน ดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำ เพื่อพระเกียรติสิริ ถวายแด่พระเจ้า”

พูดง่ายๆ ให้คิดถึงพระเจ้า คิดถึงว่าเราอยู่ในโลกวิญญาณ คิดถึงว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ให้คิดให้ดีๆ ก่อนทำ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราไม่เหมือนแต่ก่อนนี้นะ อย่าไปทำตัวเหมือนแต่ก่อนนี้ ถึงแม้ไม่มีกฎระเบียบมาบังคับเราว่า … “อย่าทำ” … แต่จะไปทำทำไมมันมีประโยชน์ไหมล่ะ เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ

คำว่า “นึกถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า” หมายถึงนึกถึงว่าเราเป็นใคร แล้วพระเจ้าเป็นใคร รับเราเป็นลูก เราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปคลุกคลีกับสิ่งสกปรกโสโครก ไม่ได้บังคับ แต่คิดเอาเองนะ เป็นอย่างนี้

นี่คือพระคุณของพระเจ้า  เขาเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ สำหรับผู้เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ห้ามทำ และไม่มีสิ่งใด ที่บังคับให้ผู้เชื่อทำ แต่จงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำในสิ่งที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น เป็นบวก

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งไหนที่เป็นประโยชน์? และสิ่งไหนที่เป็นการเสริมสร้างขึ้น? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้ บอกให้ฟัง อันไหน? ไม่มีกฎเกณฑ์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราทำตามพระวิญญาณนำ เดี๋ยวผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้น   ต้องทำอย่างนี้  ถ้า “ต้อง” เมื่อไร? มันก็เป็นกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ ก็แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะขึ้นอยู่กับพระเจ้าประทานให้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน ในขณะนั้นๆ พระคัมภีร์เรียกว่า “ของประทาน” แล้วแต่ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลียนแบบกันก็ไม่ได้ด้วย

ยกตัวอย่างให้ อันนี้ชัดแล้ว ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ช่วงนี้ใกล้มาแล้ว ช่วงเวลาเช้งเม้ง ก็คือการระลึกถึงบรรพบุรุษ ประเพณีจีน ซึ่งเราก็อยู่ในประเทศไทย ก็คุ้นเคยกับประเพณี หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่สุดของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในบ้านเรา ก็คือ …

“ไปเช้งเม้ง ไปร่วมงานเช้งเม้ง ไปร่วมพิธีเช้งเม้งได้ไหม?”

คราวนี้ตอบสบาย ท่านจะรู้ในใจแล้ว คำตอบ ก็คือว่า … “ได้”

เป็นอิสระ อนุญาตแล้ว โดยใครอนุญาต? Ps.นครอนุญาต ใครอนุญาต? อย่าบอกว่าผมอนุญาต ใครอนุญาต? พระเจ้า ไม่มีกฎบังคับแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ไปก็ได้ ถ้าเราหรือท่านไปแล้ว เป็นประโยชน์ คิดเอาเอง เป็นประโยชน์หรือเปล่านะ ท่านบอกท่านไปได้ อนุญาตให้ท่านไปได้ ท่านจะไปไหม? คิดดูว่าเป็นประโยชน์ไหม?

สมมติ ต้องขับรถให้กับคุณแม่ ที่ยังไม่เชื่อ คุณแม่ต้องไปทำพิธีนี้ สมมตินะ แล้วให้ท่านขับรถพาไป  หรือไปแล้วเป็นกำลังให้กับคนอื่นๆ ให้กับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ไปแล้ว เขาสบายใจ หรือไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ การติดต่อ ความสัมพันธ์กันดีในครอบครัวของเรา ครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องทุกคน ไม่ใช่กลายเป็นตัวประหลาดของเขา อย่างนี้เสริมสร้างไหม? ที่พูดมาทั้งหมด เสริมสร้างหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ไหม?

แต่ในขณะที่เราไป หรือขณะที่เราร่วมทำพิธีกรรม หรือกิจกรรมอะไรต่างๆ ก็ตาม ในพิธีเช้งเม้งนั้น ในใจเรารู้ดีว่าในใจเรากำลังถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า เรากำลังทำตามที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งเหล่านี้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เรากำลังนึกถึงพระองค์อยู่ เรารู้ตัวอยู่เสมอ ขณะที่เราไปร่วม เห็นไหม? เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? คิดแค่นี้ก็รู้แล้ว  เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ? เกิดประโยชน์ เสริมสร้างขึ้น  ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าการจะทำอะไรได้แค่ไหนนั้น ไม่ได้คำตอบที่ตายตัว ไม่ใช่ทุกคนต้องทำอย่างนี้หมด แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน  เช่น บางคนบอกว่า …

“แค่ขับรถไปให้ โดยไม่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรม ก็ได้ แค่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจแหละ”

อย่างนี้ บางคนก็เป็นอย่างนี้  แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น บางคนหนักกว่านั้น พ่อแม่ต้องการมากกว่านั้น คือไม่ใช่ขับรถไปอย่างเดียว ให้ร่วมพิธีด้วย บังคับเราเลย พ่อแม่บังคับเรานะ ไม่ใช่พระเจ้าบังคับ ให้เราร่วมพิธีเลย ก็มี เพราะฉะนั้น ตัดสินใจไม่ถูก แล้วแต่ว่าสถานการณ์ของคนนั้นจะเป็นเช่นไร?

เคยมีสมาชิกถามว่าที่บ้าน แค่อยากให้เขาไป เพื่อให้ญาติคนอื่นเห็นหน้า ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่โผล่หน้าไปให้เห็น ก็พอแล้วว่ามาด้วย  อย่างนี้เป็นต้น  อย่างนี้สบายใจแล้ว  ถ้าไม่ไป โอโห้? มันไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย  เกิดขึ้นมาเลย  อย่างนี้เป็นต้น

ผมเป็นพยานให้ท่าน ตอนสมัยผม ผมมาเชื่อใหม่ๆ คุณแม่ยังไม่เชื่อ  ผมไปตลอดเลยครับ ไม่ให้ไป ผมก็ไป เพราะผมอยากไปทำไมรู้ไหม? มีความรู้สึกตอนนั้น ส่วนตัวนะ อย่ามาลอกเลียนแบบ ส่วนตัวเรามีความรู้สึก ตอนนั้นเอง ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าต้องไปสิ เราไปกลัวอะไร โลกใบนี้ เรามีชัยชนะ พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราไปกลัวอะไร ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ไปเลย  ไปเพื่ออะไร? ไปเพื่อติดสนิทอยู่กับแม่เรา แล้วก็ไปอธิษฐานให้เขา เขาทำอะไรไป เราก็ทำด้วย แล้วเราก็อธิษฐานไป เราจะทำอะไร ใครจะรู้ในใจเราคิดอะไรอยู่ ข้างนอก เราก็ทำให้เขาเห็น ก็ดูดี เห็นไหม? ทำไปตั้งหลายปี จนในที่สุด คุณแม่ก็มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ แต่ทุกคนไม่ใช่ทำอย่างนี้นะ ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ผมทำ เพราะว่าของประทานไม่เหมือนกัน พระเจ้าประทานให้คุณอีกอย่างหนึ่ง สถานการณ์อีกอย่างหนึ่ง  สิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำไปที่ท่านเองข้างในคิดในใจว่าถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า น่าจะเป็นประโยชน์ และก็ทำเลย จบ เอเมนไหม?

ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่เคยไปดูมาเมื่อปีที่แล้ว หนังเรื่องนี้ดีมาก สอนคนได้ดีมาก มีคนไปดูไม่กี่คนเท่านั้นเอง เพราะผมอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร? หนังเรื่องนี้ชื่อ “Silence” ไปหาดู หาวีดีโอเก่าๆ ก็ได้ ซึ่งภาษาไทย เขาใช้ชื่อว่า “ศรัทธาและความอยู่รอด” นี่เป็นเรื่องจริงๆ นะ เป็นหนังที่มาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เกี่ยวมิชชั่นนารี  ที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสมัยโน้น สมัยที่ยังมีการข่มเหงคริสเตียนอย่างรุนแรง ในประเทศญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นในสมัยนั้น ทำการกวาดล้างบรรดาผู้เชื่ออย่างหนัก ทำลายใครก็ตามที่เชื่อ และรวมพยายามตามจับใครก็ตาม ที่เป็นมิชชั่นนารีที่มาประกาศข่าวประเสริฐ พอจับได้ ก็จะจับไปทรมาน จนกว่าจะยอมเลิกเชื่อ วิธีการของทหารญี่ปุ่น ก็คือพอจับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เชื่อ

วิธีที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นคริสเตียนหรือไม่? ก็จะบังคับให้เขาถ่มน้ำลายบ้าง? เหยียบที่ไม้กางเขนบ้าง? เหยียบพระคัมภีร์บ้าง? ใครไม่ยอมทำตาม ก็ถูกจับไปทรมาน นึกภาพออกไหม? นี่คือการพิสูจน์ของเขาว่าคุณเป็นคริสเตียนไหม? ถามใครเป็นคริสเตียน? เงียบ ไม่มีใครพูด เขาเลยเอาพระคัมภีร์วางไว้ แล้วเรียงแถวเข้าไปเลย ทุกคนต้องทำหน้าที่เดียวกัน ก็คือไปบ้วนน้ำลายใส่ แล้วก็เหยียบลงไปที่ไม้กางเขน แล้วก็เดินผ่าน ถือว่าคนนี้ไม่ใช่คริสเตียน รอดไป ซึ่งก็มีทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทนการทรมานไม่ไหว กลัวตาย ก็เลยต้องยอมทำตาม ถ่มน้ำลาย แล้วก็เหยียบ แล้วก็วิ่งไป  กับกลุ่มที่ยังไงๆ ก็ไม่ยอมทำ จนในที่สุด ถูกทรมานและถูกฆ่าตาย

และพวกมิชชั่นนารีที่อยู่ในญี่ปุ่น ในช่วงนั้น พวกมิชชั่นนารีที่ถูกจับได้ ก็ต้องเจอกับการทดลอง ซึ่งหนักกว่าอีก คือไม่ใช่แค่ตัวเองถูกทรมานแบบนั้น ทรมานมากนะ อย่างเช่น เอาเชือกผูกขาสองข้าง แล้วห้อยหัวลง แล้วให้เลือดออกทางหัว กรีดให้เลือดหยด ให้ได้ยินเสียงเลือดตัวเองหยดติ๋งๆ อย่างนี้ ถูกทรมาน มิชชั่นนารีเหล่านี้ไม่ใช่ได้รับการทรมานตนเองแค่นั้น  แต่พวกทหารยังจับเอาผู้เชื่อต่างๆ ที่มิชชั่นนารีไปประกาศให้เขาเชื่อ พูดง่ายๆ ลูกแกะทั้งหลาย ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น  มาทรมานต่อหน้าต่อตามิชชั่นนารี และบังคับให้มิชชั่นนารีเหยียบพระคัมภีร์ แล้วเลิกเชื่อพระเยซู ถ้าเลิกเชื่อ ก็จะปล่อยบรรดาคนที่เป็นลูกแกะ ที่เชื่อพระเยซู เหล่านั้นเสีย แล้วให้อยู่อย่างสบายเลย เปรียบเทียบ 2 อย่างเลย

ถ้าใครยอมก็จะปล่อยไปเลย แล้วก็เลิกเชื่อไปเลย จะให้บ้านอย่างดีอยู่ อยู่ดี กินดีเลย ถ้าไม่ยอมทำตาม ก็จะถูกฆ่า รวมทั้งผู้ที่เชื่อ ก็จะถูกฆ่าด้วย  และจะทดลองด้วยวิธีการฆ่าทีละคนๆ ยอมไหม? ไม่ยอม ฆ่าไป 1 คน ถามและทำไปเรื่อยๆ

ถามว่าถ้าเราเป็นผู้เชื่อในขณะนั้น หรือเราเป็นผู้รับใช้ เป็นมิชชั่นนารี เป็นผู้ประกาศในขณะนั้น  เราจะทำอย่างไร?

ท่านนึกถึงภาพนะ ทุกคนก็จะตอบใหญ่เลย  ถ้าเชื่อพระเจ้าจริง ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ท่านทำอย่างนั้นได้หรือ?  ทำอย่างนั้นได้ไหม? ถูกหรือไม่ถูก?

นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระคัมภีร์นั้นบอกเราในเรื่องสติปัญญาของพระเจ้าที่ยอดเยี่ยม เฉลียวฉลาดมากที่สุดเลย เราจะทำอย่างไร? ในหนังก็สะท้อนให้เห็น 2 กลุ่ม นี่เรื่องจริง คือ …

(1) มุมของคนที่ทนรับการทรมานไม่ไหว สู้ไม่ไหว ทรมานมาก ไม่ไหว จนในที่สุด ต้องยอมทำตาม ปฏิเสธพระเยซูทุกอย่าง ไม่ใช่กลัวตายอย่างเดียว กลัว สงสาร เห็นใจบรรดาผู้เชื่อที่ต้องตายด้วย

(2) มุมของผู้ที่เชื่อและมิชชั่นนารีที่เด็ดเดียว ในเรื่องของพระเยซูคริสต์ …

“ฉันยอมตายเพื่อพระเยซู ใครจะตายไม่เป็นไร ช่างมัน ฉันจะยอมตาย เพื่อพระเยซู”

ปรากฏว่าเขาก็ตายจริงๆ ไม่ได้ตายคนเดียว คนที่เป็นสาวก คนที่เป็นผู้เชื่อที่เขาไปประกาศ ก็ต้องตายด้วย เพราะเขาไม่ยอม

มี 2 มุม แล้วหนังก็จบอย่างนี้ แต่ตอนจบ สุดท้ายให้เห็นอะไรรู้ไหม? คนที่ปฏิเสธพระเยซู ที่ยอมทำตามที่ทหารญี่ปุ่นบังคับให้ทำ เหยียบพระคัมภีร์ ถ่มน้ำลายรด แล้วก็บอกว่าเลิกเชื่อแล้ว แล้วเลิกเชื่อจริงๆ นะ เลิกเลย แล้วทหารญี่ปุ่น ก็ให้เขาอยู่เป็นที่ปรึกษาทางศาสนาคริสต์ของญี่ปุ่น ปรึกษาอย่างไรรู้ไหม? ให้เป็นคนไปตรวจค้นบรรดาเครื่องมือต่างๆ ว่าแอบซ่อนที่ไหน? ให้เอาไปทำลายเสีย เป็นที่ปรึกษา ปรากฏว่าราชการญี่ปุ่น ก็ให้เขามีตำแหน่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพราะเขาเลิกเชื่อแล้ว ก็ประกาศยกย่องเขาให้ประชาชนญี่ปุ่นเห็นว่าคนนี้ เป็นนักประกาศ เป็นครูนะ เขายังเลิกเชื่อเลย แล้วพวกคุณไปเชื่อทำไม? ถึงขนาดนั้นเลยนะ

แต่ตอนจบ ท่านรู้ไหมว่าอะไร? ปรากฏว่าขณะที่เขาอยู่มาตลอด เขาแอบอธิษฐาน และก็แอบประกาศมาตลอด รวมทั้งครอบครัวเขาที่ทางราชการญี่ปุ่นมอบผู้หญิงให้เขา เพื่อมีครอบครัวเป็นญี่ปุ่น มีลูก มีหลานเป็นคริสเตียนหมดเลย แต่เป็นคริสเตียนอยู่ใต้ดินหมดเลย ตอนเขาตาย หนังได้บอกว่าตอนเขาตาย จึงได้พูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาทำ ซึ่งเรามองไม่เห็น ทั้งหมดเลย เกิดการฟื้นฟูขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มิชชั่นนารีหน่วยงานทางเมืองนอก ส่งคนมาสืบเสาะประวัติชีวิตของเขาว่าเป็นไปได้อย่างไร คนนี้ เป็นมิชชั่นนารีที่รักพระเจ้ามากๆ ทำไมปฏิเสธพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้ ก็มีคนที่ยอมเสียสละเวลา และชีวิตตัวเองเขามาศึกษาเรื่องของเขา จนมาพบความจริงตรงที่ผมเล่าให้ท่านฟังว่าเขาทำให้มีการฟื้นฟูใหญ่ขึ้นในญี่ปุ่น เหตุเพราะตะกี้นี้ที่บอก เหตุเพราะโดยต่อหน้าแล้ว เหมือนเขาปฏิเสธ ไม่มีความเชื่อ  ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเยซู ไปช่วยบรรดาสาวกที่เป็นคริสเตียนเหล่านั้น ให้รอดชีวิต และตัวเขาเอง ก็รอดชีวิต รอดเพื่อไปประกาศต่อ งานใหญ่ของพระเจ้า

เห็นไหม? พระเจ้าทำอะไร เราไม่รู้เลย ท่านกล้าตอบไหมว่าถ้าเป็นท่าน อยู่ในการทดลองอย่างนี้ ท่านจะทำแบบหนึ่งหรือแบบสอง ท่านต้องตอบว่าไม่รู้ ท่านมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ว่าจะแบบหนึ่งหรือแบบสอง ทั้งสองฝ่ายก็เป็นผู้ที่ได้รับความรอดจากบาป ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้รางวัลเลยสักคนหนึ่ง ได้ทั้งคู่ แล้วแต่พระวิญญาณจะให้เขาทำตรงไหน? ท่านเห็นหรือยัง? เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น จะไปเช้งเม้งหรือไม่ไป ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าจะนำท่านไปเอง ทั้งสองฝั่งก็ไปถึงความรอดทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าอะไรที่ท่านเห็นตอนนั้น พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่าน ได้เห็นว่ามันมีประโยชน์ไหม?  ถ้ามีประโยชน์ก็ทำไปเถิด  เอเมน

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 12 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 12 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้

แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรื่อง  “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”  ตอนที่ 12 ชื่อตอนว่า “เราได้รับอนุญาต ให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์”

ความจริงทั้ง 11 ตอนที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะวนเวียนกัน ย้ำกันอยู่ตรงนี้ว่าเมื่อเราได้มาเชื่อในพระเยซูแล้ว เราก็ได้ย้ายออกจากอาณาจักรเดิมของเรา คืออาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรใหม่ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรของพระคริสต์

เราอาจจะบอกว่าเราเป็นคนชอบอ่านพระคัมภีร์ อ่านวันละ 2 ชั่วโมง แล้วอีก 22 ชั่วโมงทำอะไร?  22 ชั่วโมงนั่นแหละ คือการเรียนรู้พระเจ้า จากชีวิตของเรา  เพราะฉะนั้น การอ่านพระคัมภีร์มิได้หมายถึงจะรู้จักพระเจ้าเสมอไปเยอะๆ แต่การใช้จิตใจ อยากจะรู้จักพระเจ้า ตรงนี้มากกว่าที่มันตลอด 24 ชั่วโมง แม้หลับ คิด ฝัน มันยังจะคิดถึงพระเจ้าตลอด เอเมนไหม?  ไม่ใช่ว่าทุกวันท่านฝันถึงอย่างอื่นไม่ได้ อาจจะฝันได้บ้าง อาจจะเป็นเพราะกินเยอะไปตอนหัวค่ำ หรืออาจจะท้องอืดก่อนนอน แต่แม้กระทั่ง ท่านฝันอะไรที่ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า ตื่นขึ้นมาท่านก็นึกถึงพระเจ้า เมื่อคืนนี้ฝันอย่างนี้ มันหมายถึงอะไร? มันคืออะไรในเรื่องของพระเจ้า เข้าใจไหม?  คือชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้ได้เรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมงกับพระเจ้า แล้วเราอยากจะรู้จัก เราก็อธิษฐานกับพระองค์เสมอ จากเคยอธิษฐานเยอะแยะ ขอโน่นขอนี่อะไรต่างๆ มากมาย จนเดี๋ยวนี้  อธิษฐานนิดเดียวเอง สั้นๆ ว่า …

“อยากจะรู้จักพระองค์มากขึ้น อยากจะให้พระองค์ประทานสติปัญญาที่เราจะเข้าใจพระเยซูคริสต์มากขึ้น เข้าใจแผนการไถ่ของพระเยซูคริสต์มากขึ้น  เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐมากขึ้น ขอบอกที เปิดตาวิญญาณลูกทีเถอะ ให้ลูกรู้จักพระองค์มากขึ้น”

แค่นี้ แล้วทั้งวัน มันก็คืออธิษฐานอย่างนี้แหละ อยู่ในใจ เราอยากเรียนรู้ พออะไรนิดหนึ่งขึ้นมา ไม่ได้ อยากจะรู้ มันคืออะไร?  บางครั้ง ก็ไปค้นหาทั้งประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เขียน เรื่องราวของมนุษย์ บางครั้งก็ไปค้นพระคัมภีร์บ้าง? ศึกษา บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ก็อยากจะรู้ ปล่อย วันหนึ่งข้างหน้า มันก็รู้ขึ้นมาเอง โดยอะไรหลายๆ อย่าง ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราโดยไม่ได้บอกเป็นข้อความ แต่บอกเป็นชีวิตว่าอันนี้ พอถึงวันนั้น เราก็จะ “อ๋อ” ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ นี่แหละคือการเรียนรู้จากพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ

เรามั่นใจแล้วว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นแพะรับบาปให้กับเรา พระองค์เอาบาปเราออกไปแล้ว เราไม่มีบาปอีกต่อไป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาเป็นมิตร เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ซึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ทันทีทันใดเลย ที่วิญญาณรับเชื่อจริงๆ  พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณเราได้ถูกย้ายมานั่งที่นี่แล้ว ณ เวลานี้ เดี๋ยวนี้ ทันที ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน

พระเยซูบอกใครก็ตามที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาพระเยซู เขาจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูพูดกับเราในอดีตอย่างนี้ สำหรับผมคนเดียวนะ แล้วสำหรับท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูไปแล้ว อดีตก็คือพระเยซูบอกเราใช่ไหม? มารู้จักเรา เราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข ใครที่คิดว่าเหนื่อยจงมาหาพระเยซู ผมก็เหนื่อย ท่านก็เหนื่อย เหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้งการกิน การอยู่ และรวมทั้งวิญญาณที่เรียกร้อง อยากจะชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที เหนื่อยมาก แสวงหาแล้วแสวงหาอีก ก็เหนื่อย  จนมาพบพระเยซู แล้วก็เชื่อฟังพระเยซู เราก็หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ภาษาพระคัมภีร์ เขาเรียกตรงนี้ว่าความหวังใจ ถามว่ามันหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะมันรวยขึ้นเหรอ บางคนบอกรวยขึ้นนิดหนึ่ง บางคนก็บอกโซๆ บางคนก็บอกแย่ลงกว่าเก่าอีก ทำแล้วแข็งแรงขึ้นไหม? บางคนตอนมาหาพระเยซู กะว่าพระเยซูจะมาทำการอัศจรรย์ รักษาโรคให้หาย ทุกวันนี้เป็นหนักกว่าเดิมอีก แต่บอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะมันอยู่ในใจ เรามีความหวังใจในชีวิต ความหวังใจนี้ คือความเชื่อที่มีอยู่ลึกๆ ในใจ บอกใครก็ไม่ได้ แต่มันออกมาที่ใบหน้า และคำพูดของเราว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข แม้บนโลกใบนี้ เราอาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ นานา อุปสรรคในการดำเนินชีวิตต่างๆ เหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่ข้างในมันไม่ใช่แล้ว เรามีพระเจ้าสถิตกับเรา เดินไปกับเราตลอดเวลา ท่ามกลางพายุร้าย ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาต่างๆ เราไม่กลัว เพราะว่าพระเจ้าเดินอยู่กับเราบนโลกใบนี้ เรารู้ เพราะว่าอยู่ในใจ ตรงนี้ จึงเรียกว่าความหวังใจ คริสเตียนต้องมีความหวังใจ

สำหรับอาณาจักรสวรรค์ มีประตูเดียว คือประตูทางเข้า ไม่มีประตูทางออกเลย เมื่อเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พระเยซูกอดรัดแน่น ใครก็เอาเราออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ไปไม่ได้เลย ไปอ่านดูในหนังสือโรม บทที่ 8 ทั้งบทเลย

นี่คือการหายเหนื่อยและเป็นสุข นี่คือความสบายใจ ที่พระคัมภีร์ย้ำยืนยันกับเรา ทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าตอนเข้ามาก็ไม่ใช่ด้วยกำลังของเราเอง และเข้ามาแล้ว จะหลุดออกไปหรือไม่? ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราแล้ว เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ถ้าพระองค์ใหญ่จริง เป็นพระเจ้าจริง เราเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปได้ พระคัมภีร์สอนให้เราระมัดระวัง รักษาความเชื่อ ความหวังใจนี้ไว้

คำว่า “รักษาความเชื่อ” ที่พระคัมภีร์บอกเรา หรือว่าคริสเตียนเราบอก รักษาความเชื่อให้ดีๆ มันหมายถึงถ้าเราไม่รักษาความเชื่อ เราจะหลุดจากความเชื่อ แล้วเราจะกลับไปอยู่ที่มืด มันไม่ใช่  คำว่า “รักษาความเชื่อ” “รักษาความหวังใจ” ตรงนี้หมายถึงตอนที่คนนี้ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เมื่อข่าวประเสริฐวันแรกมาถึงผม เมื่อตอนอายุสัก (สมมติ) 14 ปี ผมได้ยินแล้ว ผมก็ชอบ ชอบฟัง ชอบสนใจ แล้วผมก็ไม่ติดตามต่อไป ผมเฉยๆ ผมไม่ได้รักษาความเชื่อ ที่ผมเชื่อเขาตั้งแต่แรก ที่ตั้งแต่มิชชั่นนารีเล่าให้ผมฟัง ผมปล่อยมันไป ผมไม่ได้สนใจมัน ผ่านมาอีกตั้งเกือบ 20 ปี  ผมก็ได้ยินมาตลอด 20 ปีนี้ ก็เฉยๆ ไม่รักษาความเชื่อด้วย จน 20 ปี ผมตั้งใจฟัง แล้วผมก็ตั้งใจรักษาไว้ ประมาณเกือบปี จนในที่สุด ความเชื่อที่ผมรักษาไว้ มันเกิดเปรี้ยงขึ้นมา เป็นปากผมพูด ผมเชื่อพระเยซูว่าเป็นผู้ช่วยให้รอด เชื่อในข่าวประเสริฐนี้แล้ว ผมต้อนรับพระเยซู จากใจของผมจริงๆ ทันทีทันใดนั้น  ผมถูกเปลี่ยน มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เป็นคริสเตียนแท้ๆ จริงๆ มาอยู่ในนี้  และจะไม่หลุดออกจากนี้ ไปอีกแล้ว ไม่ต้องรักษาอีกแล้วตอนนี้ เอเมน

เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิด ไม่ต้องกลัว ต้องรักษาความเชื่อ พระเจ้าช่วยลูกด้วย  ลูกจะกลับไปตกนรกหรือเปล่า?  ช่วยลูกเชื่อในพระเยซู ไม่ต้องมีอย่างนั้นอีกแล้ว ท่านไม่ต้องอธิษฐานอย่างนั้นอีกแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว บางครั้งท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่เชื่อ บางครั้งรู้สึกดื้อดึง มันเป็นเนื้อหนังข้างนอกเท่านั้น แต่วิญญาณท่าน ท่านเชื่อแล้ว ได้รับการเจิม หรือว่าได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากการที่ท่านเชื่อด้วยใจและพูดด้วยปาก ตามโรม 10:10 แล้ว มันเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าทันที ไม่ต้องรักษาความเชื่ออีกต่อไป เอเมน

ในสวรรค์นี้ เขาไม่ต้องมีความเชื่ออีกต่อไป  ความเชื่อ ความหวังใจเป็นของผู้ที่เริ่มต้นจะต้องรักษาไว้ จนกระทั่งมันเกิดผลขึ้น เกิดผลแล้ว ไม่ต้องรักษาแล้ว จากนี้ก็ Enjoy life ก็คือหายเหนื่อยและเป็นสุข ดำเนินไปกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น  ตอนนี้เริ่มต้นเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ อธิษฐานแค่ 5 นาที ตอนหลังๆ อธิษฐาน 50 นาทียังไม่พอเลย  เพราะเขาบอกยังไม่พอ ต้องมากกว่านั้น ต้องให้ได้ 3 ชั่วโมง ถึงจะมีความมั่นใจว่าเรารักษาความเชื่ออยู่ อธิษฐานไป 3 ชั่วโมง ไปได้สักพักหนึ่ง ในใจรู้สึกว่ายังไม่พอ ยังต้องทำได้มากกว่านั้นอีก คือนอกจากอธิษฐาน 3 ชั่วโมงแล้ว ต้องอดอาหารด้วย ก็อดอาหารสิ พออดอาหารไป ไม่พออีกแล้ว ต้องทำต่อนะ นี่มันหลอกเรา อย่างนี้ไง ไม่มีวันจบ ก็เลยกลับมาที่เดิม ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหนื่อยเหมือนเดิม คือต้องกลับมาที่เราทำอีกแล้ว ทำเพื่อจะได้รับความรอด จริงๆ มันรอดไปแล้ว

ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก พระเจ้าบอกว่าในสวนเอเดน เจ้าจะทำอะไรก็ได้ มีอิสระทุกอย่าง เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าห้าม คือห้ามกินผลไม้ต้องห้าม ซึ่งผมเองเดี๋ยวนี้ ผมมั่นใจว่าตรงนี้ไม่ได้หมายถึงกินผลไม้เป็นความสำคัญ ผมว่าเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เพราะไม่รู้จะบันทึกอะไรให้มนุษย์เข้าใจ เอาเขียนแค่นี้ว่าไม่เชื่อฟัง ก็คือเป็นเชิงสัญลักษณ์ คือขอเพียงอย่างเดียว คือเชื่อฟังพ่อเท่านั้น พ่อบอกให้ทำอะไร? ก็ทำตาม เข้าใจใช่ไหม? ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังพ่ออย่างเดียวเลย พ่อ คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ พระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้เป็นอย่างนั้น  ไม่รู้อะไรดีไม่ดีไม่รู้ พ่อให้ ก็ทำ พ่อบอกอย่างนี้ ก็อย่างนี้ เข้าใจใช่ไหม แล้วอะไรที่ทำให้อาดัมและเอวาขัดคำสั่งพระเจ้า “ขัดคำสั่ง” ก็คือไม่เชื่อฟัง ซึ่งเรียกว่าบาป อะไรทำให้เขาไม่เชื่อฟัง ฝืน เชิงสัญลักษณ์ คือพระเจ้าบอกว่าอย่ากิน เขาก็ไปกิน ทำตรงกันข้าม ก็คือไม่เชื่อฟัง สิ่งที่ทำให้มนุษย์ขัดคำสั่งพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำบาปต่อพระเจ้า ก็คือการล่อลวงของมาร ซึ่งมีศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง

มารล่อลวงว่าถ้าได้กินผลไม้นี้แล้ว จะมีปัญญาเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีและรู้ชั่ว เหมือนกับรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ฟังให้ดีๆ ท่านอาจจะฟังว่าการรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ไม่ดีตรงไหน? พอเจอการล่อลวงแบบนี้เข้า  มนุษย์คู่แรกก็อยากเป็นเหมือนพระเจ้า อยากมีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า ก็เลยกบฏต่อพระเจ้า ฝืนคำสั่งของพระเจ้า ไม่เชื่อฟังแล้ว เพราะอยากจะไปแทนพระเจ้า ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าบอก “เธออยู่เป็นลูกฉัน ฉันรักเธอมาก เธอเชื่อฉันอย่างเดียวพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไร?”

ลูกบอก “ไม่ ฉันจะดูแลตัวฉันเอง มีอะไรไหม?”

มันแปลว่าอย่างนั้น  ก็ฝืน ซึ่งเรียกว่ากบฏ เรียกว่าบาป … บาป คือกบฏ สิ่งที่พระเจ้าบอกไม่ทำ เราจะทำ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบาป กบฏ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาของมวลมนุษยชาติ และรวมถึงทุกสิ่งบนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์อยากจะอยู่ด้วยตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อฟังพระเจ้าอีกต่อไป พอเริ่มมีความบาปเข้ามา ก็ถูกแยกออกจากพระเจ้า อยากอยู่ด้วยตัวเอง มันก็จะเกิดสิ่งที่เสียหาย ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง มนุษย์ก็เริ่มพยายามทุกอย่าง ในการที่จะกระทำการลบล้างความบาป ไม่อยากเป็นศัตรูกับพระเจ้า รู้ว่าการสาปแช่งเข้ามาแล้ว ความทุกข์เข้ามาแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว อยากหลุดพ้นออกไป  เพราะรู้ดีว่าความบาปมันไม่ดี มันสกปรก มันไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ถ้าเลือกความบาป ก็ต้องเลือกอยู่ด้วยตัวเองเลย  ไม่มีพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว และรู้ดีว่าโทษของความบาปนั้น คือความตาย ก็คือวิญญาณจะไม่อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ มนุษย์รู้ดีว่าตัวเองจะอยู่ตลอดไป  ไม่มีวันสูญสิ้น เพราะวิญญาณเขามาจากพระเจ้า แต่สถานที่เขาอยู่ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ มนุษย์จึงโหยหา ที่จะหลุดจากความบาปนี้ กลับไปหาพ่อของเขา ผู้สร้างเขา เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่เชื่อแบบไหนก็ตาม ในวิญญาณเขาไขว่คว้า ที่จะกลับไปที่เดิมของเขา กลับไปอยู่กับพระเจ้าผู้สร้างเขา เพียงแต่เขาจะหาเจอหรือไม่? เขาก็พยายามทุกวิถีทาง ผมถึงบอกบ่อยๆ ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น  ที่แสวงหาทางวิญญาณ เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ

มนุษย์จึงสอนกันต่อมาเรื่อยๆ แต่ละยุค แต่ละสมัย ตั้งแต่อาดัมว่าเราอยู่ในความบาป เราต้องทำให้พระเจ้าพอพระทัย เราจึงจะได้พ้นจากบาปเราบ้าง พยายามนะๆ ลูกเอ๋ย ทำตามกฎ ตามระเบียบ เพื่อเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากที่สุด เพื่อเราจะได้หมดบาป พระเจ้าจะกลับเข้ามาเหมือนเดิม สอนให้ทำดี เพราะเขารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี มนุษย์หลายๆ คนก็ยังยึดติดอยู่กับความคิดเดิมๆ ที่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ คือ …

“ฉันต้องทำ เพื่อได้รับความรอดให้ได้ อยู่ดีๆ จะมีคนหนึ่ง ที่ชื่อพระเยซู มาช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรม มันไม่น่าเป็นไปได้ และมันต้องเป็นไปไม่ได้แน่ๆ  คนเราต้องใช้เวรกรรม ด้วยตนเองสิ ต้องสั่งสมบารมี แล้วก็ใช้ไปจนหมด วันหนึ่งมันต้องหมด จะกี่พันปี กี่หมื่นปี ฉันไม่รู้ ฉันต้องใช้ด้วยตัวเองให้หมด”

มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ก็คือการแย้งกับข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซู พระเจ้าทรงประทานให้มาไถ่มนุษย์ ให้หลุดพ้นจากบาป ง่ายๆ ฟรีๆ เรียกว่าพระคุณแล้ว แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อ เพราะอยากจะดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ

ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะอธิบายอย่างชัดเจนว่าพระคุณพระเจ้า คือบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์มาทำแทนแล้ว เป็นแพะผู้รับบาปให้เรียบร้อยแล้ว อธิบายอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ทั้งปวง ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า แบบนิรันดร์แล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น วางใจ และหายเหนื่อย และเป็นสุขเถิด  คนไหนที่ต้อนรับ ก็หลุดพ้นจากการพึ่งตัวเอง คนไหนที่ไม่ต้อนรับ ก็ยังคงพยายามด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งมันทำไม่ได้

ขนาดพระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนขนาดนี้  แต่เนื้อหนังมนุษย์อย่างที่บอกไว้ มันมีอิทธิพลของความบาปอยู่ มันก็ไม่วายที่จะย้อนกลับไป เหมือนเดิมอีก คือพยายามด้วยตัวเอง แล้วก็บอกตัวเอง แล้วก็สอนลูกหลานต่อไปว่า …

“เราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้วก็จริงนะ มีพระเยซูมาแล้วก็จริงนะ แต่ก็ยังต้องรักษาการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ คือผสมแล้ว”

เชื่อพระเยซูไหม? เชื่อ แต่ต้องทำไหม? ต้องทำ ไม่ทำ ไม่บริสุทธิ์นะ มันก็เลยอะไรก็ไม่รู้ ครึ่งๆ กลางๆ

“เชื่อพระเยซู ได้รับความรอดหรือยัง?”

“ได้รับความรอดแล้ว”

“เป็นนิรันดร์หรือเปล่า?”

“เป็นนิรันดร์แล้ว”

“แล้วถ้าเธอไม่อธิษฐาน เธอไม่มาโบสถ์ เธอตกนรกนะ”

“อ้าว! ไปตกอย่างไร?”

งง ตีกันยุ่ง วุ่นวาย ต้องถวายสิบลด ถ้าไม่ถวายสิบลด ต้องตกนรก อ้าว! …

“เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์แล้ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรก็บริสุทธิ์แล้ว”

แต่อีกฝั่งหนึ่งบอก … “ไม่ได้ เธอเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอจะต้องทำตรงนี้  ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า”

มิฉะนั้นจะถูกพิพากษาลงโทษ ขู่อีกต่างหาก หลายคนก็เลยต้องทุกข์ทรมาน แทนที่จะหายเหนื่อย ตื่นตี 4 มาเฝ้าพระเจ้า อธิษฐาน เพราะเขาเทศน์มา บอกต้องอธิษฐาน พระเจ้าจะได้รักเรา จะได้อวยพรเรา  เราจะได้รักษาความเชื่อ อย่างนี้หรือเรียกว่าหายเหนื่อย พี่น้องเรา ญาติเราอาจจะไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาบอกชีวิตเรา ไหนบอกหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นสุขไม่ได้ถึงเดือนเลย มันเป็นจริงไหมเนี้ย นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดู แล้วมาขู่เราว่าถ้าไม่ทำ จะถูกพิพากษาลงโทษ หรือถ้าไม่ทำตาม คำสอนของพระเยซู หนักกว่านั้น คือเมื่อตายไปแล้ว พระเยซูจะบอกว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้า”

ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุขไม่พอ ยังพลอยหมดหวังอีก

ที่พระเยซูบอกว่า “ถึงวันนั้นแล้ว เราจะบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า” หมายถึงใครก็ตามที่ปฏิเสธว่า …

“พระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ ใครก็ตามไม่เชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซู ไม่เชื่อว่าพระเจ้าพระบิดาส่งพระบุตรมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อไถ่บาปให้กับเธอ เพื่อเป็นแพะรับบาปให้กับเธอ ผู้นั้น เมื่อถึงวัน เราจำเป็นต้องบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า ก็คือเธอไม่ได้รับความรอด เพราะเธอจะชดใช้บาปด้วยตัวเองไง”

มันหมายถึงตรงนี้ ก็เอาไปใช้ตรงนั้น ให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น  สอนกันไป สอนกันมา จนบางคนเกิดเป็นกติกาของความเชื่อแบบคริสเตียน เหมือนฟาริสี คือรายการที่ห้ามทำ และยังมีรายการยาวเหยียดที่ต้องทำ เหนื่อยกว่าเดิม จนทุกวันนี้ ศิษยาภิบาลหรือผู้นำหลายคน ก็ยังคงเจอคำถามของสมาชิกอยู่ โบสถ์นี้ ก็ยังมีอยู่ แต่น้อยลงเรื่อยๆ น้อยมาก ที่มาถามว่าอย่างนี้ทำได้ไหม? … อันนั้นทำได้ไหม? … ไปวัดได้ไหม? … จุดธูปได้ไหม? … ไปเช็งเม้งได้ไหม?  … ไม่อธิษฐานก่อนกินข้าว ลืมไปได้ไหม? … ไม่ครบ 3 มื้อ อย่างนี้ต้องอธิษฐานไหม? … กินแค่ของว่างอธิษฐานหรือเปล่า?

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรัก และห่วงใยเราอย่างมากที่สุด ในโรม บทที่ 8 เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว และไม่มีสิ่งใดเอาเราออกไปจากมือพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว ท่านต้องปักข้อนี้เป็นข้อแรก เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้า ท่านต้องฝังข้อนี้ลงไปในวิญญาณท่านให้ได้ ฝังลงไปในความคิดจิตใจ ซึ่งมีอิทธิพลของความบาปอยู่ให้ได้ ให้ชนะมันว่า …

“ไม่ใช่ ฉันไม่มีวันไปที่อื่นอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฉันเมื่อเช้านี้ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ก็ตาม ฉันก็ไม่ลงนรก ไม่อย่างนั้น คนก็จะมาหลอกฉันอีกว่าบอกพี่น้องว่าไอ้โง่ลงนรกนะ ฉันอยู่ที่นี่แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น ฝังมันลงไป”

ที่ความคิดจิตใจของเราว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าสงครามมันเกิดขึ้น ที่ความคิดของเรา จงทำลายป้อมปราการแห่งความคิดนี้ ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พ้นจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว”

ส่วนเนื้อหนังร่างกายมันจะไปทำอะไรบางอย่าง ที่ตรงกันข้าม ส่งมาบอกว่ายังไม่บริสุทธิ์หรอก บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ยังโกหกเขาอยู่เลย คนละเรื่องกัน นี่วิญญาณของฉันต่างหาก เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่า …

“ฉันได้รับการชำระแล้ว ได้รับการไถ่ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า และจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไปนิรันดร์ เอเมน”

เมื่อเราย้ายมาอาณาจักรแห่งแสงสว่างนี้  ไม่ได้เป็นเรื่องของกฎ ข้อบังคับ ที่บอกว่าเราจะต้องทำอะไร? หรือห้ามทำอะไร? เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ รักษาความเป็นลูกของพระเจ้า  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะของครอบครัว เป็นพ่อลูกกัน ที่ไม่มีอะไรจะมาตัดขาดความสัมพันธ์นี้ได้อีกแล้ว เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณดวงเดียวกัน  เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะ สะอาดบริสุทธิ์ หลายคนเอาไปแต่งเป็นเพลง เพราะได้สัมผัสตรงนี้

“When you cry I cry,  When you laugh I laugh,  When you  pray  I pray with you”

แปลว่า “พระเยซูบอกว่า “ขณะที่เจ้าโศกเศร้า ร้องไห้ เราร้องไห้กับเจ้า ขณะที่เจ้าหัวเราะ  เราหัวเราะกับเจ้า  ขณะที่เจ้าอธิษฐาน เราอธิษฐานกับเจ้า ขณะที่เจ้าเดินไปไหน เราอยู่กับเจ้า ขณะที่เจ้านอน เราอยู่กับเจ้า”

เราจำเป็นต้องยึดความจริง ตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูบอก …

“พระบิดากับลูกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? ลูกอธิษฐานขอให้คนที่มาเชื่อลูกนั้น เขาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทั้งสอง”

ไปไหนไม่ได้แล้ว ผมใช้คำว่า “ดองกัน” ที่ผมยกตัวอย่าง กระเทียมดอง ท่านไม่สามารถทำกระเทียมดอง ให้เป็นกระเทียมธรรมดาได้อีกแล้ว ท่านกับพระเจ้าดองกันอย่างนั้นแหละ ไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ มาบังคับอะไรอีกแล้ว อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน  โดยธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

มีคำพูดเปรียบไว้อย่างนี้ว่ากฎหมาย หรือข้อบังคับต่างๆ เป็นความชัดเจน แบบขาวหรือดำ ที่กำหนดไว้ตายตัวว่าต้องทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ปฏิบัติตาม ก็คือถูก ไม่ปฏิบัติตาม ก็คือผิด ถูกลงโทษ แต่การสอนของพระเจ้า ไม่ได้ชัดเจนแบบขาวหรือดำเสมอไป จริงอยู่พระคัมภีร์มีแนวทางสำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ไม่ได้บันทึกเป็นแบบ list รายการว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้  นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ และนี่คือสิ่งที่จะต้องไม่ทำ ไม่มี หมายถึงพระคัมภีร์ใหม่นะ เพราะถ้าเกิดเป็น list รายการแบบนั้น เราก็จะมีหน้าที่ทำตาม สุดท้าย เราก็พึ่งตัวเราเองนั่นแหละ ไม่ใช่พระคุณแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า แค่ทำตามรายการด้านซ้ายที่บอกว่าต้องทำอะไร ก็ทำตาม ด้านขวาบอกห้ามทำอะไร? ก็ไม่ทำ มันก็ไม่ได้ใช้ความเชื่อ ไม่ต่างอะไรกับสมัยก่อนที่เราตั้งใจทำอย่างนี้

ถ้าพระเจ้าสอนเราด้วยวิธีนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระเจ้า เพราะมีกฎอยู่แล้ว ก็ทำตามสิ อันนี้บอกให้ทำ ก็ทำ อันนั้นบอกไม่ให้ทำ ก็ไม่ทำ ถามว่าเราจะไปพึ่งพระเจ้าตอนไหน? เห็นไหมความสัมพันธ์มันไม่ใช่พ่อลูกแล้วนะ มีกฎระเบียบมาขวางกั้น  เราจะอธิษฐานอะไรกับพระเจ้า ไม่ต้องติดต่อกับพระเจ้าแล้ว เพราะมีกฎบอกไว้แล้ว อะไรทำได้ อันนั้นทำไม่ได้  ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่ถูกวางไว้ทั้งหมด แล้วเราก็ทำตามอย่างเดียว กฎข้อห้าม กฎข้อบังคับต่างๆ ไม่สามารถช่วยเราให้เจริญเติบโต มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้เลย เพราะวันๆ หนึ่ง คืนๆ หนึ่ง แทนที่จะไปหาพระเจ้า เราก็ไปดูที่กฎ อันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ แล้วเราก็เดินออกไป  เราก็ท่องอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ เราไม่เคยคุยกับพ่อเรา

“พ่อสบายดีหรือเปล่า? วันนี้พ่อดีนะ โอเคนะ วันนี้อากาศดีมาก”

ไม่เคยพูดเลย เพราะวันๆ เราท่องแต่ว่าอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ วันหนึ่งก็มีคนมาถาม

“เต๋ พ่อชื่ออะไร?”

“ลืมไปอ่ะ”

เพราะตื่นขึ้นมา ไม่ได้คุยกันเลย เพราะไปดูแต่กฎ ว่าพ่อเขียนไว้ว่าอย่างไร?  อย่างนั้นหรือ!  เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ พูดให้ท่านเห็นภาพเท่านั้น ท่านก็ต้องว่าไม่ใช่แน่นอน กฎของพระเจ้า มีเพียงข้อเดียว นั่นคือกฎแห่งความรอด ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์ กฎแห่งความเชื่อในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์  ในโรม 8:1-3 กฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ คือกฎที่เรียกว่าเชื่อพระเยซูว่าเป็นผู้ไถ่บาป คือรอด จบแล้ว แต่เราไปเขียนเยอะแยะ จนเราไม่มีโอกาสมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า  ถ้าเราใช้กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ใช้ความเชื่อนี้ เราก็เอาเวลาเหลือทั้งหมด มาพูดคุยกับพ่อเรา สนิทสนมกับพ่อของเรา

แต่สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้สอนเราแบบขาวกับดำอย่างนี้นะ ว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ การทำตามกฎ อย่างที่บอก มันเป็นวิธีการของผู้ที่เรียกว่าเจ้านายชีวิตเรา เราเป็นทาสเขา พูดง่ายๆ คือมารใช้บังคับเรา ในอดีต แล้วเรามาอยู่ในความสว่าง เราไม่ควรกลับไปอยู่ในความเป็นอดีตอีกแล้ว เรามาเป็นอิสรภาพในพระเยซู เราไม่ควรกลับไปเป็นทาสอีกแล้ว ในการที่จะต้องทำอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เปาโลบอกไว้อย่างนั้น  เมื่อท่านเป็นอิสระแล้ว ท่านจะกลับไปเป็นทาสอีกทำไม?

เราพูดกันอยู่เสมอว่าให้อธิษฐานทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า ในการที่จะเรียนรู้จักดำเนินชีวิต ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ก็คือเรียนรู้จักที่จะพึ่งพาพระเจ้า ไม่พึ่งพาความคิดและความรอบรู้ของตนเอง บางครั้งการดำเนินชีวิต มันจะถูกบ้าง? ผิดบ้าง? ก็ใช้ความเชื่อว่าไม่เป็นไร?  เราอยู่ในทางของพระเจ้าอยู่แล้ว เราอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า เราอยู่ในอาณาจักรนี้อยู่แล้ว นี่คือวิธีการที่จะดำเนินชีวิตที่พระเจ้าจะสอนเรามากกว่า แล้วเราก็เจริญเติบโตไปกับพระองค์ บางครั้งล้มลง เจ็บปวด พระเจ้าก็เข้ามาเล้าโลมจิตใจเรา ร้องไห้ไปกับเรา หัวเราะไปกับเรา ดีใจไปกับเรา เสียใจไปกับเรา นี่แหละคือวิธีการของพระเจ้ามากกว่า พระเจ้าอยู่ข้างเรา ไม่มีการลงโทษแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

นี่คือสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นกับคนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ วิญญาณเขาเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ แบบเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นทาส นี่คือวิธีที่พระเจ้าฝึกฝนเรา หรือเลี้ยงดูเราให้เจริญเติบโต จริงๆ คำว่าเลี้ยงดูในพระคัมภีร์ ไม่ได้เน้นถึงการเลี้ยงดูแบบชีวิตประจำวัน แต่พระเจ้าจะเลี้ยงดูวิญญาณให้เจริญ ง่ายๆ ธรรมดาๆ แบบเด็กๆ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องพยายามช่วยพระเจ้า เพราะท่านจะเหนื่อยล้า แล้วก็ไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้า เพราะว่ามันไม่ได้ออกเป็นผลที่พระเยซูบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุขนั่นเอง

พระประสงค์ของพระองค์ ที่ต้องการให้เราเป็นลูก ที่รักของพระองค์ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จากพระองค์ ก็คือการฝึกฝน นำพาเราไปดีที่สุด  เพราะฉะนั้น ท่านต้องเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา  และพระองค์ทรงรักท่านมากมาย พระองค์จะมีแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับท่านเสมอ พาท่านไปทำสิ่งที่ดีๆ เสมอ แต่ท่านอาจจะพลาดไปบ้าง อะไรบ้าง พระองค์ก็อยู่ข้างท่าน ท่านต้องคิดอย่างนี้เสมอ มันถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข

เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องพระคุณของพระเจ้า  เพื่อจะหาช่องทางในการกระทำผิด ในการทำตามเนื้อหนัง หรือในการละเลยต่อการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม หรือละเลยต่อการอยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม อย่างที่เปาโลได้เตือนสติไว้ ที่เราได้รับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว จิตใจข้างในจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  มีความต้องการที่จะทำตามคำสอนของพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ทำในลักษณะที่ไม่ถูกบังคับให้ทำ ทำเพราะต้องการจะทดแทนพระคุณพระเจ้า ทำเพราะรักแท้ มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา เพราะรักอยากจะทำ ทำเพราะธรรมชาติข้างในเปลี่ยนเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พออยากจะทำ ก็พยายามทำตามข้างในออกมา แต่ถ้าสู้ข้างนอกไม่ได้ สู้การทดลองไม่ได้ ก็เฉยๆ ก็ทำใหม่ โรม 6:5 บันทึกไว้อย่างนี่ …

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้ชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน?  หรือทำบาปแค่ไหน?  เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป เมื่อมาเป็นลูกของพระเจ้า  จะทำอะไรก็ได้ จะทำผิดแค่ไหน? ทางวิญญาณก็ได้รับความรอดแน่นอน ได้ไปสวรรค์แน่นอน ได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทางวิญญาณไม่ได้รับผลแล้ว วิญญาณรอดแล้ว รอดนิรันดร์ ท่านต้องฝังตรงนี้ให้ได้ แต่ชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายเรายังต้องได้รับ สิ่งที่กระทำนั้นอยู่ ต่างกันไหม? ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:23-33 อาจารย์เปาโลได้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 10:23-33 “23 เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้  แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24  ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น 25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อ ก็ให้รับประทานไปเถิด โดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลก  เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า 27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหาร และท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิด โดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว ก็อย่ารับประทาน เพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้น ไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึงถูกตัดสิน โดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทาน โดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 31 ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า 32 อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุด ไม่ว่าจะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า 33 เหมือนที่ข้าพเจ้าเอง พยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้าน เพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขารอด”

 

เราได้รับอนุญาตให้กินทุกอย่างได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เรากินแล้วจะเป็นประโยชน์ ตกลงขาหมูกินได้ไหม? ปูกินได้ไหม?  หอยสกปรกกินได้ไหม? แล้วแต่ท่าน อาหารบางอย่างกินเยอะไป ก็ไม่ดี อาหารบางอย่างกินน้อยไป ก็ไม่ดี เกิดผลเสีย ผลอันตรายต่อสุขภาพร่างกายทั้งนั้น แต่มันขึ้นอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา  เราได้รับอนุญาตให้เล่นโทรศัพท์มือถือได้ เราได้รับอนุญาตให้เล่นไลน์ได้ แต่ถ้าเราเล่นแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่พักผ่อน ก็เป็นโทษ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ เป็นอันตรายต่อสายตา และถ้าเล่นแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งหนักใหญ่เลย อาจจะผิดกฎหมายอีก ไปใส่อะไรบางอย่างที่เดี๋ยวนี้เขามีกฎหมาย ใส่ไปผิดๆ ถูกๆ  หรือแม้แต่บางคนเล่นขนาดเดินข้ามถนน ยังใส่หูฟังเล่น รถชนตาย  ถามว่าคนนั้นที่รถชนตายนั้น  เป็นคริสเตียนได้ไหม? อาจจะเป็นคริสเตียน มันคนละเรื่องกัน ตายแล้วไปสวรรค์หรือเปล่า? ไป ไปถึงสวรรค์ แล้วพระเจ้าไล่กลับไหม?  ไม่ไล่

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้ามีใครถามท่านว่าเป็นคริสเตียน ต้องทำอะไรบ้าง? หรือห้ามทำอะไรบ้าง? ก็ตอบตามพระคัมภีร์ว่า …

“ฉันได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่จะทำนั้น เป็นประโยชน์”

เราได้รับอนุญาตได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่จะทำนั้น  เสริมสร้างขึ้น ว่ากันไปแต่ละสถานการณ์ว่าอันนี้ทำให้ดีขึ้น หรือว่าแย่ลง คุยกับพระเจ้าเป็นเรื่องๆ ไป นี่คือความสัมพันธ์ กฎไม่สามารถทำอะไรละเอียดขนาดนี้ได้ กฎบอกว่าฝ่าไฟแดง คือฝ่าไฟแดง กฎจะไม่บอกว่าฝ่าไฟแดง เพราะว่ามีคนป่วยอยู่บนรถ ต้องรีบไปโรงพยาบาล กฎบอกฝ่าไฟแดง ก็ต้องโดนลงโทษ อย่างนี้เป็นต้น

สรุป คือสิ่งใดที่คิดว่าเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่คิดว่าเป็นการเสริมสร้างขึ้น อธิษฐานกับพระเจ้า ก็ทำไปเถิด ถ้าไม่ได้อธิษฐาน เชื่อลึกๆ อยู่ในใจอย่างนี้ ก็ทำไปเถิด  ไม่มีคำว่าผิดอยู่แล้ว มั่นใจในการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ ไปไหนไปด้วยกัน อย่างที่ผมบอก อยู่ในห้องน้ำ ก็อยู่ด้วยกัน ขณะที่เล่นไลน์ ก็เล่นไลน์ไปกับเราด้วย เล่นเกมส์ออนไลน์อยู่ ก็กำลังเล่นเกมส์กับเราด้วย  แต่ตอนท้ายๆ เตือนแล้ว ไปนอนๆ เราไม่ได้ยินเองตอนนั้น ตอนแรกๆ อยู่กับเรา ตอนท้ายก็อยู่กับเรา เตือนเราตั้งหลายที นอนสิๆ เราก็ยังเล่นต่อ ในที่สุด ตื่นมาป่วย ขอพระเจ้ารักษา ถ้าเป็นพ่อฝ่ายโลก ก็คงบอก ก็เตือนแล้ว เล่นได้ แต่ให้มันพอดีๆ ให้มันเสริมสร้าง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเสริมสร้างขึ้นล่ะ ข้อ 31 บอกว่า …

“ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

นี่ไง เพราะรักพระเจ้า ท่านจะรู้เลยว่าจะไปเช็งเม้งนี้ได้ไหม? ไม่มีใครห้ามเลย เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าไหม? ถ้าคิดว่าถวาย ก็ไป ถ้าคิดว่าไม่ถวาย ก็ไม่ต้องไป  มันจะลงเองแหละ อย่าลืมที่พระเยซูบอกว่า …

“ผู้ใดแบกภาระและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาหาพระเยซูแล้ว เราจะต้องหายเหนื่อยและเป็นสุข เพื่อเป็นพยานทางฝ่ายพระองค์ หายเหนื่อยจากความพยายามที่จะกระทำความดีด้วยตัวเอง เพื่อชดใช้เวรกรรมของตัวเอง และเป็นสุข จากการที่ได้รับรู้ มั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอด ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กับพระเจ้าแน่นอน ชีวิตเป็นอิสระ ตามพระคัมภีร์พูดเลย I am free, Free indeed พระองค์บอกใครก็ตามที่มารู้ความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาจะเป็นอิสระ แล้วเป็นอิสระจริงๆ ไม่ต้องไปถามใครอีกแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้

ยกตัวอย่างขึ้นเครื่องบิน พอขึ้นเครื่องปุ๊บ มองไปทุกคน ไม่มีใครสูบบุหรี่เลย ดีเท่ากันหมดเลย แต่พอลงจากเครื่องบิน มีกลุ่มหนึ่ง รีบเข้าไปในห้องอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ สูบใหญ่ อีกพวกหนึ่งไม่สูบบุหรี่ เขาก็เดินเฉยๆ พอมองเห็นไหม?

อิสรภาพ คือไม่ว่าจะอยู่บนเครื่องบิน หรือลงมาจากเครื่องบิน อนุญาตให้ท่านสูบ ฉันก็ไม่สูบ ไม่ใช่ ฉันไม่สูบ เพราะกล้องเขาส่องอยู่ เขาเขียนกฎ ห้ามสูบ ฉันจึงบังคับตัวเอง ทำตามกฎ ไม่สูบๆ พอกฎหายไป ฉันก็สูบ อย่างนี้ เขาไม่บริสุทธิ์จริง อิสรภาพ คือไม่มีกฎบอกว่าสูบไม่ได้ ท่านก็ไม่สูบ แต่เขาบอกว่าสูบได้แล้ว ฉันก็ไม่สูบ

เวลาเราฝ่าไฟแดง เพราะเราไม่เห็นตำรวจ หรือเราไม่เห็นสัญญาณ ส่วนใหญ่เราไม่เห็นตำรวจมากกว่า

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ในทางพระเจ้า พอเรามาเป็นคริสเตียน เราไม่ฝ่าไฟแดง เพราะเราเห็นเป็นกฎ ไม่ว่าจะเห็นตำรวจหรือไม่?  ข้างใน อยากจะทำอย่างนี้แล้ว ไม่อยากจะฝืนกฎแล้ว เป็นคนที่เชื่อฟัง เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎมาบังคับเรา

ไม่ขับรถเร็ว เพราะกฎเขียนว่าห้ามขับเกินนี้ เขาจะจับเรา อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ขับรถเร็ว เพราะกลัวตาย ถูกไหม? แล้วคนที่มาเชื่อพระเยซู เป็นคนลักษณะไหน? ไม่ใช่เพราะกฎ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์

ท่านเคยเห็นหรือเปล่า ที่เขามีการแข่งรถ  เป็นสนามสำหรับคนที่ชอบขับรถเร็ว แบบบ้าคลั่งมาแข่งกันในถนนหลวง ที่ผิดกฎหมาย เอารถแรงๆ วิ่ง 200 กว่ากิโลเมตร วิ่งกันบนถนน แล้วตำรวจก็ไล่จับ เขาก็จะมีสนามหนึ่ง ที่ให้คนเหล่านี้ไปเล่นสนุก เขาเรียกว่าสนามทดลองใจ มีจริงๆ นะ ในอเมริกาก็มี เขาจะทำเลนไว้เลย ใหญ่ๆ แล้วก็ให้เราเช่า จะเป็นชั่วโมงหรืออะไรต่างๆ และจะมีรถแรงให้เราเช่า หรือเอารถเราไปเองก็ได้  มันจะอยู่ในทะเลทรายเลย แล้วในนั้น เขียนว่าพอคุณเอารถเข้าไปในนั้น ไม่มีกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้น ไม่มีการจำกัดความเร็ว คุณจะขับเร็วเท่าไรก็ได้ ตามที่คุณอยากจะขับ ให้มันไปเลย เข้าใจไหมครับ ก็มีคนขับหลายคนไปลอง ที่เคยถูกกฎห้ามในกรุงเทพ กฎเขาห้ามเกิน 120 ขับไป 200  คราวนี้เขาบอกไม่มีกฎเลย เป็นอิสระเลย ไปถึงปุ๊บ เฆี่ยนเต็มที่ 200 ปุ๊บ ไม่ไปแล้ว ทั้งๆ ที่เครื่องมันยังไปได้อีก 400 ไม่ไปแล้ว ถามว่าไม่ไป เพราะอะไร? กฎเขาว่าอิสระแล้ว แต่กลัวตาย  รู้ว่าไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ก็ลดลง

คริสเตียนก็อย่างนั้นแหละ พระเจ้าก็จะให้สติปัญญาว่าทำไปมีประโยชน์อะไรล่ะลูก ไม่บังคับ แต่มีประโยชน์ไหม? ไม่มีประโยชน์ เราก็อย่าทำ

เพราะฉะนั้น จากนี้ไป เราก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตในโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเรา และดูแลนำพาเราอย่างไร?  ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราจะพลาดพลั้งไปบ้าง? ผิดไปบ้าง? เผลอทำบาปไปบ้าง?  แต่เราก็มั่นใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ที่ครอบครัว ที่เรียกว่าครอบครัวสวรรค์ อยู่เดี๋ยวนี้เลย เมื่อจากร่างกายนี้แล้ว เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า แล้วครอบครัวนี้มีสำมะโนครัวด้วย เรียกว่าสำมะโนครัวครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ 1 แล้วก็มีผู้อาศัยอยู่ในนี้เต็มไปหมดเลย แล้วผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่อถูกจดอยู่ในสำมะโนครัวนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าใครก็ตาม ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ในสำมะโนครัวเล่มนี้ เขาจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ในหนังสือวิวรณ์ 20:15 บันทึกไว้อย่างนั้นว่าถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นต้องถูกทิ้งอยู่ในบึงไฟ … บึงไฟ คือที่ไม่มีพระเจ้า ที่ที่ลำบาก อาณาจักรของความมืด ที่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และทุกข์ทรมานตลอดนิรันดร์

เพราะฉะนั้น ท่านเลือกเอา ถ้าท่านเลือกมาอยู่ทางนี้ ท่านก็หายเหนื่อยและเป็นสุขตลอดไปเลย เพราะท่านจะอยู่ตรงนี้ และอยู่ที่นี่ตลอดไป ชื่อท่านจดอยู่ที่นี่แล้ว  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 11 “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า

ไม่ใช่ เพื่อความรอด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ทำดี เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อความรอด” เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว เรามาทบทวนกันหน่อยว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอะไรกันไป และเรื่องราวในวันนี้ จะต่อเนื่องกันอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราได้ทำความเข้าใจกับความหมายที่แท้จริงของถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่า …

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าคำๆ นี้ เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น และเราได้เรียนรู้กันมาตั้งนานแล้ว ผมได้บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่ม 99% เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณ ต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้น  คำนี้ ก็เป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝ่ายโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน

“บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก (ในวิญญาณ)”

หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระ จากความพยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ที่ต้องชดใช้ รู้อยู่ลึกๆ ในใจ สำนึกของทุกคน รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนบาป  และต้องการที่จะหนีจากความบาป ที่เราพูดกันติดบาปว่า …

“เมื่อไรมันจะใช้เวร ใช้กรรมหมดสักที เกิดมามีเวร มีกรรมจริง” ไม่ต้องมีใครสอน ก็พูดได้

และคำว่า “เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข” ก็หมายถึงได้พักสงบทางวิญญาณ จากการได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ พระเยซูคริสต์เป็นแพะรับบาป แทนให้กับฉัน มันก็เลยสบาย เอาแอกออกไป เอาหนี้ออกไป ในโลกวิญญาณ แต่ทางฝ่ายร่างกาย ใช้หนี้ธนาคาร ที่ไปเบิกเขามา ไปกู้เขามาซื้อบ้าน ผ่อนเดือนละ 20,000 แม้ว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังต้องจ่าย ไม่จ่าย เขาก็มายึดบ้านไป จบ  เห็นชัดไหม?

วิญญาณของเรา จะได้รับอิสรภาพ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นแพะรับบาปของเรา เป็นผู้รับบาปเราไป วิญญาณเราไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้องแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อย ในการชดใช้แต่ละวันๆ  ไม่ต้องบ่นอีกต่อไป และไม่ต้องพูดออกจากปากอีกต่อไปว่าเมื่อไรมันจะหมดเวร หมดกรรมสักที เพราะว่าฉันเชื่อพระเยซู หมดเวรไปแล้ว เพราะพระเยซูได้เอาความบาปออกไปจากชีวิตฉันเรียบร้อยแล้ว เอเมน มันก็หายเหนื่อย

คำว่า “พระเยซูทำให้หมดแล้ว” ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูยกเลิกศีลธรรมคุณงามความดีต่างๆ ที่ผู้คนสอนกันมาตลอดเวลา ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเยซูก็จะทรงสอนเอง สอนทั้งฟาริสี สอนทั้งคนทั่วไปว่าที่กำหนดเอาไว้มนุษย์ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาด ต้องรักษาศีล ทำสิ่งที่ดีงาม ห้ามทำบาป ห้ามทำสิ่งที่ผิดต่างๆ เหล่านั้น สอนกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ พระเยซูบอก …

“ฉันไม่ได้มาลบพวกนี้ทิ้งหมด พวกนี้ยังอยู่นะ”

ศาสนาก็เหมือนกับรัฐบาล เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนก็ตาม มีบทบัญญัติ มีระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่บอกว่าสิ่งใดต้องทำ สิ่งใดห้ามทำ ซึ่งของคริสเตียน ก็เช่นเดียวกัน มีบทบัญญัติที่ถูกวางไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสแล้ว บทบัญญัติเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจดีว่าถ้าใครปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามสิ่งเหล่านี้ ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร ใครไม่ประพฤติตาม ก็จะถูกลงโทษ พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้มายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้นะ แต่พระองค์มาเสริม และเน้นให้ชัดเจนขึ้นอีกว่ากฎ ทั้งศีลและธรรมเหล่านี้  ข้อห้ามและข้อให้ทำเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้มอบให้กับมนุษย์เอง เป็นสิ่งที่ดีงาม พระองค์เสริมว่าอย่างไร?

ใครที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น สวรรค์ ก็คือบ้านของพระเจ้า บ้านที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ และมนุษย์ทุกคนลึกๆ ในใจ อยากจะไปอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรียกภาษาอะไรก็ตาม อยากอยู่ในสวรรค์ทั้งนั้น พระเยซูก็อธิบายให้ชัดเจนขึ้นว่าใครที่อยากจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ขาต้องรักษาศีล รักษาความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุด ถึงขั้นที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้

ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง เช่น บทบัญญัติที่บอกว่าห้ามฆ่าคน เราก็รู้แล้วว่าดี ทุกศาสนาก็บอกว่าห้ามฆ่าคน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามที่พระเยซูบอก คือแค่โกรธ ก็ไม่ได้

ไปด่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นบาปแล้ว อันนั้นตกนรกแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ต้องทำได้มากกว่านั้น แค่มอง แล้วเกิดความรู้สึก คือเกิดความต้องการ ก็ผิดแล้ว ก็เท่ากับล่วงประเวณี บาปไปแล้ว

บทบัญญัติเดิมบอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน สู้กัน แต่การจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ต้องอดทน ให้อภัยทุกอย่าง คนตบแก้มซ้าย ให้ยื่นแก้มขวาให้เขาตบด้วย ใครขอเสื้อท่าน ท่านต้องเอาเสื้อคลุมให้เขาด้วย ทำได้ไหม?

ไม่มีใครสามารถรักษากฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก กฎธรรมดาก็ไม่ได้แล้ว นี่พระเยซูมาเสริมอีก ฟาริสี หรือนักศาสนา พยายามที่จะปฏิบัติตามศีลธรรมของตนที่วางไว้ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ อย่างมากที่สุด ก็ได้เยอะนะ หรือเรียกว่าเป็นปุโรหิต ก็มี ถือว่าเป็นบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ ในยิวผู้เคร่งศาสนาก็มี คิดว่าตัวเองทำได้ยอดเยี่ยมแล้วนะ เป็นมหาอาจารย์ แต่พอมาเจอพระเยซูพูด หงอยเลย

“ที่ฉันคิดว่าฉันทำได้หมด มันเป็นศูนย์ไปเลย ฉันคิดว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ก็ดีแล้ว แต่ที่ไหนได้ วันก่อนฉันด่าลูกศิษย์ไป โมโหลูกศิษย์”

แค่นี้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อะไรอย่างนี้ ทำให้มนุษย์หมดสิทธิ์ที่คิดว่าทำเองได้  ตามบทบัญญัติของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้นั่นเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าจึงวางกฎไว้ว่ารู้แล้วว่ามนุษย์ทำไม่ได้ จึงต้องหาตัวช่วย ไม่อย่างนั้น มนุษย์ตายแน่ ตกนรกอย่างเดียวแน่นอน ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ เมื่อกฎเกณฑ์ยังอยู่ บทบัญญัติยังอยู่ แต่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาเป็นแพะรับบาป มาทำแทน

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ที่พระเยซูพูดที่ไม้กางเขน คือจ่ายหนี้หมดแล้ว แปลเป็นภาษากรีกวันนั้น  บ่าย 3 โมง ที่เนินเขาโกละโกธา ที่ถูกตรึงกางเขนอยู่ ตอนสิ้นพระชนม์ ที่บอกสำเร็จแล้ว Testelesti จ่ายหนี้ให้มนุษยชาติทั้งหมดแล้ว มารับสิทธิ์ของเธอไปเลย นี่คือข่าวดี

ความหมาย ก็คือบทบัญญัติทั้งหลาย ศีลธรรมทั้งหลาย  ความดีงามทั้งหลาย ที่มนุษย์จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้น ได้ถูกกระทำแทนแล้ว โดยฉัน คือพระเยซูคริสต์ สำเร็จครบถ้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์จริงๆ ที่ไม้กางเขนนั้น  ผลตามมา ก็คือมนุษย์ได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว มารับสิทธิของเธอไปเลย แค่นั้นเอง และเมื่อมนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ทันทีเลย

นี่คือเป้าหมายสูงสุดแล้ว ไม่มีอันอื่นแล้ว ที่ดีกว่านี้ พระเจ้าก็ต้องการตรงนี้ มนุษย์ก็ต้องการแค่นี้เอง ไม่มีอะไรที่อยากได้มากกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎบัญญัติอีกต่อไป  เพราะว่ามันได้ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ยังอยู่ เฉพาะผู้ที่ไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู แต่สำหรับคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นแพะผู้รับบาปแล้ว สำหรับเขา บทบัญญัตินี้เท่ากับเป็นศูนย์ไปแล้ว นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซู

ตอนมาเชื่อวันแรก เราบอกว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่บาป ความรอดมาถึงเราฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย พอเชื่อไปสักพักใหญ่ๆ ท่านเริ่มมี list ในใจ ในหัว ในความคิดท่านแล้วว่า …

“ฉันมาเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันควรจะทำอะไร? ไม่ควรทำอะไร? ฉันต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไร?”

แล้วก็ได้รับการสอนว่าถ้าทำได้แบบนี้ ก็จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก จะได้รับพระพร ไหนบอกอิสรภาพ กฎใหม่มาแล้วเนี้ย  เข้ามานั่งปุ๊บ ทำอย่างนี้ จะได้พระพร ก็แปลว่าถ้าไม่ทำ พระเจ้าไม่พอพระทัย (ถูกลงโทษ) หรือหนักเข้าไปอีก บางรายถ้าฝ่าฝืน จะกลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลง ฉันรอดหรือไม่รอด หนักกว่านั้นอีก บางคนบอกว่า …

“ท่านผู้เชื่อใหม่ทั้งหลาย ถ้าท่านไม่ทำตามนี้นะ วันสุดท้าย วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือท่านไป เจอพระเยซู แล้วพระเยซูจะบอกท่านว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า’”

ถ้าหลักของความเชื่อแบบนี้ เป็นความจริง มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มีข้อห้าม อย่าทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ผมคิดว่าในสวรรค์ของพระเจ้า คงต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับคิดเลข อันใหญ่เลย  แล้วก็มีโปรแกรมของพวกเรา แต่ละคนไว้ในนั้น ทุกคน แทนที่จะจดชื่อไว้ในสมุดแห่งความรอดบนสวรรค์ จดไว้ในคอมพิวเตอร์ เพื่อวัดดูว่าทำอะไรไปบ้าง? วันนี้ทำความดีได้พอสมควร +5 คะแนน พรุ่งนี้พูดโกหก โดนหัก 8 คะแนน มะรืนนี้บริจาคให้คนจน ได้ +10 คะแนน มะเรืองนี้ บริจาคให้คนจนเหมือนกัน แต่ -10 ทำไมล่ะ เพราะเที่ยวก่อนบริจาคด้วยใจจริง ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่วันนี้ บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง เลย -10 จนถึงวันสุดท้าย ที่อยู่บนโลกนี้ เป็นวันปิดการโหวต ปิดการนับคะแนน บวก ลบ คูณ หาร เบ็ดเสร็จแล้ว ใครที่ได้คะแนนรวมแล้ว เกิน 100 คะแนน ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับเรา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ พระเยซูคงไม่บอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ถ้าเป็นอย่างนี้ ขอเหนื่อยแค่นั้นพอแล้ว มาหาพระเยซูยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม จะอะไรมากขนาดนั้น พระเยซูบอกข่าวประเสริฐของพระเยซูง่ายนิดเดียว ทำให้หมดแล้ว แล้วเราไปทำให้มันเหนื่อยมาก

แบบนี้ไม่ใช่หลักการของความเชื่อ ไม่ใช่ลักษณะของพระคุณพระเจ้า  เชื่อและพระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? มีบางท่านทำให้เราเสร็จ เชื่อ หมายถึงเชื่อว่าเขาทำให้เรา พระคุณ หมายถึงทำโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย เราไม่สมควรได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่บุญคุณ พระคุณพระเจ้า ก็คือเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราได้รับความรอดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูทรงทำให้เราสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อเราได้รับสิทธิของเรา ในความเชื่อนี้แล้ว เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้านิรันดร์ ไม่สามารถทำให้เรากลับไปสกปรกได้อีกแล้ว เอเมน ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย สะอาดก็สะอาด สกปรกก็สกปรก ไม่มีการมาแยกกลับไปกลับมา วันนี้สกปรก พรุ่งนี้สะอาด คอมพิวเตอร์พังหมดเลย  คิดไม่ทัน เพราะสมองเรามีแต่เดี๋ยวสกปรก เดี๋ยวสะอาด เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง คอมพิวเตอร์อาจจะพังไปเลย สำหรับคนๆ เดียว อยู่ไป 80 ปี ถูกไหม? ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับความรอดนิรันดร์

เมื่อบทบัญญัติทั้งหลาย ได้ถูกกระทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้บทบัญญัตินั้น บกพร่องหรือตกหล่นไปได้อีกแล้ว เพราะว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ มันเรียบร้อย มันสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ต้องเติมเข้าไปอีก มันครบแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใยเราอย่างมากที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เราจะสามารถทำให้พระเจ้ารักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว จบแล้ว เมื่อเราเป็นลูก พระองค์ก็รักเราในฐานะที่เป็นลูก เราจะดี จะเลว ไปปฏิบัติตัวอย่างไร? พระองค์ก็รักเราเป็นลูก พอเห็นไหม? เราจะทำดีแค่ไหน เราก็เป็นลูก ไม่มีมากขึ้น อีกคนหนึ่งในสายตาของมนุษย์ อาจจะทำแย่กว่าเรา พระองค์ก็รักเขาเป็นลูก ยังไงๆ ก็เป็นลูก

เพราะเหตุมันเกิดจากความเชื่อของคนๆ นั้น ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  ทำให้คนนั้นวิญญาณเกิดใหม่ มาเป็นลูก ไม่ใช่ เป็นลูก เพราะว่าเขาทำดี  มาเป็นลูก ไม่ได้ทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน จึงสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้ ขณะเดียวกันกับมหาปุโรหิตของยิว ที่ติดสนิทกับพระเจ้ามาตลอด แต่เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองดีพร้อม ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่ารักษาบัญญัติไม่ครบถ้วนบริบูรณ์

ยกตัวอย่างง่ายๆ โต๋เต๋  ผมรักเขา เพราะเขาเป็นลูก เขาจะทำอย่างไร? เขาก็เป็นลูก ผมอยากให้เขาทำสิ่งที่ดี อยากให้เขาเชื่อฟัง แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง เขาก็เป็นลูก เขาทำดี เขาก็เป็นลูก เขาทำไม่ดี เขาก็เป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาทำดีหรือไม่ดี แต่เขาเป็นลูก เพราะว่าเขาเกิดในตระกูล เกิดจากผม

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพราะการกระทำดีใดๆ ที่ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ทั้งหมดนี้ แปลว่าเราไม่จำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? ไม่จำเป็นต้องรักษาศีลธรรมอันดีอีกแล้วเหรอ ไม่จำเป็นต้องทำความดีอีกแล้วใช่ไหม? เพราะความรอดจากบาป ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เป็นความรอดแบบนิรันดร์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เป็นลูกแล้ว โต๋เต๋ก็เป็นลูกแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แล้วจะไปทำดีทำไม? เราอาจจะคิดอย่างนั้น

เป็นความรอดที่มาจากพระคุณพระเจ้า  ได้มาฟรีๆ เราไม่ได้ทำเอง เพราะฉะนั้น  เราจะประพฤติตัวอย่างไรดี? เราจะประพฤติตัวเหลวแหลกก็ได้ใช่ไหม? ถ้าท่านคิดภาพเช่นนั้น  ท่านลองคิดว่าโต๋เต๋อยากไปทำอะไรก็ได้ โต๋เต๋เป็นลูก อย่างไรพ่อก็ไม่มีทางกำจัดเราไปจากลูก เราก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เดี๋ยวมรดกก็ต้องได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ทำตัวอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องสนใจ ท่านต้องคิดภาพอย่างนี้ ท่านจะได้มองเห็น พอนึกถึงลูกมนุษย์ ท่านจะนึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ นั่นแหละ ในทางวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เช่นกันว่าสิ่งที่เราคิด เป็นไปได้ไหมว่าเราเป็นลูกพระเจ้า แล้วเราจะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจแล้ว เพราะตอนนี้สบาย มันเป็นอย่างนั้นหรือ?

เพราะเมื่อรอดแล้ว โดยพระคุณพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ลบล้างบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตทั้งหมด เพราะฉะนั้น จากนี้ไป การกระทำใดๆ ความประพฤติใดๆ ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราอีกต่อไปแล้ว นี่คือหลักการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ถามว่าคิดแบบนี้ ถูกหรือผิด? เรามาดูว่าในพระคัมภีร์เขียนว่าอย่างไร? โรม 6:5

โรม 6:5 “เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

 

เปาโลตอบว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” อาจารย์เปาโลกำลังเตือนสติคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว ที่คิดแบบเมื่อตะกี้นี้ พระเยซูให้เรารอดพ้นจากความบาป โดยที่เราไม่ต้องกระทำด้วยตัวเอง แล้วเราจะละเลย ต่อการประพฤติปฏิบัติอันดีงาม ละเลยต่อศีลธรรมอันดีหรือ! ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาสอนเพื่อที่จะเน้นให้ทำมากขึ้นด้วย เหมือนที่พระเยซูเน้น ในลักษณะของความจริง ก็คือสำนึกในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนหมด แต่เราก็รู้ตัวเองดีว่าเราไม่สามารถทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ได้ ยิ่งรู้ถึงพระคุณมากเท่าไร? ก็จะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้ามากเท่านั้น ข้างในใจก็อยากจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำ

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตเราแล้ว เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณข้างใน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ได้ถูกสร้างใหม่ เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มีความต้องการที่จะทำตามคำสอน คำบอกเล่าของพระเจ้าแน่นอน แต่ทำในลักษณะที่เป็นลูก ไม่ได้เป็นทาส ทำตามด้วยความรัก ด้วยการอยากจะทดแทนพระคุณของพระเจ้ามากกว่าอย่างอื่น สำคัญกว่านั้น อยากทำ เพราะวิญญาณมันบังเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเจ้า วิญญาณสะอาด ทำบาปไม่เป็นเลย  ตัวข้างใน อยากจะทำในสิ่งที่ธรรมชาติของเขาเป็น ก็คือเป็นลูกพระเจ้า อยากทำสิ่งที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์นั่นเอง มันเป็นธรรมชาติ อยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันยังอยู่ในเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็คือความคิดเก่าๆ วิญญาณที่อดีต ก่อนจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ วิญญาณที่อดีต เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เรียกว่าความบาป ไม่อยากทำตามพระเจ้าเลย  โกรธเกลียดพระเจ้า พระเจ้าพูดขาว ฉันบอกดำ พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกขาว พระเจ้าบอกสูง ฉันก็บอกเตี้ย พูดออกมาเถอะ ฉันจะต้องต้านหมดแหละ เพราะธรรมชาติวิญญาณฉันต่อต้านตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะมีเหตุผล หรือไม่มีเหตุผล ก็เหมือนกับทุกวันนี้ เราไปประกาศ บางคนยังไม่ทันฟังอะไรเลย ไม่เอาๆ ไม่ดีๆ มันเหนือเหตุผล เข้าใจใช่ไหมครับ?

วิญญาณข้างในมันต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะพูดอะไร ฉันต่อต้านหมดแหละ พระเจ้าบอกสว่าง ฉันบอกมืด พระเจ้าบอกอย่านอนดึก ฉันนอนดึก อะไรอย่างนี้ พระเจ้าบอกไม่ดีๆ ฉันจะกิน ในพระคัมภีร์มีอย่างนี้จริงๆ ถ้าฟังจากภาษาเดิม มันแปลว่าอย่างนั้นจริงๆ มีอะไรหรือเปล่า? คือเย่อหยิ่งมากกับพระเจ้า เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเย่อหยิ่ง มันเย่อหยิ่งจากธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ พอมาเชื่อพระเยซู แล้วเกิดใหม่ วิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า มันก็ตรงกันข้ามกัน อะไรๆ ก็ทำตามพระเจ้าหมดทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกขาว ฉันก็บอกขาว พระเจ้าบอกดำ ฉันบอกดำ หมดเลย  พระเจ้ายังไม่ได้บอก ฉันเอเมน ไปอ่านดู พระคัมภีร์บอก จากนี้ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เอเมน เพราะว่าข้างในบริสุทธิ์ อินโนเซ้นท์ สำหรับบาปเลย  แต่เนื่องจากมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย  ร่างกายนี้ลงหลุมฝังศพ เมื่อไร มันหมดฤทธิ์ วิญญาณมันเชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์ในโรมจึงบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  วิญญาณฉันรับใช้พระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่เนื้อหนัง ของเก่ามันยังอยู่ในนี้ตลอด มันก็รับใช้ความคิดเก่าๆ เชื้อของความบาปอยู่ สู้กับมันตลอดเวลา นี่คือความเป็นจริง

โคโลสี 2:6-7 บันทึกไว้อย่างนี่ “6 ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป 7 ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

โดยความเชื่อ เราทราบว่าเราสะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย แต่เราต้องการดำเนินชีวิต ให้สมกับที่เราบริสุทธิ์แล้ว เรียบร้อยแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซู

ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกัน บอกว่า “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูแล้ว เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต ในพระองค์ต่อไป”

ให้รู้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด และอยู่ตรงนี้แล้ว ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอตายไปแล้ว จึงไป ทันทีทันใด เมื่อท่านเชื่อพระเยซู วิญญาณท่านก็เป็นอย่างนี้

สมัยก่อนนี้ กลับตรงกันข้ามกัน ผมอยากทำอะไรก็ตาม ที่วิญญาณอันมืดบอดของผม วิญญาณที่ต่อต้านกับความดีงามของพระเจ้า ข้างนอกอยากทำ ข้างในมันก็บอกไม่เอา ผมก็ต้องสู้กับมันตลอด เขาเรียกว่าชดใช้หนี้เวรกรรม ก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น ข้างในบังคับมันเท่าไร? เดี๋ยวโผล่มาอีกแล้ว เมื่อไรจะใช้หนี้หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อมาเชื่อพระเยซู หมดหนี้ หมดเวร หมดกรรมแล้ว วิญญาณข้างใน มันบริสุทธิ์สะอาด มันไม่ได้ถูกบังคับให้ทำ แต่มันอยากทำโดยธรรมชาติ ทำผิดไป ก็ยังรู้ตัวว่าฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวเริ่มต้นใหม่ๆ อยากทำ เพราะว่ามันสมควรที่จะกระทำ เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว โต๋เต๋สมควรทำ เพราะโต๋เต๋เขาเป็นลูกของคุณนครนะ เขาสมควรจะทำอย่างนี้ ไม่ใช่เขาต้องทำ ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวถูกเฉดหัวออกไป ไม่ได้เป็นลูกของผม ไม่ใช่

นี่แหละ คือแรงจูงใจของการที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม ในขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันควรจะสอนในลักษณะแบบนี้มากกว่าที่จะบอกว่าอะไรต้อง อันนี้ไม่ต้อง ยุ่งไปหมดเลย ให้มันขึ้นตรงกับพระเจ้า ทำเพราะรักพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้ง 1 เปโตร ทั้งโรม ทั้งยอห์น อัครสาวกทั้งหลาย ได้สอนอย่างนี้ว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์”

แล้วก็เติมต่อว่าพระเยซูบอกว่าจงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่เมื่อพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา แล้วเปโตร เปาโลจึงบอกว่า …

“จงบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าได้ทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้วตอนนี้ พระเยซูทำให้ท่านบริสุทธิ์แล้ว จากนี้ต่อไป สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า”

โคโลสี 2:8-10 สังเกตดูว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ในอดีต 2,000 ปีมาแล้ว  ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้

โคโลสี 2:8-10 “8 จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์ 9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์ 10 และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น”

 

เปาโลเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าหลักการ หรือแก่นสารที่แท้จริงของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู คือเชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพา การกระทำของตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาบอก หรือมาสอนว่าจะทำอะไร? หรือควรจะทำอะไร? ห้ามทำอะไร? ต้องทำอะไร? เพื่อรักษาความรอด อะไรทำแล้ว ทำให้เราหลุดจากความรอด หมายถึงความรอดหายไป ฟันธงไปเลยว่ามันหลอกลวง

สมัยก่อนช่วงตรุษจีนจะมีคนถามว่า “อันนั้นทำได้ไหม?”

ถ้าเรียนรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านจะไม่ต้องมาถาม ท่านจะรู้ข้างในของท่านว่าจะทำหรือไม่ทำ ไหว้ได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปวัดได้ไหม?  คำถามเยอะแยะไปหมด แล้วมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลตอบว่าอย่างไร?

โคโลสี 2:16 “เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกิน หรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลทางศาสนา ไม่ว่าวันฉลองขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโต”

 

นี่ 2,000 ปีมาแล้วนะ ถ้าอาจารย์เปาโลตอบช่วงนี้ คำตอบก็อาจจะเป็นอย่างนี้ว่า …

“อย่าให้ใครมาตัดสินท่าน จากสิ่งที่ท่านกินหรือดื่ม หรือเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน หรือไหว้พระจันทร์ หรือเช้งเม็ง หรือไม่ว่าจะเป็นฉลองปีใหม่ วันวาเลนไทน์ สงกรานต์ ลอยกระทง”

ถามว่าในพระคัมภีร์มีสอนถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ แนวทางการดำเนินชีวิตว่าสิ่งใด ควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ  มี  แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเป็นคริสเตียนหรือความรอดของท่าน เพราะว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสรภาพจากกฎของความบาป และความตาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน อยากทำ ก็เชิญทำ ไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

โคโลสี 2:20-23 “20 ในเมื่อท่านตายกับพระคริสต์ พ้นจากหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ ทำไมยังยอมอยู่ใต้กฎต่างๆ ราวกับว่าท่านยังเป็นของโลก 21 เช่นกฎที่ว่า “ห้ามหยิบ ห้ามชิม ห้ามแตะต้อง” 22 สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ถูกกำหนดให้เสื่อมสูญไป เมื่อใช้มัน เพราะตั้งอยู่บนคำสั่งและคำสอนของมนุษย์ 23 ที่จริงกฎเกณฑ์พวกนี้ ดูเหมือนมีปัญญา พวกเขานมัสการตามแนวที่กำหนดขึ้นเอง เสแสร้งถ่อมตัวและทรมานร่างกายของตน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต่อการควบคุมกิเลสตัณหาเลย”

 

ตอนจบอาจารย์เปาโลบอกว่าโอเค สรุปสั้นๆ อะไรก็ตามที่ท่านทำ โดยปราศจากความเชื่อ (หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์) ท่านก็เป็นบาปอยู่ดี ต่อให้ทำดี ก็บาป แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่ได้บาปอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านทำด้วยความเชื่อ

คือเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เหตุผลเดียวที่เราต้องการที่จะพยายามทำชีวิตให้เป็นไปตามคำสอนของพระเจ้า พ่อของเรา พยายามรักษาศีลธรรมอันดีงาม พยายามทำสิ่งที่ดีๆ เหตุผลนั้น ก็คือเราต้องการจะรักษาชีวิตของเรา ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ข้างในเราเป็นลูกของพระเจ้า ศักดิ์ศรีเราเป็นลูกพระเจ้า เราต้องทำให้มันเด็ดขาด เราต้องพยายามทำสงครามกับเนื้อหนังของเรา สู้กับมัน ไม่ยอมทำตามมัน เพื่อเราจะได้สมศักดิ์ศรีว่าเราเป็นลูกพระเจ้านะ แพ้ไป เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่ๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายนั่นแหละ สู้ไม่มีวันจบ ตรงนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

มาเชื่อพระเจ้า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณข้างใน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ทำบาปไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเลย ถ้าเขาจะทำบาป เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังนี้ มันแพ้ยกนั้น ยกที่อารมณ์ไม่ดี แดดร้อน ข้าวไม่ได้กิน ออกจากโบสถ์ไป รถคันนั้นมันเฉี่ยวหน้าพอดี มันทนไม่ไหว ด่าเขาไป นั่นแหละ มันแพ้ตอนนั้น วิญญาณไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย

วิญญาณ “ไม่เป็นหรอก อภัยให้ เข้าใจกัน”

แต่เนื้อหนังมันทนไม่ได้ มันแพ้ แค่นั้นเอง เข้าใจใช่ไหมครับ วิญญาณไม่เคยคิดจะคอรัปชั่นอะไรเลย แต่เผอิญลูกก็ป่วย ต้องการจะใช้เงิน 3-4 ล้านในการรักษา รักลูกมาก พอดีมีใครมาให้ใต้โต๊ะ เรามีอำนาจที่จะเซ็นต์ได้ ใต้โต๊ะมีจำนวนเงินอยู่ 5 ล้านบาทพอดี คิดแล้วคิดอีก อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ในที่สุด เอาเงินดีกว่า ไปรักษาลูกให้หาย เป็นไปได้ไหม จบอย่างนี้ เป็นคริสเตียนนะ เป็นไปได้ไหม? เป็นคริสเตียนแล้ว ยังตะโกนใส่รถคันหน้าได้ไหม? มันหงุดหงิดขึ้นมาทันที มันไม่ไหวแล้ว ขอด่าสักทีหนึ่ง ได้หรือไม่ได้? ด่ามากกว่าคำว่า “ไอ้โง่” อีก ได้ไหม?  ได้ แล้วคอรัปชั่นเมื่อกี้ ได้หรือเปล่า? ก็แค่นั่นแหละ แต่ข้างในสู้เต็มที่ เพราะว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมชาติของเรา  เป็นอย่างนี้  เหมือนธรรมชาติของเราเป็นปลา  มันต้องอยู่ในน้ำ ลูกของพระเจ้า มันต้องทำความดี บริสุทธิ์ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ทำสกปรกไม่เป็น วิญญาณของท่านไร้เดียงสามาก แต่เนื้อหนังของท่าน ร่างกายของท่านที่เห็นอยู่ มันแย่มากเลย  ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? มันอยากจะทำชั่วเต็มที่ ท่านก็อยู่กับเขา ในอาณาจักรสวรรค์ คนหนึ่งอินโนเซ้นต์มาก เป็นเด็กๆ สะอาดบริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญการทำชั่วที่สุดเลย  ก็คือเนื้อหนังตัวท่านเอง เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กุมภาพันธ์  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 10 “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายในซีรี่ส์ ชุดความจริงจะทำให้เป็นไท วันนี้ มาถึงตอนที่ 10 แล้ว ชื่อตอนว่า “ความจริงแห่งพระคุณพระเจ้า” เราจะเริ่มต้นกันด้วย ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือมัทธิว 11:28-30 พระเยซูตรัสว่าอย่างนี้ …

มัทธิว 11:28-30 “28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านได้พักสงบ 29 จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ  แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ 30  เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”

 

พระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่เราจะเห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ตามคริสตจักรต่างๆ หน้าคริสตจักรเราก็มีป้ายนี้ หลายๆ คริสตจักรทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ เขาก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าคริสตจักร หรือในคริสตจักร ก็จะมีข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อที่โดดเด่นมาก เป็นคำตรัสของพระเยซู ทำไมคริสตจักรหลายๆ แห่งจึงเลือกใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ มาประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ จะใช้คำว่าดึงดูดใจ หรือประกาศข่าวดี คำโฆษณา เพราะว่าฟังดูแล้ว มันเป็นความหวังเดียวของมนุษย์ เพราะทุกคนก็อยากหายเหนื่อย พรุ่งนี้มาทำงานอีกแล้ว หาเช้ากินค่ำ  ทำนาไป น้ำท่วม ตายหมดเลย มันรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยยากในชีวิต รู้สึกว่าข้อพระคัมภีร์นี้  เหมือนโปรโมชั่นที่ดี ที่ทำให้คนสนใจว่ามาเชื่อพระเยซูจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

เราทราบดีว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างคนก็ต่างทุกข์ลำบาก แล้วก็มีภาระหนักด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นใคร ศาสนาใดก็ตาม พอเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้  มันเหนื่อยยากลำบาก เหลือเกิน เป็นสัจจะธรรม และลึกๆ แล้วในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ก็ต้องการหาที่พักในใจด้วย ไม่ใช่ว่าจะพักแต่เฉพาะข้างนอก คนที่มีเงิน ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะทำสวน ทำไร่ ทำนา หรือทำธุรกิจก็ตาม เราก็รู้ว่ามันเหนื่อยข้างในใจด้วย แสดงว่าไม่ใช่แค่อยากที่จะหายเหนื่อยจากการทำงานอย่างเดียวนะ แต่ในใจเขาก็อยากหายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือสัจจะธรรมของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็เป็นหนึ่งในพระคัมภีร์หลายๆ ข้ออีกเหมือนกัน ที่ถูกเอาไป ตีความผิด เอาไปสอน เอาไปบอก เอาไปใช้กันแบบผิดๆ ที่บอกเอาไปผิดนี้ คือมันไม่ตรงตามที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้วันนั้น ต้องการสื่อความหมายอย่างนี้ แต่เราเอาไปใช้อีกแบบหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าผิด บางครั้งมันผิด มันเกิดประโยชน์เหมือนกันนะ แต่มันก็ผิดอยู่ดี มันไม่ตรงตามที่ผู้พูด ต้องการสื่อความหมายว่าอะไร?

เรามาดูสิว่าพระเยซูคริสต์ตรัสคำนี้ มันคืออะไร? คือคำว่า “ผิด” สอนผิด ใช้ผิด บางที่ บางครั้ง หลายคนก็ไม่รู้ว่ามันผิด ก็เขาว่ากันมาอย่างนี้  เขาสอนมาอย่างนี้ ก็ทำตามไป หลายคนก็รู้ ถึงแม้จะรู้ ก็ขอผิดสักหน่อย เพราะมันโปรโมทดี มันโฆษณาดี โฆษณา แล้วทำให้คนสนใจ ยอมฟังเราหน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้น เขาไม่ยอมฟัง เขาเดินไปเลย

“คุณทำงานเหนื่อยๆ อย่างนี้ หนักๆ อย่างนี้ กิจการคุณกำลังเหนื่อยใช่ไหม? กำลังลำบากใช่ไหม? มาหาพระเยซูสิ พระเยซูช่วยได้”

มันก็รู้สึก “ฉันตกงานอยู่ ฉันก็อยากจะมา ให้พระเยซูหางานให้ทำ” อะไรแบบนี้

บางครั้ง ตีความผิด แล้วคิดว่าตั้งใจด้วยความดี แต่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันก็คือตีความผิด หรือแปลไม่ถูกความหมายตามบริบท คือเรื่องราวที่พระเยซูพูดในวันนั้น มันคืออะไร?  ไม่ใช่เอามาข้อเดียว แล้วก็มาตีความของเราเอง อย่างนี้เรียกว่าผิด เรามาดูว่าไม่ถูกอย่างไร? ผู้ที่เชื่อแล้ว บางคนอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้ว ไปเข้าใจว่าอย่างนี้ พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ภาระทางโลกอันหนักอึ้ง ที่ตัวเองกำลังแบกอยู่นั้น มันจะหมดไป การใช้ชีวิตจากนี้จะหายเหนื่อยแล้ว พระเจ้าจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข  ใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง ตอนมาเชื่อใหม่ ก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้แหละ

มีกี่คนเชื่อ มีกี่คนที่มั่นใจว่าท่านมาเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่เจ็บป่วยอีกเลย ท่านเป็นคนที่มีความแข็งแรงมาก มั่นใจ 100% เลย  มีกี่คนที่มั่นใจเลยว่าเชื่อพระเยซูแล้ว จากนี้ต่อไป ท่านไม่มีวันขัดสนเรื่องการงาน การกิน การอยู่เลย ก็มีน้อย

คราวนี้ผมถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีใครบ้างที่มั่นใจว่าเมื่อจากโลกนี้ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปอยู่บนสวรรค์ยกมือ หมดทุกคนเลย เห็นหรือยัง? นี่คือพิสูจน์ความจริงเลย เพราะเชื่อจริงๆ มันอยู่ที่ในใจ แต่ตะกี้นี้ที่บอกว่าแข็งแรง มันอยู่ที่ไหน? มันไม่ได้อยู่ในใจ มันอยู่ที่หัวเข่า เมื่อเช้านี้เดินก๊อกๆ ไม่กล้าพูด แต่ก่อนก็เชื่อ พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ เดินหัวเข่าเจ็บ ไม่กล้าพูดมากแล้ว เพราะอธิษฐานไป 3 ปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เหมือนเดิม มันหนักกว่าเดิมด้วย เพราะว่ามันแก่ลงไง ก็เลยไม่กล้าพูด ชักจะเริ่มปลง

ถ้าใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วเจอข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มัทธิว 11:28-30 ที่พระเยซูตรัส เรื่องการหายเหนื่อยและเป็นสุข และคิดหรือคาดหวังว่าจะได้รับอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก ท่านก็จะพบกับความผิดหวังแน่นอน ถ้าท่านคิดว่าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข จากการไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยอีกแล้ว ไม่ต้องยากจนอีกแล้ว สบายแล้ว ชีวิตนี้นอนๆ กินๆ อยู่เฉยๆ ท่านก็ผิดหวังแน่นอน

ที่พระเยซูบอกว่า “บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา”

พระคัมภีร์ข้อนี้ ถ้าเราอ่านจากพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิมๆ ฉบับขยายความ จะมีคำอธิบายไว้ชัดเจนว่าอย่างนี้ คำว่า “ผู้เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก” ตรงนี้ หมายถึงผู้ที่กำลังแบกภาระหนักจากความพยายาม ให้ตัวเองหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ผู้ที่มีจิตวิญญาณในใจ ไม่มีสันติสุขอยู่ในนั้น เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะชดใช้หนี้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง กำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง เรียกว่าสัจจะธรรมในโลกวิญญาณ นี่พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  สรุปความหมายของพระคัมภีร์ข้อนี้

คำว่า “ได้พักสงบ” เมื่อมาพบพระเยซูนั้น หมายถึงได้พักสงบ และหายเหนื่อยจากการแบกภาระชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดสิ้นสักที แต่พอมาพบพระเยซู … พระเยซูจะชำระในจิตวิญญาณเขา ให้พ้นจากบาป เขาก็เป็นสุขว่าเขาพ้นบาปแล้ว

คำว่า “ชดใช้บาปเวรกรรม” ก็คือต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ตามหลักพระคัมภีร์ ซึ่งก็คือการถูกลงโทษ อันเนื่องมาจากเหตุที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ที่เรียกว่าการทำบาป โดยผ่านทางบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

พอมนุษย์กลายสภาพมาอยู่ภายใต้ความบาป ก็ตกอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เงื่อนไขของกฎนี้ ก็คือห้ามทำผิด ห้ามทำบาป โดยเด็ดขาด นิดเดียวก็ไม่ได้ ถ้าทำผิดบาป เพียงนิดเดียว ก็ได้รับโทษทันที เพราะมันเป็นกฎ ระเบียบ ฝ่าไฟแดงนิดหนึ่ง ก็มีค่าเท่ากัน ท่านจะฝ่าไฟแดง เพราะไฟเหลืองผ่านไปแป๊บเดียว แค่เสี้ยววินาที แล้วฝ่าไฟแดง เขาก็จับท่าน โทษฐานฝ่าไฟแดง ท่านจะฝ่าไฟแดงขณะรถจอดหมดแล้ว แล้วไฟแดงเลยไปหนึ่งนาที ก็วิ่งออกไปอีก เขาเรียกฝ่าไฟแดงเหมือนกัน กฎของโลกนี้และกฎของพระเจ้าว่าไว้อย่างนี้แหละ ท่านบอกว่าท่านโกหกนิดเดียว ไม่มี โกหกมากหรือโกหกน้อย มันก็โกหกเหมือนกันแหละ ผิดเหมือนกันหมด

ดังนั้น คำว่า “ผู้แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย” หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป และรู้ตัวว่าต้องแบกภาระการชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตัวเอง ไว้ที่ตัวเองนั้น รู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถทำให้หลุดพ้น จากบาปเวรกรรมของตัวเองได้ มันก็เลยเหนื่อย ข้างในมันเหนื่อยมากๆ ชดใช้เท่าไรก็ไม่หมดสักที เพราะข้างในมันเหน็ดเหนื่อย พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้  เหมือนมนุษย์ทุกวันนี้ ใครที่มีหนี้สินเยอะๆ จนกระทั่งถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว มันหมดหวัง ไม่อยากจะทำอะไรเลย? ทำอะไรเขาก็เอาไปหมด

ท่านลองคิดดู นั่นขนาดหมดหวังทางด้านการเงินที่บนโลกใบนี้ เท่านั้นเอง แล้วนี่หมดหวังทางด้านวิญญาณ ตายไปแล้ว จะไปไหน ก็ไม่รู้ ต้องชดใช้อีกกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปี ก็ไม่รู้ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ด้วยความไม่มีสันติสุข ไม่มีการได้หายเหนื่อยนั่นเอง ตรงนี้คือผลของวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสาปแช่ง มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่ปฐมกาล มันเป็นเช่นนี้แหละ พระเยซูมาเกิด พระเยซูจึงบอกตรงนี้ก่อนเลยว่าใครที่รู้ว่าเหน็ดเหนื่อย ก็เหนื่อยทุกคน พระองค์ก็รู้แล้ว ใครที่รู้ตัว ใครที่ไม่เย่อหยิ่ง เหนื่อยแล้วแกล้งบอกว่าไม่เหนื่อย รู้ตัวว่าเหนื่อยจริงๆ มาหาพระองค์ซะ พระองค์จะให้คนๆ นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุขไง บริบทของมัทธิว 11:28 ตรงนี้พระเยซูตรัส เพราะอย่างนี้ และต้องการความหมายแบบนี้

ถูกลงโทษ คือคำสาปแช่ง … คำสาปแช่งเข้ามาที่วิญญาณของเรา ที่ร่างกายของเรา และร่างกายเราทำมาจากดิน คือโลกใบนี้ คำสาปแช่งปกคลุมโลกนี้หมดเลย วัตถุสิ่งของถูกสาปแช่งหมดเลย พูดง่ายๆ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุถูกปกคลุมด้วยความสาปแช่งจากบรรพบุรุษของเรา  อาดัมและเอวา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้าจึงถูกลงโทษ โลกทางฝ่ายวัตถุ คือร่างกายของมนุษย์ รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด รวมทั้งสิ่งของทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาดีงาม ก็ตกลงไปอยู่ในความเสื่อมเสียหมด เสื่อมพระสิริของพระเจ้า เสื่อมเกียรติของพระเจ้า เสื่อมสิ่งที่ดีๆ ของพระเจ้าไปหมดเลย กลายเป็นความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่หมดเลย วิญญาณของมนุษย์ ก็ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนกัน

มาดูตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ในปฐมกาลว่าตอนที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเราทำบาป และถูกคำสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษ คำสาปแช่งนั้นลงมาเขียนไว้ว่าอย่างไร? บันทึกไว้ในปฐมกาล 3:17-19 …

ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า “เพราะเจ้าฟังภรรยาของเจ้า และกินผลไม้ซึ่งเราสั่งเจ้าว่า ‘เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นไม้นั้น’ แผ่นดินจึงถูกสาปแช่งเพราะเจ้า เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดินด้วยความลำบากตรากตรำ ตลอดชีวิตของเจ้า 18 ต้นหนามน้อยใหญ่จะงอกขึ้นมาบนแผ่นดิน และเจ้าจะกินพืชพันธุ์จากท้องทุ่ง 19 เจ้าจะทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ ตราบจนเจ้ากลับคืนสู่ดิน”

 

“แผ่นดินจึงถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”

“เจ้า” คืออาดัมและเอวา

นี่คือหนึ่งในคำสาปแช่งทางโลก คือแผ่นดินนี้  ที่บอกว่ามนุษย์จะต้องทำงานหนัก หาเลี้ยงชีพด้วยความลำบาก ตรากตรำ ต้องทำมาหากิน อาบเหงื่อต่างน้ำ และไม่ใช่เพียงแค่นี้เท่านั้น ยังมีคำสาปแช่งอื่นๆ สรุปรวมความว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากแน่นอน นี่คือสัจจะธรรมความจริง ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้

เหตุที่หมอและทุกคนรู้ว่าอยากจะมีสุขภาพที่ดี พอสมควรไหม? แข็งแรง โดยไม่ต้องเจ็บป่วยเลยไหม?  ไม่ใช่ แต่เจ็บป่วยน้อยลง คือให้ออกกำลังกาย เพื่อให้อาบเหงื่อต่างน้ำ มนุษย์ก็พยายามจะฝืนพระเจ้า ไม่อยากอยู่ในคำสาปแช่ง เพราะธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ให้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากอย่างนี้  มนุษย์ก็อยากจะกินแล้วนอน นอนแล้วกิน มันเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างนั้น แต่เราทำไม่ได้ เพราะว่าเราตกอยู่ในคำสาปแช่งแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเรากินแล้วนอนไม่ได้แล้ว จากนี้ต่อไป เราต้องทำงานหนัก เพราะฉะนั้น พอเรากินแล้วนอนๆ เราฝืน คำสาปแช่งนี้ก็เกิดผล ก็คือกินแล้วนอนๆ ในที่สุด เราก็นอนอย่างเดียวเลย  ไม่ต้องลุกขึ้นมา มันก็เป็นโรคเป็นภัย

ทำไมเราต้องออกกำลังกาย ก็เพราะเราทำงานแบบคนในเมือง ชาวนา ชาวสวนจะต้องออกกำลังกายไหม? คนหาปลากลางคืน เขาเหนื่อยจะตายแล้ว เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมาทั้งวันแล้ว พอแล้ว แต่เราเข้า office เปิดแอร์เย็นๆ แล้วก็เอาปากกามานั่งคิด อันนี้อย่างนี้ ตัวเลขนั้นเป็นอย่างนี้ กลับบ้าน  อยากจะพักนอน จึงถูกบังคับ  ถ้าอยากจะมีความสุขขึ้นนิดหนึ่ง ก็ให้ไปออกกำลังกาย ต้องแกล้งไปวิ่ง เหนื่อยแล้ว ทำตามนั้น สาปแช่งไปแล้วจบ นอนได้ หรือไม่อย่างนั้น ก็สาปแช่งตัวเองตั้งแต่เช้าเลย ตื่นขึ้นมาก็สาปแช่งตัวเอง ไปวิ่ง ออกกำลังกาย ให้มันอาบเหงื่อต่างน้ำซะ ให้มันเป็นไปตามกฎระเบียบ มันก็ทุกข์น้อยลง เสร็จปุ๊บ เราก็เข้าไปทำงานในห้องแอร์ได้ ถ้าใครที่ทำสวนอยู่ ก็ไม่ต้องไปวิ่งแล้วนะ ขอร้อง เยอะไปๆ แค่นี้ก็ทุกข์พอแล้ว เห็นหรือยัง?

ยิ่งเราเรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้า ยิ่งเห็น มันชัดจริงๆ มันใช่เลย  ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะนี่คือสัจจะธรรม นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกมนุษย์ นี่คือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ข้างในลึกๆ  “เธอเป็นใคร? ฉันบอกเธอ ฉันมีพิมพ์เขียวให้กับเธอว่าเธอเป็นใคร? เธอควรจะทำอยู่อย่างไร? บนโลกใบนี้ ที่ดีที่สุด สำหรับวิญญาณของเธอ และร่างกายของเธอ ในการอยู่บนโลกใบนี้ แบบให้มันทุกข์น้อยที่สุด ดีที่สุดนั่นเอง” เอเมน

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกคนก็ออกกำลังกาย ฝืนตัวเอง นึกในใจตอนออกกำลัง กำลังได้รับคำสาปแช่ง เพราะฉะนั้น ตื่นเช้าขึ้นมา ท่านออกไปวิ่ง หรือท่านขึ้นไปออกกำลังกาย หรือทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ท่านพูดกับตัวเองว่าท่านกำลังถูกสาปแช่ง พูดกับตัวเองนะ แล้วก็จำไว้เลยว่า …

“อาดัมนะอาดัม แต่ไม่เป็นไร ฉันมีความหวังในพระเยซูคริสต์ ฉันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป หรอก เอเมน”

รวมความ ก็คือคำสาปแช่งที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เป็นคำสาปแช่งทั้งทางวิญญาณ ที่ทำให้ต้องพบกับความตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า และคำสาปแช่งทางโลกวัตถุ ที่ภายใต้ร่างกายนี้ เราต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

 

สรุป ก็คือภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย มนุษย์ทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก ทั้งทางวิญญาณและทางร่างกายด้วย พอเห็นชัดแล้ว สรุปแล้วความจริง คือเมื่อพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาบาปของเราไป ได้ชำระล้างเราจนหายจากโรคหนี้สินทั้งปวงแล้ว เป็นการชำระล้างทางวิญญาณ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่า …

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว วิญญาณหายจากโรคบาป”

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกายของเรา พระองค์รักษาวิญญาณให้หายจากโรคบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้ ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่มักมีการเข้าใจผิด เอามาใช้กันในเรื่องของสุขภาพทางฝ่ายร่างกายว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย เพราะว่าพระองค์ทรงรักษาทางวิญญาณเราหายแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ได้รักษาทางร่างกายเราหายด้วย เขาเชื่ออย่างนี้ ทำให้ร่างกายเราปราศจากโรคแล้ว ที่ไม้กางเขน

บางคนเชื่อถึงขนาดไม่ยอมไปหาหมอ เฝ้าแต่คิดถ้อยคำนี้ตลอดเวลาว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูรักษาฉันหายแล้ว แล้วมันหายจริงๆ คือหายจากโลกไปเลย คือตาย นี่เรื่องจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง 2,000 ปีคงไม่มีโรงพยาบาลเลย แสดงว่ามันไม่ใช่ ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร?

ส่วนร่างกายเรา จะได้รับการไถ่อย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง หรือเรียกว่าวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ถามว่าขณะที่เรากำลังทุกข์ยากลำบากในเนื้อหนังร่างกาย ในการเป็นอยู่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เจ็บป่วย แต่เรามีความหวังใจอยู่ในนั้น เจ็บป่วยก็มีความหวัง ยากจนก็มีความหวัง ทำงานทำการลำบาก มีปัญหา ก็มีความหวังอยู่ในนั้น ความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการไถ่ถอนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณของเราทุกวันนี้ วิญญาณเราเป็นอยู่นั้น  เป็นวิญญาณเดิมนั่นแหละตอนนี้ เปลี่ยนเป็นวิญญาณเหมือนพระเยซูไปแล้ว และเป็นวิญญาณนี้ตลอดไป แต่ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายเก่า ต้องถูกทิ้งไปวันหนึ่ง แล้วพระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่า …

“รู้ไหม พระเจ้าให้ร่างกายใหม่เราได้”

ทุกคนบอก “ได้อย่างไร?”

เปาโลบอก “ง่ายนิดเดียว เคยเห็นต้นข้าวไหม? ถ้าต้นข้าว เมล็ดมันไม่เน่าซะก่อน จะเกิดต้นใหม่ ไม่ได้ คนทำนารู้ดี เอาข้าวเมล็ดดีๆ สวยๆ ลงไป แล้วต้องรอให้เมล็ดนั้น เจอน้ำเยอะ มันเน่า จนกระทั่งงอกใหม่”

มนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายที่เราไม่ต้องการ ที่ถูกสาปแช่ง จะถูกเปลี่ยนใหม่เลย ไม่ได้ ต้องรอให้ร่างกายนี้มันเน่าเสียก่อน พระเจ้าจะทำให้ร่างกายที่เน่าไปแล้วนั้น เกิดใหม่ขึ้นมา เหมือนที่พระเยซูได้บังเกิดใหม่ เราจะได้รับร่างกายใหม่ตอนนั้นแหละ เอเมน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย

นี่คือความหวัง ร่างกายใหม่ ใหม่เอี่ยมเลย ร่างกายที่บริสุทธิ์ เป็นร่างกายที่มาจากสวรรค์ และเป็นวันที่พระเจ้าจะสร้าง ไม่ใช่ร่างกายเราใหม่อย่างเดียว ร่างกายเรามาจากดิน  พระเจ้าจะสร้างดินใหม่ให้กับเรา ดินที่เสียหายไป โลกใบนี้ที่เสียหายไป ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ ทุกชนิดที่เสียหายไป  ก็จะได้รับการกู้ขึ้นมาใหม่ ได้รับการช่วยให้รอดขึ้นมาใหม่ ถูกสร้างใหม่ เรียกว่าโลกใบใหม่ เยรูซาเล็มใหม่ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระองค์ ที่เราจะอยู่ที่นั่น กลับมาที่เดิม ไม่ต้องทุกข์ยากลำบาก ทั้งร่างกายและวิญญาณอีกต่อไป นิรันดร์เลย เอเมน

นั่นแหละ คือความหวังของเรา เป็นวันที่เราจะได้พักผ่อนอย่างจริงๆ เสียที ตามที่พระเยซูตรัสไว้ เป็นวันที่เราจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างแท้จริง ไม่ต้องแบกภาระอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการแบกภาระทางวิญญาณ หรือทางร่างกายนี้ ก็ตาม ไม่ต้องปวดเข่า ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นเก๊า ไม่ต้องเป็นจิปาทะโรค มันเยอะไปหมด เป็นไวรัสลงนั้น ลงนี้ ตับ ไต ไส้ พุง มีแต่วันเสื่อมเสียไปทั้งนั้น ทุกวันนี้เราจึงยิ้ม สามารถเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรามีความหวังที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปฐมกาลตอนแรกๆ  ที่ให้กับอาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคน ก่อนที่จะตกลงไปในความบาป เรามีความหวังตรงนั้น เราจึงหายเหนื่อยได้

ในโรม 8:24 บอกไว้อย่างนั้น สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งเรา ก็คือมนุษย์ … มนุษย์ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว ที่วิญญาณได้รับการไถ่แล้ว กำลังคร่ำครวญมากๆ เลย  รอวันแห่งการไถ่ถอนครบถ้วนบริบูรณ์จากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เอเมน เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ท่านเดินไป ท่านรู้ไหมต้นไม้ ใบหญ้า ทุกต้น กำลังสรรเสริญพระเจ้า

“พระเจ้า พระเยซูเสด็จกลับมาเถิด กำลังรออยู่”

ท่านเห็นหมา แมว นก ปลา หรืออะไรต่างๆ กำลังรอคอยวันที่พระเจ้าจะกลับมาไถ่พวกเราอีกครั้งหนึ่ง ทั้งโลกใบนี้ กลับคืนสู่สภาพดี ทุกวันนี้ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกข์ทรมานด้วยกันกับเรา คร่ำครวญมาพร้อมกับเรา เพราะว่าความบาปมันปกคลุม ความชั่วร้าย คำสาปแช่งมันปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

ลองไปอ่านในปฐมกาลช่วงเริ่มต้นกับวิวรณ์ช่วงท้ายๆ จะได้รู้ว่าสวรรค์ใหม่ หรือโลกใหม่ ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุขนั้น เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกไว้ว่าไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป นี่คือความหวังของผู้ที่รู้ความจริงของพระเจ้า และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์แล้ว และเป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์กลับไปอยู่กับพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง กลับไปเหมือนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ พระองค์ต้องการแค่นี้ กลับคืนมา คืนสู่สภาพเดิมหมดทุกอย่าง กลับมาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ มิน่าเขาถึงร้องเพลง …

“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

เห็นไหม? โลกหน้าเป็นบ้านของเรา แต่โลกนี้ไม่ใช่ โลกหน้า ก็คือสวรรค์ โลกนี้ คือนรกดีๆ นี่เอง เปาโลบอกว่า …

“ถ้าเลือกได้ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เพราะฉันรู้จักพระเจ้าแล้ว เห็นชัดแล้ว อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว อยากจะไปจากโลกนี้”

แต่ที่จำเป็นต้องอยู่ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้เปาโลสอนความจริง ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าเลือกได้เปาโลไปก่อนแล้ว พวกเราที่นี่เหมือนกัน ถ้าเลือกได้ เราไปเหมือนกันแหละ หมายถึงจิตใจมันสบาย แต่มันยังทำไม่ได้ ก็ว่ากันไป ถ้าทำไม่ได้ แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อนุญาตให้เราคิดอย่างนั้น ก็ให้เรามีห่วงอยู่ จะได้อยู่บนโลกใบนี้แบบมีภาระหน่อยหนึ่ง ภาระทำตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ให้กับเรา ดูแลลูกหลาน ดูแลการงาน ก็ว่ากันไป แต่ถ้าพระเจ้าให้เห็นชัดเจนบางอย่าง และพร้อม เราจะพูดเหมือนเปาโลว่าอยู่ก็ดี ถ้าไปก็ดีกว่า คิดแค่นี้ ก็มีความสุขแล้วนะ มันมีความหวัง และความหวังที่แท้จริง เพราะมันออกจากวิญญาณของเราด้วย มันไม่ใช่แค่พูดเฉยๆ

พอผมอธิบายอย่างนี้ ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน ที่อาจได้รับคำสอนมาแบบต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ก็จะเริ่มแย้งว่าทางวิญญาณจะหายเหนื่อย เป็นสุขได้อย่างไร? หมายถึงคริสเตียนเก่าแก่ ที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เล็กเลย คือพูดง่ายๆ เชื่อพระเจ้ามาตามพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างไร? ก็ฟังๆ บางทีตัวเองก็ไม่ได้คิด พอผมอธิบายอย่างนี้ ฟังแล้ว …

“จะเป็นไปได้อย่างไร? พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นคริสเตียนใครบอกหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ไม่จริงหรอก”

ไม่จริงเพราะว่า “ตั้งแต่ฉันรู้จักพระเจ้ามา พ่อแม่พามาโบสถ์ ฉันไม่เห็นมีอะไรหายเหนื่อยและเป็นสุขเลย”

เพราะอะไร?  “คิดดูสิ จะเล่นเกมก็ไม่ได้ วันอาทิตย์ก็ต้องมาโบสถ์ ไม่มาก็ไม่ได้ ต้องอธิษฐาน ไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ แล้วแถมยังต้องท่องพระคัมภีร์ ไม่ท่องก็ไม่ได้ ไม่อ่านก็ไม่ได้ โอ๊ย! มันยุ่งกว่าเก่าอีก ฉันไม่เห็นมีความสุขเลย ไม่เห็นหายเหนื่อยตรงไหน? มันหนักกว่าเดิมอีก”

จริงหรือเปล่า ไม่เป็นคริสเตียน ไม่เห็นมีกฎเหล่านี้เลย ตอนนี้เป็นคริสเตียน กฎเพิ่มขึ้นมาอีก จากถือศีลกี่ข้อๆ ตอนนี้เพิ่มมาอีก วันอาทิตย์ต้องไปโบสถ์ ถวายสิบลดอีก มันเยอะไปหมดเลย ดูหนังผีก็ไม่ได้ ดูแฮรี่ พอตเตอร์ก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร? ไปเที่ยวก็ไม่ได้ แล้วยังมาบอกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข มันไม่เป็นสุข มันหนักกว่าเดิม จริงไหม? จะมีคนถามท่านอย่างนี้ ใช่ไหม? ลูกๆ หลานๆ อาจจะถามท่านอย่างนี้

“ไหนพ่อ ไหนหายเหนื่อยเป็นสุขตรงไหน? เพื่อนเขายังเป็นสุขบ้าง ยังหายเหนื่อยมากกว่า”

นี่เรากลับกลายต้องอันโน้น ต้องอันนี้ เยอะไปหมดเลยหรือ? พระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้าม กฎต่างๆ มากมาย มัทธิว 5:21-47 ซึ่งพระเยซูเป็นผู้สอนเอง คนก็เอามาใช้เหมือนกัน แต่ใช้แบบไหนท่านลองคิดดู พระเยซูสอนตั้งแต่ห้ามฆ่าคน อย่าโกรธเคืองพี่น้อง อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง ใครว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ตกนรกทันทีเลย จงปรองดองกับศัตรู รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน พอเขาตบแก้มขวา เอาแก้มซ้ายให้เขาตบทันทีเลย  แล้วยังสั่งว่าห้ามล่วงประเวณี มีมองหญิงด้วยใจกำหนัด ก็ไม่ได้ ก็แค่คิด ก็ผิดแล้วนะ ห้ามหย่าร้าง อย่าสาบาน จงให้ผู้ขอ ขออะไรต้องให้หมด นี่เป็นกฎระเบียบทั้งนั้นนะ แล้วท่านคิดดูว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วท่านไปบอกลูกๆ หลานๆ หนุ่มๆ สาวๆ ว่านี่คือกฎระเบียบที่ต้องทำ แล้วถ้าท่านบอกว่าพระเยซูบอกว่าจะให้เธอหายเหนื่อยและเป็นสุข คนนั้นก็บอกมันเหนื่อยมากขึ้นนะเนี้ย มานั่งสู้กับความคิด จะคิดก็ไม่ได้ จะว่าเพื่อนว่าไอ้งั๋ง ตกนรกอีกแล้ว มันหนักกว่าเดิมใช่หรือไม่?

แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำนี้ ยิ่งหนักใหญ่เลย ซึ่งถ้าเราเอาไปสอนตรงๆ อย่างนี้ ตายเลยนะ ไม่มีคำว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูจบคำสอนในมัทธิว 5:48

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“จงดีพร้อม” แปลว่าเพอร์เฟค แปลว่าสมบูรณ์แบบ จงสมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า จงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  ต่อจากนี้ ออกจากบ้านใส่ชุดขาวอย่างเดียวเดิน คิดอะไรก็ไม่ได้ พระเยซูต้องการให้เราทำอย่างนั้นเหรอ นี่พระเยซูสอนเองนะ

พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำชีวิตของท่านให้ดีพร้อม ให้เพอร์เฟค เหมือนพระบิดาในสวรรค์ของท่าน คือต้องไม่มีบาปเลย ไม่เคยคิดบาปเลย และเหล่านี้ คือบทบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้นานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิมโน่นแล้ว อยากอยู่พวกเดียวกับพระเจ้า ก็ต้องทำเหมือนพระเจ้า ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ จึงจะเหมือนพระเจ้าได้

แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมายกเลิกบทบัญญัติเหล่านี้เหรอ มาเลิกศีลธรรมอันดีงานเหล่านี้ไปเหรอ ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้  เพราะว่าพระเยซูบอกในมัทธิว 5:17-20 ว่ากฎเหล่านี้ยังอยู่ ไม่ได้หายไปเลย

มัทธิว 5:17-20 ““ 17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

สั้นๆ ง่ายๆ ตรงนี้บอกว่ากฎของธรรมาจารย์เขาบอกว่าห้ามล่วงประเวณี แต่กฎธรรมบัญญัติพระเจ้า ในอาณาจักรสวรรค์บอกว่าคิดก็ไม่ได้ พวกฟาริสีเขาบอกแค่ไม่ล่วงประเวณี เขาเท่ห์มาก เขาเป็นคนที่สูงกว่าคนอื่น บริสุทธิ์ เขารักษาศีลได้ดีมาก พระเยซูบอกแค่นั้นไม่พอ ต้องสูงกว่านี้ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ แค่เธอคิดก็ไม่ได้ แว๊บหนึ่งก็ไม่ได้เลย ฟาริสีทำได้ไหม? ไม่แว๊บเลย นี่หมายถึงอย่างนั้น

กฎทั้งหมด ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่เพราะว่าพระเจ้าทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎนี้ได้หรอก พระองค์จึงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์มาทำแทน มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาปให้กับเรา บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบ ใครที่ต้องการไปสวรรค์ ต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย ถ้าทำได้ตามธรรมบัญญัติ ที่บอกไว้ทั้งหมด 1,000 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไปสวรรค์ได้ ยังอยู่ครบถ้วน แต่อีกทางหนึ่ง สิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้แล้ว บนไม้กางเขน ก็คือทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน ก็คือมนุษย์สามารถดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ไม่มีบาปได้ สามารถไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ได้ โดยความเชื่อในการกระทำแทนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำแทนเรา นี่มันยังอยู่ครบถ้วน ไม่ใช่กฎหายไป สำคัญมากเลย

สรุป ก็คือมนุษย์มีเหลืออยู่ 2 ทางทุกวันนี้ ในการดำเนินชีวิต ที่เป็นเหมือนพระเจ้าได้ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าได้ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้าได้ คือ …

(1) ทำตามกฎที่บอกมาทั้งหมดเลย ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จะได้สมบูรณ์พร้อม จะได้ไปสวรรค์ได้ อันนี้ถูกต้องเลย พระเจ้ายินดีต้อนรับ ประตูเปิด

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราแล้ว ที่ไม้กางเขน คือไถ่บาปเรา ชดใช้บาปเวรกรรมแทนเราไปแล้ว จะเอาอย่างไร?  อย่างที่หนึ่งต้องทำเอง อีกอย่างหนึ่ง คือเชื่อพระเยซูคริสต์ ทำให้เรา

ท่านก็รู้แล้วว่าอย่างแรกมันทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเรา ให้เราพูดที่ทำไม่ได้ ยอมรับเถิด ยอมถ่อมใจเถิด อย่าเย่อหยิ่งเลย  เชื่อพระเจ้าเถิดว่า …

“ฉันทำไม่ได้ ฉันขอความช่วยเหลือ ช่วยลูกด้วยเถิด ลูกขอพึ่งในพระองค์ ตกลงเป็นแพะรับบาปให้ลูกๆ ยอมเชื่อแล้วว่าพระองค์ไถ่บาปให้ลูก ลูกยอมสยบแล้วว่าทำเองไม่ได้”

พระเยซูก็ช่วยเขาทันที เขาก็รอด เพอร์เฟคทันที บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าทันที ได้สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันที และในขณะนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ใช้สิทธิของเรา  ที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าพวกเราได้เลือกทางที่ 2 ไปแล้ว แต่ก่อนเรายังอยู่ในทางที่หนึ่ง แต่ตอนนี้เราเลือกทางที่ 2 แล้ว คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้กับเราแล้วที่ไม้กางเขน และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ เรามีชีวิตที่ดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ที่วิญญาณของเรา ส่วนเนื้อหนังก็ว่ากันไป รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่มา ทุกวันนี้เดินไปที่ไหน วิญญาณเราก็แฮปปี้ ไชโย ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ชนะแล้ว แต่ในเนื้อหนังร่างกายจงถ่อมใจ จงรู้ว่ามันยังอยู่กับศัตรู มันยังอยู่กับสาปแช่งอยู่ ก็ประคับประคองมันไป รอวันไถ่ถอน

นี่คือชีวิตของคริสเตียนทุกคน ที่สมควรที่จะได้รับรู้ความจริงเหล่านี้  จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุขทางวิญญาณ 100% และหายเหนื่อย เป็นสุขทางร่างกาย คือทุกข์น้อยหน่อย ลำบากน้อยหน่อย มันรู้ความจริงแล้ว มันก็รับได้ ตั้งรับได้ ไม่ใช่ตั้งรับ กะว่ามาเชื่อพระเยซูไม่เจออะไรเลย  พอเจอแล้ว ไม่ไหว ตกใจใหญ่ ไม่ต้องตกใจ เจอก็รับได้ พระเยซูอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา มันต้องทุกข์ โอเค สู้กับมันไปเลย มันก็เบา วางลง ไม่ใช่ป่วยที ก็ …

“พระเยซูต้องรักษาๆ”

ถ้ารักษาอย่างนั้นได้ ป่านนี้ก็ไม่ต้องมีโรงพยาบาล 2,000 ปีไม่ต้องขอพระเยซูหรอก ถ้าทำได้พระเยซูทำให้แล้ว มันทำไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่สมัยโน่น จงรับรู้ความจริงนี้ สอนความจริงนี้แล้ว วิญญาณจะไม่ต้องห่วง ยอมแล้ว แต่ร่างกายเธอรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วดูแลให้ดีที่สุด พระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเราทีละนิดๆ ให้เราออกกำลังกายบ้าง กินข้าวตรงนั้น ตรงนี้ กินนั้นนิด กินนี้น้อยหน่อย เข้าใจไหม?  เพื่อประคับประคองให้ร่างกาย มันพออยู่ได้ แต่อย่าไปเทิดทูนร่างกายมัน ในที่สุด มันต้องตาย มันต้องเน่า เพื่อจะได้เกิดร่างกายใหม่ ต้นใหม่จะเกิดขึ้น เมื่อเมล็ดมันเน่า เอเมน เพราะฉะนั้น การตายจึงดีกว่าอยู่สำหรับคริสเตียน แต่ทั้งหมด ก็อยู่ที่การทรงนำของพระเจ้าทั้งสิ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2018 เรื่อง “ข่าวดีของพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2018

เรื่อง “ข่าวดีของพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งข้าราชการออกมาประกาศข่าวดีให้คนไทย และคนที่เป็นทาสเขา ประกาศว่า …

“มีข่าวดีมาบอก ใครที่เป็นทาส เป็นอิสระแล้ว ประกาศแล้ว เป็นอิสรภาพแล้ว”

หลายคนก็เชื่อ ออกมาเป็นอิสรภาพ หลายคนก็ไม่เชื่อ ก็ยังเป็นทาสเขาอยู่ คนที่เป็นเจ้านาย ก็ทำเป็นหูทวนลม ไม่จริงหรอกๆ ไม่กล้าออกไป จริงๆ คือมันคือจริงๆ

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วก็เหมือนกัน พระเยซูก็ประกาศ …

“มีข่าวดีมาบอก”

ข่าวดีของพระเยซูคืออะไร? สิ่งที่มนุษย์ต้องการ คืออยากไปสวรรค์

“ใครอยากไปสวรรค์บ้างยกมือขึ้น   เดี๋ยวนี้ไปสวรรค์ได้ทุกคนแล้ว  ไม่ต้องทำเองแล้ว  ทำเองก็ไปไม่รอด ทำเองก็ไปไม่ได้ วิธีง่ายนิดเดียว มาเชื่อเราเลย”

นี่คือข่าวดี สมัยพระเยซู

“ใครอยากไปสวรรค์บ้าง ยกมือขึ้น”

เพราะมนุษย์ทุกคนอยากไปสวรรค์ทั้งนั้น มีใครบ้าง เกิดมาบอก …

“ฉันอยากไปนรก”

พระเยซูบอก … “ง่ายนิดเดียว ทำด้วยตัวเอง ทำไม่ได้หรอก เหนื่อยเปล่าๆ แค่โกรธคน ก็ตกนรกแล้ว  โกรธครั้งเดียวตกนรกแล้ว”

มานั่งคิด ตกนรกแน่ เราโกรธคนแค่นี้ ก็ตกนรกแล้วใช่ไหม? แค่ว่าคนว่าโง่ ก็ตกนรกแล้ว ไม่ได้ไปสวรรค์แล้ว มานั่งคิดอีกที ตลอดชีวิตเราจะไม่โกรธใครสักคนจะได้ไหม? และยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะมากมาย ไม่เอาดีกว่า มาเชื่อพระเยซูดีกว่า ก็เลยได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอกทางพระเยซูเป็นทางใหม่  ทางเก่าๆ ที่มนุษย์หามาตลอด มันไม่มีทางไปหรอก เพราะต้องทำด้วยตัวเอง  ทำด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ไม่มีทางไป  ทำด้วยตัวเองไม่ได้ ก็มาพึ่งเราสิ เราให้ฟรีๆ เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อในสิ่งที่เราทำเท่านั้นเอง นายไม่ต้องทำ เชื่อแค่สิ่งที่เราทำให้ จบ โอเคไหม? สมัยปัจจุบัน ที่เป็นวัยรุ่น ก็ต้องบอกว่า …

“นายไม่ต้องทำอีกต่อไปแล้ว นายเชื่อในสิ่งที่เราทำ โอเคไหม?”

ถ้าโอเค ก็จบ นี่ไปสวรรค์ง่ายๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งสิ้น  มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาดได้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนพยายามตั้งใจทำอยู่แล้ว ก่อนพระเยซูมาเกิด มนุษย์ก็ตั้งใจ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป จะรู้แบบจริงๆ หรือไม่รู้จริงๆ แต่ข้างในสำนึกในวิญญาณ เขาบอกตัวเองว่าเขาเป็นคนบาป เขาอยากบริสุทธิ์ เขาอยากจะสะอาด และเขาก็พยายามทำด้วย ทำทุกวิถีทางเลย มันก็ได้ระดับหนึ่ง ประมาณหนึ่ง แต่น้อยมากเลย พอพระเยซูมาประกาศทำแค่นั้น เราต้องทำอีกเยอะ ไม่ไหวหรอก เหนื่อยเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ถ้าทำไม่ได้ ก็มาพึ่งเราสิ ดีกว่า เราทำให้ฟรีเลย พระเจ้าให้มาฟรีๆ เลย ไปสวรรค์ฟรีๆ แล้วเธอจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน พยายามทำตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าใครก็ตามที่อยากไปอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าสวรรค์เป็นของพระเจ้า เพราะว่าใครก็ตามที่อยู่ในสวรรค์ได้ คนนั้นต้องเป็นเหมือนพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ว่าใครคำหนึ่งว่าไอ้โง่ก็ไม่ได้ คิดสกปรกลามกก็ไม่ได้ แค่คิดก็ไม่ได้แล้ว คิดเกลียดใครก็ไม่ได้แล้ว

นี่คือลักษณะของพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก ใครทำได้บ้าง สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ มีใครทำได้? ไม่มีเลย ใช่ไหม? พระเยซูบอกเนี้ย กฎง่ายนิดเดียว ใครอยากไปอยู่ในสวรรค์ ก็ต้องทำเหมือนกับเจ้าของบ้าน  … เจ้าของบ้าน คือพระเจ้า เป็นเจ้าของสวรรค์ พระเจ้าบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ท่านจงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้า สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า แล้วจึงไปสวรรค์ได้ และใครทำได้? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ ทำอย่างไรล่ะ พึ่งในพระเยซูดีกว่า แค่นี้เอง พึ่งในพระเยซู

พอพึ่งในพระเยซู ในโลกวิญญาณ เราก็ถูกย้ายมา ถูกชำระด้วยฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูที่ได้ไถ่บาปแทนเรา เป็นแพะผู้รับบาป เอาบาปของเราไปแล้ว เราก็ถูกฟอกจนสะอาดหมดจด ก็ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ที่พระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้าเลย เหมือนหรือยัง? เหมือนแล้ว ในพระเยซูเราสะอาด ขาวหมดจด ไม่มีมัวๆ ไม่ใช่มาอยู่ในพระคริสต์ แล้วยังเป็นเทาๆ ไม่มีเทา มีแต่ขาว … ขาวเหมือนใคร? ไม่กล้าพูดเลย ขาวเหมือนพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราบริสุทธิ์ดีพร้อมในพระเยซู ทำให้เราบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว โดยที่พระองค์ทรงตายแทนเราที่ไม้กางเขน รับเชื่อแค่นี้ เราก็ดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในครอบครัวของพระเจ้าได้แล้ว แค่นี้ เรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีมีแค่นี้

มองให้ชัดๆ เวลามอง มองตรงนี้ให้ชัดๆ ในโลกวิญญาณ ในโลกนี้มี 2 อาณาจักร อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความมืด  ซึ่งไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่ได้เรียกว่าสวรรค์ เรียกว่าอาณาจักรของความมืด  อีกอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเจ้า เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ เรียกว่าสวรรค์ อยากอยู่ที่ใดล่ะ? ถ้าอยากอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์ สะอาด สีขาวนี้ เป็นสีแห่งตัวแทนของความบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีจดดำด่างพร้อย แม้แต่จุดเดียว ก็ไม่มี ทำได้ไหม?  ทำไม่ได้ ก็มาพึ่งพระเยซู ทำไม่ได้ ก็มาพึ่งซะ  ถ้าเราทำด้วยตัวเอง อย่างไรมันก็ด่างพร้อยอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็มีดำๆ อยู่นั้นแหละ ซึ่งอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเยซูบอกต้องดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  คล้ายๆ พระเจ้าก็ไม่ได้ ใกล้เคียงพระเจ้าก็ไม่ได้ ต้องเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์ขนาดไหน? ที่เราร้องเพลง เราต้องบริสุทธิ้อย่างนั้น แล้วเราทำได้ไหม?  ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พึ่งในพระเยซู นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน 2,000 ปีมาแล้ว และจะพูดต่อไป จนกระทั่งสิ้นโลกนี้ เอเมน

 

*********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018 เรื่อง “ความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018

เรื่อง “ความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            พระเยซูบอกไว้ในหนังสือมัทธิวบทที่ 11 ข้อ 28 ว่า …

มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

 

ผมยกข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มาอ่านให้ฟังเช้านี้ เพราะได้ฟังจากนักประกาศท่านหนึ่งบอกว่ามี คริสเตียนเขียนไปถามอย่างนี้า …

“ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่ต้องทำตามข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ มากมาย ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ห้ามพูดโกหก  ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ห้ามดูหนัง Harry Potter ห้ามเล่นเกมส์  ห้ามกินเหล้า    ห้ามไปเกี่ยวข้องกับความเชื่ออื่นหรือศาสนาอื่น   ….  มีอีกเยอะแยะ ที่ทั้งห้ามทำ และอีกเยอะแยะที่ต้องทำ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎข้อบังคับเหล่านี้ พระเยซูก็จะพูดว่าไม่รู้จักท่าน  และท่านจะต้องถูกส่งไปยังบึงไฟนรก

เมื่อเราตอบเรื่องทางโลกวิญญาณหรือทางวัตถุ ถ้าทางวัตถุ มันทำไม? มันเหนื่อยอยู่แล้ว  มีใครไม่เหนื่อยบนโลกใบนี้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้ว ถ้อยคำพระเจ้าจริง ถ้าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริงทั้งหมด  การเป็นอยู่บนโลกใบนี้ เหนื่อย แสนยาก แสนทุกข์ มันเป็นเรื่องจริงด้วยเช่นเดียวกัน  ถูกหรือเปล่า? ถ้าตรงนี้เป็นเรื่องจริง ทางวิญญาณพระเยซูบอกว่าใครมาเชื่อพระเยซู ทางวิญญาณเขาจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ก็เป็นจริงด้วย เอเมน

เพราะฉะนั้น เวลาถามสวัสดีปีใหม่ ทำตามธรรมชาติ ทางโลกวัตถุ

“สวัสดีปีใหม่ครับ เป็นอย่างไร? เมื่อปีที่แล้วเหนื่อยไหม?”

ต้องตอบว่า … “เหนื่อย” มันจริง

ชีวิตอะไรบนโลกใบนี้ อะไรบ้างที่ไม่เหนื่อย  ปัญหามันยุ่งยาก เอาแค่ทานอาหารอย่างเดียว ก็ยุ่งแล้ว  ปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด วุ่นวายไปหมด เรื่องโน้นเรื่องนี้ มันยุ่งไปหมดเลย  มันต้องเหนื่อยอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ปีที่แล้วเป็นอย่างไร? เรียนหนังสือเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ดูแลลูกเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ทำมาหากินเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ตอบไปเถอะ เหนื่อย

บางคนเขาไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว จะพยายามสอนคริสเตียนบอกว่า “ไม่เหนื่อย”  … “ดีมาก” … “ยอดเยี่ยม” มันไปฝืนความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้สอนเราให้ฝืนความเป็นจริง พระเยซูบอก อะไรจริง ก็บอกว่าจริง อะไรใช่ ก็บอกว่าใช่ เหนื่อยไหม? เหนื่อยสิ แต่วิญญาณไม่เหนื่อยครับ ตอบเป็นจริงหมดใช่ไหม? ไม่ใช่คริสเตียนเป็นคนที่ขวางโลก

ทำไมวันนี้ผมจึงยกข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมา ที่พระเยซูบอกมัทธิว 11:28 ว่า …

มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

 

มันจริงๆ ทางโลกวิญญาณนะเนี้ย ที่ยกข้อนี้มาให้ฟังเช้านี้ เพราะได้ฟังจากนักประกาศคนหนึ่ง มีคริสเตียนเขียนไปถามอย่างนี้ว่า …

“ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่ต้องทำตามข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ มากมาย ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ห้ามพูดโกหก  ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ห้ามดูหนังผี ห้ามดูหนังไสยศาสตร์ ห้ามดู Harry Potter ห้ามดูทีวี ห้ามเล่นเกมส์  ห้ามกินเหล้า ห้ามไปเกี่ยวข้องกับความเชื่ออื่นหรือศาสนาอื่น มีอีกเยอะแยะ ที่ถูกถามว่าต้องทำ หรือต้องไม่ทำ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎข้อบังคับเหล่านี้ พระเยซูก็จะพูดว่าไม่รู้จักท่าน  และท่านจะต้องถูกส่งไปยังบึงไฟนรก”

อย่างนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยสันติสุขและหายเหนื่อย

อย่างนี้หายเหนื่อยไหม? ท่านลองฟังอย่างนี้ มันจริงไหม? หายเหนื่อยไหมถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตแบบนี้หรือที่เรียกว่าชีวิตที่หายเหนื่อยและเป็นสุข คริสเตียนคนนี้เขาถามนักประกาศ

ผมเลยอยากจะถามท่านในใจ ขณะนี้ว่าท่านเป็นคริสเตียนหรือยัง? และท่านเคยถามปัญหาข้อนี้ไหม? แบบนี้ไหม? เคยไหม? ในใจท่านคิดแบบนี้ไหม? เพียงแต่ไม่มาถามผม เพราะไม่กล้า แต่ถ้าเจอจริงๆ คงกล้าถาม …

“ไหนอาจารย์บอกเป็นสุข ไม่เห็นเลย อันนั้นก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้ ทำไมมันยุ่งไปหมดเลย ไม่เห็นแตกต่างอะไรกับก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซูเลยนะ ตอนที่อยู่ในความเชื่ออื่นๆ แต่ก่อนนี้ เขาก็บังคับมาตลอด แต่พอมาหาพระเยซู ก็บังคับ ไม่ใช่บังคับธรรมดา เพิ่มขึ้นอีก เพราะสมัยก่อนวันอาทิตย์ยังไปดูหนังได้ เดี๋ยวนี้วันอาทิตย์ถูกบังคับให้มาโบสถ์อีกต่างหาก หนักขึ้นไปอีก นี่เฉพาะข้อเดียวนะ แต่ก่อนวันอาทิตย์ไม่ไปสถานที่เรามีความเชื่อกัน ก็ไม่เห็นมีใครเขามาว่าอะไร? เดี๋ยวนี้เรามาเป็นคริสเตียน มีความสุขมากเลย พอวันอาทิตย์มีธุระหรือไม่ค่อยอยากจะมา มีคนบอกว่าขาดโบสถ์พระเจ้าไม่ชอบนะ ตายแล้ว ทำอย่างไร?”

อย่างนี้เรียกว่าชีวิตที่หายเหนื่อยและเป็นสุขหรือ? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้เหมือนกัน

ถามว่าพระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้ามและกฎต่างๆ ที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมดนั้น กฎบังคับต่างๆ ถามว่าในข้อพระคัมภีร์ได้สอนเป็นข้อห้ามจริงหรือไม่?  คิดให้ดีๆ ก่อนตอบ ข้อบังคับที่ตะกี้นี้บอก วันอาทิตย์ต้องมา วันสะบาโตต้องมาโบสถ์ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับลัทธิอื่นๆ ห้ามโกหก มีหรือไม่มี นึกในใจ ผมจะตอบให้ท่าน ท่านจะตกใจเลย  มีจริงๆ และไม่ใช่มีธรรมดา จะยกตัวอย่างให้ มีอย่างที่พระเยซูสอนเลย พระเยซูบอกเลยว่าต้องทำอย่างนี้ เอาล่ะสิ

มัทธิว บทที่ 5 ใครๆ ก็รู้ดี เขาเรียกว่าคำสอนบนภูเขา ที่พระเยซูสอนเองว่าถ้าอยากจะเป็นคริสเตียน อยากจะเป็นลูกพระเจ้า จะติดตามพระองค์ ต้องทำนี้ ในข้อ 21-47 ผมเอามารวมๆ กัน ยกตัวอย่าง เพื่อจะได้สั้นๆ ยกตัวอย่าง พระเยซูสอนเองเลย เช่น

–  ห้ามฆ่าคน   พระเยซูสอนคนตอนนั้นว่าห้ามฆ่าคน    ไม่ใช่สอนแค่นั้น  พระเยซูบอกไม่ใช่ห้ามฆ่าคนอย่างเดียวนะ เพราะรู้ในนั้น มีพวกชาวยิวมากมาย ที่เชื่อพระเจ้าแล้วสมัยนั้น เขาไม่ฆ่าคนอยู่แล้ว แต่พระเยซูบอกถ้าจะให้บริสุทธิ์จริงๆ ตามกฎของพระเจ้าจริงๆ คือห้ามฆ่าคนไม่พอ ยังห้ามโกรธพี่น้องอีก

–  อย่าโกรธเคืองพี่น้อง โกรธก็ไม่ได้ โกรธ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง  ดูหมิ่นก็ไม่ได้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว

–  ห้ามแม้กระทั่งว่าด่าเขาว่าไอ้โง่ เราก็ตกนรกแล้ว

ฟาริสีตกใจ … “ฉันว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว รักษาดี นี่ว่าเขาก็ไม่ได้เหรอ”

–  จงปรองดองกับศัตรู  รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน  ใครตบแก้มขวา  ยื่นแก้มซ้ายให้ตบด้วย เจ็บแสบเข้าไปในทรวง

“ฉันว่าฉันทำตั้งเยอะได้แล้วนะ ฉันก็อภัยให้เขาได้นะ แต่จะให้ฉันยื่นหน้าอีกทีให้เขาตบนั้น มันทารุณจิตใจนะ มันจะทำได้ไหม?”

พระเยซูบอกต้องทำอย่างนี้ ถ้าอยากเป็นลูกของพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้

–  อย่าล่วงประเวณี เพราะพระเยซูรู้ พวกนี้ไม่ล่วงประเวณีอยู่แล้ว เพราะรักษาตามกฎระเบียบพระเจ้าอยู่แล้ว ได้แค่นั้นก็เท่ห์แล้ว พระเยซูบอกแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าอยากเป็นลูกพระเจ้า อยากอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ล่วงประเวณีแค่นั้นไม่พอ เพราะว่าแค่มองหญิงด้วยใจกำหนัดก็เท่ากับล่วงประเวณีไปแล้ว  พวกนั้นสะดุ้งตกใจเลย  เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ! นี่พระเยซูพูดเอง แค่มอง ก็คิด ก็เท่ากับล่วงประเวณีไปแล้ว

“อย่างนี้ที่ฉันเท่ห์ๆ มา ฉันนึกว่าฉันเท่ห์ รักษากฎระเบียบเหล่านี้ได้ รักษาศีลเหล่านี้ได้ มันก็ไม่ได้เรื่องเลยสิ”

เขาคิดในใจ บางคนก็โกรธพระเยซูนะ เหมือนพูดแทงใจดำ บางคนได้ยินพระเยซูไม่โกรธ แถมทุบอกตีหัวตัวเอง

“พระเยซูช่วยฉันด้วย  ฉันทำไม่ได้จริงๆ ช่วยฉันด้วย อย่างนี้ใครจะทำได้ล่ะ”

คือยอมรับเลยว่าทำไมไม่ได้ อีกพวกหนึ่งโกรธ เห็นไหม พระเยซูสอนเอง

พวกฟาริสีรักษากฎระเบียบ รักษาศีลเขาบอกว่า …

–  ห้ามหย่าร้างภรรยา ยกเว้นมีเหตุผล ค่อยหย่าได้  เขาเขียนกฎของเขาไว้อย่างนั้น  ซึ่งจริงไหม? จริง แต่เขาบอกว่าท่านมีเหตุผลพอ ก็หย่าได้ ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาไปมีคนอื่น เราก็ไปแต่งงานกับคนอื่นได้ พระเยซูแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพอร์เฟค สมบูรณ์ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า แต่งงานแล้วต้องไม่มีหย่า หย่าไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นอะไร ต้องรับตลอด เพราะว่าพระเยซูบอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก อดทนนาน  ยอมหมดทุกอย่าง อภัยให้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น หย่าก็ไม่ได้

พวกนั้นบอก แล้วจะทำได้อย่างไร? เห็นไหม? พระเยซูสอนหมดว่าสิ่งเหล่านี้ต้องทำ

–  อย่าสาบาน

–  จงให้แก่ผู้ที่ขอ  เขาขอเสื้อ ให้อะไรกับเขาด้วย เขาขอเสื้อตัวหนึ่ง ให้เสื้อไม่พอ เอาเสื้อคลุมไปให้ด้วย  เขาบอกช่วยยกของให้ 1 กิโลฯ เขาบอกยกให้ 10 กิโลฯ เขาบอกช่วยเดินไปตรงนั้นกับเขา 1 กิโลฯ เราเดินไปกับเขา 20 กิโลฯ อะไรประมาณนั้น

นี่คือสิ่งที่เป็นกฎข้อบังคับที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ นี่เห็นไหม? มนุษย์คิดว่าเขาเองทำได้ พระเยซูเลยบอกเขาว่านี่ทำได้ไหม? อย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ มีข้อ มีกฎระเบียบจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ด้วย แสบไปถึงทรวง มัทธิว 5:48 บอกว่า

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น พวกท่านจงดีพร้อม เหมือนพระบิดา คือพระเจ้าของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“เหมือน” นะ ท่านต้องดีเหมือนพระเจ้าเลย บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คำว่า “ดีพร้อม” มาจากภาษาอังกฤษว่า “เพอร์เฟค” แปลว่าสมบูรณ์แบบ ท่านต้องสมบูรณ์แบบ แบบพระเจ้าเลย ท่านถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้ พระเยซูบอกอย่างนั้น  เห็นไหม? สอนไหม? สอน บังคับไหม? บังคับ คือถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำให้เพอร์เฟค ดีพร้อม  เหมือนพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ คือต้องไม่มีบาปเลย

เหล่านี้  คือบทบัญญัติ ที่พระเจ้าวางไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม วางไว้ตั้งแต่ตอนโน้นเลย ตั้งแต่สมัยมนุษย์ตกลงไปในความบาปใหม่ๆ วางมาตลอด ซึ่งเราก็รู้ว่าทำไมได้ไหมมนุษย์? ทำไม่ได้ แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ ถามว่าในพระคัมภีร์เมื่อพระเยซูมา พระเยซูมายกเลิกข้อบังคับเหล่านี้หรือ?  จึงทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ยกเลิกไหม? คิดให้ดีๆ พระเยซูมายกเลิกไหม? ฟังต่อไปว่าพระเยซูมายกเลิกไหม?

พระเยซูมายกเลิกหรือ? จึงได้บอกว่ามาหาพระเยซู แล้วหายเหนื่อย ไม่ได้อยู่ใต้กฎข้อบังคับเหล่านี้แล้ว แสดงว่าพระเยซูมายกเลิกหรือ?

ตอบว่า … “เปล่าเลย”

พระองค์ไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้ กฎทั้งหมดเหล่านี้ยังคงอยู่ และทุกวันนี้ยังคงอยู่ และยังคงอยู่ตลอดไป พระองค์อธิบายให้เราฟังในพระคัมภีร์ บันทึกไว้อย่างนี้  พระเยซูพูดเองนะ มัทธิว 5:17-20 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

มัทธิว 5:17-20 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติหรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ  เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน  18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน  ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว   ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

ครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จครบถ้วนคืออะไร?  ก็คือดีพร้อม คือเพอร์เฟคเหมือนพระเจ้า

ในนี้บอกว่าหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ จะไม่มีสูญหายเลย ก่อนหน้านั้น แม้คำว่าด่าเพื่อนๆ ว่าไอ้โง่ แค่นี้ก็ยังอยู่ เราเคยด่าเพื่อนว่าไอ้โง่ไหม? มีใครเคยด่า ยกมือขึ้น ตกนรกหมด  ตามพระคัมภีร์บอก พระเยซูบอกไม่สูญหายไปไหน? จากหนังสือเลย ผู้ใดฝ่าฝืน แม้กระทั่ง ข้อเล็กน้อยที่สุด เล็กน้อยไหมด่าเพื่อนว่าไอ้ไง่เอ่ย เล็กน้อยไหม?  เล็กน้อย อยู่ในนรกไหม? อยู่ ก็บอกแล้วพระเยซูพูดเอง แล้วยังไปสอนคนอื่นอีกบอกว่าด่าไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้ตั้งใจด่าเขาจริงๆ โดนไหม? โดน คราวนี้ยุ่งแล้ว จบตอนนี้ไม่ได้ ทุกคนกลับไปงง นอนไม่หลับ ไปอยู่ในสวรรค์หรืออยู่ในนรก ก็ไม่รู้

แล้วในนี้บอกว่าเพราะเราบอกความจริงว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้ เพราะเหล่าฟาริสีและธรรมาจารย์ เขาพึ่งในการกระทำของเขา เขาบอกเขาไม่ฆ่าคนแค่นี้ เขารักษาศีล ไม่ฆ่าคน เขาก็ได้ความดีงาม เขานึกว่าเขาไปสวรรค์แล้ว แต่พระเยซูบอกยังไม่พอ ความชอบธรรมที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์ในนี้บอกว่าต้องมากกว่าการไม่ฆ่าคนอีก …

“ตายแล้ว ฉันจะเอาแก้มขวาให้เขาตบยังไม่ไหวเลย ฉันจะทำได้หรือ?”

ลองฟังต่อไป พระเยซูสอนอย่างนี้  กฎทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน ถูกไหม? อย่างที่บอก ไม่มีวันสูญสิ้นไปเลย  ตราบจนโลกนี้สูญสิ้น มันถึงจบไป จบเลยบริบูรณ์อยู่ตลอดเวลา

แต่พระเจ้าก็ทรงทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก พระเยซูก็ทราบ พระเจ้าก็ทราบ จึงแทงใจดำไปเลยว่าทำไม่ได้หรอก พวกท่านทำไม่ได้ พระองค์จึงส่งพระเยซู คือพระบุตรของพระองค์มาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ทุกคน ทำแทนมนุษย์ทุกคน ฟังให้ดีๆ นะ บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน ใครที่ต้องการไปสวรรค์จะต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลยนะ ถ้าทำได้ตามบทบัญญัติที่บอกไว้ทั้งหมด หลายพันข้อที่บันทึกไว้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ใครตบหน้า เอาไปอีกข้างหนึ่ง ตบอีกข้างหนึ่ง เอาไปอีกข้างหนึ่ง ใครขออะไร? ให้ไปหมดเลยทุกอย่าง ไม่เคยคิดสกปรกเลย ไม่เคยคิดดูว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วเกิดการกำหนัดเลย ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดเลย เป็นคนตายด้านอะไรอย่างนี้ ไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยด่าใคร ไม่เคยหงุดหงิดใคร ไม่เคยเลยนะ คนเหล่านั้น ได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอก ถ้ารักษาได้ครบ คำว่าเพอร์เฟค สมบูรณ์ ครบ จุดหนึ่งก็ไม่ได้ ขีดเล็กๆ น้อยๆ ขีดหนึ่งก็ไม่ได้

คราวนี้พระเยซู ในพระคัมภีร์บอกว่าแต่มีอีกทางหนึ่งนะ เขาเรียกกันในพระคัมภีร์ว่าทางใหม่ เคยได้ยินไหม? ทางใหม่ มีอีกทางที่จะไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีอีกทางหนึ่ง ทางใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าทางใหม่  หรือพันธสัญญาใหม่ คุ้นไหม? หรือทางนั้น หรือทางพระเยซู คือสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้มนุษย์แล้วที่ไม้กางเขน ได้ทำให้เกิดผลเช่นเดียวกันกับการรักษาบทบัญญัตินั้นให้ได้ครบถ้วน คือทำให้เราเป็นคนดีพร้อม เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย และสามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้นั่นเอง นี่มีอีกทางหนึ่งมาให้เลือก ไม่บังคับ อยากไปทางไหน?

สรุป ก็คือมนุษย์มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ในการดำเนินชีวิตให้ดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนบาป มีอยู่ 2 ทางพระเยซูให้เลือก …

(1) รักษาบทบัญญัติที่ตะกี้นี้บอกไว้นะ ที่ตะกี้อธิบายให้ฟังนะ ตบแก้มซ้าย เอาแก้มขวาให้เขาตบ มองเห็นความกำหนัด ก็ตกนรก ว่าเพื่อนว่าไอ้โง่ ตกนรกนะ … รักษาบทบัญญัติหลายพันกว่าข้อ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน    ชำระเราให้บริสุทธิ์ สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์

จะเอาอย่างไหน? อย่างหนึ่งทำด้วยตัวเอง ด้วยกำลังของตัวเอง ทำได้ไหม? ไม่ด่าเพื่อนได้ไหม? ไม่หงุดหงิดไหวไหม? ถ้าคิดว่าไหว ก็ทำไป ถ้าไม่ไหว พระเจ้าบอกมีทางเลือกที่ 2 ให้

และเมื่อใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู เป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าเขาได้เลือกทางที่ 2 แล้ว ตอนใครเลือกทางที่ 2 แล้ว ยกมือขึ้น ผมก็เลือกทางที่ 2 เพราะผมรู้ว่าผมทำไม่ไหว ผมให้เขาตบอีกแก้มหนึ่งไม่ไหวจริงๆ เอาแค่ตบแก้มหนึ่ง ผมก็จะมองหน้าแล้วนะ ถ้าตบผมจะสู้แล้วนะ แต่วิญญาณผมให้อภัยแล้วไง แต่เนื้อหนัง มันทนไม่ไหว มันพยายามอยู่ แต่มันได้แค่นี้ สมัยก่อนไม่ด่าตอบ เดี๋ยวนี้ ทนไม่ไหว จริงๆ ก็ด่าตอบ พยายามไม่ด่าตอบ บางทีมันแรงมาก ต้องด่าตอบ หงุดหงิด สมัยก่อนหงุดหงิดไป 1 อาทิตย์ เดี๋ยวนี้ดีขึ้น หงุดหงิดไปแค่ 2-3 วันเอง แต่ก็หงุดหงิด อย่าว่าแต่ด่าเขาว่าไม่โง่เลย ด่ามากกว่านี้อีก ถ้าจะตกนรก ต้องหลุมไหนก็ไม่รู้ ผมมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูดีกว่า มันหายเหนื่อยดี ก็คือใครที่เป็นคริสเตียน ก็คือมาเชื่อ เลือกเอาข้อ 2 คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้ว และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ ผมและท่านที่ได้รับเชื่อในพระเยซู เลือกทางที่ 2 แล้ว มีชีวิตที่เพอร์เฟค ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า และมั่นใจในตัวเองเลยว่าขณะนี้ ผมอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว แล้วจะอยู่ในพระเยซูตลอดไปเลย เอเมน

เพราะฉะนั้น โลกนี้ทั้งโลก เมื่อใครรู้อย่างนี้ และใครเลือกทางที่ 2 แล้ว ทุกปีเขาจึงฉลอง และร้องเพลงนี้ว่า …

“ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี   มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซู เสด็จลง ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ให้เรา ให้เรา ร้องเพลงสรรเสริญ”

ใช่หรือเปล่า? แล้วถ้าเราเลือกทางที่ 1 เราก็คงร้องว่า …

“ชาวโลกทั้งหลายทุกข์ทรมานกันดีกว่า”

มันทรมาน ที่ถามมันเรื่องจริง อยู่บนโลกนี้มันทรมาน พระเยซูจึงบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านจะได้พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่จงยินดีเถิด  เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว เพราะพระเยซูชนะโลกแล้ว เราเชื่อพระเยซู เราจึงชนะไปด้วย ท่านเลือกเอาแล้วกัน ผมตั้งใจจริงและอธิษฐานให้ท่านมาตลอด และใครก็ตามบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เลือก ให้เลือกทางที่ 2 คือเลือกพระเยซู เอเมน

 

*********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เตรียมพร้อมที่จะรับของขวัญปีใหม่จากพระเจ้าหรือยังครับ? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็บอกล่วงหน้าว่านี่เป็นของขวัญปีใหม่ ตั้งใจฟังให้ดีๆ รวมกับคำบรรยาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับวันนี้ ถือว่าเป็นของขวัญ เป็นพระพรปีใหม่ที่พระเจ้ามาให้กับเราจริงๆ มีค่ามากมาย มากจริงๆ มากกว่าถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 มากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งโลกเลย อันนี้มากที่สุดเลย และสามารถที่จะถ่ายทอด เป็นมรดกให้กับลูกหลานด้วย

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” ซึ่งเราจะมาต่อกันกับซีรี่ย์ชุดเดิม โลกวัตถุ คือโลกที่มองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย

ในครั้งที่แล้ว เราได้เน้นกันถึงเรื่องความจริงแห่งกฎทางโลกวิญญาณ … โลกวิญญาณ คือตรงกันข้ามกับโลกวัตถุ โลกวิญญาณ คือไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สัมผัสได้ด้วยวิญญาณเท่านั้น

พระคัมภีร์บอกไว้ ในโรม 8: 1 ว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย กฎของความบาปความตาย คือการตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ ใครก็ตาม ที่อยู่ในความบาปในความตาย ต้องโทษนี้อยู่ แต่พระเยซูคริสต์สามารถทำให้คนนั้น เป็นอิสระ จากความบาปและความตายได้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เนื่องจากกฎของโลกวิญญาณมันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เราจึงต้องเตือนตัวเองด้วยถ้อยคำพระเจ้า ให้ตัวเองได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่านี่คือกฎของวิญญาณนะ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้นะ ใครทำ ก็ได้พระพร กฎนี้ บอกไว้ว่าอย่างนี้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู”

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ      แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้เรา พ้นจากบาปและความตาย”

เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต คือวิญญาณฉันมีชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยกับพระเยซู ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ พ้นจากกฎของความบาปและความตาย พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า พ้นจากการเป็นกบฏต่อพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เอเมน

เมื่อสักครู่ที่เราร้องเพลงกันนั้น นั่นคือกฎในโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ ซึ่งใครผู้ใดที่เชื่อในกฎความจริงในโลกวิญญาณอันนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เขาแล้ว คือเป็นแพะรับบาป ให้กับเขา เพราะฉะนั้น เขาก็พ้นจากบาป ไม่มีบาปอีกต่อไป คือได้รับอิสรภาพ เป็นไทไม่ต้องเป็นหนี้สินใคร ไม่ต้องใช้หนี้ ที่เราเรียกกันว่าหนี้บาปเวรกรรมกับใครอีกแล้ว เพราะพระเยซูใช้ทดแทนให้กับฉันเรียบร้อยไป หมดแล้ว เอเมน

ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร จากกฎนี้ ไม่ได้ผลของกฎนี้ ก็คือไม่ได้อิสรภาพ ไม่ได้เป็นไท ยังคงมีหนี้บาป เวรกรรมติดตัว ที่ต้องชดใช้ต่อไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นนั่นเอง ไม่มีใครสามารถช่วยได้ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้ากฎนี้มีอยู่จริง มันก็ต้องเป็นไปตามนี้

และอย่างที่ผมเกริ่นไว้ครั้งที่แล้วว่าถึงแม้ว่าใครคนใด คนหนึ่ง หรือเราจะรับเชื่อแล้ว ทางวิญญาณว่าเชื่อในกฎของวิญญาณในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ได้รับความรอดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตเรา เมื่อได้รับความรอดทางกฎของโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เราจะได้รับอิสรภาพต่อไปบนโลกใบนี้เลย จะทำอะไรก็ได้ ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่ได้รับผลอะไรทั้งสิ้นเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันมีอีกกฎหนึ่ง ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

กลับมาที่เก้าอี้ 2 ตัวเหมือนเดิม โลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะนี้ คนที่เชื่อในสิทธิในโลกฝ่ายวิญญาณ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นแพะรับบาป คนที่เชื่ออย่างนี้ เขากำลังเชื่อว่าพระเจ้าพูดความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระเยซูคริสต์มองไม่เห็น วิญญาณมองไม่เห็น แต่เราเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเอาบาปของเราไป เอาหนี้ เอาสิน ที่เราต้องชดใช้บาปเวรกรรม เอาออกไปแล้ว พอเราเชื่อ เราใช้สิทธิของเรา  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ไม่เป็นคนบาป เมื่อไม่เป็นคนบาป เราจึงสามารถกลับมาอยู่กับพระเจ้า มาคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้าได้

นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ที่ตาเราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ สัมผัสไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ขึ้นมาให้ท่านได้เห็นภาพ เล็งถึงว่าทางฝั่งสีขาว นี่คือโลกทางวิญญาณ ส่วนสีดำข้างๆ นี้คือโลกทางวัตถุ ที่เรามองเห็นทุกวันนี้ และขณะเดียวกัน มีโลกทางวิญญาณปกคลุมอยู่เหนือตรงนี้ด้วย คือขณะที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ … มนุษย์เป็นวิญญาณ แต่ร่างกายเป็นโลกวัตถุ ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือวัตถุที่สร้างโลกใบนี้ ที่เราเรียกกันว่าดิน

“ดิน” ตัวนี้ ภาษาเดิมแปลว่าดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ได้ถูกสร้างเป็นขึ้น แต่วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น มนุษย์มีส่วนประกอบของการเป็นวิญญาณ และอยู่ในร่างกาย เป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งเดียวในมหาจักรวาล หรือในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้างเพียงสิ่งเดียว ที่มีลักษณะเป็นเช่นนี้ คือเป็นวิญญาณ และเป็นสสาร วัตถุ สิ่งของ รวมกันอยู่ในชีวิตเขา ชีวิตเดียว นอกจากมนุษย์แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกใบนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้เลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร?  เพราะว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ว่ามนุษย์เท่านั้นที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่เป็น ต้นไม้ไม่เป็น หินไม่เป็น

ขณะที่มนุษย์เป็นวิญญาณบนโลกใบนี้ มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีส่วนประกอบ 2 สิ่ง ก็คือสัมผัสทางโลกวิญญาณ ด้วยวิญญาณของเขา สัมผัสโลกวัตถุด้วยร่างกายของเขา สัมผัสร้อนเย็น มองเห็นวัตถุสิ่งของด้วยร่างกายของเขา แต่สัมผัสทางวิญญาณ ติดต่อกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้าทางวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า ซึ่งอยู่นิรันดร์ตลอดไป  ส่วนจะอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ต้องเป็นศัตรูกับพระเจ้านิรันดร์ ก็คืออยู่นิรันดร์ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านิรันดร์ ในพระคัมภีร์จึงบันทึกว่ามันมีทั้งสองกฎเลย  กฎที่มองเห็นกับกฎทางวิญญาณ ซึ่งกฎของวิญญาณ มันจบตรงที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

แม้ว่าเราจะได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิของเราแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ร่างกายของเรายังเป็นร่างกายที่เป็นทาสของบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม แต่วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว วิญญาณเราไม่ได้อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป วิญญาณเราไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป แต่เนื้อหนังร่างกายยังไม่ตาย ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และยังตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม

นี่คือปัญหาที่เราจะต้องเรียนรู้ความจริงตรงนี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสรภาพมากขึ้นในทางโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ ได้พระพรมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร?  ไม่อย่างนั้น เราไม่รู้เรื่องเดินสะเปะสะปะ พอมาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เนื้อหนังก็เป็นลูกพระเจ้าด้วยมั้ง เพราะฉะนั้นจะกินอะไร? จะทำอะไร? ก็ไม่ต้องสนใจเลย เพราะเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าคุ้มครองหมด ไม่ใช่เลย มันยังแยกกันอยู่ ร่างกายก็ยังต้องดำเนินตามกฎของร่างกาย ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้ว สาปแช่ง คือไม่ได้พร ไม่ดี ร่างกายมันสูญเสีย มันเสียหายไปแล้ว มันไม่ได้เหมือนกับตอนที่พระเจ้าสร้างเรามาใหม่ๆ แต่สิ่งที่ได้รับการสร้างใหม่ คือวิญญาณเราต่างหาก ที่มันใหม่เอี่ยม ตาม 2 โครินธ์ 5:17 วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว เป็นนิวครีเอชั่น เป็นความใหม่เอี่ยม ที่ถูกสร้างขึ้นมา เกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เอเมน นี่ตามองไม่เห็น

แต่สิ่งที่ตามองเห็น คือร่างกายเราดูในกระจก ตัวเราเหมือนเดิมหมดเลย เราเชื่อพระเจ้ามา 30 ปีก็เหมือนเดิม แก่ลงด้วย  เพราะว่ามันอยู่ในคำสาปแช่ง คือคำที่ไม่ดี อยู่ในการถูกลงโทษอยู่ มันยังรับโทษของมันอยู่ พร้อมๆ กับโลกใบนี้ทั้งใบ ที่มันเป็นโลกวัตถุยังไม่ได้ถูกไถ่ออกมา แต่โลกวิญญาณได้ถูกไถ่แล้ว เอเมน วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว อย่างไรเราก็ไปสวรรค์ ตอนนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว นี่ใช้ความเชื่อเอา ตามพระคัมภีร์บอก

ส่วนทางเนื้อหนังร่างกายเรา ยังเป็นปกติเหมือนเดิม ยังถูกสาปแช่งเหมือนเดิม รอการฟื้นฟูใหม่ รอการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ บนโลกใบนี้แล้ว คือร่างกายเราหมดลมหายใจ พระเจ้าไม่ใช้ร่างกายเราแล้ว จบงานของเราแล้ว วิญญาณเราออกจากร่าง นั่นแหละ จบสิ้น พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับเราแล้ว นั่นคือการเป็นอิสรภาพ รอดทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายร่างกายของเรา แต่ถ้าเรายังไม่ตาย พระเยซูมาก่อน ก็จบสิ้นเหมือนกัน  เราก็จะทิ้งร่างเดิมนี้ แล้วไปรับร่างใหม่ จากพระเยซู จากพระเจ้า ในสวรรค์ เหมือนกัน เอเมน

นี่คือพื้นฐาน เพื่อท่านจะเห็นภาพชัดเจน คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ ซึ่งใครก็ตามที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เรากำลังอยู่ในกฎของโลกวิญญาณ คือได้รับความรอด จบไปแล้ว แต่เนื้อหนัง ร่างกายของเขา ยังต้องดำเนินอยู่ในกฎของโลกวัตถุ ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้วอยู่ อย่าเอามาผสมกันมั่ว ท่านจะงงไปหมดเลย นี่ก็อยากได้  ทำไมพระเจ้าไม่ให้ ไหนบอกจะให้ บางคนไม่เข้าใจ นึกว่าพอเราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ทางโลกวิญญาณแล้ว พอเรารับเชื่อ ทางโลกวัตถุ เราจะดีไปหมดเลย ทุกอย่าง เข้าใจผิด ไม่ใช่เลย เราก็ยังไม่ทิ้งตรงนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเราได้ภาษีดีกว่า ผู้นำเรา ที่อยู่ในวิญญาณ พลังที่อยู่ในวิญญาณเรา คือพระเจ้าจะเป็นพี่เลี้ยงเรา จะช่วยเรา โดยบอกเราว่าตรงนี้เป็นอย่างนั้น ตรงนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะดีที่สุดหรือไม่ดีที่สุด ก็ตาม เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่ถูกสาปแช่งอยู่ดี

คราวนี้มาถึงกฎของโลกวัตถุ ที่สัมผัสแตะต้องด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราเรียกกันว่ากฎแห่งการหว่าน กฎธรรมชาติ ซึ่งพระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าหว่านออกไป ท่านปาอะไรออกไป มันจะกระเด้งกลับมา ยังไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราหว่านอะไรออกไป เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราให้สิ่งดีๆ หรือทำแต่สิ่งที่ดีๆ ออกไป มันก็จะสะท้อนถึงสิ่งที่ดีๆ กลับมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรมันคือดี เพราะบางครั้งดีของเรา กับดีของพระเจ้า มันไม่เหมือนกัน เรานึกว่าของเราอย่างนี้ดี แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ เลวมากกว่าที่คนอื่นที่เขาเห็นอีก เพราะเราอาจจะเย่อหยิ่งอยู่ในขณะนั้น เราไม่รู้ตัว และขณะนั้น เรากำลังโลภอยู่ เรานึกว่าเราทำดีอยู่ ไม่ใช่เลย พระเจ้าบอกขยะแขยง พระเจ้าบอกอย่างนี้ก็ได้  ขณะที่คิดว่าเราเท่ห์มากเลย เราอดอาหารสัปดาห์ละ 3 วัน  เราถวายสิบลด เป็นประจำ สม่ำเสมอไม่เคยขาด เราบริจาคไม่มีการหยุดหย่อนเลย เรามาช่วยงานที่โบสถ์เกือบทุกวันเลย แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่าทั้งหมดที่เราทำ มันไม่ได้จริงใจเลยสักอย่าง แม้กระทั่ง เราหลอกตัวเราเอง ตัวเราเองยังไม่รู้เลย ทำไปนั้น เพื่ออะไร?

ยกตัวอย่าง พระเจ้าบอกจงให้ออกไป โดยที่มือซ้าย อย่าให้มือขวารู้ อย่าไปบอกใครเลย เงียบๆ ไว้ สอนอะไร? สอนเรื่องความบริสุทธิ์ข้างในใจ ที่เราทำออกไปทั้งหมด ที่ความดีทั้งหมดนั้น  เราหวังว่าจะได้สิ่งโน้นสิ่งนี้กลับมา มันเป็นการเย่อหยิ่ง เราต้องการเกียรติ เราต้องการมากขึ้น  เราต้องการความโลภมากขึ้น เราจึงให้ออกไป เราคิดว่าให้ออกไป เราจะได้ 100 เท่ากลับมา นี่เห็นไหม?  เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังทำอะไร? เรานึกว่าเรากำลังให้ออกไป แต่จริงๆ ข้างในใจลึกๆ ของเรา คือเราให้ออกไป เพื่อหวังว่าจะได้พร พระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ จริงๆ ไม่ได้สัญญาอย่างนั้นหรอก เราคิดเอง ให้ออกไป แล้วได้ 100 เท่ากลับคืน ถ้าพระเจ้าสัญญาอย่างนี้ ป่านนี้คริสเตียนรวยที่สุดในโลกแล้วนะ 100 เท่ากลับคืน ที่นั่งอยู่ที่นี่ ป่านนี้เรานั่งเรียนอยู่ในอวกาศแล้ว เพราะว่าเรามีเงินเยอะมาก แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม? แต่บางคนเขาคิดอย่างนั้น พอเขาคิด เขาให้ออกไป ดูท่าทาง ดูเหมือนดี แต่มันไม่ดีสำหรับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คำว่า “หว่าน” หรือ “ให้ออกไป” หรือ “มอบออกไป” หรือทำอะไรออกไป ที่คิดว่าเราดี จะได้สิ่งดีกลับมา หมายถึงดีในทางพระเจ้า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ดีนั่นในทางพระเจ้าหรือไม่? หรือดี ในทางตัวเราคิดเอง เรารู้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ เพราะพระคัมภีร์เป็นพิมพ์เขียวที่พระเจ้าเขียนเอาไว้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างทั้งหมด พระองค์ทรงทราบดีทุกอย่าง และพระองค์ต้องการให้ลูกของพระองค์ มนุษย์ทุกคนได้สิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรจะเชื่อตรงนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ เราก็ได้สิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าเราทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเรา เราก็จะได้สิ่งที่พระเจ้าบอกว่าจะได้

ยกตัวอย่างที่เราพูดถึงเรื่องการให้ออกไป ถ้าเราให้ออกไปตามใจจริงเลย ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทนเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ พระเจ้าบอกเราได้เต็มที่เลย ได้สันติสุขในใจ เอเมน ถ้าเราไปหวังทรัพย์สิ่งของมากมาย บ้ากันไปใหญ่ โลภไม่มีวันจบสิ้น เราจะไม่ได้สันติสุข

เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แบบปลอดภัยที่สุด ก็คือดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพิมพ์เขียวของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เขียนบอกเรา สอนเราในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ ซึ่งเกี่ยวกับโลกวัตถุ บอกหมดเลย ทุกอย่างที่จำเป็นต่อเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา แนะนำเราในพระคัมภีร์นี้  ถ้าเราเชื่อตรงส่วนไหน? เราก็จะได้รับพระพรในส่วนนั้น ส่วนที่ยังไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับพระพร หรืออาจจะได้รับคำสาปแช่ง อาจจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี มากหรือน้อยไม่รู้ อะไรที่บอกว่าตามพระคัมภีร์ แล้วเราจะได้สิ่งที่ดี เราก็จะได้สิ่งนั้นเหมือนกัน

สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้า ให้ราบเรียบ 7  อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว”

 

นี่คือข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ ผมชอบตรงนี้ที่สุดเลย

“อย่าคิดว่าตนฉลาด”

มันใช่เลย วันแรกที่ผมอ่านข้อนี้ มันแทงเข้าไปในหัวใจจี๊ดเลย  อย่าคิดว่าตนเองฉลาด แสดงว่าพระเจ้ารู้ว่าเราชอบคิดว่าตัวเองฉลาด และจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราเถียงพระเจ้าอยู่เรื่อยเลย ง่ายๆ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีจริงๆ เราบอกว่าไร้สาระ มองก็ไม่เห็น เชื่อพระเจ้าทำไม? หัวเราะเยาะเขาอีกต่างหาก ก่อนที่เราจะเชื่อ จริงหรือไม่จริง? มนุษย์ก็อย่างนี้ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด เขาบอกว่า …

“พระเยซูเป็นแพะรับบาปให้กับเธอแล้ว ไถ่บาปเธอเรียบร้อยแล้ว”

“บาป ก็เป็นของฉัน ฉันควรจะชดใช้ด้วยตัวของฉันเองสิ”

อย่างนี้ เขาเรียกว่าตนเองฉลาด แต่พระคัมภีร์บอกอย่าคิดว่าตัวเองฉลาด จงยำเกรงในพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาบาปของเธอออกไปแล้ว ไถ่บาปให้เธอแล้ว จงเชื่อตามนี้ นี่ยำเกรงในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ด้วย

“จงยำเกรงในพระเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว” ก็คือจงเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า และหนีจากความชั่ว บางคนนึกว่าความชั่ว หมายถึงผิดศีลธรรมแค่นั้น ไม่ใช่ ความชั่วตรงนี้หมายถึงสิ่งที่ไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือความบาปนั่นเอง คืออะไรที่ต่อต้าน ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่แนะนำเราไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ยำเกรงพระเจ้า ตรงที่เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ รวมทั้งตัวเราด้วย เราไม่เชื่อ นี่แหละ ในพระคัมภีร์บอกเรากำลังทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรากำลังทำบาป บาปตัวนี้ แปลว่าต่อต้านกับพระเจ้า

วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างว่าพิมพ์เขียวที่พระเจ้าได้วางไว้ให้กับเรา พอจะมีอะไรบ้างที่เราจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับพระพรทางด้านวัตถุ เพื่อเราจะได้รับพระพร และได้รับความสงบสุข … สุขทางใจ สุขทางกายขึ้นด้วยในระหว่างการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ แม้ว่าวิญญาณจะจบสิ้นไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เป็นลูกพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ในร่างกายนี้ การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ด้วย

ในพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่พระเจ้าสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความพอเพียง ความรัก การให้อภัย แม้กระทั่งเรื่องอาหาร และการดูแลสุขภาพ

ตัวอย่างเรื่องอาหาร การดูแลสุขภาพ สำคัญมาก การดำเนินชีวิต ไม่ใช่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ เสร็จแล้วในที่สุด เราก็ได้รับผลของการกระทำนั้น สุขภาพก็เสื่อมโทรม ทุกข์ทรมาน ไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่าที่ควร จะได้ หรือจะเป็น

เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ พระเจ้าก็ทรงออกแบบพิมพ์เขียวของร่างกายมนุษย์ไว้หมดแล้ว แล้วก็สอนด้วยว่ามนุษย์ควรจะทำอย่างไร? เพื่อให้มีสุขภาพดี ควรกินอาหารอย่างไร? ควรใช้ชีวิตอย่างไร? ควรมีอารมณ์ มีความคิดอย่างไร?  อยู่ในพระคัมภีร์นี้ทั้งหมดเลย  ถามว่าทำไมพระเจ้าต้องเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถ้าเผื่ออาดัมและเอวาบรรพบุรุษเราไม่ตกลงไปในความบาป และนำพาพวกเราไปอยู่ในการสาปแช่งในโทษของความบาปนั้น พระเจ้าไม่ต้องเขียนอะไรเลย แต่นี่พระเจ้าต้องเขียนบอกมนุษย์ เพราะมนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ตกลงไปในความบาปแล้ว พระเจ้าเขียนไว้ เพื่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ได้มีโอกาสอยู่แบบทุกข์น้อยหน่อย ไม่ใช่หมดทุกข์ เพราะมันยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ถ้าเราตั้งใจและดูแลในเรื่องสุขภาพ หว่านในด้านสุขภาพ ตามพระเจ้าบอกไว้ หว่านการเลือกอาหารที่ดีๆ ที่มีประโยชน์ หว่านการออกกำลังกาย ที่พระเจ้าบอกว่ามันมีประโยชน์ และวางไว้เป็นกฎ ให้เหงื่อมันออก จะได้เก็บเกี่ยวความเจริญรุ่งเรืองทางสุขภาพร่างกายได้บ้าง? แต่ยังต้องตายอยู่ดี แต่มันไม่ทุกข์ทรมานมากนัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็ได้บอกเรา เตือนเราในเรื่องนี้  ไม่ใช่ว่าพอมาเป็นคริสเตียน ก็ไม่สนใจ ไม่ดูแลสุขภาพ กินอะไรก็ได้ ฝากไว้ที่พระเจ้า

แต่ก่อนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง จะกินกาแฟวันละหลายแก้ว

“ทำไมกินได้?”

“ไม่เป็นไรหรอก เราวางมือในนามพระเยซู เอาพิษออกไป แล้วกินเลย”

แล้วเป็นไง? ไม่รู้ อย่าไปทำแล้วกัน มันไม่ใช่วิธีนั้น เราชอบคิดของเราเอง เป็นอย่างนี้

ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสุขภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เจ็บป่วยอีกเลย ฟังให้ดีๆ ตราบใดที่พระคัมภีร์เป็นจริง ตราบนั้น มนุษย์ทุกคนต้องป่วยแน่นอน ถ้าไม่ป่วย และมันจะแก่ได้อย่างไร? ถ้าไม่แก่ แล้วมันจะตายได้อย่างไร? นี่เฉพาะกรณีพิเศษว่าตายก่อนแก่ อุบัติเหตุ เรื่องไม่ธรรมดา การแก่ ก็คือการป่วยนั่นแหละ ท่านเข้าใจไหม?

“ฉันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร?”

แก่ลง ก็คือเจ็บป่วยแล้วล่ะ วันนี้กับเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนบอกไม่ต่าง กับ 10 ปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนไม่ต่าง กับ 20 ปีที่แล้วล่ะ แล้ววันนี้กับ 20 ปีอนาคต ต่างกันไหม? ต่างกันแน่นอน ความแก่คือความป่วย เพราะคำสาปแช่ง น่าจะดีใจ แสดงว่าถ้อยคำของพระเจ้าเป็นจริงอีกแล้ว

“แม้ฉันจะเชื่อพระเจ้า อธิษฐานตั้งเยอะ พยายามทำตามที่พระเจ้าบอกตั้งเยอะ แต่ฉันยังป่วยอยู่ ฉันจงดีใจว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง”

มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่มีใครชนะตรงนี้ได้เลย ไม่มีใครทำยาอายุวัฒนะ ทำอะไรก็ตาม ที่ชนะตรงนี้ได้เลย  เพราะว่ามันเป็นคำสาปแช่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ถ้าคำสาปแช่งนี้เป็นจริง พระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน มาไถ่บาปฉันทางวิญญาณนั้น ก็เป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน เพราะผู้บอก ผู้สอน ก็คือผู้เดียวกัน คือพระเจ้านั่นเอง

ในหนังสือปฐมกาลมีบันทึกไว้ว่าพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพร คืออาหารที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์  มนุษย์ก็เปลี่ยนไป คำสาปแช่งเข้ามา หลังจากเกิดน้ำท่วมโลก ที่น้ำท่วมโลก เพราะมนุษย์ทำชั่ว วุ่นวายไปหมดเลย พระเจ้าเศร้าใจมาก ล้างโลก ด้วยน้ำท่วมโลก

หลังจากน้ำท่วมโลก พระเจ้าก็เริ่มอนุญาตให้มนุษย์สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ แต่กำหนดไว้ว่าสัตว์อะไรกินได้ อะไรไม่ควรกิน อะไรที่เป็นโทษต่อร่างกาย ก็อย่าไปกินมัน อะไรที่เป็นโทษน้อยหน่อย ก็กินมัน เพราะจริงๆ เธอไม่ควรกินอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันวุ่นวายไปหมด อนุญาตให้กินได้ เอาแค่นี้พอ

สิ่งที่พระคัมภีร์สอนว่าอย่ากินมีอะไรบ้าง? ว่ามันจะเป็นโทษ? ตัวอย่างเช่น ปลาที่ไม่มีครีบ ปลาที่ไม่มีเกล็ด เช่นปลาไหล หรือปลาที่มีหนวด เช่นปลาดุก รวมทั้งหอย ปู กุ้ง เป็นต้น เหล่านี้ พระคัมภีร์บอกอย่ากิน … กินแล้วมันจะเป็นโทษนะ เพราะสัตว์เหล่านี้ กินแต่ของเสีย กินแต่ของสกปรก เป็นเทศบาลที่พระเจ้าให้ไว้บนโลกใบนี้ เพื่อกำจัดของเสีย ท่านลองนึกภาพแล้วกัน เท่ากับท่านกำลังกินขยะเข้าไปทุกวันๆ เดี๋ยวเที่ยงนี้กินขยะไหม? ไปชายทะเลกินอะไร? กินหอย ปู กุ้ง กินขยะ นี่หมายถึงตามพระเจ้านะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม นี่ผมอ่านพระคัมภีร์ให้ท่านฟัง

สัตว์ใหญ่ เช่น แกะ แพะ รับประทานได้ แต่สัตว์ที่เท้าไม่มีกีบ และไม่เคี้ยวเอื้อง อย่ากิน เท้าไม่มีกีบ ไม่ได้เคี้ยวเอื้อง อย่างเช่นอูฐ เป็นสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง แต่เท้ามันไม่มีกีบ เหมือนเท้าช้าง หรืออย่างหมู เป็นตัวที่แยกกีบ คือมีกีบ แต่มันไม่ได้เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์ที่มีมลทิน กินไม่ได้ ฟังอีกที หมูกินไม่ได้ หมูไม่ควรกิน นี่ผมไม่ได้พูดนะ พระคัมภีร์บอก แล้วที่พระคัมภีร์บอกไม่ให้กินหมูเพราะปัจจุบันเรารู้แล้วว่าหมู นิสัยมันสกปรก มันเป็นสัตว์สกปรก

พูดง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นภาพว่าพระเจ้าบอกไว้ทั้งหมด นี่เป็นกฎนะ คือใคร ก็ได้ ไม่เชื่อพระเจ้าทำ ก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎระเบียบอยู่ ในหนังสือเลวีนิติ มีข้อห้ามว่าห้ามกินเลือดสัตว์ และห้ามกินไขมันสัตว์ เราลองอ่านดู

เลวีนิติ 7:22-27 “22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 23 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘อย่ากินไขมัน ไม่ว่าไขมันจากวัว แกะ หรือแพะ 24 ไขมันจากสัตว์ที่พบเมื่อตายแล้ว หรือถูกสัตว์ป่าทำร้าย อาจจะใช้ทำอย่างอื่นได้ แต่อย่ากิน 25 ผู้ใดกินไขมันจากสัตว์ ซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยไฟ จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา 26 และไม่ว่าเจ้าอาศัยที่ไหนก็ตาม  ห้ามกินเลือด ไม่ว่าเลือดนก หรือเลือดสัตว์ใดๆ 27 ถ้าผู้ใดกินเลือด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจาก หมู่ประชากรของเขา’”

 

พระเจ้าบอกห้ามกินไขมันสัตว์ ไขมันนั้นให้ถวายพระเจ้า ถามว่าพระเจ้าอยากได้ไขมันไปทำอะไร? ไม่ใช่เลย ต้องการช่วยเรามากกว่า ไม่ให้เรากิน เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ากินไขมันมากๆ มันเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา ร่างกายของเราไม่เหมือนเดิมแล้ว มันวุ่นวายไปหมดแล้ว พยายามบอกลูกๆ ว่านี่คือพิมพ์เขียวที่บอกให้ว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากสิ่งเหล่านี้ มนุษย์เพิ่งจะมารู้จักไขมันเมื่อไม่นานมานี่เองนะว่าไขมันอะไรดี อะไรไม่ดี และไขมันมากๆ มันไม่ดีอยู่แล้ว แต่พระเจ้าสั่งมนุษย์ไว้ตั้งนานว่าอย่ากิน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สิ่งเหล่านี้เป็นข้อห้าม เป็นกฎบังคับ แต่พอพระคัมภีร์ใหม่ เราก็มีอิสรภาพในการกินอาหาร พระเยซูยกเลิกกฎต่างๆ หมดแล้ว แต่มีกฎหลายอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ยกเลิกจริงๆ เพราะโลกวิญญาณเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว แต่กฎทางวัตถุ มันยังคงอยู่

คำว่า “คงอยู่” ก็คือกฎอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส แต่มันมีผลเกี่ยวกับทางโลกวัตถุ มันยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าร่างกายวัตถุเรายังไม่ได้ถูกไถ่ถอนออกมา มันยังอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าแนะนำอะไร มันยังเป็นประโยชน์อยู่ อย่ามาเหมารวมกันว่าพระเยซูยกเลิกกฎ เพราะฉะนั้น หมูกินได้ เอ๊า! กินไปสิ  เพราะฉะนั้น อะไรที่พระเจ้าบอกกินไม่ได้ กิน ปลาดุกกินได้ ก็กินไปสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้สึก ในปัจจุบัน ก็พิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสัตว์ต่างๆ เหล่านี้มันสกปรกจริงๆ

นี่คือสติปัญญาจากพระเจ้าล้วนๆ ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ว่าแปลนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา อะไรมันถูกกับเรา อะไรมันผิดกับเรา จากร่างกายที่เป็นอัจฉริยะเหมือนพระเจ้า ตอนนี้เป็นร่างกายที่ถูกบาปครอบหงำ ถูกคำสาปแช่งอยู่ มันสมควรจะดูแลร่างกายอย่างไร?  พระเจ้ารู้หมด แล้วก็แนะนำเรา อะไรที่เหมาะ อะไรที่ไม่เหมาะ อะไรที่ควร อะไรที่ไม่ควร บอกหมดเลย เราก็น่าจะตามพระเจ้าดีที่สุด เพื่อจะเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับสุขภาพร่างกายของเรา ไม่ใช่ว่าพอพระเจ้าบอกไม่ เราก็จะกิน แล้วบอกว่าเราใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ ถ้าเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อจริงๆ เชื่อทั้ง 2 กฎ ไม่ใช่เชื่อกฎเดียว คือกฎในโลกวิญญาณ ก็ว่าได้รับความรอด กฎทางวัตถุ ก็เชื่อว่าอย่ากิน มันต้องเป็นโทษกับเรา เราก็ไม่กิน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าถ้ากิน แล้วเราจะตกนรก ไม่ใช่ เรากิน เราก็เพียงทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากกว่าธรรมดาเท่านั้นเอง มันก็ไม่ควรใช่ไหม? เพราะเวลาทุกข์จริงๆ แล้วเราก็ปวดใจ ปวดตัว ปวดกายจริงๆ เราก็เดือดร้อนคนอื่นจริงๆ แล้วถึงเวลานั้นเราก็ครางมาจริงๆ ว่า …

“ช่วยทีๆ รู้อย่างนี้ ไม่กิน ก็ดี รู้อย่างนี้ ออกกำลังกาย ก็ดีแล้ว”

รู้อย่างนี้ๆๆๆๆ ตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น ก่อนจะรู้อย่างนี้ ก่อนมันจะเกิดเหตุ เราอดทนเชื่อ แล้วก็วางใจในพระเจ้า แล้วก็พยายามทำตามพระเจ้า ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดีไหม? มันดีกว่า ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย  แล้วก็ไม่ใช่ว่าเคร่งมากเลย กินไม่ได้ อย่ากินเลือดนะ พระเจ้าห้าม ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น หมายถึงแนะนำเราว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ถ้าเราไม่เชื่อ ก็เก็บเกี่ยวความทุกข์ลำบากร่างกายไปบ้าง? แค่นั่นเอง มันไม่ได้หมายถึงการตกนรก

ทุกวันนี้ รู้ไหมว่าอาหารประเภทไหนดี? มีประโยชน์ต่อร่างกาย? อาหารประเภทไหนไม่ดี? มีโทษต่อร่างกาย? รู้ไหมว่าของหวานๆ มากๆ ของทอด ปิ้ง ย่างเกรียมๆ ดำๆ น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวเยอะแยะไปหมด ทานเยอะๆ เข้าไป มีโทษต่อร่างกาย รู้ … รู้ว่าไม่ดี แล้วยังทาน เพราะมันอร่อย … อร่อย แปลว่ามันบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอยากกิน เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้วไง มันอยากจะเอาโทษใส่ร่างกาย มันอยากจะเอาสิ่งที่ไม่ดีใส่ร่างกายตลอดเวลาเลย มันบังคับไม่อยู่ เพราะว่ามันเป็นทาสของความบาป และคำสาปแช่งอยู่ วิญญาณเราสะอาดหมดจด รับใช้พระเจ้าอยู่ แต่เนื้อหนังร่างกายรับใช้ความบาป

เปาโลพูดเองในหนังสือโรม บทที่ 7 “ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า วิญญาณข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ รับใช้พระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้าหมด ยอมพระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่อยู่นี้ มันเอเมนกับกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อะไรที่แย่ๆ ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันเอาหมด นี่คือสงครามที่อยู่ในตัวเราทุกวันนี้ เราจึงพูดกับกระจกอยู่บ่อยๆ ไงว่าหมูกินน้อยๆ หน่อย ต้องพยายามสู้กับมัน

พระเจ้ารู้หมดว่าวิสัยบาป ที่อยู่ในร่างกายของเราเป็นอย่างไร? พระเจ้าจึงบอกไว้ในสุภาษิต 23:2 ว่า …

สุภาษิต 23:2 “ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า”

 

ท่านรู้ไหมคำว่า “จ่อมีดไว้ที่คอ” เป็นสำนวนโบราณ ภาษาฮีบรู มีความหมายว่า “จงบังคับตัวเองไว้” ในที่นี้ต้องบอกว่าจงบังคับปากของตัวเองไว้ บางครั้งก็เป็นตัวเอง ให้นึกถึงภาพเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เรา ที่ชอบกินไม่หยุด นึกถึงภาพใครที่เราเตือนแล้วไม่เชื่อ แล้วก็หันไปหาเขานิดหนึ่ง แล้วก็บอก เพราะว่าถ้าไม่บังคับ เคยได้ยินใช่ไหม? ปากพาไปสู่ความจน ปากพาจน อันนี้ปากพาสู่โรค ทุกข์ลำบากมากขึ้น ทำให้ถูกต้องตามพระเจ้า ก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่อยู่ๆ ไปเพิ่มทุกข์มากขึ้น

เห็นไหมครับว่ามนุษย์ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้า เสียเงิน เสียเวลากับงานวิจัยมากมายมหาศาล กว่าจะค้นพบว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษ แต่ข้อมูลเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เลย เพราะมนุษย์สู้กับกิเลสตัณหา รู้ แต่ทำไม่ได้ พระเจ้าบันทึกมาเป็นพันๆ ปีแล้ว เรารู้จากพระเจ้า และเรามีกำลังจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเราอธิษฐานขอพระเจ้า เราก็จะมีโอกาสทำได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะมีผู้ช่วย พระคัมภีร์จึงบอกผู้ช่วยเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยช่วยเรา ช่วยให้เราทำสงครามทางกิเลสตัณหา ให้เราชนะมันบ้าง ก็ยังดี แทนที่จะแพ้มันตลอด แทนที่จะกินมันตลอด ทุกทีกิน 2 ห่อ ตอนนี้กินมันเหลือครึ่งห่อพอ ตั้งใจจะกินให้เหลือครึ่งของครึ่งอีกที วันสุดท้ายจะชนะมัน และไม่กินอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ชนะจริงๆ

นอกจากเรื่องอาหารที่เราชอบกันแล้ว สิ่งที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ ก็คือการใช้ชีวิต เรื่องอารมณ์ ถ้อยคำพระเจ้าก็สอนเราอีกแหละ เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร? จัดการกับอารมณ์ความคิดเราอย่างไร? ซึ่งเป็นศัตรู เป็นมะเร็งอีกอันหนึ่งที่ทำร้ายร่างกายของเรา  เรื่องอารมณ์ทุกตำราแพทย์ก็บอกว่าถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว มีแต่เครียด ก็มีโอกาสสูง ที่จะเจ็บป่วย เป็นโรค ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคกระเพาะอาหาร โรคความดัน เพราะสภาวะทางอารมณ์มีผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากเลยทีเดียว ในปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์รู้กันหมดแล้ว แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งเหล่าอย่าทำ สิ่งเหล่านี้เป็นโทษกับเราหลายพันปีแล้ว … แล้วเราเชื่อไหม? เราไม่เชื่อหรอก

พระคัมภีร์บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก รู้จักให้อภัย  เพราะถ้าโกรธใคร? แค้นใคร? จิตใจเราก็ไม่สงบ มีแต่ความเครียด พิมพ์เขียวของพระเจ้าจึงบอกว่าอย่าโกรธข้ามวันข้ามคืน อย่าให้ตะวันตกดิน แล้วยังโกรธเขาอยู่ เพราะมันจะทำให้อารมณ์ไม่ดี ทำให้เครียด หลับไม่สนิท เครียดหนักๆ เข้าก็ป่วย คนที่เราโกรธ เขาไม่เป็นไร? แต่เราโกรธเขา เราก็เครียด เราก็ป่วย  เพราะเราไม่สงบ และสงบไม่ได้ เพราะว่าเรามีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราต้องรู้ก่อนว่าศัตรูเราคือใคร? มันพยายามเร้าเราอย่างนี้  เราต้องเข้ามาหาพระเจ้า แล้วสู้กับมัน พระเจ้าจะบอกเราว่าวิธีที่จะทำให้ไม่โกรธคืออะไร? คือให้อภัย เห็นไหม? พอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราให้อภัยไม่ได้ เราก็รีบไปเปิดถ้อยคำพระเจ้าฟังเอา เราก็รีบเปิดอ่านถ้อยคำพระเจ้า แล้วก็อธิษฐาน …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ให้อภัยเขา”

ดูในกระจก ให้อภัยเขาๆ มันก็เริ่มสู้กัน แล้วเราตั้งใจบ่อยๆ เราก็เริ่มชนะ แล้วก็ทำได้ มากหรือน้อยไม่เป็นไร? มันเป็นประโยชน์กับเรา ทำน้อย ก็ได้ประโยชน์ แต่อาจจะได้น้อยหน่อย  ก็ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ตลอด ไม่มีการไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษากฎเหล่านี้อยู่ ให้เป็นไปตามกฎ ไม่มีทางว่าท่านไม่ได้ ถ้าท่านทำแล้ว ได้แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นวันสะบาโต วันที่เรามาโบสถ์ วันอาทิตย์ พระเจ้าจึงบอกว่าต้องมีวันสะบาโต คืออาทิตย์หนึ่ง ให้หยุด 1 วัน  เพราะพระเจ้ารู้แล้วมนุษย์ตกลงไปในความบาป แล้วมันเสียหายแล้ว เขาต้องพักผ่อน แต่ก่อนพักผ่อนตลอดทุกวันเลย ตั้งแต่ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งลงมา มนุษย์ต้องตรากตรำทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ หน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้า นี่คำสาปแช่งมันเป็นอย่างนั้น  พืชพันธุ์ธัญญาหารที่จะกินได้ มันจะขึ้นลำบากหมดเลย แม้กระทั่งทุเรียน มันจะหนามแหลม มันอร่อยมาก ในนั้นบอกไว้ แต่ไม่ได้บอกทุเรียนนะ สิ่งที่เจ้ากินได้ มันจะขึ้นหนามแหลม ลำบาก เกิดความทุกข์ทรมาน บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าต้องทำงานหนัก แต่อย่าให้หนักเกินไป วางใจในพระเจ้า ให้ 7 วัน พักสักวันหนึ่ง แล้วเราพักไหม? เราก็ไม่พัก เราไม่พักไม่พอ แถมวันธรรมดา มี overtime อีก ไปเรื่อย มันก็เกิดความเครียดในร่างกาย เกิดการทำงานหนักจนเกินไป เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รับคำสาปแช่งเข้ามามากขึ้น คือสุขภาพเสื่อมโทรมเยอะขึ้น

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตือนไว้ มนุษย์ไม่เชื่อ พยายามต่อต้าน เพราะกลัว กลัวจะไม่มีกิน แต่พระเยซูบอกอย่ากลัวเลย นกในอากาศ พระเจ้ายังเลี้ยงดูอยู่ แล้วเจ้าเป็นใคร เราจะไม่เลี้ยงดูเหรอ นี่หมายถึงคนที่เชื่อในกฎของวิญญาณ ในเรื่องพระเยซู หมายถึงเป็นคริสเตียนแล้ว

พระคัมภีร์สอนเราเยอะแยะมากมาย ให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินการทอง ให้เรารู้จักความพอเพียง พอดี เพราะที่มนุษย์ทั้งหลายทำงานหามรุ่งหามค่ำ พักผ่อนไม่พอ นอนน้อย ไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ส่วนใหญ่ก็มาจากสาเหตุการไม่รู้จักพอ พูดง่ายๆ โลภ ต้องการมีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้น มีเท่าไรก็ไม่พอ เพราะข้างในมันกลัว เน้นว่านี่ส่วนใหญ่นะ มีส่วนน้อยที่ทำงานหนัก เพราะมันจำเป็น แต่ส่วนใหญ่ทำงาน เพราะกลัว กลัวไม่มีกิน จนไม่ดูอะไรที่สำคัญกว่า ร่างกายสำคัญกว่า ก็ไม่สนใจ จะเอาเงินอย่างเดียว หนักๆ เข้า กลายเป็นคนรักเงิน เมื่อมนุษย์เริ่มรักเงินมากๆ มนุษย์ก็ยิ่งทำความเสียหายให้กับตัวเอง ชีวิต ผู้คนรอบข้างมากมาย ตกอยู่ในความน่าอัปยศ แล้วก็ตกอยู่ในอันตรายนานัปการ ตามที่พระคัมภีร์บอก เช่น สุขภาพเสื่อมโทรม จากการโหมทำงานหนัก อันตรายจากการไปสิ่งชั่วร้าย เช่น ไปโกงเขา ก็จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น หว่านไปแล้ว เสียชื่อเสียง ติดคุกบ้าง พระคัมภีร์จึงเตือนอยู่เสมอว่าให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขณะที่ทำงานหนัก ทำงานเต็มที่นะ จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ขี้เกียจก็อย่าให้เขากิน อย่าไปติดกับดักของโลกใบนี้  ที่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ โดยการแสวงหาทรัพย์มากๆ โดยไม่นึกถึงการพักผ่อน ไม่นึกถึงร่างกายนี้เลย  แต่ให้วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเลี้ยงดูเราได้ ใน 1 ทิโมธี 6:6-10 บันทึกไว้อย่างนี้

1 ทิโมธี 6:6-10 “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับ  และตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

มีคำกล่าวว่าถ้าต้องการจะมองหาแต่คนที่มีแต่ความทุกข์ ให้ไปมองหาในหมู่คนร่ำรวย รับรองเจอเยอะเลย แต่บางทีเรามองไม่เห็น คนที่มีเงินทองมากมายมักจะเป็นทุกข์ เพราะว่ายิ่งมีเยอะ ยิ่งอยากได้เยอะ เกิดความความอยากได้ไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักพอ และเมื่อไม่พอ แทนที่จะรวย ก็เลยกลายเป็นคนจน น่าสมเพชมาก ก็เลยเป็นทุกข์ อนิจังสามานย์ยิ่งนัก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ปัญญาจารย์ 5:10, 12 “10 คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย 12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมี ก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ”

 

เหล่านี้เป็นพิมพ์เขียว ที่พระเจ้าสอนเราเรื่องความจริงในโลกวัตถุ มันเป็นจริงตามนี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ ว่าพระเยซูมาไถ่บาปเราแล้ว เหมือนกันเลย

ตัวอย่างที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระเจ้าวางไว้ให้แล้ว และเป็นกฎทางธรรมชาติ ที่กำหนดไว้แล้วว่าถ้าเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร และถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าแนะนำ เราก็ได้รับ คำสาปแช่ง สิ่งที่ไม่ดี ก็เกิดขึ้นในชีวิตเรา ตัวเราเป็นคนเลือกเอง

นี่เป็นกฎความจริงของโลกวัตถุ ที่เราได้เรียนรู้กันในโลกใบนี้ มีอยู่จริงๆ ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย ถ้าท่านไม่ทำตามที่พระเจ้าบอก และท่านอยากได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามา มันไม่ได้เลย  นี่เป็นกฎแห่งความจริงของโลกวัตถุ ซึ่งเป็นความจริง 100% เหมือนๆ กับกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว ในพระเยซูที่บอกไว้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณไม่มีการลงโทษอีกแล้ว วิญญาณเป็นอิสรภาพ ไม่มีหนี้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไรในโลกวัตถุก็ตาม ไม่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณอีกต่อไป วิญญาณเขาเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป ตลอดกาลเลย แม้กระทั่งขณะนี้ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่ยังอยู่นี้ มันยังต้องดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้อยู่ ต้องอยู่ในกฎของโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะได้พระพรครบถ้วนบริบูรณ์ วางใจในพระเจ้า แล้วก็ทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรพระเจ้า ก็จะได้สิ่งที่ดีตามที่พระเจ้าบอกไว้ นี่คือพร นี่คือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับเราทั้งหลายในวันปีใหม่นี้ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 8 “กฎแห่งความจริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 8 “กฎแห่งความจริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นการบรรยายครั้งแรกของปี 2018 สำหรับผม วันนี้เราจะกลับมาคุยกันต่อในซีรี่ย์ ชุดเดิมของเรา ที่ผมเริ่มเรื่องไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ เอามาใช้ได้ตลอดกาล ใช้ได้ในทุกพื้นที่ชีวิตของเราทั้งหลาย เมื่อไรก็ใช้ได้

วันนี้เป็นตอนที่ 8 มีชื่อตอนว่า “กฎแห่งความจริง” ตลอด 7 ตอนที่ผ่านมา เราก็วนเวียนกันอยู่ในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่ทุกครั้งจะเห็นผมนั่งสลับไปสลับมา เก้าอี้ขาว เก้าอี้ดำ เก้าอี้ดำ เขียนว่า “อาดัม” เก้าอี้ขาวเขียนว่า “พระเยซูคริสต์”

เราก็จะย้ำอยู่แค่นี้ เพื่อจะได้ให้เห็นภาพว่าโลกวิญญาณที่ตาเรามองไม่เห็น พระคัมภีร์บอกมีอยู่จริงๆ ลักษณะเป็นอย่างไร? พอจะเล็งออกง่ายขึ้น ซึ่งผมย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องทั้งหมด ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เล่ากันในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ สิ่งที่สำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องโลกวิญญาณ ต้องจำไว้ เพราะมองไม่เห็น เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ไม่สนใจ เดี๋ยวก็นึกว่ามันจริงไหม? จะคิดอย่างนี้อยู่เรื่อย มนุษย์มักกบฏ ไม่ชอบฟังพระเจ้า ไม่ชอบจริงๆ นะ ไม่อยากจะรู้ ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ

“ใช่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงมองไม่เห็นก็เชื่อ”

ให้พูดความจริงของพระเจ้าที่หน้ากระจก แล้วพูดให้ตัวเองฟังชัดๆ จำไว้ๆ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกแล้ว ตัวตน ชีวิตของมนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ เกิดจากวิญญาณ และวิญญาณนี้ต้องอยู่นิรันดร์ ทำไมถึงต้องใส่คำว่า “ต้อง” ถึงไม่อยากอยู่นิรันดร์ ก็เป็นอยู่นิรันดร์ เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นนิรันดร์

คำว่า “นิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงคุณภาพว่าจะดีหรือไม่ดี? แต่หมายถึงระยะทาง ความสามารถในการอยู่ได้ คือตลอดไป ไม่มีการสูญสิ้นนั่นเอง มันแปลว่าอย่างนี้ก่อน ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ว่าเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ สำคัญอย่างไร? ถึงจะต้องมานั่งพูดซ้ำๆ ซากๆ เพราะว่า 2 โครินธ์ 4:16-18 ได้บันทึกว่านี่แหละคือประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สำหรับเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราว่าให้สนใจเรื่องโลกวิญญาณไว้ให้ดีๆ มากกว่าอะไรทั้งปวง

2 โครินธ์ 4:16-18  “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

ใครที่ตื่นนอนขึ้นมา รู้สึกท้อใจ รู้สึกเหนื่อย หรือบางครั้งไม่ได้ตื่นนอนตอนเช้า บางครั้งตื่นแล้ว ก็พอได้อยู่ พอเผชิญปัญหาในตอนกลางวัน ในตอนสาย ไปทำมาหากิน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ เจอปัญหา เหนื่อย หมดแรง ท้อใจ ไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย มันเซ็งเหลือเกินโลกใบนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้  ก็เพราะว่าเขาไม่ได้พูดกับตัวเอง ไม่ได้ย้ำกับตัวเองว่าเราไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น มันไม่จีรัง ยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์

“วิญญาณของฉันและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่ฉันมองไม่เห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ และฉันเชื่อในพระเยซูแล้ว มันดีแน่นอน ส่วนตอนนี้ฉันเผชิญปัญหาอะไรที่ตามองเห็น ฉันจับต้องมองเห็นได้ ฉันปวดหัว ตัวร้อนเป็นไข้ เห็นชัดๆ เลย มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันต้องสิ้นสุดไป มันต้องหมดไป จะหมดไปด้วยการหายโรค หรือตัวฉันหมดไป ก็คือฉันตาย มันหมดอยู่ดี วิญญาณฉันไปอยู่ในที่ที่ดี เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว”

มันก็บรรเทาความทุกข์ยากลำบากลงมา นี่คือตัวอย่างที่ยกนิดหนึ่ง ให้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้มันแปลว่าอะไร? ทุกวันเราต้องจดจ้องอย่างนี้ ทุกวันเราต้องมองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่คริสเตียน หรือมนุษย์ทุกคนควรจะทำ

คำว่า “จิตใจภายใน” ของเรา คือวิญญาณข้างในของเรา เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน มีพลัง เป็นลูกของพระเจ้า ตรงนี้สำคัญ สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เราจะต้องจับ ยึด เกาะติดแน่นไว้ตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง ก็เพราะว่าเรามองไม่เห็น ถามว่าทำไมเรามองไม่เห็น เพราะเราตกลงไปในความบาป เราอยู่ในเชื้อของความบาป เราเป็นคนที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือตัวเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อ พระคัมภีร์บอกเราบาป มันจริงๆ พอบาปปุ๊บ ตาฝ่ายวิญญาณมันบอด พอบอด มันก็ไม่เห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่ามันมีอยู่จริง แต่ตาเราบอดไง ถามว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงไหม? มีอยู่จริง แต่ที่เราไม่เห็น เพราะว่าตาเราบอด

เหมือนร่างกายทุกวันนี้ ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก เราเห็นต้นไม้อยู่ อีกคนหนึ่งตาบอด เขาบอกว่าไม่เห็นต้นไม้ แล้วถามว่าต้นไม้มีอยู่จริงไหม? มีอยู่ แต่ทำไมไม่มีสำหรับเขา เพราะว่าเขาตาบอด ในโลกวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่มองเห็น ที่ไม่จีรังยั่งยืน ตามพระคัมภีร์บันทึกเมื่อกี้นี้ ถามว่าคืออะไร? ก็คือวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่มันสามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา สัมผัสด้วยกาย หรือสัมผัสด้วยกลิ่นก็ตาม สิ่งเหล่านี้เรียกว่าสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ที่เป็นถาวรนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ และตาวิญญาณก็ไม่เห็น เพราะเราเป็นคนบาป และมันบอดไปแล้ว มันไม่เห็น ก็คือดวงวิญญาณของมนุษย์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เช่น ทูตสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมารซาตาน  สมุนของมันอีก และทูตสวรรค์ของพวกเราเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นเหล่านี้ มันมีอยู่จริง สวรรค์สถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย มีอยู่จริง ที่ไม่ใช่สวรรค์สถาน ที่เรียกว่าที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตลอดไป มีอยู่จริง

และในโลกวิญญาณมีกฎ มีความจริงอยู่ในนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นหนังสือกฎทั้งหมดเลย กฎหมายของพระเจ้า เป็นกฎต่างๆ ซึ่งใครทำตาม ก็ได้พร ใครไม่ทำตาม ก็ได้ในสิ่งที่กฎเขียนเอาไว้ เหมือนเราขับไปข้างนอก มันมีกฎหมายอยู่ คุณไม่เชื่อว่ามีกฎหมาย คุณซี้ซั้วขับไป  คุณก็ได้รับการสาปแช่ง ถูกใบสั่งบ้าง บาดเจ็บบ้างอะไรต่างๆ มีเรื่องราวปัญหา แต่ถ้าคุณออกไป คุณเชื่อว่ามันมีกฎจริงๆ แล้วคุณพยายามไปศึกษาว่ากฎเขาว่าอย่างไร? คุณก็พยายามทำตามกฎ คุณก็ปลอดภัย ไม่โดนจับด้วย

เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็มีกฎของโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ ทำให้คนๆ นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือกฎที่เขียนไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ กฎเป็นอย่างนั้น ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความเชื่อในความจริงของกฎโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าบันทึกเอาไว้ให้เรารู้ว่ามันมีกฎตรงนี้อยู่ ความจริงที่บอกว่าวิญญาณของมนุษย์ทุกคนมีเชื้อบาปติดอยู่ ซึ่งจะต้องใช้หนี้บาปเวรกรรม ก็คือต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมานตลอด นิรันดร์ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว อย่างที่เราบอกว่าวิญญาณต้องอยู่นิรันดร์ แต่ต้องอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทรมาน ในที่ที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

และวิธีการที่จะให้หลุดพ้นจากหนี้เวรกรรมตรงนี้ได้ ก็มีอยู่ทางเดียว ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้ ก็คือให้เชื่อว่าพระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ผู้เดียว ที่มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาลบบาปออกไปจากดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกคนแล้ว นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่มีขึ้นมา ณ ปัจจุบัน เป็นอย่างนี้  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่

ผู้ใดที่เชื่อกฎนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขา หรือให้กับมนุษย์ทั้งปวง ก็คือได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องเป็นหนี้ เป็นสิน ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป คือเป็นไท พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม “ชอบธรรม” หมายถึงเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษ ชอบธรรมแปลว่าถูกต้อง ดีแล้ว นี่คือกฎในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ กฎนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับสิทธิ แค่นั่นเอง เรามาดูต่อไปว่าไม่เชื่อ ไม่ได้รับ มันคืออะไร?

คำว่า “ไม่ได้รับสิทธิดีๆ จากพระเจ้า” ภาษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราเรียกกันว่าไม่ได้รับพระพรจากกฎ ที่พระเจ้าวางไว้ในโลกวิญญาณนี้ เพราะว่าไม่เชื่อในกฎนี้  ก็ไม่ได้รับอิสรภาพ จากกฎที่บอกว่าเป็นอิสรภาพแล้ว ก็เป็นหนี้บาป เวรกรรมติดตัวอยู่ ที่ยังคงต้องชดใช้ด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งไม่มีทางใช้หมดเลย

ฉะนั้น คำพูดที่บอกว่าผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี ก็คือได้รับคำสาปแช่ง ก็คือไม่ได้รับพระพร ผู้ใดที่ไม่เชื่อกฎวิญญาณที่พระเจ้าบอกนี้  ก็จะไม่ได้รับพระพร ก็คือไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎนี้นั่นเอง พระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าได้รับคำสาปแช่ง อะไรก็ตามที่มันไม่ดีแค่นั้นเอง ท่านอย่าไปคิดมากเลย คำสาปแช่ง ก็เหมือนกับขึ้นศาล ผู้พิพากษาตัดสินคดี แล้วบอกว่าท่านต้องถูกจำคุก การถูกจำคุก ก็เรียกว่าท่านถูกสาปแช่ง หรือสั่งว่าท่านต้องไปชดใช้หนี้เขาพันล้านบาท นี่คือคำสาปแช่ง แต่ถ้าศาลบอกว่าท่านเป็นอิสระ ท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย กลับบ้านได้ อย่างนี้เรียกว่าพระพร

พระพร คำสาปแช่ง จะเอาแบบไหน?  วันนี้ผมจะเอาวิถีทางที่ท่านจะได้พระพร และคำสาปแช่งมาวางไว้ตรงหน้า ให้ท่านเลือกเอา ท่านอยากได้พรหรืออยากได้คำสาปแช่ง ท่านมีสิทธิ์เลือกด้วยตนเอง พระเจ้าก็เลือกให้ท่านไม่ได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สามารถมองดู ถ้าท่านเลือกพระพร ท่านได้พรแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าดูอยู่ ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับท่านเลย แต่ถ้าเลือกคำสาปแช่ง พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยท่านได้ด้วยเหมือนกัน เพราะท่านเลือกเอง

แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ มันก็ยังเป็นอยู่วันยังค่ำ หลายคนบางครั้งพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …

“ถ้าเราไม่เชื่อ” ก็ปลอบใจตัวเองว่า  “มันคงไม่ได้เป็นไปตามนั้นหรอก”

พอเราไม่เชื่อ เราก็นึกว่ามันไม่ใช่ แต่อย่าลืมว่าถึงเราไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าคนที่ไม่เชื่อ ก็ถูกปรับโทษอยู่แล้ว พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อปรับโทษ มาเพื่อสาปแช่งมนุษย์เลย แต่มาเพื่อช่วยมนุษย์ที่กำลังถูกสาปแช่งอยู่นั้น ลองอ่านดูยอห์น 3:16-18 ดูสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? พระเยซูคือใคร? มาทำอะไร? นี่คือกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสอนเรา ให้เรารู้ความจริงในโลกวิญญาณ เพื่อประโยชน์จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเอง พอรู้จักความจริง เราเลือกในสิ่งที่ดี สิ่งที่ดี ก็เข้ามาในชีวิตของเรา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เชื่อพระเยซู แต่เขาถูกสาปแช่งอยู่แล้ว พอเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูมาช่วยเขา เขาก็เลยอยู่ที่เดิม ไม่ได้หนักขึ้น อันเก่าก็หนักพอสมควรแล้ว

นักประกาศหลายท่าน รวมทั้งบิลลี่ แกรแฮม ได้บอกว่าถ้อยคำที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ เป็นเสมือนหัวใจของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่รวมเอาแผนการของพระเจ้าทั้งหมด รวมเอาพระลักษณะของพระเจ้า รวมเอาเหตุและผลของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาไว้ในข้อพระคัมภีร์ 3 ข้อนี้

แผนการของพระเจ้า คือต้องการช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป เวรกรรมทั้งหลาย ก็คือคำสาปแช่งที่ถูกสาปไป ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม

พระลักษณะของพระเจ้าที่เราได้เห็นในข้อนี้ คือความรัก ความเมตตา ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ถึงขนาดยอมให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษยชาติ คิดดูก็แล้วกัน นี่คือความรักและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สำแดงออกแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน

เหตุและผลของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปอยู่แล้ว ถูกสาปแช่งอยู่ ต้องได้รับโทษของความบาป คือการสาปแช่ง และทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์ได้รับอิสรภาพ หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้นได้ ก็คือต้องเชื่อในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทรงเอาไปแล้ว เชื่อว่าพระเยซูมาเป็นแพะรับบาปแทนเราแล้ว

เพราะฉะนั้น ผลของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็จะไม่ถูกลงโทษ ไม่อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป เป็นอิสระไปเลย ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม ก็ถูกสาปแช่งเหมือนเดิม นี่คือความจริงของกฎของโลกวิญญาณ  ซึ่งมีอยู่จริงๆ พระเจ้ากำลังสำแดงให้กับเรา ให้เรารู้ ให้เราเข้าใจว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ มีกฎนี้อยู่จริงๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านจะรับสิทธิของท่านหรือไม่ก็ตาม แต่มันมีกฎนี้อยู่จริงๆ

ซึ่งกฎนี้ สรุปได้อย่างนี้ว่าก่อนที่พระเจ้าจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ให้นั้น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่แล้ว แต่ด้วยความรักเมตตา ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จึงทำให้เกิดข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ขึ้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาตายที่ไม้กางเขน ตามแผนการของพระเจ้า เพื่อมาไถ่บาป เพื่อมารับโทษของความบาป แทนมนุษย์ทั้งปวง ทำให้มนุษย์ทั้งปวงสามารถเป็นอิสรภาพจากความพินาศนิรันดร์ ในนรกได้ โดยแค่เชื่อพระเยซู เชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ

มีนักเขียนอยู่คนหนึ่ง เป็นนักเขียนหนังสือที่โด่งดังมาก เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และเขียนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ มีผลงาน ขายดีที่สุด หรือ The best seller ออกมาเยอะแยะ แล้ววันหนึ่งเขาก็เขียนหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เป็นหนังสือใหม่ของเขา  มีชื่อว่า “ทำอะไรจึงได้ไปสวรรค์” และ “ทำอะไรจึงต้องไปนรก” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมาก เพราะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ อยากจะแสวงหามาก เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน รู้ว่าตัวเองอยากไปสวรรค์ เมื่อจากโลกนี้ไป ไม่อยากจะไปอยู่ในนรก คนก็ดีใจ

“ฉันอยากจะรู้ เพราะฉันอยากไปสวรรค์ มาสอนฉันว่าไปอย่างไร? สบาย”

และยังสอนด้วยว่าทำอย่างไรไปนรก ไม่มีคนอยากจะอ่าน แต่อ่านดูนิดหนึ่ง เผื่อเรากำลังทำ จะได้เลิกทำ

หนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือทำอะไรได้ไปสวรรค์ เรื่องที่สอง คือทำอะไรได้ไปนรก ทุกคนก็สนใจมาก ไปซื้อหนังสือเล่มนี้มา เล่มหนามาก พอเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมา หน้าแรก เขียนหัวเรื่องใหญ่โตเลยว่าเพราะมนุษย์ทำอะไร จึงได้ไปสวรรค์ แล้วหน้าต่อๆ ไป ทั้งเล่มเลยนะครับ เปิดไป เป็นกระดาษเปล่าหมดเลย  ไม่ได้บันทึกอะไรเลย ประมาณเกือบครึ่งเล่ม แล้วก็มีตัวหนังสือโผล่มาที่กลางเล่ม เขียนตัวโตๆ ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อ จบเรื่องแล้ว

แล้วทุกคนก็ต่อไป แล้วจะไปนรก ทำอย่างไร? ก็เปิดต่อ นี่คือครึ่งเล่มแล้วนะ เขียนหัวข้อตัวใหญ่เหมือนกันว่า “เพราะมนุษย์ทำอะไร จึงต้องไปนรก” ไม่อยากไปนรก จะได้ฝึกฝนทำตามที่เขาสอน  และก็เหมือนเดิม หน้าต่อไป ว่าง ว่าง ว่าง จนหมดเล่มเลย มาเจอคำตอบ หน้าสุดท้ายเขียนตัวใหญ่มากว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย” จบเล่ม

ไม่ต้องทำอะไรเลย  นี่คือความหมายของความจริง ของกฎของโลกวิญญาณ ที่บอกว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาเพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ถูกสาปแช่ง แต่ใครที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเราเชื่อความจริงตรงนี้ เราหรือใครก็ตาม ก็จะได้รับสิ่งที่เรียกว่าพระพร ตามที่พระเจ้าสอนไว้ บอกไว้ ในกฎ ในความจริงของพระองค์ ซึ่งพระพรตรงนี้ ก็มีเงื่อนไขของเวลา ตามที่พระคัมภีร์เขียนบันทึกไว้ว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือก่อนที่วิญญาณออกจากร่าง ตายจากโลกนี้ไป หรือไม่ก็พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ ถ้าถึงตอนนั้น ก็หมดเวลาที่จะตัดสินใจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ? ไม่มีสิทธิ์ บางคนบอกว่าหลังความตายค่อยมาตัดสินใจว่าจะเลือกเชื่อพระเยซูหรือไม่? จะได้เห็นทันตาวิญญาณเลย พอตายไปปุ๊บ ก็เห็นเลย  เพราะทุกวันนี้ไม่เห็น เพราะร่างกายมันถูกสาปแช่ง อยู่ในร่างกายที่แย่มาก มันบอดทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งวิญญาณออกจากร่าง ก็จะเห็นแล้ว ค่อยมาเชื่อได้ไหม? ถ้าได้ผมก็ไม่ต้องมาประกาศสิ ถ้าได้พระเยซูก็ไม่ต้องมาประกาศ ถ้าได้พระเจ้าคงล้างโลกเลย มนุษย์ทุกคนก็รอดหมด เพราะทิ้งร่างกายนี้ไป ก็เจอพระเยซูหมด

ถามว่าทำไมไม่ได้? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ ต้องเกิดเป็นมนุษย์ เกิดจากหญิงพรหมจารี เป็นมนุษย์จริงๆ  เพื่อมาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ เริ่มครอบครัวใหม่ เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่ เริ่มสำมะโนครัวใหม่ของมนุษย์ เพื่อมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น มนุษย์ คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายที่มีเนื้อและเลือด พระเยซูบอกเรามีเลือดและเนื้อ คือเราเป็นมนุษย์จริงๆ เราไม่ได้เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นวิญญาณ ไม่มีร่างกายนี้ เราไม่ได้เรียกว่ามนุษย์ … มนุษย์ต้องมีร่างกายนี้อยู่

พระเยซูตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาป แทนมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์เท่านั้น จึงมีสิทธิที่จะไปรับสิ่งที่พระเยซูทำได้ แต่เมื่อมนุษย์วิญญาณออกจากร่างแล้ว เขาไม่มีร่างกายแล้ว เขาไม่เป็นและไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป เขาถูกเรียกว่าเป็นวิญญาณ หรือภาษาไทยเดิมเรียกว่าเป็นผี ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับ ธรรมดา ผีก็คือวิญญาณ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คนไม่เข้าใจ คิดว่าพระเยซูเป็นผี ใช้คำว่าผี … ผี ก็คือวิญญาณ … วิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นวิญญาณ ก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เป็นตัวแทนรับโทษบาปให้กับวิญญาณ หมดสิทธิ์ไปเลย

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก เราไม่รู้ว่าวันเวลาใดที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป เราไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แล้วเราจะกลับมารับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่มนุษย์ พระเยซูเป็นตัวแทนมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เรารู้ แล้วเรามาเรียนรู้ เพื่อเราจะได้พระพร ได้สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ในการตัดสินใจนั่นเอง

และทุกครั้งที่เราคุยกันเรื่องนี้ ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อพระเยซูอย่างเดียว เราก็ได้รับพระพร ได้รับอิสรภาพ ตามสิทธิที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อพูดแบบนี้ ก็มาดักกันอีกทางว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจว่าอย่างนี้ก็สบาย มาเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ พระเยซู พระเจ้าก็อภัยให้หมด จะทำผิดทำบาป ก็ได้ ได้รับการอภัยให้หมดเลย เดี๋ยวก่อน ฟังตรงนี้ต่อไป ได้หมดเลย ได้พระพรหมดเลย ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะในพระคัมภีร์สอนถึงเรื่องกฎต่างๆ แม้ว่าเราจะบอกว่ากฎของโลกฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด ก็ตาม

ถ้าใครกำลังคิดว่าสบาย มาเชื่อพระเยซูแล้วจะทำอะไรก็ได้รับพระพรแน่ๆ อยากจะเตือนว่าอย่าลืมว่าชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันก็มีกฎของโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเรียกว่ากฎฝ่ายวัตถุ คือฝ่ายที่ตามองเห็นอยู่เหมือนกัน ความรอดที่ได้รับมาแล้ว เป็นสิทธิในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นความรอดในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันไม่ใช่กฎทางโลก แต่มันมีกฎของโลกวัตถุด้วย สิ่งของที่จับต้องได้ มันมีกฎอยู่ แล้วพระเจ้าก็เขียนไว้ในนี้หมด เพียงแต่เราไม่เข้าใจ เราสะเปะสะปะ แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็ยังมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา

เช่นเดียวกัน เราก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับกฎของโลกวัตถุนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แม้ว่ามันจะสำคัญน้อยกว่าโลกฝ่ายวิญญาณก็ตาม ไม่ใช่ไม่มองมัน แล้วก็ไม่สนใจ แต่มิพระพรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจแล้วว่าวิญญาณเราไปสวรรค์แน่นอน ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ 100% ตามพระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอย่างนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เรายังไม่ทิ้งจากร่างนี้ไป เราอยู่ในร่างมนุษย์นี้นะ ในขณะเดียวกัน เรานั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเช่นกัน  ตอนนี้ อยู่ในสวรรค์แล้ว เราเชื่ออย่างนี้ก็ตาม

แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องให้ความสนใจด้วยว่าแล้วกฎแห่งการดำเนินชีวิตอย่างนี้ ที่ยังเป็นมนุษย์ แต่อยู่ในสวรรค์แล้ว มันเป็นอย่างไร? มันไม่ใช่วิญญาณอยู่ในสวรรค์ แต่เป็นร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในสวรรค์ มันเป็นอย่างไร? และจะต้องทำอย่างไร? แม้พระคัมภีร์จะเตือนแล้วว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แม้วิญญาณจะอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน เผชิญกับอุปสรรค์ปัญหาต่างๆ แต่เราก็ยังมีทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ดำเนินชีวิตตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เพื่อให้ทุกข์ยากลำบากน้อยที่สุด เท่าที่เราทำได้ เพราะพระเจ้ารักเรา อยากให้เรามีความสุขที่สุด แม้ว่าวิญญาณเราจะอยู่ในสวรรค์ก็ตาม

ความจริงของกฎ แห่งโลกวัตถุ พระคัมภีร์ก็เตือนเราว่าถ้าท่านหว่านสิ่งใดลงไป ท่านก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กลับมา กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็คือถ้าท่านหว่านสิ่งที่ดี หว่านสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ท่านก็ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพรกลับมา แต่ถ้าท่านหว่านสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเจ้า ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ไม่เป็นพระพร เรียกว่าคำสาปแช่งมาเหมือนกัน ไม่ว่าวิญญาณท่านจะอยู่กับพระเยซูแล้วหรือไม่ก็ตาม เอเมน

ทำในสิ่งที่ดี หมายถึงดี ตามพระคัมภีร์บอก ไม่ใช่ ดีตามที่ท่านบอก ดีตามที่ท่านคิดกับดีของพระเจ้า บางอย่างมันเหมือนกัน แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกัน

พระคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของกฎ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะว่าทั้งโลกแห่งวิญญาณและโลกวัตถุนี้  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น พระเจ้าสร้างพิมพ์เขียวขึ้นมาทั้งหมดเลย พระองค์เป็นผู้กำหนดว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จะดำเนินไปทางไหน? อย่างไร? ต้องพบกับอะไร? นี่คือโลกวัตถุ แน่นอนว่าพิมพ์เขียวของพระเจ้าต้องเป็นพิมพ์เขียวที่ดีที่สุด ต้องเกิดผลดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะเป็นลูกของพระองค์ เขียนก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งแล้วว่ามีกฎอยู่ตรงนี้ ให้มนุษย์ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด มีความสุขที่สุด ในบ้านหลังนี้ เรียกว่าโลกนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อในพิมพ์เขียวของพระเจ้า คือดำเนินชีวิตตามคำบอก คำสอน คำแนะนำของพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งที่เราหว่านลงไป คือสิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ คือได้รับพระพร ชีวิตก็ทุกข์น้อยๆ หน่อย แต่ถ้าเราไม่ยอมฟัง ดื้อดึง ซึ่งมันก็เป็นนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป พยายามที่จะดื้อ เดินห่างออกจากคำสอนของพระเจ้า ออกจากพิมพ์เขียวที่พระเจ้าบอกไว้ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โอกาสที่ชีวิตเราจะเดินบนโลกใบนี้ จะพบกับความผิดพลาด พบกับความล้มเหลว พบกับความทุกข์ ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะได้รับพระพรทางโลกวิญญาณแล้วหรือไม่ก็ตาม พูดง่ายๆ ว่าแม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนก็ตาม

เหมือนเวลาที่เราจะสร้างบ้าน ก่อนลงมือสร้างบ้าน เราก็ทำแปลน เราก็ดำเนินตามแปลนนั้น ทำซะอย่างดี พอเริ่มสร้าง ซีซั่วทำ มั่วซั่ว บ้านก็พังลงมา ก็เช่นเดียวกัน พิมพ์เขียวของพระเจ้ามีบอกไว้เยอะ เต็มไปหมด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มนี้ บอกทั้งหมดเลย เรียนไม่จบเลย มีพิมพ์เขียวบอกเสร็จสรรพเลยว่าท่านควรจะทำอะไร? และได้อะไร? ถ้าเราเชื่อตรงไหน? เราก็จะได้พรตรงนั้น ถ้าตรงไหนเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ มันแยกกันนะ ไม่ใช่ว่าได้ตรงนี้ แล้วได้หมด ไม่ใช่ โลกวิญญาณท่านได้ไปแล้ว แต่โลกวัตถุ ถ้าท่านทำสิ่งนี้ ท่านก็ได้สิ่งนี้ ถ้าท่านไม่ทำ ท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าวางเป็นกฎระเบียบว่าท่านทำสิ่งนี้ มันก็จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น ท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะได้อย่างนี้  ถ้าท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้อย่างนี้ อะไรต่างๆ

ยกตัวอย่าง ในพระคัมภีร์บันทึกมาเป็นหลายพันปี บอกว่าเนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านควรกิน? เนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านไม่ควรกิน? ถ้าท่านกินสิ่งที่ไม่ควรกิน ที่เรียกว่าเป็นมลทิน สัตว์สกปรก ที่พระเจ้าบอกไว้ ท่านจะเป็นโรค เกิดความทุกข์ทรมานในร่างกายของท่าน เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอะไรต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงอันนั้น หมายถึงว่าเกิดอะไรไม่ดีในร่างกายของท่าน

ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีอาจจะสัก 40 – 50 ปี ไม่เกินนี้ จนมาถึงปัจจุบัน พึ่งจะค้นพบทางวิทยาศาสตร์เห็นว่าสัตว์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน มันสกปรกจริงๆ มันมีสารเคมีอะไรบางอย่างที่เป็นสารเคมีที่เขาใช้ชื่อตามวิทยาศาสตร์ ค้นพบแล้วว่าสารตัวนี้ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของคน

ยกตัวอย่าง ปลาดุก ปลาที่มีหนวด ปลาที่ไม่มีเกล็ด ปัจจุบันเขาค้นพบแล้ว ปลาพวกนี้ มันมีไขมันที่เลวมาก มันสกปรกมาก มันกินขยะทั้งนั้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะ ถามว่าเราเป็นคริสเตียน เราอยากจะกิน กินได้ไหม? ได้ ก็ในเมื่อโลกวิญญาณสำคัญกว่า อย่างไรเราก็อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็เจ็บป่วย

“พระเจ้า รักษาลูกให้หายโรคที”

จะรักษาอย่างไร? ในเมื่อกินอยู่อย่างนั้น พระเจ้าก็ต้องมาเริ่มต้นเบอร์หนึ่งใหม่ ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ในการกิน อดทนหน่อยนะ เอามีดจ่อคอหอยหน่อยนะ สิ่งที่ไม่ดี ก็อยากกิน สิ่งดีๆ ก็ไม่อยากกิน เพราะถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง เพราะมนุษย์อยู่ในความบาป ร่างกายนี้ ยังอยู่ในอิทธิพลของความบาปอยู่ แม้ว่าวิญญาณเราจะรอด วิญญาณเราจะถูกสร้างใหม่เอี่ยม ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้เลย  วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้าตลอดชั่วนิจนิรันดร เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจดแล้วทั้งสิ้นเลย ก็ตาม แต่ร่างกายเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าจะใช้เราทำอะไรบนโลกใบนี้ ยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น มันยังอยู่ในกฎของโลกวัตถุอยู่ กฎของโลกวัตถุบอกว่าอย่ากินอันนี้นะ กินแล้วมันจะเป็นโรค เราก็ไปกิน เราก็เก็บเกี่ยวความเป็นโรคเข้ามาในร่างกายของเรา ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะมากมาย ใน 1 โครินธ์ 3:10-15

1 โครินธ์ 3:10-15 “10  โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้น แต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร 11 เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

จริงๆ แล้วตรงนี้ ไม่ค่อยตรงกับที่ผมพูดมาทั้งหมดหรอก มันเป็นการบอกกล่าวถึงคนที่มีหน้าที่เป็นนักประกาศ ไม่ใช่ผู้เชื่อธรรมดา ผู้ที่มีหน้าที่ออกไปสอน  ออกไปประกาศ บางทีสอนๆ ไป ก็ใช้เนื้อหนังเข้าไปด้วย ต้องการชื่อเสียง ต้องการอะไร? ซึ่งตัวเขาเอง เขาก็เชื่อพระเยซู เขาก็ได้รับความรอด แต่ได้รับแบบทุกข์ทรมาน เพราะว่าอย่างอื่นไปทำไม่ถูก

ยกตัวอย่าง ถ้าเราเป็นคริสเตียน แล้วเราไปโกงเขา การเป็นคริสเตียนของเรา ก็เป็นวิญญาณอยู่ ได้รับความรอดอยู่ แต่เราไปโกงเขา เราจะต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดีกลับมา ซึ่งตอนนั้น เราอาจจะรู้สึกว่าดี พระเจ้าอวยพรๆ เดี๋ยวก็โดน เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้เช่นไร มันก็เป็นเช่นนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ? บางคนเอาอันนี้มาอ้าง อธิษฐานในใจ แต่คำอธิษฐานนั้นเอาเปรียบชาวบ้านเขาหมดเลย พระเจ้าตอบคำอธิษฐานด้วย  ก็จะไม่ตอบได้อย่างไร? เราอยากได้อย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ใจเราอยากได้ เราก็พุ่งตรงไปทำสิ่งนั้น มันก็ได้สิ ก็คือเราหว่านสิ่งนั้น เราก็ได้ เอาเปรียบเขา ปกปิดเขา ไม่ให้เขารู้ พระเจ้าก็เตือนเราหลายครั้ง แต่เราไม่ได้ยินหรอก เพราะว่าเนื้อหนังเรามันเสียงดังกว่า

“พระเจ้าอวยพรแล้ว เอาเลย”

เราก็คว้าหมับ แล้วอย่างไร? ถ้ามันสำคัญจริงๆ ก็ติดคุก ติดคุกแล้วอย่างไร? ก็อธิษฐานกับพระเจ้า และถ้าออกมาแล้ว ยังไม่สำนึกอีก ติดอีกไหม? ก็แล้วแต่ว่าคุณจะทำอะไร? นึกออกใช่ไหม?

มันต้องมีเหตุจากเราทั้งสิ้น อย่าไปโทษพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าให้เกิดขึ้น ไม่มี ถ้าทำได้ พระเจ้าไม่ให้เกิดอะไรที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระองค์ทรงรักเรามาก อยากให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 2 เหตุผล

เหตุผลแรก ก็คือเราไม่รู้จริงๆ เหมือนกับโลกกลมกับโลกแบน ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร? ไม่รู้จริงๆ ว่ากินอันนี้ เห็นเขาบอกกินได้ ก็กิน ไม่รู้จริงๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้ความจริงเฉยๆ แต่มีอีกฝั่งหนึ่ง คือทั้งๆ ที่รู้ความจริงด้วยว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่าโลภ แต่เราจะโลภ เราสู้เนื้อหนังไม่ได้

เห็นไหม มันมี 2 ลักษณะ เพราะฉะนั้น อย่านึก แต่ทั้งสิ้นทั้งหมด มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าพระเจ้าทำให้เราเป็นอะไร? เราเองเป็นผู้เลือก

วันนี้เอามาฝากท่านว่าให้ท่านเลือกเอา จะเอากฎไหน? กฎที่ได้พร หรือกฎที่ได้คำสาปแช่ง

สรุปว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นมาวันนี้ บอกแล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล เพราะว่ากฎหมายของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโรม 8:1 บอกว่า …

โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษใดๆ คำสาปแช่งใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปที่อยู่ในอาดัมและความตาย คืออยู่ในอาณาจักรมืด”

 

นี่คือกฎหมายของพระเจ้าที่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้วว่าตอนนี้ ท่านอยู่ในกฎไหน? เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่นี่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ กฎวิญญาณ ไม่ใช่กฎโลกวัตถุ กฎวิญญาณ ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันดีใจก่อนแล้วกัน

สัปดาห์หน้ามาเรียนรู้กันต่อครับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************