คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  สิงหาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เริ่มต้นซีรี่ส์ใหม่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เกริ่นไว้สักนิดหนึ่งว่าเราต้องตั้งใจฟังให้ดีนะ มันเป็นความลึกซึ้งของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งมาจากพระเจ้าเองเลย ไม่ใช่มาจากตัวแทน เราจะเริ่มต้นบรรยายซีรี่ส์ใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า “อุปมาคำสอนของพระเยซู” เราจะเริ่มที่ถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์มัทธิว 7:21

มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้า”

 

“แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา” ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”

นี่พระเยซูพูดเอง พระเยซูกำลังบอกว่าบรรดาเหล่าสาวก หรือผู้ติดตามพระเยซู หรือบรรดาผู้ที่เคยเห็นการกระทำ อัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยนั้น ที่พระองค์เดินอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้เขาเหล่านั้นจะยกย่อง นับถือพระองค์ ถึงแม้ปากจะพูดว่า …

“พระองค์เจ้าข้า อาจารย์เจ้าข้า อาจารย์ๆ”

แต่พระองค์บอกว่าก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เพราะคนที่จะสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ พระองค์บอกว่าคนนั้น จะต้องทำตามพระประสงค์ของพระบิดา คือของพระเจ้าเท่านั้น

แล้วทุกคนก็ถามว่า “แล้วพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า คืออะไร?”

พระประสงค์ของพระเจ้ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตามหนังสือพระคัมภีร์ที่ผมเคยบอกท่าน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย คือน้ำพระทัยพระเจ้า วางแผนทั้งหมด เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น พระประสงค์ของพระเจ้ารวมกัน ก็คือยอห์น 3:16

          ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

นี่คือหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ให้มาตายที่ไม้กางเขน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ผู้นั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระองค์ เป็นผู้เดียวเท่านั้น ให้มายอมตาย สละชีวิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก รอดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่ทรงประทานมาให้ เพื่อเขาจะได้รับการอภัยจากการลงโทษ เนื่องจากความบาป เขาจะได้กลับมาหาพระเจ้า กลับมาสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในพระบุตร คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้ชื่อว่ากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เหมือนที่เรานั่งอยู่ที่นี่  ที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ อย่างที่พระเยซูบอก

สังเกตให้ดีๆ ที่พระเยซูบอกว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าอาจารย์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จอมเจ้านายเจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”

คนที่ติดตามพระเยซู และเรียกพระเยซูว่า “เจ้านาย อาจารย์ พระองค์เจ้าข้า” ก็คืออาจารย์นั่นแหละ เพราะเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ คิดว่าเขาเชื่อพระเยซูไหม? คิดว่าเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ คงไม่ติดตามพระเยซูไป แล้วไม่เรียกพระเยซูว่าอาจารย์ ซึ่งบางคนอาจจะเชื่อ เพราะเพิ่งได้เห็นการอัศจรรย์ พระเยซูรักษาคนตาบอดให้หาย จึงเรียกพระเยซูว่าอาจารย์ นี่ใช่แน่เลย พระเจ้าส่งคนนี้มาช่วยแน่ บางคนอาจจะเชื่อแบบ อย่างน้อยเชื่อเขาไว้ดีกว่า เพราะว่าเขาพูดมีสิทธิอำนาจมากกว่าคนอื่น แล้วเขาทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น เพราะฉะนั้น เชื่อเผื่อเลือกไว้ดีกว่า เผื่อว่าอันที่เราเชื่ออยู่นั้น มันไม่จริง มาเชื่อพระเยซูอีกคน เพิ่มเติม เขาเชื่อศาสนายิว เขาก็บวกพระเยซูไปอีก

ซึ่งตรงนี้ พระเยซูกำลังแยกแยะให้เราเห็นว่าไม่ใช่ว่าความเชื่อของทุกคน จะเป็นความเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อตามน้ำพระทัยพระเจ้า ถูกไหม? ความเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำให้มนุษย์ได้รับความรอด และเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ได้ คือรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ตามหนังสือโรม 10:9-10 บันทึกเอาไว้ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานมาให้มนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูที่พระเจ้าประทานให้ เป็นขึ้นจากความตาย คนนั้นถึงจะได้รับความรอด เห็นไหม? พระองค์แยกแยะ ซึ่งจริงๆ แล้วในหนังสือโรม 10:9-10 ได้บ่งบอกให้เราได้เห็นชัดเจน ซึ่งเราเคยฟังกันอยู่บ่อยๆ ได้อ่านกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมว่าใครก็ตามที่จะได้รับความรอด ต้องยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ

ยอมรับด้วยปาก .. ยอมรับมาจากภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า Confess แปลภาษาไทยตรงๆ ว่าสารภาพ แต่คำว่าสารภาพนี้ เราไปนึกถึงว่าเพราะคนนั้นนึกว่าตัวเองทำบาป แล้วขอสารภาพ …

“พระเจ้ายกโทษ เมื่อตะกี้ลูกไปโกรธเขา ยกโทษให้ลูกด้วย”

คนนั้นถึงจะได้รับความรอดจากบาป ไม่ใช่ คำว่า “สารภาพ” ตรงนี้ ภาษาเดิม ภาษากรีก แปลว่ายอมรับในสิงที่พระเจ้าพูด เห็นด้วยกับพระเจ้า พูดตามที่พระเจ้าบอก พระเจ้าบอกว่า …

“เราประทานพระเยซู ซึ่งเป็นบุตรของเรา เราให้มาช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป”

เราสารภาพ แปลว่าเรายอมรับ เราก็พูดตามพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป อย่างนี้ เรียกว่าสารภาพของจริง ของแท้ ไม่ใช่คำว่า “สารภาพ” คือเมื่อวานนี้ไปตีหัวชาวบ้าน เมื่อวานนี้โลภ เมื่อวานนี้ไปคิดสกปรกกับเขา เพราะฉะนั้น วันนี้ คืนนี้ มาสารภาพกับพระเจ้า เพื่อจะได้รับความรอด ไม่ใช่ คนละอันกัน ท่านจะเห็นภาพชัดเจน พระเยซูกำลังสอนเรา เห็นไหม? ความล้ำลึก สารภาพออกจากปาก สารภาพตามที่พระเจ้าบอก พระเจ้าบอกพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็สารภาพว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในนี้บอกและเขาเชื่อด้วยใจ คือสารภาพไปเรื่อยๆ แล้วมันก็หล่นลงไปๆ ดิ่งลงไปในวิญญาณ พอดิ่งลงไปในวิญญาณ พูดตามพระเจ้าไปเรื่อยๆ พระเจ้าบอกว่า …

“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

คำว่า “พูดตาม” ไม่ใช่วันทั้งวัน พูดตาม แต่หมายถึงว่าสารภาพ ใช่เป็นอย่างนั้น มาโบสถ์เป็นประจำ ใช่ๆ จนกระทั่งวันไหนไม่รู้ ถ้อยคำที่เราสารภาพกับพระเจ้า เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกนั้น เชื่อตามนั้นจริง มันค่อยๆ ไหลลงไป ไหลลงไปในความคิดจิตใจของเรา ลงไปลึกที่วิญญาณของเรา  มันก็ระเบิดเปรี้ยงออกมาเป็นบิ๊กแบ็ง ที่วิทยาศาสตร์เขาบอก เป็นระเบิดอัศจรรย์ เรียกว่าเนรมิตขึ้นมาเลย เกิดระเบิดใหญ่ขึ้นมาในวิญญาณของเรา เปรี้ยง วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ จึงเกิดความเชื่อด้วยใจแล้วคราวนี้ เชื่อด้วยวิญญาณแล้วว่าคำพูดตะกี้ทั้งหมด มันเชื่อด้วยใจ มันก็ตรงกับพระคัมภีร์บอกไว้ คราวนี้พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ทั้งสองอันครบถ้วนบริบูรณ์ บังเกิดใหม่ รับความรอดนิรันดร์ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เอเมน

ท่านจะได้เข้าใจลึกซึ้งว่าความรอดมันคืออะไร? แล้วมันอยู่กับเราอย่างไร? จะอยู่ไปนานไหม?  ผู้ที่สอนเรา คือพระเยซู

คำว่า “เชื่อในพระบุตร” หรือ “เชื่อในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ความเชื่อได้หยั่งรากลึกในวิญญาณของเขาแล้ว เชื่อแบบไม่หันกลับอีกเลย เพราะมันเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ซึ่งพระเยซูได้เปรียบความเชื่อแบบการสร้างบ้านไว้บนศิลา ในมัทธิว 7:24-29

มัทธิว 7:24-29 “24 “ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และนำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือน คนฉลาด ที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น บ้านก็พังทลายลง” 28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว  ฝูงชนก็พากันเลื่อมใส ในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา”

 

ฝูงชนได้ยิน เลื่อมใส ตื่นเต้นในคำสอนของพระเยซู ในข้อ 29 บอกว่า “เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ” ทำไมเขามีความรู้สึกอย่างนั้น  เขามองดู ไม่เหมือนธรรมาจารย์คนก่อนๆ ที่เคยสอนเรื่องพระเจ้า คนนี้เป็นใคร? เป็นช่างไม้ ชื่อเยซู แล้วทำไมเขาสอน สายตาที่เขาแสดงออก เสียงที่เขาพูดออกมา ทำไมความเชื่อมันล้นไปหมดเลย มันใช่เลย  ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่รู้ว่าคนนี้มีอะไรบางอย่าง มีสิทธิอำนาจ แปลว่าอย่างนั้น ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมแตกต่างจากธรรมาจารย์เหล่านั้น ต่างกันอย่างไร? ง่ายนิดเดียว

นี่ไม่ได้เลียนแบบ นี่เป็นตัวจริง เสียงจริง ธรรมาจารย์ฟาริสีแต่ก่อนนั้น เป็นเหมือนตัวแทนของพระเจ้า มาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง ตอนนี้พระเยซูเป็นพระเจ้า … พระเจ้ามาพูดเอง เป็นตัวฉันเอง

เพราะฉะนั้น ท่านแน่ใจเลยนะคำพูดต้องเน้น ย้ำ มันชัด เพราะเป็นตัวเขาเองเป็นคนพูด เพราะฉะนั้นคนฟังก็จะรับได้ พูดเรื่องพระเจ้าแปลกกว่าคนอื่นมากเลย ก็พระองค์พูดเอง นี่แหละคือสิ่งหนึ่ง สามารถสังเกตได้ การสร้างบ้านบนศิลา ก็คือการวางรากฐานของความเชื่อไว้ที่ศิลา ก็คือพระเยซู ซึ่งบอกมาตั้งแต่ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมแล้ว พระเยซู คือ The rock พระเยซูคือศิลา

การวางรากฐานของความเชื่อไว้ที่ศิลา ก็คือไว้ที่พระเยซูคริสต์ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ได้รับความรอดนิรันดร์ ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา ลมพัดกระหน่ำ แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากที่แข็งแกร่งอยู่บนศิลา คือชีวิตของคนๆ นั้น อยู่แข็งแกร่งได้ เมื่อวันที่มีการทดสอบความเชื่อ วันที่ฝนตก พายุกระหน่ำอย่างแรง เป็นการทดสอบว่าบ้านนั้น แข็งแรงจริงไหม? ในชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ฝนกระหน่ำ พายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง มารมาฟ้องเราทุกวัน มารมีหน้าที่ฟ้องมนุษย์  ฟ้องคนนั้นแหละ

“เธอทำบาป เธอเป็นคนบาป เธอเป็นคนไม่ดี เธอตกนรกแน่ เธออย่างโน้น เธออย่างนี้”

แล้วความเชื่อเรามั่นคงไหม? ที่จะตอบว่า …

“ไม่ ฉันได้รีบความรอดนิรันดร์แล้ว ฉันเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ฉันได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์แล้ว ตรงนี้หมายถึงสร้างชีวิตเราบนความเชื่อ บนศิลา มันแปลว่าอย่างนั้น แต่ถ้ามารบอก …

“แกเป็นคนบาป แย่แล้ว ตกนรกแน่”

เราบอก “ไม่หรอก ฉันทำดีตั้งเยอะ ฉันไม่เป็นหรอก”

นั่นแหละ วันหนึ่ง เมื่อมีพายุเข้ามา แรงขึ้นๆ ท่านจะอยู่ไม่ได้ ท่านก็จะ …

“ไม่ได้รับความรอดแน่ ฉันทำไม่พอ ฉันต้องทำเพิ่มอีก ฉันต้องทำความดีเพิ่มอีกๆ”

ซึ่งมันไม่มีวันพอหรอก มันไม่มีวันหมด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างไป เมื่อวันพิพากษามาถึง ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย ถ้าเรามีรากฐานแห่งความเชื่ออยู่ที่พระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับความรอดนิรันดร์ เมื่อถึงวันพิพากษา พระเยซูบอกว่ามนุษย์ทุกคน ทุกวิญญาณจะต้องมายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะถามง่ายๆ ว่า …

“ใครบาป ใครไม่บาป”

แน่นอนทีเดียว พวกเราที่เชื่อในพระเยซูแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราพูดโดยธรรมชาติเราเอง เราไม่ได้เสแสร้ง พูดเร็วมากเลย  ถามปุ๊บ ตอบปั๊บเลย

“บาปหรือเปล่า?”

“ไม่บาป”

“ไปสวรรค์หรือเปล่า?”

“ไปสวรรค์”

“สะอาดหมดจดหรือยัง?”

“สะอาดหมดจดแล้ว”

เพราะอะไร? เพราะเราเชื่อในพระเยซูแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณเราใหม่เอี่ยมไปแล้ว บาปคืออะไร? ไม่รู้เรื่องเลย  แต่อีกฝั่งหนึ่งจะแกล้งพูดได้ไหม?

“เชื่อพระเยซู” มันไม่มีทาง เพราะว่าวิญญาณมันดำมืด สกปรก

นี่แหละคือที่พระเยซูสอน อุปมาเพียงนิดเดียว แต่ความหมายลึกซึ้งมาก ผมถึงบอกว่าให้ใช้เวลาสักนิดหนึ่ง ในเรื่องของซีรี่ส์นี้ อุปมาคำสอนของพระเยซู ซึ่งมีเยอะแยะจะค่อยๆ ทยอยเอามาเรียนรู้ มาเจาะทะลุความหมายอันลึกซึ้งนี้ด้วยกัน แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ ขอไปเรื่อยๆ แสวงหาไปเรื่อยๆ แล้วท่านก็จะรู้ลึกซึ้งไปด้วยกัน แต่ถ้าเราวางรากฐานอยู่บนความเชื่ออื่น วางรากฐานอยู่บนการกระทำของตัวเอง พึ่งในตัวเอง เย่อหยิ่ง ดื้อ ไม่ฟังพระเจ้า  เราจะต้องกระทำดีด้วยตนเองสิ ขณะที่พูดอย่างนี้ คือกำลังเย่อหยิ่ง กำลังดื้อกับพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าบอกเชื่อในพระเยซู

“แกทำด้วยตัวเองไม่ได้ แกไม่รอดหรอก แกอ่อนแอ”

เราบอก “ไม่ ฉันจะทำด้วยตัวเอง”

พระเจ้าบอก “เชื่อในพระเยซู พระเยซูมาช่วย”

“ไม่เอา ฉันไม่เอาพระเยซู ฉันจะช่วยตัวเอง”

ตรงนี้แหละคือความเย่อหยิ่ง ตรงนี้แหละความดื้อด้าน ก็จะเป็นเหมือนในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ที่เราอ่าน พระเยซูบอกก็จะเป็นเหมือนกับคนโง่ที่สร้างบ้านบนทราย เมื่อฝนตก น้ำท่วม บ้านก็พังทลายลง เมื่อถึงวันพิพากษา ก็ต้องอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับสวรรค์นั่นเอง

พระเยซูกำลังเน้นย้ำให้เราเห็นภาพและเข้าใจว่าความเชื่อที่แท้จริง ที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร?  ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าไม่ใช่ว่าทุกคนพูดว่าเชื่อพระองค์ จะได้รับความรอดหมด  ไม่ใช่ทุกคนพูดง่ายๆ ว่า …

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันได้รับความรอดแน่นอน”

No  ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในจิตใจของเขานั้น  มันเป็นอย่างไร? ไม่ใช่อยู่ที่ปากพูด พูดๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามีใครรู้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่รู้ กับพวกเรา รวมทั้งตัวเราเอง และคนข้างเคียง ถ้าเผื่อเข้าใจและสนิทกับคนๆ นั้น สามารถจะเห็นรางๆ แต่ไม่แน่ใจ ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นรางๆ ได้ว่าอย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านเห็นบ่อยๆ ว่าสามารถตรวจสอบตัวเองได้นิดหนึ่งว่าเราได้รับความรอดจริง ถ้าเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์จริงๆ เราจะไม่ไปปฏิบัติ พิธีอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับกิจการที่เกิดขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิญญาณเด็ดขาด อย่างเช่นไปทำบุญทำทาน เพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เราจะไม่ทำเลย เพราะเรารู้ว่าเราได้ดี เพราะเราเชื่อในพระเยซู ไม่ใช่ตัวเราเอง ไม่ใช่ผมพูด เพื่อจะมาต่อต้านกับการกระทำดี ไม่ใช่นะ คนละเรื่องกัน การกระทำดี ต้องทำอยู่แล้ว และดีอยู่แล้วด้วย พระเจ้าเป็นความดี และเราเป็นลูกพระเจ้า เราเป็นลูกแห่งความดี และเป็นความดีที่อยู่ในตัวเอง เราทำดี เพราะธรรมชาติของเราอยู่แล้ว เราเป็นปลาที่อยู่ในน้ำ เราว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว ไม่ได้มาพูดให้เรามาอยู่บนบก ไม่ใช่ แต่กำลังจะบอกท่านว่าเราสามารถเช็คตัวเองได้ว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงไหม? เมื่อถึงวันพายุพัด มารมาฟ้องเรา เราตอบมารได้ชัดเจน หรือทันทีไหม? หรือเราคิด ก็ไม่แน่ใจ รับความรอดจริงหรือ?

“รับความรอดได้อย่างไร เมื่อวานนี้ ยังไปทะเลาะกับเขาอยู่เลย” เออ! จริง

เอาอีกหลายอัน วันก่อน ก็ทะเลาะกัน ลืมสารภาพบาปกับพระเจ้า เราคิดอย่างนี้ไหม? หรือเราสบายมากเลย หลับ หรือตอนไหนก็ตาม หรือแม้แต่ตะกี้นี้ ขับรถมา รถตัดหน้า ด่าเขาเสียๆ หายๆ มันหงุดหงิด โกรธมากเลย ขับรถไม่มีมารยาท มาละเมิดสิทธิ์เราอะไรแบบนี้ เสร็จแล้วเราก็ลืมไปแล้ว เราก็ยังคงอยู่ที่ความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนเดิมหรือเปล่า? หรือเรากลุ้มใจตลอดมา เราตกนรกไปตั้งนานแล้ว เดี๋ยวต้องรอให้เงียบๆ ให้นิ่งๆ ก่อน แล้วสารภาพบาป จะได้ฉลองใหม่อีกทีหนึ่ง อย่างนั้นหรือ?  ท่านลองไปคิดเอง ก็แล้วกัน อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวท่านกับพระเจ้าว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ท่านลองไปเช็คดู

คำสอนของพระเยซูส่วนใหญ่ พระองค์จะสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบทั้งสิ้น เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมต้องสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบ ทำไมไม่สอนง่ายๆ ตรงๆ สาวกสมัยนั้น ต้องไปถามพระเยซูอีกทีว่า …

“พระองค์เมื่อตะกี้นี้พูดแปลว่าอะไร?”

พระองค์ต้องมาอธิบายอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่รู้หรอก แต่วันหนึ่ง เมื่อวันที่เขาบังเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณเข้ามาอยู่ในตัวเขา เขาจะเริ่ม อ๋อ! เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะดึงเอาถ้อยคำเก่าๆ ที่พระเยซูเคยพูดออกมา

“วันนั้น พระเยซูพูดเรื่องนี้”

อ๋อ! ใหญ่เลย มาจากข้างใน มันเป็นอย่างนี้ เราได้ง่ายกว่าเขา เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราฟังนิดหน่อย  ก็เข้าใจ  ชี้ให้ท่านนิดหนึ่ง ท่านก็อ๋อตลอดทางแล้ว เพราะฉะนั้น คนสมัยก่อนก็ถามพระเยซูอย่างนี้แหละ มัทธิว 13:10-17

มัทธิว 13:10-17 “10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์ และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา” 11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ 12 ผู้ใดมีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้น จนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ซึ่งเขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา 13 ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคำอุปมา คือ “แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจ 14 เป็นจริงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์ 15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู เข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย 16 แต่ตาของท่านเป็นสุข เพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุข เพราะได้ยิน 17 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมาย ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น   ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน”

 

ที่พระเยซูสอน เป็นอุปมาเหล่านี้ เรื่องอาณาจักรสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? มนุษย์จะไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสวรรค์คืออะไร? พระเยซูบอกว่าความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ให้พวกเขารู้

“พวกท่าน” คือพวกสาวกที่ยอมจำนน คือถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง ฟังพระเยซู ทั้งๆ ที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ตามตลอด เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจคงไม่เข้ามาถาม เพราะเขาอยากรู้ คนเหล่านี้ คือคนที่จะได้รับรู้ความลับของพระเจ้า เกี่ยวกับสวรรค์ ถ้าท่านอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต้องทำตัวอย่างนี้ ไม่รู้ก็เคาะต่อไป ไม่รู้ ก็หาต่อไป ไม่รู้ แล้วทำอย่างไรต่อ

“เปิดตาลูกทีๆ” เดี๋ยวก็จะค่อยๆ รู้ขึ้นมาเอง

ต่อไปว่า “แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้” พวกเขา คือพวกที่ไม่ถ่อม ไม่ยอมรับ แต่ดื้อ เย่อหยิ่งจองหอง จะไปรู้ได้อย่างไร? นี่เรื่องธรรมดา ไม่มีวันที่จะรู้เรื่องอะไรเลย ฟัง

“นี่เป็นใคร เป็นช่างไม้ เราก็รู้ตั้งเยอะแล้ว เราเป็นใคร? เราเรียนพระคัมภีร์เดิมตั้งเยอะแยะ เราจำได้หมดแล้ว”

เปาโลก็เป็นหนึ่งคนในสมัยนั้น “เราลูกศิษย์กามาลีเอล เราเรียนตั้งเยอะแยะ แล้วนี่เป็นใคร?  แค่เด็กๆ อายุ 30 ปีเศษๆ อาจจะ 31 มาสอนเรื่องพระเจ้า ทำเป็นแน่ จับมาสอบสวนหน่อย”

นี่แหละคือคนเหล่านั้น ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นความจริงอะไรเลย เพราะเขาดื้อ เย่อหยิ่งจองหอง ในข้อ 15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหู เปิดตา คือตาและหูทางวิญญาณ ไม่รับ มันก็ไม่มีทาง ถ้าเขาหันกลับมา ถ้าเขายอมที่จะเปิดหูฝ่ายวิญญาณ และตายฝ่ายวิญญาณ ฟังที่เราพูด …

“เราจะรักษาพวกเขาให้หาย”

ในพระคัมภีร์เขียนไว้ ถามว่าหายจากอะไร? หายจากบาป เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ พวกนั้นก็คิดในใจ แน่จริงทำไมไม่รักษาคนนี้ให้หาย เพราะรักษาให้หายแล้ว รักษาให้หายหมด พระเยซูไปโรงพยาบาลเลยสิ เขาก็คิดอย่างนี้ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องวิญญาณเลย ความเย่อหยิ่ง ทำให้คนเราปิดความจริงทั้งหมด อันนี้เอามาใช้ได้ในวิชาอื่นๆ ด้วย ในชีวิต ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง อวดดี เราจะไม่ได้รับอะไรเลย แต่ถ้าเรายอมถ่อมใจ ตั้งใจ น้อมใจฟังบ้าง มันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพระเจ้ามาก ถึงมากที่สุด

ในนี้บอกว่า “ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน”

หมายถึงในอดีต อย่างที่ตะกี้นี้ผมพูดผู้เผยพระวจนะ ก็คือตัวแทนพระเจ้าในอดีต ผู้ที่ศึกษาพระเจ้าในอดีต เขาศึกษาในพระคัมภีร์เดิม เขาอยากจะเห็นพระเจ้ามาก เขาอยากจะรู้ว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของเขา ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่หน้าแรกของปฐมกาล อยากได้ยินเสียงของคนนั้นเลยว่าเป็นใคร? เขาอยากจะเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้เห็น แต่พวกท่านเห็น พวกท่านได้ยินเลย พระมาซีฮาห์พูดเอง พระเจ้าพูดเอง เห็นไหม? ต้องถ่อมใจขนาดไหน ถึงจะรับเรื่องนี้ได้ว่าไม่ได้มาฟังคนบ้าพูดเรื่องสวรรค์ มันต้องอยู่ที่ใจเขาจริงๆ วิญญาณเขาจริงๆ

พระเยซูกำลังอธิบายว่าพระเจ้าทรงทราบดีว่าท่ามกลางชนชาติยิวนั้น มีคนเย่อหยิ่งอยู่มากมาย  เพราะเขานึกว่าเขาเป็นชนชั้นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เพราะเป็นคนที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า มีเส้นใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่มีเส้นเลย เขาคิดอย่างนี้ เขาเลยเย่อหยิ่งไง แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น พระเจ้าเลือกชาวอิสราเอลมา เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ทั้งหมดนั่นเอง ไม่ใช่เลือกมาเพื่อให้เป็นชนชั้นพิเศษ รักมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เท่ากัน แต่เลือกมาเป็นชนกลุ่มแรก เพื่อจะมาใช้งาน พูดง่ายๆ เป็นตัวแทน เพื่อให้พระเยซูคริสต์มาเกิด เพื่อให้แผนการของพระองค์ ในการช่วยมนุษย์ทั้งหมด  ทั้งโลกให้ได้รับความรอดจากบาป มันสำเร็จ แต่เขากลับนึกว่าเราชนชาติพิเศษ ก็เลยเกิดความเย่อหยิ่ง ทำให้เกิดจิตใจที่ดื้อด้าน ไม่เปิดหู เปิดตา พระมาซีฮาห์มาแล้ว พระเมสโปดกมาแล้ว พระผู้ช่วยให้รอดมายืนต่อหน้า พูดให้เขาฟังแล้ว ไม่เชื่อไม่พอ ยังจับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขนอีก

การที่มาเปิดใจยอมรับพระเยซู และเข้าใจในคำสอนของพระองค์ ต้องอาศัยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือถ่อมใจ  ที่เรามาถึงความรอดทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเราถ่อมใจ และจากนี้ต่อไป ถ้าเราอยากเจริญเติบโตในวิญญาณต่อไป รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราต้องถ่อมใจ อยากได้พระพรมากขึ้น ต้องถ่อมใจ สวรรค์เป็นของเราแล้ว แต่การดำเนินชีวิต เราต้องถ่อมใจ เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ถ่อมใจ คำว่า “ถ่อมใจ”หมายถึงการยอมรับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ เพราะเราเป็นมนุษย์  แต่เราเชื่อฟัง  พระเจ้าสอนเราในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? แล้วเราใช้ความเชื่อเอา ตรงนี้แหละเขาเรียกว่าถ่อมใจ ตั้งใจฟังและปฏิบัติตาม

ปฏิบัติตาม หมายถึงพระเจ้าบอกให้เชื่อพระเยซู เราเชื่อ พระเจ้าบอกพระเยซูเอาบาปออกไปหมดแล้ว เชื่อ มันหมายถึงอย่างนั้น  พระเจ้าบอกเราช่วยตัวเองไม่ได้เลย ไม่มีทางพึ่งตัวเองได้เลย ต้องเชื่อพระเยซู 100% เชื่อตามนั้น นั่นคือปฏิบัติตาม ไม่ใช่ปฏิบัติตาม คือไปอดอาหารเหมือนพระเยซู ไม่ใช่อย่างนั้น คนละอันกัน แต่คนที่เย่อหยิ่งมักจะตรงกันข้ามกับพระเจ้า คือพึ่งตัวเอง ไม่เปิดใจรับฟัง ก็จะยิ่งห่างจากความจริง ในถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คือไม่ยอมรับฟัง ไม่เปิดใจรับฟัง แถมเถียงพระเจ้าอีก พระเจ้าบอกมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ เราต้องพึ่งพระเยซูอย่างเดียว เราไม่มีทางทำดี แล้วจะได้รับความรอด อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ พูดอย่างนั้นอีก มันเหมือนพูดแล้ว จะทำให้เข้าใจแบบมนุษย์ มันไม่มีทางเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย สำหรับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้า มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ และก็เป็นคนบาป ไม่มีทางที่จะไปเทียบพระเจ้าได้ แล้วความคิด วิถีทางของพระเจ้า ก็ไม่ใช่ทางของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเทียบกันได้เลย เราต้องถ่อมใจอย่างเดียว  และใช้ความเชื่ออย่างเดียว

ทำไมเราถึงมาเรียนเรื่องคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้นทางเดียว คือทางที่จะไปหาพระบิดา ทางที่จะไปสวรรค์ ทางที่จะรอดจากนรก ทางที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้าได้นั่นเอง พระองค์เป็นทางเดียว เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้ถ้อยคำที่พระเยซูคริสต์สอน ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำตรงไหนก็ตามที่เป็นคำอุปมา อาจจะไม่ค่อยเข้าใจตอนนี้ แต่เดี๋ยวเราจะเข้าใจมากขึ้น เพราะคำอุปมานั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ทางที่จะไปหาพระเจ้าทั้งสิ้น

และการจะฟังเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ให้มากที่สุด จะต้องถ่อมใจ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ฟังซีรี่ส์นี้ ก็จะต้องถ่อมใจ เปิดใจรับฟัง และต้องพยายามตั้งใจด้วย  ตั้งใจไม่สำคัญเท่ากับถ่อมใจ ตั้งใจไม่ใช่พูดไปตามประสาของครูที่สอนบอก ตั้งใจฟังนะ มนุษย์เราอ่อนแอ ตั้งใจที่สุด ทำอย่างไร? ก็มันง่วงอีกแล้ว ตั้งใจที่สุดทำอย่างไร? ก็นั่งมาตั้งแต่ 10 โมงแล้ว บางคนมา 10.30 ปวดฉี่แล้ว ออกไปฉี่ กำลังฟังสนุกๆ นี่แหละคือความอ่อนแอของมนุษย์ เดี๋ยวต้องฉี่ เดี๋ยวปวดท้อง เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวกินข้าว เดี๋ยวง่วงนอน จริงๆ ตั้งใจไหม? ตั้งใจ แต่มันได้แค่นี้ แต่ถ่อมใจทำได้ไหม? ถ่อมใจมีอุปสรรคไหม? ไม่มีเลย หลับไป ก็หลับด้วยความถ่อมใจ อยากตั้งใจฟัง แต่ร่างกายมันทนไม่ไหว หลับ

พระเยซูอยู่ที่สวนเกเสมนี มาเจอสาวกบอก …

“สาวกเดี๋ยวอธิษฐานกับเราหน่อย”

สาวกบอก “แน่นอนๆ อาจารย์ เราอยู่ เราไม่ทิ้งท่านอยู่แล้วล่ะ อธิษฐาน”

พอไปแป๊บหนึ่ง กลับมาถึง สาวกหลับสบาย พระเยซูพูดว่าอย่างไร? …

“จิตวิญญาณมันพร้อม แต่ร่างกายมันอ่อนแอ”

แล้วทำอย่างไร? พระเยซูปลุกเขาขึ้นมาไหม? ไม่ปลุก

คำสอนของพระเยซูเป็นอุปมาหมดเลย ในพระคัมภีร์ ซึ่งอย่างที่บอกว่าจะเป็นเรื่องของสวรรค์และการบังเกิดใหม่ของมนุษย์ (บังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ชาวอิสราเอลในสมัยนั้น ชื่อนิโคเดมัส เป็นอาจารย์ระดับสูง แอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน

“อาจารย์ ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ มันแปลว่าอะไร? มนุษย์ต้องมุดเข้าไปในมดลูกของผู้หญิงอีกครั้งหนึ่งเหรอ”

ท่านลองคิดดูสิ แสดงว่าเขาเชื่อจริงๆ เขากล้ามาถามอย่างนี้ ตกลงบังเกิดใหม่ในวิญญาณ คืออะไร? ไม่รู้ แต่วันนี้จะเริ่มรู้แล้ว พระเยซูจะเริ่มสอน เราจะมาเริ่มอุปมาคำสอนของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว 9:14-15

มัทธิว 9:14-15 “14 ฝ่ายสาวกของยอห์นมาทูลถามพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์กับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ ไม่ถืออดอาหาร” 15 พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร”

 

เอเมน เพราะเราเชื่อว่าพระเจ้าพูดอย่างนี้ เราถ่อมใจ เราก็เอเมนไว้ก่อน แต่รู้เรื่องไหม? ไม่รู้ สาวกของยอห์นมาทูลถามพระเยซูว่า …

“พวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ไม่ถืออดอาหาร”

ความหมายตรงนี้ ต้องอธิบายที่มาก่อนว่าประเพณีของศาสนายิวในสมัยนั้น เขาถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ทางศาสนา ที่จะมีช่วงกำหนดเวลาที่ชาวยิวทุกคนจะถืออดอาหาร แต่ละปี แต่ละช่วง เพื่อเป็นการสำนึกบาปของตนเอง เขาเรียกว่าสารภาพบาป คนละอันกับที่ผมอธิบายไปตอนต้น เพื่อสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป พระเจ้าสั่งไว้ รวมทั้งเป็นการอธิษฐานอ้อนวอน ทูลขอพระเมตตา จากพระเจ้าในเรื่องอื่นๆ ด้วย คือเน้นเรื่องใหญ่ อดอาหาร เพื่อให้รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป นี่พระเจ้ายอดเยี่ยมขนาดไหน? วางแผนการตั้งแต่โน้นเลย เตือนมนุษย์ตลอด

“เธอเป็นคนบาปนะ”

เพราะฉะนั้น เมื่อพวกชาวยิวกับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่สาวกของพระเยซูไม่ได้ทำ สาวกยอห์นก็เลยเข้ามาถามว่าทำไมสาวกของพระเยซู ไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติศาสนายิว ขณะนั้น แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไรครับ?

“จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร? สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร”  เอเมน

เข้าใจไหม? รู้เรื่องไหม? ไม่รู้ จะไปรู้ได้อย่างไร? ตอบอย่างนี้ คือตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวแล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเทศกาลถืออดอาหาร ตอนนั้นนะ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่าถ้าหากมีการเฉลิมฉลองอะไรตอนนั้น ก็สามารถหยุดพักการอดอาหารไว้ก่อนได้ เช่น ถ้าใครมีงานแต่งงานตอนนั้น พิธีอดอาหาร ก็สามารถที่จะยกเว้นไม่ทำได้ พระเยซูจึงตอบไปว่า …

“ทำไมจะต้องอดอาหาร ก็ในเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่เลย”

ทุกคนก็คิด “งานอะไร?”

การฉลองงานแต่งงานยังไม่เลิกเลย  จะให้แขกมาอดอาหาร ทำตัวเศร้าโศกต่อหน้าเจ้าบ่าวได้อย่างไร? พระคัมภีร์จะเปรียบพระเยซูเป็นเหมือนเจ้าบ่าว และมนุษย์ทุกคน คริสตจักรเป็นเจ้าสาว ที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต พระเยซูกำลังบอกว่า …

“ฉันเป็นเจ้าบ่าวยังอยู่เลย กำลังจะฉลองงานแต่งงานแล้ว จะไปอดอาหารทำไม?”

ดูสิ พระเยซูกำลังพาเราไปไหน? “สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป จากเขา”

“เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป” เจ้าบ่าว คือพระเยซู สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วเขาจะอดอาหาร พอนึกออกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าผู้ที่ติดตามพระองค์ ยังไม่ต้องโศกเศร้าตอนนี้ ยังไม่ต้องอดอาหารตอนนี้ เพราะพระองค์ยังอยู่ด้วย  เดินอยู่กับเขาตอนนี้ แต่จะมีเวลาที่พระองค์จะไม่อยู่ด้วย คือถูกเขานำตัวไป เมื่อถึงเวลานั้น คนที่ติดตามพระองค์ คือพวกสาวกทั้งหลาย ก็จะเศร้าโศกเสียใจ ถึงตอนนั้น พวกเขา สาวกเหล่านี้จะอดอาหารเอง เห็นหรือยังพระเยซูกำลังพูดถึงอะไร?

ในพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงการปฏิบัติศาสนกิจของฟาริสี บางพวกว่าเป็นเพียงการกระทำ เพื่อโอ้อวด คือไปยืนตามศาลา ให้คนทั่วไปมองเห็น แล้วเขาทำตัวโทรมๆ ทำตัวสกปรก เพื่อให้คนมองว่าตนเองเคร่งศาสนา ไม่ได้เป็นการถ่อมใจอย่างแท้จริง แต่พระเยซูบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า สาวกของพระองค์จะอดอาหารอย่างจริงๆ เป็นการอดอาหารด้วยความทุกข์โศก อย่างแท้จริงเลย ไม่ใช่เป็นการทำ เพื่อโอ้อวด แบบฟาริสี ตรงนี้พระเยซูกำลังหมายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ที่สวนเกทเสมนี แล้วถูกจับไปในคืนวันนั้น ถูกนำตัวไปจากเขา คือสาวกที่เดินกับพระองค์ พระเยซูถูกจับไป แค่นั้นไม่พอ รุ่งขึ้นถูกตรึง ทุกคนตกใจ วิ่งหนีกันไปบ้าง? เศร้าโศกหนักเลย

“อาจารย์อยู่ไหน? พระเยซูที่เราเชื่อ ตกลงเป็นพระเจ้าจริงหรือ? แล้วทำไมถึงแพ้เขาล่ะ”

แล้วท่านลองคิดดู ตายไป เห็นต่อหน้าต่อตา 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ แต่ไม่ใช่เห็นเป็นขึ้นมาใหม่ทุกคน อยู่กับสาวก 40 วัน ไปอีกแล้ว ไปหาพระบิดา บอกว่า …

“พวกเธอไปไม่ได้หรอก ฉันไปคนเดียว”

ตกใจเหมือนกัน อดอาหารอธิษฐาน แล้วพระองค์บอกว่า “เดี๋ยวจะกลับมาใหม่” เดี๋ยวของพระองค์เมื่อไร? ไม่ได้บอก อาจจะอีก 10 ปี 20 ปี อีก 100 ปีหรือเปล่า? ฉันตายไป จะกลับมาหรือเปล่าไม่รู้เลย พวกเขาต้องถ่อมใจเชื่อฟัง และใช้ความเชื่อในคำสั่ง ไปรออยู่ชั้นบน อดอาหารอธิษฐาน ไม่ได้บอกว่ากี่วัน? แต่สุดท้ายเขาเขียนว่าเขาอดอาหารอธิษฐานอยู่ 10 วัน วันที่ 10 พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วยกับเขา ตกใจเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ลงมาคราวนี้มาติดสนิทอยู่กับเขาเลย มาเป็นพระเจ้าของเขา มาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับมนุษย์เลย นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนเห็นไหม?

คนสมัยนั้น เขาจะเข้าใจมากกว่าเรา เพราะเขารู้จักประเพณี ซึ่งเป็นประเพณีล้วนๆ ของชาวยิว และศาสนายิว คือศาสนายูดาโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น พอพระเยซูพูดสิ่งเหล่านี้  เขาจะรู้หมดเลย แต่พวกเราต้องไปศึกษาเบื้องหลัง เราจึงจะเข้าใจว่าพระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? พระองค์กำลังพูดถึงเรื่องว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ ในขณะที่พระเยซูกำลังพูดอยู่กับเหล่าสาวกนั้น พระองค์ได้เล็งไปถึงการถูกตรึงบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเตรียมมนุษย์ทุกคนที่สกปรก เนื่องจากบาป มนุษย์ทุกคนที่ยังอยู่ในอำนาจของความบาปและความตาย เตรียมให้พวกเขาเหล่านั้นมาสู่ความบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ โดยการไถ่เขาที่ไม้กางเขน ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะได้สามารถมาสถิตอยู่ในตัวของมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นมาไม่ได้ เพราะพระเจ้าพระบิดาเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ได้ถูกชำระให้สะอาดหมดจด พระเจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเยซูไปเตรียมทางนี่แหละ คือทางนั้น ทางที่พระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับมนุษย์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่มนุษย์จะต้องถูกชำระให้หลุดออกจากอำนาจของความบาป ต้องไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เพราะคนบาปเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาต้องเป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระเยซูจึงต้องมาตายที่ไม้กางเขน

เห็นไหม? เรื่องเดียวกัน อุปมานิดเดียว หมายถึงเรื่องนี้แหละ ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับความยุติธรรม หรือความเมตตา หรือความโหดร้ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องของกฎ ที่บอกว่าความสะอาดบริสุทธิ์เข้ากับความบาปและความสกปรกไม่ได้ มันไม่ได้เกี่ยวกัน มันเป็นกฎ เป็นธรรมชาติว่าบาป แปลว่าศัตรู แปลว่าอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เข้ากัน เสียหาย

เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างว่าไฟฟ้าแรงสูง เข้ากับสิ่งมีชีวิตไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ถ้าสิ่งมีชีวิตเข้าไปแตะต้องโดนไฟฟ้าแรงสูง ทั้งคนหรือสัตว์นั้น จะตาย มนุษย์จับไฟฟ้าแรงสูง ตาย แสดงว่าไฟฟ้าแรงสูง โหดร้ายมากนะ แล้วคนที่ไปจับนั้น เป็นคนดีด้วย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ

ในพระคัมภีร์เดิม ก็มีเงาของตัวอย่างอย่างนี้ ซึ่งผมเคยอ่านเจอ และเอามายกตัวอย่าง ในหนังสือ 2 ซามูเอล  นี่คือตัวอย่างของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับความบาปของมนุษย์ได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังบาปอยู่ พระเจ้าต้องอยู่ห่างๆ หรือไม่มนุษย์ก็ต้องอยู่ห่างๆ ถ้าแตะเมื่อไร? มนุษย์ตาย เสียหายใหญ่โต

2 ซามูเอล 6:1-7 ก่อนที่จะอ่าน ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องหีบพันธสัญญาของพระเจ้า สมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าให้สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมา เพื่อจะได้เห็น ได้ว่านี่คือการทรงสถิตของพระเจ้า

เวลาพูดถึงการทรงสถิตของพระเจ้าเฉยๆ คนอิสราเอล มนุษย์ทุกคนก็ยังงง อยู่ตรงไหน? หาไม่เจอ พระเจ้าเลยเอาง่ายๆ สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมา หีบพันธสัญญานี้ แปลว่าการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นี่ ทุกคนก็โอเค พระเจ้าอยู่ที่นี่นะ อยู่ที่พลับพลาที่พระเจ้าให้ทรงสร้าง และมนุษย์ไปแตะต้องไม่ได้ เพราะว่าเหมือนไฟฟ้าแรงสูง เพราะบริสุทธิ์สะอาด มนุษย์สกปรก แตะเมื่อไร? ตายทันที เข้าไปใกล้นิดหนึ่ง ยังตายเลย เพราะฉะนั้น ต้องระวังให้ดี เหมือนกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า บอกช่างไฟฟ้าว่า …

“ระวังให้ดีนะ สายไฟฟ้าแรงสูง มันอันตรายมาก”

คล้ายๆ อย่างนั้น ท่านจะได้เห็นภาพ พระคัมภีร์เดิมก็พูดไว้อย่างนั้น นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้ามีเมตตา หรือไม่มีเมตตา ไม่เกี่ยว แต่เป็นฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันกับความสกปรก หรือความบาปได้ ต้องกระเด้งออกไปเลย พูดง่ายๆ

2 ซามูเอล 6:1-7 เป็นช่วงที่ดาวิดกับอิสราเอลทำสงครามชนะ พระเจ้าอวยพรมาก ก็เลยคิดว่าจะไปอัญเชิญหีบพันธสัญญา ซึ่งหมายถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งอยู่ที่ฟิลิสเตีย จะเอากลับมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะตอนนี้ รวมประเทศอย่างเป็นปึกแผ่นดีแล้ว ก็เลยนึกถึงว่าไปเอามา  เราไปดูนะว่าจะไปเชิญหีบพันธสัญญา เขาทำอย่างไร? เตรียมตัวมากมายเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น

2 ซามูเอล 6:1-7 “1 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้วสามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์แห่งยูดาห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ประทับระหว่างเครูบ บนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโย บุตรอาบีนาดับ เป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้า และอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอล เฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรี ด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขา ที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า”

 

พระพิโรธของพระองค์ ก็พลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ แล้วก็ประหารเขา เข้าใจแล้ว พระพิโรธของพระเจ้า ก็เหมือนไฟฟ้าแรงสูง ช่างไฟฟ้าไปแตะไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้าแรงสูงพิโรธมากเลย ฆ่าช่างไฟฟ้า ซึ่งเป็นคนดี นี่ไม่เกี่ยวกันแล้วนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องคนดีหรือไม่ดีถูกไหม? ความรู้ ความพลาด และธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ จะเห็นว่าอุสซาห์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ในสายตาของมนุษย์ ตั้งใจดีด้วยซ้ำ ที่จะไปช่วยพยุงหรือค้ำ เพราะจะล้ม เหมือนหวังดี แต่กฎก็คือกฎ เหมือนเสาไฟฟ้าแรงสูง ฝนตกมา พายุพัดมา เสาไฟฟ้าเริ่มหักโค่น คนนี้ดีมากเลย รถไปไม่ได้ อุตส่าห์จอดรถ ลงรถมา เพื่อที่จะไปยกเอาเสาไฟฟ้าออกไป คนอื่นจะได้ไปมาได้ ปรารถนาดีไหม? ดี เป็นคนดีมาก เห็นแก่ส่วนรวมด้วย คนอื่นเห็นแก่ตัว มาก็ไป ไม่มีใครยุ่งเลย นี่ดีมาก ก็ไปยก มือไปแตะถูกเสาไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้าแรงสูงฆ่าตายเลย

ก็คล้ายๆ กัน เสาไฟฟ้าแรงสูงฆ่าชายคนนี้

หลายครั้ง ผมพูดเรื่องนี้ไม่ได้มีโอกาสอธิบายละเอียดอีก เพื่อให้ท่านเห็นภาพว่าหลายคนชอบคิดว่า …

“พระเจ้าของเธอโหดร้าย”

“No คุณไม่เข้าใจ คุณเย่อหยิ่งไปหน่อยไหม?  ที่จะพูดอย่างนั้น คุณแน่ใจแล้วเหรอ ในเมื่อพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความสงสาร ไม่เห็นมีตรงไหนบอกเลยว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความโหดร้าย ไม่มี ถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณลองศึกษาดีไหม? อย่าคิดว่าตัวเองแน่”

อย่างนี้ตามภาษามนุษย์ ต้องบอกว่าแน่นอน ไม่ดีแน่ อย่างนี้ พระเจ้าของเธอทำได้อย่างไร? อุสซาห์เขาเป็นคนดีจะตาย อุตส่าห์มาช่วยพยุง ไปฆ่าเขา พระเจ้าไม่ช่วยเขา นี่แหละเขาเรียกว่าความคิดด้านของมนุษย์ มีแต่ความเย่อหยิ่ง ไม่ฟังพระเจ้าพูดว่าอะไร? และไม่เสาะหาว่ามันแปลว่าหรือคืออะไร? เราคงไม่บอกว่า …

“ไฟฟ้าแรงสูงไม่ยุติธรรม ไฟฟ้าแรงสูงโหดร้าย”

ไม่เห็นมีใครพูดเลย ทุกคนยอมรับความจริง เพราะธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น

สรุปว่าพระเจ้าไม่สามารถอยู่กับศัตรู อยู่กับความบาป อยู่กับผู้ที่ต่อต้านพระเจ้าได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด บริสุทธิ์ สะอาดที่สุด ความสกปรก แม้แต่นิดเดียว ก็อยู่กับพระองค์ไม่ได้เลย เพราะมันจะทำลายความสกปรกนั้นออกไป จบเลย มันต้องตาย พูดง่ายๆ มนุษย์แตะพระเจ้าไม่ได้ เพราะมนุษย์สกปรก ถ้ามนุษย์มีบาปแม้แต่นิดเดียว ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่คิดโกรธเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่คิดเกลียดเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่ว่าไอ้บ้า ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นี่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แค่คิดว่าจะไม่ให้อภัยเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  อยู่ในสวรรค์ไม่ได้แล้ว  นี่มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย มันเป็นธรรมชาติของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น มนุษย์จะอยู่กับพระเจ้าได้ มนุษย์ต้องสะอาด 100% เลย ไม่มีจุด แม้แต่นิดเดียว  ไม่เคยคิดสกปรกเลย ทำได้ไหม? ไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตาย ที่ไม้กางเขน  เพื่อขจัดความบาป ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เอาออกไป จากวิญญาณมนุษย์หมดเกลี้ยง หนังสือฮีบรูบอกเพียงครั้งเดียว ที่พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเอาพระโลหิตของพระองค์ไปที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของพระเจ้าในสวรรค์ ชำระบาปมนุษย์เพียงครั้งเดียวพอ หมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือ ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ติ ไร้ตำหนิใดๆ ไม่มีมลทินเลย เอเมน

ถ้าท่านเชื่อ ก็จะได้อย่างนี้ มนุษย์จึงสามารถผ่านทางพระเยซูสะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ เพื่อจะไปจับมือกับพระเยซูได้ จับมือกับพระเจ้าได้ จับมือกับพระวิญญาณได้ เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พระเจ้าจึงเสด็จมาอยู่กับมนุษย์ได้ อยู่ที่วิญญาณของเขา มนุษย์กับพระเจ้าจึงสามารถเข้ากันได้ เพราะพระเยซูมาช่วยนั่นเอง แล้วพระเยซูก็ยกอุปมาที่เขียนลึกซึ้งเยอะแยะมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 5 “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  สิงหาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 5 “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรามาเริ่มรับประทานอาหารทางฝ่ายวิญญาณกันเลย เพราะเราคงหิวกระหาย สัปดาห์หนึ่ง มีอยู่ครั้งเดียวเอง ความจริงควรจะไปฟังทบทวนบ่อยๆ ในยูทูป มีทุกสัปดาห์เลย ทุกช่วงด้วย

เริ่มต้น มาซีรี่ย์เดิม “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 5 ชื่อตอนว่า “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์”

ในการบรรยายเรื่องนี้ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราอ้างอิงถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือฮีบรูมา 4 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 ซึ่งเป็นจดหมายฝากชาวฮีบรู หรือชาวยิว ที่เขียนโดยอัครสาวกของพระเยซูท่านหนึ่ง มีตำราเขาบอกว่าอาจจะเป็นเปาโล อาจจะเป็นคนนั้น คนนี้ แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่รู้ว่าเป็นอัครทูต เพราะว่ามีความรู้จริงทั้งสองด้าน คือทั้งพระคัมภีร์ใหม่และพระคัมภีร์เก่าด้วย เอามาเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน

จดหมายฝากถึงชาวฮีบรู หรือชาวยิวนี้ เขียนในช่วงเวลาประมาณ 30 ปี หลังจากพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งผู้เชื่อชาวยิว หรือชาวฮีบรูในสมัยนั้น  ก็จะมีการแตกแยกในเรื่องของความเชื่อกันอย่างมาก หลายคนยังติดยึดในพิธีกรรมศาสนาเดิม ศาสนายิว ติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ แล้วก็เที่ยวไปสอนคนอื่นแบบผิดๆ หรือไปจ้องจับผิดคนอื่น ก็มี เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือฮีบรู หรือหนังสือสำหรับชาวยิวนี้ จึงเป็นการเขียนมาเพื่อเตือนสติชาวยิว ชาวอิสราเอลให้กลับมาสู่แก่นแท้ของข่าวประเสริฐว่าข่าวประเสริฐ คืออะไร? เมื่อเทียบกับประเพณีเดิม และการเป็นอยู่เดิมๆ ของคนยิว (เท่านั้น) ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย นี่คือพื้นฐาน

ผู้เขียนเขากำลังบอกชาวยิว ว่าให้รู้แก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์คืออะไร? ความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นพระคุณ ไม่ใช่มาจากการกระทำของตัวท่านเอง หรือตัวเราเอง หรือคนยิวเอง เป็นความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลย ในพระเยซูคริสต์ ในหนังสือฮีบรู มีแค่นี้เอง

ชาวฮีบรู หรือชาวยิว ที่หนังสือฮีบรูเขียนไปถึง ก็เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของคนบนโลกนี้ ทุกยุคทุกสมัย ที่ตอบสนองต่อข่าวดีอย่างไร? ทุกยุคทุกสมัยก็จะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ยิว แต่ในหนังสือฮีบรูพูดถึงชาวยิว อย่างเดียว  ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ในพระคัมภีร์นะ มีความแตกต่างกันในการฟังถ้อยคำข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และตอบสนองไม่เหมือนกัน เราเรียนไปแล้วตรงนี้

กลุ่มที่ 1 คือผู้ที่ได้รับข่าวดีของพระเยซูแล้ว แต่ไม่เชื่อเลย คือปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูกันไปเลย เลิกกันไปเลย ซึ่งภาพ เหมือนคนที่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน คนที่จับไป ก็คือคนยิว ไม่เชื่อเลย เป็นช่างไม้เห็นๆ อยู่ แล้วมาบอกว่าเป็นลูกของพระเจ้า อย่างไรก็ไม่เชื่อ

กลุ่มที่ 2 คือผู้ที่ได้รับฟังข่าวดี เรื่องพระเยซูแล้ว เริ่มรับเชื่อ ตื่นเต้น เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เริ่มเชื่อและอยู่ในระหว่างเก็บรักษาความเชื่อ รอวันให้ความเชื่อนั้นดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดออกมาเป็นปากพูดด้วยความเชื่อ จิตใจพูดด้วยความเชื่อ หลุดออกมาจากข้างใน เหมือนหนังสือโรม บทที่ 10 บอกไว้

กลุ่มที่ 3 คือชาวยิวที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซู บางคน เริ่มฟังปุ๊บ …

“ใช่เหรอ ไม่ใช่มั้ง”

แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ยังแอบๆ มองๆ อยู่ แอบๆ ศึกษา เดินตาม แต่ยังไม่แน่ใจ บางคนดีใจเลย …

“ใช่แน่ๆ”

แล้วรักษาต่อไปๆ ไม่ว่าจะถูกอะไรข่มเหง ก็รักษาต่อไป จนกระทั่งข่าวดีหล่นลงไปในวิญญาณ บังเกิดใหม่ เกิดในวิญญาณ ไม่ใช่มุดเข้าไปในครรภ์ของมารดาใหม่ แต่เกิดในวิญญาณ จากข่าวประเสริฐนั้น หล่นลงไปในวิญญาณ เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นอิสระจากความบาป ได้รับความรอดนิรันดร์ รอดแล้วรอดเลย ในพระเยซูคริสต์ นี่คือพวกที่ 3

ถ้ามาเปรียบเทียบกับเรา แล้วเราอยู่ในพวกไหน? และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้จากคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ที่ผมนำมาเปรียบเทียบ ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูได้สอน บรรดาเหล่าสาวก ได้เปรียบเทียบผู้คนประเภทต่างๆ ที่ตอบสนองต่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ โดยเปรียบเทียบข่าวดีนั้น เป็นเมล็ดพืช ลองอ่านทบทวนดูนะ มัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการหว่านเมล็ดพืชกับการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะสามารถสรุปได้อย่างนี้ว่า …

ประเภทที่ 1 เมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดผลอะไรเลย ก็เปรียบได้กับคนที่ได้ยินการประกาศแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ  แล้วยังเย่อหยิ่งอีกต่างหาก ยังไม่เกิดความเชื่อออกมาเลย ก็เปรียบเทียบว่ามาร เปรียบเหมือนนกมาฉกฉวยกินเมล็ดนั้นไปหมดเลย ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีโอกาส ไม่รู้เรื่องเลย พวกนี้เขาเรียกว่าพวกศัตรูของพระเจ้า  หรือเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า คือไม่เชื่อพระเจ้าเลย

ประเภทที่ 2 เมล็ดที่ตกตามกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นอย่างเร็ว แต่อยู่ได้ไม่นาน เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับผู้คนที่ได้ยินพระวจนะ ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่มันไม่ลึกพอ ไม่อดทนพอ คือความเชื่อยังไม่ดิ่งลงไปในใจเลย เลิกเชื่อแล้ว ไม่พยายามที่จะรักษาถ้อยคำข่าวประเสริฐนั้นไว้ จึงอยู่ได้แค่ชั่วคราว มีการข่มเหงรังแกเกิดขึ้น  เกิดการต่อต้าน  เกิดความทุกข์ลำบากบ้าง? ปัญหาบ้าง? จากความเชื่อนั้น ก็เลิกเชื่ออย่างรวดเร็ว คือเลิกเชื่อข่าวดีนี้เลย

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีแต่หนามปกคลุมไม่สามารถเกิดผลได้เลย ก็เปรียบผู้ที่ได้ยินพระวจนะ มีดินอยู่นะ ไม่ใช่ริมทาง ไม่ใช่หิน แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็ไม่ผ่านการทดสอบ การล่อลวงของโลก ระบบของโลกนี้นั่นเอง ลาภ ยศ สรรเสริญพูดง่ายๆ และการล่อลวงนี้ ทำให้เกิดความพะวักพะวน เอาอย่างไรดี จะเอาโลกนี้ หรือเอาพระเยซูดี สรุปสุดท้าย ก็เอาลาภ ยศ สรรเสริญไป เอาโลกนี้ไป ก็คือไม่เกิดผล ความเชื่อ เมล็ดข่าวดีนั้น ก็ไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ไม่เกิดออกเป็นการบังเกิดใหม่ ก็มีค่าเท่ากับไม่เชื่อ

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้ว เกิดความเข้าใจมากหรือน้อยก็ตาม นิดหนึ่งก็ตาม ก็เก็บรักษาตรงนั้นไว้อย่างดีเลย แม้ว่าความเชื่อนิดเดียว เท่าเมล็ดมัสตาร์ด แต่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีเลย ไม่ทิ้งไป ไม่เข้าใจหมด ก็ค่อยๆ รักษาไป ค่อยๆ ติดตามไป ไม่เย่อหยิ่ง จนกระทั่งเมล็ดนั้น ค่อยๆ ลึกลงไป ค่อยๆ งอก จนกระทั่งบังเกิดใหม่ ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเกิดเป็นผล 100 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง 30 เท่าบ้างของที่หว่านออกไป เป็นความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ แล้วแบ่งความรอดนี้ไปให้คนอื่น บางคนก็แบ่งไปได้ 30 บางคนก็แบ่งไปได้ 60 เท่า บางคนแบ่งให้คนอื่นได้ 100 เท่า แล้วแต่พระเจ้าจะนำเขาไปใช้อย่างไร? บางคนก็เป็นต้นไม้ใหญ่ นกกามาอยู่ได้ 100 ตัว บางคนเป็นต้นไม้ใหญ่ นกกามาอยู่ได้ 20 ตัว บางคนนกกาก็มาอาศัยอยู่ได้ 50 ตัว แล้วแต่พระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่เขาหรอก พอเห็นไหม? บางคนเป็นนักประกาศใหญ่เลย ประกาศมีคนมาเชื่อ บังเกิดใหม่เยอะแยะ ก็แล้วแต่เขา ผู้ที่ทำให้เกิดผล คือพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่คนนั้น พยายามก็ไม่ได้นะ

เพราะฉะนั้น จะพยายามเป็นนักเทศน์ก็ไม่ได้ จะพยายามเป็นนักนำนมัสการ นักร้องยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะมันพิสูจน์ง่าย เพราะร้องไป มันเพี้ยนๆ แล้วจะนำนมัสการอย่างไร? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นไปตามของประทานของพระองค์ สร้างเรามาอย่างไร? ก็ไปตามนั้นแหละ เป็นแม่บ้าน ก็ประกาศแบบแม่บ้าน ถ้าไม่ได้เป็นแม่บ้าน ก็อย่าพยายามไปทำอาหาร มันก็กินไม่ได้ มันไม่อร่อย อะไรประมาณนี้นะ

กลับมาที่ชาวฮีบรู ตามหนังสือฮีบรูที่เราได้เรียนกัน ที่บอกว่าชาวฮีบรูมีอยู่ 3 กลุ่ม เหมือนกันไหม?

กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่ปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่เอาเลย เป็นศัตรูเลย

กลุ่มที่ 2 คือกำลังลังเลใจจะเอาอย่างไรดี? ชักเข้าชักออก ชักออกชักเข้า

กลุ่มที่ 3 คือตัดสินใจแล้ว  เก็บรักษาความเชื่อ เชื่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบังเกิดใหม่

กลุ่มแรก คือกลุ่มที่ปฏิเสธ ก็เปรียบเหมือนการหว่านที่เมล็ดตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่กำลังลังเล ก็เปรียบได้กับเมล็ดที่ตกบนกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อยู่ได้ไม่นาน และพวกที่อาจเป็นเมล็ดที่ตกกลางพงหนาม มีหนามเยอะ ดินน้อย ไม่สามารถเกิดได้

กลุ่มที่สาม ก็คือกลุ่มที่ตัดสินใจเชื่อและเก็บรักษาไว้ เชื่อแล้วเชื่อเลย ก็คือเมล็ดที่ตกบนดินดี เกิดผล 100 เท่า 60 เท่า หรือ 30 เท่าของที่หว่านไป

นี่คือเปรียบเทียบกับชาวยิวแล้ว  กลับมาที่หนังสือฮีบรูแล้ว ท่านจะเห็นภาพ อย่างที่ผมบอกแล้วว่าพระเจ้าติดต่อกับชาวยิว ตั้งแต่สมัยโบราณ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกว่าถ้าจะมาอยู่กับพระเจ้า อยากได้พรจากพระเจ้า  จนกระทั่งถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ต้องทำแบบนี้ พูดอะไรต้องเชื่อตามนั้น ไม่ใช่ใช้ความคิดเหตุผลมนุษย์ คิดแล้วคิดอีก คิดๆๆ พระเจ้าพูดอย่างไร? เป็นไปตามนั้น ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเข้าใจ ต้องเชื่อพระองค์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวถูกหลอก

“ฉะนั้น เชื่อฉันอย่างเดียวแล้วกัน ไม่ต้องหันหน้าหันตาไปไหน ไม่ต้องแว๊บไปไหน? มองตรงมาเลย แล้วเดินไป อย่าซ้าย อย่าขวา ทั้งซ้าย ทั้งขวามันมีคนล่อลวง มารล่อลวงอะไรเยอะแยะ อย่ามองๆ มองที่เราโดยตรงเลย”

เหมือนจูงคนตาบอด เรานั่นแหละตาบอด พระเจ้าจูงเราไป

และบทสรุปของกลุ่มผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ หรือเมล็ดที่ตกลงดินประเภทต่างๆ ตรงนี้ คือหนังสือฮีบรู 6:8-9 ที่เราได้สรุปกันไป อ่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะย้ำ

ฮีบรู 6:8-9 “8 ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตราย จากการถูกสาปแช่ง  ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง 9 แต่ … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด”

 

“ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตราย จากการถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง”

“ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กใหญ่” ก็คือเมล็ดที่ตกบนดิน ทั้ง 3 ประเภทแรก คือตกตามทาง ตกตามกรวดหิน ตกบนพงหนาม ทั้ง 3 ชนิดนี้ ล้วนไม่เกิดผลทั้งสิ้น ไร้ค่าทั้งสิ้น ต้องเอาไปเผาทั้งสิ้น

ดิน 3 ประเภทนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับชาวยิวสมัยนั้น ก็คือกลุ่มแรกปฏิเสธข่าวประเสริฐ กลุ่มที่ 2 ลังเล ไม่ได้รับความรอดหมดเลย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าตกอยู่ในอันตราย และถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็ถูกเผาทิ้ง ไม่ว่าจะลังเล ในที่สุด ก็ไม่เชื่อ หรือไม่เชื่อตั้งแต่แรก มีค่าเท่ากัน ก็คือไม่รอดนั่นเอง

มาถึงข้อที่ 9 ที่บอกว่า “แต่พี่น้อง แม้เราจะพูดเช่นนี้ แต่ในกรณีของท่าน ยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่พร้อมกับความรอด (ความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ รอดแล้วรอดเลย) นี่เขากำลังพูดตรงนี้ เพราะเราเป็นประเภทสุดท้าย ประเภทที่ได้รับความรอดแล้ว

“แต่พี่น้องที่รัก” พี่น้องในพระเยซู ผู้ที่ได้ตัดสินใจ เชื่อในข่าวดี และเก็บรักษา จนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ซึ่งเหมือนกับพวกเราที่นั่งที่นี่ บังเกิดใหม่แล้ว เหมือนกับเขา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่า …

“ในกรณีของท่าน ยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลย ในพระเยซูคริสต์”

เอามาใช้กับพวกเราได้ ขณะนี้ เราเชื่อพระเจ้าจนกระทั่งบังเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่ดีกว่าอยู่ในตัวเราหมดเลย ก็คือได้รับความรอด รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ ถามว่ามีอะไรบ้างครับ สิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด ที่สามารถมั่นใจได้ว่าท่านได้รับแล้วแน่นอน ทุกวันนี้ได้รับแล้วด้วย ท่านปิ๊งขึ้นมาเมื่อไร รอดในพระเยซูคริสต์เมื่อไร ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณท่าน ท่านได้สิ่งเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ที่เราเรียกว่าความรอด

รอดนิรันดร์ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ชำระวิญญาณของท่าน จากคนบาป ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ บริสุทธิ์เท่าพระเจ้า เพราะเป็นลูกของพระเจ้า  และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ ไม่มีบาปเหลืออยู่ แม้แต่นิดหนึ่ง ใสกริ๊งเลย พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้ตลอด ตะกี้นี้บอกว่ารอดแล้ว รอดเลย จากนี้ต่อไปเราไม่ป่วยเลย เอเมน ต่อไปนี้รวยอย่างเดียว ซื้อล๊อตเตอร์รี่อะไรก็ถูกหมด เอเมน เราทุกคนต้องมีรถใหม่หมด เอเมน พอบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด พ้นมลทินต่างๆ พ้นบาปเวรกรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่เอเมนเลย นิสัยของมนุษย์ภายนอกเป็นอย่างนี้  แต่ในวิญญาณกำลังตะโกนลั่นเลย  ใช่แล้ว ถูกต้อง แต่มันไม่ออกมาเท่านั้นเอง เหมือนกับหลายครั้ง ที่เรารักคนนี้มาก แต่มันอดไม่ได้ที่จะขอด่าหน่อย พอด่าไปแล้วเราก็ …

“ขอพระเจ้าอภัยให้ลูกด้วยเถิด”

เหมือนลูกเรา เราก็ว่าแรงๆ แต่จริงๆ เรารักเขา ข้างนอกอาจจะโมโห แต่ข้างในร้องไห้อยู่ อย่างนี้ วิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า และสะอาดหมดจด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ พระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ เราก็มีหน้าที่ที่จะเชื่อเอา ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจ สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร? เมื่อตะกี้ยังไปว่าเขามาเลย เมื่อวานยังคิดโลภอยู่เลย ถ้าอย่างนั้น เขาเรียกไม่เชื่อแล้ว

ในพระคัมภีร์ที่เราอ่าน ยังมีสิ่งดีกว่า หรือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด ก็คือรอดจากการพิพากษาของพระเจ้า พิพากษาว่าอะไร? …

“คุณเป็นคนบาป ต้องลงนรก”

เขากลัวตรงนี้ แต่เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับความรอดนั้น ก็คือนอกจากพระเจ้าจะไม่พิพากษาท่านแล้ว ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ตาม ยกให้ท่าน วิญญาณท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว แค่นั้นไม่พอ แต่รับมาเป็นลูก วิญญาณสะอาดหมดจด เหมือนพระองค์เลย อยู่ในพระคริสต์ และจะร่วมครองราชย์กับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ เป็นทายาทที่มีมรดกด้วย นี่คือสิ่งที่ดีกว่า ที่ชาวยิวคิดไม่ถึง แค่ได้รับการอภัยโทษ เขาก็ดีใจแล้ว

ชาวยิวกับคำว่า “รอด” ตั้งแต่อดีตแล้ว มีแค่นี้เอง รอดจากการพิพากษา

ถามทุกคนมาเรียนถึงตรงนี้แล้ว มั่นใจไหมว่าเราได้รับความรอดแล้ว รอดแล้วรอดเลยหรือเปล่า?  รอดนิรันดร์ไหม? ใครที่บอกว่ามั่นใจ 100% ผมให้อ่านข้อความนี้ แล้วดูว่าจะตกใจไหม? ผมเชื่อว่าทุกคนมั่นใจแล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกตรงหมดเลย ชัดหมดเลย ยึดอย่างไร ก็ใช่หมดเลยว่าเราได้รับ รอดแล้ว รอดเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สะอาด หมดจดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม ทุกคนยอมรับตรงนี้หมด 100% แต่ว่าพอผมอ่านฮีบรู หนังสือเดียวกันนี้ เรื่องเดียวกันนี้  ทุกคนก็ตกใจ ที่เราได้ยินมา ทำไมมันเป็นอย่างนี้

ลองอ่านดูในฮีบรู เหมือนกัน จากบทที่ 6 เมื่อกี้นี้ ผู้เขียนเขาก็บรรยายเปรียบเทียบระหว่างพระเยซูคริสต์กับโมเสส … โมเสสพระเจ้าใช้ในเรื่องพิธีกรรม ให้ผู้คนได้ปกคลุมบาปของตัวเอง ปีต่อปี เพื่อเล็งให้เห็นพระเยซูคริสต์จะมา แค่นั้น พอบทที่ 10 เขาก็กลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีก ฮีบรู 10:26-27

ฮีบรู 10:26-27 “26 หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก ก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ 27 มีแต่รอคอยด้วยความหวาดกลัว ถึงการพิพากษา และไฟร้อนแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูของพระเจ้า”

 

ข้อที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ ที่บอกว่า … หลังจากรู้ความจริงแล้ว คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ แปลว่าถึงแม้ว่าเราจะเชื่อแล้ว เชื่อแบบดิ่งลึกลงไปเลย จนกระทั่งบังเกิดใหม่ แล้วเราเกิดเผลอไปทำบาปอีก เราจะสูญเสียความรอดอีกนะสิ ใช่ไหม?

พระเจ้าบอกว่า “ความรอดนิรันดร์ เมื่อเจ้ามาอยู่ในมือเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกจากมือเราไปได้ เราให้ใจใหม่กับเจ้า ให้วิญญาณใหม่กับเจ้าไปแล้ว เราจะอยู่กับเจ้า … เจ้าเป็นของเรา เจ้าเป็นประชากรของเรา”

พระคัมภีร์บอกว่าบาปเล็ก บาปใหญ่ มันก็บาป เราไปคิดกันเองว่าอันนี้บาปเล็ก อันนี้บาปใหญ่ ฟาริสีบอกบาปอย่างนี้ บาปใหญ่ คือการผิดประเวณี พระเยซูบอกแค่มองด้วยตา แค่คิดเท่านั้น ก็บาปหมดเลย ฟาริสีงง ฟาริสีบอก “อย่าฆ่าคน” พระเยซูบอก “แค่โกรธ ไม่ให้อภัย ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว” นี่คือกฎ นี่คือจริง แล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านต้องรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านไปอ่านพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอน ท่านจะนั่งหัวเราะ ขำ

เราไปคิดเอง คิดแบบมนุษย์ ใส่ตรรกะแบบมนุษย์ว่าอย่างนี้บาปเล็ก อย่างนี้บาปใหญ่ อย่างนั้น อย่างนี้ ในที่สุด เราเชื่อพระเจ้าแบบใช้เหตุและผลของมนุษย์ ก็กลายเป็นฟาริสีในที่สุด มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น

และสมมติว่าถ้าเราต้องสูญเสียความรอดในวิญญาณของเรา ในทุกครั้งที่เราไปทำบาป ซึ่งทำแน่นอน ท่านคิดว่าในวันหนึ่งเราจะสูญเสียความรอดสักกี่ครั้ง และถ้าเกิดความรอดนั้น ที่ทำบาปนั้น ลืมขอโทษพระเจ้า ลืมขออภัยจากพระเจ้า  แล้วทำอย่างไร? ท่านจะจดไว้ไหมว่าลืมไปกี่ครั้ง ถึงวันที่ท่านหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง สมมติว่าพรุ่งนี้มีอุกาบาตรลงมาชนโลก หรือว่ารถสิบล้อวิ่งชนเข้ามาในบ้าน  ท่านมีโอกาส …

“พระเจ้าขอยกโทษได้ไหม?” อย่างนั้นเหรอ

ท่านจะรู้ว่ามันไม่ใช่ มันตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ใหม่ ที่บอกถึงความรอดของข่าวประเสริฐนี้ แสดงว่าไม่มีใครเลยสิ ที่ได้รับความรอด ถ้าเป็นอย่างนี้ เพราะว่าความรอดนี้ เป็นความรอดทางวิญญาณใช่ไหม? วิญญาณรอด แต่เนื้อหนังยังอันเก่าอยู่ ความคิดเก่าๆ ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของบาปอยู่เหมือนเดิม ในที่สุด ร่างกายนี้ ก็ทำบาปแน่นอน ถูกไหม?  ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางรอดสิ เดี๋ยวก็ต้องลงนรกอยู่แล้ว เชื่อพระเจ้ามีประโยชน์อะไร? กลายเป็นอย่างนั้นไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ยืนยันกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แบบปราศจากบาปถาวรนิรันดร์ ครั้งเดียวพอ หมายถึงพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ครั้งเดียวพอ ไม่รู้จะพูดสักกี่ครั้งว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ในฮีบรูก็มี พระองค์เข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียว โลหิตของพระองค์เข้าไป แล้วพระองค์ได้ไถ่บาปครั้งเดียวพอให้กับมวลมนุษย์ แต่โมเสสเข้าไปปีละครั้ง เอาเลือดโค เลือดแพะ เลือดแกะ เลือดสัตว์เข้าไป แต่ฮีบรูเปรียบเทียบให้เราฟังอย่างนี้  ในพระคัมภีร์บอกเราได้รับการไถ่แบบถาวรนิรันดร์ เราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าอะไรทำได้? อะไรทำไม่ได้? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ทำให้เราสูญเสียความรอดไปได้เลย ตามหลักพระคัมภีร์ อย่าใช้ความคิดของตัวเอง พอท่านเชื่อในพระเจ้าเป๊ะๆ ท่านจะรู้ว่าแสงสว่างจะชัดขึ้นว่ามันเพราะอะไร? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ยังคงมีฤทธิ์ตลอดเวลา ในวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ในอดีต ปัจจุบันและตลอดกาล พระโลหิตของพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์ เป็นตัวยืนยันว่านี่คือพันธสัญญาใหม่ ผู้ใดเชื่อจะเป็นอย่างนี้  เอเมน

แล้วถ้าอย่างนั้นในฮีบรู 10:27 ที่ตะกี้นี้ที่เราอ่านกันไป มันหมายความว่าอย่างไร? ที่ทำให้เราสะดุ้ง …

“หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก ก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ แต่รอคอยด้วยความหวาดกลัว ถึงการพิพากษา และไฟร้อนแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูปฏิปักษ์ของพระเจ้า”

คำว่า “บาป” ในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ว่าจะในหนังสือมัทธิว เอเฟซัส หรือโครินธ์ ก็จะหมายถึงการกระทำบาป ตามที่เราเข้าใจกัน ซึ่งเป็นการบาป ที่ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ได้รับการอภัยไปแล้ว ได้รับการชำระล้างไปแล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์

ยกตัวอย่างเช่นการอิจฉาริษยา  การโกรธ  การเกลียดกัน  การควบคุมตัวเองไม่ได้  ความโลภ แล้วแต่เยอะแยะไปหมด ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ บาปเหล่านี้ มันถูกยกโทษหมดเรียบร้อยแล้วในการกระทำ ไม่ว่าจะทำอะไรบนโลกใบนี้

แต่คำว่า “บาป” ในหนังสือฮีบรูที่เราอ่านมา และบาปที่พูดกันอยู่ในชาวยิว ไม่ใช่เป็นบาปอย่างนี้  บาปตัวนี้  พระคัมภีร์กำลังพูดถึงบาปชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอภัยให้ได้  คือบาปแห่งการไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูคริสต์ เป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง พอเราแปลความหมายผิดไปคำเดียว เละตุ้มเป๊ะเลย พอท่านแปลถูกปุ๊บ ใช่ ทุกอย่างเริ่มเห็นภาพชัดขึ้น เวลาชาวยิวเดิมๆ เขาพูดถึงบาป เขากำลังหมายถึงบาปที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู คือตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว ไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอก “อย่าไหว้รูปเคารพ” แล้วเขาไปไหว้รูปเคารพในสมัยโมเสส สมัยเดิม พระเจ้าบอกอย่าทำ ก็ทำ นี่เรียกว่าบาป อยู่คนละข้างกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระเจ้าบอก “ฆ่าให้หมด” เขาไม่ฆ่า นี่แหละบาป

พระเจ้าบอก “ไปรบเขาชนะ ก็ไม่ต้องเอาของเขามา” ไปแอบเอาของเขามา อย่างนี้เขาเรียกว่าบาป

เวลาพูดถึง “บาป” ตัวนี้ในฮีบรู ในชาวยิว หมายถึงตรงนี้ คนยิวเวลาอ่านตรงนี้ เขาจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร? ถ้าท่านได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านยังขืนไม่เชื่อพระเจ้าอีกพระเจ้าบอก …

“เราส่งบุตรของเราลงมาแล้ว ที่แล้วๆ มา เราส่งใครก็ตาม เป็นคนงาน ส่งโมเสสมา ส่งอาโรนมา ส่งดาวิดมา ส่งซาโลมอนมา อะไรต่างๆ ตอนนี้เราส่งลูกของเรามาเองเลย จบแล้ว สุดท้ายแล้ว ยังไม่เชื่อเราอีกเหรอ”

ถ้าไม่เชื่อ ก็คือเป็นศัตรู ก็คือเป็นบาป

ท่านจะเห็นภาพแล้วตรงนี้ พอเป็นบาปแล้ว ท่านปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด เพียงผู้เดียว เหลือผู้เดียวแล้ว จากนี้ต่อไป ไม่มีผู้อื่นที่มาตามหลังพระเยซู ไม่มีพระมาซีฮาห์อื่นอีกแล้ว ท่านยังปฏิเสธเขาอยู่ ท่านก็ถูกพิพากษาอย่างแน่นอน 100% ถูกเผา 100% เข้าใจใช่ไหมครับ? นี่เป็นการพูดให้กับชาวยิว ในสมัยอดีตได้รู้ ถ้าไม่ใช่ชาวยิว พูดอย่างไร? คำเดียวกันเลย ลักษณะเดียวกัน ความหมายเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ชาวยิว จะอยู่ในพระคัมภีร์ยอห์น 3:16-19 ซึ่งเราฮิตกันอยู่ดี ยอห์น 3:16 ทุกคนท่องได้ว่า …

“พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูองค์เดียวลงมา เพื่อทุกคนจะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ และรอดตลอดไป”

แต่คนที่ไม่รับ เขาจะพินาศ พระเยซูไม่ได้มาตัดสินเขา แต่เขาอยู่ในความพินาศของเขาอยู่แล้ว เพราะเขาปฏิเสธ คนที่มาช่วยเขา อันเดียวกัน แต่อันนั้นพูดให้กับคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว แต่อันนี้พูดให้กับคนยิวรู้ว่าคุณกำลังทำบาปอันยิ่งใหญ่แล้ว คือคุณไม่เชื่อฟังพระเจ้า เที่ยวนี้เป็นการไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างใหญ่หลวง คุณไม่เชื่อโมเสส คุณไม่เชื่ออาโรน โทษยังไม่แรงเท่านี้ อันนี้ใหญ่สุดแล้ว คุณไม่เชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าส่งพระเยซูมา คุณไม่เชื่อ เพราะพระเยซูเป็นคนสุดท้ายแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่ออาโรน ยังมีพระเยซูอยู่ ถูกไหม? ถ้าคุณไม่เชื่อมาลาคี คุณยังมีพระเยซูอยู่ ถูกไหม? ถ้าคุณไม่เชื่อยอห์นบัพติศโต คุณยังมีพระเยซูอยู่ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อพระเยซู ก็คือถูกพิพากษา คืออยู่ที่เดิม

นี่คือหนังสือที่เขาเขียนไปให้คนยิว พอเรารู้ภูมิหลัง เราจะได้เข้าใจ ไม่หลงประเด็น ฮีบรู 10:28-29

ฮีบรู 10:28-29 “28 คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส หากมีพยานสองหรือสามคน ยังต้องตาย โดยปราศจากความเมตตา 29 ท่านคิดว่าผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ทำราวกับว่าพระโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้น ไม่ศักดิ์สิทธิ์ และลบหลู่พระวิญญาณ แห่งพระคุณ สมควรจะรับโทษ หนักมากกว่านั้นสักเพียงใด”

 

นึกภาพนะ ตอนนี้กำลังพูดถึงยิวทั้งหมดเลย ที่มี 3 ประเภทใหญ่ๆ เมื่อฟังถ้อยคำตรงนี้แล้ว การเตือนตรงนี้แล้ว เขาคิดอย่างไร? ฟังดูเผินๆ เราอาจจะคิดว่าหมายถึงคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ลองคิดให้ดี ท่านคิดว่ามีไหมครับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ยังรู้สึกฟ้องผิดทุกครั้งที่เผลอไปทำผิดบาป มีไหม? ผมหมายถึงฟ้องผิด เรื่องความบาปทางวิญญาณ มีไหม? เช่นพอไปด่าใครเข้า ชักไม่แน่ใจว่าสูญเสียความรอดไหม? ยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ไหม? ต้องหาทางชำระบาปให้ตัวเอง มีไหม? ไม่มี คนที่เกิดใหม่จริงๆ จะไม่มีอย่างนี้เลย ถ้ามี ก็คือยังไม่เกิดใหม่ แต่เราอาจจะพะวักพะวงในเรื่องความประพฤติ

“ความจริงเราน่าอภัยให้เขานะ เราเป็นคริสเตียน เราน่าจะทำให้เป็นไปตามการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา”

แต่รับรองวิญญาณของเราจะไม่ “เราตกนรกหรือเปล่า?” ถ้าเมื่อไรเราคิดอย่างนั้น เราต้องทบทวน เราต้องไปรักษาความเชื่อไว้ ขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ จนกว่าข่าวดีของพระเจ้าจริงๆ จะไหลลงไป จนกระทั่ง บังเกิดใหม่จริงๆ นั่นเอง

อาการอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายของความเชื่อไม่เชื่อในพระเจ้า ก็คือพระคัมภีร์บอกเพราะฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปเรา มันอยู่ตลอดนิรันดร์ แต่หลายครั้งเราบอกอยู่เหรอ ถ้าอยู่ แล้วทำไมตอนนี้ เรารู้สึกไม่สบายใจ การกระทำสิ่งนี้ เราผิดอีกแล้ว เราบาปอีกแล้ว อันนี้ผมพูดถึงวิญญาณตัวข้างในของเรานะ อาการอย่างนี้เข้าข่ายการไม่เชื่อในฤทธิ์เดชของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ ฮีบรู 10:28-29 เพราะชาวฮีบรูเขาบอก เพราะข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ชำระบาปท่านหมดเลย เที่ยวเดียวเกลี้ยงเลย  ชาวฮีบรูบอก …

“เหรอ! เดี๋ยวสิ้นปีนี้ฉันก็ต้องไปทำพิธี เข้าไปวิหาร เอาสัตว์ไปชำระอีกทีหนึ่ง”

นี่แหละลบลู่พระบุตรของพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้  คำว่าลบหลู่ ไม่ได้หมายถึงไปว่าอะไร?  แต่หมายถึงกำลังบอกว่าพระเยซูคริสต์พูดไม่จริง ถ้าจริง เราก็ไม่ต้องไปทำพิธีในวิหาร เหมือนเดิมสิ แต่ทำไมเรายังทำล่ะ ทำเพราะเราก็ไม่แน่ใจว่าได้รอดไหมจริงๆ ถ้าวิญญาณได้รับความรอดจริงๆ แล้ว มันจะไม่ทำเอง เหมือนที่ผมเคยถามท่านว่าในยุคปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ในขณะนี้ มีใครในที่นี้ไหมที่ไปทำพิธีทางวิญญาณ  อะไรก็ตามทางวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ เพื่อจะไถ่บาปให้มันน้อยลงในแต่ละปี ยกตัวอย่างวันเกิด ท่านไปทำอะไรไหม ช่วยพระเยซูทำให้บาปมันน้อยลง มีไหม? ถ้าบังเกิดใหม่ ไม่มีแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เลย

ตัวนี้ เป็นตัวพิสูจน์ว่าชัวร์จริงไหมในวิญญาณ ถ้าชัวร์จริง เขาจะไม่ทำแล้ว อดีต อาจจะเคยทำมาตลอดทุกปี วันเกิด พิธีทางวิญญาณ ที่ให้เกิดผลทางวิญญาณ ยกตัวอย่างเช่น ให้ลดบาปตัวเองน้อยลงไป ให้มีพรมากขึ้น ให้เจริญรุ่งเรืองอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะไม่ทำอีกต่อไปเลย ถ้าเผื่อเราเชื่อจริงๆ และบังเกิดใหม่จริงๆ นั่นแหละคือความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง นี้เรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณโดยเฉพาะ แต่แน่นอนทางโลกวัตถุ เราทำอะไรผิด เราก็อยากจะไปขอโทษคนโน้นคนนี้ คนละเรื่องกัน ฮีบรู 10:35-39 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่ตอนจบเลยนะ

ฮีบรู 10:35-39 “35 ฉะนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ 36 ท่านทั้งหลายต้องอดทนบากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ 37 เพราะ “เพียงครู่เดียว พระองค์ผู้กำลังเสด็จมาจะเสด็จมา และจะไม่ทรงล่าช้า 38 แต่ผู้ชอบธรรมของเรา จะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ และหากเขาเสื่อมถอย  เราจะไม่พอใจเขา” 39 ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอย และถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด”

 

อย่างที่ผมบอก ต้องเรียนรู้ ต้องนึกภาพให้ออกว่าตอนนี้ยิวนั่งอยู่ตรงนี้หมด 3 กลุ่ม ในวิญญาณ

กลุ่มนี้ปฏิเสธเลย คือกลุ่มปฏิเสธเด็ดขาดต่อต้านพระเยซู จับพระเยซูไปตรึงเลย

กลุ่มนี้รับได้บ้าง แล้วกำลังเรียนรู้อยู่

กลุ่มสุดท้าย เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว

นี่เขาเขียนบอกว่า “คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส” พวกนี้รู้จักโมเสสหมด “หาพยาน 2 – 3 คนมา โดนลงโทษ ปราศจากความเมตตา เพราะพระเจ้าตรงไปตรงมา ตรงตามกฎหมายทุกอย่าง ฆ่าคนก็โดนฆ่าด้วย”

แล้วก็บอกว่านี่คือพระเจ้าที่เราเชื่อใช่ไหม? ท่านลองคิดดู แล้วถ้าท่านเหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ทำราวกับว่าโลหิตของพระเยซู ตามพระสัญญาที่พระเจ้าส่งมาให้ ไม่บริสุทธิ์เพียงพอ ไม่ศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ พระวิญญาณ คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ จะเข้ามาในวิญญาณเรา ให้เราบังเกิดใหม่ ไม่เอา ไม่ใช่ เรียกว่าพระวิญญาณแห่งพระคุณ ก็คือท่านไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าให้ด้วยความเชื่ออย่างเดียว ไม่เอาง่ายไป ผมกำลังจะถามท่านว่าท่านสมควรจะรับโทษหนักมากกว่านั้นสักเท่าใด? ขนาดสมัยโมเสสยังรับโทษขนาดนั้น แต่นี่พระบุตรของพระองค์มา แล้วท่านไม่เชื่อ แรงขนาดไหน? นี่กำลังพูดกับ 3 กลุ่มนี้

เพราะฉะนั้น  กลุ่มที่สะดุ้ง ก็คือ 2 กลุ่มแรก กลุ่มสุดท้ายสะดุ้งน้อยหน่อย ก็เพียงแต่ลากความเชื่อต่อไป กลับไปถูกเมียว่า เพราะเมียไม่เชื่อ เมียพยายามฝืน ครอบครัวกำลังจะยกทรัพย์สมบัติให้ จะไม่ยกให้แล้ว เพราะมาเชื่อพระเยซู เริ่มฮึดสู้ เอา ยืนหยัดต่อไป ไม่เอาสมบัติ ก็ไม่เอา จะยืนหยัดเชื่อในพระเยซูต่อไป นี่พูดถึงชาวยิวสมัยนั้นนะ คนที่เชื่อแล้ว ก็หายเหนื่อย ถูกรังแกมาตั้งเยอะ ถูกเอาเปรียบ จากคนในสังคมชาวยิว ในสมัยนั้น

เพราะฉะนั้น ในข้อ 35 บอกว่าฉะนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะทำให้ท่านได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ ท่านทั้งหลายต้องทน อดทน บากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว พระประสงค์นี้คืออะไร? เชื่อพระเยซู น้ำพระทัยพระเจ้า มีสิ่งเดียว คือเชื่อพระเยซู ก็จบแล้ว ที่เหลือจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อะไรก็ว่าไป  แต่สิ่งสำคัญที่สุด ท่านต้องเชื่อพระเยซู เชื่อพระเยซูท่านได้หมดแล้ว นี่คือเคล็ดลับ แค่นี้เอง ไปแปลอะไรก็ไม่รู้ วุ่นวาย เหนื่อยเลย

เพราะฉะนั้น พี่น้อง ท่านจงอดทน รักษาความเชื่อนี้ไว้ ที่ท่านเชื่อไปแล้ว มันถูกแล้ว เมื่อท่านได้ทำตาม เมื่อท่านได้เชื่อพระเยซูแล้ว ทำตามพระประสงค์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ก็จะทำตามที่พระองค์สัญญาไว้ จำได้ไหมพระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นพระเจ้า ผู้ทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาตลอดหนึ่งพันชั่วอายุคน ชาวยิวรู้หมดเลย พระองค์ผู้กำลังจะเสด็จมา และจะไม่ล่าช้า ก็คือพระเยซูบอกแล้วใช่ไหม? ตามข่าวดีนั้น บอกว่าพระองค์จะกลับมาอีกทีนะ แต่จะกลับมาในสถานะของพระเดช เอารางวัลมาให้กับผู้เชื่อแล้วนะ

แล้วต่อไป ข้อ 38 บอกว่า “แต่ผู้ชอบธรรมของเราจะดำรงชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ เพราะฉะนั้น ผู้ชอบธรรมกลุ่มนี้นะ จำไว้นะ ต่อไปนี้ ท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่ใช่ความคิด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าบอก มันไม่ใช่ทั้งสิ้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อ” มันหมายถึงอย่างนี้

“และหากเขาเสื่อมถอย ในความเชื่อเขาไป เราจะไม่พอใจเลย”

พระเจ้าไม่ต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งไปสู่คำพิพากษา ไปสู่นรกเลย พระเจ้าต้องการให้ทุกคนมาตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือมาเชื่อในพระเยซู ได้รับความรอดกันทุกคน นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไรก็ตาม นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เอเมน

“ส่วนพวกเรา ไม่ใช่ผู้เสื่อมถอย”

คนพูดกำลังบอก “แต่พวกเราไม่ใช่ 2 ประเภทนี้นะ  เราประเภทที่ไม่ได้เสื่อมถอยอยู่แล้ว อดทนอยู่แล้ว ถูกเขารังแก เขาบอกว่าพวกนี้โง่ มาเชื่อข่าวประเสริฐอะไรบ้าๆ บอๆ เราอดทนอยู่แล้ว เขาบอกว่าไม่เห็นมีเหตุผลเลย ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น ได้รับความรอด คนทำดีแทบตาย ไม่ได้รอด เป็นไปไม่ได้ เราก็ไม่รู้ เราก็ไม่ฟัง เราก็เชื่อในข่าวดีพระเจ้า”

หมายถึงอย่างนั้น ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอย และถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด รอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามีแค่นี้ ท่านต้องเชื่อ โดยหลับหูหลับตาเชื่อ เชื่อโดยไม่เข้าใจ เชื่อด้วยไร้เหตุผล เชื่อโดยไร้สติ มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ เวลาเขาว่าท่านเป็นคริสเตียน ไร้สติ ไร้เหตุผล นี่หมายถึงตามวิญญาณนะ ไร้สติ ไร้เหตุผล มันจริงตามนั้น ไม่มีอะไรที่จะมาใช้เหตุผลอธิบายว่าเหตุอะไรท่านถึงจะได้รับความรอด ไปสวรรค์ได้ ในเมื่อท่านทำตัวธรรมดาอย่างนี้ เขาอุทิศตัวมากกว่านี้ตั้งเยอะ แต่เขาไม่เชื่อในพระเยซู ท่านไม่เห็นอุทิศตัวอะไรเลย เชื่อพระเยซู บอกท่านไปสวรรค์ แล้วท่านยังยืดอกต่อไปไหม? หรือว่าท่านก็ไม่ค่อยแน่ใจ ยืดอกต่อไป เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ฉันก็เป็นอย่างนั้น

แล้วก็มาจบที่เดิม โรม 8:31-39 นี่แหละผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า แบบไร้สติ ไม่ใช่ด้วยปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ด้วยการคิดค้นต่างๆ แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าพูดอย่างไร? ฉันเชื่อตามนั้น คนเหล่านั้นจะอยู่อย่างนี้แหละ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เวลาเราจะไปไหน?  เราจะได้ยินเสียงตั้งแต่ 2,000 ปีมาถึงทุกวันนี้ เราจะได้ยินเสียงทางวิญญาณ  เสียงของใครรู้ไหมครับ? เสียงของพระเยซู พระเยซูจะว่าตะโกนก็ได้นะ บอกว่า ..

ใครบ้างที่อยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์พูดตั้งแต่ตอนที่ถึงเวลากำหนด เวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ว่าจะมาไถ่ถอนมนุษย์ พระเยซูก็ถูกส่งมา บังเกิดเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้เริ่มเชื้อเชิญคน และท้าทาย และคำถามให้ทุกคนทราบว่า …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง”

พูดมาตลอด จนกระทั่ง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำงานสำเร็จแล้ว  จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณก็จะพูดผ่านทางคริสตจักร ผ่านทางคนที่เชื่อในพระองค์ว่าใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง

การหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการหายเหนื่อยทางวิญญาณ คือหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง นั่นแหละ คนไทยเราจะรู้จักกันดีเลย หายเหนื่อยและเป็นสุข คือหายจากอาการเหนื่อยทางวิญญาณ ต้องแสวงหาการหลุดพ้น ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เจ้ากรรมนายเวรตามล่าตลอดเวลา เมื่อไรมันจะหมดสักที มันเหนื่อย พระเยซูบอกใครที่เหนื่อยอย่างนี้ ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน ใครเหนื่อยจงมาหาพระองค์ พระองค์จะทำให้หายเหนื่อยและเป็นสุข หายเหนื่อยหรือยัง? เพราะว่าเราได้เชื่อในพระเยซูแล้ว

คราวนี้พระเยซูก็บอกว่าใครอยากจะหายเหนื่อยเป็นสุขบ้าง? บางคนก็เฉยๆ  บางคนก็อยากจะหายเหนื่อย  พระองค์เลยบอกวิธีการทำอย่างไรถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกประโยคเดียว ตอนเดินอยู่ ขณะนั้น ใครอยากหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง? จงมาหาเรา แล้วแบกกางเขน แล้วตามเรามา นี่คือพระเยซูจะบอก …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง ยกมือขึ้น?”

“ต้องทำอย่างไร?”

“แบกกางเขน”

อ้าว! แบกกางเขน มันหนักขึ้น แล้วจะหายได้อย่างไร? และตามพระองค์ไป  ถามว่าพระเยซูตอนพูดนี้ เดินอยู่ พระองค์บอกตามพระองค์ไป ถามว่าตามไปไหน? แบกตามไปไหน?  พระองค์พูดไปไม่ถึงประมาณไม่เกิน 3 ปี ตามพระองค์ไป ตามพระองค์ไปไหน?  พระองค์ก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเนินเขา ที่เรียกว่าเนินเขาหัวกะโหลก หรือในภาษาสมัยนั้น เขาเรียกว่าโกละโกธา ไปทำอะไร? แบกไปทำอะไร? แบกไป เพื่อให้เขาตรึงพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ตาย  คนที่ตามมาทำอะไร? แบกตามมา เพื่ออะไร? ตามเราไป ก็ต้องตามถึงที่สุดเลย คือพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  แบกตามไป  พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  พอพระองค์ 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เลยเป็นด้วย หายเหนื่อยและเป็นสุข มันแปลว่าอย่างนี้

หนังสือกาลาเทีย 2:20-21 อธิบายเรื่องนี้ไว้ มันชัดมาก นึกภาพตะกี้นี้ถูก ผมแสดงให้ดูนะ กาลาเทีย 2:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา โดยทางบทบัญญัติ  พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์”

 

“แล้ว” แปลว่าทำไปแล้ว เป็นอดีตแล้ว

“ข้าพเจ้า” ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ

ตรงนี้สามารถเอามาพูดเป็นตัวเราเองได้ เพราะตรงนี้ เปาโลพูดในลักษณะของเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู เป็นคริสเตียน เราเป็นหรือเปล่า? ถ้าเป็นใช้อันนี้ได้

วิญญาณของผมถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว … แล้ว แปลว่าได้ถูกตรึงไปแล้ว

“ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” วิญญาณนะ วิญญาณของนคร วิญญาณของเปาโล วิญญาณของท่าน วิญญาณตัวเก่าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว

“พระคริสต์ต่างหากมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ คือวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในนคร อยู่ในเปาโล อยู่ในพวกท่านที่เชื่อในเรื่องนี้

“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกลายนี้” หมายถึงชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในความบริสุทธิ์ ที่มันเกิดใหม่นี้ ในกายนี้ หมายถึงวิญญาณนี้ มันไม่ได้หมายถึงร่างกาย หมายถึงในวิญญาณนี้ ชีวิตที่ข้าพเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่อยู่ในกาย ที่ท่านเห็น วิญญาณข้างในตัวจริง ที่มันบริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง

“ปัด” แปลว่าข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าทิ้งไป ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีของพระเยซูทิ้งไป  แต่ข้าพเจ้ารับไว้ด้วยความเชื่อ

“เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ” แปลว่าเพราะว่าถ้าเผื่อความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน พ้นจากบาป ในวิญญาณของข้าพเจ้า หมดเวรหมดกรรมนี้  ถ้ามันหมดเวรหมดกรรมได้ โดยมาทางการกระทำของข้าพเจ้าเอง  การกระทำดีของข้าพเจ้าเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?  เพราะการตายของพระเยซูคริสต์มีประโยชน์ คือทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ชอบธรรม คืออะไร?  วิญญาณบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ไร้มลทิน ไม่มีตำหนิ เหมือนลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก สะอาดหมดจดเลย บริสุทธิ์ ตลอดเวลา เอเมน

นี่พูดถึงใคร? พูดถึงเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายเหนื่อย และเป็นสุข แต่ต้องทำอะไร? แบกกางเขน และตามพระองค์ไป

ในโรม 6:5-6 ก็บอกอย่างนี้ไว้ ชัดเจนเลย …

โรม 6:5-6  “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

ถ้าเราร่วมเดิน แบกกางเขนไปกับพระองค์ แล้วก็ตายที่โกละโกธาพร้อมกับพระองค์เลย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย วันที่ 3 พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย ถ้าเราไม่ยอมไปตายกับพระองค์ ก็ไม่ต้องเป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วยสิ เอ้อ! ใช่ ง่ายๆ อยากจะเป็นขึ้นมากับพระเยซู ก็ต้องตาย อยู่ดีๆ มาเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? มันต้องตายก่อน  เหมือนเมล็ดพืช ก่อนที่จะเป็นต้นใหม่ มันต้องเน่า ต้องทิ้งลงไปในดิน ให้มันเน่า มันก็ขึ้นรากใหม่ขึ้นมา เป็นต้นใหม่

“เพราะเรารู้ว่า” ถามว่าเพราะเรารู้ว่าอะไร? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว ถามว่าตัวเก่าของเราคือใคร? ตัวเก่าของท่านคือใคร? วิญญาณเก่าของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป ที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดตลอดเวลา นั้นแหละที่แบกกางเขน เหน็ดเหนื่อยตามพระองค์ไปๆ จนตายร่วมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ตัวเก่ามันถูกตรึงไว้ที่กางเขน พร้อมกับพระเยซูไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พอมองเห็นภาพไหม? ไม่น่าเห็นหรอก

ถามว่าตรึงเพื่ออะไร? เพื่อกายบาปนั้น มันจะได้ตายต่อบาป ถูกขจัดออกไป บาปทำอะไรมันไม่ได้อีกแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน เห็นภาพไหม? นี่อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราทุกวันนี้ ต้องทำอะไร? ต้องแบกกางเขนตามพระเยซูไปไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง เราแบกไปแล้ว ถ้าท่านยังไม่แบกตาม นั้นหมายถึงท่านยังไม่เชื่อ ถ้าท่านเชื่อ แสดงว่าท่านแบกตามไปแล้ว ท่านเชื่อจนกระทั่งพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน นั่นแหละ คือท่านร่วมตายไปกับพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่  คือท่านเป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ เสร็จแล้ว

ถามอีกที ตอนนี้ท่านต้องแบกอีกไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าใครบอกว่าต้อง ก็ไม่เป็นไร แสดงว่ายังไม่เชื่อ ก็เรียนรู้ต่อไป เดี๋ยววันหนึ่งท่านจะได้รู้ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแบก มันจึงหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าแบกอยู่จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไรเล่า ไม่เข้าใจเลย พระคัมภีร์บอกว่าคนไหนแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข แบกกางเขน และตามเรามา ตามเพื่ออะไร? เพื่อจะไม่ต้องแบกอีกต่อไป เดี๋ยวพระองค์จัดการให้เรียบร้อย พร้อมกับเราเลย เป็นหัวหน้าเรา

สรุปอีกครั้ง จะต้องแบกกางเขนอีกต่อไปไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องทำอะไรทุกวัน? อยู่เฉยๆ แล้วมองไปให้เห็นเถิดว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวันเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บบนที่นอน เห็นอะไร? เห็นกางเขนนั้น เพื่อจะได้รู้ว่าฉันได้แบกกางเขนตามพระเยซูไปแล้ว ฉันได้แบกกางเขนไปที่โกละโกธาร่วมกับพระเยซู ประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงตรึงตายที่ไม้กางเขน อย่างนั้นแน่นอน หลั่งพระโลหิตออกมา ฉันถูกตรึงร่วมกับพระเยซูแล้ว วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ฉันมีอิสระ เสรีภาพ ฉันได้บังเกิดใหม่ วิญญาณฉันใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ที่ตำหนิใดๆ ที่ปวง ไม่ต้องมีบาป มีเวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกต่อไป ฉันเป็นอิสระแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว จากนี้ต่อไป ก็ลุกขึ้นมา ทำหน้าที่ประจำวันไป แต่ในใจนึกตลอดเวลาว่าฉันเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละ คือหน้าที่ของคริสเตียนทั้งหลาย รับพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แล้วจากนั้น ให้พระเจ้านำพาชีวิตเราไปแต่ละวัน จะทำอะไร เดี๋ยวพระองค์ก็พาไปเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่ เราจะทำเกินมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ที่เราทำเกิน เพราะอะไร? เพราะเราอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอีก

ทั้งๆ ที่มันหายเหนื่อยแล้ว เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรารู้ เราก็ไม่ต้องทำแล้ว แล้วทำไม? ก็เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เดี๋ยววิญญาณข้างในที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่อง ที่เป็นลูกพระเจ้า เดี๋ยวมันจะออกไปเอง มันเป็นแสงสว่าง ที่พระเยซูบอกมันจะฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายามฉาย  เขาจุดตะเกียง มันต้องสว่างของมันเองเลย เดินไปที่ไหนมันสว่าง ไม่ใช่ เดินไปที่ไหน ต้องไขลาน สว่าง ให้มันสว่าง ไม่ต้อง เดี๋ยวมันสว่างเอง เพราะว่าข้างในมันสว่าง มันเป็นดวงสว่าง พระเยซูไม่ได้บอกว่าจงออกไป ทำตัวเองให้สว่าง ไม่ใช่ พระเยซูบอกจงออกให้แสงสว่างในตัวท่านฉายไป  คือตัวท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านออกไป มันก็ฉายแล้ว

ไม่ได้บอกว่าจงออกไป แล้วทำตัวเองให้เป็นแสงสว่าง อย่างนั้นเหนื่อย  จงออกไปเถอะ พระเจ้าจุดตะเกียงไว้แล้ว  ไม่มีใครเอามาครอบหรอก เดี๋ยวมันก็สว่าง ถ้ามันเป็นของจริงนะ มันสว่างเอง แต่ถามว่ามันจริงไหม? เราเชื่อจริงไหม? ถ้าเราเชื่อจริง มันอยู่ในนี้ เดินไปที่ไหน มันก็เป็นแสงสว่าง เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “การให้ที่แท้จริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “การให้ที่แท้จริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เราเป็นคริสเตียน เรามักติดปาก พูดกันอยู่เสมอว่าชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่เป็นความรัก เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงมีลักษณะเหมือนพระเจ้าของเรา คือเราก็เลยเป็นความรักเหมือนพระเจ้า อ้าว! แล้วทำไมเมื่อเช้าโกรธเขาอยู่เลย เมื่อตะกี้นี้เห็น ขึ้นรถเมล์มายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่เลย  คนขับรถมาก็เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เป็นเหมือนพ่อของเรา  พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เลยเป็นหรือเปล่า? “เป็น” ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามี หายไปหมด  เราเป็น ไม่มีวันเปลี่ยน และการสำแดงออกถึงความรัก ก็คือการให้ การสำแดงออก บางที บางคนฟัง งง การสำแดงออกของความรัก คืออะไร? การสำแดงออก ก็คือธรรมชาติของความรักจริงๆ คืออาการในการให้  เขาเรียกว่าธรรมชาติ เหมือนประโยคที่เรานำมาพูดกันบ่อยๆ …

          “ท่านสามารถที่จะให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถที่จะรัก (อย่างแท้จริง) โดยปราศจากการให้”

นึกออกใช่ไหม? เพราะมันธรรมชาติของความรัก คือการให้ ท่านไม่สามารถบอกว่าท่านเป็นความรัก แต่ฉันไม่ให้ มันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่แล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ เอเมนไหม? อ้าว! ทำไมทุกคนรอที่จะรับอย่างเดียว การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ คำพูดของใคร? คำพูดของพระเยซูเอง และการให้ที่แท้จริง ก็คือการให้แบบเสียสละ คือไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ รู้ไหม? ถามใคร? ถามตัวเองนั่นแหละ รู้ไหม? รู้ แล้วยังหวังไหม? ยังหวัง

เพราะว่าถ้าเราหวังสิ่งตอบแทนจากการให้ออกไป ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าเราให้ออกไป แล้วเราหวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกกันว่าลงทุน  มีการลงทุนแบบธรรมดา ก็มี แล้วก็มีการลงทุนแบบพิเศษ หวังผลประโยชน์ทับซ้อน เคยได้ยินไหม? ผลประโยชน์ทับซ้อน คือผลประโยชน์ที่มันมีอะไรลับลมคมใน มองไม่เห็น แต่ในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ แบบธรรมดาชัด หวังนี้เลย  แบบพิเศษ ก็คือหวัง แต่ไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ข้างในวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ก็คือหวังผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าการให้ เขาเรียกว่าการลงทุน  ในลูกา 14:12-14 พระเยซูได้สอนพวกเราอย่างนี้นะ ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูได้ตรัสดังนี้ …

ลูกา 14:12-14 “12 จากนั้นพระเยซูตรัสกับผู้ที่ทูลเชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดเลี้ยงมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย ญาติ พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย ถ้าท่านทำอย่างนั้น พวกเขาอาจจะเชิญท่านกลับคืนบ้าง เป็นอันว่าท่านได้รับการตอบแทนแล้ว 13 แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด 14 แล้วท่านจะเป็นสุข ถึงแม้พวกเขาไม่อาจตอบแทนท่าน แต่ท่านจะได้รับผลตอบแทน เมื่อผู้ชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย”

 

เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น ตอนนี้ มีงานเลี้ยงอะไร? เชิญใคร? เชิญคนมั่งมี เพราะหวังว่าวันหลังเขาจะให้อะไรเราตอบแทน บางคนให้ ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่มันหมายถึงอะไรเยอะแยะ ลองเชิญคนที่เราคิดว่าเขาให้อะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถให้อะไรเราได้อีกแล้ว เป็นประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่า พระเยซูสอนเรา

ถ้าเราให้โดยไม่หวัง ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความรักแท้จริง เราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ถ้าลงทุน หวังจะได้สิ่งตอบแทน แม้บางครั้ง มันจะได้กลับมาบ้าง มีความสุขบ้าง ให้ไป แล้วหวัง มันมีความสุขบ้าง เขาชมเรา อะไรต่างๆ หรือเราได้อะไรกลับมาบ้าง แต่มันไม่หยั่งยืน  และในที่สุด ผลมันจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราให้ไปด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่ให้จริง มันก็คือการเห็นแก่ตัว เพราะการให้ของเรา ก็คือเราให้ เพราะความต้องการจะเอากลับมา มากขึ้นๆ เอาอีกๆ

“เอาอีก ฉันจะเอาอีก”

คุ้นไหม? คุ้นๆ นะ ในใจชอบพูดอย่างนี้ เอาอีก ไม่พอ เขาเรียกภาษาพระคัมภีร์และภาษาทั่วโลก เขาเรียกว่า “โลภ” คือจะเอา ฉันจะเอา สังเกตดูนะ เพราะพระเยซูสอนเราสิ่งเดียวนี้  เราต้องละเอียดกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือหัวใจของการมาเชื่อพระเจ้า  พระเยซูจะสอนเราเสมอว่าจงระวังเรื่องความโลภทุกชนิด เมื่อเราถวายพระเจ้า และอธิษฐานหวังสิ่งตอบแทน อยากได้กลับมามากขึ้นๆ อธิษฐานกับพระเจ้านะ เราบอกถวายให้กับพระเจ้า แล้วอธิษฐาน หวังจากพระเจ้าว่าจะให้เรากลับคืน ตอบแทนเรามากขึ้นๆ กว่าที่เราให้ออกไปอีก นั่นแหละ เขาเรียกว่าโลภ ไม่ใช่ความเชื่อนะ เขาเรียกว่าโลภ

ซึ่งมันไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า เรียกว่าวิถีทางแห่งความรักเลย ที่จะนำเราไปสู่สันติสุข ความสงบสุข ล้นสุข เปี่ยมสุข  แบบตลอดไปเลย มันไม่ใช่ ถ้าวิธีนั้น มันผิดหมด มันต้องไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย มันถึงจะเปี่ยมสุข ล้นสุขตลอดไป มัทธิว 6:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูสอน ..

มัทธิว 6:1-4 “1 “จงระวัง อย่าทำดี เพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์ 2 “ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าวเหมือนที่คนหน้าซื่อใจคดทำในธรรมศาลา และตามถนนหนทางเพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่านหยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” เอเมน

 

ทำดี การให้เหมือนกับทำดี อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตา ให้อะไรสักอย่าง แต่ข้างในใจเราคิดอะไร? ดูข้างนอกเหมือนกันหมด ให้เหมือนกัน ดูข้างนอก ก็ให้เหมือนกัน แต่ข้างในใจ คิดอะไรอยู่ หวังอะไรไหม?  บางคนอาจจะหวังชื่อเสียง เราไม่รู้ว่าเขาหวังอะไร? ดูข้างนอก เหมือนกันหมด แต่บางคนเขาไม่ได้หวังอะไรเลย  ทำด้วยใจจริง ก็ไม่เห็น แต่ข้างนอก ดูเหมือนกัน พระเยซูบอกจงระวัง ให้เราดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไประวังคนข้างๆ นะ ระวังตัวเราเอง

อย่าให้รู้ ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่ให้รู้เลย อย่าให้รู้ ลืมซะ ให้ไป แล้วก็ให้ไปเลย ถือว่าให้ไป เพราะว่าธรรมชาติของฉัน ตัวฉันจริงๆ เป็นความรัก ความรักต้องคู่มากับการให้ ถ้าเราถวายพระเจ้า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วอะไร หวังอะไร? ทำเพื่ออะไร? ก็เพราะเราทำ เพื่อ แสดงออกถึงความไว้วางใจ ความเชื่อฟังต่อพ่อของเรา พระเจ้าของเราว่าให้เราให้ออกไป แล้วเราจะมีสุขมากกว่าการรับ ให้ออกไป แล้วทำไม? ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่วางใจในพระเจ้า เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะเลี้ยงดูเรา จะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระยซูคริสต์ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะให้สิ่งดีกับเราเสมอ และเราจะมีพร้อมทุกอย่างในการสนับสนุนเรา ในการกระทำดีต่อๆ ไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอเมน

มันไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ที่เวลาพร้อม มันต้องพร้อมทุกอย่าง เรี่ยวแรง สติปัญญา ทุกอย่าง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อจะได้ทำดี เพื่อจะถวายเกียรติต่อพระเจ้าต่อไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ตามตัวเราเองคิด 2 โครินธ์ 9:7-8 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 โครินธ์ 9:7-8 “7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยการจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่าง แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น”

 

ทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย  เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์เยอะแยะมากมาย  อาจจะไม่มีทรัพย์เลย แต่มีอย่างอื่น พร้อมทุกอย่าง มันดีกว่าทรัพย์มาก ดีกว่าตั้งเยอะ ทรัพย์ซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่พระองค์ให้ทุกอย่างกับเราได้ ยกเว้นทรัพย์อย่างเดียว เอาอย่างไหนดี? เป็นท่าน ท่านจะตัดสินใจอย่างไรดี? เป็นท่าน ท่านก็เอาทรัพย์ก่อนอยู่แล้วล่ะ เพราะเราเป็นคน พระเจ้าสอนเรา อะไรดีกว่า ในเมื่อทรัพย์เราก็รู้แล้ว ซื้ออะไรไม่ได้บนโลกใบนี้ หลายอย่างซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่าง ซื้อความสุข ก็ไม่ได้ ซื้อความสุขใจก็ไม่ได้ ซื้อความรัก ความสามัคคีกัน ในกลุ่ม ในครอบครัว ก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าสามารถให้เราทุกสิ่งได้ โดยไม่มีเงินนะ เอาอะไรดี? เอาไม่มีเงินดีกว่า แต่มีพร้อม เมื่อต้องการจำเป็นต้องใช้เงิน  มันก็มา ทีอย่างนี้ พูดกันได้ทุกคน  เมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้คน คนก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้สุขภาพ สุขภาพก็มา เมื่อจำเป็นจะต้องใช้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เงิน แต่สำคัญ สติปัญญา มันก็มา เมื่อจำเป็นต้องหาคนมาเข็นรถ เพราะอยู่สี่แยก รถมันตายพอดี  คนก็มา มาพร้อมรถลาก มันจะพร้อมทุกอย่างไง เงินซื้อไม่ได้ตอนนั้น  เป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ ถูกไหม?

เราจึงเห็นว่าพระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจนว่าเพื่อว่าเราจะได้มีพร้อม มีเหลือล้น เพื่อว่ามีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านจะมีเหลือล้น สำหรับการดีทุกอย่างด้วย ในนี้เขียนไว้อย่างนั้น มีทำการดีได้ทุกอย่าง  เพราะบางทีมีเงินทำการดีไม่ได้บางครั้ง มันไม่ได้อาศัยเงินในช่วง ในขณะนั้น แต่ท่านสามารถที่จะทำสิ่งที่ดีได้ เอเมนนะ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อและวางใจอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เรียกความเชื่ออย่างนี้ว่าความคาดหวังสิ่งตอบแทน จากการให้ออกไป เราไม่คาดหวัง เราฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วแต่พระองค์จะให้ อะไรก็ได้ พระองค์ทรงรู้ว่าตอนนั้น เราจำเป็นต้องได้อะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? จำเป็นไหม? ไม่ใช่ให้ไป ก็ตั้งใจ หวังจะรวยอย่างเดียว ในที่สุด ก็ซวย ชีวิตตกทุกข์ลำบาก คิดอยู่แค่นั้น ไม่หลุดอยู่อย่างนั้น กลายเป็นเกาะกินชีวิตไป ทุกข์ทรมาน เห็นมาหลายรายแล้วอย่างนี้

การฝึกฝนให้ออกไป มันไม่ใช่วิธีนั้น ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า ของพระเจ้าต้องไม่หวัง บางคนบอกไม่หวังได้อย่างไร? หวังพระพร ไม่ใช่หวังทรัพย์สินเงินทองตามที่เราคิด พระพรอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ก็ได้ หมายถึงไม่ใช่สิ่งที่เราคิดอย่างเดียว มันเป็นอย่างอื่น ก็ได้ ก็เป็นพระพร แต่พระเจ้ารู้ว่าอะไรที่เป็นดี สำหรับเรา เมื่อเรามี อะไรที่ให้เรา แล้วมันดีสำหรับเรา อย่างนั้นแหละ เขาเรียกพระพร คิดเองว่านี่ดีสำหรับเรา  มันอาจจะเป็นผลร้ายสำหรับชีวิตของเรา ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นชื่อเสียง ดีไหมชื่อเสียง? เราก็คิดว่ามีชื่อเสียงทำไมไม่ดี พระเจ้าบอก ไม่ใช่ขณะนี้ ขณะนี้เอาไปตายแน่เลย แล้วเรารู้ไหมว่าขณะนี้ ขณะนี้ คือขณะไหน? ก็ไม่รู้ เราอาจจะแบกชื่อเสียงนั้นไม่ได้  สถานการณ์อย่างนั้น ถ้าเราเอาชื่อเสียงนี้ไป เราก็เย่อหยิ่งจองหอง เราก็หลงไป ทุกข์หนัก เจ็บตัว ตอนนี้ อยากได้เงิน มองดู พระเจ้าบอกเด็กไป ถ้าเอาเงินไปตายแน่ เราก็บอกไม่ตายหรอกทำได้ แต่พอให้ แล้วเกิดอะไรขึ้น ให้เราไปจริงๆ  เราก็ดูแลไม่ได้ เราเจ็บตัว เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ให้พระเจ้าดูแลเราดีกว่า เอเมนไหม?

ซึ่งแน่นอน ในสายตาของคนภายนอก ที่ไม่ใช่คริสเตียน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาดูเรา เขาอาจจะว่าเราขาดแคลน เป็นคริสเตียน ดูทำไมขาดแคลน เขาดู แบบมนุษย์ไง ขาดแคลนอะไร? ก็คือเงิน รู้สึกไม่ค่อยมีเงิน รถก็เก่าๆ บ้านก็ยังเช่าเขาอยู่ พระเจ้าให้เรามากกว่านั้น  เรามีเยอะกว่านั้นอีก แต่เขามองไม่เห็น ในพระพระเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจ เพราะเรารู้ว่าเราไม่เคยขาดอยู่แล้ว เอเมน ถามท่านวันนี้ บางท่านยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่ ถามว่าท่านขาดอะไร?  ณ วันนี้ มาถึงวันนี้ ท่านรู้จักพระเจ้ามา ท่านขาดอะไร? มีไหม อดอาหารไป 3 วัน ไม่มีข้าวจะกิน อย่างนี้ มันไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่สะใจเรา เราอยากได้อีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม? แต่ไม่ขาด วางใจในพระเจ้า ให้พระองค์นำไปดีกว่า เพราะเราจะไม่ขาดของดีใดๆ เลยในชีวิต เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มันเป็นสัญญา และไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่มันเป็นกฎของพระเจ้าที่พูดออกจากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ ใครหว่านออกไป เขาจะได้อย่างนี้ แต่ต้องหว่านจริงๆ นะ

หว่านจริงๆ ก็คือให้จริงๆ คือให้ด้วยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าให้ หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าลงทุน พระเจ้าบอกให้ ถึงจะได้รับสันติสุข ความสงบสุขในชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ลงทุนแล้วจึงจะได้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ต้องฝึกฝน สิ่งเหล่านี้ฝึกฝนได้ คริสตจักรจึงมีหน้าที่ให้เราฝึกฝน ไม่ใช่ว่าถึงวันอาทิตย์มาเปิด เดินถุงถวาย เราลำบากมากแล้ว เราแย่มาก ต้องช่วยกันถวายหน่อย โบสถ์จะไม่มีเงินใช้ ไม่ใช่ ให้โอกาสท่านฝึกฝน ท่านจะไม่ฝึกก็ได้ เรื่องของท่าน ท่านคุยกับพระเจ้าเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราต้องให้ท่านมีโอกาสได้ฝึกฝน เพราะสิ่งเหล่านี้มันฝึกได้ เริ่มต้นจากการให้ออกไป ตามวิธีการของพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ ให้ด้วย ตั้งใจไว้เลย คำว่าตั้งใจ แปลว่าอะไร? ไม่ใช่ตั้งใจจะเอาอีก จะเอาอีก จะเอาเยอะๆ ไม่ใช่ตั้งใจ ตั้งใจหมายถึงฉันจะฝึกในการที่ให้ แล้วไม่สนใจเลย ฉันให้ไปแล้วจริงๆ พระเจ้าจะให้ลูกกลับคืนเท่าไร? อะไร ไม่สนใจ ลูกจะให้ด้วยความรัก และให้ออกไปจริงๆ นี่คือธรรมชาติของลูก ลูกเป็นความรัก ให้ออกไป วันนี้ทำได้แค่นี้ ก็ทำไป ให้ออกไปบาทหนึ่ง ก็ยังมีดีกว่าให้ไปร้อยหนึ่ง แล้วหวังอีกพันหนึ่งกลับคืน หมื่นกลับคืน แต่ให้ไปบาทหนึ่ง ทำใจไปเลย  แล้วก็ค่อยๆ ฝึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ  รู้สึกสละ อย่างนี้เรียกว่าเสียสละ ให้ของแท้ ฝึกฝนนะ

เริ่มต้นตั้งใจไว้เลยว่าตัวเราเองสามารถทำได้เท่าไร? ไม่ต้องฝืนใจ ทำได้เท่าไร? ก็เท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้องสนใจ เราดูตัวเราเองนั้นแหละ แล้วตัดสินใจให้ออกไปจริงๆ ให้จริงๆ คิดในใจให้ดีๆ ให้ลงทุน พอถุงเดินมาปุ๊บ ใส่ลงไปเลย ลงทุน ไม่ใช่ ควักขึ้นมาใหม่ ให้ๆๆๆๆๆ โอเค ให้หมายถึงอะไร? ให้ หมายถึงเสียสละ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย ไม่ใช่ให้ แล้วก็ตาม โบสถ์เอาไปทำอะไรบ้าง? นี่ให้ไหม? ไม่ใช่ให้ จะลงทุน แล้วตามไปดูอีกว่าเขาทำอะไร? ให้กับองค์กรนี้ องค์กรนี้ไปทำอะไรบ้าง? เงินของฉันทั้งนั้น อะไรอย่างนี้  เงินของฉัน ให้ไป ก็คือให้เขาไปแล้ว แล้วเราจะบอกว่าเป็นเงินของเราได้อย่างไร? ยกตัวอย่างให้ฟัง

ให้ โดยไม่คิดว่าจะได้อะไรกลับคืน คิดในใจไว้เลย ตั้งใจไว้เลย …

“ฉันไม่ได้ให้ เพื่อฉันจะหวังว่าจะได้ร่ำรวย หรือต้องมีอะไรมาชดใช้ให้ฉัน ฉันให้ออกไป ฉันไม่หวังเลย ฉันให้ เพราะเชื่อฟังพระเจ้า วางใจในพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวัง แม้กระทั่งชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง คำชมต่างๆ ฉันให้ด้วยความรักที่อยู่ในใจ ไม่มีใครรู้”

แล้วถ้าท่านฝึกอย่างนี้ ผมจะบอกให้ท่านฟัง มันจะมีบททดสอบชีวิตท่านเข้ามา จะทดสอบว่าตรงนี้ท่านจะได้รับคำชม ถ้าเผื่อท่านเปิดเผยนิดหนึ่ง ท่านจะเอาไหม? ท่านจะเปิดเผยไหมว่าท่านเป็นคนทำ เพราะบางทีให้ออกไป ไม่ได้เป็นทรัพย์อย่างเดียว  ทรัพย์เป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง แต่ในชีวิตท่านสามารถให้อะไรเยอะแยะมากมาย ให้ความรัก เมตตา การให้อภัย การช่วยเหลือ แรงกายแรงใจทุกอย่าง มันจะมีบททดสอบมาว่าถ้าท่านประกาศออกไป ท่านจะได้รางวัล ท่านจะได้ชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเงียบๆ ไว้ จะไม่มีใครรู้เลย ท่านจะเอาอะไร ท่านจะเชื่อพระเจ้า หรือจะเชื่อมนุษย์ดี ถ้าท่านเปิดเผยมา ท่านก็จะเป็นฮีโร่เลย ดังเลย แต่ถ้าท่านเงียบๆ  เฉยๆ ท่านก็มีสุขใจ แต่ถ้าพระเจ้าจะเปิดเผย โดยที่ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอันนั้นเกินกว่าที่เราจะควบคุมแล้ว มันจะมีทดสอบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในการฝึกฝนแต่ละครั้ง แต่ละตอน เอเมน

 

******************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กรกฎาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ถึงเวลารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของชีวิตของมนุษย์ อาหารร่างกายเลี้ยงดูร่างกายอย่างไร? วันหนึ่งร่างกายก็ต้องตาย แต่วิญญาณสำคัญกว่า เพราะจะต้องอยู่นิรันดร์ หมายถึงจะอยู่ตลอดไป  แต่จะอยู่ที่ไหนตลอดไป อยู่ในแสงสว่างตลอดไป หรืออยู่ในความมืดตลอดไป อยู่ในสวรรค์ตลอดไป หรืออยู่ในบึงไฟนรกตลอดไป อันนี้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำแห่งความรู้ เรื่องราว หรือข่าวที่มาถึงเรา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวดี เราเข้าใจข่าวดีนั้นไหม? เราน้อมรับข่าวดีนั้น ด้วยความถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งไหม? พระเยซูบอกข่าวดี ความจริงนั้น ก็จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพจากการถูกกดขี่ จากการที่ต้องไปอยู่ในที่มืด จากการที่เป็นทาสอยู่ในที่มืด ตลอดชีวิตของเรา แม้กระทั่งในวิญญาณตลอดไปนิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้า จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ในเรื่องของคริสเตียน เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของพระเยซูคริสต์

พระเยซูให้ความสำคัญกับเรื่องถ้อยคำของพระองค์มาก ถึงขนาดพระคัมภีร์ให้ชื่อพระเยซู ว่าถ้อยคำ เมื่อพูดถึงถ้อยคำพระเจ้าเมื่อไร ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์ไทยให้เกียรติยกย่องพระเยซู ก็เลยเรียกถ้อยคำว่าพระวาทะ … วาทะ แปลว่าถ้อยคำ เวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เหมือนเรากำลังกินในวิญญาณ มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงของพระองค์ตลอดเวลา และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอาหารให้เราเจริญเติบโต  พอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น ถ้าหยุดแค่นั้น ผมว่าพระเจ้าคงจะนำเรากลับไปบ้านแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์สบายกว่าเยอะ ถามว่ายังอยู่ในร่างกายนี้อีกทำไม? ในเมื่อร่างกายนี้ ต้องประสบปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีก ก็เพื่อวิญญาณจะได้โตขึ้นๆ  และในพระคัมภีร์บอก จะได้เป็นที่อยู่อาศัยของนกกา ตัวเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปในอนาคต มันมีประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าต้นไม้ต้นนี้มันไม่โตสักที ออกมาเป็นผักชี มันก็ยังเป็นผักชี วันยังค่ำ จนสุดท้ายก็ยังเป็นผักชี ไม่ได้ พระเจ้าเรากำเนิดแล้ว ต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะโตได้อย่างไร? ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มาถึงเราแบบถูกต้อง ก็จะทำให้เราเจริญเติบโต

เวลาท่านมาคริสตจักร หลายคนเข้าใจผิด ให้ความสำคัญ 1, 2, 3 ผิดไป ในตอนที่ท่านมาคริสตจักร ตั้งแต่ สมมติ 9 โมงเช้า … 9 โมงเช้าก็มีเรียนถ้อยคำแล้ว มีชั้นเรียน 10 โมงก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการ ร้องเพลงกัน  … ร้องเพลงเสร็จปุ๊บ ก็เป็นช่วงให้โอกาส เราได้ฝึกฝนการให้ออกไป เขาเรียกว่าถวายทรัพย์ เสร็จแล้วจากนั้น ก็มีช่วงเวลาแห่งการบรรยายถ้อยคำพระเจ้า ก็คือมาเรียนรู้อีก เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ก็เหมือนช่วงแรกๆ 9 โมงเช้า มาเรียนรู้จนกระทั่งถึงเที่ยง ก็มีอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงรับประทานอาหารร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทานไป คุยไป อะไรต่างๆ เหล่านี้ หลังจากนั้นอาจจะมีชั้นเรียน หรือกลุ่มต่างๆ ซึ่งเข้ากลุ่มกัน ปรึกษาหารือชีวิตบ้าง เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ไม่หนักแล้ว ไม่เพียวๆ แล้ว แต่อาจจะเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น คนนี้เป็นอย่างไร? ถามทุกข์สุขกันอะไรอย่างนี่

ถามว่าทั้งหมด 5 ช่วงนี้ ช่วงไหนที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุด ท่านชอบช่วงไหนที่สุด? หลายคนก็บอกชอบช่วงนั้น ช่วงนี้ แต่ผมจะบอกเคล็ดลับให้ท่านฟัง ช่วงที่ดีที่สุด ในชีวิตของเรา  อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกในร่างกาย ยังชอบในช่วงนี้ แต่สำหรับวิญญาณ ชอบช่วง 9 โมงเช้ากับช่วง 11 โมงนั้นมากที่สุด วิญญาณชอบมาก ถึงแม้ร่างกายอาจจะเบื่อหน่าย ผมจะบอกให้ท่านว่าวิญญาณเขาชอบมาก นี่คือการเจริญเติบโต ส่วนช่วงเที่ยงนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายชอบมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเหมือนกัน โตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกินอาหารร่วมกัน แล้วช่วงรองลงไป ผมไม่ได้พูดว่าอะไรมันสำคัญกว่าอะไรนะ กำลังบอกท่านว่าท่านควรให้ความสนใจกับอะไร? เป็นพิเศษ ช่วงตอนบ่าย หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตอนเข้ามาในกลุ่ม ได้มีถ้อยคำพระเจ้าและประสบการณ์ เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลยทีเดียว แต่เราฟัง ได้ช่วยเหลือพี่น้อง ได้หนุนใจกันไปกันมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญกว่ามาเรียนถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นของจริงในพระคัมภีร์ แต่เวลาเราคุยกัน เราแบ่งปันกัน บางทีพูดผิดพูดถูก บางคนก็บอกอย่างนี้ พูดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจน คือเอาพระคัมภีร์มา แล้วมีผู้คนแบ่งปันในถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละ ตรงนี้สำคัญ

เลยอยากจะฝากบอกท่านว่าชีวิตคริสเตียนอยู่ได้ด้วยตรงนี้  และมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีได้ ด้วยตรงนี้ เจริญเติบโตจากคนๆ เดียว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อพระเยซู เชื่อว่าพระองค์เอง คือใคร? จากประกาศเรื่องพระองค์เองคนเดียวบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว แล้วจากนั้น ก็ไล่ต่อมาจนถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มีผู้คนนับพันๆ ล้านๆ  คน มาเชื่อในข่าวดีนี้  ก็เพราะมันเจริญเติบโต เพราะถ้อยคำแห่งความจริงนี้ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ มิได้พูด เพื่อจะบอกว่าร้องเพลงไม่สำคัญ อธิษฐานไม่สำคัญ เปล่า กินข้าวไม่สำคัญ หรือกินข้าวสำคัญ สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรียนอะไรงงไปหมดแล้ว ถ้าไม่ได้กิน แต่สำคัญน้อยกว่า การนมัสการพระเจ้าก็สำคัญน้อยกว่า เพราะการนมัสการพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ขึ้นบนเวที ที่ท่านอ่าน ร้องเพลงไป บางคนร้องเหมือนอ่านนะ แต่ก็ยังโอเค ยังอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า นี่พูดความจริงนะ บางคนร้องเหมือนอ่านเลย เขาก็มีความสุข ของใครของเขา นี่ไม่ใช่เอามาประจานกัน แต่กำลังจะเล่าให้ท่านฟังว่าอะไรมันสำคัญ อะไรควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด

ฉะนั้น ถึงเวลาเรียน ตั้งใจจริงๆ เท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งเวลาที่เราหลับไป แต่ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เดี๋ยวเราตื่นขึ้นมา เรากลับบ้าน พระวิญญาณคงจะเตือนเรา ตะกี้เราฟังตอนนอน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ดี แต่ถ้าเป็น ก็ช่วยไม่ได้ มันเพลีย หลับก็หลับไป ไม่ต้องพยายาม ให้เป็นอิสระ ดังนั้น คนที่ตะโกนมาตะกี้นี้ ชอบตอนนี้ที่สุด เพราะว่าชอบหลับ ก็โอเค ก็ทำไป ก็ยังดีกว่าไม่อยู่ที่นี่เลย เอเมนไหม? มาแล้วก็ตั้งใจ อย่างน้อย ได้เพลงสุดท้าย ก็ยังดี “สรรเสริญพระเจ้า ผู้อำนวยพร” ก็ยังได้สรรเสริญพระเจ้าว่าชีวิตเรา ความจริง ก็คือพระเจ้าสำคัญที่สุด พระองค์มี 3 พระภาค คือพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อยได้ตรงนี้ กลับบ้าน ก็ยังดี แล้วตลอดชั่วโมง ก็ดองอยู่ในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงแม้จะหลับไป ก็ดองอยู่ในนี้  กลับไป ก็ชื่นใจ

พอท่านให้ความสำคัญถูก พอท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหน? ท่านก็จะให้ความสำคัญถูก ไม่ใช่วันทั้งวัน นั่งแต่ร้องเพลง อธิษฐานๆ ไม่ศึกษา ไม่ดูถ้อยคำเลย อย่างนี้มันก็ไม่สมดุล … ไม่สมดุลไม่พอ สิ่งสำคัญมันหายไป เหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เข้าใจไหม? ถ้อยคำต้องสำคัญ จริงๆ มันก็คือความสมดุล ไม่ร้องเพลงเลยได้ไหม? ไม่ได้ ก็ควรจะร้องบ้าง?  แต่อะไรสำคัญกว่า  ถ้อยคำ อ่านบ้าง? ฟังบ้าง? เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องไม้เครื่องมือที่พระเจ้าให้เยอะแยะ เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นสมัยก่อนมี CD มีเทป มีมือถือบันทึกได้ เปิดยูทูปได้ เปิดเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าบอกไม่ได้ฟัง มันเสียดายมาก เดี๋ยวนี้มีถึงขนาดอ่านให้เราฟังก็ได้ แค่นี้เราก็ยังขี้เกียจ ไม่ได้ว่าท่านนะ เพราะเนื้อหนังร่างกาย มันจะขี้เกียจอย่างนี้  สิ่งใดที่มันดีสำหรับเรา มันไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเนื้อหนังอยู่ข้างนอก เป็นร่างกายที่ตาเรามองเห็น มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก ที่เรียกว่าเนื้อหนัง ก้อนนั้นมันอาจสกปรกบ้าง กระทบกระทั่งเราบ้าง ก็ต้องอภัยกัน เพราะมันเป็นก้อนเนื้อหนัง ไม่ใช่มองเขาอย่างเดียว เรามองตัวเราเองก็เห็น มันคือก้อนเนื้อหนัง ก้อนสกปรก ก้อนโสโครก ก้อนที่เป็นทาสของความบาป ก้อนที่เรียกว่าวิสัยของบาปอาศัยอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างหนึ่ง นิดหนึ่ง ก็ไม่มี แต่ทะลุลงไปในก้อนนี้ เป็นวิหารของพระเจ้า พระเมตตาคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนนี้ ขอบคุณพระเจ้า เข้าใจใช่ไหม เมื่อเราเห็นอย่างนี้ได้ เราจึงเน้นที่วิญญาณของเราว่าเราต้องจำเริญเติบโตทางวิญญาณให้ได้ สำคัญที่สุดตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ออก มันก็จะปะปนกันยุ่งไปหมด อะไรที่เนื้อหนังทำ เราต้องยอมรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง เพื่อเราจะอภัยให้คนอื่นได้ด้วยว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังเหมือนกัน ต้องอภัยกัน และมองทะลุสิ่งเหล่านี้ไปสู่โลกวิญญาณ

ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมบอก จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะเอาใจใส่ ถือโอกาสวันนี้มาพูดตรงนี้ เป็นพิเศษ ยังไม่เข้าเรื่องบรรยายนะ ผมรู้ทุกคนอยากจะฟังแล้ว พอพูดอย่างนี้ตื่นเต้น อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้สัปดาห์หนึ่ง ทุกคนจะตื่นเต้นเรื่องเกี่ยวกับกลับไปแล้ว ไปกินถ้อยคำพระเจ้า ไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า ไปฟังถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อเลย ได้แค่อีก 7 วัน หลังจากนั้น ก็กลับมาเหมือนเดิม จริงหรือไม่จริง? ต้องยอมรับความจริง เพราะก้อนเนื้อหนัง มันไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง อะไรที่เป็นของพระเจ้ามันเบื่อ ผมจะพาให้ท่านไปเห็นว่าก้อนเนื้อหนัง ทำให้เราน่าสมเพช ทำให้เราน่าสงสารขนาดไหน? นี่ขนาดเปาโลนะ เปาโล คือผู้เชื่อที่ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ ตอนที่เป็นๆ อยู่นี้ ตอนที่เป็นมนุษย์ กลับมาทำงานต่อเลยนะ เห็นสวรรค์มาแล้ว ท่านลองคิดดู เปาโลคนนี้ รู้เรื่องหมดเยอะแยะขนาดนี้ พูดถึงก้อนเนื้อหนังของตัวเองว่าอย่างไร?  ในโรม 7:21-25 ท่านอยากรู้ไหม? เราต้องมีความหิวกระหายในถ้อยคำพระเจ้า จำไว้เลย คิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเราหิวตลอดเวลา เรื่องถ้อยคำพระเจ้า อย่างที่ผมเคยบอก ท่านคิดถึง …

“เอ๊ะ! ตรงนี้มันคืออะไร? ตรงนี้มันไม่เข้าใจเลย”

ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้น อธิษฐานสิ

“พระเจ้าตรงนั้น ลูกไม่เข้าใจ ลูกอยากรู้จักมากขึ้น ลูกไม่เข้าใจตรงนี้เลย ตรงนี้  คืออะไร? ลูกอยากรู้จักมากขึ้น”

นี่คืออธิษฐานอย่างนี้ แทนที่จะอธิษฐานขอความจำเป็นในชีวิตเยอะแยะ การกิน การอยู่ ปัญหาโน่นนี่ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ แต่พระเยซูบอกไม่จำเป็นต้องอธิษฐานมากมาย เหมือนชาวบ้านที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอก พูดไปมากๆ พระเจ้าจะได้ยิน มาตื้อๆ แล้วจะให้ ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่อธิษฐาน ก็รู้แล้ว อยากได้อะไร? ซื้อล๊อตเตอรี่ก็อยากให้มันถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าให้ถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าหิวข้าว ตอนนี้ขาดเงิน ไม่ต้องอธิษฐาน ก็รู้ อธิษฐานก็ไม่ต้องมากความ แล้วเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ใช้เวลาที่เหลือคิดถึงถ้อยคำพระเจ้า คิดถึงเรื่องสวรรค์มันคืออะไร? เคาะมันไม่หยุดเลย เรื่องสวรรค์ แสวงหาสวรรค์ ไม่หยุดเลย ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวย ไม่หยุด ไม่ใช่แสวงหาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรื่องปัญหาบนโลกใบนี้ไม่หยุดหย่อน พระองค์รู้แล้ว อยู่บนโลกนี้ มันต้องประสบปัญหาธรรมดา แต่สิ่งที่พระเยซูให้เราเคาะตลอดเวลา ขอตลอดเวลา แสวงหาตลอดเวลา มันหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ แล้วรู้ได้อย่างไร? มาทางถ้อยคำพระเจ้า มาทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็อธิษฐาน พระเจ้าก็จะสอนเราจากประสบการณ์ในชีวิต อันนี้ตรงกับถ้อยคำนั้น  อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราฟังเทศน์ อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราเปิดยูทูปฟัง อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เปิดอ่านบทความนี้ มันก็จะไปเรื่อยๆ อย่างนี้  วันแล้ววันเล่า หลับๆ ตื่นๆ แล้วมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นประโยชน์ สำหรับบรรดาผู้คนรอบข้าง เอเมน

เราอยู่ในหัวข้อเรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” วันนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อว่า “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

ทบทวนนิดหนึ่ง ครั้งที่แล้ว เราสรุปว่าหนังสือฮีบรูที่ถูกเขียนไป เพื่อไปเตือน ชาวฮีบรูมี 3 กลุ่ม คือ …

กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเลย ปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูเลย

กลุ่ม 2 คือกลุ่มลักปิดลักเปิด แต่สรุปแล้ว ในใจลึกๆ ไม่เชื่อ แต่ข้าง

นอกดูเหมือนเชื่อ  ถูกอิทธิพลของโลกดึงดูด   จนกระทั่งในที่สุด   ก็คือไม่เชื่อ

นั่นแหละ

กลุ่ม 3 ก็คือกลุ่มคนที่เชื่อจริงๆ  เชื่อตั้งแต่ข่าวประเสริฐมาวันแรก  ก็เริ่มเชื่อๆ รับไป

เรื่อยๆ  กินไปๆ จนกระทั่งมัน หล่นตุ๊บลงไปที่วิญญาณ เกิดปิ๊งขึ้นมา กลายเป็น

บิ๊กแบงก์ กลายเป็นระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในวิญญาณ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูก

พระเจ้า

ฮีบรู 6:9-12 มาอ่านอีกทีนะ

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

เวลาอ่านถ้อยคำพระเจ้า ต้องรู้ภูมิหลังว่าเขาเขียนถึงใคร จะได้จำได้ศัพท์ จับได้ความว่าของจริงมันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดถึงกลุ่มแรก ปฏิเสธ พูดถึงกลุ่ม 2 ปฏิเสธแบบไปๆ มาๆ สรุปแล้ว คือปฏิเสธ แรกๆ ดูท่าทางรับ แต่จริงๆ คือไม่ได้รับจริง ยังกลัวอยู่ ในที่สุด ก็ปฏิเสธ กลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ก็เลยใช้คำว่า “พวกพี่น้อง” ที่ตะกี้ผมบอกให้เติมข้างหน้า มีคำว่า “But”

“แต่ว่าเราไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มนั้น  พวกเรากลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ เลย”

พูดถึงยิว ไม่ใช่เรานะ นำมาใช้ในชีวิตของเราปัจจุบัน เอามาเทียบใช้ แต่จริงๆ ที่อ่านอยู่นี้ เขากำลังพูดถึงพวกยิว กลุ่มสุดท้ายบอกว่า …

“แต่พวกเราไม่เหมือน 2 พวกนั้นนะ เราไม่ปฏิเสธ เรารับเชื่อ และตอนนี้ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว เพราะเราเกิดใหม่ในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นพี่น้องของพระเยซู เหมือนกันเลย  เพราะฉะนั้น เราพี่น้องกัน แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกลุ่มแรก คิดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ที่พระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูพูดถึงอาณาจักรสวรรค์ คนที่จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? มัทธิว 13:3-9 มาทบทวนกัน …

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

เพราะฉะนั้น ข่าวดีที่ประกาศออกไป ทั้งโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม มันจะมีอยู่ 3 กลุ่ม แต่เป็นดิน 4 ประเภท ตามที่พระเยซูยกตัวอย่าง และพระเยซูก็อธิบายให้ฟังเลยว่าที่พูดเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงอะไร? ในมัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เรากำลังเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ผ่านทางหนังสือฮีบรู เรื่องความรอดของพระเยซู มาเปรียบเทียบให้ฟังกับชีวิตของคริสเตียนในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง  เรื่องอุปมาว่ามันตรงกันอย่างไร? เวลาข่าวดีไปถึงใครก็ตาม มันเกิดอะไรขึ้น จะรอดได้อย่างไร? แล้วมันเกิดปฏิกิริยาอะไร เมื่อเจอกับคนบนโลกใบนี้ เมื่อฟังข่าวดี ซึ่งเราก็สามารถสรุปให้เห็นชัดๆ คือไม่ว่าที่ใดก็ตาม เมื่อข่าวดีประกาศออกไป จะมีบุคคลอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งในหนังสือฮีบรู หมายถึงกลุ่มคนเฉพาะชาวยิว แต่จริงๆ เราเอามาใช้ได้ทั้งหมด  ทั้งโลกก็มี 3 กลุ่มเหมือนกัน คือ …

กลุ่มที่ 1 คือเย่อหยิ่ง ไม่ฟัง ไม่สนใจเรื่องพระเยซู ไม่สนใจเรื่องความรอด จบกันไปเลย เขาก็ต้องอยู่ในคำพิพากษา ลงโทษจากพระเจ้า เหมือนเดิม ไม่ใช่พระเยซูตั้งใจมาพิพากษาเขา แต่เขาถูกพิพากษา เพราะเขาปฏิเสธคนที่จะมาช่วย เขาบอกว่า …

“ไม่ต้องช่วยฉัน ฉันก็อยู่ที่เดิม” ก็คืออยู่ที่ถูกพิพากษา

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้ยินข่าวดี แล้วก็รับเชื่อ แต่พอไปเจอปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็เริ่มเขว ก็ทิ้งข่าวดีนี้ไป หรือพยายามที่จะเอาข่าวดีพระเยซู มาผสมกับพิธีกรรมอื่นๆ อะไรต่างๆ ที่จะช่วยตัวเองให้รอดด้วย  นอกจากจะเชื่อพระเยซู แล้วยังจะเชื่อว่าตัวเอง ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงได้รับความรอด ก็คือไม่เชื่อพระเยซูเต็มร้อย ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความรอด ก็ต้องได้รับการพิพากษา สรุปแล้ว ก็คือปฏิเสธพระเยซูในที่สุด

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่เกิดผล คือรักษาข่าวดีนั้น จนกระทั่งเกิดเป็นผลขึ้นมา เป็นวิญญาณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูเลย

ซึ่งพระเยซูก็เอามาสอนให้เราฟังแล้วว่า 3 กลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทชนิดของดิน ก็คือ …

ประเภทที่ 1 พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมว่าเมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดอะไรเลย ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ยังไม่เกิดความเชื่อ และมารก็มาฉกฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขาออกไป เหมือนนกที่มากินเมล็ดไปหมดเลย ยังไม่แตะดินเลย มันไปทันที เผลอๆ ลงดิน ยังไม่รู้ ก็คือไม่เอาเลย หยิ่งมาก ไม่สนใจเลย ไม่ฟัง ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย

ประเภทที่ 2 ก็คือเมล็ดพืชที่ตกลงในกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นเร็ว ดินมันมีอยู่นิดเดียวเอง เร็วเลย  แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็เหี่ยว เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับ ผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความเชื่อที่ตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึกลงไปข้างล่าง คือความเชื่อยังไม่ได้ดิ่งลงไปในใจ และไม่ได้พยายามเก็บรักษาความเชื่อนั้นไว้ จึงคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหา เกิดการข่มเหง ก็เลิกราไปรวดเร็ว ก็คือเลิกเชื่อ

ประเภทนี้ ก็คือรับรู้ข่าวดี ฟัง พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา พระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีต เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนเราในการตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของเราไป เพื่อให้เราได้รับอิสรภาพ ดีใจ อย่างนั้น เราก็ได้รับความรอด รับเชื่อด้วยปาก มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดิ่ง ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือพอกลับไปบ้าน ไปเจอกับปัญหา เจอกับการข่มเหง อาจจะญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูก ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเราลึกซึ้ง ที่เราเคารพนับถืออยู่ แล้วมาบอกเราว่า …

“แกไปเชื่อได้อย่างไร? แกจะทิ้งศาสนาเดิมเหรอ แกมองข้ามฉันไปเหรอ”

มันเจ็บ นี่คือการข่มเหง … การข่มเหง ไม่ใช่เอาไม้มาข่มขู่ หรือเอาปืนมาจ่อเรา ไม่ใช่ แค่นี้ก็ข่มเหงแย่แล้ว ลำบากใจแล้ว

หรือกลับไปที่ทำงาน ไปเจอคนมองเราเหยียดหยามมาก เป็นคนขายศาสนาตัวเอง ประมาณนี้ จริงๆ มันไม่ใช่เลย แต่เวลาเขาพูดมา ปรากฏว่าถ้าเราไม่ผ่านการข่มเหงนี้ เรากลัว ในที่สุด เราก็ทิ้งข่าวประเสริฐที่เราได้รับมา ก็มีค่าเท่ากับกลุ่มคนกลุ่มแรก คือไม่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เมื่อไม่เชื่อ ก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการถูกพิพากษาอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีหนามปกคลุม ไม่สามารถเกิดผลได้ ก็สามารถเปรียบได้กับผู้ที่รับรู้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีมาแล้ว ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวงในชีวิตนี้ และความหลอกลวงในทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็คือถูกโลกนี้ ล่อลวงเรา คือเชื่อเสร็จปุ๊บ รับรู้ ข่าวประเสริฐ ดีๆ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พอกลับไป เจออะไรนิดหนึ่ง ในนี้บอกพะวักพะวงในชีวิต กลับไป สมมตินะ มาตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งตอนนั้นพอดี

ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญมาก ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งพอดี รักเขาสุดหัวใจ พะวักพะวง ปรากฏว่าฝ่ายผู้หญิง ทั้งบ้าน ไม่ยอมให้แต่ง ถ้าคุณยังเชื่อพระเจ้าอยู่ ไม่ต้องมาแต่งเลย  แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร? คุณจะทิ้งพระเจ้าไปไหม? ผมไม่ตอบนะ ผมให้เป็นคำถาม นี่แหละคือพะวักพะวง และยังมีอีกหลายเรื่อง

กลับไปถึงที่ทำงาน แล้วก็เจอหลายๆ ปัญหา ต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับพระเยซู ในที่สุด เอาเลื่อนตำแหน่งดีกว่า ไม่เอาพระเยซู นี่แหละ คือพะวักพะวง จะเอาอย่างไรกันแน่ ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะ แต่ให้ท่านรู้มันหมายถึงอย่างนี้แหละ

ยังมีที่ถูกการล่อลวงของโลกใบนี้ ก็คือความโลภในลาภยศ ในทรัพย์สมบัติ สมมติว่าพอท่านเชื่อ ท่านกลับไป พ่อบอกไม่ให้มรดกนะ มรดกพ่อมีแค่ประมาณหมื่นล้านบาท ไม่ให้เลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้ายังเชื่อพระเยซูอยู่ ไม่ต้องมาเอาเลย จะเอาอย่างไรดี? เอาเงินหรือเอาพระเยซูดี เอาเงินดีกว่า ตอนนั้นนะ พูดตอนนี้ มันพูดได้ ถึงจริงๆ จะรอดไหม? เราไม่รู้หรอก อย่านึกว่าตัวเองแน่ เคยได้ยินตรงนี้ไหม? เวลาคนเขาคอรัปชั่น เราอย่าไปพูดมาก

“ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เอาหรอก ขายชาติ อย่างนี้ ไม่ถูกต้องเลย”

อย่าพูดๆ เพราะว่าถึงเราเองจริงๆ เราอาจจะทำหนักกว่านั้น ก็ได้ สมมติเขาโกงไปพันล้าน ไปว่าเขาต่างๆ  อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ

“เป็นฉัน ฉันไม่หรอก”

เป็นท่าน เขาเอามาให้ร้อยล้าน ท่านอาจจะบอกว่า …

“ไม่มีทาง ฉันยึดความถูกต้อง”

“เอาไปสองแล้วกัน”

“ไม่มีทาง”

“เอาไปห้า”

“โอเค หยวนน่า”

ห้าร้อยล้าน ท่านก็ไปแล้ว นี่เขาตั้งพันล้าน เขาดีกว่าท่านตั้งเยอะ อย่าพูดว่าเราไม่ทำ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อตกไปในการล่อลวงแล้ว มันเป็นไปได้ทุกคนแหละ รวมทั้งเราด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้

อย่างที่บอกรับรู้ข่าวประเสริฐมา แล้วไปเจอการล่อลวง โธ่! เอ๋ย เรื่องแค่นี้ ทิ้งพระเยซูไปแล้ว เอาไว้เจอกับคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเลือกข้าง มันไม่ใช่เล่นๆ จริงไหม? พี่น้อง ต้องผ่านการเลือกมาแล้วทั้งนั้น ที่เลือกถูก ก็เพราะว่าข้างในมันเกิดใหม่แล้วจริงๆ สุดท้ายนั้น  มันต้องผ่านกระบวนการ การทดสอบอย่างนี้ จนกระทั่งมัน ไม่เอา เอาพระเยซู ท่านรู้ไหมว่าท่านบอกไม่เอา ทรัพย์สมบัติไม่เอา อะไรไม่เอา แล้วมาเอาพระเยซู บางครั้งที่พูดไปอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปอย่างนั้น มันยังไม่ไหลลงไปในวิญญาณท่าน ท่านยังไม่บังเกิดใหม่เลยนะ ท่านเพียงแต่เริ่มต้นแค่รับรู้เมล็ดนี้เท่านั้นเองนะ แต่เมื่อมันผ่านไปวันแล้ววันเล่า พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเชื่อจริงๆ มันไหลลงไปเรื่อยๆ จากการข่มเหงอันนี้ ท่านผ่าน มันก็ไหลลงไป จากการทดสอบ ล่อลวงของโลกใบนี้ เรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียงต่างๆ ท่านก็ผ่าน ก็ไหลลงไปอีก ท่านยังเลือกพระเยซูอยู่ อาจจะไปอีก 20 ครั้ง ครั้งที่ 20 มันปิ๊ง ก็คือมันไหลลงไป ที่วิญญาณท่านเกิดบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นในวิญญาณของท่าน เกิดการเนรมิตขึ้นมาถึงวิญญาณของท่าน บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาล่อลวงท่านได้แล้ว เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริง เอเมน และตรงนั้น คือดินประเภทที่ 4 ที่เรากำลังจะพูดถึง

เพราะฉะนั้น ดินประเภทที่ 2 กับ 3 รวมแล้ว ก็คือกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มคนที่ 2 ที่ไม่เชื่อ ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระเยซูนั่นเอง

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และมีความเข้าใจ รับรู้ เก็บรักษาความเชื่อไว้อย่างดี จนกระทั่งความเชื่อนั้นหยั่งรากลึกลงไปในใจ ไปเรื่อยๆ ที่พระคัมภีร์บอกมันจะเกิดผลเป็น 100 เท่า 30 เท่า เกิดผลแน่นอนกี่เท่าก็แล้วแต่พระวิญญาณ เกิดใหม่แล้ว นั่นคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เอเมน ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถรู้ตัวท่านเองอยู่ในสถานะอะไร? ท่านอยู่ในกลุ่มไหนตอนนี้ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 แล้วถ้าท่านอยู่ในกลุ่ม 2 ท่านอยู่ในประเภทตอนไหน? ตอนนี้ กลุ่ม 2 ประเภทที่โดนอะไรข่มเหง หรือมีพะวักพะวงในชีวิต อะไรบางอย่าง กำลังเลือกทางอยู่ หรือกำลังไม่แน่ใจ แต่ท่านอยู่ในระหว่างรักษาข่าวดีนี้ไว้ตลอดเวลาไหม? เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ใครก็ตามที่ดิ่งลึกลงไปในใจ วิญญาณปิ๊งขึ้นมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างที่ผมบอกตอนแรก ท่านจะรู้ว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่าทำอย่างนี้ ตกนรกไหม? ทำอันนี้ เป็นอย่างนั้นไหม? เพราะข้างในบอกท่านเองทั้งหมดเลยว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เอเมน รักษาตรงนี้ไว้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย คือคนที่บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระหัตถ์แล้ว ไม่มีหลุดรอดไปไหนแล้ว พระคุณของพระเจ้า ช่วยคนชั่วอย่างฉันเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่มีการย้อนกลับมาอีกแล้ว ซึ่งเราได้ย้ำกัน ด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ สรุปจบในเรื่องนี้มาหลายครั้ง เที่ยวนี้ก็จะใช้ข้อนี้อีก โรม 8:31-39 อ่านให้ชัดๆ ว่าเราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย กลุ่มที่รักษาข่าวประเสริฐ รักษาข่าวดี เมล็ดของข่าวดีนี้ไว้ จนกระทั่งมันไหลลงไปในวิญญาณ เกิดเป็นบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดฤทธิ์อำนาจ เกิดการระเบิดใหญ่เข้าไปในวิญญาณ เรียกว่านิวครีเอชั่น เรียกว่าถูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ Power of Holy Spirit ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ได้บังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า พอเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างที่โรม 8:31-39 อ่านดู นี่คือตัวฉันเอง ตัวฉันที่เป็นวิญญาณจริงๆ นะ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

 

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่านึกถึงใคร? ลูกชายของเศรษฐีนักธุรกิจรายหนึ่ง อยากออกมาใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่อยากช่วยงานธุรกิจของครอบครัว เหมือนทายาทเศรษฐีทั้งหลายทั่วโลก เป็นอย่างนี้ ก็เลยลุกขึ้นมา ขอเงินแบ่งจากพ่อ แล้วก็ออกจากบ้านไป ใช้ชีวิตอิสระเป็นตัวของตัวเอง ปรากฎว่าชายหนุ่มคนนี้ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ประสบผลไม่สำเร็จ ก็ล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ได้มา จนหมด ไม่ใช่แค่หมดเท่านั้น แถมยังเป็นหนี้เป็นสินอีกมากมาย ทั้งจากการสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน และการใช้เงินเกินตัวด้วย มั่นใจตัวเองมาก พอเงินหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เจ้าหนี้ก็มาทวงทุกวันๆ ไม่ใช่มาทวงธรรมดา ทั้งทวง ทั้งข่มขู่ ข่มเหง รังแกด้วย บ้านที่เอาไปวาง ที่ดินที่เอาไปวางเป็นหลักประกันก็จะโดนยึด คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

เมื่อตอนอยู่กับพ่อก็ซ่าส์ เย่อหยิ่ง อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ อยากออกจากบ้าน เป็นตัวของตัวเอง อยากจะคิดเอง ทำเองทุกอย่าง แต่พอออกไปแล้ว เป็นไง เจอตอเข้า เจอปัญหา  เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอของจริงเข้า ก็นึกถึงใคร? นึกถึงบ้าน นึกถึงพ่อ ชายหนุ่มคนนี้ พอเจอการทวงนี้ การข่มขู่ที่รุนแรงเข้า ก็เลยต้องกลับไปขอการช่วยเหลือจากพ่อ พอไปถึงพ่อ พ่อช่วยไหม? ช่วยอยู่แล้ว

ความรักของพ่อที่มีต่อลูก ก็แน่นอน มันจะขนาดไหนก็ตาม จะผิดหรือจะถูกอย่างไรก็ตาม เมื่อลูกกลับมา เราช่วยอะไรได้ เราช่วยเต็มที่ นี่เป็นมหาเศรษฐี ทำไมจะช่วยไม่ได้ เมื่อลูกกลับมา ก็ดีใจ พ่อพร้อมที่จะอ้าแขนรับ และช่วยเหลือ พ่อก็เลยไปช่วยเจรจากับเจ้าหนี้ แล้วก็ไถ่หนี้ให้ทั้งหมด จนครบหมด หมดเกลี้ยงเลย พ่อก็เลยกลับมาบอกลูกชายว่าพ่อทำการไถ่หนี้ให้หมดแล้ว หนี้ที่ไปสร้างไว้เยอะแยะ ตอนนี้ไถ่หมดแล้ว  จ่ายหมดแล้วๆ ลูกเป็นอิสระแล้ว ลูกก็พยักหน้า ดีใจ เชื่อ ดีใจ แต่ปรากฏว่าดีใจ สบายใจอยู่ไม่นาน สิ้นเดือน เจ้าหนี้มาทวงเหมือนเดิม ยังมาข่มขู่อีก มาทวงเหมือนเดิมอีก ส่งคนมาทวง ข่มขู่ ก็เลยชักไม่แน่ใจ ก็จ่ายให้ไป กลัว ก็จ่ายให้ไป จ่ายหนี้ เดือนต่อไป ก็มาข่มขู่อีก ชักไม่แน่ใจแล้ว คราวนี้ก็เลยไปถามพ่อ พ่อก็ยืนยันว่าจ่ายหมดแล้ว แถมยังเอาใบเสร็จมาให้ดู ไปจ่ายมาเอง เรียบร้อยแล้ว และก็บอกลูกชายว่าคราวหน้า ถ้ามันมาทวงอีก เอานี้ให้มันดูเลย ใบเสร็จ รู้ไหม? รู้ครับ

แล้วเจ้าหนี้ก็กลับมาอีก สิ้นเดือนมาแล้ว  คราวนี้ขู่หนักเลยว่าถ้าไม่ผ่อนหนี้ต่อไป คราวนี้จะทำให้รุนแรงขึ้น  อาจเจ็บตัวได้นะ ปัญหาหนักขึ้นนะ ข่มขู่ร้ายแรงเลยคราวนี้ ลูกชายก็ทำตามที่พ่อบอก ก็รีบไปเอาใบเสร็จมา โชว์ให้เจ้าหนี้ดูเลยนะครับ พูดเสียงแข็งเลยนะ …

“นี่คือหลักฐานการใช้หนี้หมดแล้ว พ่อฉันจ่ายหมดแล้ว”

แต่ว่าเจ้าหนี้ก็ยังทำไม? ขู่ต่อไปว่า … “ดูให้ดีๆ ใบเสร็จนี้มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นของปลอม ถ้าพ่อแกมีเงินจริง ไถ่บ้าน ไถ่ที่ดินอย่างนี้นะ คงไม่ปล่อยให้แกอยู่อย่างนี้หรอก”

ฟังให้ดีๆ “ถ้าพ่อแกมีเงินเยอะจริงๆ ขนาดมาไถ่หนี้  ถึงขนาดในใบเสร็จนี้  เป็นหลายร้อย หลายสิบล้านอย่างนี้จริงๆ แล้วทำไมปล่อยให้แกอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ดูสิปลวกยังขึ้นอยู่เลย สีก็ไม่ได้ทา ถ้ามีเงินขนาดนี้จริงๆ บ้านแกมันต้องสวยกว่านี้ตั้งเยอะนะ มันไม่กี่ตังค์เอง ถ้าทำใหม่”

ชักน่าคิด ลูกก็หันกลับไปดูที่บ้าน มันก็จริงนะ คิดตามภาษามนุษย์ธรรมดาว่ามันมีเหตุผล แล้วก็บอกตัวเองว่าที่เจ้าหนี้พูด มันก็น่าจะเป็นจริง งั้นแสดงว่าพ่อคงยังไม่ได้ไถ่หนี้ให้เราแน่ๆ เลย คิดไปคิดมา เลยเถิดไปว่าพ่อเราจริงหรือเปล่า? หรือเราถูกหลอก หลอกเราเล่นหรือเปล่า? ใช่พ่อเราไหมเนี้ย ชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็ทำอย่างไร? ผ่อนต่อ จ่ายต่อ

แล้วก็คิดต่อไป … “ถ้าเป็นพ่อของเราจริงๆ มีเงินขนาดนี้เยอะแยะ ไถ่หนี้ให้กับเรา บอกว่าที่ดินทั้งหมดนี้ หนี้สินไปจ่ายเขาหมดเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้บ้านเราคงไม่อยู่อย่างนี้หรอก จะมาปล่อยให้เราอยู่บ้านหลังเก่าอย่างนี้ทำไม? ซื้อหลังใหม่ให้เราก็ได้ ถ้าไม่ซื้อหลังใหม่ให้เรา แสดงว่าไม่มีจริง ถ้าเป็นพ่อเราจริง ไถ่ให้เราอย่างนี้จริงๆ น่าจะให้เราอยู่ดี กินดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาขัดสนลำบากลำบนอย่างนี้ ปล่อยให้เราอยู่อย่างทุรักทุเลตามมีตามเกิดแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เราอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ลำบากอย่างนี้หรอก เพราะฉะนั้น ไม่น่าใช่ ที่ไถ่อะไรให้เราทั้งหมดแล้ว คงไม่จริง”

พอคิดแบบนี้  ก็สรุปเลยว่าพ่อยังไม่ได้ไถ่ให้เราจริงๆ เราอาจถูกหลอก เรายังไม่ได้มีอิสรภาพจากหนี้สินจริงๆ ตามที่พ่อบอก ถ้าขืนเรายังไม่จ่ายหนี้ต่อไป อาจเจ็บตัว เจ้าหนี้คงมาทวงอีก อาจเจ็บตัว เดี๋ยวหนักๆ เข้า คราวนี้ รุนแรงถึงชีวิตได้ เดือดร้อนใหญ่เลย ก็เลยจำใจต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม

คิดให้ดีๆ นะ ใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม ขณะที่ใบเสร็จอยู่ในมือแล้วนะ  คุ้นๆ นะ

เรื่องลูกชายเศรษฐีคนนี้ ถามว่าเหมือนใครครับ? เหมือนคนที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าไถ่หนี้ให้หมดแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ปลดเราให้เป็นอิสรภาพจากหนี้บาป เวรกรรมแล้ว แต่พอมีเจ้าหนี้มาเริ่มทวงอีก เราก็ทำไร? เมื่อเจ้าหนี้มาทวง เจ้าหนี้บอกว่าอะไร?

“แกต้องชดใช้บาปเวรกรรม ที่แกมีอยู่ในใจนั้นต่อไปนะ”

บอกทำไม บอกเมื่อไร ทุกเดือนเหรอ ไม่ใช่ ทุกวัน เผลอๆ ทุกชั่วโมง เดี๋ยวเผลอนิดหนึ่ง อาบน้ำอยู่ เดินไป กินข้าวอยู่ เดี๋ยวแว๊บมาแล้ว โดยแว๊บ ผ่านทางโน้น ผ่านทางนี้  ผ่านทางความคิดเรา มันใช่เหรอเนี้ย เราหมดบาปเวรกรรมแล้วจริงๆ ตามที่พระเจ้าบอกหรือ? หรือเราจะต้องจ่ายหนี้ของเราอยู่เหมือนเดิมทุกวัน เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีความมั่นใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง เพราะถ้ามั่นใจ เราคงไม่คิดและไม่ทำอะไรแบบนี้  เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป ความไม่มั่นใจนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ไม่มั่นใจ เพราะอะไร? เพราะเราใช้ความคิด ตรรกะแบบเหตุและผล แบบมนุษย์ ใช้ตามอง ใช้สิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ มาเป็นเครื่องพิสูจน์ วัดว่าพ่อเราไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? พระเจ้าไถ่บาปเราโดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้นี้ คิดตามเหตุผลเลย

ถ้าพ่อเรา หรือพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์องค์เดียว มาไถ่บาปให้เราจริงๆ ตามที่พระองค์ทรงพูดไว้ตามพระคัมภีร์นั้น ทำให้เรามากมายถึงขนาดนี้จริงๆ ถ้าเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แล้ว เราก็ควรจะอยู่ดี กินดีกว่านี้นี่น่า จริงหรือเปล่า? หรือไม่มีใครเคยคิดบ้าง แล้วเราก็ควรจะอยู่ดีกว่านี้ เป็นลูกพระเจ้า ทำไมมันโทรมอย่างนี้ ถูกไหม?  ก็เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้ ก็ในเมื่อพ่อของเรา คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงควบคุมและครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วจักรวาล ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่กล่าวมานี้ เราก็ไม่ควรจะมีชีวิตแบบนี้เลย นี่คือการทวงนี้แบบเข้ามาในสมองเรา แล้วเราก็ชอบคิดแบบนี้ มันก็เลยตามไป บางทีคิดตอนอาบน้ำ คิดตอนกินข้าว บางทีคิดก่อนนอน บางคิดตอนทำงาน บางทีคิดตอนไม่สบาย บางทีคิดตอนมีปัญหา บางทีคิดตอนอะไรแล้วแต่ อะไรเยอะแยะ คิดตอนโลภ เยอะแยะไปหมดเลย คิดไปเรื่อย เพราะเรามีชีวิตที่ไม่มั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้กับเรา

“มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องไปติดหนี้ ยืมสินเขา มีเหรอ?”

มีไหม? เราเป็นลูกพระเจ้าไปติดหนี้ยืมสินเขาเหรอ? หัวเราะตายเลย มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องมาทุกข์ทรมาน จากโรคภัยไข้เจ็บ ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ มีที่ไหนลูกพระเจ้าต้องมาแบกปัญหาภาระ 108 1009 บนโลกใบนี้ ยุ่งวุ่นวายไปหมด เผลอๆ หนักกว่าคนอื่นเขาอีก เคยคิดบ้างไหม? ต้องเคยล่ะ มากหรือน้อยก็ตาม

“ลูกพระเจ้า ทำไมยังกังวล ยังกลัว ยังวิตกอยู่เลย”

บางคนหนักกว่านั้น … “ทำไมลูกพระเจ้ายังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เลย ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ฆ่าตัวตายได้ ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ ทำอย่างนี้ได้ สงสัยไม่ใช่ลูกพระเจ้ามั้ง”

สงสัยไปกันใหญ่ สิ่งเหล่านี้ ที่ทำทั้งหมด คือไม่เชื่อ กำลังบอกว่าเรากำลังผ่อนหนี้เขาต่อ เขามาทวง เราก็ผ่อนหนี้เขาต่อ นี่คือผ่อนหนี้  การผ่อนนี้ คือเราไม่เชื่อพระเจ้า กำลังผ่อนหนี้ ยอมรับง่ายๆ ว่าเราเป็นหนี้จริง พอเราเป็นหนี้จริง เราก็จะคิดแบบนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าอะไร ทำไมยังโกรธ ยังเกลียด ยังอิจฉาริษยา ยังโลภอยู่เลย ลูกพระเจ้าได้อย่างไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังบอกว่าเราไม่สมควรเป็นลูกพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า พ่อเราบอกว่า …

“แกบริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ตำหนิ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

เราบอก … “ไม่ใช่ ลูกพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? ลูกพระเจ้าจะโกรธได้อย่างไร? เมื่อเช้าฉันก็หงุดหงิด ลูกพระเจ้าจะหงุดหงิดอย่างนี้ได้อย่างไร?”

เป็นไหม? นี่แหละ คือการผ่อนหนี้อยู่ … “มันเป็นไปไม่ได้” … เรากำลังผ่อนหนี้อยู่ “เป็นไปไม่ได้” ก็คือเราไม่ได้รับอิสรภาพ เรายังเป็นหนี้สินอยู่ เรายังเป็นหนี้สินอยู่

“ใช่ แกพูดถูกแล้ว”

เรายังเป็นหนี้ เราผ่อนวิธีการนั้น ก็คืออย่าหนี ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็จะไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ในความคิด เราก็จะสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่พระเจ้าองค์นี้จะเป็นพ่อของเรา และยิ่งพอเจอปัญหา เจอความทุกข์ยากลำบากหนักๆ เข้า ก็เลยคิดเลยไปใหญ่ว่าพระเจ้าที่ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้เรียนรู้มานั้น ไม่มีจริงด้วยซ้ำไป เป็นความอยากได้ของมนุษย์มากกว่า พระเจ้าไม่มีจริง หรือมี ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ หรอก นั่นคือจินตนาการของมนุษย์ อยากให้พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่จริงๆ ไม่มีหรอก อะไรคนเราทำผิดทำบาปเยอะแยะ อยู่ดีๆ มาเชื่อพระเยซูจะไปรอด สมควรไปอยู่สวรรค์ เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็บอกเป็นไปไม่ได้ คนข้างบ้านก็บอก เพื่อนก็บอก รวมทั้งตัวฉันเอง ในที่สุด ฉันก็เลยบอกด้วยคนว่าไม่จริงหรอก ก็จบข่าวประเสริฐตรงนั้น

เห็นไหม? นี่คือวิธีการที่มารจะมาขโมยข่าวประเสริฐจากเรา การที่เราใช้หนี้ทุกวัน ที่เราบอกว่าพระเจ้าใช้หนี้เราหมดแล้ว แต่พอแต่ละเดือนแต่ละวันเขามาทวง เราก็ยังจ่ายอยู่ จ่ายก็คือวิธีนี้ ยังจ่ายอยู่ ยังคิดอย่างนี้อยู่ พอคิดอย่างนี้อยู่ ก็จ่าย วิธีจ่ายของเรา ก็คือจะทำอะไรก็ตาม เป็นพิธีกรรมอะไรก็ตามที่เป็นแรงจูงใจจากจิตใจ คือต้องการจะเป็นอิสระ นั่นแหละ คือการใช้หนี้เขา

ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เช่นท่านมาโบสถ์ เพราะอะไร? ท่านคิดว่าท่านมาโบสถ์ เพราะว่ามันจะได้สมควรที่จะไปสวรรค์เหรอ? เสร็จแล้ว ท่านกำลังผ่อนให้เขาอยู่ ถ้าท่านมาโบสถ์ เพราะว่าเราจะได้มาหนุนจิตชูใจกัน สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นอิสรภาพแล้ว อย่างนี้คนละจิตใจ มาเหมือนกันนะ แต่คนละแรงจูงใจไม่เหมือนกัน ท่านต้องเป็นอย่างนี้ ฉันต้องอดอาหารอธิษฐาน ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่ฉันอดอาหารอธิษฐาน เพื่อแสวงหาอะไรบางอย่าง ในเรื่องความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่อดอาหารอธิษฐาน เพราะว่าฉันจะได้บริสุทธิ์ ฉันจะได้บังคับตัวเอง ฉันจะได้บังคับตัวเอง ไม่ใช่อันนั้นเป็นการบังคับตัวเอง เหมือนถวายเหมือนกัน ท่านให้เงินไป ท่านให้เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าให้มา อยากจะให้ต่อ คนให้มีความสุข คนรับมีความสุข พอแล้วแค่นั้น ไม่ใช่ให้เพราะว่าฉันจะได้สมควรไปสวรรค์ พระเจ้าจะได้รักฉันเยอะๆ เสร็จเลย

นี่คือการผ่อนไง และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะไปหมด ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราทำ ไปพิสูจน์กันเองแล้วกัน ของใครของเขาว่าอะไรที่เราทำในทุกวันนี้ เป็นการยังผ่อนอยู่ไหม? พระเจ้าบอกเป็นอิสระแล้ว ตื่นขึ้นมา มีคนมาทวง ผ่อนอีกไหม? หรือเราบอกมันว่า …

“ไปให้พ้นนะ ฉันเป็นอิสระแล้ว ไปไกลๆ เลย”

หรืออย่างไร? ท่าทีไหนของเราที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ให้ท่านกลับไปคิดเอาเอง ตัวใครตัวเขาแล้วกัน เอเมน

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์  โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เรามาต่อในซีรี่ส์ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น”

ทบทวนกันสั้นๆ ประเด็นหลักๆ ที่เราเรียนรู้กันที่ผ่านมา

(1) ความหมายของคำว่า “เราเป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดนิรันดร์ (ในทางวิญญาณแล้วจริงๆ) ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้วจริงๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าทำอะไรได้บ้าง? ทำอะไรไม่ได้บ้าง? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เราสูญเสียความรอดนิรันดร์ได้อีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ

(2) ผู้ที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นไทแล้วจริงๆ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าเฉยๆ แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความประพฤติเลย  เป็นพระคุณพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว

(3) ผู้ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่จะต้องผ่าน 2 ขั้นตอนนี้เสมอ ตามพระคัมภีร์ คือ …

3.1 คนนั้นจะต้องได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูก่อน เรียกว่าได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น มีคนมาประกาศ แจกใบปลิว หรืออะไรก็ตาม ฟังจากวิทยุ โทรทัศน์ มีเพื่อนมาพูด คนนั้นจะต้องได้ยินก่อน

3.2 เริ่มต้นเชื่อ คือเริ่มต้นรับเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ ที่ตัวเองได้รับมานั้น แล้วก็ได้เก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ปฏิเสธ รับไว้ เริ่มต้นเชื่อว่ามันจริง เหมือนเพลงที่เราร้องกันสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดนิรันดร์ในทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทางพระเจ้า การรับบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เขาเรียกว่าพิธี เขาก็บอกให้เราร้องเพลงเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเพลงหนึ่งที่เราร้องกันในนั้น ก็คือ …

“ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

แม้ว่ากลับไปบ้าน กลับไปสู่ชีวิตเดิม ออกจากพิธีไปเรียบร้อยแล้ว เจออะไรก็ตาม ก็คือจะรักษาความเชื่อนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้เวลาไหน? วันเวลาใด เจ้าความเชื่อนั่น มันดิ่งในวิญญาณของเขา การบังเกิดใหม่ ลึกลงไปในใจ มันบังเกิดมาปุ๊บ เป็นการระเบิดเปรี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ เหมือนตอนพระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ด้วยความซุปเปอร์แบงค์ ระเบิดเปรี้ยงออกมา เขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที เริ่มต้นเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ และไม่มีใครเอาเขาออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว

เราก็ได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งเป็นจดหมายฝาก ซึ่งชาวฮีบรู ผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เดิม ประเพณี การปฏิบัติ ในบัญญัติสมัยโมเสส ที่พระเจ้าสั่งไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขารู้ทั้งสองอย่าง เขาก็เลยเขียนจดหมายมาแนะนำ มาสอน มาเตือน ให้บรรดาพี่น้องได้รู้เรื่องนี้  พี่น้อง ก็คือชาวยิวทั้งหลาย ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่ไม่ใช่ยิว เพราะฉะนั้น อ่านหนังสือจดหมายฝากฮีบรู จงนึกไว้ว่าเขาเขียน ถึงคนที่เป็นยิว คนที่ไม่ใช่ยิว ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เพียงแต่บางอันประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้บ้าง

หนังสือฮีบรู เขียนสมัยตอนพระเยซูพึ่งจะเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานใหม่ๆ ช่วงประมาณ 30 ปีนั่น ไม่รู้เขียนตอนไหน? ซึ่งเนื้อหาในพระคัมภีร์ฮีบรูจะเน้นในเรื่องแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซู คือผู้ที่จะมาทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าได้ทำการบอกล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งแต่ในสมัยอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเรา ที่เรียกว่าพระคัมภีร์เดิมจดบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างนี้ แล้วก็ให้โมเสสและชาวยิวเป็นตัวแทน ทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง สมัยพระคัมภีร์เดิม โมเสส ที่หนังสือฮีบรูเรียกว่าเป็นเงาของพระเยซูที่จะมาทำให้สำเร็จในอนาคต ซึ่งตอนที่เขียนจดหมาย ฉบับฮีบรูนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว

นี่คือรายละเอียดต่างๆ ซึ่งพูดย่อๆ ในเรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของหนังสือฮีบรู เวลาจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องศึกษาให้ละเอียดว่าเขาเขียนถึงใคร? ลักษณะอย่างไร? ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา เอาประโยคเดียวมาใช้ มันก็ผิดๆ ถูกๆ

เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ หลายครั้งเราเอาแค่ประโยคเดียวมา แล้วก็บอกว่าอันนี้เป็นอย่างนี้แหละ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ เรากำลังทำการฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดหรือเปล่า? อาจจะจริงก็ได้ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ว่าอันตราย วันนี้เรามาต่อ บทที่ 6

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

ผู้ที่เขียนนี้  ก็เดินอยู่ท่ามกลางเขาเหล่านั้น บางคนก็เป็นเพื่อนกันกับชาวยิวด้วยกัน ผู้เขียนกำลังบอกว่าในบรรดาชาวยิว หลายคนก็เดินอยู่กับพระเยซู เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ได้เห็นพระเยซูเรียกคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เห็นลาซารัสเดิน เห็นคนตาบอดมองเห็นอย่างอัศจรรย์ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเยซูผิดกว่ามนุษย์คนอื่นมากมาย เป็นการพิสูจน์ว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันจริงนะ มีอยู่ผู้เดียวที่ทำอย่างนี้ได้ ตั้งแต่โลกนี้มีมา แล้วก็ได้ฟังพระเยซูพูดเลย  บางคนไม่ได้เห็นพระเยซู แต่เห็นอัครสาวกรุ่นแรกๆ อย่างเปโตร ยากอบ ยอห์น ทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้เห็นกับตา ได้ฟังข่าวประเสริฐ และได้เห็นอะไรมากมายต่างๆ เหล่านั้น

คนเขียนก็บอกว่าคนเหล่านี้ได้รับรู้แจ่มแจ้งด้วยตาตัวเอง  ถึงแม้จะได้เห็น ได้เป็นพยานในการอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็น จะเชื่อเหมือนกันหมด ใช่พระเจ้าแน่ เห็นแล้ว บางคนก็เชื่อจริงๆ รักษาความเชื่อไว้ จนกระทั่งบังเกิดใหม่จริงๆ อย่างเช่น เปโตร หรือมาระโก หรือแม้กระทั่งเปาโล … เปาโลแรกๆ ก็ไม่เชื่อ จนในที่สุด ก็ต้องยอมเชื่อ ด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์เหมือนกัน บังเกิดใหม่เหมือนกัน แต่คนที่มองๆ ดูแล้ว เห็นกับตาไม่เชื่อ นี่แหละกำลังพูดถึงคนเหล่านั้น  ที่ตัวเองก็เคยลิ้มรสแล้ว เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ไม่เชื่อ แล้วยังมีบางพวกที่หนักกว่านั้น ก็คือไม่เชื่อว่าเป็นอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า หาว่าพระเยซูเป็นพวกผี เพราะว่าเจ้านายเป็นผี เป็นพวกซาตาน พระเยซูบอกว่าอย่างนี้ เป็นพวกหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นพระเยซู หรือเห็นอัศจรรย์ หรือเห็นการงาน ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของแท้จริงๆ แล้วจะเชื่อพระเจ้านะ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น   เพราะฉะนั้น ปรับมาประยุกต์ใช้กับพวกเราในปัจจุบัน บางคนคิดว่าถ้าวันนี้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่อีกทีหนึ่ง หรือไม่พระเยซูปรากฏเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งโลกคงจะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูหมดเลย เหมือนกับเรา ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี  อันนี้เป็นสัจจะธรรม เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ ทำอะไรต่างๆ ให้เห็นกับตาว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ โดยการพิสูจน์แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะได้รับผล ตามที่มนุษย์คิด มันไม่ใช่วิธีนั้น มันเกิดใหม่ในวิญญาณ มันไม่ใช่เกิดใหม่ทางด้านตามองเห็น ต่อให้เรียกคนมาตอนนี้ แล้วมีใครบางคนมีความเชื่อตรงนี้ แล้วก็เรียกเขาขึ้นจากความตาย ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทั้งประเทศจะมารู้จักพระเจ้า อย่าว่าทั้งประเทศเลย เอาแค่ห้องนี้ ห้องเดียว สมมติถ้ามีคนไม่เชื่อสัก 10 คน ผมเชื่อว่าทั้ง 10 คนนั้น อาจจะเชื่อสัก 2 คนจริงๆ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะเริ่มต้นเชื่อ แล้วรักษาความเชื่อต่อไป เห็นวันนี้ คนนี้เป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ เชื่อๆ กลับไปบ้านเจอตอ เจอการข่มเหงรังแก เดี๋ยวอีก 3 วันก็ลืมไปแล้ว ลืมวันที่เห็นคนนี้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ มีผู้เชื่อ อธิษฐานในนามพระเยซู เขาเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ ยังเดินอยู่เลย  แต่ตัวเขาเอง เขาไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังสิ่งเหล่านั้น

และท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ เวลาที่ไปต่างประเทศ สมมติคนที่ชอบไปทัวร์  พอแวะเมืองแรก เจอของที่อยากได้ กะจะซื้อมาเก็บหรือซื้อมาฝากก็แล้วแต่ แจ๋วเลย  ไปดูๆ จับๆ ใช่เลย ดีแล้ว แต่ไม่ซื้อหรอก หวังว่าไปเมืองต่อไป รัฐต่อไป อาจจะถูกกว่านี้  อันนี้ยังไม่ดีพอ จริงๆ มันดี แต่ยังๆ ขอเลือกต่อ ยังมีอีกหลายแห่งที่ต้องไป ปรากฏว่าวันพรุ่งขึ้น ไปอีกแห่งหนึ่ง มันถูกกว่าจริง แต่ไม่ใช่ของแท้ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้ก็ดี แต่มันยังไม่ใช่ ในสิ่งที่ต้องการ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้เขาบอกแน่นอน แพงระเบิดเลย ไม่มีเงินพอ ในที่สุด นึกขึ้นมาได้ อันแรกที่เจอวันแรก มันของแท้และถูกมากเลย เกือบจะฟรีเลย ก็เลยพูดคำนี้ …

“รู้อย่างนี้”

แปลว่ามันพลาดไปแล้ว “รู้อย่างนี้” ปรากฏที่รู้อย่างนี้ พูดตอนไหน? พูดตอนยืนอยู่ที่สนามบิน กำลังเดินทางกลับเมืองไทย หมดโอกาส จะกลับไปร้านเดิมได้ไหม? รู้อย่างนี้ สั้นๆ ก็คือเหมือนคนที่หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่างแล้ว พึ่งจะรู้ว่า …

“รู้อย่างนี้ ฟังข่าวประเสริฐวันนั้น ฉันเชื่อก็ดี มันเป็นจริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้จริงๆ เพื่อนฉันพูดข่าวดีกับฉันนั้น เป็นเรื่องจริงว่าให้เชื่อพระเยซูไว้ พระเยซูเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความรอด รู้อย่างนี้ มันก็สายไปแล้ว”

เปรียบเหมือนคนที่ได้รับฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีแล้ว ได้จับ ได้ชิม ได้ลองดูแล้ว นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ตัดสินใจ เพราะคิดว่าอาจจะมีสิ่งอื่นรออยู่ที่ดีกว่า อาจจะมีข่าวที่ดีกว่านี้

ถ้าพูดย้อนกลับไปถึงชาวยิวในสมัยนั้น เขาคิดอย่างนี้จริงๆ มีคนยิวหลายคนในสมัยนั้น ก็คิดอย่างนี้จริงๆ เขาเห็นกับตาว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์อย่างไร? ผู้ที่เชื่อพระเยซู อัครสาวกที่ประกาศข่าวดีกับการอัศจรรย์อย่างไร? และมาฟังถ้อยคำพระเจ้า มันตรงเป๊ะว่า …

“นี่ตรงเป๊ะกับที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมที่เขาเคยอ่านมา เขาได้เรียนมาตั้งนาน ตั้งเยอะแยะ ในพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูจะเป็นอย่างไร? จะมาเกิดอย่างไร?  จะตายที่ไม้กางเขนอย่างไร? และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์อย่างไร?”

แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะคิดว่าอาจจะมีพระมาสิยาห์ องค์ต่อไป ที่เก่งกว่านี้อีก รอก่อนแล้วกัน ซึ่งเขาก็รอกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังรออยู่ก็มี

“พระมาซีฮาห์” หมายถึงผู้ที่ถูกเลือกสรร ผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ผู้ที่ถูกพระเจ้าใช้ให้เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษยชาติ ได้มาเกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อเขาไม่เชื่อ เขาก็รอไง

ในข้อ 5 กับข้อ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า “ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

สมมติว่าผมพาคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า แล้วรับเชื่อพระเจ้าแล้วต่อหน้าผม แล้วก็ทิ้งพระเจ้าไป ผมเสียหน้าไหม? ผมบอกว่า …

“โดยฤทธิ์เดช แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อพระเยซู ท่านจะได้รับความรอด เพราะพระเยซู ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จงรับเชื่อพระเยซูเถิด”

ปรากฏว่าเขารับข่าวดีนี้ไป เขาเชื่อในพระเยซูว่าเขาได้รับความรอด เขาเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ วันหนึ่งเขาทิ้งพระเจ้าไป เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ได้ทำสำเร็จแล้ว เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่บุตรพระเจ้า เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  ไม่ใช่พระมาซีฮาห์ เขากำลังจะบอกว่าพระเยซูโกหก และคุณนครก็ไปเชื่อพระเยซู แล้วคุณนครก็เลยโกหกตาม โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไร? เขาแค่ทิ้งไปแค่นั้น มันหมายความว่าอย่างนั้น

ปรับมาใช้กับยุคปัจจุบัน หลายครั้ง เราอาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  ถ้าเรายังไม่ได้เกิดใหม่จริงๆ ทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล หมายถึงในหมู่ชาวยิว อย่างที่บอกเขียนไปหาชาวยิว คนนี้ที่เริ่มต้นเชื่อ อาจจะเป็นปุโรหิตเก่า หรือเป็นปุโรหิตตอนนั้น เชื่อแล้วยังไม่แน่ใจ เอาอย่างไรดี? ในที่สุดทิ้งความเชื่อไป คนในสังคมชุนนุมชนยิวเขาจึงบอกว่า …

“เห็นไหม? ถ้าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์จริง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริง นายคนนี้มาเชื่อ แล้วออกไปทำไม? นี่เป็นพยานให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูไม่จริง ถ้าจริง คนที่เชื่อคนนี้ ก็ต้องเชื่อต่อไปสิ”

พูดง่ายๆ เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยการปฏิเสธข่าวดี ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ตัวจริง ปฏิเสธพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านพอเห็นภาพนะ เขากำลังบอกว่าถ้าพระเยซูทำสำเร็จตามที่พระองค์พูดบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ไม่ต้องรักษาบัญญัติต่างๆ ต่อไปแล้ว แต่คนนี้ พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็กลับไปทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ยังกลับไปถวายสัตว์ ยังกลับไปทำพิธีอีกอย่างอื่น เขาไม่ต้องพูด แต่การกระทำของเขา กำลังบอกว่าพระเยซูพูดไม่จริง เป็นการปฏิเสธพระเยซู การลบหลู่พระเยซู ลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระวิญญาณเท่านั้น ที่เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้าตัวจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระบิดา ให้กับมนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ แต่คนที่บอกว่า …

“ฉันก็เชื่อนะ ฉันเห็นสาวกหลายๆ คน เพื่อนฉันเอง เปโตรเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันเชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยฉันได้ ฉันได้รับความรอด แต่สิ่งที่ฉันเคยทำตั้งแต่อดีตมา จนกระทั่ง ถึงอายุ 70 กว่าแล้วเนี้ย ในวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสั่งให้ทำ ตั้งแต่บรรพบุรุษมา ฉันเลิกไม่ได้ ฉันต้องทำต่อไป เพราะว่าฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันเอาชัวร์ๆ ดีกว่าว่าถ้าเกิดเปโตรพูดผิด ข่าวประเสริฐผิด ฉันยังช่วยตัวเองได้ เอามาชำระบาปด้วยตัวเอง ทำพิธีเหล่านี้ ท่านว่ามีคนเป็นแบบนี้ไหม? มี แล้วถามว่ามีคนแบบนี้แล้ว เรียกว่าได้รับความรอดไหม? ได้รับการบังเกิดใหม่ไหม? มีโอกาสบังเกิดใหม่ไหม? เป็นไปไม่ได้ ลองปรับมาเข้ากับปัจจุบัน ใครที่มั่นใจว่าท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ ท่านบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ท่านมั่นใจมากว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเชื่อไหมว่าท่านสามารถกลับไปทำอย่างเดิมได้ อย่างพิธีที่เคยทำอย่างเดิม ความเชื่อเดิม สมัยก่อน เอาข้อเดียวพอ ท่านจะทำสักครั้งหนึ่งได้ไหม? วันเกิดท่านครั้งต่อไป ไปสะเดาะเคราะห์ ท่านจะทำไหม? ไม่ทำ นี่แหละ อันเดียวกันกับที่บอกว่าท่านจะเห็นชาวยิว หนังสือฮีบรูที่เขียนไปหาเขา มันเป็นอย่างไร? การสะเดาะเคราะห์กับการที่เขาเอาสัตว์ไปถวายบูชาให้กับพระเจ้า เป็นประเพณีเดิมของชาวยิว มันก็อันเดียวกัน เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องการชำระบาป ถ้าเชื่อพระเยซู จนสนิทใจ จนบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะมันสะอาดแล้ว แต่ถ้าเชื่อไม่สนิทใจ มันยังคั่งค้างอยู่ มันอยากจะทำ มันไม่สะอาดสักที มันก็สะเดาะเคราห์ ในวันเกิดของเรา ในปีนี้ เพราะปีต่อไป เราก็ต้องสะเดาะห์ต่อ สะเดาะห์ไปเรื่อยๆ

คำว่า “เกิดใหม่” ไม่ใช่รอให้ตายไป แล้วเกิด เกิดใหม่ เกิดเดี๋ยวนี้ ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ต้องเกิดใหม่ วิญญาณเขาต้องเป็นใหม่แล้ว ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ถ้ารอให้ออกจากร่างกาย มันสายไปแล้ว

ท่านไม่สามารถเอาพระเยซูเป็นตัวสำรองได้ และท่านก็ไม่สามารถเชื่อพระเยซูเป็นตัวเอก และเอาอันอื่นเป็นตัวสำรอง ก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านรับพระเยซูเป็นตัวเอก ท่านจะไม่เอาตัวสำรอง เพราะท่านรู้ว่าท่านพึ่งและวางใจ และหวังใจในความสามารถของตัวเองนี้ได้  ท่านจะไม่มีสำรองอีกต่อไป

ข่าวประเสริฐมีมาไว้ สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ได้มีไว้ สำหรับวิญญาณ ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับประกาศไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น วิญญาณไม่เกี่ยว เมื่อมนุษย์ตายไป  หยุดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็จบการเป็นมนุษย์ เมื่อจบการเป็นมนุษย์ ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอีกต่อไป  ดูในฮีบรู 6:7-8

ฮีบรู 6:7-8 “7 ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ำเสมอ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้น ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตรายจากการถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง”

 

ถ้อยคำตรงนี้ เปรียบให้เห็นถึงผืนแผ่นดิน 2 แห่ง 2 ลักษณะ หรือกลุ่มผู้เชื่อ 2 พวก กลุ่มคน 2 พวกที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อข่าวประเสริฐ

พวกหนึ่ง คือแผ่นดินที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์ ก็คือพวกที่ผ่านขั้นตอน 3 พวกที่ผมพูดไว้ คือได้รับฟังข่าวดี  เชื่อในข่าวดีนั้น  และเก็บรักษาข่าวดีนั้นไว้ จนกระทั่งความเชื่อในถ้อยคำนั้น ค่อยๆ ดิ่งลึกๆ ลง จนเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าบิ๊กแบงค์ เกิดการเนรมิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในวิญญาณ ในร่างกายของคนๆ นั้น เรียกว่าบังเกิดใหม่ นิวคีเอชั่น ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม สะอาดหมดจด ในข้อนี้บอกว่า …

“เป็นแผ่นดินที่ให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูก และได้รับพรจากพระเจ้า”

ฝน ก็คือน้ำ  น้ำฝน ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผืนแผ่นดิน ก็คือคน มนุษย์บนโลกใบนี้  เมื่อได้ข่าวดี น้ำฝนมานะ จะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? มันจะมีผลออกมาอย่างไร?

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือในข้อที่ 8 ที่บอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็ก หนามใหญ่ เป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ค่า ก็คือพวกที่ได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เอา พวกนี้ ก็จะตกอยู่ในอันตราย  จากการถูกสาปแช่ง เพราะว่าในพระคัมภีร์ตะกี้บอก ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง ความหมาย ก็คือเมื่อปฏิเสธข่าวดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อน้ำฝน คือข่าวดีที่เข้ามา ไม่เกิดผลเลย  แห้งแล้งอยู่เหมือนเดิม  ก็คือปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้า  ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ก็ไม่มีทางอื่นใดเลย  ที่จะได้รับความรอดอีกแล้ว สุดท้ายก็จะได้รับโทษของความบาปและความตาย ซึ่งโทษนั้น ตามพระคัมภีร์บอกไว้ ก็คือบึงไฟนรกเผาผลาญนั่นเอง และข่าวดีสำหรับผู้ที่รับเชื่อแล้ว ผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูจริงๆ และเก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้อย่างนี้ จนกระทั่งความเชื่อนั้น ได้ดิ่งลึกลงไปในใจ จนกระทั่งบังเกิดใหม่ สิ่งที่จะได้รับนั้น  ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ในฮีบรู 6:9-12 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

กำลังจะบอก “แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงแม้จะถูกข่มเหงรังแก เราก็อดทน รักษาความเชื่อไว้ เพราะวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้วนะ เราเป็นลูกพระเจ้า  รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอดนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว แปลว่ามันไม่ได้สุขสบาย ในนี้บอกว่าต้องอดทนนะ อาศัยความเชื่อและความอดทน

ในคำอุปมา ที่พระเยซูสอนบรรดาสาวกตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลักษณะอย่างนี้ เกี่ยวกับสวรรค์แบบนี้ แผ่นดินสวรรค์อาณาจักรเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็พูดเป็นคำอุปมา เปรียบเทียบ ผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ

พระเยซูบอกว่าผลที่เราจะได้กับการหว่านเมล็ดพืช  … เมล็ดพืช ก็คือข่าวดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่เราหว่านออกไปนั่น มันไปตกอยู่ที่ดินประเภทใด ดินที่กินน้ำได้ดีไหม? หรือไม่ดี ไม่ยอมกินน้ำเลย เราหว่านด้วยวิธีการเดียวกันหมด แต่ผลที่ได้รับไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราหว่านลงไปอยู่ที่ไหนต่างหาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหว่าน แต่ขึ้นอยู่กับการรับเมล็ดที่หว่าน มัทธิว 13:3-9 ดูสิ พระเยซูสอนว่าอย่างไร?

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

“ใครมีหู จงฟังเถิด” แสดงว่าบางคนไม่มีหูเหรอ? ตอนที่พระเยซูเดินอยู่ บางคนหูด้วนเหรอ? หูขาด ก็ยังได้ยินอยู่นะ ไม่มี กำลังบอกถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ให้ฟัง พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเรา เขาก็จำเสียงได้เรา ถ้าไม่ใช่แกะของเรา เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง”

ยกตัวอย่างในฮีบรู มี 3 ประเภท ดังนี้ …

ประเภทที่หนึ่ง คือเชื่อในข่าวดี รักษาไว้ จนกระทั่งมันดิ่งในวิญญาณ และบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะเข้าไปอยู่กับเขา เขาจะเป็นลูกของเรา เขาจะเป็นประชากรของเรา จะไม่มีใครสอนเขา เรื่องเราอีกต่อไป เราจะสอนเขา โดยส่วนตัว เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้เลย อยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ขณะนี้เลย แล้วเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วเขาสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังด่าคนนั้นอยู่เลย เมื่อตะกี้ขับรถมา ยังด่าคนนั้นอยู่เลย ยังหงุดหงิด ทนไม่ไหว แต่เขารู้ภายในใจว่าเขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาไม่ได้สะอาดหมดจด เพราะการกระทำของเขา แต่เขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมเอาไว้ แต่งตั้งเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเขา จนสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีตำหนิใดๆ เลย  พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว  สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น เขาเชื่อ เขามั่นใจตรงนี้ เขาจึงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างนั้นตลอดไป เอเมน ใครเป็นอย่างนี้ …

“เมื่อเช้าก็ไปด่าเขา ตกนรกแน่เลย เดี๋ยวไปบ้าน จดไว้นิดหนึ่ง กลับบ้านไป ขอพระเจ้ายกโทษที เอ๊ะ แล้วอันไหนที่ยังจำไม่ได้ เราจะตกนรกไหมเนี้ย อันอื่นจำไม่ได้ ไม่แน่ใจวันก่อนนี้ ทำท่าอยากจะซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่รู้ว่ามันบาปหรือเปล่า? เพราะว่าถ้าซื้อล๊อตเตอรี่เห็นเขาบอกว่าบาป เราอยากซื้อ แต่ไม่ซื้อมันบาปไหม? เขาบอกว่าไม่บาปนะ ถ้าอยากเฉยๆ ไม่ซื้อไม่บาป แต่พระเยซูบอกว่าแค่เห็นหญิง มีความกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว อันนี้เท่ากับที่เราจะซื้อล๊อต เตอรี่แล้วเราไม่ซื้อ แต่เราอยากซื้อ เท่ากับเราร่วมการซื้อไปแล้วหรือไม่? คิดไม่ตก สรุปว่าเราไปนรกหรือเปล่า ไม่แน่ใจ นอนไปกลัวไป

“ขอปรึกษาอาจารย์ คือเมื่อวานนี้ จะขึ้นรถเมล์ มันไม่จอด ไม่จอดไม่พอ มันวิ่งลงน้ำ กระเด็นขึ้นมาเลอะหมดเลย ปกติ ดิฉันก็เป็นคนอภัยให้เขาเสมอ วันนั้นมันทนไม่ไหวจริงๆ ด่าตามหลังไปเลย ด่าเสียๆ หายๆ เศร้ามาถึงวันนี้ 7 วันแล้ว ยังไม่หายเลย รู้สึกจะตกนรก อาจารย์อย่างนี้ตกนรกหรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราไม่อภัยคนอื่น พระเยซูก็ไม่อภัยให้เราด้วย”

เก่งนะ ข้อพระคัมภีร์จำแม่นเลย ให้เราอภัยให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะได้อภัยให้เรา

“ยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ชุดแต่งมาอย่างดี กะจะไปโบสถ์ โบสถ์ก็ไม่ได้ไป เลอะไปหมดเลย  ไปไม่ทัน ยังโมโหไม่หายเลย อาจารย์อย่างนี้ตกนรกไหมเนี้ย?”

แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? ไม่ตกเหรอ แต่รถมันตกหลุม น้ำกระเด็นขึ้นมา ไม่ตกเหรอ? แต่มันทนไม่ไหว อภัยให้เขาไม่ได้เลยนะ แล้วอย่างนี้พระบิดาจะอภัยให้เราเหรอ นอนไม่หลับมา 7 วันแล้ว ช่วยทีเถอะ  ผมก็จะบอกว่ามาฟังครั้งหน้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2018 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2018

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะมีค่ายครอบครัว คือวันที่ 5-7 ตุลาคม 2018 ปีนี้พิเศษมาก ได้หัวข้อเรื่องปีนี้แล้ว  ชื่อหัวข้อค่าย เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราคือพระเจ้า” หรือ “จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

เป็นหัวใจของคริสเตียนก็ว่าได้ ว่าตามจริงไม่ได้เป็นหัวใจของคริสเตียนอย่างเดียว เป็นหัวใจของผู้ที่แสวงหาพระเจ้า เป็นหัวใจที่พระเจ้าจะนำประชากรของพระองค์ คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นมนุษย์บาป เข้ามารู้จักพระองค์ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ตั้งแต่ปฐมกาลเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมเลย จนพระคัมภีร์ใหม่ จงนิ่งเสียและรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า ตัวนี้สำคัญที่สุด เรามาถึงยุคปัจจุบัน ยุคของคริสเตียน ตรงนี้ ยิ่งจำเป็นสำหรับเรามากขึ้น และเรามีโอกาสได้มากขึ้นกว่าคนสมัยก่อน เพราะว่าทุกวันนี้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์ทั้งเล่ม หมายถึงพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่ม พระเจ้าได้บอกตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

สำเร็จ นี่คืออะไร? คือทำให้พระเจ้าสามารถลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ ทำให้ร่างกายมนุษย์ที่สกปรกโสโครก เป็นคนบาปนั้น กลายเป็นวิหารของพระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา ทำได้แล้ว แล้วเรารู้ได้อย่างไร? วิธีรู้ ก็คือจงนิ่งเสียและรับรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า พระองค์คือพระเจ้า พระองค์มาสถิตอยู่กับเราแล้ว จงนิ่งเสียและรับรู้ สมัยก่อนนี้นิ่ง แล้วรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า เคลื่อนไหวอยู่แถวๆ ท่ามกลางอิสราเอล ท่ามกลางผู้คนของพระองค์ แต่เดี๋ยวนี้สมัยพระเยซู คือสมัยคริสเตียน สมัยเรา จงนิ่งและรับรู้เถิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

เพราะฉะนั้น ค่ายครั้งนี้จะพิเศษ จะสอนน้อย แต่ปฏิบัติเยอะ จะพาท่านไปปฏิบัติ เพราะเรื่องราวของพระเจ้าต้องใช้ปฏิบัติ มาตั้งแต่สมัยพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำมากที่สุด คือให้เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้นด้วย ถ้อยคำก็เป็นอย่างนั้น ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เราเองคิดไปไม่ถึง เกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ ถึงต้องอาศัยตรงนี้แหละ จงนิ่งเสีย

จงนิ่งเสีย คืออะไร? พูดคร่าวๆ ให้ฟังก่อน  จะได้ตื่นเต้น ใครที่ลงทะเบียนไปค่าย ท่านจะได้ตื่นเต้นว่าเที่ยวนี้ท่านไป ท่านจะได้รับอะไรบางอย่างที่เป็นอาวุธของท่าน ในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างสันติสุขและสงบสุข และรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน (ตลอดเวลา)  โดยการฝึกฝนวิธี จะสอนทฤษฎีด้วย แต่ปฏิบัติเยอะ ปฏิบัติในการรับรู้ พอบอกว่าจงรับรู้ จงนิ่งเสีย ท่านก็อาจจะไม่เข้าใจ นิ่งเสียคืออะไร?

จะพูดคร่าวๆ ให้ฟัง นิ่งเสีย ก็คือการจดจ่อไปที่วิญญาณ เหมือนคำพูดในพระคัมภีร์ใหม่ที่พูดคำว่าจดจ่อ เมื่อไร ในนั้นพูดคำว่าจดจ่อ นี่แหละคือจงนิ่งเสีย จดจ่อเข้าไปในวิญญาณ

เมื่อไรที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ใหม่ ที่บันทึกคำว่า “จงมองให้เห็นเถิด” นั่นแหละคือคำว่า “จงนิ่งเสีย” มันมองด้วยตาไม่เห็น ถ้าไม่นิ่งไม่เห็น ถ้านิ่งเมื่อไร มันมองทะลุไปในโลกวิญญาณได้ว่านี่มันจริง พระเจ้าสถิตอยู่เราจริงๆ มีจริงๆ เป็นจริงๆ

จะสอนเคล็ดลับตรงนี้ให้ เอาหรือไม่เอา? รับรองได้ว่าตื่นเต้น ใครได้ไปขนาดไหน? อย่างไร? แต่มันตื่นเต้น ตะกี้เราพูดถึง เมื่อแปลเป็นภาษาไทย จงจดจ่อ จงมองให้เห็นเถิด  แล้วแปลเป็นอะไรได้อีกไหม? นี่ใช้ภาษาไทยคำนี้มาตั้งแต่สมัยโน้นปฐมกาล พระเจ้าให้มนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาป ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า โดยการ … ถ้าใช้พูดภาษาไทย คำนี้ทุกคนจะเข้าใจเลย  คือคำว่าภาวนา บางทีเราคิดว่าภาวนา คืออธิษฐาน ไม่ใช่ ภาวนา คือการมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ค่อยๆ ผลักดันตัวเองเข้าไปในโลกวิญญาณ ทะลุเข้าไปได้ แล้วแถมผมมีเครื่องมือพิเศษ เครื่องมือพิเศษ คือเอาวัสดุ เอาสิ่งต่างๆ ของวัตถุ ของสิ่งของบนโลกใบนี้มาช่วยเราในการภาวนา ทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณให้ได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น การอยู่เงียบๆ เป็นส่วนหนึ่ง เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเราให้ทะลุ ภาวนาได้ง่ายขึ้น กับการที่นั่งบนรถเมล์ ใครง่ายกว่ากัน อยู่ในห้องง่ายกว่าใช่ไหม? ถ้าอยู่ในห้องและอยู่ในโบสถ์ยิ่งง่ายขึ้น เพราะว่าอยู่ในโบสถ์มีความรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์ มันช่วยเรา จริงๆ มันเหมือนกัน นั่งรถเมล์ กับนั่งที่โบสถ์ ก็เหมือนกัน แต่ไม่เหมือน ตรงที่สิ่งแวดล้อมช่วยเรา อะไรต่างๆ ที่ช่วยเรา กินอิ่มเกินไป มันก็ไม่ได้ช่วยเรา หิวเกินไป ก็ไม่ช่วยเราอีก มันต้องพอดีๆ ใช่ไหม? บรรยายกาศดีๆ นั่นแหละสิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วย

และตัวช่วยอีกอันหนึ่งในสมัยอดีต  บอกเคล็ดลับให้ ตัวช่วยอีกอันหนึ่งในอดีต ที่ช่วยมาตลอด จนถึงยุคพระคัมภีร์ใหม่ ก็ยังช่วยอยู่ ตัวนี้ ก็คือเขาเรียกว่าอโรมา คือกลิ่น ทำให้มีความรู้สึกไวและสัมผัสในโลกฝ่ายวิญญาณได้มากขึ้น อันนี้เรื่องจริงนะ ไม่ได้พูดขายของนะ กลิ่น ปัจจุบันเรารู้กันในนามของอโรมาเธอราฟี่ หรือการบำบัด การรักษา การเอาประโยชน์จากการดมกลิ่น  กลิ่นดีๆ ทำให้เราสามารถคลายเครียดได้ ปลดปล่อยเราจากความซึมเศร้าได้ ทำให้เรายิ้มแย้มแจ่มใสได้ และสามารถทำให้เราทะลุเข้าไปในอีกมิติหนึ่งที่เรียกว่าโลกวิญญาณได้ ช่วยเรา ผมกำลังจะพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าวางไว้บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเราเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์ต่อเรา เรากำลังต้องการทำอะไร? เรากำลังต้องการทำความสงบ ทำความนิ่งให้กับวิญญาณของเรา แล้วจะทะลุเข้าไป ภาวนาเข้าไปในโลกวิญญาณ เขาไปหาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราอย่างไร? ให้เห็นชัดๆ ขึ้นกับการไม่นิ่ง ตอนนี้เราจะพยายามให้นิ่ง วิธีช่วยให้นิ่ง หนึ่งอัน คือการใช้สมุนไพรที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับมนุษย์บนโลกใบนี้ ช่วยเราในการที่จะค่อยๆ สงบลง

และหนึ่งในจำนวนนั้น ที่พระเจ้าใช้ เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน อดีตเขารู้จักกันมานานแล้ว พระเจ้าบอกอิสราเอลบอกว่าปุโรหิต จะเข้าไปหาพระเจ้า หนึ่งอันในนั้น ต้องทำพิธีหลายอย่าง มีความหมายหมด แต่หนึ่งอันในนั้น ต้องทำแน่ๆ คือก่อนที่จะเข้าสู่พระนิเวศน์ของพระเจ้า ผ่านด่านมาทีละหนึ่งด่าน ทั้งหมดมี 7 ด่าน ตั้งแต่นอกพลับพลา จนเดินผ่านพลับพลาเข้ามา มาจนกระทั่งถึงภายใน  จนถึงที่พระเจ้าสถิตอยู่ จะเข้าไปก่อนพระเจ้าสถิตอยู่ ด่านที่ 6 กับด่านที่ 7 และด่านที่ 7 พระเจ้าสถิตอยู่ ด่านที่ 6 ก่อนจะเข้าไป ทำอะไร? จะมีเครื่องเผากำยาน ต้องเผากำยานก่อนนะ แล้วถึงเข้าไป เคยได้ยินใช่ไหม?

กำยานตัวนั้น ภาษาอังกฤษเขาเรียก Frankincense ภาษาไทยแปลว่ากำยาน … กำยานตัวนี้ปุโรหิตเอา อาโรนหรือปุโรหิตก่อนจะเข้าไปในอภิสุทธิสถาน คือเข้าไปในการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งรุนแรงมาก เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชและบริสุทธิ์ เขาต้องชำระตัวกับพระเจ้า หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือเขาต้องเผาเครื่องกำยาน ให้ควันมันฟุ้งไปหมดเลย ท่านรู้ไหมกำยานนี้ ฆ่าเชื้อโรคได้ดียิ่งกว่าสารเคมีที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดอีก กำยานตัวนี้ทุกวันนี้เอามารักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคอะไรเยอะแยะ กำยานตัวนี้เอามาใช้ในการสวดมนต์  และแสวงหาโลกวิญญาณในทางศาสนาต่างๆ เยอะแยะเลย กำยานตัวนี้เอามาใช้เยอะแยะมากมายไปหมด แต่พระคัมภีร์บอกไว้ตั้งนาน และให้ควันคุ้งเลย  และเปิดม่านเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน พอผลักม่านเข้าไปปุ๊บ ให้เผาเยอะขึ้นเลย คุ้งไปหมดเลย

ท่านคิดดูที่พระเจ้าสถิตอยู่ในอดีต ที่พลับพลา เข้าไปห้องสุดท้าย ในพระคัมภีร์บันทึกว่าห้องนั้นปิดม่านทึบหมด ทุกอย่างไม่มีแสงเข้า ไม่มีคนเข้าไปเลย ปีหนึ่งมีคนเข้าไปครั้งเดียว ไม่มีการทำความสะอาด แล้วมันจะสะอาดได้อย่างไร? มันคงเหม็นอับมากเลย แต่ไม่หรอก พระเจ้ามีกลิ่นกำยาน ให้เผาทุกวัน เผาข้างหน้าทุกวัน กลิ่นมันก็หอมอบอวลอยู่ในนั้น กลิ่นนี้เรียกว่ากลิ่นกำยาน จบแค่นี้

ค่ายครั้งนี้เราจะไปนิ่งสงบในพระเจ้า คือจดจ่อเข้าไปในโลกวิญญาณ ภาวนาในโลกวิญญาณว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรานั้น หมายความว่าอย่างไร? ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว สถิตอยู่กับเรานั้น หมายความว่าอย่างไร? ที่พระคัมภีร์บอกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายนี้ มันคืออย่างไร? มันชัดขนาดไหน? เอาสิ่งเหล่านี้มาช่วยกัน

และคำหนึ่งที่แปลตรงตัว ก็คือเราจะไปภาวนาด้วยกัน ทำสมาธิ จดจ่อเรื่องถ้อยคำพระเจ้า โดยใช้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ประกอบกัน ก็คือหนึ่งในนั้น ก็คือการใช้กำยาน และใช้การเข้ามาอยู่ร่วมกัน ใช้ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมจะคัดให้ท่าน ถ้อยคำพระเจ้าที่เราจะใช้ในการเพ่งมองดู ภาวนา เกี่ยวกับการทรงสถิตของพระเจ้า คืออะไร? และการนมัสการพระเจ้าก่อนหน้า ที่เราจะฝึกฝนร่วมกัน และสถานที่ที่เราจะใช้ร่วมกัน ชายทะเล อะไรมันก็ดูสุขไปหมด ไม่ใช่เดินออกมารถติด เสียงรถ เสียงแตร วุ่นวาย ที่ภาวนาเมื่อตะกี้หายหมด อันนี้เรื่องธรรมดา

สิ่งที่กำลังพูดเหล่านี้ คืออยากให้ท่านได้จริงๆ เพราะตอนที่ผมได้มา ผมก็ดีใจเลย รีบไปบอกทีมงาน … ทีมงานก็ดีใจบอกพี่รีบพูดเลย อาทิตย์นี้รีบพูดเลย พูดให้ประชากรพระเจ้าฟังเลย เขาจะได้เตรียมตัว จะได้เก็บเงินค่าค่ายทัน ตื่นเต้น ผมก็ตื่นเต้น ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรนะ แต่รู้ว่าไม่มีการสอน มีแต่ปฏิบัติ แนะนำให้นิดหนึ่ง แล้วก็ปฏิบัติกันเลย เดี๋ยวนั้นเลย จบค่าย กลับไปที่บ้าน ท่านก็จะสามารถปฏิบัติต่อไปเองได้เลย จะได้รู้ว่าที่พระเจ้าพูดเสมอว่า …

“จงรับรู้เถิดว่าเรา คือพระเจ้า เราสถิตอยู่กับเจ้าแล้ว” … แปลว่าอะไร? เอเมน

พอได้สิ่งนี้ ก็เท่ากับได้ทุกสิ่งบนโลกใบนี้แล้ว ท่านได้สิ่งนี้ ก็ได้เท่ากับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ และโลกวิญญาณ และนิรันดร์ เราได้รับหมดแล้ว ท่านได้สิ่งนี้เท่านั้นเอง จึงมีค่ามากยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง เอเมนไหมครับ เอเมน

 

************************