วารสาร Holy News ฉบับที่ 1317

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้  เกิดขึ้นกับฉัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับฉัน” ฟังถ้อยคำแห่งความจริงวันนี้แล้ว จะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางอุปสรรค ปัญหา ความเลวร้ายต่างๆ เหล่านี้ ด้วยสันติสุขและความสงบสุขตลอดไปเลย

มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน ก็โดนหมด ถูกคุกคาม ตอนนี้เน้นที่สุด คือไวรัสโควิดระบาด บางคนถึงกับเสียชีวิตด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ใช่การทุกข์ทรมานทางกายอย่างเดียว จิตใจด้วย คือไม่มีญาติอยู่ข้างๆ ไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ข้างๆ  ไม่มีคนรักอยู่ข้างๆ ก่อนสิ้นลม  อันนี้ความทุกข์ทางใจอย่างมากมาย  บางคนได้รับการรักษาให้หาย แต่ยังต้องใช้เวลา 2-3 เดือน หรือเป็นปีในการฟื้นฟูสุขภาพขึ้นมาใหม่ บางคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง  ก็ต้องไปกักตัว 14 วัน 21 วัน กี่วันก็ต้องลุ้นกันต่อไป  ธุรกิจค้าขายต่างๆ ก็ลำบากลำบน  รายได้เคยมี ก็หดหายไปหมด

มันเกิดอะไรขึ้น คริสเตียนก็เป็น ไม่ใช่ไม่เป็น ไม่ใช่ประเทศไทยที่เดียว ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมด  ขาดแคลนรายได้ รายได้ที่เคยมีก็หดหาย ก็ไม่พอ แถมจะไปไหนมาไหน ติดต่ออะไร ทำการค้าขาย เดินทาง ออกจากบ้านไป เหมือนออกสู่สงคราม  ตรงนี้ไปไม่ได้ ตรงนั้นไปไม่ได้ ตรงนี้อย่าไป  ตรงนั้นอย่าไป  มันเหมือนคนทั้งโลกกำลังติดคุกติดตะรางอยู่ นี่คือความทุกข์ลำบาก  ความกดดันที่มาถึงมนุษย์ในช่วงนี้ เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น

ความทุกข์ลำบาก ความกดดันเหล่านี้ พุ่งตรงมาที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สังเกตดู ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม  เป็นเป้าหมายใหญ่ที่ความทุกข์ลำบากเหล่านี้วิ่งเข้ามาหา ถ้าเป็นคริสเตียน ยิ่งจะถามในช่วงแบบนี้  คือมีสิ่งเลวร้ายอะไรบางอย่างเกิดชัดๆ หน่อย คริสเตียนก็มักจะถามว่า …

“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับฉัน ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์แล้ว”

คริสเตียนก็มักจะใช้สิทธิของตัวเองในการถามแบบนี้ ซึ่งไม่ผิดเลยนะ  ตั้งแต่สมัยยุคคริสเตียนเริ่มต้น  จักรพรรดิเนโร คือจักรพรรดิ์ของโรม  ก็ข่มเหงคริสเตียน ตอนเริ่มต้นมีคริสเตียนใหม่ๆ  ทุกๆ สมัยมา ก็เป็นอย่างนี้  คือคริสเตียนมักจะบ่นว่าเราถูกข่มเหงรังแกเยอะ ซึ่งแม้กระทั่งปัจจุบัน  คริสเตียนก็ถูกข่มเหงรังแกคล้ายๆ แบบโรมข่มเหงรังแกคริสเตียนสมัยโน้นเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วคิดดูกันให้ดีๆ เรามักจะคิดกันในแง่ของเราเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  เราก็มองแต่พวกเราเอง ในกลุ่มเล็กๆ แต่ว่ากันตามตรงแล้ว ความทุกข์ลำบากที่ก่อโดยคนที่ข่มเหงรังแกเรา  มันก็มีผลกระทบไปถึงคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ก็โดนด้วย

ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร แห่งโรม ที่ข่มเหงรังแกคริสเตียนอย่างมากมาย เขาก็ทำสิ่งต่างๆ ที่ข่มเหงรังแกคนทั้งโลก ขณะนั้นเหมือนกัน บางกลุ่มชนที่เล็กหน่อย  โรมเข้าไปยึดอำนาจ แล้วก็ล้างเผ่าพันธุ์ไปเลย  ฆ่าตายหมดเลย  ซึ่งคนเหล่านั้น ก็ไม่ใช่คริสเตียน  ก็ถูกความทุกข์ยากลำบากที่เกิดจากการกระทำของจักรพรรดิเนโรในช่วงนั้น เหมือนกันกับคริสเตียนที่โดน ลองคิดถึงภาพตรงนี้ นี่คือความจริง

เพราะฉะนั้น ในปัจจุบัน เราก็เห็นคริสเตียนอย่างมากมาย ยังเป็นมะเร็ง  ยังประสบอุบัติเหตุ ในวันสงกรานต์ ยังเจอสิ่งเลวร้ายเหมือนคนอื่นๆ เขา ยังทุกข์ทรมาน  ยังเจอปัญหา ครอบครัวแตกแยก ไม่เชื่อฟัง  เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อ เหมือนกันเลย  เราจะสังเกตเห็นอย่างนั้นจริงๆ

ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน ยังต้องประสบอุปสรรคปัญหาในการดำเนินชีวิตต่างๆ เหมือนๆ กับคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าเลย มันเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งทำให้บางครั้ง คริสเตียนบางคนก็อาจจะกระซิบ ไม่กล้าพูดดัง เกรงใจพระเจ้า  แต่บางคนสนิทกับพระเจ้ามาก  คริสเตียนผู้เชื่อคนนั้นอาจจะอยากตะโกนดังๆ  เพราะรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ยิน หรือยังไงว่ามันทุกข์มาก อยากจะตะโกนถาม  อาจจะถามพระเจ้า หรือประชดถามตัวเอง  หรือถามคนข้างเคียงว่า …

“ทำไมเป็นเช่นนี้  ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้  เกิดขึ้นกับฉัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อแล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

ใช่ไหม? บางทีเราอยากจะตะโกน เกรงใจพระเจ้า แต่ในวิญญาณข้างใน  ความคิดจิตใจข้างใน ตะโกนอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยอดีต มาจนถึงปัจจุบัน  และมันก็จะดำเนินอย่างนี้ต่อไป จนกระทั่ง ถึงวันสิ้นโลกใบนี้นั่นเอง  ก็คือความทุกข์ยากลำบากยังคงอยู่กับเรา  อยู่บนโลกใบนี้ ตราบที่โลกใบนี้ยังอยู่ ระบบของความบาปในโลกใบนี้ที่ครอบครองโดยมาร  จะเป็นศัตรูต่อต้าน ทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์  โดยผ่านทางมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ  แล้วมันก็จะทำอย่างนี้ตลอดไป เพราะมันเป็นศัตรูผู้เดียวของมนุษย์และพระเจ้า นี่คือความจริง ที่จะทำให้เราเป็นไท เรารู้แล้วว่าศัตรูเรา ก็คือมาร ซึ่งครอบครองด้วยระบบของบาปบนโลกใบนี้  ซึ่งต่อต้าน ต้องการทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็คือมวลมนุษยชาติทั้งปวง โดยกระทำการผ่านทางมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ  เดี่ยวเราค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป

          คำถามก็คือ …

          (1)  ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้     เกิดขึ้นกับมนุษย์    ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักมากมาย  ดั่งแก้วตาดวงใจ

          (2) พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายนั้น

นี่คือสองคำถามที่อยู่ในใจของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  หรือแม้แต่คนไม่เชื่อ บางครั้งก็คิดเหมือนกัน  เพราะเคยได้ยิน ที่บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และรักมนุษย์ยิ่งนัก

เพราะฉะนั้นตอบคำถามข้อที่ 1 ก่อน … “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักมากมาย  ดั่งแก้วตาดวงใจ”

 

ในโรมบทที่ 5 บอกว่ามนุษย์ชั่วร้าย ตกลงไปในความบาป ขณะที่เป็นคนบาป เป็นคนชั่วอยู่นั้น พระเจ้าทรงสำแดงความรักต่อมนุษย์ โดยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อตายที่ไม้กางเขน  เพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ลำบาก ความบาป ความชั่วเหล่านั้น  นี่แหละความรักของพระเจ้าที่สำแดงออก โดยพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน

หรือในยอห์น 3:16 ที่เราได้เรียนรู้กันดี บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “เพราะพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ อยู่ในความบาป  แต่ได้กลับมามีชีวิตนิรันดร์” นี่คือมั่นใจเลยว่าพระเจ้ารักเรามาก ดั่งแก้วตาดวงใจ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ  ก็อยากจะตอบดังต่อไปนี้  ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าที่กระทำให้เป็นอิสระ รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  มันมาได้อย่างไร?

พระเจ้าอนุญาตให้เรารับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราประสบกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น

ถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ก็ต้องตอบว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้น แต่พระองค์ไม่ต้องการ ให้มันเกิดขึ้นกับเราเลย

พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ แต่ไม่ประสงค์ให้มนุษย์ต้องพบกับสิ่งเลวร้ายเลย ค่อยๆ คิดตาม พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เพราะว่าพระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์นั้นดื้อ ไม่เชื่อฟัง สิ่งเลวร้ายจึงเกิดขึ้น  สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นจากมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ไม่ได้มาจากพระเจ้า พอนึกออกไหม?

พูดง่ายๆ เหมือนกับเราเป็นพ่อแม่ เราเลี้ยงลูก แล้วก็เลี้ยงแบบให้เขามีอิสระ เราไม่ได้ไปล่ามโซ่ ผูกขาเขา ไม่ให้ไปไหน?  แล้วก็บอกว่าเขาเชื่อฟังเรามาก  ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม?  เรารักลูกของเรา เลี้ยงเขาเป็นลูก  ให้อิสรภาพเขาในการตัดสินใจ  จะเชื่อฟังหรือไม่ก็ตาม  เราก็ยังรักเขาเป็นลูก

ยกตัวอย่าง เราบอกลูกเราว่า …

“อย่าเดินเร็วๆ นะ ตรงนั้นมันลื่น”

แล้วเขาเดินไป  แล้วเดินเร็วด้วย วิ่งด้วย ไม่เชื่อฟัง เขาก็ลื่น แล้วล้มลง หัวแตก เลือดอาบ ถามว่าหัวแตก เลือดอาบ เราประสงค์ให้เกิดขึ้นไหม? เราไม่ประสงค์ แต่เราอนุญาตให้มันเกิดขึ้นไหม? อนุญาต เพราะเราอนุญาตให้เขามีอิสระในการที่จะเชื่อฟังเราหรือไม่เชื่อฟัง  เขาเป็นอิสระ พูดง่ายๆ ว่าเราอนุญาต เพราะเราไม่ได้ไปล่ามโซ่เขาไว้ แล้วบอกว่า … “

“อย่าวิ่งนะ ตรงนี้มันลื่น เดี๋ยวหกล้ม”

เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็เป็นลักษณะนั้น ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา ก็คืออาดัม ต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง  พระเจ้าก็บอกอย่างนี้แหละ พระเจ้าทรงรักมาก  จึงบอกว่า …

“อย่าดื้อนะ  เชื่อฟังพ่อนะ จะได้ได้ดี”

แต่อาดัมก็ไม่เชื่อฟัง  ในสิ่งที่พ่อเตือนแล้ว เตือน เพราะหวังดี  เพราะรักใช่ไหม? เตือนบอกว่า…

“เชื่อฟังนะ อย่าดื้อนะ ถ้าวันใดเจ้าดื้อ ฝืนคำสั่งไปทำ เจ้าจะได้รับทุกข์ทรมาน ตาย เจ้าจะลำบากนะ”

ก็เหมือนเมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่าถ้าเจ้าวิ่งไปตรงนั้นมันลื่น เจ้าจะหกล้ม หัวแตกนะ เหมือนกัน พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา และมนุษย์ทั้งปวงให้เป็นลูก  มีอิสระในการตัดสินใจ  จะเชื่อฟังพระองค์ก็ได้ ไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้  จะเชื่อฟังพ่อหรือไม่เชื่อฟังพ่อก็ได้  เป็นอิสระ มีอิสรภาพในการตัดสินใจ เป็นลูก  ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์  ทำตามคำสั่งอย่างเดียว กดปุ่มก็สั่ง กดปุ่มให้รักพ่อ ก็รักพ่อๆ อย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่ เราก็รู้อยู่แล้ว  นี่แหละ เราต้องจำให้ดีๆ เลย  สั้นๆ ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้เราดื้อ แต่ไม่ประสงค์ให้เราดื้อ

ในโรม 5:12 ได้บอกถึงผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน? และเมื่อไร? และเกิดขึ้นแล้ว เป็นเช่นไรที่พระเจ้าเตือนไว้แล้วว่า “อย่าๆ” แต่เราดื้อ เราเป็นผู้นำเอาความทุกข์ยากลำบาก  สิ่งเลวร้ายต่างๆ เข้ามาบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของเราเอง ก็คือด้วยมนุษย์เอง  โรม 5:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

“ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก” ผมอยากจะยกตัวอย่าง อย่างนี้ เพราะว่าตอนนี้  ในช่วงขณะนี้ ในปีค.ศ.นี้ ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “ไวรัส” โดยเฉพาะ “ไวรัสโควิด-19”  เลยอยากยกคำว่าไวรัสมาให้เห็นชัดๆ มาเปรียบเทียบให้ดู

ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาป ไวรัสบาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และไวรัสบาป ได้นำเอาความตายมา ความตายตรงนี้ ก็คือเอาชีวิตของพระเจ้าที่มีอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทุกคน  เอาวิญญาณที่เรียกว่าชีวิตนี้ ออกไปจากมนุษย์ ทำให้มนุษย์จากมีชีวิตของพระเจ้า ก็กลายเป็นไม่มีชีวิตของพระเจ้า เรียกว่าตาย

และชีวิตของพระเจ้า คือสิริของพระเจ้า  คือความสง่างาม ความดี  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า หายไปจากตัวจริงๆ ของมนุษย์  ก็คือในวิญญาณของเขา  นั่นเป็นเพราะไวรัสบาป ที่มันเข้ามา  แล้วมันเข้ามาที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้น คืออาดัมและเอวา และไวรัสตัวนี้ ติดเชื้อกันต่อๆ มา โดยสายเลือดนี้ มีไวรัสบาปติดอยู่ ส่งต่อๆ กันมา โดยเริ่มจาก DNA แรกของมนุษย์เลย  เกิดมา ก็มี DNA ของไวรัสบาป มีอยู่แล้ว แล้วมันก็จะแสดงอาการของตัวไวรัสบาปนี้ออกมา เมื่อค่อยๆ เติบโต โรม 5:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:19 “เพราะการไม่เชื่อฟัง (ความดื้อ) ของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนบาป (ติดเชื้อ) ฉันใด การเชื่อฟัง (ยอมทำตามพระเจ้า) ของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรม (ได้รับการรักษาให้หายจากเชื้อบาป) ฉันนั้น”

 

“เพราะการไม่เชื่อฟัง ความดื้อของมนุษย์คนเดียว” อาดัม บรรพบุรุษของเรากับเอวา เพราะการไม่เชื่อฟัง  ก็คือความดื้อ พ่อเตือนแล้ว พระเจ้าเตือนแล้ว แต่ยังดื้ออยู่ใช่ไหม?  เพราะเราดื้อเอง  ทำให้เชื้อของบาปมันเข้ามา ทำให้คนเป็นอันมาก คือลูกหลานเหลนโหลน ที่จะเกิดจากเรามา  ในอนาคตนั้น ติดเชื้อนี้กันหมด ติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ มาจากคนๆ เดียวเลย

ในนี้บอก ฉันใดก็ฉันนั้น  การเชื่อฟัง ยอมทำตามพระเจ้า ของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนชอบธรรม  มนุษย์คนเดียว คนนี้ ก็คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าองค์เดียว ที่พระองค์ได้ทรงยอมเสียสละ สภาวะพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรา  และกระทำตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้  ได้บอกไว้ มาช่วยดูแลพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  โดยให้พระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และให้ไปรับโทษของมนุษย์ทั้งปวง  ตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสหลุดพ้นจากเชื้อไวรัสบาปนั้น  เพื่อมารักษามนุษย์ให้หายจากบาป

พูดง่ายๆ ส่งพระเยซูมาเป็นหมอ มารักษาบาปให้กับมนุษย์นั่นเอง  ้ และพระเยซูก็ยอมเชื่อฟัง นี่ไง การยอมเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวเอง มนุษย์คนนั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ ทำให้มนุษย์ทั้งปวง มีโอกาสได้หายจากเชื้อบาปนี้

เชื้อบาป หรือไวรัสบาปนี้ มีผล หรือเรียกว่าอาการ มีผลกระทบเกิดขึ้น จากไวรัสบาป ก็คือทำให้พระสิริของพระเจ้าหายไป อย่างที่ตะกี้นี้บอก ทำให้มนุษย์ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา คือทั้งๆ ที่รู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ แต่ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา (ทางฝ่ายวิญญาณ)  เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าได้หายไป  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้หายไป  ความดีงามของพระเจ้าได้หายออกไปจากวิญญาณข้างในของมนุษย์ทุกคนแล้ว

เชื้อบาป อาการออกมาอย่างนี้แหละ  และมันเป็นบ่อเกิดของการทำไม่ดี ตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเรียกว่าพระเจ้าดีงาม  สิ่งที่ตรงกันข้ามกับดีงามทั้งหมด มนุษย์ในใจอยากทำ เรียกว่าทำชั่วทั้งสิ้น  มันทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมา  ซึ่งถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? อนุญาต เพราะเป็นไปตามที่บอกไว้แล้วไงว่าอย่าทำ ให้อิสระ ในการตัดสินใจ ในเมื่อตัดสินใจอย่างนี้ ก็รับผลของมันอย่างนี้  พระเจ้าไม่ได้เป็นคนต้องการให้มันเป็นอย่างนี้เลย

โรม 1:28-32 ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าเชื้อไวรัสบาปนี้ มันมีผลมาถึงมวลมนุษยชาติอย่างไร? มีอาการออกมาอย่างไร?  ในอาการของมัน เมื่อติดเชื้อแล้ว  เหมือนกับพูดในปัจจุบัน ไวรัสโควิด-19 ใครๆ ก็รู้ดี  พอติดเชื้อไวรัสแล้วเกิดอะไรขึ้น? เกิดปวดหัว อาการไข้ ไวรัสไปกินอวัยวะต่างๆ  ในร่างกาย จนสุดท้ายไปกินที่ปอด เสียชีวิตอะไรอย่างนี้ นี่คืออาการ

ในทำนองเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน ไวรัสบาปนี้  ทำให้เกิดอาการอะไรบางอย่าง ซึ่งพระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่ามนุษย์ทุกคน เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้  ก็จะมีอาการเหล่านี้ เรามาดูสิว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไรว่าอาการเหล่านี้ เป็นอาการอะไรบ้าง ซึ่งบางคนก็โผล่อาการเหล่านี้ออกมา ไวรัสโควิด-19 ที่ติดเชื้อแล้ว บางคนก็ถูกกินปอด บางคนติดเชื้อแล้ว ก็ไม่ถูกกินปอด แต่ถูกกินที่อวัยวะส่วนอื่น  ระบบหายใจบกพร่อง ระบบเลือดบกพร่อง แล้วแต่มันจะวิ่งไปที่ไหน?

ในเชื้อไวรัสบาป  ที่บรรพบุรุษเรานำเข้ามา  ติดเชื้อ หมายถึงพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ  แต่เป็นอาการอย่างนี้ คือโรม 1:28-32 …

โรม 1:28-32 “28 ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยเขาให้มีจิตใจเสื่อมทราม ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย ความโลภโมโทสัน และความเสื่อมทรามสารพัดชนิด พวกเขามีแต่ความอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง และการคิดร้าย พวกเขาชอบนินทา 30 ใส่ร้ายป้ายสี เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส และโอ้อวด พวกเขาคิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว พวกเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน 31 พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปรานี 32 แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้าว่าผู้ที่ทำเช่นนั้น สมควรตาย เขาไม่เพียงยังคงทำสิ่งเหล่านี้(ตามธรรมชาติบาป) ต่อไป แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้นด้วย”

 

“เนื่องจากเขา” คือใคร? คือมวลมนุษยชาติ เผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง  ตกลงไปในความบาปแล้ว ติดเชื้อแล้ว พระเจ้ากำลังบอกความจริงกับเราว่าในโลกวิญญาณ  มนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นไร? มนุษย์ไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักกับพระเจ้า สัมพันธภาพกับพระเจ้า คือไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตานั่นเอง พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีจิตใจเสื่อมทราม

“ปล่อยให้เขา” อย่างที่ตะกี้นี้บอก  ก็คือพระองค์ก็อนุญาต ทั้งๆ ที่ไม่ประสงค์เลย ไม่อยากให้ลูกของพระองค์เป็นอย่างนั้นเลย  เราไม่อยากให้ลูกของเราหัวแตก หน้าฉีก เพราะล้มลงเลย แต่เราอนุญาต ให้เขาตัดสินใจ เขาไม่เชื่อฟัง เขาได้รับตรงนี้ไป  ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นเลย เหมือนกัน พระองค์ทรงอนุญาตให้เขาติดเชื้อไวรัสบาป อาการเหล่านี้ คืออาการ อิทธิพล เรียกว่าพลังอำนาจของไวรัสบาป เมื่อติดเข้าไปแล้ว  เมื่อเป็นแล้ว มันจะทำให้มนุษย์มีอาการเหล่านี้ ก็คือทำให้มีจิตใจเสื่อมทราม

ฟังให้ดีๆ นี่คืออาการต่างๆ  ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ ทำอะไรที่ไม่เป็นมนุษย์ ที่เราเคยคุยกันอยู่บ่อยๆ  ทำในสิ่งที่ไม่สมควร มวลมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย นึกในใจ ขณะที่ผมอ่านไปทีละข้อๆ  นึกในใจว่าสิ่งเหล่านี้ มาจากเชื้อไวรัสบาป  ที่ทำให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของมนุษย์ทุกๆ คน ความโลภโมโหสัน ความเสื่อมทรามสารพัดชนิด คือนับไม่หมด เต็มไปหมดเลย พวกเขามีแต่ความริษยา

เมื่อพูดถึงพวกเขาเมื่อไร? ท่านนึกถึงคำว่า “มวลมนุษย์” การอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง การคิดร้าย มนุษย์ชอบนินทา ชอบใส่ร้ายป้ายสี  เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส โอ้อวด มวลมนุษย์คิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว ยกตัวอย่างง่ายๆ  คิดหาทางใหม่ๆ แรกๆ เริ่มทำชั่วด้วยมีด ยกตัวอย่างง่ายๆ  มีดเอาไว้ป้องกันตัว เอาไปทำร้ายคนอื่นก็ได้ เห็นแก่ตัว อะไรอย่างนี้ จากมีดก็พัฒนาไปเป็นปืน จากปืนก็ไปเป็นปืนกล จากปืนกลก็ไปเป็นจรวด จากจรวดก็กลายเป็นระเบิดปรมาณู  จากระเบิดปรมาณูก็กลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่เขาเรียกว่าอาวุธสารเคมี อาวุธเชื้อโรค คิดไปเยอะแยะมากมาย นี่ความใหม่ๆ ในการกระทำชั่ว เพราะข้างใน มันชั่ว ก็คิดแต่ความชั่วร้าย

มนุษย์ไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่เราบอก เด็กมันดื้อ มันไม่ธรรมดาก่อนที่มนุษย์จะอนุญาตให้เชื้อไวรัสนี้เข้ามา  เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้เข้าไปแล้ว มันก็เรียกว่าเป็นอย่างนี้ มันธรรมดาของการติดเชื้อไวรัสนั้น  พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปราณี แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้า

“รู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้า” คือข้างในใจของเขา ในจิตใต้สำนึกเขารู้ว่ากระทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ถูกต้อง เรียกว่ากระทำบาป  สู้ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เกิดจากตัวเขาจริงๆ มันเกิดจากไวรัสตัวหนึ่ง ที่เรียกว่าไวรัสบาป  เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการนี้ออกมา แม้เขาจะรู้ว่ามันไม่ดี มันจะเกิดความเสียหาย เขาจำเป็นต้องทำ เพราะถูกบังคับ  เพราะมันเป็นอาการของไวรัสตัวหนึ่ง  ในนี้ยังบอกว่า “เขาไม่เพียงทำสิ่งเหล่านี้  ตามธรรมชาติบาปต่อไป” ตรงนี้ คำว่า “ทำสิ่งเหล่านี้” ยังคงทำตามธรรมชาติบาปที่อยู่ข้างใน  ที่ติดเชื้อไวรัสมาแล้ว นั่นหมายถึงอย่างนี้  ยังทำต่อไป และยังเห็นชอบต่อผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วย ก็คือต่างฝ่ายก็อยู่ในกงกรรมกงเกวียนของเชื้อไวรัสบาป อาการของเชื้อไวรัสบาปนี้ เหมือนกันทั้งหมด  พูดง่ายๆ พระเจ้ากำลังจะบอกเราว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในต้นไม้ ต้นเดียวกัน คือต้นไม้แห่งตระกูลอาดัม  ซึ่งติดเชื้อไวรัสบาปแล้ว

เชื้อไวรัสบาปนี้ มันติดตั้งแต่ต้นนี้แล้ว กิ่ง ก้าน สาขาต่างๆ ที่อยู่บนต้นไม้นี้  มันก็ติดเชื้อไปหมดนั่นแหละ  และเชื้อนี้ มันก็จะออกผลออกมาต่างกัน  ระหว่างกิ่งนั้น ก้านนี้ อาจจะออกแบบนี้ ออกแบบนั้น ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนถึงนินทาว่าร้าย ป้ายสี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อยู่ในต้นเดียวกันทั้งหมด พูดง่ายๆ เมื่ออยู่ในต้นนี้ ก็จะทำอาการแบบนี้ คืออาการของการติดเชื้อไวรัสบาป เกิดความไม่สบายนั่นเอง  มาจากเชื้อไวรัสบาป

เพราะฉะนั้น การมารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่  ได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น  ได้รับพระพรต่างๆ นานัปการ ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ตามพระคัมภีร์บอกไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจริงอยู่ แต่ว่าคริสเตียน ก็คือคนที่เชื่อพระเจ้า ที่ได้รับพระพรก็จริง แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังหายใจอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกแห่งความวิปริตเสียหาย เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของไวรัสบาปนี้  ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ศัตรูกับมนุษย์ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ซึ่งมันคอยจดจ้อง คอยทำลายมวลมนุษยชาติตลอดเวลา ตราบใดที่มนุษย์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็ตาม มนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้  ก็ได้รับผลกระทบเหมือนๆ กัน ไม่มีผิดเลย

พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าเชื่อพระเยซู เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว จะไม่ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่เลย  จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเตือนต่างหาก ด้วยว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาอยู่แล้ว ไม่ใช่มาเป็นคริสเตียนแล้วมีความทุกข์มากขึ้น มีความสุขมากขึ้น  แต่ยังคงอยู่บนโลก ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากนี้ เหมือนเดิม ซึ่งเราได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ซึ่งแน่นอนจะมีวันหนึ่งที่เราจะไม่ต้องรับความทุกข์ยากลำบากอย่างนี้อีกแล้ว เพราะเราเป็น คริสเตียน  รู้จักพระเจ้าแล้วใช่ไหม? พระองค์ทรงสัญญา ก็คือในวันหนึ่งข้างหน้า  ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างมาใหม่ ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  ซึ่งในโลกนั้น ไม่มีเชื้อไวรัสบาปอีกต่อไป ไม่มีมารอีกต่อไป นั่นแหละ ก็จะไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีผลของไวรัสบาปเหลืออยู่

เราลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ ที่เราพูดกันว่าในยุคคริสเตียนตอนเริ่มต้น  สมัยคริสตจักรตอนเริ่มต้น สมัยยุคโรมันเรืองอำนาจ ที่เมื่อสักครู่นี้ที่เราคุยกันว่าคริสเตียนผู้เชื่อในยุคเริ่มต้น อดอยาก ลำบาก เพราะเกิดความกันดารไปทั่วโลก  คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนก็อดอยากเหมือนกัน แต่เวลาเราเขียนถึง พูดถึงพี่น้องคริสเตียน ก็คิดว่ามีแต่พี่น้องคริสเตียนเท่านั้นที่อดอยาก มันอดอยากไปทั้งหมดนั่นแหละ โดนไปหมด หนีจากตาย จากการข่มเหงของจักรพรรดิ์โรมัน ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นมหาอำนาจ เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ตัวทุกคนแหละ เห็นแก่ตัวทุกประเทศแหละ มากหรือน้อย ก็อย่างที่บอกอยู่ในอาการของเชื้อไวรัสบาปทั้งนั้น ก็ข่มเหงกันไปทั่วแหละ อย่างที่บอกว่าเข้าไปครอบครองเลย โดยล้างเผ่าพันธุ์นี้ไปให้สิ้น แล้วก็ไปยึดมา อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีหลายประเทศ หลายเผ่าพันธุ์ที่สูญหายไปเลยก็มี

อย่างอิสราเอลก็เคยเหมือนกับสูญสิ้นชาติไปแล้ว แล้วก็ได้กลับมาใหม่ มีกี่ประเทศ กี่ชาติที่เป็นอย่างชาวยิว ชาวอิสราเอล ถูกข่มเหงไปหมดแหละ รู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน  เพราะว่ามันเป็นความชั่วร้ายที่มาพร้อมกับไวรัสบาป  แล้วมาโผล่ผลต่างๆ ที่มนุษย์ แล้วก็ทำให้มนุษย์ทำชั่ว ทำร้ายซึ่งกันและกัน  ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบาก เบียดเบียนซึ่งกันและกันนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคของโรม ยุคของจักรพรรดิเนโร หรือแม้กระทั่งยุคของเริ่มต้นใหม่ๆ  ตั้งแต่ฟาริสี คนเคร่งศาสนายิวที่ข่มเหงรังแก ให้ความทุกข์ยากลำบากกับคริสเตียนตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ตอนนั้น ล้วนมาจากเชื้อเดียวกัน คือเชื้อบาป ซึ่งกระตุ้นให้เขาทำเช่นนั้น กันทั้งนั้นเลย ไม่ว่ามากหรือน้อย คริสเตียนจึงเหมือนถูกข่มเหงรังแก แต่คริสเตียนมีภาษีมากกว่าตรงที่คริสเตียน มีความหวัง มีพลัง มีสันติสุข มีความปิติยินดีในโลกวิญญาณ ในใจของเขา ในขณะที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ นานาเหล่านั้น  เขามีความหวังในใจ เต็มที่เลย เขารอคอยวันแห่งการไถ่ถอน  ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้า นำเขาออกจากร่าง ไปสู่โลกสวรรค์นิรันดร์ หรือวันที่พระองค์จะทรงไถ่มนุษย์ให้ครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ก็คือวันที่โลกนี้สิ้นสุดลง และโลกใหม่เข้ามาแทนที่ ที่จะไม่มีบาป ไม่มีมาร ไม่มีเชื้อไวรัสอีกต่อไป ก็จะมีความสุขชั่วนิจนิรันดร์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงมีความหวังในสันติสุขตรงนี้ คริสเตียนในยุคนั้น ที่ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักมาก อาจจะหนักมากกว่าในยุคปัจจุบันที่เราคิดว่าเราหนักมากแล้วนะ แต่ในยุคแรกนั้นลองคิดดูสิ ถูกใส่ร้ายป้ายสี นำไปขังคุก  นำไปให้สัตว์ร้ายกิน  หรือให้ไปสู้กับสัตว์ร้าย เป็นเกมให้คนเขาดู หรือไม่ก็ถูกเผาประจานบนไม้กางเขน บนต้นไม้  หรือถูกตัดคอ หรือถูกขังลืม  และไม่ใช่จับเฉพาะคริสเตียนเท่านั้น  จับทั้งครอบครัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดงโดนหมดอะไรเหล่านั้น ทุกคนต้องหนีกันจ้าละหวั่น ทั้งหวาดกลัวเขาเหล่านั้น

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าเขาเหล่านั้นมีใจที่เต็มไปด้วยความหวัง รอคอยโลกหน้าที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  เรามีความเชื่อวางใจในพระเยซู ที่สถิตอยู่กับเรา  อย่างนี้เป็นต้น

คริสเตียนในขณะนั้น หลายคนตั้งคำถามเดียวกันอย่างนี้แหละ  เหมือนปัจจุบันและตลอดเสมอมา คำถามเดียวกันนี่แหละ ก็คือว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทำไมพระองค์อนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากอันแสนสาหัส เกิดขึ้นกับลูกและครอบครัว พระองค์อยู่ไหน?”

เขาก็ถามเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา …

“ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้น ช่วยให้รอดจากจักรพรรดิเนโร ช่วยให้รอดจากการข่มเหงของชาวยิวที่ยังไม่รู้จักพระองค์” … อะไรต่างๆ เขาก็ถามอย่างนี้

เรารู้แล้วตอนนี้ว่าความจริง ก็คืออิทธิพลของระบบบาปในโลกนี้ ซึ่งคลุมไปด้วยเชื้อไวรัสบาป เต็มไปหมดเลย ซึ่งเร่งปฏิกิริยา ยุแยงให้อาการมันกำเริบขึ้น โดยมารซาตานที่อยู่เบื้องหลัง  คอยเพิ่มให้อาการ ใส่ให้อาการ ที่มันมีอยู่แล้วให้มันเพิ่มพูนขึ้น  คือยุแยงให้มันเกิดขึ้น  สนับสนุนและยุแยงโดยมาร ผ่านทางความบาป ทำให้มนุษย์ เกิดความเสียหาย มารมันคอยมาเป็นผู้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้  คอยยุแยงตะแคงรั่ว ทำลายมนุษย์ นี่คือเป้าหมาย

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่คริสเตียน ผู้เชื่อ ที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ทำการงานอยู่นั้น เหมือนมีภูมิ มีกำลัง เหนือกว่ามารที่อยู่ในโลก เหนือกว่าไวรัส ซึ่งอยู่ในโลกนี้  มีภูมิที่ชนะ ต่อต้านเชื้อไวรัสบาปอยู่แล้ว  ขณะที่ถูกข่มเหง ใส่ร้าย ทำให้เกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เราก็อาจจะถามพระองค์ …

“ทำไมพระเจ้าทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์ขนาดนี้  ทำไมพระเจ้าให้ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา”

แต่ความจริง คือผู้ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ความทุกข์ไม่ได้มาจากพระเจ้า ไวรัสตัวนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  แต่เป็นมนุษย์เองต่างหาก ที่นำมันเข้ามาเอง เพราะไม่เชื่อฟัง ทำไมพระเจ้าให้เราถูกเนโรข่มเหง? ทำไมพระเจ้าให้เราทั้งครอบครัวต้องถูกเอาไปต่อสู้กับสัตว์ ให้สิงโตกิน? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น? ทำไมทำอย่างนั้นกับเรา? ผู้ที่ทำ คือเนโร … เนโรเป็นมนุษย์ ทำไมทำ เพราะเนโรติดเชื้อบาป และใครเร่งอาการของเนโรให้มากขึ้นเรื่อยๆ  มารที่อยู่เบื้องหลังคอยกระตุ้นเนโร ครอบงำเนโรให้กระทำ

ขณะที่เราซึ่งเป็นคริสเตียน ถูกข่มเหงรังแก ถูกใส่ร้าย  เจ็บปวด ทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราอาจจะถามพระเจ้าว่า … “ทำไมพระเจ้าถึงให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์” แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์ ผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้น ก็คือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ  แต่เป็นมนุษย์ที่ยอมเป็นเครื่องมือของมาร เนื่องจากความบาปครอบงำอยู่ เชื้อไวรัสบาปครอบงำอยู่

เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อยอมให้เป็นเครื่องมือของมาร มารก็จะใช้อาการของไวรัสบาป มาทำสิ่งเสียหายต่างๆ ทำความชั่วต่างๆ คนละเล็กคนละน้อย คนนั้นมาก คนนี้น้อย แล้วก็ทำสิ่งเสียหายให้กับโลกใบนี้  และมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  ทำร้าย ทำลายซึ่งกันและกันนั่นเอง  ซึ่งคำว่ามารล่อลวง หลอกล่อให้มนุษย์ทำบาปนั้น มันรวมทั้งคริสเตียนก็อยู่ในนั้นด้วย ไม่ใช่รวมทั้งคริสเตียนเท่านั้น รวมทั้งตัวเราเองก็อยู่ในนั้นด้วย  บาปเล็กบาปน้อย บาปใหญ่ มันรวมมาทำให้สิ่งที่เสียหายเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แล้วอาจคิดว่าไม่ใช่ๆ  แต่เราก็คือส่วนหนึ่งนั่นแหละ เหมือนที่ตะกี้พระคัมภีร์ได้ยกตัวอย่าง ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงนินทาว่าร้าย หรือความไม่เชื่อฟังพ่อแม่ จนกระทั่งถึงความโลภโมโทสันอะไรต่างๆ  การทำร้ายซึ่งกันและกัน นั่นแหละครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงในอดีต ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโร ก็แสดงว่าไม่ใช่จักรพรรดิเนโรเป็นผู้กระทำ แต่มารที่อยู่ข้างหลัง เบื้องหลัง คอยกระตุ้นให้เชื้อไวรัสบาป ที่อยู่ในเนโร ให้ทำอาการความชั่วร้ายมากมายไปหมดเหล่านั้นได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า

กำลังพูดถึงขณะนี้ โควิด-19 ที่หลายคนบอกว่าพระเจ้าเอาเข้ามา เพื่อลงโทษมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้เอาเข้ามา  พอจะมองเห็นภาพแล้วใช่ไหม?  พระเจ้าไม่ได้เอาเข้ามาเลย หลายคนต่อว่าว่าพระองค์ทรงนำโควิด-19 มา แต่ความจริง คือความบาป มีอิทธิพลต่อมนุษย์ต่างหาก ที่เป็นบ่อเกิดของไวรัสโควิด-19 นี้ ถูกไหมครับ? ความจริง คือมนุษย์เองนั่นแหละ เป็นผู้นำเอาความบาปเข้ามา ในโลกนี้ เป็นเหตุให้ติดเชื้อและเสียหายไปทั้งโลก เพราะถูกมารหลอก มนุษย์อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง อยากจะดูแลตัวเองตามที่มารมันหลอก แล้วเราก็หลง ตกลงไปในความบาปนั้น แทนที่จะยอมรับความจริงเหล่านี้ มารก็หลอกมนุษย์ให้กล่าวหาว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ไปยุแยง เป็นมือที่ 3

“นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้เธอได้รับความทุกข์ยากลำบาก เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะนำเอาความทุกข์ยากลำบากเข้ามาสู่มนุษยชาติเพื่อลงโทษ”

ทั้งๆ ที่พระเจ้าได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าประทานพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อยกโทษบาปทั้งปวงให้กับมนุษยชาติไปแล้ว  มารก็หลอกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ  ทั้งทางกายหรือทางใจ หรือความทุกข์ยากลำบากในการหากินบนโลกใบนี้ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ความเสียหาย แตกหักอย่างรุนแรง การฆ่ากัน การทำร้ายกัน ทำลายกัน การแตกแยกกันในครอบครัวเดียวกัน ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ  ความวิปริตเหล่านี้ ความสับสนวุ่นวาย  ความเละเทะของบนโลกใบนี้  ล้วนเกิดขึ้นจากมารล่อลวงมนุษย์ ให้ทำบาป นำเอาเชื้อไวรัสบาปเข้ามา ก่อเชื้อบนโลกใบนี้  โดยมนุษย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่พระเจ้าเลยที่ประสงค์ให้มันเป็นอย่างทุกวันนี้  มันเป็นอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์กลับเสียใจ และทุกข์ใจมากมายต่างหาก และรอคอยวันเวลาที่จะเยียวยา รักษาให้เราหาย จากเชื้อไวรัสบาปนี้  ซึ่งพระองค์ก็กระทำสำเร็จแล้ว  คือประทานพระเยซูคริสต์ลงมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายจากบาป จะได้บังเกิดใหม่ และก็เตรียมโลกใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ให้เรารออีกนิดหนึ่งเท่านั้น

สรุป ก็คือโศกนาฏกรรม ความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรมา เรียกอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทั้งหมดนั้น สรุปว่าไม่ได้มาจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา มนุษย์ต่างหากที่ทำให้มันเกิดขึ้น มนุษย์เป็นคนนำเข้ามา โดยการถูกหลอก โดยมารซาตาน

เราจะจบลงแค่นี้ก่อน แล้วสัปดาห์ต่อไป  ค่อยมาตอบคำถามข้อที่ 2 “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่เราตกอยู่ในความกลัว ตกอยู่ในความทุกข์ลำบาก ความเลวร้ายนั้น พระเจ้าอยู่ที่ไหน?”  เราจะมาตอบข้อ 2 กันในสัปดาห์หน้า สำหรับสัปดาห์นี้ พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเยซูผู้สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ที่เชื่อวางใจในพระองค์ และต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเราแล้ว พระองค์กำลังจูงมือเราผ่านอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่ทำให้เรามีความรู้สึกกลัวท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังในขณะนี้ พระองค์สัญญากับเราว่าจะอยู่กับเราตลอดเวลาจะไม่ละทิ้งเรา รักและห่วงใยเราด้วยสุดหัวใจ และพระเยซูให้ความมั่นใจกับเราว่าพระองค์มีความสามารถที่จะนำพาเรา ผ่านสถานการณ์ความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี อย่างแน่นอน

 

พระเยซูบอกว่า … “เรา​พูด​เรื่อง​พวกนี้​ เพื่อ​ว่า​คุณ​จะ​ได้​มี​สันติสุข ​เพราะ​คุณ​มี​ส่วนร่วม​ใน​ตัวเรา  ใน​โลกนี้​คุณ​จะ​มี​ปัญหา​เดือด​ร้อน​สารพัด แต่​ให้​เข้มแข็ง​ไว้ เพราะ​เรา​ชนะ​โลก​แล้ว”  ยอห์น 16:33 THA-ERV

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1316

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “2 สิ่งที่เป็นพระประสงค์  อันดีเลิศสำหรับท่าน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สิ่งหนึ่งที่อยากบอกวันนี้ ให้กำลังใจ เบอร์หนึ่ง อย่าไปนึกว่าความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่านี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? หลายคนถาม …

“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ความทุกข์ลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับฉันผู้ที่เชื่อในพระองค์”

ถามมาเยอะ ตอนนี้ตอบสั้นๆ ไม่ได้จะมาบรรยายเรื่องนี้  แต่ว่ามาหนุนใจ เพื่อจะได้มีความสบายใจ  เมื่อเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

ถามว่า “พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นใช่ไหม?”

ต้องตอบว่า “ใช่ พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น”

พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น  แต่ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้เกิดขึ้น  2 ข้อแค่นี้ ท่านสามารถคิดได้เลย แล้วก็ช่วยให้ท่านมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา  พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น เพราะเป็นความรักที่พระเจ้าให้กับเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้  มีอิสระในการตัดสินใจ เมื่อบรรพบุรุษของเราไม่เชื่อฟัง ตัดสินใจนำเอาคำสาปแช่งเข้ามา ทำบาป กบฏต่อพระเจ้า เราก็ได้รับไปด้วย

ถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? อนุญาต โดยให้อิสรเสรีภาพกับมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก ในการที่จะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ แล้วก็สั่งไว้แล้วว่าถ้าไม่เชื่อฟัง จะเกิดอะไรขึ้น?

“เกิดโทษกับชีวิตของเจ้า และครอบครัวของเจ้านะ”

แต่มนุษย์ก็พลาดและไม่เชื่อฟัง ก็เอาความทุกข์ลำบากเข้ามาสู่ตนเองและครอบครัว  เผ่าพันธุ์ของตนเองนั่นเอง  พระเจ้าก็ต้องอนุญาตเหมือนถูกบังคับ  เพราะว่าเราเลี้ยงลูกด้วยความรัก ให้เขามีอิสรภาพ ไม่ใช่เลี้ยงลูกเหมือนหุ่นยนต์ ผูกมัด บังคับ …

“ต้องเชื่อฉันอย่างนั้น อย่างนี้”

ไม่ใช่ แต่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรักทั้งสิ้น  ให้ทุกสิ่งสามารถมีอิสรภาพในการตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังพระองคหรือไม่? พระองค์ไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ตกอยู่ในความสาปแช่งอย่างนี้เลย ไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ทำบาป  ไม่ได้ประสงค์ให้อาดัม เอวาไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ได้ประสงค์เลย ถ้าพระองค์ประสงค์ พระองค์คงไม่เตือนว่า …

“อย่านะ อย่าไม่เชื่อฟัง ถ้าเจ้าดื้อ เจ้าจะรับผลกรรมของมันนะ เจ้าจะตายจากเรา เจ้าจะได้รับคำสาปแช่ง”

นี่คือความรักของพระเจ้าที่บอกแล้ว  เพราะฉะนั้น จำแค่ 2 อัน ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เพราะรักมนุษย์ ให้มนุษย์มีอิสรภาพ ในการตัดสินใจ มนุษย์ตัดสินใจพลาด ผิดเอง พระเจ้าไม่ประสงค์ให้มนุษย์ตกลงไปในความทุกข์ยากลำบาก  แต่พระองค์ทรงอยู่ข้างเรา ตกลงไปแล้ว พระองค์ทรงช่วยแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น เอายาไปรักษา บอกเราดื้อ เราล้มลง เจ็บ เอายามาทาให้ อยู่ฝ่ายเราตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ตอนนี้พระเจ้ากำลังดูแลเราอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เชื่อ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ต้องห่วง  พระเจ้าอยู่กับท่านด้วย และอยู่ฝ่ายท่าน  กำลังดูแลเอาใจใส่ ช่วยท่านทุกวิถีทางที่จะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ลำบากเหล่านี้

วันนี้เอาแค่นี้ เอาสั้นๆ ให้รู้ว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา  แล้วกำลังช่วยเหลือเรา  กำลังดูแลชีวิตของเราอย่างเต็มที่  ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานจากผลของโควิด-19 นี่แหละ เอเมน แล้วเราค่อยมาหนุนใจกันในเรื่องนี้อีกยาวมาก สนุกมาก เพราะถ้าท่านรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้เราเป็นไท เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเราตลอด พ่อเราอยู่ข้างเราตลอด  พ่อเราคอยดูแลเราอยู่ตลอด  เราล้มอะไรต่างๆ เราเจ็บ พ่อเจ็บกว่าเราอีก เพราะฉะนั้น ให้รู้ รับทราบเรื่องนี้ร่วมกัน

วันนี้เราจะมาคุยกัน เรารู้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้า หรือเรียกกันว่าน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระองค์ ที่ยังไม่ได้เป็นลูกของพระองค์ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ที่ยังไม่เชื่อในพระเยซู น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เหล่านี้ทั้งหมด คืออะไร?  น้ำพระทัยของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ผู้ที่ยังไม่เชื่อ  มีสิ่งเดียวเอง อย่างเดียวเอง  เราเรียนรู้แล้ว ก็คือให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานให้ อย่างเดียวเท่านั้นเอง ทุกอย่างจบลงตรงสิ่งเดียวที่เขาตัดสินใจนั้น เหมือนเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ตัดสินใจแล้ว สิ่งเดียวนั่นแหละ สำคัญที่สุด คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือความประสงค์ สิ่งเดียวที่พระเจ้ามีต่อบรรดาท่านทั้งหลายที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์

สำหรับคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เราก็ได้ยินกันมาตลอด ถูกสอนกันมาตลอดว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าหรือตามพระประสงค์ของพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าต้องการอะไร ให้ทำตามนั้น ทั้งคำเทศนาเอย คำประกาศข่าวประเสริฐเอย  หนังสือคริสเตียนเอย คำอธิษฐานเอย ก็สอนตรงกันว่าเราควรทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า    มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ต้องหาว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา พระประสงค์ที่มีต่อเรานั้น คืออะไร?

เราก็ได้รับคำสอนจากพี่เลี้ยงบ้าง? หนังสือคริสเตียนบ้าง? ว่าให้เราแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วเราก็อยากรู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรานั้น คืออะไร? หรือไม่มีใครอยากรู้  อยากรู้ทุกคน น้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? คำเทศนาหลายแห่ง หนังสือหลายเล่ม  ก็ยกเอาหัวข้อนี้ บวกกับเรื่องศีลธรรม ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ที่ตัวเองคิด ที่เขาว่าเป็นประเพณี ความคิดของโลกใบนี้ ที่เขาเรียกว่าสิ่งที่ดี ก็เอามาผนวกใส่เข้าไปเป็นน้ำพระทัยด้วย  แล้วก็บรรยายเป็นฉากๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ คือน้ำพระทัย พระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ให้เราทำ สำหรับชีวิตคริสเตียนทุกๆ คน

เพราะฉะนั้น จงทำสิ่งเหล่านี้ คือ 1, 2, 3, 4, 5

จงอย่าทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปฟังเรื่อยๆ มามากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 9, 10, 11, 12, 14, 15, 17, 18, 19, 20 จนกระทั่งเราชักงง  ตกลงน้ำพระทัยพระเจ้าให้เราทำอะไร? แล้วไม่ให้ทำอะไร?  เราก็จดจำกันมา  สอนกันต่อๆ มาเรื่อยๆ หนักๆ เข้า ที่บอกว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า จงกระทำสิ่งเหล่านี้ และห้ามทำสิ่งเหล่านี้ หลายๆ คนมาเชื่อพระเจ้า เลยเข้าใจผิด คิดไปว่าสิ่งเหล่านั้น คือกฎระเบียบที่ต้องทำ เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว  เพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า  ต้องจำให้ได้ และต้องทำให้ได้  เพราะฉะนั้น แทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข  ก็กลายเป็นภาระสำหรับคริสเตียน เหนื่อยเหมือนเดิม เหมือนก่อนเชื่อพระเจ้า  หรือเผลอๆ จะเหนื่อยมากกว่าด้วยซ้ำไป

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้กัน หัวข้อการบรรยายในวันนี้ มีชื่อเรื่องว่า “2 สิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับท่าน” สำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์  ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า 2 สิ่งนั้นคืออะไร?  ซึ่งแน่นอนพระคัมภีร์สอนว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า  และพระคัมภีร์ก็มีคำตอบไว้ให้เรียบร้อยแล้วว่าสำหรับคนที่เชื่อแล้ว  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว มีอยู่แค่ 2 สิ่งที่พระเจ้าอยากให้ผู้เชื่อทุกคนทำตาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ เป็นพร สำหรับเขา สองสิ่งเองหรือ? ใช่ สองสิ่งเอง แล้วที่เรียนรู้มาตั้งหลายอย่าง 100  8,009  ก็อยู่ในแค่สองสิ่งนี้เท่านั้น  ในพระคัมภีร์เขียนไว้แค่สองสิ่งนี้เท่านั้น

สองสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้านี้  เป็นสองสิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับท่าน ดีเลิศ ก็คือดีที่สุด สำหรับท่าน  เป็นสองสิ่งที่จะทำให้พระเยซูคริสต์ มีความรู้สึกชื่นใจในตัวของท่านแต่ละคน  และจะเป็นสองสิ่งที่พระเจ้าให้อิสรภาพกับท่านในการตัดสินใจด้วย สองสิ่งนี้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความรัก  ให้ท่านตัดสินใจเอง  มาดูกันว่า 2 สิ่งนี้คืออะไร?  คำตอบอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ โรม 12:1-2 …

โรม 12:1-2 “1 พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริง 2 อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ   โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

โรม 12:1-2 เราเริ่มต้นที่ข้อ 1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย” คือผู้เชื่อทั้งหลาย

พระคุณ ความเมตตา คืออะไร? เราต้องย้อนกลับไปที่บริบทของหนังสือโรม  “เห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่ได้เล่าสู่กันฟัง ได้เรียนรู้มาตั้งแต่โรม บทที่ 1 ถึงบทที่ 12 ตอนนี้ 11 บทมาแล้ว  ได้บอกความจริงอะไรกับเราบ้างว่าพระเจ้าได้ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประทานอะไรให้กับเรา  คือ …

อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปตั้งแต่กำเนิด อภัยในความบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และตลอดไปเลย   ทำผิดเมื่อไร? ก็อภัยตลอด  โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และนอกจากอภัยให้เราแล้ว ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์ ให้เราบังเกิดใหม่พร้อมพระเยซู มีวิญญาณเดียวกับพระเยซู แล้วพระองค์ก็ทรงเข้ามาสถิตอยู่กับเรา

นี่คือพระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้กันมาอย่างละเอียด ในบทที่ 1 – 11 ของหนังสือโรม มันหมายถึงอย่างนั้น พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณเหล่านั้น  ความเมตตาของพระเจ้าเหล่านั้นที่มีต่อเราทั้งหลาย หมายถึงความเมตตาเหล่านั้น

แล้วอย่างไรต่อ? พอเห็นพระคุณ ความเมตตาเหล่านั้น แล้วทำไม? “ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย” กำลังจะบอกว่าเห็นพระคุณ ความเมตตาแล้ว  ให้เราตัดสินใจยอมมอบถวาย ก็คือยอมก็ได้ ไม่ยอมก็ได้  ซึ่งอยู่ในโรม 12:1-2 นี้ มีอยู่แค่สองสิ่งเท่านั้นเอง  เพื่อทดแทนในพระคุณ เป็นความกตัญญูต่อพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ทำให้เราอย่างที่บอก อภัยให้เรา  และรับเรามาเป็นลูกของพระองค์  ขอแค่ 2 สิ่งเท่านั้นเอง  และให้เราตัดสินใจเองด้วยนะ ให้อิสรภาพกับเรา

สองสิ่งที่พระเจ้าขอร้องผู้เชื่อทุกคน  ก็อยู่ในข้อพระคัมภีร์ 2 ข้อนี้

สิ่งที่หนึ่ง ก็คือที่บอกไว้ในโรม 12:1 คือยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด  ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้พระองค์ได้ใช้งาน ตามน้ำพระทัย

อย่าลืมนะ  มอบก็ได้ ไม่มอบก็ได้  เป็นอิสระ ตัดสินใจได้เลย  เพราะว่าความรักของพ่อที่มีต่อเรา  ให้กำเนิดเราเป็นลูก ไม่ใช่ให้กำเนิดเรามาเป็นหุ่นยนต์

โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริง”

 

ให้เรามาวิเคราะห์กัน “เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า” สิ่งแรก ก็คือให้เรายอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้งสมองเรา ความคิด สติปัญญาของเราให้กับพระเจ้า ไม่ใช่ต้องทำนะ บอกแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทำก็ได้ เพราะว่าในนี้บอกว่า … “ข้าพเจ้าขอร้องท่าน” ถ้าเปาโลเป็นตัวแทนของพระเจ้า พระเจ้าก็กำลังขอร้องเรา

พระเจ้านี่นะ  ใช่ ก็อ่านไปแล้ว เห็นชัดไหม? พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงประทานความเมตตาให้กับเรา รับเราเป็นลูกของพระองค์ อภัยในความบาปทั้งสิ้นของเรา  มาขอร้องเราหรือ? ใช่ เพราะว่าพระองค์ทรงรักเราไง  เหมือนเรามีลูก เราคงไม่บังคับลูก ล่ามโซ่ แล้วบอกต้องรักเราๆ เราให้อิสระเขา เขาจะรักเราหรือไม่รักเรา ก็เป็นตัวของเขาที่จะตัดสินใจถูกไหม? เหมือนกัน พระเจ้าเป็นต้นแบบของพ่อผู้ให้กำเนิด  พระเจ้ากำลังขอร้องคริสเตียนทุกคน มนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้ยอม ก็คือพระองค์ไม่บังคับ  ให้ยอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย

ทุกส่วนในร่างกายของเรา ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง และสติปัญญา

ในนี้บอกว่าถวาย ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว ตรงนี้หมายถึงให้ถวายร่างกายของเรา  ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระเราด้วยพระโลหิตของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ได้ทำให้เราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว พระเจ้าได้ซื้อเราด้วยราคาแพง  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ซื้อชีวิตของเราทั้งหมด ร่างกายของเราเป็นของพระองค์ทั้งหมดแล้ว ซื้อมาด้วยราคาแพงด้วย และตอนนี้ เราได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ สะอาด หมดจดแล้ว เป็นที่พอใจของพระเจ้า ร่างกายของผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์  พระเจ้าพอใจมากเลย ไม่พอใจได้อย่างไร? ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร?  ก็พระองค์มาสถิตอยู่ด้วยเลย

ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้  เรายินดีไหมที่จะมอบตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สติปัญญา สมอง หรือมีอะไรมากกว่านั้นอีก ไม่รู้ สมมติถ้ามี เราก็อยากจะให้พระองค์ทั้งหมด เพราะว่าพระองค์ทรงชำระแล้ว เป็นของพระองค์ส่วนตัวแล้ว ไม่ใช่เป็นของเราแล้ว พระองค์เพียงมาขอความร่วมมือกับเราอีกทีหนึ่ง คิดดูสิ  เราเป็นผู้ให้กำเนิดลูกของเรา เรารู้ว่าเราให้กำเนิดเขา  DNA ของเขา ก็มาจากเรานั่นแหละ เราให้เขาทุกอย่าง  แล้วเราจะมาขอลูกเราอีกว่า …

“ลูกเอ๋ย เชื่อฟังพ่อเถิดนะ เชื่อฟังแม่เถอะ”

ใช่ไหม? มนุษย์ธรรมดาทุกคน ก็คิดอย่างนี้ในครอบครัว … เชื่อฟังพ่อแม่เถอะนะ ขอร้องเลย เหมือนกัน พระเยซูได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ มี DNA ในวิญญาณเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย แล้วร่างกายเราได้รับการชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ตลอดไป  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ แล้วบอกว่า …

“จงมอบร่างกายที่สะอาดหมดจด ให้กับพ่อนะ พ่อจะดูแลให้ พ่อจะนำให้”

มันหมายถึงอย่างนั้น อ่านต่อไปบอกว่า … “ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควร” สมควรไหมล่ะ พอเรารู้ความจริงอย่างนี้ สมควรไหม?  ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพระคุณของพ่อแม่เรา ซึ่งสมควรในวิญญาณของเรา  เพราะในวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้ความจริงในวิญญาณของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้านั้น เพราะเราเชื่อ เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง  เราเกิดจากพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์จริงๆ เราจึงสมควรที่จะกตัญญูต่อความรักนี้ อย่างมากมาย ที่รับเราเป็นลูก มันหมายถึงอย่างนั้น

ในนี้บอกว่า … “ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง” การกระทำอย่างนี้  การมอบถวายอวัยวะ คือร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง สติปัญญาของเราให้กับพระเจ้าอย่างนี้  เป็นการนมัสการพระเจ้า

นึกว่าการนมัสการพระเจ้า คือการนมัสการ ด้วยการถวายทรัพย์ การนมัสการพระเจ้าด้วยการร้องเพลง  นมัสการพระเจ้าด้วยการเต้นรำ  นมัสการพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เรานึกว่าแค่นั้น ในนี้บอกว่าการมอบถวายร่างกายทั้งหมดให้พระเจ้า เป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง

นมัสการ คือการยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  ถ้าแปลตรงๆ นะ นมัสการ คือการยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  คือพูดคำไหน? เป็นคำนั้น  ซึ่งเป็นการนมัสการ เป็นเหมือนดั่งทาส ด้วยวิญญาณของเราเลย  คือยอมจำนนต่อพระองค์ทุกอย่าง  มอบทุกอย่างให้กับพระองค์

และด้วยความจริง  คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเองว่าเราเกิดในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อฟัง  เราเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ความจริงอยู่ในเรา และเรานมัสการพระเจ้า ด้วยการมอบถวายอวัยวะเหล่านี้ให้กับพระเจ้าใช้ และรู้ตามความจริงว่าอวัยวะต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด มันบริสุทธิ์ สะอาด เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว เอเมน ในโรม 6:13 …

โรม 6:13 “อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่ยอมมอบตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และยอมให้อวัยวะของท่าน เป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม ถวายแด่พระเจ้า”

 

เห็นไหมครับ ลักษณะเดียวกัน  “อย่ายอมยกอวัยวะของท่าน” ก็คือให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ ให้อิสรภาพกับท่าน พระเจ้าเป็นเจ้าของเรา แต่ให้เราเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเราเอง

“อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม” ก็คือให้กับศัตรู  เพื่อใช้ในการดื้อต่อพระเจ้า ในความชั่ว แต่ยอมมอบตัวของท่าน คือร่างกายของท่าน แด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว หมายถึงเหมือนกับวิญญาณของท่าน ความคิดจิตใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ร่างกายของท่านที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว หมายถึงอย่างนั้นแหละ จงมอบร่างกายท่าน เหมือนคนที่เกิดใหม่แล้ว พูดง่ายๆ ว่าตัวเก่ามันตายไปแล้ว  ตอนนี้เป็นของพระเจ้า เป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้าส่วนตัวแล้ว

“และยอมให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในความชอบธรรม ถวายแด่พระเจ้า” ก็คือให้พระเจ้าใช้ ถ้าพระเจ้าใช้ พระเจ้าดี พระองค์ทรงใช้ไปในทางที่ดีทั้งหมด ใครเป็นคนใช้? พระเจ้า เราใช้หรือเปล่า? เราไม่ได้ใช้ เราไม่ได้เข้าเกียร์ด้วยตัวเราเอง  เราเข้าเกียร์ว่างไว้ พระเจ้าใช้ พระเจ้าทำงานในเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

ตอนนี้เราก็ได้รับทราบแล้วว่าสิ่งที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับเราคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว อย่างแรก คือให้ยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ทั้งสิ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง สติปัญญา ให้เป็นเครื่องมือ ให้พระเจ้าใช้งาน

เรามาดูสิ่งที่สอง อยู่ในหนังสือโรม 12:2 นั่นเอง ที่เราได้อ่านไปเมื่อตะกี้นี้  ก็คือ …

สิ่งที่สอง คือให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิด คือเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในสมองของเราเสียใหม่ เพราะมีคำว่าให้เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ คือมีโปรแกรมเก่า ต้องเปลี่ยนใหม่  ด้วยการเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ก็คือเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ที่พระองค์ทรงบอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เรา ให้ท่าน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

พูดง่ายๆ ว่าให้เราเปลี่ยนโปรแกรมในสมอง  แล้วก็เชื่อในความจริงนั้น  ปากพูดต่อความจริงนั้นว่าเอเมน โดยไม่มีข้อแม้ เดี๋ยวเราจะรู้กันว่าไม่มีข้อแม้คืออะไร?

เอเมน คือใช่ มันเป็นไปตามนั้น  เพราะเรามองไม่เห็น …

พระเจ้าบอกเราเป็นลูกของพระองค์ เอเมน เราเป็นลูกของพระองค์

พระเจ้าบอกเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เราบอกเอเมน พระเจ้าบอกเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น

ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าบอกว่าร่างกาย อวัยวะทั้งหมดได้รับการชำระด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว เราก็บอกเอเมน จงเป็นไปตามนั้น  ก็คือเชื่อไปตามนั้น  เชื่อในความจริงเหล่านั้น มันหมายถึงอย่างนั้น

และโปรแกรมสมองเดิมเรา คืออะไร? บอกว่าเรายังเป็นคนเดิมอยู่เลย เรายังไม่สะอาดหมดจดอะไรต่างๆ เหล่านั้น  เรามาอ่านดูในรายละเอียด โรม 12:2 …

โรม 12:2 “อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ   โดยการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน”

 

“อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้” ระบบของโลกนี้ ก็คือบาป ศัตรู ต่อต้าน  ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า พูดง่ายๆ อย่าประพฤติตามระบบของโลกนี้ ก็คืออย่าดื้อกับพระเจ้า แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง ความประพฤติ ก็คือยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลง

ตรงนี้ สังเกตนิดหนึ่ง ที่บอกว่า “แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง” ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าไม่ได้เปลี่ยนด้วยตัวเอง ยอมรับการถูกเปลี่ยนแปลง ยอมให้พระเจ้ามาเปลี่ยนแปลง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรานั่นแหละ มาเปลี่ยนแปลงความประพฤติเดิมๆ  ตามระบบของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า

ตรงนี้สำคัญมาก โดยการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในสมอง ความคิด สติปัญญาในสมองเสียใหม่ ก็แสดงว่าไม่ได้เน้นเรื่องความประพฤติ แต่เน้นเรื่องความคิด สติปัญญาในสมอง  โปรแกรมในสมองต้องรับการเปลี่ยนแปลง  พอสมองเปลี่ยนแปลง ความคิดเปลี่ยนแปลงปุ๊บ  ความประพฤติมันเปลี่ยนแปลงเอง  เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกหลอกด้วยกลยุทธ์ทางสงครามฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งศัตรู ก็คือมารพยายามให้เราไปเน้นเรื่องความประพฤติ ให้เปลี่ยนแปลงความประพฤติ (ให้เปลี่ยนเองอีกต่างหาก)

ในนี้บอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด  ร่วมมือกับพระเจ้า เปลี่ยนแปลงความคิด ให้พระวิญญาณเข้ามาช่วยเรา  ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดเสียใหม่  แสดงว่ามีของเก่าอยู่ เอาของใหม่เข้ามา แล้วพอเปลี่ยนแปลงได้ปุ๊บ ความประพฤติมันจะถูกเปลี่ยนไป โดยพระวิญญาณเอง เช่นเดียวกัน เราไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำแค่สิ่งเดียว คือยอม หรือไม่ยอม ถ้าเราไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เราพยายามๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงความประพฤติ มันก็จะออกมาเป็นข้อ 1 – 10 แล้วข้อ 10 ทำได้ปุ๊บ ไปอีก 20 ข้อ ไปอีก 30 ข้อ  อันนั้นผิด อันนั้นถูก อันนี้ต้องอย่าทำ อันนี้ทำ อันนี้ห้ามทำ

อย่างที่ตะกี้ที่บอกมาตั้งแต่แรกแล้ว  ใช่หรือไม่? แล้วเราทำไปเรื่อยๆ ความคิดเดิมๆ ยังอยู่ โปรแกรมความคิดเดิมๆ ยังอยู่ สติปัญญาเดิมๆ ยังอยู่  อิทธิพลความบาป ความดื้อ เป็นศัตรูกับพระเจ้ายังอยู่เลย เพราะฉะนั้น ทำไป ก็ไม่มีประโยชน์  ทำไปก็ไร้ค่า ทำไป พระเจ้าก็เสียพระทัย  เพราะไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าสักหน่อย น้ำพระทัยพระเจ้า คือให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมความคิด  สติปัญญาเก่าๆ ให้เป็นใหม่ซะ

ประโยชน์อะไรเกิดขึ้น? ในนี้บอกว่าเปลี่ยนแปลงโปรแกรมสมอง ความคิด สติปัญญาเสียใหม่  เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรเป็นความต้องการของพระเจ้า  ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า อะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม  อะไรดีสมบูรณ์แบบ  ในสายพระเนตรของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า ในพระคริสต์  ที่วางไว้ให้กับท่าน  สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  แปลว่าเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมในสมองของท่าน  เพื่อท่านจะได้รับรู้ว่าอะไรที่เป็นที่พอใจของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ในพระเยซูคริสต์ คือให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อาศัยของพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้าได้  สมบูรณ์แบบครบถ้วน เรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ นี่คือความต้องการของพระเจ้าที่สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารู้  ก็คือให้รู้ความจริง ให้เปลี่ยนแปลงความคิดที่มันเคยดื้อ ที่มันไม่เชื่อต่อสิ่งเหล่านี้ ให้มาเชื่อฟัง เปลี่ยนแปลงความคิดเท่านั้นเอง สำคัญมากเลยตรงนี้

เราเข้าใจผิด เราคิดว่าต้องทำอะไรก็ตามให้พระเจ้าพอใจ  แต่สิ่งที่พระเจ้าพอใจ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ให้เราทำ  พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วในสิ่งที่พระองค์พอใจ ก็คือทำให้เราครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ และต้องการให้เรารู้ว่าเราสมบูรณ์แบบแล้ว โดยพระองค์ผู้ทำให้ เมื่อเรารู้ว่าเราสมบูรณ์แบบแล้ว พระองค์ก็พอใจ  พระองค์ยิ่งชื่นใจในสิ่งที่เรารับรู้นั้น

แล้วเราจะรับรู้ได้อย่างไร? คือเราต้องยอม ยอมเปลี่ยนความคิด  โปรแกรมในสมองที่มันบอกว่าเรายังไม่ดีพร้อม เราไม่ใช่หรอก เราต้องทำอันโน้น อันนี้ให้มันสมบูรณ์แบบขึ้น ไม่ใช่ พระเจ้าบอกสมบูรณ์แบบแล้ว ในพระคริสต์ เราก็บอกยังไม่สมบูรณ์แบบหรอกๆ เรา คือถูกอิทธิพลของโปรแกรมของความคิดเก่าๆ  ซึ่งเป็นอิทธิพลของความบาป  ก่อนที่เราจะเชื่อนั่นแหละ  เห็นไหมว่ามันมีประโยชน์อย่างไร?  ในฮีบรู 10:38 จึงบอกอย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 10:38  “แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความชื่นใจ ในคนนั้นเลย”

 

“แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” จะอยู่ในความเชื่อนั่นเอง  “ดำรงชีวิต” ก็คืออยู่ เหมือนเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความเชื่อ

ถามว่าเชื่ออะไร? ท่านคิดซิว่าเชื่อในอะไรล่ะ คนชอบธรรม คือคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อในพระเจ้า  แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มีชีวิตอยู่ในความเชื่อ … เชื่ออะไร? ก็ตะกี้นี้ที่บอกมาแล้ว  ถ้าขาดความเชื่อนี้ พระเจ้าเสียใจ  ไม่ชื่นใจกับคนนั้นเลย  มันหมายถึงอย่างนั้น  พ่อเราจะชื่นใจ เมื่อเราอยู่ในความเชื่อ  ถามว่าเชื่ออะไร? เชื่อในความจริงในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ ที่เราอยู่นั่นแหละ ก็คือความจริงในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น สัมผัสทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สามารถสัมผัสได้ สมองมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ ตรงนี้แหละ ต้องใช้ความเชื่อ  เชื่อในความจริงในโลกวิญญาณที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิด ที่ไม่สามารถที่จะสัมผัส  ที่จะรับรู้ได้

ยกตัวอย่าง เช่นเรารับรู้ความจริงในส่วนนี้ว่าเมื่อพระเจ้าบอกเราในความจริง ให้เราวางใจในความจริงเหล่านั้น  เราก็บอกว่าเอเมน  มันเป็นไปตามนั้นแหละ ไม่ว่าความคิดของเราจะต่อต้านเท่าไร? ไม่ว่าเนื้อหนังร่างกาย ความรู้สึกเราจะไม่รู้สึกเห็นด้วย คล้อยตามด้วย  เราก็บอกว่าเป็นไปตามนั่นแหละ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ และพระเจ้าเป็นผู้บอกเรา

อย่างเช่น พระเจ้าได้บอกกับเราว่าเราได้รับบัพติศมา เข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับเชื่อในพระเจ้า เราเข้าสู่ขบวนการผ่าตัดทางวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงแบ่งให้เรา เป็น DNA ทางฝ่ายวิญญาณ  เต็มด้วยสง่าราศี เป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ของเรา และพระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ร่วมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ในความเป็นจริงว่าเรา คือลูกของพระเจ้า พระเยซูอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเยซู เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  ทุกลมหายใจเข้าออก มีชีวิตอยู่ โดยพระคริสต์ สัมผัสแตะต้องได้ไหม? ไม่ได้ มองเห็นไหม? ไม่เห็น  แต่เชื่อเอาว่าได้บังเกิดใหม่แล้ว

ได้รับการย้ายแล้ว จากอาณาจักรของความมืด  ย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายจากอาณาจักรแห่งความพินาศ เข้ามาสู่อาณาจักรของสวรรค์ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว  รับรู้ว่าเราเป็นใคร? ตัวเองเป็นใครในพระเยซูคริสต์? เพื่อที่จะไม่ถูกหลอกให้คิดและต่อต้านกับความจริง ที่พระเจ้าบอกเรานี่แหละ เพราะยิ่งถ้าเรารู้มากเท่าไรว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำอะไรให้กับเราบ้าง? เมื่อเรารู้มากเท่าไร เท่ากับเราเปลี่ยนแปลงความคิด โปรแกรมในสมอง จากการต่อต้านความจริงนี้  เป็นยอมรับความจริง  เอเมนในความจริงมากขึ้น  ยิ่งมากขึ้นเท่าไร? ก็ยิ่งทำให้เรามีความประพฤติที่เปลี่ยนไปเท่านั้นไง  เห็นไหมครับ พระเจ้ายอดเยี่ยมมากจริงๆ  และเป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  เราเพียงแต่ยอมให้พระองค์ทรงกระทำตามกลยุทธ์นี้เท่านั้น คือยอมเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนโดยเอาความจริงของพระเจ้าเข้ามาแทน การโกหกหลอกลวงของมาร  ในโปรแกรมความคิดของเรา

เมื่อเรารู้มาก ในโปรแกรมความคิดของเรามีความจริงตรงนี้มาก เราก็จะประพฤติให้เป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า  เราก็จะประพฤติ สมควรแก่ความจริงนั้น  ก็คือสมฐานะ เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นลูกกษัตริย์มากเท่าไร? เราก็จะแต่งตัวสมฐานะ เหมือนที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ  เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนมากเท่าไร? เราก็จะแต่งตัว ใส่กางเกง ใส่เสื้อเหมือนคน ถ้าเรารู้น้อย เราก็แต่งตัวเหมือนลิง ที่แต่ก่อนนี้ทาร์ซานเคยอยู่กับลิงมาก่อน ท่านพอมองเห็นภาพไหมครับว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น หรือความรู้สึก ที่แตะต้องได้ด้วยร่างกายนี้  และต้องเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้เท่านั้น ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วเท่านั้น ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้

และสิ่งสำคัญมาก ถึงมากที่สุด  คือเราต้องจับแก่นแท้จริงของข่าวประเสริฐให้ได้  แก่นแท้จริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าผลของข่าวดี ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น แก่นแท้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เพื่อเราจะได้ไม่เข้าใจผิด หรือถูกหลอก ล่อลวง ขโมยเอาความจริงนี้ไป ตรงนี้สำคัญมาก  เราต้องจับแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้ได้ว่าแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซูคริสต์ คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์เลย ต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สำแดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เราได้เห็น และพระองค์ทรงสำแดงแล้ว ที่ในถ้อยคำของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนเหล่านั้น ในพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือจดหมายฝากจะเห็น เขียนไว้ชัดเจนมากเลยว่าในพระคริสต์ เราเป็นใคร?  เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้  ก็คือปกครองและครอบงำ โดยมาร  มันจะส่งความคิด หลอกล่อ

ยกตัวอย่างว่าในพระคริสต์ พระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับการชำระจนบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ระบบของโลกนี้ มารก็พยายามส่งความคิดมาว่า …

“ไม่เห็นบริสุทธิ์เลย บริสุทธิ์อะไร เมื่อวานนี้ยังหงุดหงิดอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโลภอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโกรธเขาอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังอิจฉาเขาอยู่เลย  อย่างนี้บริสุทธิ์หรือ?”

ยกตัวอย่างให้เห็น นี่มันส่งความคิดนี้มา เห็นไหมครับ?  และโปรแกรมความคิดเก่าของเราคิดอย่างนี้  คิดว่าถ้าเราประพฤติอย่างนี้ แสดงว่าเราไม่บริสุทธิ์ เราก็คิดอย่างนี้ แต่พระเยซู พระเจ้าบอกว่า …

“เจ้าบริสุทธิ์แล้ว เราตายเพื่อเจ้า หลั่งพระโลหิตเพื่อเจ้า”

มันแย้งกันเห็นไหม? มารก็จะส่งความคิดมาว่า … “เรามันแย่  เรามันเลว”

คือต่อต้านความจริง พระเจ้าบอกว่า … “เจ้าเป็นคนชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เราทำให้เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมนะ พระเยซูผู้ชอบธรรม ได้ถูกทำให้เป็นคนบาป เพื่อว่าเจ้าผู้เป็นคนบาป จะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”

สลับที่กันเท่านั้นเอง พระเจ้าเป็นคนทำให้ มันก็พยายามต่อต้าน ส่งความคิดมาบิดเบือนความจริงเหล่านี้ เพื่อให้เราไขว้เขว หรือสงสัย หรือเริ่มต้นไม่เชื่อในความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เมื่อไม่เชื่อในความจริง ความคิดเราไม่เปลี่ยน ความประพฤติเราก็ไม่เปลี่ยน พระเจ้าก็ไม่มีอะไร อย่างมาก ก็แค่เสียใจ แล้วก็ทำงานต่อไป ช่วยเราต่อไป

ให้เราเปลี่ยนความคิด เพื่อเปลี่ยนความประพฤติของเราให้ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะมันจะเป็นผลประโยชน์ เป็นผลดีสำหรับชีวิตของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงสำคัญมาก ไม่อย่างนั้น เราจะถูกหลอกได้

ยกตัวอย่าง เช่น ในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 นี่ก็ถูกหลอกอีกแบบหนึ่ง  ตะกี้ถูกหลอกแบบหนึ่งนะ  คราวนี้มาหลอกอีกแบบหนึ่ง  คือบิดเบือนถ้อยคำพระเจ้านิดๆ หน่อยๆ  เมื่อเราจำถ้อยคำพระเจ้าได้ มันก็บิดเบือนนิดหนึ่ง แต่ความเสียหายเยอะเลย  ยกตัวอย่างเช่น 1 เปโตร 2:24 ที่เรารู้จักกันดีนะ

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

 

ถ้าเราอ่านตรงนี้ และยึดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เรียนรู้มาเมื่อสักครู่นี้ เราก็จะเข้าใจได้ว่ามันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว โลกวิญญาณเท่านั้น ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หายแล้ว ทางวิญญาณ หายจากโรคบาป  หายจากการอธรรม กลายเป็นผู้ชอบธรรม หายจากบาป  เป็นผู้ชอบธรรม ซึ่งเป็นความจริงนั่นเอง  แต่มันบิดเบือนนิดๆ หน่อยๆ อย่างที่บอก  แต่ถ้าเราไม่ยึดตามแก่นแท้ของโลกวิญญาณ เราก็อาจถูกหลอกได้ เช่น เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว โดยรอยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ได้รักษาเราให้หายจากโรคแล้ว เราไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ปวดไข้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็แสดงว่าไม่เชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกันใหญ่เลย  กลับกันเลย แสดงว่าไม่เชื่อพระเจ้า  เชื่อไม่พอ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามทำ  มีความเชื่อให้มากขึ้น  ก็มีความรู้สึกฟ้องผิดในตัวเองอีก มีความรู้สึกอยู่ห่างจากพระเจ้ามากขึ้น มีความรู้สึกพระเจ้ากับเราอยู่คนละฝ่าย ไม่ใช่เลย ไม่ถูกเลย

ซึ่งผมเองก็ถูกหลอกอย่างนี้มาเยอะ มานานแล้ว แรกๆ  คิดว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าตัวเองอยากได้ ก็พยายามสร้างความเชื่อด้วยตัวเอง วางรากฐานบนถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งอ้างว่าเป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ถูกหลอก บิดนิดหนึ่ง  บนถ้อยคำพระเจ้าที่ดูเหมือนเป็นถ้อยคำพระเจ้า อ้างถ้อยคำพระเจ้า แต่ถูกหลอกให้เข้าใจผิด  สร้างความเชื่อของตัวเอง บนรากฐานของถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า  วางรากฐานบนกิเลส ตัณหา บนสิ่งที่ตัวเองอยากได้  แล้วก็คิดว่านั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า  เห็นไหม?

สิ่งที่ตัวเองอยากได้ คืออะไร?  คืออยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะสำเร็จ พออยากได้สิ่งเหล่านี้ ก็วางรากฐานบนความเชื่อ  บนสิ่งเหล่านี้แหละ บนสิ่งที่ตัวเองอยากได้  และเข้าใจผิดว่านั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะต้องร่ำรวย ให้ออกไป  แล้วสมบัติของท่านจะเพิ่มพูนขึ้น  ยัด สั่น แน่น พูนล้น 100 เท่า 1000 เท่า ฟังดูคล้ายๆ เราเคยอ่านถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้านี่นา เห็นไหม? หรือเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้วจะหายป่วย มาเชื่อพระเจ้าสุดใจแล้ว วางมืออธิษฐานแล้ว หายทุกโรคเลย

สิ่งเหล่านี้ มาจากส่วนหนึ่งในถ้อยคำพระเจ้า แล้วเอาไปใส่กิเลสตัณหาของตัวเอง  ถูกหลอกนั่นเอง  โปรแกรมความคิดในสมองเก่าๆ มันยังอยู่ มันผสมกิเลสตัณหาของตัวเองที่อยากได้เข้าไป แต่มันไม่ใช่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้าที่บอกให้เราเชื่อ เพราะนั่นคือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้วเท่านั้น อันนี้ไม่ได้อยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว บนโลกใบนี้ ที่ไม้กางเขน  รวมความ ก็คือมันพยายามทำให้เราเชื่อแบบผิดๆ ทำแบบผิดๆ แล้วพอไม่ได้อย่างที่เชื่อ ซึ่งมันก็ไม่ได้แน่นอนแหละ  มันเป็นไปไม่ได้  ในที่สุด เราก็จะเศร้าและสับสน สงสัยในพระเจ้าของเรา เห็นไหม?  ดึงเราออกห่างจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละข้างกับพระเจ้า  แล้วเกิดอะไรขึ้น? พระเจ้าก็เสียใจ  ไม่ชื่นชมยินดี  แล้วมันก็มาหลอกเราอีก พระเจ้าโกรธ พระเจ้าแค้น พระเจ้าโมโหที่ความเชื่อเราน้อย พระเจ้าบ้วนเราทิ้งแล้ว อะไรอย่างนี้  มันก็พยายามยุแยงให้ครอบครัวแตกแยก ทำให้ครอบครัวของพระเจ้า เรากับพ่อของเราแตกแยกกัน เพราะมือที่ 3 นี่แหละ

พระเจ้าต้องการให้เปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  ก็เพราะอย่างนี้ เปลี่ยนแปลงความคิดในสมองเสียใหม่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง  ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  นี่คือหัวใจหลักเลย คือเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  ให้เราวางรากฐานอยู่บนเฉพาะ ความเป็นจริงจากถ้อยคำของจริงๆ อะไรที่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็ให้รู้ว่านั่นมันเป็นเรื่องจริงๆ  มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกวัตถุเลย  ต้องสังเกตให้ดี อย่างเช่นในหนังสือ 2 โครินธ์ 8:9  แถมอีกนิดหนึ่งก็ได้ ลองอ่านดูสิ …

2 โครินธ์ 8:9 “เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าแม้พระองค์มั่งคั่ง พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องจากความยากจนของพระองค์”

 

เห็นไหมอ่านแค่นี้ แทบไม่ต้องอธิบายแล้ว เพราะอธิบายมาเยอะแล้ว ท่านสามารถเข้าใจว่าคืออะไร? มันเกี่ยวเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น แต่ถ้าท่านเอามาตีความเป็นโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้  ท่านก็จะเจ็บปวดรวดร้าว เสียใจ สงสัย เหน็ดเหนื่อย แล้วพระเจ้าก็ไม่ชื่นใจ เสียใจเช่นเดียวกัน เพราะลูกเราถูกหลอก ใน 1 ยอห์น 4:4 กับข้อ 15 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

1 ยอห์น 4:4,15 “4 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ที่อยู่ในโลก

            15 ”ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า     พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า”

 

เห็นไหม? มารก็จะมายุแยง นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ มารก็จะมายุแยง ทำให้เรารู้สึกกร่างเลย ฉันใหญ่มาก ก็เอาความยิ่งใหญ่นั้น ยกตนข่มท่าน ข่มเหงคนอื่น โดยไม่รู้ตัว ข่มเหงคนอื่นนะ แทนที่จะให้คนอื่นข่มเหง

“ฉันมีพระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน ยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ฉันทำอะไรก็ต้องสำเร็จ ไม่มีใครขวางได้ ฉันทำธุรกิจอะไร ก็ต้องสำเร็จ ไม่มีใครขวางได้  ไม่มีใครเอาเปรียบฉันได้ ฉันทำอะไรยิ่งใหญ่เสมอ เพราะพระเจ้าของฉันยิ่งใหญ่ สถิตอยู่กับฉัน”

แต่พระเยซูบอกเราว่าอย่างไร? … “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ท่านเป็นผู้เชื่อเรา  เราเกิดมาเป็นผู้รับใช้เขา ท่านเป็นสาวกของเรา เป็นผู้เชื่อในเรา ก็รับใช้เขา อดทน รับใช้ ยอมให้เขาทำ  อยู่ด้วยความสงบ เขาตบหน้าข้างซ้าย ให้ข้างขวาอีกด้วย”

เป็นผู้ที่ให้ ไม่ใช่มารับ  อะไรอย่างนี้ เห็นไหมครับ?

นี่คือโลกวิญญาณจริงๆ ถ้าถูกหลอก แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ท่านคิดดู ความประพฤติจะออกมาอย่างไร  โดยที่ไม่รู้ตัวด้วย  เพราะมันถูกหลอกมาแล้ว เพราะฉะนั้น  หัวใจ คือต้องเปลี่ยนแปลงโปรแกรม ความคิด สมองเสียใหม่ ในโปรแกรมเก่าๆ มันอยู่ในสมอง  ที่ผมใช้คำว่า “โปรแกรม” เพราะว่ามันเป็นเหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นอัตโนมัติ โปรแกรมนี้ทำงานอย่างไร? ถ้าโปรแกรมยังอยู่ มันทำงานตามโปรแกรม โปรแกรมนี้บันทึกอะไรไว้  มันก็ทำตามนั้น โปรแกรมในสมอง ในความคิดของเรา ก่อนเชื่อ มันยังอยู่ ถ้าเราไม่เปลี่ยน ความประพฤติก็ไม่เปลี่ยน เพราะโปรแกรมเหล่านี้ เป็นตัวสั่งงานให้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ทำตามโปรแกรม หรือความคิด ในสมองเหล่านั้น สมองสั่งการ ร่างกายก็ทำตาม

พระเจ้าได้ไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์ได้ช่วยให้เรารอด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจ ก็ใหม่เอี่ยม  ไม่มีที่ติ แต่ร่างกายที่ได้รับการชำระแล้ว ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ถึงแม้จะชำระให้สะอาดหมดจดด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  ภายใต้เนื้อหนังเก่าที่ตกลงไปภายใต้ความบาป มันเสื่อมสลายไป มันรอวันหนึ่งที่พระเจ้าจะให้ร่างกายใหม่มา  แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง ยังอยู่ในร่างกายเก่าที่ต้องตายอยู่นี้ เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน  ร่างกายเก่าที่มีสื่อในการรับอิทธิพลจากความบาป หรือการเป็นศัตรูของพระเจ้าที่อยู่ภายนอกเข้ามาได้ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องยุ่งกับโปรแกรมนี้แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีคลื่นความถี่ที่ส่งเข้ามาต่อต้านความจริงของพระเจ้าอยู่ ตราบนั้นยังคอยเช็คโปรแกรมนี้  และต้องเปลี่ยนความคิดนี้อยู่เสมอ

คืออย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีนะ ผมพยายามเรียบเรียงและยกตัวอย่างมาให้เห็นชัด เพื่อท่านจะได้เห็นภาพว่าทำไมพระเจ้าจึงให้เราให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนโปรแกรมความคิดเสียใหม่ เพื่อความประพฤติเราจะได้เปลี่ยนแปลงไป  ไม่ใช่มอบถวายอวัยวะทุกส่วนให้กับพระเจ้าเท่านั้น  มอบไป แต่ต้องรับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ด้วย 2 สิ่งเท่านั้นที่ต้องทำร่วมกัน และ 2 สิ่งนี้ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่  เปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดเสียใหม่

ความคิดของเราสามารถรับสื่อแห่งความชั่วร้าย สกปรก เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับความดีงามของพระเจ้าได้ จากระบบของโลกนี้  เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความชั่วร้ายเหล่านี้ ศัตรูของพระเจ้าเหล่านี้  มันส่งกระแสออกมา เข้าไปในร่างกาย ในความคิด ในสมองของเราได้ ซึ่งเป็นบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านความจริงของพระเจ้า  ต่อต้านผู้ที่เชื่อในพระเจ้า  โดยเฉพาะเลย เพราะผู้ที่เชื่อเท่านั้น จะมีความจริงอยู่ในตัวเขา มันก็มา เพื่อจะต่อต้านความจริง โดยส่งเข้ามาทางความคิด กระตุ้นในความคิดของเรา

สำคัญตรงที่เราต้องรู้ว่าความคิด ไม่ใช่ตัวเรา ที่เกิดใหม่แล้ว ทั้งวิญญาณและความคิด จิตใจ ซึ่งเหมือนพระเยซู ความคิดอาจจะเป็นอย่างอื่นเยอะแยะไปหมดเลย  แต่ตัวเราจริงๆ เลย คือความคิด จิตใจของเราที่เกิดใหม่  เป็นเหมือนพระเยซูทั้งสองส่วนเลย  คือทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจ เพราะฉะนั้น ความคิดไม่ใช่ตัวของเรา  ความคิดอาจจะเป็นไปกับความจริงว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเยซู หรือความคิดอาจจะต่อต้านกับพระเจ้าว่าเราไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู เรายังเป็นคนสกปรกอยู่ก็ได้ เห็นไหมครับ ความคิดไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา เราชอบคิดว่าเราคิดอย่างนี้ เรารู้สึกอย่างนี้  เป็นตัวเรา เรามันแย่  เราไม่แย่ เพราะความจริง ก็คือความจริง  คือตัวเราเป็นเหมือนพระเยซู จะแย่ได้อย่างไร?

ความคิดอย่างนี้ มันมาจากข้างนอกตัวเรา  ส่งกระแสกระตุ้น มีพลัง อิทธิพล ทำให้เราคิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน เจ้าความคิดเหล่านี้  มันมาจากข้างนอกตัวเรา  ส่งกระแส กระตุ้น มีพลัง อิทธิพล กระตุ้นให้เรา ทำให้เราคิดตามมันก่อน แล้วก็เริ่มเชื่อตามมันก่อน  และในที่สุด ก็ทำตามมัน  คิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน  “มัน” คือศัตรูต่อพระเจ้า ศัตรูของพระเจ้า คิดตามศัตรูของพระเจ้า เชื่อตามศัตรูของพระเจ้า และในที่สุด ก็ทำตามศัตรูของพระเจ้า คือบาปนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เวลาเราทำบาป ก็มาจากความคิด เริ่มทำบาป เชื่อในความบาป  และมันมาจากใครทั้งหมดนี้  มาจากเจ้าของบาป ที่อยู่นอกตัวเรา นั่นเอง ไม่ได้มาจากตัวเราเลย  ในตัวเราสะอาดหมดจด พระเจ้าครอบครองอยู่แล้ว คิดตามมัน เชื่อตามมัน และในที่สุด ทำตามมัน  ตามความเคยชิน ตามสัญชาตญาณบาป ก่อนที่เราจะรู้จักพระเจ้า  ซึ่งเรายังเป็นคนบาปอยู่ เรามีสัญชาตญาณเดิม ความเคยชินเดิมๆ ที่อยู่ในโปรแกรม ที่ผมใช้คำว่าโปรแกรม แต่บัดนี้ ขณะนี้  ที่เราเชื่อในพระเยซูแล้ว ความจริง ก็คือเราไม่ได้เป็นทาสของมันอีกต่อไป เพราะฉะนั้น อย่ายอมให้มันมีอิทธิพลต่อความคิดของเราเหมือนเดิมได้อีกแล้ว อย่าไปเชื่อมันอีกต่อไป เราเป็นอิสรภาพจากมันแล้ว แต่ตรงกันข้าม ให้ความคิดจิตใจ แบบพระคริสต์ในเรา ที่เกิดใหม่แล้ว ให้มีอิทธิพล เข้าครอบครอง แทนที่ คือเรามีความคิดจิตใจใหม่ ที่บังเกิดใหม่  ที่เรารับเชื่อ  ความคิดจิตใจใหม่ที่อยู่ภายในตัวเรา เอาความคิดจิตใจที่อยู่ในพระคริสต์ที่เป็นความจริง เข้ามาครอบครองความคิด เข้ามาอยู่ในโปรแกรมใหม่ เอาโปรแกรมเก่าออกไป เชื่อพระเจ้า และทำตามเหมือนดั่งเป็นทาสของพระคริสต์เลย ความคิดจิตใจที่เป็นแบบพระคริสต์ ที่อยู่ในความคิดจิตใจของเรา  เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา  มาพร้อมวิญญาณใหม่ของเรา  ให้ครอบครองเข้าไปที่ความคิด โปรแกรมสมองของเรา  พอครอบครองแล้ว มันก็จะนำไปสู่ความเชื่อฟังต่อพระเจ้า ดั่งชนิดเป็นเหมือนทาสเลย  โปรแกรมที่เปลี่ยนใหม่ ในความคิดของเรา ในสมองของเรา ก็จะเชื่อฟังต่อพระคริสต์ ดั่งเป็นทาส

เมื่อเราเป็นทาส ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนเราเป็นอย่างนั้นแล้ว คือเชื่อในพระเจ้า เหมือนดั่งเป็นทาสของพระคริสต์ ทุกเซลในตา หู จมูก กาย สมอง ความคิดของเรา ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ล้วนปกคลุมไปด้วยชีวิตของพระคริสต์ เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี  ขณะเดียวกัน ทุกเซลกำลังถูกต่อต้าน และถูกโจมตีด้วยศัตรู ซึ่งก็คืออิทธิพลของความบาปในโลกนี้  ท่านเดินไปไหนก็ตาม ในร่างกายของท่าน  ทุกเซลเต็มไปด้วยรัศมี สง่าราศีของชีวิตของพระคริสต์ ที่ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในนั้นตลอดเวลา แต่ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รอบตัวท่านทั้งหมด มันคือศัตรูต่อพระเจ้า  ต่อความจริง ต่อสง่าราศี  ทุกเซลที่อยู่ในตัวท่าน มันต่อสู้กันตลอด จะส่งเข้ามา พยายามที่จะแฮกส์เข้ามาในตัวของท่านให้ได้ โดยจะเข้าไปอยู่ที่สมองของท่าน เพื่อที่จะสั่งการให้ได้ มันพยายามต่อสู้ แทรกตัวเข้ามา มีอิทธิพลเหมือนแต่ก่อนนี้ ที่มันเป็นเจ้าของอยู่ มันถูกขับออกไปแล้ว ตอนนี้มันอยากจะเข้ามาอยู่เหมือนเดิมมากเลย

เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร? อย่ายอมมันเด็ดขาด พระคัมภีร์ก็บอกว่าอย่ายอมมันเด็ดขาด พระเจ้าบอกอย่ายอมมันเด็ดขาด พระวิญญาณบอกอย่ายอมมันเด็ดขาด อย่ายอมให้มันทำเหมือนแต่ก่อนนี้ อย่ายอมมันเด็ดขาด ถ้าพลั้งพลาดไป ยอมมัน ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมาใหม่ ด้วยกำลัง พลังจากภายใน  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน  พระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่าน  เหมือนดั่งที่เราร้องว่า “พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก” เอามาใช้ตรงนี้เลย พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก คือทางวิญญาณ คือพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค เป็นใหญ่กว่ากระแสของระบบศัตรูของพระเจ้า ที่เป็นบาปรอบข้างเรา ที่พยายาม จะผลักดัน เข้ามาโจมตีความคิดของเรา ให้เราเชื่อฟังมัน  และประพฤติตาม คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ประพฤติชั่วนั่นเอง  มีแค่นี้เอง

วันนี้ เราได้เรียนรู้แล้วว่า 2 สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา อยากให้เราทำ ขอร้องให้เราทำ แล้วเราก็มีอิสระ เสรีภาพที่จะตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่ทำ เป็นการตัดสินใจของเราเอง แต่เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า  ที่ทรงรักเรามากขนาดไหน? ในพระเยซูคริสต์ ก็จงยอมให้พระองค์กระทำเถิด จงยอมมอบอวัยวะทั้งสิ้นในร่างกายของท่านให้กับพระองค์ และยอมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่  โปรแกรมความคิดจิตใจเสียใหม่  เพื่อท่านจะได้มีความประพฤติที่เป็นไปด้วยกันกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าก็จะชื่นใจ พระเยซูก็จะชื่นใจ พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ต้นไม้และผลของมัน (วิญญาณภายในและผลของมัน)

 

มัทธิว12:33-37 “33“จงทำให้ต้นไม้ดีและได้ผลดี หรือทำให้ต้นไม้เลวและได้ผลเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในดีก็จะส่งผลดี คือเชื่อฟังพระเยซูถ้าวิญญาณภายในเลวบาปชั่วก็จะส่งผลเลว คือต่อต้านปฏิเสธเป็นศัตรู) 34 โอ พวกชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร? ด้วยว่าปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจ (โอ้มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัมท่านทั้งหลายเป็นคนบาปคนชั่วในวิญญาณ จะพูดยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเราต่อต้านความดีของพระเจ้า) 35คนดีก็เอาของดีมาจากคลัง แห่งความดีในตัวของเขา  คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลัง แห่งความชั่วในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าคำที่ไม่เป็นสาระทุกคำ ซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบถ้อยคำ เหล่านั้นในวันพิพากษา (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่ท่านพูด เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป)  37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด หรือถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน” (ฉันนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาป ที่อยู่ในตัวท่านในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

 

พระเยซูเท่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนวิญญาณของท่าน จากต้นไม้เลว ให้เป็นต้นไม้ดีได้

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1315

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 49

โดย วราพร   คงล้วน

 

เดือนที่แล้ว เราจบลงในหนังสือลูกา 2:23 บอกไว้ว่า …

ลูกา 2:23 “ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นบุตรที่ถวายแด่พระเจ้า”

 

อันนี้เป็นกฎที่พระเจ้าให้มาตั้งแต่สมัยโมเสส ที่มีกำหนดอะไรเยอะแยะมากมาย เขาเรียกว่าบทบัญญัติ และบทบัญญัติตรงนี้ บอกว่าบุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก หรือแม้แต่สัตว์ทุกตัวที่เบิกครรภ์ครั้งแรก พระเจ้าถือว่าเป็นของพระองค์ ต้องนำมาถวาย คนอิสราเอลก็ทำตามมาตลอด  ตรงนี้เป็นเวลาที่พระเยซูคริสต์ได้กำเนิดมาแล้ว 8 วัน มารีย์กับโยเซฟก็นำพระเยซูมามอบถวายในพระวิหารของพระเจ้า

ถ้าเราประมวลภาพทั้งหมด เราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมายที่ได้ทรงประทานความรอดให้กับมนุษยชาติ จากเริ่มต้นเลยที่เราเรียนรู้มา พระเจ้าทรงสร้างโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสร้างอาดัม เอวา พระเจ้าสร้างให้เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเพี้ยน  100% เลย บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด  มีวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า  ก็คือถือว่าอาดัม เป็นคนชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย  แต่เมื่ออาดัมดื้อกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ไปเชื่อฟังการหลอกล่อของมารปุ๊บ ตามที่พระเจ้าได้บอกอาดัมไว้ ก็คือมันเป็นกฎ เป็นคำสั่ง ที่พระเจ้าบอกว่า …

“ถ้าเจ้ากินผลไม้จากต้นนี้เมื่อไร? เจ้าจะตาย”

ถ้าเราเชื่อฟังพระเจ้า เราก็เชื่อฟังตามกฎที่พระเจ้าบอกไว้ อาดัมเชื่อฟังพระเจ้า อาดัมก็จะไม่ตาย แต่ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอาดัมไม่เชื่อฟัง อาดัมไปเชื่อฟังมารที่หลอกล่อ ทำให้ล้มลงในความบาป  นั่นแหละความบาปครั้งแรกที่ได้เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ที่อาดัมขายพวกเราให้เป็นทาสของมาร  เริ่มต้นเลยนะ

ในพระคัมภีร์บอกว่าจากตรงนั้น วิญญาณของพระเจ้าไม่อยู่กับอาดัมแล้ว คือจากที่อาดัมมีวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า  ตอนนี้ไม่มีแล้ว วิญญาณของอาดัมกลายเป็นวิญญาณบาป ที่กำลังเดินไปสู่ความตาย ถึงกระนั่น วิญญาณที่ยังเป็นอยู่ เดินไปสู่ความตายนี้ ก็ยังเป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนเดิม อันนี้น่ากลัว  ถ้าวิญญาณที่เดินไปสู่ความตาย แล้วก็ไม่นิรันดร์ ก็แค่อยู่บนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ได้  จบโลกใบนี้ ทุกอย่างก็จบ อันนั้น ง่าย แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์บอกว่ามันไม่ใช่ วิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณนิรันดร์  เมื่ออาดัมขายเราให้เป็นทาสของบาป  ทาสของมารปุ๊บ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาหลังจากอาดัม เป็นวิญญาณบาปหมดเลย

จนถึง ณ วันที่พระเจ้าให้โมเสสเขียนบทบัญญัติ บอกโมเสสว่าเอามาให้มนุษย์ทำนะ ถ้าใครทำได้ ก็จะดูเหมือนตัวเองชอบธรรมมาบ้าง แต่มันทำไม่หมดอยู่แล้ว  กฎเหล่านี้ทำให้มนุษย์เรียนรู้ว่ากฎว่าอย่างนี้ ถ้าเราข้ามเส้น ก็เท่ากับเราละเมิดกฎ ประมาณนั้น  แต่ถึงกระนั้น ตั้งแต่ที่อาดัมล้มลงในความบาป  มนุษย์ไม่มีทางเลือกเลย  ก็คือทุกยุคทุกสมัย  เกิดมาก็อยู่ในธรรมชาติบาปของอาดัม  ซึ่งไม่ว่ามนุษย์จะดิ้นรนขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความบาปนี้ได้ ไม่ว่าเขาจะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย  พยายามให้ครบถ้วนสมบูรณ์ มันก็ไม่ครบถ้วนอยู่นั่นแหละ เพราะมนุษย์เป็นคนบาป

เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป  เอาเชื้อบาปเข้ามาในโลกใบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็วางแผนที่จะส่งพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมา เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป  สามารถเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนเดิมได้  พระเจ้าเขียนเอาไว้อย่างนั้น  แล้วในหนังสือลูกาตรงนี้ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษยชาติ หรืออีกนัยหนึ่งที่เราเรียนรู้ในพระคัมภีร์ พระเจ้าเลือกชนเผ่าหนึ่ง คือชนชาติอิสราเอลมาเป็นเหมือนเงาที่บอกให้เราเห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะทำอะไรให้กับมนุษยชาติ ไม่ใช่เฉพาะอิสราเอลเผ่าเดียว กลุ่มเดียว ชนชาติเดียว  แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้ ก็คือเพื่อมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้จะได้สามารถหลุดพ้น จากบาปได้

และถึงตรงนี้  พระผู้ช่วยให้รอดได้ถูกส่งมาแล้ว เกิดแล้ว แต่ว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เดินไปถึงจุดที่พระเจ้าให้ทำการงานของพระองค์ คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย เพราะฉะนั้น คนอิสราเอลหรือคนยิวในยุคนี้ ยุคที่เราเรียนพระคัมภีร์อยู่ ทุกคนก็รอคอยพระมาซีฮาห์ว่า …

“พระมาซีฮาห์ พระเจ้าบอกไว้แล้วว่าพระองค์จะส่งมา เพื่อช่วยพวกเราให้รอด พ้นจากบาป”

แล้วเขาก็รอ คอยทุกยุคทุกสมัย  คอยมาจนเขาก็ไม่รู้ว่าพระมาซีฮาห์มาถึงแล้วยัง พอถึงตอนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้  หลายคนก็ไม่เชื่อว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์จะมาช่วยเขาให้รอดพ้นจากบาป  ให้เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้

ฉะนั้น ในยุคของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นพระเยซูคริสต์ทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย  ก็มีเหตุผลเดียว คือเพื่อยืนยันตัวพระองค์เองให้กับคนยิวได้รับรู้ว่า …

“ฉันไง ฉันเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยพวกเธอให้รอด” ก็แค่นั้นเอง

พอถึงตรงนี้ มารีย์กับโยเซฟนำพระเยซูมามอบถวาย ทำพิธีเข้าสุหนัต แล้วก็ทำตามบัญญัติสมัยก่อน มันยุ่งยากมาก เรามาดูข้อที่ 24 …

ลูกา 2:24 “และถวายของบูชาตามที่ได้ตรัสสั่งไว้แล้ว ในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้า คือนกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว”

 

อันนี้เบาะๆ นะ ถวายแค่นี้ นกเขาคู่หนึ่งกับนกพิราบหนุ่ม 2 ตัว คือเด็กเกิดใหม่ แล้วชนชาติอิสราเอลยังมีพิธีกรรมมอบถวายเยอะแยะมากมาย ที่โมเสสเขียนไว้  ทำผิดอย่างนี้ ต้องเอาอะไรมาถวาย? ต้องไปกักตัวเอง ออกข้างนอก โดยที่เข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าไม่ได้ คือกฎเกณฑ์เยอะมาก แล้วคนอิสราเอล ก็พยายามที่จะทำตามกฎเกณฑ์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกธรรมจารย์และพวกฟาริสี  พวกผู้รู้ทั้งหลาย  รู้กฎเยอะ ก็พยายามจะทำให้ตัวเองชอบธรรม โดยปฏิบัติตามกฎทุกประการ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่สามารถทำได้ทุกประการ  พระเยซูก็บอกแล้ว …

“อย่างไรเธอก็ทำไม่ได้หรอก”

พอทำได้มากกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง  ก็มีความรู้สึกว่าฉันชอบธรรมมาก ก็ไปเบ่งทับคนอื่น ไปจี้คนอื่น  ไปบีบบังคับคนอื่นให้ทำตามอย่างที่ตัวเองต้องการ  เรามาดูข้อที่ 25 …

ลูกา 2:25-32 “25 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และคอยเวลาซึ่งพวกอิสราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตกับท่าน 26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านว่าท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ของพระเป็นเจ้า 27 สิเมโอนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร โดยพระวิญญาณทรงนำ และเมื่อบิดามารดาได้นำพระกุมารเยซูเข้าไป เพื่อจะกระทำแก่พระกุมารตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ 28 สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า 29 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ 30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว 31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย 32 เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”

 

ในสมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาสิ้นพระชนม์  และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้อยู่ข้างในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานเฉพาะกิจ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงให้ใคร? คนไหนไปทำอะไร? พระวิญญาณก็จะทำงาน  แล้วเชื่อว่าสิเมโอนเหมือนกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้คุยกันเขาว่าพระผู้ช่วยให้รอดมาเกิดแล้วนะ  ซึ่งเขารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ เขาเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเขา แล้วเขาก็เฝ้ารอคอยวันนั้นแหละว่าเมื่อไร พระผู้ช่วยให้รอดจะมา  พระเจ้าก็สัญญากับเขาด้วยว่าตาเขาจะเห็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่เขาจะตาย อายุเขาเยอะแล้ว เขาก็รอคอย จนวันที่เขาได้เห็นพระเยซูคริสต์ในพระวิหาร ข้างในใจเขาเชื่อเลยว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าได้ส่งมา เขาได้เห็นแล้ว เขามีความสุขแล้ว  แม้ว่าเขาจะต้องตาย เขาก็แฮปปี้มาก ก็คือได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าบอกว่าจะเป็นสว่าง ส่องให้กับทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้รับความรอด  โดยทางพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าใหญ่เลย  ก็คือพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับชนชาติอิสราเอล แล้วเขาได้เห็นแล้ว เขามีความสุข

ลูกา 2:33 “ฝ่ายบิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงพระกุมารนั้น”

 

คนสมัยนั้น คนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  หลายเรื่องที่เขาได้ยินได้ฟัง เขาก็งงอยู่ อย่างมารีย์กับโยเซฟจริงๆ ไม่น่างง แต่เขาก็ยังงง เหมือนกับพวกเรา เมื่อเราเชื่อพระเจ้า หลายสิ่งที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เราก็ไม่เข้าใจ หลายสิ่งเราก็งง  แต่สิ่งที่พวกเราทำในยุคปัจจุบัน ที่พระเจ้าบอกว่าอะไรก็ตามที่พระองค์ได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า  เป็นคำสัญญาของพระองค์ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม เห็นหรือไม่เห็นก็ตาม สัมผัสจับต้องได้หรือไม่ได้ก็ตาม งงๆ อย่างไรก็ตาม เราจะเชื่อตามนั้นเลย  เพราะว่ามันเป็นการสำแดงให้เห็นว่าเราเชื่อฟังพระองค์อย่างไม่มีข้อแม้ เราจะเอเมนกับพระองค์ในทุกๆ เรื่องที่พระองค์บอกว่าพระองค์ได้ให้กับพวกเราแล้ว

ก็เหมือนกับสิเมโอน เขาก็เอเมนกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกเขาแล้วว่าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมา ก่อนที่เขาจะตาย  เมื่อเขาได้เห็นแล้ว เขาก็ชื่นชมยินดีมาก เขาได้สรรเสริญพระเจ้า  แม้ว่ามารีย์กับโยเซฟจะงงขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับชนชาติอิสราเอล แล้วก็มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

ลูกา 2:34-35 “34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์  มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลง หรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญ ซึ่งคนปฏิเสธ 35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมาก จะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเอง ก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”

 

สิเมโอนได้พูดใน  ลักษณะเหมือนเผยพระวจนะในอนาคตข้างหน้า คืออนาคตตรงนี้มันใกล้มากเลย เพราะว่าพระเยซูมาประสูติแล้ว ก็อีกประมาณ 30 ปีข้างหน้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อมนุษยชาติบนไม้กางเขน เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งมนุษย์ฟังแล้วไม่เข้าใจ  แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ จะทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งสะดุด ซึ่งรับไม่ได้ เหมือนกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เมื่อได้ยินคำสอนของพระเยซูคริสต์ เขารับไม่ได้ ตั้งแต่อาดัมจนมาถึงยุคนี้  ยุคที่พระเยซูเกิดมาแล้ว มนุษย์ก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์เดียว  คือพันธุ์บาป  มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป เราเกิดมาบาป หลังจากนั้น เราก็ทำบาป เกิดมาเป็นเลย เป็นเหมือนอาดัม บรรพบุรุษของเราเลย  ก็คือเป็นบาปเลย  แล้วมนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง ไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหน? ยึดถือกฎบัญญัติมากขนาดไหน? ตั้งใจมากขนาดไหน?  ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นคนบาปของเราได้  เปลี่ยนไม่ได้ เราเห็นคนบาปที่ทำความดี มีเยอะแยะ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติบาปของมนุษย์ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้  เพราะพระเจ้าบอกไม่มีใครชอบธรรมเลย เพราะไม่มีใครสามารถทำได้ 100% ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้

พอพระเยซูคริสต์มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้าปุ๊บ ข่าวดี คือเมื่อก่อนมนุษย์ไม่มีทางเลือก มีทางเลือกเดียว คือเกิดมาเป็นคนบาปเลย ดิ้นรนอย่างไร ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี พอพระเยซูมาเสนอทางเลือกใหม่ ก็คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติบนไม้กางเขน  และพระเยซูคริสต์ได้ถูกฝังในอุโมงค์ แล้วพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี  ทำให้มนุษย์ใครก็ได้บนโลกใบนี้  ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ  เขาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย  ซึ่งมันง่ายเกินไป  ง่ายจนมนุษย์ยอมรับไม่ได้ อะไรจะง่ายเว่อร์ขนาดนั้น  ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ แค่เชื่อก็เป็นผู้ชอบธรรมเลยเหรอ แค่เชื่อ ก็หลุดพ้นจากบาปเลยหรือ?  แค่เชื่อ ก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์เลยหรือ? แค่เชื่อก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยหรือ? แค่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยหรือ?  เป็นทุกสิ่งที่พระเยซูคริสต์เป็น  ซึ่งเรื่องนี้ มันมีวิธีเดียวที่เราจะสามารถรับได้ ก็คือรับด้วยความเชื่อ เชื่อเท่านั้น

เชื่อทั้งๆ ที่เราไม่เข้าใจ … เชื่อทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น … เชื่อทั้งๆ ที่มือเราสัมผัสจับต้องไม่ได้  … เชื่อทั้งๆ ที่บางทีข้างในเราก็ยังงงๆ อยู่เลย แต่ว่าเราเชื่อไง พระเจ้าว่าอย่างไร เราเอเมนตามนั้น  พระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ บนไม้กางเขน  ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่ยกเว้นคนอิสราเอล คนอิสราเอลเขาคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า เขาไม่ต้องกลับใจใหม่  ไม่จริงนะ ก็คือทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ เพื่อเขาจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า  ก็คือเปลี่ยนจากที่เราเคยพึ่งในการประพฤติของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง  มาพึ่งในความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ แล้วก็มนุษย์ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้เลย ก็คือเกิดมาเป็นไง เราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?  เป็น 2 อย่างในคนเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้

ไม่ได้แล้วต้องทำอย่างไร? วิธีการของพระเจ้า ก็คือต้องตาย  ถ้าไม่ตาย ก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้  ฉะนั้น มนุษย์มีสิทธิ์เลือก ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ถ้าเชื่อว่า …

“พระเจ้าบอกลูกเชื่อนะ อยากจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะว่าลูกเหนื่อยมากเลย  ทำมาตลอดทั้งชีวิต พยายามทำ”

บางทียิ่งพยายามมากเท่าไร? ก็ยิ่งเละมากเท่านั้น คือมันไม่ได้ไง  แล้วก็ทำเหนื่อยมาก เหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ทัน  ไม่เอาดีกว่า พระเจ้าบอกว่า …

“มาเชื่อพระองค์สิ  แล้วพระองค์จะทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข”

แล้วเราก็บอกกับพระเจ้าเลย … “พระเจ้า ลูกอยากได้อย่างนั้น ก็คืออยากหายเหนื่อย อยากเป็นสุข”

จริงๆ แล้ว พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่สุภาพมาก  พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลยนะว่าต้องเชื่อ  พระเจ้าให้สิทธิ์สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ที่จะตัดสินใจ เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่า …

“ไม่เอาแล้ว เราไม่พึ่งตัวเองแล้ว เราไม่พึ่งบทบัญญัติแล้ว เราจะพึ่งพระเยซูคริสต์”

ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็จะเอาวิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาปของเรา  เข้าไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเริ่มทำงาน  โดยผ่าตัดเอาวิญญาณเก่าของเราออกมา แล้วเข้ามาฝังอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ พอพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ถูกตรึงด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกฝัง เราซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ สง่าราศี  เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย

พระเยซูได้แบ่งวิญญาณของพระองค์มาให้กับเรา เป็นวิญญาณเดียวกัน พระเจ้าให้เราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยสง่าราศี เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  บัดนี้ ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อเอา คริสเตียนทุกคนต้องใช้ความเชื่อเอา  มองไม่เห็นหรอกว่าเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ถ้าใช้เหตุผล ความคิดของมนุษย์ คิดให้สมองแตก คิดไม่ออกหรอก คิดอย่างไรก็คิดไม่ได้

แต่ถ้าเราใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เราจะเห็น แล้วยิ่งเราจดจ่ออยู่ หรือภาวนาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำ เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว  ทุกวัน หลายคนอาจจะคิดว่าน่าเบื่อจัง ซ้ำซาก พูดเรื่องนี้ทุกวัน  แล้วยังให้พูดเองทุกวันอีก ตื่นขึ้นมาบอกตัวเองอีกว่า …

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นความชื่นชมยินดี ฉันบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของฉันได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ตอนนี้วิญญาณของฉันใหม่เอี่ยม ถอดด้ามเลย เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น อันนี้สำคัญ ทำบาปไม่เป็น บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว วิญญาณบาปเราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเจ้า เป็นขึ้นมาใหม่

วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ ต่อให้ใครมาหลอกลวงอะไรเรา …

“เธอทำอย่างนี้นะ  เธอไม่รอดแน่ๆ เลย เธอไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า”

เราก็ต้องยืนยันกลับไปว่า … “ไม่จริง”

ต่อให้พฤติกรรมเราหลงบ้าง? อนุญาตให้อวัยวะของเราในร่างกายนี้ ให้ถูกล่อลวงไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก หรือที่เขาเรียกว่าดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ไม่สมควร น่าเกลียด ไปอิจฉาไปโกรธ ไปอะไร ต่อให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าวิญญาณเราสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด  วิญญาณเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่มีใครย้ายเรา เคลื่อนไปที่ไหนได้อีกแล้ว เราอยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ณ บัดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องยืนยัน บอกตัวเองเลยว่า …

“ฉันเป็นใคร?  ตอนนี้ฉันอยู่ตรงไหน?  ตอนนี้ฉันเป็นอย่างไร? ตอนนี้ฉันกำลังพัฒนาความเป็นลูกพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นแสงสว่าง เป็นความดี เป็นความชื่นชมยินดี เป็นอะไรที่พระเจ้าบอกเรา ฉันมีอยู่แล้วนะ”

คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ทุกอย่างที่เป็นของพระเยซูคริสต์ มันอยู่ในเราแล้ว มีแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในเราแล้ว  เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป  เราก็จะไม่ถูกหลอก ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา  ไม่ขอแล้ว การขอ ก็คือเราโดนหลอก พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว  แล้วเราก็โดนหลอกว่า …

“เธอขอสิ ขอให้พระเจ้ามาสถิตกับเธอ”

ทันทีที่เราพูดว่า … “ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา”

แปลว่าเราไม่เชื่อใช่ไหมที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว  เหมือนเรากำลังพูดต่อต้านถ้อยคำของพระเจ้า โดยที่เราไม่รู้ตัว มารมันแอบ แอบเข้ามาลัก ฆ่า ทำลาย ลักเอาสิ่งที่เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วก็หลอกเราว่า …

“มันยังไม่เป็นนะ ขอสิ”

แล้วเมื่อไรที่เราตกหลุมพราง เราไปเชื่อมาร เราไปขอไง …

“พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์สถิตอยู่ด้วยกับลูก”

กลายเป็นว่าเราไม่เชื่อแล้ว ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในเรา ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ เราเข้าสู่ขบวนการบังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่ต้องขอ เราได้ไปแล้ว

ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเอง เพราะเราถูกหลอกมานาน เราก็เคยชิน  เหมือนกับทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน เราจะลากัน  เราก็จะบอกว่า …

“ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ”

ความหมายแปลว่าพระเจ้ายังไม่ได้อวยพรเรา เราต้องขอ จริงหรือไม่? มันจริงนะ แปลว่าเราโดนหลอกว่าพระเจ้ายังไม่ได้อวยพรเราเลย เราต้องขอ

ฉะนั้น ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเอง ที่เราจะไม่อนุญาตให้ปากของเรา เป็นเครื่องมือของมาร หรือของโลกนี้ หรือการโกหกหลอกลวง  หลอกให้เราพูดคำว่า “ขอพระเจ้าอวยพร” เราก็จะตัดคำว่า “ขอ” ออก เพราะพระเจ้าอวยพรเราอยู่แล้ว  เราก็จะใช้คำว่า …

“พระเจ้าอวยพรค่ะ”

คนที่ได้ยิน ก็ “เอเมน”

เอเมน แปลว่าใช่เลย เป็นความจริงตามนั้น พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอวยพรเราแล้ว เรารับเอา ด้วยความเชื่อ

นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ซึ่งหลายครั้งเราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมันไม่ค่อยสำคัญอะไรเท่าไร? มารมันก็หลอกเรา ไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่สำคัญ ให้พูดไป  พูดไป เท่ากับเรากำลังพูดคนละแบบกับที่พระเจ้าบอกว่าเรามีแล้ว  เราเป็นแล้ว  อันนี้สำคัญ

ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท เป็นอิสรภาพ เราจะมีอิสรเสรีที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยพระคุณ ความรัก ความเมตตาที่พระองค์ได้ให้กับเรา เป็นของขวัญเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนแพ็กเกจ คือเมื่อเรากลับใจใหม่ปุ๊บ พระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกๆ คน มาเป็นชุดเลย ซึ่งเราไม่ต้องขอแล้ว  ถ้าเปรียบเหมือนเราไปเที่ยวทัวร์ เราต้องศึกษาว่าแพ็กเกจของทัวร์ เขามีอะไรให้กับเราบ้าง? เราจะได้รับรู้ ถ้าแพ็กเกจของทัวร์เราเสียตังค์เยอะ เขามีบริการทั้งที่พัก ทั้งพาเราเที่ยว ทั้งอาหาร 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น  เราต้องรับรู้ ถ้าเราไม่รับรู้ เราก็จะตกลงเช้านี้ เราจะไปกินอะไร เราก็วิ่งไปหาของกิน พอตอนเที่ยง เราจะกินอะไรดี ก็ต้องวิ่งไปหาของกินอีก ซึ่งในแพ็กเกจทั้งหมดบอกเราเรียบร้อยไปแล้ว เธอไม่ต้องไปวิ่ง เธอไปเดินเที่ยวให้สบายใจ ถึงเวลา เธอก็เดินมาที่โรงอาหารของโรงแรม แล้วเธอก็เดินเข้าไปกินเลย สง่าผ่าเผย เพราะว่ามันอยู่ในทั้งหมดที่ครอบคลุมไปเรียบร้อยแล้ว

ความจริงในโลกวิญญาณ จะทำให้เรารับรู้สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พอเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งที่เราต้องทำ คือไม่ได้ขอ แต่พัฒนาความเป็นลูกของพระเจ้าให้เด่นชัดขึ้น  เพื่อเราจะได้สำแดงการเป็นลูกของพระองค์ออกไป

แล้วเราจะพัฒนาได้อย่างไรในแต่ละวัน ถ้าเรามัวแต่สนใจเรื่องสัพเพเหระ วุ่นวายบนโลกใบนี้ สมองเราไม่มีพอที่จะมาจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้อะไรกับเราบ้าง? ไม่ได้หมายความพี่น้องไม่สามารถไปจดจ่อข่าวสารอะไรเลย ไม่ใช่  คือเราสามารถที่จะรับรู้ได้ สามารถที่จะฟังได้ แต่ไม่ได้ใช้เวลาเยอะเกินไป สมมติเราเอา 8 ชั่วโมงไปนอน อีก 16 ชั่วโมง ที่เราตื่นอยู่ ถ้าเราใช้เวลาสัก  14 หรือ 15 ชั่วโมงไปจ่ออยู่ที่ข่าวสารว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? โควิดเป็นอย่างไร? ตอนนี้คนนี้เป็นอย่างไร? คนนั้นฆ่าใคร?  หมดไปหนึ่งวัน  เหลือเวลานิดหนึ่งมาดูว่าพระเจ้าให้อะไรเรา  มันก็ซกๆ ไง แล้วเราก็จะได้นิดหนึ่ง บางทีที่ได้ๆ ยังโดนหลอกอีก อะไรอย่างนี้ ฉะนั้น เราก็จะไม่ได้เป็นอิสระ

พี่น้องถามใจตัวเอง ถ้าเราเสพข่าวร้ายทุกวัน  เรามีความสุขไหม? ไม่มีความสุขนะ วิตกจริตไปทุกเรื่อง ใช้ชีวิตปกติไม่ได้ เราก็จะคอยเงี่ยหูฟังว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้ใครว่าอย่างไร? เยอะแยะมากมาย ให้พี่น้องหันกลับมาหาพระเจ้าดีกว่า ตอนนี้พระเจ้าพูดกับเราเรื่องอะไร? พระเจ้ากำลังบอกเราเรื่องอะไร?  ซึ่งอันนั้นจะทำให้เรารับรู้ว่าธรรมชาติของพระองค์เป็นอย่างไร? พอเรารับรู้เยอะๆ เราเรียนรู้เยอะๆ มันจะส่งผลออกมาเองว่านี่คือธรรมชาติของเรา แล้วมันจะส่งผลให้คนรอบข้างได้เห็นพระคริสต์ในชีวิตของเราด้วย

นึกถึงภาพตอนนี้ใน Holy Word พาสเตอร์นคร ก็พูดถึงเรื่องทาร์ซาน … ทาร์ซานเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะส่อให้เราเห็นสิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ ก็คือทาร์ซานถูกลิงเอาไปเลี้ยง  แล้วก็มีบุคลิกทุกอย่างเหมือนลิง แต่พอเขาได้กลับมาสู่ครอบครัวของตัวเอง  ก็คือเขาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้ลิงเอาไปเลี้ยงนานแค่ไหน? เขาก็ยังเป็นมนุษย์ พฤติกรรมเขาอาจจะแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ แต่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นมนุษย์ ฉะนั้น วิธีที่จะทำให้ทาร์ซานรับรู้ว่าเธอเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ลิงนะ ทำอย่างไร? ก็ต้องบอกทาร์ซานให้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้ เขาเดิน เขากินเป็นระเบียบเรียบร้อย บอกไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ให้เขารับรู้ถึงธรรมชาติของตัวเองว่าเขาเป็นอย่างไร? เมื่อเขารับรู้ยิ่งมากเท่าไร? เขาก็ยิ่งจะพัฒนาบุคลิกของเขาให้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์มากขึ้น จากการที่เดินไม่ค่อยเป็น เวลาลิงเดิน จะเดิน 2 ขาและใช้มือปัดไปเรื่อยๆ จากเดินเร็ว เขาก็จะเดินช้าลง เดินให้เป็นแบบคนมากขึ้น ไม่ตัวงอ แต่ตัวตรงขึ้น อะไรอย่างนี้

ก็คือรับรู้ถึงธรรมชาติ ความเป็นคนของเขา แล้วเขาก็จะพัฒนาบุคลิกของเขาให้เป็นเหมือนคนมากขึ้น  คนอื่นมาเห็น ทาร์ซานไม่ใช่ลิงนะ เขาเป็นคน มองเห็นแล้ว เริ่มเห็นภาพลางๆ ว่าเขาเป็นคนแล้วนะ เริ่มแต่งตัวดีขึ้น เริ่มคุยกันรู้เรื่อง ในทางของพระเจ้า เหมือนกันเลย  ธรรมชาติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราจะเป็นอย่างนั้น  แต่ใหม่ๆ เนื่องจากเราไปคลุกคลีกับธรรมชาติบาปนานจนเกินไป มันเป็นพื้นฐานตั้งแต่เริ่มแรก เรามีวิธีที่จะทำให้ธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า สำแดงให้ผู้คนได้เห็นมากขึ้นทุกวันๆ  โดยเรารับรู้ธรรมชาติของพระเจ้าได้มากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงออกได้มากเท่านั้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เหมือนมนุษย์ คน เกิดมาเป็นคน สมมติเรามีลูกคนหนึ่ง เกิดมาเป็นลูกเรา เด็กเกิดมาตัวแดง ดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์มนาเท่าไร? บางทีตัวเหี่ยว แต่ว่าเขาก็เป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ ก็จะมีการพัฒนา แม้จะช้า แต่มันมีระบบของการพัฒนาของเด็ก จากทารกก็จะค่อยๆ พัฒนา รับรู้มากขึ้น จากที่เราเห็นทารกทำเป็น แค่ร้องไห้ กิน นอน ฉี่ แล้วก็อึ แค่นั่นเอง  คือใหม่ๆ เขาจะทำได้แค่นั้น  แล้วก็จะพัฒนามากขึ้น เขาเริ่มพลิกตัว เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการลุกขึ้นมานั่ง  นั่งใหม่ๆ อาจจะเหมือนตุ๊กตาล้มลุก นั่งปุ๊บ ก้นกลมๆ ก็จะหัวทิ่มลงไป แต่เขาก็จะค่อยๆ พัฒนา  แล้วเขาก็จะนั่งได้ดีขึ้น  แล้วจากการนั่ง เขาก็เรียนรู้เริ่มจะคลาน เริ่มจะตั้งไข่ เริ่มจะเดิน  เริ่มจะวิ่ง เริ่มจะพูด พูดแรกๆ ภาษาแปลกๆ ผู้ใหญ่ฟังไม่รู้เรื่อง  แต่พอเขาพัฒนาการพูด  เขาพัฒนาได้อย่างไร? เขาฟังจากพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างนี้  เขาก็ฝึก วิธีการพูดเป็นแบบนี้

ฉะนั้น การพัฒนาเหมือนกัน  ต่อให้เด็กคนนั้นยังไม่สามารถรับรู้เรื่องราว หรือบางคน เรียกว่าพัฒนาการช้า ไม่ทันคนอื่น เด็กคนอื่นป่านนี้วิ่งแล้ว  คนนี้ยังยืนไม่เป็นเลย แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขา คือคน เป็นลูกคน แล้วเขาจะพัฒนาขึ้นมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นทุกวันๆ

เหมือนกันในโลกวิญญาณพระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย  แต่เนื่องจากความคิด หรือร่างกายของเราทั้งหมดยังอยู่บนโลกใบนี้  อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โอกาสที่เราจะแถไปเชื่อฟังการหลอกล่อของระบบบนโลกใบนี้ มันมี และอีกอย่างหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ พระเจ้าอนุญาตให้เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว ร่างกายเราที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้ายังอนุญาตให้เรามีสิทธิ์เลือกเดินในแต่ละวันว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังทำตามพระเจ้า หรือเลือกที่จะเชื่อฟังการหลอกล่อของโลกใบนี้ หรือเชื่อฟังสิ่งที่แอบแฝง พยายามดึงเราให้ทำเหมือนเดิม ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า  พฤติกรรมเดิมๆ พระเจ้าให้สิทธิ์เราในการเลือก

ฉะนั้น ถ้าเราเลือกทำตามพระเจ้า พระเจ้าก็ชื่นใจ เพราะว่าเราได้รับผลดี แต่ถ้าวันนี้เลือกที่จะดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราจะไปเชื่อฟังการหลอกลวงของระบบของโลกใบนี้  หรือการล่อลวงที่อยู่บนโลกใบนี้  เราก็แถไป พอแถไปปุ๊บ พระเจ้าก็เสียใจ  มีคำหนึ่งที่บอกว่าพระเจ้าอนุญาต หลายคนก็มักจะถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เรื่องโน้นเรื่องนี้เกิดขึ้น คำว่า “อนุญาต” หมายความว่าพระเจ้าให้เสรีภาพมนุษย์ในการตัดสินใจ  แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว หรือไม่เชื่อก็ตาม พระเจ้าให้เสรีภาพเราในการตัดสินใจ  ถ้าเดิมทีเราเป็นคนบาป เราตัดสินใจเลือกที่จะมาเชื่อฟังพระเจ้า เราก็ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม แต่ถ้าเราตัดสินใจไม่เชื่อพระเจ้า …

“ฉันจะทำด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะใช้กำลัง ความสามารถ สติปัญญาทุกอย่างของฉัน เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม”

พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพระเจ้าอนุญาต แต่ถามว่าพระเจ้าต้องการไหม? พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ แม้แต่คนหนึ่งคนใดต้องพินาศ แต่พระเจ้าก็ไม่จับมนุษย์มัดเอาไว้ แล้วบังคับให้มนุษย์ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

อันนี้ชัดเจนมากเลยนะ ถ้าพี่น้องรับรู้ตรงนี้ปุ๊บ เราเป็นอิสระมากเลย เราก็เรียนรู้ที่จะแยกแยะแล้ว ตอนนี้เรารับรู้แล้วว่าอันนี้ ถ้ามันไม่ได้ตรงกับที่พระเจ้าบอกเรา เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า พอเรารับรู้มากเท่าไร? อันนี้ไม่ดี  ไม่โอเคเลย เราไม่เอาดีกว่า เราเลือกที่จะมาทางพระเจ้าดีกว่า แต่ว่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องยอมรับอันหนึ่ง เราก็เหมือนเด็ก ล้ม ลุก คลุก คลาน หัวทิ่มหัวตำ แต่ไม่ว่าหัวทิ่มหัวตำอย่างไร? ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่ได้ พี่น้องต้องชัดเจน ตรงนี้ เพื่อว่าเราจะได้มีอิสระเป็นไทจริงๆ  ที่เราจะได้ไม่โดนหลอกด้วยคำพูดสวยงาม  หรือด้วยเหตุผลอะไรทั้งหมดที่โลกนี้นำเสนอให้กับเรา  ดูเหมือนเหตุผลจะดี แต่ว่าถ้ามาเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันไม่ใช่นี่หน่า ถ้าไม่ใช่ เราจะไม่เอเมน ถ้าพระเจ้าเปิดให้เราเห็นแล้วว่าอะไรที่ไม่ใช่  เราก็จะไม่เอเมนตาม ถ้าเราเอเมนตาม แปลว่าเราเห็นด้วย ไม่เอเมนๆ

อะไรที่ตรงตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอก เราเอเมนได้เลย เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระองค์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เราสามารถเอเมนตามพระเจ้าได้เลย ขอบคุณพระเจ้า

ลูกา 2:36-39 “36 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่ง ชื่ออันนา บุตรีฟานูเอล ในเผ่าอาเชอร์ นางเป็นคนชรามากแล้ว มีสามีตั้งแต่สาวๆ และอยู่ด้วยกันเจ็ดปี 37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากบริเวณพระวิหารเลย อยู่นมัสการถืออดอาหาร และอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน 38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ ก็เข้ามาโมทนาพระเจ้า และกล่าวถึงพระกุมาร ให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง 39 ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้กระทำการทั้งปวง  ตามธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าเสร็จแล้ว  จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธ เมืองของตนในแคว้นกาลิลี”

 

มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะ คือเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว แต่ว่าเขาเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญากับเขาไว้ว่าพระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับเขา เขาเลยเฝ้ารอคอยจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มา เขาก็ชื่นชมยินดี โมทนา ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเขาเชื่อตามนั้น

พอเสร็จจากการทำพิธีกรรมทั้งหมด มารีย์กับโยเซฟก็พาพระเยซูกลับ

ลูกา 2:40-52 “40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน 41 ฝ่ายบิดามารดาเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในเทศกาลปัสกาทุกปีๆ 42 เมื่อพระกุมารมีพระชนม์สิบสองพรรษา เขาทั้งหลายก็ขึ้นไปตามธรรมเนียมในเทศกาลนั้น 43 เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป พระกุมารเยซูยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายบิดากับมารดาก็ไม่รู้ 44 แต่เพราะเขาทั้งสองคิดว่าพระกุมารนั้น อยู่ในหมู่คนที่มาด้วยกัน เขาจึงเดินทางไปได้วันหนึ่ง แล้วเริ่มหาพระกุมารในหมู่ญาติพี่น้องและพวกคนที่รู้จักกัน 45 เมื่อไม่พบจึงกลับไปเที่ยวหาที่กรุงเยรูซาเล็ม 46 ครั้นหามาได้สามวันแล้ว จึงพบพระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่ 47 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น 48 ฝ่ายบิดามารดาเมื่อเห็นแล้ว ก็ประหลาดใจ มารดาจึงว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก” 49 พระเยซูจึงตอบว่า “ท่านเที่ยวหาฉันทำไม ท่านไม่ทราบหรือว่าฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน50 ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำ ซึ่งท่านกล่าวแก่เขา 51 แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา ไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้การปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ 52 พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย”

 

ตรงนี้เราจะเห็นภาพคนอิสราเอลสมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาทำภารกิจสำเร็จ  ก็คือยังอยู่ในกฎบัญญัติ มารีย์กับโยเซฟต้องพาพระเยซูมาที่กรุงเยรูซาเล็มทุกปี เพื่อถวายเครื่องบูชา เพื่อกลบเกลื่อนบาปของตัวเองทุกปี คนอิสราเอลต้องทำอย่างนี้หมด พอพระเยซูอายุ 12 ปีพามาเหมือนเดิม ปรากฏว่าพอเสร็จงาน ขบวนของนางมารีย์กลับบ้าน พระเยซูไม่กลับด้วย  มาถกถ้อยคำของพระเจ้าที่พระวิหารของพระองค์ นางมารีย์ก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เหมือนเดิมนั่นแหละ ถามพระเยซูว่า

“ทำอย่างนี้ได้อย่างไร? หากันแทบตายกว่าจะเจอ”

พระเยซูพูดว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะต้องอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า”

เป็นคำเผยพระวจนะ หรือการบอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า พระองค์ คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา ทำการงานของพระองค์ให้สำเร็จในอนาคตข้างหน้า แต่พอจบตรงนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเยซูก็กลับไปกับนางมารีย์ โยเซฟ แล้วก็ใช้ชีวิตปกติเลย

อันนั้น เพื่อเล็งให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นบุตรมนุษย์ เป็นมนุษย์จริงๆ ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์เลย กลับไป ก็ใช้ชีวิตจนถึงอายุ 30 ปี พระเยซูก็ออกมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ประกาศให้คนอิสราเอลกลับใจเสียใหม่ แล้วก็บอกว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว

แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเรา แล้วเราอยู่ในยุคนี้ ยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำการงานของพระองค์สำเร็จเรียบร้อย เกือบ 2,000 ปีแล้ว แล้วเราผู้เชื่อได้รับพระคุณจากพระเจ้า พระเมตตาจากพระเจ้า ที่ได้ทรงไถ่บาปเราเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณที่ให้เราเป็นลูกของพระองค์ ได้กลับใจใหม่ ได้รับสิ่งสารพัด ซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระองค์ ก็มีแค่นี้แหละ แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็บอกให้พวกเรา ประกาศออกไป ประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ออกไปให้ผู้คนเยอะแยะมากมายเขาได้รับรู้ และได้เรียนรู้ถึงเรื่องนี้  แล้วใครก็ตามที่เข้ามายอมรับในเรื่องนี้ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ เขาก็จะได้รับอิสรภาพ เขาจะได้เป็นไท เขาจะได้เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะได้ไม่ต้องไปกลัวว่าตายไปแล้ว เขาจะต้องไปชดใช้หนี้ เวรกรรมที่นรกอีก เขาจะได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล และบัดนี้ วิญญาณของพวกเราของผู้เชื่อ ก็ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เอเมน

 

**************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา  เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

เรามีคุณสมบัติ บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป ครบถ้วนบริบูรณ์เหมาะสม ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเท่าๆ กับพระเยซูเลยทีเดียว พระเยซูเรียกเราว่าพี่น้องร่วมกันอยู่ในครอบครัวของพระบิดาเป็นผู้ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ทันทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูบนโลกใบนี้

 

แล้วเราก็จะพร้อมที่อยากให้พระเยซูกลับมาอีกครั้งเร็วเร็ว หรือเฝ้ารอคอยด้วยความตื่นเต้นใจจดใจจ่อที่จะออกจากร่างกายนี้ไปพบกับพระเจ้า หน้าต่อหน้าในมิติวิญญาณเร็วๆ เพราะเรามั่นใจในการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนกระทั่งนิรันดร์นั่นเอง

 

เมื่อถึงวันพิพากษา เราไม่ต้องพบเจอกับสิ่งนี้ “พระเยซูจึงตรัสว่าเราไม่เคยรู้จักเจ้า ไม่เคยมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันเลย”

 

เพราะฉะนั้นพระประสงค์น้ำพระทัยของพระเจ้า ที่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนทำนั้น มีอย่างเดียวคือวางใจในพระบุตรพระเยซู เข้ามามีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร ด้วยการบังเกิดใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในความจริงนี้ ไม่พึ่งพาในการกระทำของตนเอง หรือความคิดความเข้าใจของตนเอง แต่จงวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจสุดความคิด

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1314

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “ผู้เชื่อจริง  ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ วันนี้เรามีหัวข้อสำคัญมาก สำหรับผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าผู้เชื่อเก่าหรือเชื่อใหม่ก็ตาม ควรจะรับรู้ความจริงตรงนี้ที่พระเจ้าอยากให้เรารู้

หัวข้อเรื่องในวันนี้คือ “ผู้เชื่อจริง ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น” ท่านลองคิดดูนะว่าตอนกลางวันเราไม่เห็นดวงดาว แต่อยากถามท่านว่าท่านรู้ความจริงนี้แล้วว่าดวงดาวมีอยู่ทั้งวันทั้งคืนใช่ไหมครับ? มันมีอยู่จริงๆ ดวงดาว แต่ทำไมกลางวันเราไม่เห็นล่ะ ก็แสดงว่าความสามารถทางสายตาเราไม่สามารถ หรือความสามารถนั้น ถูกบดบังไปด้วยอะไรบางอย่าง  ทำให้เราไม่เห็นในความเป็นจริง ที่มันเป็นจริงอยู่ คือดวงดาวต่างๆ มันมีอยู่จริงๆ ตอนกลางวัน แต่ดูเหมือนไม่มี เพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์กลบรัศมีของดวงดาวต่างๆ ทำให้สายตาของเราไม่สามารถที่จะมองเห็นความจริงนั้นได้  แต่มันมีอยู่จริงๆ ใช่ไหม?

ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว อยากเห็นดวงดาวที่เป็นจริง  ทำอย่างไรในกลางวัน เรารู้อยู่แล้ว  มีดวงดาว กลางคืนเราจำได้ มีดาวตรงโน้น ตรงนี้ ตรงนั้น เยอะแยะไปหมดเลย เรารู้ว่ามันมีดาวอยู่ กลางวันเรามองไม่เห็น แต่เราอยากจะเห็น เราทำอย่างไรล่ะ  ปิดดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ ปิดดวงอาทิตย์ไม่ได้  มันขึ้นอยู่กับเรา ทำอย่างไรเราจึงจะเห็น?  นั่นแหละวิธีการเดียวกับความเชื่อในพระเจ้า ทำอย่างไรหรือ? ก็แค่หลับตา และจินตนาการให้เป็นไปตามความเป็นจริงที่เรารู้ว่าดวงดาวมีอยู่จริงๆ  พอหลับตาปุ๊บ เห็นดาวทันทีเลย

ลองหลับตาดูสิ มองท้องฟ้าตอนกลางวัน เห็นดวงดาวเต็มไปหมด แต่พอลืมตาปุ๊บ ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่เมฆ เห็นแต่ท้องฟ้า ฉันใดฉันนั้น มาเชื่อในพระเยซู เชื่อจริงๆ แล้ว พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตอย่างนี้ คือหลับตา แล้วมองไปที่ถ้อยคำที่พระองค์ทรงบอกเราว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณนั้น เป็นอยู่อย่างไรบ้าง?

หลังจากที่เราได้รับเชื่อหรือต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเราแล้ว  ซึ่งเราเรียกกันว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว  เริ่มต้นเชื่อแล้ว ผลที่เราจะได้รับทันที จากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่ารับเชื่อๆ ผลทันทีจากการรับเชื่อตรงนั้น จากการที่เรายอมเปิดใจต้อนรับความจริง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเกี่ยวกับความรอด สำหรับชีวิตของเราที่เราอยากจะพ้นจากบาป  อยากจะไปสวรรค์ หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น  ผลของการรับเชื่อครั้งแรกของเรานั้น  มันเกิดผลทันที แต่มันเป็นผลทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พระคัมภีร์บอกว่าเป็นผลที่เราได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผลทางด้านวิญญาณทั้งสิ้น  เป็นผลที่เราได้รับ ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือ  ด้วยสัมผัสทั้งหกได้  ผลต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถเห็นด้วยตา หู จมูก กาย และความคิด สมอง สติปัญญาของเรา  แบบมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้เลย  ในผลต่างๆ เหล่านี้  เราต้องย้ำตรงนี้เยอะๆ สำหรับตัวเราเอง เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก

พูดง่ายๆ ว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เริ่มต้นเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในหัวใจของเรา เป็นผู้เชื่อแล้ว ผลทางด้านวิญญาณทั้งหมด บังเกิดขึ้นทันทีเลย แต่เกิดขึ้นโดยที่เราสัมผัสแตะต้องไม่ได้ทางร่างกาย ทางความคิดจิตใจ ที่เราเรียกว่ามองไม่เห็นนั่นเอง แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ  ไม่จำเป็นต้องสัมผัสแตะต้องได้  แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ  เราเรียกกันว่าความเชื่อ ศรัทธาในผลที่เราเชื่อในพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงบอกว่าผลนั้นเป็นอย่างไร? เช่นเราเป็นลูกพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ผลนี้มันเกิดขึ้นทันที ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น? สัมผัสแตะต้องได้หรือไม่ได้ก็ตาม

ยกตัวอย่างว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจแล้ว อธิษฐานด้วยความเชื่อจริงๆ แล้ว และแสวงหาพระเจ้ามาตั้งนาน เราพบพระเยซูคริสต์แล้ว ไหนบอกว่ารับเชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้า ไม่เห็นสัมผัส ไม่เห็นมีความรู้สึกเลย  คนโน้นเขายังบอกว่าตอนเขาเปิดใจรับเชื่อ เขาน้ำหูน้ำตาไหล ซาบซึ้งมาก พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย  คนนี้เขาก็มีความรู้สึกว่าซาบซ่าน ขนลุกไปทั้งตัวเลย ตอนที่รับเชื่อ  อันนั้นไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผลมันต้องเป็นอย่างนั้นทุกคน  เพราะว่ามันเป็นผลทางด้านวิญญาณ การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นผลที่เกิดขึ้นตามพันธสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาว่าพระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เสร็จแล้ว เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ผลของความสำเร็จนี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า  มันก็จะเกิดผลขึ้นในโลกวิญญาณเพียงเท่านั้น และเป็นไปตามพันธสัญญาในโลกวิญญาณเท่านั้น  ผลบนโลกใบนี้ไม่ได้อยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ว่าเป็นสิ่งที่พระเยซูได้พูดอยู่เสมอว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ในสวรรค์ พระพรในสวรรค์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับโลกใบนี้เลย สักนิดหนึ่ง ไม่ว่าน้ำตาไหลหรือไม่ไหลก็ตาม

ความสำเร็จในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูทรงกระทำให้ตรงนี้  มันสัมผัสจับต้องไม่ได้  ส่วนอะไรบางอย่างที่จับต้อง มองเห็นได้ ถามว่าพระเยซูยังทำอยู่มั้ย? ก็ยังทำ  แต่ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งความสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน  ท่านพอเข้าใจไหมครับว่าการเกิดขึ้น หรือผลที่เกิดขึ้น  ที่พระเยซูกระทำบนโลกใบนี้  ที่จับต้องมองเห็นได้ ที่เราเรียกว่าอัศจรรย์ยังมีอยู่ไหม? มีอยู่จริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ในผลของความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และสัญญาว่าเป็นอยู่ เกิดขึ้นแล้ว  ใครมาเชื่อ ก็จะเกิดขึ้น  พูดง่ายๆ ใครมาเชื่อ ก็เกิดเป็นลูกพระเจ้า  ใครมาเชื่อ ก็ได้เข้าสวรรค์เลย  ใครมาเชื่อจริงๆ ก็ได้ยกโทษจากบาปทุกอย่างที่เขากระทำ ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดไปเลย นี่คือผลที่เกิดขึ้นจริงๆ

ส่วนผลที่พระเยซูอาจจะทำบางอย่าง  เพื่อเหตุผลบางอย่าง  เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างของพระองค์ แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ที่จับต้องมองเห็นได้ อาจจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ผ่านทางคนใดคนหนึ่ง

ยกตัวอย่างอย่างเช่น พระองค์ทรงปรากฏตัวของพระองค์เอง หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย ให้กับสาวกหลายคนได้เห็น ไม่ได้ปรากฏให้กับทุกคนได้เห็น หรือปรากฏพระองค์เองให้กับเปาโลได้เห็นระหว่างทาง ยังไม่ได้เป็นสาวกเลย  ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อเลย เป็นผู้ข่มเหงรังแกผู้เชื่อด้วยซ่ำไป  แต่พระเยซูก็ปรากฏพระองค์เองให้กับเปาโลได้เห็น อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งความสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์กระทำที่ไม้กางเขน ไม่ใช่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราก็บอกว่าเราต้องเห็นพระเยซู เพราะเปาโลยังเห็นเลย  มันไม่ได้อยู่ในผลสำเร็จนั้น  ที่เกิดขึ้นแล้ว

การเกิดขึ้นแล้ว กับการยังไม่เกิด มันคนอย่างกัน ผล คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว ส่วนที่ยังไม่เกิดนั้น แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้า แล้วแต่พระประสงค์ของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์จะทรงให้เกิดหรือไม่?  แสดงว่ามันยังไม่เกิดนะ

ยกตัวอย่างเช่น เปโตร เปาโลทำการอัศจรรย์ เปโตรเดินไปที่วิหาร เห็นคนง่อยอยู่ สั่งในนามพระเยซู อธิษฐานในนามพระเยซู คนง่อยลุกขึ้นเดินได้ ไม่ใช่คนง่อยทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น จะได้รับสิ่งนี้เหมือนกันหมด เพราะมันไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  นั่นมันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นอยู่ และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป  เกิดเป็นผลสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  ให้ผู้เชื่อทุกคนไปรับได้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ส่วนอัศจรรย์หรืออะไรบางอย่างที่จะเกิด หรืออาจจะเกิดขึ้น  ก็ขึ้นอยู่กับพระเยซูคริสต์ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์เท่านั้น มิใช่ ความประสงค์ของผู้เชื่อ จะพยายามทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่

เพราะฉะนั้น ระวังการแสวงหาผลที่จะเกิดขึ้น แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้  แล้วหวังว่ามันจะมาจากความประสงค์ของเราเองหรือเปล่า? ถ้ามาจากความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ทรงกระทำด้วยพระองค์เอง เพราะว่าพระองค์ประสงค์เช่นนั้น  แต่ส่วนความสำเร็จในเรื่องโลกวิญญาณ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้วนั้น  มันเกิดขึ้นแล้วทันที และเกิดขึ้นตอนนี้ และจะเกิดขึ้นชั่วนิรันดร์ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ คือผลทางด้านวิญญาณ คือพระพร หรือของดีๆ ทางฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานให้กับใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่เราจำเป็นเหลือเกินที่ต้องเข้าใจ ตั้งแต่แรกเลย มิฉะนั้น เราอาจถูกหลอกได้ ให้รับรู้ว่าผลของการเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า  ตามพันธสัญญา เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น เราต้องจำไว้ตรงนี้ดีๆ ผลที่เราเชื่อพระเจ้า ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้บอกไว้ ที่พระองค์ได้สัญญาไว้  มันจะเป็นผลในโลกวิญญาณเท่านั้น  ไม่เกี่ยวอะไรกันกับในโลกใบนี้เลย …

เช่น ความร่ำรวยในโลกใบนี้  ก็ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จที่พระองค์กระทำที่ไม้กางเขนเลย

เช่น สุขภาพแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งความสำเร็จนี้เลย

การมีชื่อเสียง ประสบผลสำเร็จในทางโลก ก็ไม่ได้อยู่

เหล่านี้เป็นสิทธิพิเศษของพระเยซูคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย  เป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ใครได้รับอะไร? หรือไม่ได้รับอะไร? แบบไหนบนโลกใบนี้  ซึ่งมันเกี่ยวพันกับหลายกฎเลย อย่างเช่นกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว  กฎของความประพฤติ ความเชื่อ  ไว้ใจ ประพฤติดีหรือไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องบนโลกใบนี้ ซึ่งมีผลให้เกิดสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวที่จะตัดสินใจว่าจะให้อะไรเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ พิเศษ ตามที่ผู้เชื่อหรือมนุษย์ทุกคนอยากได้ เป็นสิทธิส่วนพระองค์ และพระองค์กระทำ เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้นเอง

ถ้าจะทำการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญที่เกิดขึ้นผ่านทางผู้เชื่อบนโลกใบนี้ หรือผู้ไม่เชื่อ พระองค์ก็ยังทำได้ พระองค์ทำเพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว ก็คือเพื่อประกาศข่าวดี เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ให้ไปถึงบรรดามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เพื่อเขาจะได้รับความรอด ไม่พินาศ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า พระบิดานั่นเอง ต้องรู้ตรงนี้ก่อน

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องใช้ความเชื่อ ที่เป็นความเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า หรือพันธสัญญาของพระเจ้า ที่บอกเราว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน มีผลต่อเราอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณเท่านั้น ยกตัวอย่างจากพระคัมภีร์ ในโรม 5:1-2 …

โรม 5:1-2  “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดี ในความหวังที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

“เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม” ก็หมายถึงลูกของพระเจ้าที่พ้นจากบาป เวรกรรม สะอาด หมดจดแล้วนั้น  เราถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม คือเราเป็นคนชอบธรรม มาเป็นลูกของพระเจ้าได้ โดยความเชื่อแล้ว … “แล้ว” หมายถึงมันเกิดขึ้นแล้ว เห็นไหม?  ในโลกวิญญาณ พอรับเชื่อจริงๆ ปุ๊บ เกิดอะไรขึ้น? เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป เรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นแล้ว จับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่เห็น

ในนี้ต่อไปบอกว่า “เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า” มีสันติสุขหรือยัง? มีแล้ว ไม่ต้องขอ เมื่อเราเชื่อ ก็มีแล้ว  อยู่ในตัวเรานั่นแหละ “มีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์ของเรา” โดยทางพระองค์ ก็คือที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ใครทำ? พระเยซูคริสต์นั่นเอง

“โดยทางพระองค์ หรือโดยทางพระเยซู เราจึงได้เข้าส่วนร่วมในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ” เห็นไหม ด้วยความเชื่อตรงนี้ เราได้มีส่วนร่วมในพระคุณ ก็คือได้บังเกิดขึ้น ได้เข้าส่วนร่วมในการรับเราเป็นลูก อภัยให้เรา โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูทำให้เราหมดแล้ว  ไม่ได้พึ่งพาความดีงาม  การกระทำของตัวเอง ความประพฤติของตัวเอง  ไม่ว่าจะประพฤติเลวขนาดไหน?  ไม่ดีขนาดไหน?  พระคุณของพระเจ้าบอกว่ายกโทษ อภัยให้หมดแล้ว  รับเราเป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ในโลกวิญญาณเท่านั้น

อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อบนรากฐานของถ้อยคำพระเจ้า  ที่บอกเราว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว  ในโลกวิญญาณ มันคืออะไร? แล้วเราก็เชื่อตามนี้  และในนี้ยังบอกว่า “และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวังที่ได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า” ไม่ใช่ “จะได้” นะ ด้วยความเชื่อตรงนี้ เราจึงรู้ว่าพระเจ้าบอกว่าผลที่เกิดขึ้นนี้ จากความเชื่อนี้  เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า ก็คือเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มีสิริ มีความงดงาม สง่าราศี ในวิญญาณของเราเหมือนพระคริสต์เลย ซึ่งเป็นความหวังใจของเรา เพราะตาเรามองไม่เห็น  แต่อย่างที่ผมบอกแล้ว ตามองไม่เห็น ไม่เป็นไร? อยากเห็นให้ทำอย่างไร? แค่หลับตา

ตะกี้ที่พูดมาทั้งหมด ผู้เชื่อทั้งหลายที่ฟังอยู่  ท่านเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? ท่านก็ต้องตอบว่า “เอเมน เชื่อ”ถ้าเชื่อ โรม 5:1-2 ก็เป็นของท่าน เกิดขึ้นแล้ว เห็นไหม? ไม่เห็น  หลับตา แล้วนึกถึงเมื่อสักครู่นี้  ที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่าด้วยความเชื่อนี้ ในโลกวิญญาณ มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของท่าน หลับตา แล้วก็จินตนาการตามถ้อยคำของพระเจ้า  ซึ่งเป็นความจริง  หลับตา จินตนาการด้วยความเชื่อ  ความเชื่อจริงๆ ตรงนี้เขาใช้คำว่าการยอมจำนน ยอมจำนนเชื่อฟังต่อความเป็นจริงที่พระเจ้าบอกเรา  ซึ่งมันเกินกว่าความคิดของเรา เกินกว่าความเข้าใจเราที่จะสามารถเข้าใจได้ คือไม่เย่อหยิ่งแล้ว ไม่เอาแล้ว ถึงแม้ไม่เห็น พระเจ้าบอกว่าจริง ก็จริงตามนั้น ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่

พระเจ้าบอกว่าตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ครั้งแรก เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พระองค์บอกว่ามีขบวนการเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือมีการย้ายวิญญาณของเรา ที่อยู่ในที่เดิม  คือในอาดัม ในบรรพบุรุษของเรา ซึ่งอยู่ในความบาป ความตาย และคำสาปแช่ง ได้ย้ายวิญญาณของเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักร หรือที่เรียกว่าในพระเยซูคริสต์ หรือที่เรียกว่าในสวรรค์ นี่พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น  1 เปโตร 2:9 ดูสิว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ …

1 เปโตร 2:9 “แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู) เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว) เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ บารมี และพระคุณ) ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่าน (หรือย้ายพวกท่าน) ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”

 

เห็นไหม? ไม่เห็น  ผลของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว  มันเกิดผลกับผู้ที่เชื่อในการกระทำของพระองค์ที่สำเร็จแล้ว เกิดเป็นผลในวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น ต้องหลับตา จินตนาการให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า

ลองหลับตาดู และฟังผมว่ามันเป็นอย่างไร? ว่าเวลาเรามาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับตัวเรานั่นแหละ ในนี้บอกว่า … ผู้เชื่อพระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ที่ได้รับการย้ายแล้ว ย้ายในโลกวิญญาณ เลือกสรรในโลกวิญญาณ ย้ายมาเป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เป็นปุโรหิตหลวง ก็คือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าใหญ่เท่าๆ กันกับตระกูลของพระเยซู เป็นตระกูลของพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ  เป็นชนชาติบริสุทธิ์แล้ว ได้ถูกย้ายแล้ว ได้เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว  นี่มันเกิดขึ้นแล้ว

หลับตาลง ท่านเชื่อพระเยซูแล้วใช่ไหม? ท่านก็ได้ถูกย้ายเข้ามาเป็นพงศ์พันธุ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพระเจ้า เพื่อให้ท่านได้เป็นพยานถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และเป็นพยานถึงความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ผลมันเป็นอย่างนี้แหละ

และสุดท้ายในนี้บอกว่าเพื่อเป็นพยานให้กับความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ พระบารมี พระคุณของพระเจ้า  ที่ทำให้กับเรา พระเจ้าผู้ได้ทรงเรียกพวกท่าน ก็คือผู้ได้ทรงย้ายพวกท่าน  พระเจ้าผู้นี้ ที่ได้ย้ายพวกท่านให้ออกมาจากอาณาจักรของความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นไหม? ไม่เห็น เชื่อมากี่ปี ก็ยังเป็นคนๆ เดิมอยู่  ผมเชื่อมา 30 กว่าปีก็ยังเป็นคนเดิมอยู่นั่นแหละ มองในกระจก ก็ไม่เห็นแตกต่าง นอกจากแก่ ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง  แต่ในโลกวิญญาณไม่เหมือนกัน ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้นเลย  ตั้งแต่วันแรกเมื่อ 30 กว่าปีก่อน จนถึงวันนี้ มันเกิดขึ้น  และเป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดไป คือผมเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด เป็นตระกูลของพระเยซูคริสต์ เป็นพงศ์พันธุ์ของพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อเป็นพยานว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ได้กระทำให้กับมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้แหละ

ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ย้ายผมตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้วๆ แต่ผมพึ่งมารับสิทธิเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง  รับสิทธิการย้ายผมออกจากอาณาจักรเดิมในอาดัม มาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ออกจากอาณาจักรของความมืด ของคำสาปแช่ง  ของความพินาศ เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง สวรรค์ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ไม่เห็นเลยนะ แต่หลับตาชัดแจ๋ว เห็นชัดเจนเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ช่วยเราขยายความ หลับตาจะเห็น หลับตา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำงาน ชัดเจนขึ้น เพราะว่าไม่มีอะไรขวาง เหมือนเราหลับตาตอนกลางวัน เพื่อจะได้เห็นดวงดาว เพราะไม่มีแสงแดดมาบดบัง ในทำนองเดียวกัน หลับตาปุ๊บ ตาทางฝ่ายวิญญาณ ก็เปิดออกได้เห็นความจริงในโลกวิญญาณชัดขึ้น ไม่ถูกการโกหกของมาร ที่กระทำการงานบนโลกใบนี้ ปิดบังตาเรา ทำให้เราเห็นไม่ชัดเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น หลับตาและจินตนาการ

ผู้เชื่อจริง จึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า ต้องถ่อมใจลง และเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า

จริงๆ พระเยซูบอกต้องนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง  ความเชื่อตรงนี้ คือส่วนหนึ่ง คืออันเดียวกันกับการนมัสการนั่นแหละ นมัสการ หมายถึงยอมถ่อมตนถึงที่สุดเลย ยอมถ่อมตน ยอมรับว่าพระเจ้าบอกความจริงว่าเราเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ พระเจ้าบอกเราเป็นคนบาป เราก็เป็นคนบาปจริงๆ การถ่อมใจ ยอมรับสารภาพ ยอมด้วยสุดใจ สุดจิต ตามที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอะไร? เป็นอย่างไร? หรือให้ทำอย่างไร?  แบบไม่มีเงื่อนไข แบบเป็นทาสรับใช้พระองค์ นั่นแหละ เรียกว่านมัสการ ความเชื่อก็เป็นอย่างนั้นแหละ เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่ เชื่อเหมือนเราเป็นทาสของพระเจ้า ที่เชื่อคำสั่งอย่างเด็ดขาด  ไม่มีคำว่า “แต่” เชื่อด้วยความสยบ ด้วยความหมดตัวตนของตนเอง ยอมทุกอย่าง แม้ว่าจะไม่เข้าใจ แม้ว่าจะสัมผัสไม่เห็น  หูไม่ได้ยิน ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้น พระองค์ทรงบอกไว้อย่างนั้น  ลูกเชื่อตามนั้น นี่หมายถึงนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง ในโรม 1:17 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

โรม 1:17 “เพราะในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้า ก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”

 

“ความชอบธรรม เริ่มต้นด้วยความเชื่อ” ก็หมายถึงเริ่มต้นด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในนี้เริ่มต้นบอกว่า “เพราะในข่าวประเสริฐนั้น” คือในเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้า ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ เพื่อมาตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปของมวลมนุษยชาติ ตาย ถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อให้มนุษย์ทุกคนสามารถ เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์

นี่หมายถึงอย่างนั้นว่าความเชื่อที่เกิดจากการได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐนั้น ทำให้เกิดความชอบธรรม  …  ความชอบธรรม เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ผู้ที่จะสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ พ้นจากบาปได้  เป็นคนที่พระเจ้าเห็นว่าสะอาด บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระองค์ได้ มีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน

เริ่มต้นเชื่อในการงานที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ก็คือข่าวประเสริฐ และในนี้บันทึกบอกว่า “และนำไปสู่ความเชื่อ” จากเริ่มต้นเชื่อแล้ว ต่อไปพระเจ้าก็จะนำเรา ไปสู่ความจริงที่เพิ่มพูนขึ้น จากผลของความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์กระทำที่ไม้กางเขน  ก็คือหลังจากที่เราเชื่อแล้ว พระคัมภีร์ได้บอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราก็เชื่อตามนั้น  และหลังจากนั้น เมื่อรับรู้และเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ ไม่ใช่ด้วยหาเหตุผล หลักฐาน หรือฟังคำพยานจากใครที่จับต้องมองเห็นได้  ไม่ได้พึ่งพาสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เชื่อทั้งๆ ที่ไม่เห็น เชื่อว่าพระเยซูได้ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า  เราได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว  ทั้งหมดนี้มองไม่เห็น แต่เชื่อเลย  ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมา จากเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูก ก็ชักลึกเข้าไปเรื่อยๆ พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปในความจริงเรื่อยๆ

ซึ่งสิ่งทั้งหมดนี้  เป็นผลของการงานที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน และเราใช้ความเชื่อ ในการรับเอา หรือจะบอกว่ารับเอาด้วยความเชื่อ ก็ได้ เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับ ถ้าอยากจะรับ ก็ต้องเชื่อ เชื่อในผลที่พระเจ้าได้อธิบายให้เราฟังว่าผลของความสำเร็จนั้น เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของเราบ้าง เขาเรียกว่าเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแต่ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการจับต้องมองเห็นได้ สัมผัสได้ ความรู้สึกอะไรต่างๆ  ไม่ว่าจะคล้อยตามหรือไม่คล้อยตามก็ตาม คล้อยตามก็ดี ไม่คล้อยตาม ก็เชื่อ เหมือนกัน ถึงคล้อยตาม เป็นด้วยกันกับจับต้องมองเห็นได้ ความรู้สึกเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า ที่พูดไว้ ก็ดี แต่ไม่ยึดถือ เพราะถ้ายึดถือ เดี๋ยวอีกหน่อย ส่วนใหญ่มันจะไม่มีความรู้สึก จับต้องมองไม่เห็น แล้วเราจะเกิดความสงสัยว่าถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าเกิดผลแล้ว มันเกิดหรือเปล่า?

รับรู้ในความจริงมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ความเชื่อก็จะกระติ๊บๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ  ตามที่ได้บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้  จากความเชื่อหนึ่ง ก็เพิ่มพูนไปอีกความเชื่อหนึ่งมากขึ้น ความเชื่อมากขึ้น ก็จะได้รู้ว่าผลที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  แล้วเรามาเชื่อ เราได้รู้มากขึ้นว่าตอนนี้เราเป็นใคร?  และมีอะไรเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราในโลกวิญญาณบ้าง? เราเป็นใคร ในอาณาจักรของพระคริสต์? เราเป็นใครในพระคริสต์?  เราก็จะรู้มากขึ้น รับเอามากขึ้น  โดยผ่านทางความเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว

พระเจ้าบอกให้เรารู้ความจริงมากขึ้น ในโลกวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง? อย่างเช่น พอเรารับเชื่อ เราเป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ  พระเจ้าก็จะเริ่มบอกเราว่าชีวิตเราอยู่บนโลกใบนี้ โลกฝ่ายวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ ให้เราเพิ่มพูน หรือพัฒนาความรู้ในโลกวิญญาณมากขึ้น อย่างเช่น พระเจ้าอาจจะนำเรา เริ่มต้นบอกว่ารู้ไหมในโลกวิญญาณ ตอนเรารับเชื่อ ที่บอกได้ย้ายเรา สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระองค์ได้เข้ามาฆ่าตัวเก่าเราให้ตาย  ตัวเก่าเราที่อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในความตายฝ่ายวิญญาณ  พระองค์เข้ามาฆ่าเรา  และให้เรามาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่สามารถบังเกิดใหม่ในพระเยซูได้เลย ถ้าเราไม่ตายก่อน กาลาเทีย 2:20 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 2:20  “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”

 

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  อยู่ในผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ใครเชื่อก็ได้รับเอาอย่างนี้  มันบังเกิดขึ้นทันทีสำหรับคนนั้น

เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว” หมายถึงใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ ได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว พูดง่ายๆ ว่าได้ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน “ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” ตายแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?  ในนี้บอกว่า “พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตในข้าพเจ้า” ก็คือข้าพเจ้าตายไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตใหม่ของข้าพเจ้าที่บังเกิดใหม่นั้น เป็นชีวิตที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่บังเกิดใหม่ โดยพระเจ้าประทานให้พระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์แบ่งชีวิตที่บังเกิดใหม่นั้น มาให้กับเรา เป็นชีวิตใหม่ของเรา ซึ่งเต็มด้วยพระสิริ สง่างาม เท่าๆ กันกับพระเยซูเลย เป็นน้องของพระเยซู

“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ในขณะนี้ ในตอนนี้เลย รับเชื่อแล้ว วิญญาณข้าพเจ้าอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” เห็นไหมครับว่าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อย อะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทั้งหลาย บนไม้กางเขนที่พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว มันเกิดขึ้นตามนั้นแล้ว เรายังได้รับรู้จากขบวนการการผ่าตัดวิญญาณของเราในหนังสือโรม บทที่ 6 หลายครั้งแล้ว วันนี้ ไม่ยกเอามา พระเจ้าได้อธิบายให้เราฟังอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณเมื่อเรารับเชื่อในพระเจ้า ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณ คือเมื่อเรารับเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูจุ่มเราลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรา เอาวิญญาณเราเข้าไป มีส่วนร่วม หรือบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพื่อฆ่าเราให้ตาย เพื่อเราจะได้ตายพร้อมกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระเยซูแล้ว และเราก็จะได้ถูกฝังไว้พร้อมพระเยซูในอุโมงค์ และวันที่สามพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็ได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ด้วยชีวิตที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู เหมือนกันเลย และพระเยซูแบ่งให้เราเกิดใหม่พร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ อย่างนี้แหละ จับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่ได้ แต่รู้ได้อย่างไร?  ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างนั้น  หลับตาลง จินตนาการ แล้วก็จะเห็นภาพตามนั้น มันเป็นจริงตามนั้น  เขาเรียกกันว่าเจริญเติบโตไปทีละขั้นๆ เจริญเติบโตในความเชื่อไปทีละตอนๆ นั่นเอง จนกระทั่งเจริญเติบโตไปถึงขนาดทุกลมหายใจเข้าออก เหมือนที่เปาโลบันทึกไว้ในกาลาเทีย 2:20 เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านร่วมกัน “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว พระเยซูคริสต์ต่างหากที่อยู่ในข้าพเจ้า พระเยซูอยู่ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน” ตามถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบายให้ ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ  ก็หมายถึงว่าทุกลมหายใจเข้าออก ระลึกอยู่เสมอว่า …

“ฉัน ผู้เชื่ออยู่ในพระเยซูคริสต์ และชีวิตของพระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน … ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจึงเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณ ตัวตนแท้จริงของเรา จึงเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ตามพระคัมภีร์บอก เต็มด้วยสง่าราศีทุกวัน ลมหายใจเข้าออกมีอยู่เมื่อไร ฉันระลึกถึงวิญญาณของฉันที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เต็มด้วยสง่าราศี นี่คือความหวังใจของฉัน”

ทำไมต้องหวัง?  เมื่อมันเป็นอยู่แล้ว  “หวัง” เพราะว่ามันมีอยู่แล้วก็จริง แต่ตาเรามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันเป็นจริง  เป็นความหวังที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ความหวังที่อนาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ไม่รู้ แต่เป็นความหวัง  ในสิ่งที่มันเกิดแล้ว  รู้แล้ว ใช่แล้ว เพียงแต่รอเวลาเข้าไปเห็นชัดๆ อีกทีหนึ่ง  ตามความเป็นจริง มันหมายถึงอย่างนั้น

และเรารับรู้ว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเรา พระคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราอยู่กับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็อยู่ในเรา เราก็อยู่ในพระวิญญาณ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อยู่ไหนก็ตาม ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน ทุกลมหายใจเข้าออก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ในฉัน ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ ไม่ว่าจะนั่งรถอยู่ ขับรถอยู่ นั่งรถอีแต๋นอยู่ หรือขี่ควายอยู่ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าจะตอนมีอารมณ์หงุดหงิด หรือมีอารมณ์ชื่นบาน  หรือกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  หรือกำลังทุกข์ใจ เครียด  ทุกลมหายใจเข้าออก ฉันก็รู้ว่าพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตฉันอยู่ในพระคริสต์ ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ พระวิญญาณก็อยู่ในฉัน ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

มีชีวิตดำเนินอยู่ หมายถึงดำรงอยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะมีความรู้สึกอย่างไร?  ทุกลมหายใจเข้าออก เหมือนหลับตา และนึกถึง จินตนาการทุกลมหายใจเข้าออกของฉัน ความจริงในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า ไม่มีผิด  ไม่ว่าฉันจะเห็นหรือไม่เห็น? ไม่ว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม  ความเป็นจริง ก็คือความเป็นจริงวันยังค่ำ ฉันยอมรับความเป็นจริงนี้ มันเป็นอย่างนี้ ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระวิญญาณ พระวิญญาณก็อยู่ในฉัน  เมื่อฉันอยู่ในพระวิญญาณ ฉันก็เป็นความชอบธรรม เป็นคนดี เป็นลูกพระเจ้า ฉันก็เป็นสันติสุข ฉันก็เป็นความชื่นชมยินดี  ฉันก็เป็นความรัก ฉันก็เป็นความอดทน  ฉันก็เป็นสติปัญญา

พอมองเห็นภาพไหมครับ?  สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ  ถ้าเราจะได้รับ ก็ได้รับผ่านทางความเชื่อเท่านั้น  ถ้าไม่ได้เชื่อ ก็ไม่ได้รับ  มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ  ตามที่พระเจ้าบอก เพราะฉะนั้น  แค่หลับตาก็จะเห็นไปตามความจริงทั้งหมด แค่หลับตา และจินตนาการให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบาย ที่พยายามบอก ที่พยายามสอน ให้เราได้ยินได้ฟังว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้อยู่จริงๆ  ไม่ว่าลูกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นอยู่จริงๆ ถ้าลูกเชื่อ ลูกก็จะได้รับสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับลูก มันเป็นอย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น การเจริญเติบโตในความเชื่อ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในการดำเนินชีวิต ในการเป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนบนโลกใบนี้ เจริญเติบโตในความเชื่อ  ก็รู้มากขึ้นในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้นกับเรา? ตอนนี้เราเป็นใครในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง? เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเราสามารถพูดความจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ออกมาจากปากของเรา เป็นธรรมชาติเลย ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น  เราจะสามารถพูดตาม 2 โครินธ์ 5:6-8 ได้ตามธรรมชาติเลย ถ้าเราเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ  จากความเชื่อหนึ่ง ไปอีกความเชื่อหนึ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ฝึกฝนชีวิตด้วยความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า จะเกิดผลอย่างนี้แหละ …

2 โครินธ์ 5:6-8 “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

 

“เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ” พร้อมอยู่เสมอ  “มั่นใจ” หมายถึงเห็นเลยนะ  “และรู้แล้วว่า” รู้แล้ว เพราะแรกๆ รู้เฉยๆ  พอมันชัดขึ้นไปเรื่อยๆ  แรกๆ ได้ฟัง ได้ยิน ได้อ่าน  ได้รับรู้ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร?  เกิดอะไรขึ้นบ้าง? เรามีพระพรอะไรเยอะแยะที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ มีทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณอะไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกับเราในโลกวิญญาณ พอเรารู้แล้ว เราก็มีความมั่นใจ ก็คือมีความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น มากขึ้นว่าขณะที่เราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ขณะนี้  ตอนที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ไม่สบาย  เดี๋ยวก็โดนแดด โดนร้อน  นิดหนึ่งก็เป็นโน่น เป็นนี่ ต้องวิ่งหนีโควิดอยู่อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้องกังวลอยู่ เดี๋ยวก็หิว เดี่ยวก็อิ่ม เดี๋ยวก็ท้องอืด เดี๋ยวก็ย่อยดี เดี๋ยวก็อารมณ์ดี อารมณ์ร้าย  เดี๋ยวก็เป็นคริสเตียนวันอาทิตย์ เดี๋ยวก็เป็นคริสเตียนวันศุกร์  เข้าใจใช่ไหม? คริสเตียนวันอาทิตย์จะเต็มไปด้วยความร่าเริงยินดี เต็มด้วยความเชื่อ ฮาเลลูยาๆ พอวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เริ่มฟังข่าวสารอะไรต่างๆ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหี่ยวลงๆ จนกระทั่งถึงวันศุกร์ โอ๊ย! พระเจ้าอยู่ไหน? หาไม่เจอ ต้องมาปลุก ให้ขึ้นมาในความเชื่อ ผ่านทางผู้คนรอบข้างเรา และถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกัน ฉลองกันในวันอาทิตย์ วันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ฉลองวันเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง

ในขณะที่เรายังอยู่ในโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ด้วยความมั่นใจ ด้วยความรู้แล้ว ในเรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าบอกเราผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ ในเรื่องความจริง ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นอย่างไร?  ในนี้จึงบอกว่าขณะที่เราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้  เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงพระเจ้าสถิตอยู่ในเราก็จริง แต่เรามองไม่เห็นพระองค์ ก็เหมือนอยู่ห่าง ก็เหมือนอย่างที่บอก ดวงดาวมีอยู่จริง แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ เหมือนกับมีกล้องอยู่จริง  แต่ท่านมองไม่เห็นผม ในขณะนี้ ผมเอามือออก จึงจะเห็น มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ

เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงเราไม่เห็นอย่างชัดเจน ในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร? พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร?  เพราะว่าตอนที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อาศัยอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ในนี้บอกว่าเพราะว่าเราดำเนินชีวิต โดยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็นได้ ก็คือเราเชื่อ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็นพระเจ้าชัดเจน แต่เราเชื่อ เพราะว่าเราดำเนินชีวิต ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ที่บอกว่ามันเป็นอะไร?

ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนไม่เห็นหน้าผม ผมมองไม่เห็นกล้อง แต่ผมเชื่อ พระเจ้าบอกผมว่าหลังของมือผม มันมีกล้องอยู่ ผมไม่เห็นกล้องหรอก แต่ผมใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าว่ามีกล้องอยู่หลังมือผม ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ หมายถึงอย่างนี้

“และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้” เชื่อถึงขนาดไหน? เชื่อขนาดที่ว่าจะมีความพอใจ มีความดีใจด้วยซ้ำไป มากกว่าที่จะอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณออกจากร่างนี้เมื่อไร? เรามีความพอใจมากกว่าอยู่ เพราะเราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า “และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า” หมายถึงว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น  เหมือนตะกี้ผมบอกมันมีกล้องอยู่แล้ว แต่ผมมองไม่เห็น  เอามือออก ผมก็เห็น  พระเจ้าอยู่ตรงนี้ เรารู้ว่ามีพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ร่างกายเรา ตาฝ่ายวิญญาณเรายังไม่สามารถเห็นชัด ต้องรอให้ร่างกายนี้หมดสิ้นเสียก่อน  วิญญาณเราออกจากร่าง ไม่มีอะไรมาขวาง  วิญญาณออกไปปุ๊บ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย หมายถึงอย่างนี้แหละ

นี่คือความเชื่อที่ได้ถูกปลูกสร้างขึ้นมา  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้ถ้อยคำของพระองค์ การเรียนรู้จากการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแต่ละวัน  ทีละนิดทีละหน่อยจากเรื่องราวต่างๆ ที่พระองค์ทรงนำพาชีวิตเราในแต่วัน  พระองค์ทรงนำอยู่แล้วล่ะ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม อย่างที่ผมบอก ไม่ว่าท่านจะไปไหน พระเยซูคริสต์ก็อยู่กับท่าน ท่านก็อยู่กับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรจะมาแยกท่านจากพระเยซูได้อีกแล้ว  เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับท่าน ท่านก็อยู่ในพระวิญญาณ ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานอยู่ พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณก็อยู่กับท่านทุกเมื่อ  เมื่อท่านขี้เกียจอธิษฐาน พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณก็อยู่กับท่าน  เมื่อท่านนินทาชาวบ้านเขา หรือดุด่าว่ากล่าว หรือโกรธใคร บ่นว่าใคร พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณก็อยู่กับท่านในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของท่าน  และพยายามที่จะค่อยๆ สอนท่าน  บอกท่านถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และค่อยๆ นำท่านให้ประพฤติปฏิบัติตาม ให้สมกับในโลกวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้น  ที่มันเป็นอยู่

ยกตัวอย่าง ท่านเป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรัก  เพราะฉะนั้น ประพฤติให้มันเป็นไปกับความรัก เป็นไปด้วยกันกับเป็นลูกของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เช่นท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปแล้ว ดำเนินชีวิต ประพฤติ ก็ให้สมกับฐานะที่เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นของพระเจ้าแล้ว  พระองค์ก็จะค่อยๆ สอนไป ล้มบ้าง? ดื้อบ้าง? ไม่เป็นไร พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เป็นพี่เลี้ยง ค่อยๆ อุ้มเราขึ้นมา แล้วก็เอาใหม่ เชียร์เรา  อยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเราเสมอ  เขาเรียกว่าอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ความเชื่อนี้จะเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท่านสามารถพูดได้ว่าถ้อยคำเมื่อตะกี้เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณที่มันเป็นจริงตอนนี้ ดีกว่าอยู่บนโลกใบนี้เยอะเลย อยู่บนโลกใบนี้ เห็นอะไรก็ไม่ชัดเจน แถมยังอยู่ในโลกแห่งการสาปแช่ง โลกแห่งความเสียหาย  โลกแห่งความวิปริต โลกที่บาป และอิทธิพลของมารซาตาน ยังกระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้  มีแต่วุ่นวาย มีแต่ทุกข์ นี่พระเจ้าเป็นผู้บอกเรา  เพราะฉะนั้น ไม่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังดีซะกว่า  แต่อยู่เพื่อเป็นพยาน  อยู่เพื่อสำแดง หรือให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้ ในการสำแดงพระองค์เอง สำแดงพระเยซูคริสต์ ออกมาจากชีวิตของเรา  ในทุกอณูเนื้อ ตั้งแต่ลมหายใจ จนกระทั่งถึงสายตา  จนกระทั่งถึงความรู้สึก จนกระทั่งถึงความประพฤติ การกระทำทั้งหมด อยู่ในการทรงนำของพระองค์  นี่คือการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

สรุป การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว อะไรบ้างที่มีผลต่อเราในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่นแหละ คือการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  ไม่ใช่ตามองเห็น  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเป็นพระพรนานับประการทางฝ่ายวิญญาณ ในสรรค์สถานที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเรา เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ทำที่ไม้กางเขนนั่นเอง

พระพรนานัปการในสวรรค์สถานที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แล้ว ของดีเยอะแยะมากมาย ไปค้นหาดู ในพระคัมภีร์บอกไว้เยอะแยะไปหมดเลย ในสวรรค์สถาน ก็คือในโลกวิญญาณ ไม่ใช่บนโลกใบนี้  บนโลกใบนี้ แล้วแต่ความประสงค์ของพระเจ้า  ที่จะให้เกิดขึ้น จะให้เราได้รับอะไรหรือไม่ได้รับอะไรอยู่ที่พระองค์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่ในโลกวิญญาณ ให้ไปแล้ว  ไปหาดู ที่ในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกไว้ พระพรนานัปการ เราจะได้พระพร ได้ประโยชน์ โดยความเป็นจริงเหล่านี้ ที่เราได้รับรู้ และผ่านทางความเชื่อ  ในการรับรู้เท่านั้น

พระคัมภีร์บอกว่าถ้าหากปราศจากความเชื่อ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร? ไม่ได้พระพรอะไรจากพระเจ้าเลย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้ ต้องมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น  คือเชื่อว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ แน่นอนจะมาเชื่ออย่างอื่นได้อย่างไร?  ถ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีชีวิตอยู่ เป็นอยู่จริงๆ แล้วเริ่มต้นจากความเชื่อทีละนิด ทีละหน่อย เปิดใจรับเชื่อพระเยซู แล้วก็ไต่ไปเรื่อยๆ ในความรู้ ในการทรงนำ ในการเจริญเติบโต เดินไปกับพระเยซูในแต่ละวัน แต่ต้องระวัง ต้องเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณที่เป็นจริงๆ เท่านั้น

หมายความว่าอย่างไรถ้อยคำพระเจ้าอย่างจริงๆ ที่ให้เราระวัง … ระวัง คือระวังศัตรู คือมาร มันมาขโมย ฆ่า และทำลาย  มารมันจะมาขโมยความจริงในโลกวิญญาณนี้ไป พระเจ้าบอกความจริงเรา มันขโมยความจริงนี้ไป มันไม่ได้มาเอาไปเฉยๆ  มันมาขโมยความจริงไป แล้วใส่อย่างอื่นเข้ามาแทนที่ ของปลอมเข้ามาแทนที่ ดูเหมือนจริง  เราก็จะได้ผลในความเชื่อ  ในสิ่งที่ปลอมๆ ในสิ่งที่เป็นเท็จนั้น แทนที่จะได้ของจริง  เพราะเราวางรากฐานของความเชื่อ แทนที่จะไปอยู่ในความจริงของพระเจ้า  ดันไปอยู่ในการหลอกลวง ล่อลวงของมาร  โดยไม่รู้ตัว ก็เกิดความเสียหาย แทนที่จะได้สิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าบอกว่าให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เรากลับได้สิ่งที่เลวๆ สิ่งที่ไม่ดี เพราะว่ามารมันเป็นศัตรู แทนที่จะวางความเชื่อลงไปในความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ แทนที่จะวางความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ความคิดจิตใจ  ซึ่งเป็นจริงเท่านั้น  เราวางผิดที่ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นได้  แล้วแต่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว  ส่วนใหญ่ผมว่าน่าจะไม่รู้ตัวมากกว่า ถ้ารู้ตัว ก็คงไม่มีใครอยากให้ถูกหลอก ส่วนใหญ่เขาถึงบอกว่าหลอกลวง ล่อลวงของมาร เขาถึงเรียกว่าขโมย  ถ้าใครรู้ว่าขโมยมา ก็ไม่มีใครอยากให้ขโมยหรอก อันนี้ไม่รู้สิ มันแอบจิ๊กไป โดยเราไม่รู้ตัว อย่างนี้เป็นต้น

เราจึงจำเป็นต้องหลับหูหลับตาเชื่อข้อมูลในโลกฝ่ายวิญญาณที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จริงๆ เท่านั้น เราจะรู้ได้อย่างไร? อันนี้ก็ไม่ใช่ง่ายนะ  เราจะรู้ได้ ก็ให้พระวิญญาณค่อยๆ นำพาเราไป ค่อยๆ ศึกษาถ้อยคำพระเจ้าไปทีละนิด ทีละหน่อย

อย่างเช่น พระเจ้าบอกกับเรา ในพระคัมภีร์ ในถ้อยคำของพระองค์ว่าเกิดอะไรขึ้น? เป็นผลสำเร็จ ที่ไม้กางเขนบ้าง? เช่น ให้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด … รอดจากความบาป  รอดจากการเป็นคนบาป  มาเป็นลูกพระเจ้า รอดจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง  เยียวยารักษาเราทางฝ่ายวิญญาณ  ถูกรักษาจากบาปหายหมด กลายมาเป็นคนชอบธรรมในวิญญาณ  เราก็จะได้รับความรอดทางวิญญาณอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าเราถูกหลอกลวงด้วยข้อมูลเท็จที่บอกว่าพระเยซูรักษาเราให้หายแล้วทางร่างกายด้วยเราก็จะหวังในที่ที่พระเจ้าไม่ได้สัญญาเราก็จะผิดหวังและสับสนในความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ด้วยเราจำเป็นต้องวางความเชื่อบนถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นผลทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่บนความรู้สึก หรือตามองเห็นสัมผัสได้บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นกรณีพิเศษเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้รวมอยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูกระทำให้แล้วบนไม้กางเขน เพื่อประกาศพระบารมี ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ตามแผนการของพระองค์เท่านั้น ไม่ได้เป็นคำสัญญาว่าทุกๆ คนจะได้รับอย่างนี้ ไม่ได้เป็นหนึ่งในผลของความสำเร็จที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนเลย แม้แต่นิดเดียว  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วถ้าเราฝากความหวังไว้ เราไปเชื่อเอาอย่างนั้น เชื่อบนข้อมูลเท็จ  อย่างที่บอกจะถูกล่อลวง จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันก็จะเกิดผลเสีย ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

หรือเรารู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า รอดจากการเป็นทาสมารมาเป็นลูกพระเจ้า แล้วมารก็เข้ามา กลับไปที่บ้าน … “เป็นลูกพระเจ้าเหรอ เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร ยังหงุดหงิด ยังมีนิสัยอย่างนี้ เขาเรียกว่าลูกพระเจ้าเหรอ เป็นไปได้อย่างไร”

นี่แหละ มันมาขโมยเอาความจริง ที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน 2,000 ปีมาแล้ว  ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกพระเจ้าได้ มารก็มาบอกว่า …

“อย่างนี้เหรอ ประพฤติอย่างนี้ เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร?” อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น

นี่คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่ควรจะรู้  เพราะฉะนั้น หลับหูหลับตาเชื่อ ก็มีอีกทางหนึ่งคิดได้ หลับหูหลับตาเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า  ที่พระเจ้าบอกเราว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร ในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ? แล้วในขณะเดียวกัน ปิดหูปิดตาจากข้อมูล จากโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า โกหกหลอกลวง ไม่มีความเป็นจริงเลย แม้แต่นิดเดียว โดยการนำของระบบของบาป โดยอิทธิพลของมารนั่นเอง โลกใบนี้จึงเป็นศัตรูกับผู้เชื่อในพระเจ้า  เพราะว่าโลกใบนี้พยายามที่จะเป็นศัตรู ต่อต้าน ขัดขวางความจริงของพระเจ้า ขโมย ลัก ฆ่า และทำลาย ผู้ที่เชื่อในความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

แต่เราผู้เชื่อ พระคัมภีร์บอกแล้วเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ดำเนินชีวิตในความจริง  ที่พระเจ้าบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งมันอยู่นิรันดร์ มันเป็นไปด้วยกันอย่างนี้  มันเป็นไปตามความเป็นจริงอย่างนี้ตลอดกาล อย่าไปเชื่อโลกใบนี้  ซึ่งมันอยู่ชั่วคราว  มันหลอกลวง โกหก ครอบงำโดยมาร พระเจ้าสอนเราเกี่ยวกับความจริง ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น บอกเรา อธิบายให้เราฟัง เพราะว่าเราจับต้องมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นได้ แต่อาศัยความเชื่อ ตามที่พระเจ้าบอก เชื่อและวางใจในพระเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นแหล่ง เป็นต้นเหตุ เป็นฐานแห่งความเชื่อของเราทั้งหมด คือในพระเยซูคริสต์ เชื่อแม้ว่าจะไม่เห็น เชื่อแม้ว่าจะไม่สัมผัสได้  เชื่อแม้ว่าจะไม่ได้ยิน  เชื่อแม้ว่าจะไม่เข้าใจ  เชื่อแม้ว่าจะไม่ขนลุก เชื่อแม้ว่าดูสถานการณ์แล้วจะอยู่ตรงกันข้ามด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้าก็ตาม แต่ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้เช่นใด เชื่อเช่นนั้น เช่น …

“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเจ้า วิญญาณของฉันเป็นเหมือนพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ วิญญาณของฉันนั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับฉัน ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่กับฉัน ในร่างกายนี้ ในวิญญาณของฉัน ฉันเป็นหนึ่งกับพระองค์ และฉันอยู่ในพระองค์ พระองค์ก็ทรงอยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน และเราใหญ่ ชนะโลกใบนี้แล้ว และเราชนะนิรันดร์กาล  เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คน ก็หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้า”   (วิวรณ์ 5:8)

 

“ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่ง ถือกระถางไฟทองคำเข้ามา และยืนที่แท่นบูชา ทูตนั้นได้รับเครื่องหอมมากมาย สำหรับเผาถวายบนแท่นบูชาทองคำหน้าพระที่นั่งร่วมกับคำอธิษฐานของประชากรทั้งปวงของพระเจ้า ควันเครื่องหอมจากมือของทูตนั้นลอยขึ้นไป พร้อมกับคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้าสู่เบื้องพระพักตร์พระองค์”  (วิวรณ์ 8:3-4 TNCV)

 

พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราพึงพอใจมาก เมื่อเราอธิษฐานวิงวอนและขอบพระคุณ คือการพูดคุยสนิทสนมกับพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา  ในร่างกายของเราตลอดเวลา  เพราะว่าพระองค์ต้องการให้เรานั้นรับรู้ตลอดเวลาว่าพระองค์ทรงรักเราลูกลูกของพระองค์ดังแก้วตาดวงใจ  และไม่ทอดทิ้งเราไปไหน อยู่กับเราเสมอทุกลมหายใจเข้าออก  อยู่ฝ่ายเราคอยช่วยเหลือเรา ในทุกๆ เรื่องในทุกๆสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และจะจูงมือเราเดินไปจนถึงนิรันดร์

 

อย่ากลัวเลยลูก! จงมองให้เห็นเถิด! ทุกครั้งที่เราอธิษฐานวิงวอน และขอบพระคุณพูดคุย สัพเพเหระกับพระเจ้าพระองค์กำลังยิ้มชื่นชมยินดี ให้ความสำคัญและกุลีกุจอตอบคำอธิฐานให้กับลูกแต่ละคนอยู่ ด้วยความรักและห่วงใยอย่างมากมาย

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1313

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้องวันนี้เราพบกันแบบตื่นเต้นนิดหนึ่ง ครบรอบ 28 ปี คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ หรือคริสตจักรที่มีชื่อว่าอภิสุทธิสถาน ตอนที่ตั้งชื่อ ก็ไม่รู้หรอกว่าหมายความลึกซึ้งถึงขนาดนี้  แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับ 28 ปีนี้

ขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันเพ็นเตคอส ที่เขามีการฉลองกัน  จริงๆ เพ็นเตคอส เป็นเรื่องราวการฉลองเกี่ยวกับพระคัมภีร์เดิม คือสมัยโมเสส จริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับพวกเราผู้เป็นผู้เชื่อพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่  เพราะว่าเพ็นเตคอสเดิมเป็นเงาของเรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิด และพระองค์มาเกิดแล้ว และทำไปเรียบร้อยแล้ว ฉลองเพ็นเตคอสเก่ากลายเป็นอดีตไป

วันนี้เราก็มาพูดถึงพันธสัญญาใหม่ดีกว่า วันนี้เป็นวันอะไร? ผมจึงให้ชื่อเรื่องว่า “ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน” ก็หมายถึงมาฉลองวันสถาปนาร่างกายของมนุษย์ให้เป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าได้มาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์นั่นเอง เรียกว่าฉลองวันสถาปนาอภิสุทธิสถานทางฝ่ายวิญญาณ

อย่างที่ผมบอกอยู่เสมอ เรียนรู้เรื่องพระเจ้า ต้องเรียนรู้เรื่องราวทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เพราะพระเจ้าเป็นวิญญาณ ความรู้เรื่องวิญญาณเท่านั้นที่เป็นจริง พระเจ้าบอก เพราะฉะนั้น เรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ฉลองการสถาปนาอภิสุทธิสถานฝ่ายวิญญาณ ก็คือฉลองการสถาปนาวิหารของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงร่างกายของมนุษย์ทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง ฉลองที่พระเยซูบอก “สวรรค์ได้มาตั้งอยู่บนโลกแล้ว” ฉลองครบรอบ 1991 ปี พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ 1991 ปี สวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้  1991 ปีมาแล้ว  นับตามเวลาของทางฝ่ายวัตถุ บนโลกใบนี้ ซึ่งมีเวลากำกับ แต่ซึ่งเป็นนิรันดร์นั้น  ไม่มีเวลากำหนด ไม่มีเวลากำกับ ฉลองการทรงสถิตของพระเจ้า  ในผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันนี้ที่ผ่านมา 1991 ปีแล้ว

เป็นวันที่เราเฉลิมฉลองวันที่พระเยซูทำให้มนุษย์เป็นบ้านพักอาศัย เป็นที่อยู่ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จเรียบร้อยมา 1991 ปีแล้ว สำหรับโลกใบนี้ แต่สำหรับโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มันเกิดขึ้นและยังเป็นอยู่วันนี้ วานนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ บัดนาวเลยนะ ไม่มีปีกำหนด มนุษย์สามารถเป็นอภิสุทธิสถาน ที่ประทับของพระเจ้าได้นั่นเอง ซึ่งพระเยซูจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  และทางเดียวที่พระองค์ทรงกระทำ  และบอกว่าทำได้อย่างไร?  พระเยซูกำลังบอกว่าวิธีทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า  เป็นอภิสุทธิสถานที่ประทับของพระเจ้าได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือบังเกิดใหม่  พระเยซูบอกว่ามาบังเกิดใหม่ซะ เชื่อในคำของพระองค์ เชื่อในตัวพระองค์ พอเชื่อปุ๊บ ก็ได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในวิญญาณที่มาบังเกิดใหม่ได้  ซึ่งสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่เราก็รู้อยู่แล้ว เราเรียกกันว่าสวรรค์ เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ ก็คือสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกแล้วนั่นเอง อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เป็นอย่างนี้มาแล้ว บนโลก 1991 ปี และยังคงเป็นอยู่อย่างนี้ในโลกฝ่ายวิญญาณ

ท่านก็คงถามว่า … “แล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?”

นี่เรากำลังพูดถึงทางฝ่ายวิญญาณ คนสมัยก่อนเขาไม่เข้าใจ เขาก็งง พระเยซูบอกมาเกิดใหม่ จึงจะเข้าสวรรค์ได้ เขาก็ถามพระเยซู …

“จะให้ไปเกิดในครรภ์มารดาใหม่เหรอ กลับเข้ามาอยู่ในมดลูกใหม่หรืออย่างไร?”

พระเยซูบอก “ไม่ใช่ นี่กำลังพูดถึงทางวิญญาณ  เกิดใหม่ทางวิญญาณ”

เพราะวิญญาณ คือตัวจริงๆ ของเรา  มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณ และเป็นวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกายเท่านั้น เพราะฉะนั้น วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของเรานั่นเอง  เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูที่บอกว่าให้มาพึ่งพระองค์ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าได้ส่งมาช่วยมนุษย์ทุกคน  ให้รอดพ้นจากบาปเวรกรรมนั้น ถ้าใครเชื่อตรงนี้ พอเชื่อปุ๊บ  จะเกิดขบวนการ การบังเกิดใหม่  ซึ่งเรียกว่าขบวนการการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ  เขาคนนั้นจะได้รับการจัดการเข้าสู่ขบวนการบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ  เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ทันที ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้น วันนี้ เมื่อ 1991 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันเทศกาลเพ็นเตคอสของชาวยิว

ขบวนการการบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรงนี้ ผมอยากจะอธิบายสั้นๆ ง่ายๆ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  เหมือนกับการเข้าสู่การผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ ใครที่เชื่อในข่าวดี เชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามา เข็นเราเข้าสู่ห้องผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ  อะไรประมาณนั้น จะได้ง่ายๆ  โรม 6:3-6 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ชัดเจน ครบขบวนการการผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ …

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็ได้ถูกรับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาป ในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ  เมื่อเชื่อแล้ว  ก็ได้ถูกบัพติศมาเข้าในพระเยซู เชื่อแล้ว พระวิญญาณ ก็บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง มุดลง ใส่ลงไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำเรา ใส่ลงไป มุดเข้าไป มีส่วนเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผ่าตัดแล้วนะ  เอาวิญญาณของเรา เข้าไปในตัวของพระเยซูคริสต์ ผมถึงเปรียบเทียบเหมือนผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ เอาวิญญาณเราออก เข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ เข้าไปในพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ตายไปด้วย

ในข้อที่ 4 จึงบอกว่าฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้พร้อมพระองค์ คือวิญญาณเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกฝังไว้พร้อมพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็เป็นเช่นเดียวกัน  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระองค์ โดยการเข้าส่วนร่วมในความตาย  เพราะเราตายพร้อมพระองค์  อยู่ในพระองค์ตอนพระองค์ตาย แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิต บังเกิดใหม่ เห็นไหม? เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา

พูดง่ายๆ ว่าพอพระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ด้วยสง่าราศี ฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม  มากมายมหาศาล เป็นนิรันดร์ เราที่อยู่ในพระเยซู ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู โดยการผ่าตัดนั้น เราก็ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ได้รับส่วนวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูเลย พร้อมกับพระเยซูเลยทันที

ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ผ่าตัดแล้ว ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน คือบังเกิดใหม่เหมือนพระองค์เช่นเดียวกัน  นี่แหละคือเราได้บังเกิดใหม่  วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเหมือนพระเยซูเลย เห็นชัดไหมครับ?

อย่างที่ผมบอกโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีกำหนดเวลาว่ากี่ปีมาแล้ว  แต่โลกฝ่ายวิญญาณมีแต่เดี๋ยวนี้  วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คือ ณ เดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น ณ เดี๋ยวนี้ เราได้เป็นวิญญาณที่บังเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย เต็มด้วยสง่าราศี  วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ ก่อนที่จะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตายจากพระเจ้า  ตายจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า อยู่ในความพินาศนั้น  ได้รับการบังเกิดใหม่  โดยความเชื่อ  ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่มาเป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวิญญาณที่พร้อมที่จะให้พระเจ้ามาสถิตอยู่ พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาบัพติศมาผู้ที่เชื่อในพระเยซู ก็คือมาผ่าตัดผู้ที่เชื่อในพระเยซู เพื่อให้ผู้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชำระทั้งความคิดจิตใจ และทั้งวิญญาณ ให้ได้เกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมที่จะเป็นบ้าน ที่ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาอาศัยอยู่ได้  ซึ่งวิญญาณของมนุษย์ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น เรียกกันว่าอภิสุทธิสถาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด  ที่สถิตอยู่ของพระเจ้านั่นเอง

ซึ่งเรื่องนี้ ในสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิด  พระเจ้าได้ทำรูปแบบบอกถึงเงาของเรื่องนี้ บอกเรื่องราวเรื่องนี้ก่อนล่วงหน้าแล้ว  โดยให้มนุษย์สร้างพลับพลา ที่จำลองพลับพลาในสวรรค์ ก็คือพลับพลาวิหารในสมัยโมเสส ซึ่งแบ่งออกเป็นลานชั้นนอก  สถานที่บริสุทธิ์ และสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด  อภิสุทธิสถาน ข้างในสุด เป็นที่ประทับของพระเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาอยู่ เรียกว่า Holy of Holies คืออภิสุทธิสถาน สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

แล้วคนจะเข้าไปในวิหารนี้ ไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดได้  เพราะมนุษย์สกปรก จะเข้าไปได้เพียงคนเดียวที่เรียกว่ามหาปุโรหิต ซึ่งเข้าไปได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เพื่อนำเลือดสัตว์เข้าไปไถ่บาปชั่วคราวให้กับมนุษย์  ให้กับประชากรชาวอิสราเอลของพระเจ้า ใครก็ตามที่เชื่อ

และก่อนเข้าไป ต้องเตรียมตัว นี่ขนาดมหาปุโรหิต ต้องดำเนินชีวิตอย่างละเอียดถี่ยิ๊บ สะอาดหมดจดทางด้านปฏิบัติ กฎระเบียบเยอะแยะมากมาย  และก่อนที่จะเข้าไป ก่อนวันชำระบาปชั่วคราว ก่อนวันนั้นจะต้องทำละเอียดมากยิ่งขึ้น  ต้องอาบน้ำ ผ้าป่านต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ที่สุด เล็บก็ต้องสะอาด พลาดไม่ได้นะ พลาดนิดเดียว ตาย  มหาปุโรหิตที่ต้องเข้าไป ในห้องชั้นใน  อภิสุทธิสถาน ต้องเอาเชือกมัดที่ขาไว้ แล้วจะมีกระดิ่งห้อยอยู่ ถ้าเผื่อกระดิ่งเงียบไปเมื่อไร ก็กระตุกดูขา ถ้าไม่มีการโต้ตอบอะไร? เสียงกระดิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่ง ก็ลากออกมา เพราะว่าตายแล้ว  เพราะว่ามนุษย์สกปรก ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเข้ากับความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์ เป็นอำนาจของพระเจ้าได้  คิดดูสิว่าสถานที่ที่สถิตของพระเจ้านั้น บริสุทธิ์ สะอาดอย่างไร?  บริสุทธิ์แค่ไหน? นี่ขนาดสมัยโมเสสที่เขียนเอาไว้นะ

เพราะฉะนั้น เมื่อบอกว่ามนุษย์ได้สามารถเป็นอภิสุทธิสถานได้แล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่ได้แล้ว  คนสมัยนั้น โดยเฉพาะชาวยิวที่รู้เรื่องราวเหล่านี้ ตกใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?  พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้อย่างไร? มันเป็นอัศจรรย์มากยิ่งใหญ่เลย สำหรับผู้คนในสมัยนั้น  ในฮีบรู 10:14 ได้พูดถึงเรื่องนี้ เทียบกันกับเรื่องของโมเสส แล้วกับเรื่องของพระเยซูคริสต์ มาเพื่อเป็นมหาปุโรหิตทางฝ่ายวิญญาณเข้าไปทำการไถ่บาปนิรันดร์ให้กับเราอย่างไร? …

ฮีบรู 10:14 “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

 

“บูชาเพียงครั้งเดียว พระเยซูก็ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ชำระแบบสมบูรณ์ครบถ้วน ตลอดไป”

ตลอดกาล สมัยโมเสสเขาไถ่ปีต่อปี  นี่เอาบาปออกไปเลย ให้เขาบริสุทธิ์ สะอาดตลอดไป  ความหมายเดิมของการชำระสะอาดบริสุทธิ์ คือการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินใดๆ ก็คือปราศจากบาปใดๆ เลย  ขาวมาก พูดง่ายๆ และยังหมายถึงอะไรอีก คำนี้ คำที่บอกว่าชำระให้บริสุทธิ์ หมายถึงการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นของที่แยกส่วนออกมา สำหรับพระเจ้าใช้ เป็นส่วนพระองค์โดยเฉพาะ  แยกส่วนออกมาต่างหาก และในนี้บอก ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดไป  พูดง่ายๆ มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ มาเป็นของพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์จะสามารถใช้ได้ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด นั่นหมายถึงอย่างนั้น และเป็นอย่างนี้ตลอดไป  ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะในนี้บอกว่าโดยการบูชาเพียงครั้งเดียว คือการถวายบูชาของพระเยซูคริสต์ คือการตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง  ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดอย่างนี้แหละ

การถวายบูชาตรงนี้ คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์ทรงถวายพระกายของพระองค์ เป็นตัวแทน รับโทษบาป  และหลั่งพระโลหิตชำระล้างบาป ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญในข้อนี้ ก็คือถวายบูชาเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนทั้งหลายถึงความสมบูรณ์พร้อมตลอดไป  ก็คือสะอาดหมดจดตลอดไปเลย

การถวายบูชาของพระเยซูเพียงครั้งเดียว ทำให้เราได้รับการชำระ ได้ถูกแยกส่วน ทำให้เราบริสุทธิ์สะอาด  ปราศจากบาป ปราศจากตำหนิ ปราศจากมลทินใดๆ ตลอดไป คือตลอดกาลเลย

นี่เรากำลังพูดถึงทางวิญญาณ บางคนอาจเคยได้ยินคำว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะคอยชำระล้างเรา คอยขัดเกลาเราไปเรื่อยๆ ให้สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ  เคยได้ยินใช่ไหมที่บางคนบอกว่าเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ ชำระล้างเรา ขัดเกลาเราให้สะอาดขึ้น เรื่อยๆ ให้มีชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ ที่บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้น เราอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ เราจึงเข้าใจว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  ไม่มีคำว่าค่อยๆ ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้แล้ว ได้ทำการชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยการตายเพียงครั้งเดียวของพระเยซูคริสต์

“ได้” แปลว่าทำไปแล้ว ได้ชำระล้างมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้วให้บริสุทธิ์สะอาดตลอดไป  เพราะฉะนั้น พระเยซูกระทำเพียงครั้งเดียว เราก็ได้รับการชำระให้สะอาดหมดจด และสะอาดอย่างนั้นตลอดไป ถาวรนิรันดร์ เพราะฉะนั้น ไม่มีการค่อยๆ ชำระล้างเราให้สะอาดหมดจด ไม่มีการมาค่อยๆ ทำทีละนิดทีละหน่อย  เพราะพระเยซูทำเพียงครั้งเดียว

แต่ที่บอกว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  ค่อยๆ บริสุทธิ์ขึ้นนั้น หมายถึงการเจริญเติบโตของชีวิต คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว หมายถึงความรู้ในเรื่องพระเจ้า ในเรื่องวิญญาณ  ที่จะต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป  หลังจากที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว มันคนละเรื่องกัน  นั่นหมายถึงค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หมายถึงชีวิตที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่เกี่ยวอะไรกับการบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่ ณ วินาทีนั้น เมื่อบังเกิดใหม่ สะอาดหมดจดครั้งเดียวเป็นพอ  วันที่เราได้รับการบังเกิดใหม่  วิญญาณของเราได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์สะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว ณ วินาทีนั้นจริงๆ เลย ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ   แต่สติปัญญาและความรู้ในทางพระเจ้า เราอาจจะยังมีไม่มากพอ  เพิ่งอุแว้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  เพิ่งบังเกิดทางโลกฝ่ายวิญญาณ ความรู้ สติปัญญาทางฝ่ายวิญญาณ  เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ายังน้อยอยู่ นี่คือสิ่งที่บอกว่าค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ฝึกฝน ไม่ใช่ค่อยๆ ทำ ให้เราสะอาดบริสุทธิ์ เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ค่อยๆ ฝึกฝนดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความบริสุทธิ์สะอาด ที่เราเป็นอยู่แล้วนั้น  นั่นหมายถึงอย่างนี้  เหมือนเด็กเล็กๆ  เราพึ่งเกิดใหม่ ยังเล็กๆ อยู่ ค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป

ฉะนั้น สถานที่หนึ่งในร่างกายที่บริสุทธิ์ที่สุด  ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ถามว่าที่นั่นคือที่ไหน? อ่านข้อความนี้จะรู้เลยว่าในร่างกายของเรา เป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่ ศักดิ์สิทธิ์มาก และที่นั่น ก็คือที่ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณของเรานั่นเอง 1 โครินธ์ 3:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตอยู่ในพวกท่าน”

 

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ!” คือบอกมาแล้ว ประกาศให้ฟังแล้ว “ท่านรู้แล้วว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

ร่างกายเป็นวิหาร แล้วตรงไหนที่เรียกว่าบริสุทธิ์ที่สุด ก็ตรงที่ “วิญญาณของท่าน” นั่นเอง  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เกิดขึ้นแล้ว สำเร็จแล้วในโลกวิญญาณ เป็นอยู่แล้วตอนนี้จริงๆ  ไม่ใช่ขบวนการการเป็นขึ้น  แต่มันเป็นขึ้นทันทีเลย  เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับความจริงนี้ ข่าวดีในโลกวิญญาณว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มาทำทางไปสู่สวรรค์ ทำทางให้ท่านสามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้าได้ และที่อยู่อาศัยของพระเจ้า ก็คือสวรรค์นั่นเอง  และพระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ทันที ณ บัดนาว และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป

เน้นอยู่คำเดียว คือคำว่า “สำเร็จ” แล้ว เมื่อสำเร็จแล้ว มันก็เป็นอยู่แล้ว  ชีวิตคริสเตียน หรือชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือชีวิตที่ดำเนินอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  คือชีวิตที่ดำเนินอยู่ในความสำเร็จของพระเจ้า ที่กระทำงานสำเร็จ ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อ ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง  เข้าไปตอนที่เขาเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับสวรรค์นั่นเอง ต้อนรับพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวเขา ก็คือต้อนรับสวรรค์ นั่นแหละ เขาเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนั้นเลยทันที  และจะอยู่ที่นั่นตลอดไป  วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เพราะในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีเวลากำหนด เขาเรียกว่า โลกวิญญาณนิรันดร์ เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์คนนั้นได้บังเกิดใหม่ ใครก็ตามที่บังเกิดใหม่ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ชำระเรา ให้เราได้มีโอกาสบังเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณได้ เกิดขึ้นเมื่อเราบังเกิดใหม่ในปัจจุบัน ในขณะนี้ ทันทีเลย ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เดี๋ยวนี้  ในปัจจุบันในขณะนี้  เราก็จะได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์

ถามว่าบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร?  ที่พระเจ้าสามารถเข้ามาอยู่กับเราได้  เรามาอ่านในพระคัมภีร์ที่บอกเราดีกว่าว่าคำว่า “สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ แยกส่วนมาเป็นของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ได้บอกเราว่าอย่างไรว่าตอนที่เราบังเกิดใหม่ วิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่ มีลักษณะเป็นอย่างไร?  ในหนังสือยอห์น 17:22-23

ยอห์น 17:22-23 “22 เกียรติสิริซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน 23 คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

บริสุทธิ์สะอาดขนาดไหน?  พูดง่ายๆ ก็คือบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระองค์ เป็นอยู่นานเท่าไร? ตลอดไป วิญญาณเกิดใหม่บริสุทธิ์สะอาดอย่างนี้แหละ

และต้นของข้อ 22 บอกว่า “เกียรติและสิริ” หมายถึงพระสิริ ความสง่างาม รัศมีอันเจิดจ้า ความงดงาม คุณลักษณะของพระเยซู ซึ่งพระเจ้าประทานให้  ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3  พระเยซูตรัสว่าเกียรติสิริ ที่พระบิดาประทานให้กับข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบ แบ่งให้พวกเขาแล้ว  พวกเขาผู้ที่เชื่อในข่าวดี เชื่อในข้าพระองค์ เชื่อในความรอด ในทางพระเยซูคริสต์ โดยที่พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ เมื่อเชื่อตรงนี้ปุ๊บ เขาผู้นั้น ได้บังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ของเขานั้น เกิดโดยวิญญาณ ที่เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ๆ พูดง่ายๆ เหมือนพระเยซูแบ่งวิญญาณของพระองค์ ให้เป็นวิญญาณที่เกิดขึ้นใหม่ของผู้เชื่อนั่นเอง  มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านลองคิดดูว่าบริสุทธิ์ขนาดไหน? บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเต็มด้วยสง่าราศี  เต็มด้วยพระสิริเหมือนพระเยซูเลย

ใน 1 ยอห์น 4:17 ได้อธิบายตรงนี้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง …  “แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้า ถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”

 

“แบบนี้สิ” ก็คือการเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนี้แหละ  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ตายร่วมกัน ฝังไว้ร่วมกัน เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซู การเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนี้  ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นในในวันพิพากษา ที่เรามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ ก็คือวิญญาณของเราที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ขณะนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์ เหมือนกับพระเยซูไม่มีผิด เป็นเหมือนพระองค์เดี๋ยวนี้ ที่นี่ แบบนี้เลยตลอดไป ไม่ใช่รอให้เราทิ้งร่างโลกนี้ก่อน แล้วจากโลกนี้ไป ถึงเป็นเหมือนพระเยซู เป็นเดี๋ยวนี้เลย ณ บัดนาว ทันทีเลย  เพียงแต่ว่าเมื่อจากโลกนี้ไป ทิ้งร่างนี้ไป พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับเรา เพื่อวิญญาณของเราจะได้สวมร่างใหม่  มันเป็นอย่างนั้น และเราเป็นอยู่ ณ บัดนาว  ณ เดี๋ยวนี้เลย เหมือนพระเยซู คือ พระเยซูเป็นอย่างไร? ก็เป็นความชอบธรรม เป็นคนดี เป็นแสงสว่าง  เป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเจ้า เราก็เหมือนพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไป  เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในวันพิพากษา วันพิพากษา คือวันสิ้นโลกนี้  วันที่จะตัดสินทุกคนว่าจะอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์นิรันดร์ หรืออยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง เรามั่นใจ  เราอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ มั่นใจ เพราะเดี๋ยวนี้ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

คุณลักษณะของพระเยซู ก็เป็นคุณลักษณะวิญญาณของเราข้างใน คือเต็มไปด้วยสันติสุข ชื่นชมยินดี ความดีงาม  ความรัก ความอดทนนาน  เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ อยู่เหนือวิญญาณชั่ว วิญญาณต่างๆ ทั้งหมดที่มีฤทธิ์อะไรต่างๆ  ที่พระคัมภีร์บอก ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ อยู่ในตัวเรา เป็นคุณลักษณะของเรา และอื่นๆ อีกมากมาย ก็เป็นลักษณะธรรมชาติของเรา ที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูแล้วเดี๋ยวนี้  ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย ทีเดียว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่อาศัยในวิญญาณของเรา โดยความเชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด จากบาป ผู้ที่จะมาชำระเราให้สะอาดหมดจดได้ ตามที่พระเจ้าได้ทรงส่งมา เมื่อเชื่อ พระเยซูก็เข้ามาชำระล้างเราให้สะอาดหมดจด พร้อมกับเคลียร์ให้เรียบร้อย สะอาด เช็ด ปัด กวาด ถูทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อที่จะให้พระเจ้า เสด็จเข้ามาสถิตอยู่ ซึ่งเมื่อพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ ทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ 3 พระภาคก็เข้ามาอยู่ด้วย  มันหมายถึงอย่างนั้น

1 ยอห์น 3:2 ได้บันทึกอย่างนี้เช่นเดียวกัน … “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร? แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ร่างกายที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

 

นี่แหละเรื่องความจริง สติปัญญาที่เรากำลังเล่าเรียนกันอยู่ ในเรื่องทางพระคัมภีร์ ทางพระเจ้า พระเยซูนั้น คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณจริงๆ เท่านั้น  ใน 1 ยอห์น 3:2 ที่ตะกี้เราอ่าน “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น  เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ” แต่เรายังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร? คือเรายังไม่เห็นชัดเจนว่าการเป็นลูกพระเจ้ามันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร? มันเป็นลักษณะอย่างไร?  ได้แต่ฟังและเชื่อจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา  แต่มันเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่ตาเราไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น ไม่สามารถที่จะเข้าใจถ่องแท้ได้ว่าเป็นลูกพระเจ้าเป็นอย่างไร?

แต่ในนี้บอกว่า “แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมา” ก็คือวันสิ้นโลก เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ ก็คือร่างกายเราจะเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนร่างกายของพระองค์ที่เป็นขึ้นจากความตาย เพราะเราจะเห็นพระองค์จริงๆ อย่างพระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น พูดง่ายๆ วันนั้นมาถึงปุ๊บ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราจะเห็นตัวเราเองชัดเจนว่าเราเป็นลูกพระเจ้า หน้าตาเรา ลักษณะเราจริงๆ เป็นอย่างไร?  ตอนนี้เรายังไม่เห็นชัด เพียงแต่รู้ตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราเท่านั้นเอง  ใน 1 โครินธ์ 13:12 ก็พูดในลักษณะนี้ว่า …

1 โครินธ์ 13:12 “เพราะว่าเวลานี้ เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้  ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้ง เหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”

 

เวลานี้ เวลาที่อยู่บนโลกใบนี้  ตาทางฝ่ายวิญญาณจะมองไม่เห็น ได้แต่ฟังและเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราที่เกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดหมดจด เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี บริสุทธิ์ มันไม่เห็น

ในนี้ยกตัวอย่างว่าในขณะนี้ ตอนที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในโลกใบนี้อยู่ เราจะเห็นความจริงเหล่านี้เพียงแค่สลัวๆ เป็นเงาเท่านั้นเอง เพราะว่าได้ยินได้ฟัง ได้จินตนาการจากถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเท่านั้น “แต่ในเวลานั้น เราจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า” ก็คือเวลาเราจากโลกนี้ไป  ทิ้งร่างไปแล้ว ไม่มีอะไรมาบังตาเราอีกแล้ว เราไม่ต้องมองดูในกระจกอีกแล้ว  เพราะมองดูกระจกเห็นแต่ตัวเอง คราวนี้เราสามารถเห็นความเป็นจริงได้แล้ว  “เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน” ก็เหมือนมองในกระจกจะเห็นทางฝ่ายวิญญาณไหมว่าตัวเรา วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเยซู สง่าราศีที่เต็มไปหมด มองดูในกระจกเงา ก็เห็นแต่ภาพร่างกายตัวเองที่ทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ กระขึ้นมาทุกวันๆ ผิวหนังเหี่ยวลงไปทุกวันๆ ผมร่วงลงไปทุกวันๆ มันหมายถึงอย่างนั้น  แต่เราไม่เห็นวิญญาณของเราที่เจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ เรารู้เพียงบางส่วน ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ในเวลานั้น คือเวลาที่เราออกจากร่างไปเมื่อไร เราจะเห็นแจ้งชัดเจนเลย  เราจะรู้ตัวเราเองเป็นอย่างไร? เหมือนที่พระเจ้าเห็นเราทุกวันนี้เป็นอย่างไร? ก็เป็นอย่างนั้นล่ะ เห็นชัดเจนเลย  ไม่มีอะไรมาปิดบังแล้ว  เพราะฉะนั้นเราจึงสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่อาศัยอยู่ของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้าเลย ณ บัดนาว ณ เดี๋ยวนี้  ขณะที่อยู่ในร่างกายนี้อยู่  เพราะพระคัมภีร์บอกร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา วิญญาณตัวของเราจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไปนั้น สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู

หลายท่านฟังอย่างนี้ ก็จะคิดว่า … “อ้าว! ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว ยังทำบาปอยู่ แล้วจะบริสุทธิ์ สะอาดอยู่ได้อย่างไร?”

ท่านต้องคิดในใจใช่ไหม? รู้อย่างนี้ ก็อยากตอบว่าก็เพราะว่าท่านต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  กระทำตามการล่อลวงให้ดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่อยู่ข้างใน เพราะว่าท่านยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตหลังการบังเกิดใหม่แล้วนั่นเอง ไม่คุ้นเคย เพิ่งจะเกิด ต้องใช้เวลาเรียนรู้ โดยพี่เลี้ยง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ นำเรา สอนเราด้วยความรัก ให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับตัวจริงๆ ของเรา ในวิญญาณของเราข้างในที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีนั้น พูดง่ายๆ เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่บังเกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้วในโลกวิญญาณ  บอก …

“เป็นลูกคนแล้วทำไมยังเล่นอึ เล่นฉี่ ยังคลานอยู่ ไม่เห็นแสดงออกเป็นเหมือนคนตามธรรมชาติที่เกิดเลยล่ะ”

ถ้าถามอย่างนี้ ท่านจะบอกว่าอย่างไร? อ๋อ! เล่นอึ เล่นฉี่ ยังคลานอยู่ เดินก็ยังไม่ได้ ยังไม่แสดงออกถึงการเป็นคน ตามธรรมชาติที่เขาเกิดได้เต็มที่ เพราะต้องรอการเจริญเติบโตใช่ไหม? ค่อยๆ เรียนรู้ ในการเป็นคน ในการดำเนินชีวิตแบบคน ตามธรรมชาติที่เกิดเป็นคน ท่านจะสังเกตเห็น

ฉันใดก็ฉันนั้น เกิดทางวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยข้างใน ก็เช่นเดียวกัน ที่ทำบาปเหล่านั้น พระคัมภีร์ใช้คำว่า … “เราทุกคนล้มลงได้หลายทาง” หนังสือยากอบบอกไว้ พูดง่ายๆ เราทุกคนสามารถทำบาป  แล้วก็ดื้อกับพระเจ้าได้หลายทาง  ถูกล่อลวงได้หลายทาง ตลอดชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยระบบของความบาป  ซึ่งครอบงำโดยมาร ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วยังมีความคิด ความเคยชินในการกระทำเดิมๆ เป็นอัตโนมัติเก่าๆ ในร่างกายนี้อยู่ ในความคิดนี้อยู่ ซึ่งเป็นความคิดเก่าๆ ที่มีอยู่ ดำเนินอยู่ก่อนที่จะบังเกิดใหม่  ก่อนที่จะรับเชื่อพระเยซู ศัตรูของพระเจ้าเหล่านี้ ทั้งระบบของโลกและความคิดเก่าๆ ของเรา  จะคอยยุแยง นำเสนอให้เราตัดสินใจ หลงไปเชื่อมัน ก็ไม่เชื่อแม่ ไม่เชื่อพ่อ  ก็กลายเป็นดื้อต่อพระเจ้า  เรียกว่าบาป เหมือนกับเราเป็นพ่อแม่ ส่งลูกเราไปโรงเรียน คล้ายๆ อย่างนั้น  เราก็สั่งลูกของเราว่า …

“ลูกเอ่ย ระวังนะ ไปโรงเรียนระหว่างทาง อย่าไปให้ความสนิทสนม อย่าไปคบ อย่าไปฟัง พวกมิจฉาชีพที่คอยหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราดื้อและไม่เชื่อฟัง มันไม่ดี มันหวังร้ายต่อเรา เชื่อพ่อเชื่อแม่นะ เดินตรงกลับบ้านเลย”

คล้ายๆ อย่างนี้  มิจฉาชีพก็มาล่อลวงอันโน้นอันนี้ทุกวันๆ  บางครั้งเราก็เผลอไปฟังมัน แล้วเราก็ทำตาม บางครั้งเราก็เผลอไปติดยาเสพติด ยกตัวอย่างอย่างนี้ชัด พ่อแม่เตือนระวังๆ อย่าไปฟังเขานะ  เขาบอกให้ลอง ก็อย่าไปยุ่งกับเขา  ลองสักนิดหนึ่ง ดื้อเห็นไหม?  พ่อบอกไม่ให้ลอง ขอลองสักนิดหนึ่ง ลองไปลองมาคราวนี้ติด ชีวิตเสียหาย ยับเยินมากมาย  แต่ถึงจะยับเยิบมากมายอย่างไร? เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ใช่หรือไม่? จะติดยาเสพติดขนาดไหน? ดื้อขนาดไหน?  ก็ยังเป็นลูกของเราอยู่ ซึ่งการกระทำ ดื้อ ไม่ทำตาม ไม่เชื่อฟัง มันไม่มีผลกระทบอะไรต่อธรรมชาติที่เราหรือเขาได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าเลย ถูกไหม? พูดง่ายๆ คือความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระเยซูได้รับมา โดยการเกิดใหม่  คือบังเกิดขึ้น แล้วเป็นเลย

พูดง่ายๆ เกิดแล้ว เป็นแล้ว ก็เป็นเลย  เป็นลูกแล้ว ก็เป็นเลย ไม่ว่าจะดื้อกี่ครั้ง จะล้มลงกี่ครั้งก็ตาม เหมือนพระคัมภีร์ที่บอกว่าจะล้มกี่ครั้ง ดื้อกี่ครั้ง พระเจ้าก็จะเขี่ยเรากระเด็นออกจากการเป็นลูก ไม่ใช่ พระเจ้าก็จะอุ้มชูเราขึ้นมา ด้วยความรัก และไม่มีวันทอดทิ้งเราเลย จำได้ไหม? พระคัมภีร์เดิมก็เขียนไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์ใหม่ก็เขียนไว้อย่างนั้น

“แม้ล้มลง แม้ล้มลง ฉันจะไม่ถูกทอดทิ้ง

เพราะพระคริสต์ทรงค้ำชูฉันด้วยพระหัตถ์

ด้วยพระหัตถ์ ด้วยพระหัตถ์”

แม้ล้มลงกี่ครั้งก็ตาม เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่นั่นแหละ พระเจ้าก็จะอุ้มเราขึ้นมา …

“บอกแล้วไงว่าอย่าดื้อ”

นี่คือความหมายที่แท้จริงของการบังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มาเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สะอาด หมดจด เข้ากันได้ สำหรับที่จะให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในร่างกายนี้  ตรงที่วิญญาณที่บังเกิดใหม่นั้นแล้ว  ซึ่งได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ และโดยสามัญสำนึกไม่มีมนุษย์คนไหน หรือเด็กคนไหนที่อยากจะดื้อ ล้มลงไป สักนิดหนึ่ง มีแต่ถูกล่อลวง ถูกหลอก เพราะโดยสามัญสำนึกมันเจ็บใช่ไหมล่ะ ล้มลง

คริสเตียนก็เหมือนกันไม่มีผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ยังอยากจะดื้อ หรืออยากจะทำบาป ไม่มีหรอก เพราะธรรมชาติได้ถูกเปลี่ยนไป เป็นธรรมชาติของความบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากจะล้มลง  เพราะล้มลงมันเจ็บ และมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาอีกต่อไปแล้ว  ข้างในไม่สบายใจ ถ้าขืนดื้อและไปทำบาปกับพระเจ้า แล้วจะทำบาปไปได้นานไหมเนี้ย  ถ้าเป็นอย่างนั้น มันเหมือนถูกล่อลวงให้หลงไปชั่วขณะ เหมือนกับปลาที่ถูกล่อให้ขึ้นมากินมด พอน้ำลดลงไป ลงไม่ทัน อยู่บนบก ดิ้นพรวดๆ จะตายให้ได้ เพราะว่าไม่มีน้ำ

เหมือนปลา ปลาอยากอยู่ในน้ำฉันใด ผู้ที่เชื่อและบังเกิดใหม่ในพระเยซู ที่สะอาดหมดจดแล้ว ตามธรรมชาตินั้น ก็อยากจะอยู่ในความดีงาม อยากจะเชื่อฟังต่อพระเจ้าอย่างนั้นแหละ เพียงแต่บางครั้งมันถูกล่อลวงเท่านั้นเอง ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกข้อนี้ และผมก็มั่นใจตามข้อพระคัมภีร์ คือข้อพระคัมภีร์ที่อยู่ในฟีลิปปี 1:6 ที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ผมมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

พูดง่ายๆ พระเจ้าผู้เริ่มต้นการงานดี คือทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด หมดจด วิญญาณของท่านเนี๊ยบ วิญญาณของท่านเหมือนพระเยซูเลย ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าจะสานต่อในวิถีชีวิตของท่านจนเสร็จสมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ในวันของพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น  สรุปวันนี้ ก็คือเรามาฉลอง รำลึกถึงวันสถาปนาอภิสุทธิสถาน ถามว่าใช้คำว่ารำลึกถึง ก็แสดงว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เราไม่ต้องทำแล้ว เราถึงมารำลึก เราไม่ได้ทำให้เกิดขึ้น พระเยซูทำให้เกิดขึ้น เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  รำลึกถึงสวรรค์ที่ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขณะนี้ตั้งอยู่หรือเปล่า? ตั้งอยู่ และตั้งอยู่ขณะนี้ ถึงเมื่อไร? วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ชั่วนิรันดร์นั่นเอง

และข้อสำคัญ ก็คือเราผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว  เราก็ได้อยู่ในสวรรค์นี้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เลย เราจึงมาฉลองในความเสร็จสิ้น เรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นแล้ว ฉลองในความสำเร็จ ที่ถูกกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  เมื่อ 1991 ปีในทางโลก แต่ในทางวิญญาณได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ Now

“พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เดี๋ยวนี้ๆ”

เราก็อยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ แต่ในวิญญาณเราอยู่ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้วเดี๋ยวนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในโลกวิญญาณเราจึงจำเป็นต้องมองให้เห็นตามที่พระเจ้าได้อธิบาย ได้สอนเราทางโลกวิญญาณ เพราะตาเรามองไม่เห็นในโลกมนุษย์ ความคิดก็ไม่สามารถเข้าใจได้ สติปัญญามนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้  เราต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์จึงชอบใช้คำนี้ว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด”

ไม่เห็นใช่ไหม? จงมองให้เห็น ผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า มองในกระจกเห็นไหม? ไม่เห็น มองในกระจก เห็นตัวเอง  เห็นร่างกายตัวเองทรุดโทรมไป  ไม่เห็นวิญญาณ แต่พระคัมภีร์บอกมองในกระจก จงมองให้เห็น ทะลุกระจกออกไปให้ได้  ด้วยความเชื่อ ไปดูในโลกฝ่ายวิญญาณว่าท่านเป็นใคร?  ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นอย่างนี้  พระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว รำลึกถึง คือมาย้ำ มารับรู้ เพื่อจะได้ไม่ลืมความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้ว ด้วยความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความเสียสละ ด้วยความรักอันมากมายมหาศาล เพื่อต้องการให้มนุษย์ทุกๆ คนได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไปด้วย เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญที่เป็นอภิมหาอมตะ ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคนด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจ

ของขวัญนี้ คือมนุษย์ทุกคนสามารถเกิดใหม่ได้ และมาเป็นอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ ที่สถิตของพระเจ้าได้ ก็คือสามารถเข้ามาอยู่ในสวรรค์ และพระเจ้าสามารถเข้าไปอยู่ในเขาได้ทันที ขณะนี้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย  และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดนิรันดร์ เพียงแต่ว่าเมื่อวันหนึ่งมาถึง วันที่ออกจากร่าง วิญญาณของเราที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น ก็จะได้รับร่างกายใหม่ สวมแทนร่างกายเดิมนี้ที่ตายไปแล้ว ร่างกายใหม่ ก็จะเหมือนร่างกายที่พระเยซูคริสต์ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราก็จะเข้าไปอยู่ สวมร่างกายใหม่นี้  และอยู่ในสวรรค์ที่เป็นวัตถุ โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ ให้กับเราได้อยู่อาศัยต่อไปนิรันดร์

เพราะฉะนั้น ให้เรารำลึกถึงวันนี้และขอบคุณพระเจ้าในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ให้เรามองทะลุไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ก็เหมือนกับที่บอกมองทะลุกระจก ตื่นขึ้นมา หรือเมื่อไรก็ตามที่ดูในกระจกเงา เห็นตัวเองที่ทรุดโทรมลงไปทุกวัน ต่อไปนี้มองดูในกระจกเงาแล้วบวกด้วยความเชื่อ มองทะลุกระจกเงานั้นไป เห็นร่างกายฝ่ายวิญญาณของเรา เห็นวิญญาณของเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว  เป็นอยู่แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลย  แล้วเห็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคสถิตอยู่ด้วย ล้อมรอบวิญญาณของเราอยู่ในร่างกายนี้

นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น มันเป็นจริงอยู่อย่างนี้ และมันจะเป็นจริงอยู่อย่างนี้วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เพราะมันเป็นของจริง เพียงแต่ตาเรามองไม่เห็นตอนนี้ เหมือนกับถามว่าตอนนี้ผมเห็นกล้องไหม? ผมไม่เห็นกล้อง กล้องยังมีอยู่ไหม? กล้องยังมีอยู่ แต่ผมไม่เห็น เพราะมือผมไปบัง พอผมเอามือออก กล้องมันก็อยู่ที่เดิม มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นจริงๆ  เช่นเดียวกันทางโลกฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเป็นเหมือนพระเยซู แต่เนื้อหนังร่างกายนี้  ที่เราอยู่อาศัยบนโลกใบนี้บังเราอยู่ ไม่ให้เราเห็นชัดเจน  แต่วันหนึ่งเมื่อร่างกายนี้สูญสิ้นไป เราก็เห็นตัวตนแท้จริงของเรา มีสง่าราศีครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูเลยทันที ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

การเสียสละของพระเยซูคริสต์  โดยการยอมทนทุกข์ทรมาน   ยอมถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม  ถูกเฆี่ยนตี  ถูกตรึง และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เป็นการไถ่เราทั้งหลาย  ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า …

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” (กาลาเทีย 3:13)

 

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอมเสียสละมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมถ่อมใจ ทนทุกข์ทรมาน ยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์  เพื่อพวกเราทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป เราอาจเคยได้ยินว่ามีบางคนที่อาจยอมเสียสละชีวิตตัวเอง  เพื่อคนที่รัก  หรือเพื่อคนดี แต่ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ   มีเพียงพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้น   ที่ยอมตายเพื่อคนบาป  เพื่อคนผิด …

“เมื่อเรายังไร้กำลัง พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาป ในเวลาอันเหมาะ น้อยนักที่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม แม้ว่าอาจจะมีบางคน กล้าที่จะตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา”   (โรม 5:6-8)

 

พระคัมภีร์บอกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นการมารับเอาคำสาปแช่งจากเรา ไปไว้ที่พระองค์ และผลของการหลุดพ้นจากคำแช่งสาป ก็คือไม่มีการลงโทษอีกแล้ว เพราะพระเยซูมารับโทษแทนไปแล้ว  มาปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากโทษของความบาปแล้ว

“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”  (โรม 8:1-2)

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1312

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “ใครกันล่ะ? ที่เอาชนะโลกนี้ได้”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

 

เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “ความสุขแท้ไม่มีในโลก” จริงไหมครับ? สุขแท้จริงไม่มีในโลก

เขาบอกกันอย่างนี้ว่า “ความสุขในโลก คือความทุกข์ที่มันน้อยลงนิดหนึ่ง” ก็แสดงว่าพื้นฐานมันเป็นความทุกข์ทั้งหมด  ความสุข คือความทุกข์ที่ลดน้อยนิดหนึ่ง เหมือนเราอยู่ในทะเล คลื่นทะเลไม่เคยสงบ น้อยมากที่จะสงบ เราบอกสงบ แต่จริงๆ มันมีคลื่นอยู่ แต่คลื่นมันเบาลง แต่ทะเลชีวิต คลื่นส่วนใหญ่รุนแรงทั้งสิ้น  พอมันเบาลงนิดหนึ่ง เรารู้สึกมีสุข แต่จริงๆ แล้ว มันก็คือความทุกข์นั่นเอง เพราะฉะนั้น ความสุขที่เรามีอยู่ ในขณะนี้ เดี่ยวมันก็มาระลอกใหม่ ด้วยความทุกข์นั่นเอง มาแทนที่ เพราะฉะนั้น สุขไม่มี มีแต่ทุกข์น้อย ทุกข์มาก บนโลกใบนี้ นี่คือความจริง  ซึ่งใครๆ ก็ยอมรับ สุขแท้จริงไม่มี โลกใบนี้มีแต่ … เหมือนที่เขาบอกประเทศไทยมี 3 ฤดู คือฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนที่สุด  และในปัจจุบันเพิ่มอีกฤดูหนึ่ง  เป็นฤดูที่ 4 คือร้อนมากที่สุดเลย  เช่นเดียวกัน โลกใบนี้  เต็มด้วยความทุกข์ เพียงแต่ว่ามีทุกข์น้อย ทุกข์มาก ทุกข์มากที่สุด และทุกข์มากที่สุด  (เติมเอาเองนะ)

แต่ไหนแต่ไรมา ความทุกข์ก็มีอยู่กับมนุษย์ตลอดมา เสมอไป  ความโลภ ก็ทำให้เป็นทุกข์ โลภทุกอย่าง ก็เป็นทุกข์ แล้วเราชนะโลภได้ไหม?  ไม่มีใครชนะได้สักคน ผมเห็น ชนะตรงนี้ ก็ไปโลภตรงอื่นแทน  มันยากมาก สิ่งที่เราไม่อยากทำและรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งชั่ว เกิดผลไม่ดีต่อชีวิตของเรา ทำให้เกิดทุกข์เยอะขึ้น  เรากลับสู้มันไม่ได้ ก็ต้องทำมัน  ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดี แต่สิ่งที่ดี ที่จะทำให้ชีวิตเรามีทุกข์น้อยลง บนโลกใบนี้ กลับยากเหลือเกินที่จะทำ ถูกหรือไม่ถูก? ถูกนะ

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์  สุขแท้จริงไม่มี มนุษย์จึงพยายามหาทางเอาชนะความทุกข์นี้ให้ได้ ด้วยวิธีการต่างๆ นานา มนุษย์ต้องการที่จะ …

“เมื่อไรหนอ จะหมดเวรหมดกรรม หมดทุกข์หมดโศก สักทีหนึ่ง” ใช่ไหม? คุ้นเคยเป็นอย่างดี

ผมว่าโลกใบนี้  มันเหมือนเรือที่แตก มนุษย์ทุกคนอยู่บนเรือลำนี้  และโลกใบนี้ เรือลำนี้กำลังแตก กำลังจมลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทร ด้วยแรงดึงดูดของโลก มนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนดี คนชั่ว ทำดี ทำชั่วเท่าไรก็ตาม ก็จะถูกดูดลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทรทั้งสิ้น ด้วยแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

“มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม”

กฎแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กฎนี้ก็ยังอยู่ พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่าโลก และทุกสิ่งบนโลก รวมทั้งมนุษยชาติกำลังจมลงสู่ความพินาศ ใต้บึงไฟ ด้วยแรงดึงดูดของความบาป  ของอำนาจของมาร  และตามการถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว 2 เปโตร 3:9-10 ฟังถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ …

2 เปโตร 3:9-10 “9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้น จะถูกเผาจนหมดสิ้น”

 

นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ หรือบนเรือที่กำลังล่มอยู่นี้ คือพระองค์ไม่ประสงค์ให้คนใดคนหนึ่งพินาศ  ไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งจมหายไปในความพินาศนั้น  แต่ต้องการ ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่  คือย้ายซะ เดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป  กลับใจใหม่ คือมารับการช่วยเหลือจากพระองค์ ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ แทนที่จะประพฤติดี ตั้งใจ  เพื่อที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หมดเวรหมดกรรม กลับมาหาพระองค์ มารับการอภัยโทษจากพระองค์ รับการยกบาปจากพระองค์เถิด

มนุษย์ก็ทราบดีว่าเราไม่มีทางสามารถที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างเช่นเราจะคุยกันอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อไรหมดเวรหมดกรรม เมื่อไรจบชีวิตไป ตายไป ก็ต้องไปพบกับมัจจุราช มัจจุราชก็ตรวจดูบัญชี  ถ้าใครทำดีให้ไปสวรรค์ นั่นหมายถึงว่าถ้าใครทำดี ครบถ้วนบริบูรณ์ 100%  ไม่เคยทำบาปทำชั่วเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีจุดด่างพร้อยเลย ก็ได้ไปสวรรค์ แล้วเราก็รู้กันอยู่ในจิตใจของเราแล้ว เราไม่มีทางที่จะทำดีครบถ้วน ก็คือไม่เคยทำบาปเลยสักครั้งเดียว มันเป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา วันที่สิ้นสุดโลกใบนี้ ในนี้บอกว่าฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงกึกก้อง

“ฟ้า” ตรงนี้ หมายถึงฟ้าทั้งหมด  หมายถึงโลก และมองขึ้นไป  เห็นนกบินอยู่ นั่นคือฟ้าที่หนึ่ง  ฟ้าที่สอง คือหลังจากที่นกบินขึ้นไป มีดวงดาวต่างๆ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ นั่นแหละอีกฟ้าหนึ่ง ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น จะไม่มีอีกต่อไป

“โลกธาตุ” ก็คือโลกใบนี้ วัตถุต่างๆ  ที่จับต้องมองเห็นได้ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา  ที่เราเห็นอยู่นั้น  ต้นไม้ใบหญ้า ก็จะถูกเผา จนสูญสิ้นไป ทั้งหมด

นี่คือสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องชนะโลก มิฉะนั้น  ก็ต้องพินาศ ทุกข์นิรันดร์ไปกับโลกใบนี้  ที่มันกำลังสูญสิ้นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณของมนุษย์  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์  จะต้องสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตทางวิญญาณ ที่ถูกสร้างโดยพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้ว่าพระเจ้าบอกว่าผู้ที่จะมาหาพระองค์ ที่จะมาเรียนรู้เรื่องพระองค์ คือจะมาแสวงหาพระองค์ ต้องแสวงหาพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริง

เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้  รู้สึกก็ไม่ได้ด้วย คิดก็ไม่ถึง คิดก็ไม่ออก บอกก็ไม่ถูก สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย ต้องใช้ความเชื่อ  … เชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่สอนเรา ที่บอกเรา ชี้ทางให้เราในโลกวิญญาณ ที่เป็นความจริงเหล่านี้ เหมือนตะกี้ที่ผมบอกว่าแรงดึงดูดของโลกมีอยู่จริง แม้มองไม่เห็น  เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันมีอยู่จริงๆ ถ้าเชื่อ ก็จะได้ประโยชน์จากมัน

เพราะฉะนั้น จะเชื่อความจริงจากที่พระเจ้าบอกในถ้อยคำของพระองค์ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อเมื่อไร ก็เท่ากับปฏิเสธความจริง  ก็ถูกมารหลอก มีอยู่ 2 ข้างเท่านั้นเอง จะเชื่อความจริงนี้ หรือจะถูกมารหลอก  พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงแนะนำมนุษย์อย่างนี้ว่า …

“ใครที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น”

คำว่า “ตามองเห็น” หมายถึงจับต้องมองเห็นได้อะไรต่างๆ  ไม่ใช่ ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ด้วยความเชื่อเท่านั้น ผู้ที่มาหาพระองค์ จะต้องเชื่อว่า …

พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่จริงๆ  เห็นหรือพระเจ้า? ไม่เห็น จับได้ไหม? จับไม่ได้  แตะต้องก็ไม่ได้ อธิบายก็ไม่เข้าใจ แต่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่จริงๆ และด้วยความเชื่อ เราจึงสามารถรู้และเข้าใจว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ ก็ด้วยความเชื่อนั่นแหละ

และพระเจ้าจะให้พร ก็คือเกิดสิ่งที่ดีๆ กับคนเหล่านั้น ที่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เชื่อในโลกวิญญาณ แม้จะจับต้องมองไม่เห็น  แต่เมื่อพระเจ้าบอก และเชื่อตามนั้น เขาก็จะได้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเขา

หัวข้อเรื่องการบรรยายในวันนี้ ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ใครกันล่ะ! ที่เอาชนะโลกนี้ได้” เราบอกโลกใบนี้เต็มไปด้วยบาป เวรกรรม ทุกข์ลำบาก  ตอนนี้ผมกำลังบอกว่าใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้? นี่เป็นข้อความมาจากพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:4-5

ก่อนจะอ่านเรามาลองดูกันแบบหมดอาลัยตายอยากว่า “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้?” เราก็จะคิดกันอย่างนี้  สมมติว่าเรายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราในอดีต ก็จะถามอย่างนี้ “แล้วใครกันล่ะ  ที่จะเอาชนะความทุกข์ลำบาก บาปเวรกรรมเหล่านี้ได้ เอาชนะมัจจุราชได้ มาตรวจดูบัญชี ถ้าทำดี ก็ควรได้ไปสวรรค์” …

1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า

 

พระเจ้าให้คำตอบแล้ว ดีใจเหลือเกิน  ถ้าใครถามคำถามเมื่อสักครู่นี้ ถามตัวเองด้วยใจจริงแล้ว  จะต้องดีใจมากเลยว่ามีทางออกแล้ว คือเพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก  อ้าว! ลูกพระเจ้ามีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว

ความเชื่อในพระเจ้าที่บอกเรา เมื่อเชื่อจะเกิดฤทธิ์เดชอำนาจเอาชนะโลกนี้ได้ คือความเชื่อ ในข้อ 5 บอกว่า “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้าไงล่ะ” เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้หลุดรอดพ้น ออกจากเรือที่แตก ที่กำลังดูดลงไปสู่ความพินาศ พระเยซูมาช่วย  และฤทธิ์เดชอำนาจเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรที่พระเจ้าส่งมา  จะเกิดฤทธิ์อำนาจด้วยความเชื่อนี้ เกิดขึ้น คือฤทธิ์อำนาจนี้จะทำให้เราบังเกิดใหม่ กลายเป็นลูกพระเจ้า นี่แหละคือการหลุดพ้น รอดพ้น ชนะโลกและความทุกข์ยากลำบากและเวรกรรมของโลก คือไปเกิดใหม่ซะ นั่นเอง พระเจ้าบอกเกิดใหม่ได้จริงๆ พระเยซูมาบังเกิด ก็บอกว่าเกิดใหม่ได้จริงๆ  ถ้าใครไม่ได้เกิดใหม่ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้  ชนะโลกไม่ได้นั่นเอง

ชนะโลก ก็คือการชนะบาปเวรกรรม ชนะการถูกพิพากษา หรือถูกการลงโทษให้พินาศไปแล้ว  โลกนี้ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ชนะโลก ก็คือชนะความบาป ความชั่ว  ชนะการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ชนะการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้  ชนะการอยู่ใต้อำนาจ เป็นทาสของมารซาตาน ซึ่งเป็นเจ้าแห่งความบาป และความตาย ชนะการอยู่ในอาณาจักรของความมืด การเป็นทาสของมารในโลกวิญญาณ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นโลกวิญญาณทั้งสิ้น มีชัยชนะอยู่เหนือโลกวิญญาณเหล่านี้แหละ

ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซู ที่ได้กระทำที่ไม้กางเขน  การเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ถูกย้ายด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อ พระเจ้าได้ย้ายคนๆ นั้น ในวิญญาณเขา เข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ ย้ายออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืดของมาร  มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อาณาจักรแห่งแสงสว่างหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอาณาจักรสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า เป็นคนชอบธรรม คือดีพร้อม ไม่ได้เป็นคนชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นคนที่กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และเป็นการย้ายทันที เดี๋ยวนี้เลย ขณะที่ยังมีลมหายอยู่บนโลกใบนี้ ทันทีเลย  พิสูจน์ได้ ชิมได้ และพระวิญญาณก็จะเป็นพยานยืนยันในใจว่าเราได้บังเกิดใหม่  เราได้ถูกย้ายมาจริงๆ นั่นเอง

โคโลสี 1:12-14 พระเจ้าได้อธิบายถึงขบวนการตรงนี้ไว้อย่างนี้ ในโลกวิญญาณ  เพื่อเราจะได้เห็น อย่างที่บอกเราต้องใช้ความเชื่อ ไม่ใช่จับต้องมองเห็นได้ ในการย้ายนี้  ดูสิพระเจ้าบอกเราว่าย้ายเราอย่างไร?  ใช้ความเชื่อ แล้วเราจะรู้ มันจะเกิดขึ้นด้วยความมั่นใจ ในใจ ในวิญญาณของเราเอง ในโคโลสี 1:12-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 1:12-14 “12 พวกคุณจะได้ขอบคุณพระบิดา ด้วยความชื่นชมยินดี พระบิดาได้ทำให้คุณ เหมาะสมที่จะได้รับส่วนแบ่งในมรดกซึ่งอยู่ในอาณาจักรที่สว่างไสว ร่วมกับคนที่เป็นของพระเจ้า 13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเราเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเรา ให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

 

เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่ทรงประทานมาช่วยเหลือ  เมื่อเชื่อแล้ว ก็จะได้รับการย้าย พวกคุณจะได้ขอบคุณพระบิดาด้วยความชื่นชมยินดี พระบิดาได้ทำให้คุณเหมาะสม ที่จะได้รับส่วนแบ่งในมรดก ซึ่งอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างร่วมกับคนที่เป็นของพระเจ้า  ก็คือย้ายท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์ มารับมรดก มีทรัพย์สมบัติ มีสิ่งดีๆ มากมายในสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับผู้ที่ได้ถูกย้ายเข้ามาก่อนหน้าเราแล้ว เราก็ได้รับสิ่งเหล่านั้น ร่วมกับคนเหล่านั้น ที่เข้าไปก่อนหน้าเราแล้ว ที่เชื่อไปก่อนแล้ว

โคโลสี 1:13-14 “13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเราเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเรา ให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

 

ชัดเจนเลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์ คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือ พอเราเชื่อปุ๊บ เราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างไสวในพระคริสต์นั่นเอง  และได้นำเราเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรที่พระเจ้าทรงรัก อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรแห่งแสงสว่าง ก็เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ ที่พระบิดาสถิตอยู่นั่นเอง ก็แสดงว่าเราได้ถูกย้าย จากที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่ง เมื่อถูกย้าย ก็แสดงว่าที่เก่ามีอยู่จริงๆ คิดให้ดีๆ

ข้อ 14 บอกว่าพระองค์ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย เห็นไหมครับ ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ จากการอยู่ในอาณาจักรของความมืด  เป็นทาสของมารซาตาน เป็นทาสของความบาป โดยการอภัยบาปต่างๆ ให้เราหมดสิ้นเลย

ทั้งหมดนี้ เป็นกฎที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ย้าย ก็อยู่ที่เดิม ที่เดิมก็สู่ความพินาศ พร้อมโลกใบนี้  ถ้าย้ายก็หลุดพ้น อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กฎแรงดึงดูดของโลกมีอยู่จริง

ยกตัวอย่างว่าคนที่นั่งในเครื่องบิน ก็มีชัยชนะเหนือแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่เมื่อไรเขานั่งในเครื่องบิน ก็มีชัยชนะ เหนือแรงดึงดูดของโลก และด้วยความเชื่อในเครื่องบิน เขาได้เข้าไปนั่งในเครื่องบิน ถ้าไม่เชื่อในเครื่องบิน ใครจะกล้าเข้าไปนั่ง บินขึ้นไปตั้งสูง เดี๋ยวก็ตกมาตายหรอก เพราะความเชื่อในเครื่องบิน เขาก็เข้าไปนั่งในเครื่องบิน ความเชื่อนี้ จึงเป็นฤทธิ์อำนาจ พลังอำนาจให้เขาสามารถเอาชนะ แรงดึงดูดของโลก ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ ได้ ถูกไหมครับ?

แล้วใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของโลกได้? ท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว ใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของโลกได้ ก็คือคนที่เชื่อในกฎของการยกขึ้น ซึ่งชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ที่เอามาใช้กับเครื่องบิน ถูกไหม?

เทียบกันกับเมื่อสักครู่นี้  ในเรื่องพระเยซูคริสต์ คนที่นั่งในเครื่องบิน ก็คือคนที่นั่งในพระคริสต์ คนที่ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ก็มีชัยชนะอยู่เหนือแรงดึงดูดของบาปเวรกรรมไง ความทุกข์ลำบาก บนโลกใบนี้ บาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ไม่มีหมดสิ้น  และด้วยความเชื่อในพระบุตร ในพระเยซูคริสต์นี้ เขาจึงยอมย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ มานั่งอยู่ในพระคริสต์ ความเชื่อนี้ ทำให้เกิดฤทธิ์อำนาจ ซึ่งทำให้เขาเอาชนะแรงดึงดูดของบาป  และความตาย และความพินาศได้ ไม่จมลงไปกับความพินาศ

ใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของโลกได้? ตรงนี้ก็คือใครกันล่ะ ที่ชนะแรงดึงดูดของบาปและความตายของมารที่จะพาเราไปสู่ความพินาศ ใครล่ะ  ก็คือคนที่เชื่อในกฎแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ กฎแห่งการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างไงล่ะ

เห็นไหม?  เทียบกันชัดเจน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเป็นจริง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเป็นจริง  พระเจ้าบอกเรา และมันเป็นประโยชน์ เป็นพร สำหรับคนที่ยอมรับ คนที่เชื่อ

ในพระคริสต์ คือคนที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ถ้าไม่ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ก็ต้องอยู่ที่เดิมนิรันดร์

มารและโลก และทุกสิ่งในโลกกำลังอยู่ในคำพิพากษาให้พินาศ อยู่ในความสูญสิ้น  ตัดสินไปแล้ว นานมาแล้วด้วย  และตอนนี้ กำลังเดินทางเข้าสู่การสำเร็จโทษ ตัดสินลงโทษไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในขบวนการการสำเร็จโทษ ซึ่งมารก็พยายามที่สุด ที่จะพามนุษย์ไปอยู่กับมันด้วยนั่นเอง เหมือนนักโทษประหาร ถูกตัดสินให้ประหารแล้ว  แต่ตอนนี้อยู่ในขบวนการการสำเร็จโทษประหารชีวิตนั่นเอง ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

ตอนนี้ท่านจะมั่นใจขึ้นแล้วนะ  ท่านทราบตรงนี้มา ความจริงที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้” ท่านมีความหวังแล้ว  เป็นไปได้จริงๆ  1 ยอห์น 4:4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามาร ที่อยู่ในโลกนี้”

 

พอย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ก็ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้ามี 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ และในพระคัมภีร์ได้บันทึกความจริง 3 ประการที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าพอเราย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าพูดกับเราว่าอย่างไร? …

“โอ๋ ลูกรักมาแล้วนะ จากนี้ต่อไป เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าอีกเลย เราจะไม่ให้เจ้าเป็นเด็กกำพร้าอีกต่อไป เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เราจะอยู่กับเจ้า อุ้มเจ้า กอดเจ้าอย่างนี้แหละ ตลอดไป ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ จนถึงนิรันดร์เลย”

พระเจ้าพระบุตร พระเยซูก็พูดกับเราว่า … “โอ๋ มาแล้ว ดีแล้ว ต่อไปนี้เราเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เรากับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้ามาสถิตอยู่กับเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไปไหนไปด้วยกัน  ใครรังแกเจ้า ก็เท่ากับรังแกเรา เป็นหนึ่งเดียวกันถึงขนาดนี้เลย  เจ้าสะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่องดีงาม เท่าๆ กันกับเราเลย” นี่พระเยซูพูดอย่างนี้

แล้วความจริงประการที่ 3 ที่เราได้เรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระวิญญาณก็บอกกับเราว่า … “โอ๋ นี่ลูกเอ่ย ลูกบังเกิดใหม่แล้ว เจ้าบังเกิดใหม่แล้ว  เจ้าเป็นลูกพระเจ้าที่บังเกิดใหม่ ไม่ใช่เป็นลูกพระเจ้าเฉยๆ  เป็นลูกที่มีมรดกด้วย เป็นทายาทด้วยนะ”

พอถูกย้ายเข้ามา มันจะเป็นอย่างนี้ แต่ในขณะที่เรายังอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเก่านี้  แม้ว่าเราจะย้ายมาทางโลกฝ่ายวิญญาณแล้วก็จริง  แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระคัมภีร์บอกว่าเรายังไม่เห็นความเป็นจริง อย่างที่มันเป็นจริงอยู่ในโลกวิญญาณ มันจะเปรียบเหมือนกับเรามองดูกระจกเงา  ถามว่าเรามองดูที่กระจกเงา เราเห็นอะไร?

ใครลองเดินไปดูก็ได้ ตอนนี้ มีกระจกเงาไหม?  นึกภาพเมื่อเช้านี้  ดูหน้ากระจกเราเห็นใคร?  เราเห็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค อยู่ในเราไหม?  เราเห็นว่าเราเป็นลูกพระเจ้าบังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด เต็มไปด้วยสง่าราศีหรือเปล่า?  เห็นไหม? เราเห็นใคร? เราเห็นตัวเราเองคนเดิมนั่นแหละ นี่แหละ พระคัมภีร์กำลังสอนเรา แต่ถ้าเราใช้ตาแห่งความเชื่อ มองกระจกผ่านทางความเชื่อ ก็คือเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า  เราก็จะเห็น 3 พระภาคอยู่ในตัวเรา และเราก็จะเห็นตัวเราเต็มไปด้วยสง่าราศีครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูเลย 1 โครินธ์ 13:12 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนมากเลย …

1 โครินธ์ 13:12 “เพราะว่าเวลานี้ เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้น จะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้ง เหมือนพระองค์ ทรงรู้จักข้าพเจ้า”

 

“รู้สลัวๆ” ก็คือไม่เห็น แต่ใช้ความเชื่อ เห็นสลัวๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า เรามองดูกระจก ตามที่เมื่อสักครู่ อย่างที่บอก เมื่อเช้าที่มองดูกระจก ที่เห็นชัดเจน คือตัวเราเอง คนเดิมนั่นแหละ แต่เมื่อใส่ความเชื่อ เราจะเห็นสลัวๆ ตามที่พระเจ้าบอกเรา ที่อธิบายให้เราฟังว่าพระองค์สถิตอยู่กับเราด้วย พระเยซูบอกว่า 3 พระภาคอยู่กับเรา พระวิญญาณบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าและเป็นทายาท มีมรดกด้วย ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปนิรันดร์เลย  เราจะเห็นตรงนี้และเห็นตามถ้อยคำพระเจ้าว่าบัดนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  สดใส เต็มไปด้วยพระสิริอันยิ่งใหญ่ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่ดูเหมือนกระจก เป็นแบบนี้แหละ

และในนี้ยังบอกว่าแต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราออกจากร่างนี้ไป  เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เหมือนที่พระเจ้าทรงเห็นเราตอนนี้แหละ รู้จักเรา สำหรับพระเจ้ามองดูเราตอนนี้ ก็คือความจริงที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้น ความจริง คือตัวเราและ 3 พระภาคของพระเจ้าอยู่ภายในร่างกายของเราในขณะนี้  นี่คือความจริง ดูในกระจกก็ต้องใช้ความเชื่อ เอาความจริงนี้ ใส่เข้าไป  เห็นตัวเรา ที่เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี เห็น 3 พระภาคอยู่ภายในร่างกายเรา ณ ตอนนี้ บนโลกใบนี้  ผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ก็เพราะว่าพระสิริของพระเจ้า  สง่าราศีของพระเยซูคริสต์ ที่ได้แบ่งให้กับเรา ที่ได้มอบให้กับเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระบิดาสถิตอยู่ด้วยกันกับเรา  เป็นความยิ่งใหญ่โอ่อ่าตระการมาก ที่ 3 พระภาคของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? สถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา

แต่ว่าในขณะนี้  ที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ณ ตอนนี้ เราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่วันหนึ่ง เมื่อเราออกจากร่างนี้ เราจะเห็นความเป็นจริงตามโลกวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนั่น ก็แสดงว่าขณะนี้ มันเป็นจริงแล้ว บนโลกใบนี้ ตัวเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้ว  ตัวเราเป็นเหมือนที่พระเจ้าบอกเรา  เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เต็มด้วยสง่าราศี เป็นจริงๆ แล้ว เพียงแต่ตาเราฝ่ายเนื้อหนัง  ฝ่ายร่างกายนี้ ไม่สามารถที่จะมองทะลุไปเห็นได้  ตาทางฝ่ายวิญญาณ ไม่สามารถเปิดออกได้ชัดเจน เหมือนวันหนึ่งข้างหน้า ที่เราจะเห็นพระเจ้าด้วยตาวิญญาณของเรา  เราจึงต้องอาศัยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ซึ่งทำให้เราได้เห็นผ่านทางความเชื่อ เห็นแบบรางๆ สลัวๆ ว่ามันเป็นกรอบอย่างนี้แหละ เป็นลักษณะอย่างนี้แหละ พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง

ยกตัวอย่าง เหมือนพ่อเราให้คฤหาสน์ ปราสาทพร้อมที่ดิน ที่สวยงดงาม อยู่ต่างประเทศ ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โดยทำการโอนให้เราเรียบร้อยแล้ว  เราถือโฉนดนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว  มีทั้งโฉนด มีทั้งรูปให้เราดูว่าที่ดินเราเป็นอย่างนี้ ปราสาทสวยงามของเราเป็นอย่างนี้  เราถือไว้กับมือ ลงชื่อ เซ็นชื่อเรียบร้อย มีพยานรู้เห็นหมดว่าเป็นของเราแล้ว  แต่เรายังไม่ได้เดินทางไปดูของจริงเลย คล้ายๆ อย่างนี้ เราได้เห็นแต่รูป ได้เห็นแต่ขีดว่าทิศเหนือจรดอะไร? ทิศใต้จรดอะไร?  ทิศนี้จรดอะไร? รูปร่างของที่ดินเป็นอย่างไร? รูปร่างของคฤหาสน์เป็นอย่างไร?  ตามที่โฉนดบอกไว้ แต่เรายังไม่เห็นของจริงนั่นเอง มันก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องราว ถ้อยคำพระเจ้าจึงต้องอาศัยความเชื่อศรัทธาเท่านั้น ไม่ใช่ตามองเห็น ดังที่พระเจ้าสอนเรา

ความจริงที่สำคัญมาก ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับรู้เกี่ยวกับโลกวิญญาณ คือโลกและทุกสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้  คือวัตถุบนโลกใบนี้กำลังสูญสิ้นไป แต่โลกวิญญาณจะอยู่ตลอดไป ตัวนี้แหละมันสำคัญมากและอันตรายมากๆ มารหลอกมนุษย์ บางคนก็เชื่ออย่างนี้ว่าโลกใบนี้กำลังสูญสิ้นไป และวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้กำลังสูญสิ้นไป จริง เชื่อและเขาก็จะสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ เป็นศูนย์ไปเลย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่ใช่ อย่าถูกหลอกอย่างนั้น สิ่งสำคัญ ก็คือวิญญาณท่านยังคงอยู่ โลกวิญญาณยังคงอยู่ และจะอยู่ตลอดไป เพียงแต่จะอยู่ในลักษณะใด? อยู่ในสถานที่ใด? อยู่ ณ แห่งใด? เท่านั้น นี่คือความจริงที่สำคัญที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้เรียนรู้เรื่องนี้ และเข้าใจในเรื่องนี้ และเชื่อในเรื่องนี้จริงๆ

ซึ่งในขณะนี้ มีโลกวิญญาณเพียง 2 แห่งเท่านั้น และมันก็จะอยู่ในลักษณะ 2 แห่ง 2 สถานที่อย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นแห่งแรกที่เรียกว่าสวรรค์ หรือเรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง หรือแห่งที่ 2 ที่เรียกว่าบึงไฟนรก ที่เรียกว่าที่มืด ที่มีแต่ความเจ็บปวด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สถานที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีความดีงาม มีแต่ความชั่วร้าย มี 2 แห่งเท่านั้นเอง  มารพยายามให้มนุษย์สนใจ จดจ่อทางฝ่ายโลก ฝ่ายวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปสนใจโลกวิญญาณ อย่าไปสนใจเรียนโลกวิญญาณเลย  เพราะมาเรียนรู้โลกวิญญาณ มาแสวงหาพระเจ้า ทางโลกวิญญาณเมื่อไร? เขาจะพบความจริง สำหรับพระเจ้าให้มนุษย์สนใจ จดจ่อที่โลกวิญญาณ ที่สำคัญมากที่สุด แม้กระทั่งมาเชื่อแล้ว ยังบอกเลยให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในโลกวิญญาณ ให้เชื่อและจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์

เพราะฉะนั้น โลกและมนุษย์ทั้งโลกได้ถูกตัดสินพิพากษาลงโทษ ให้พินาศไปแล้ว  กำลังอยู่ในที่มืด ก็คือกำลังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่มืด ไม่มีพระเจ้า เรียกว่าพินาศ เต็มไปด้วยความทุกข์ เจ็บปวด ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพียงแต่รอการสำเร็จโทษ จบสุดท้ายเท่านั้นเอง มันจึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก พระเจ้าจึงห่วงใยมนุษย์บนโลกใบนี้มาก

ใน 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น ให้สามารถย้ายจากอาณาจักรของความมืด จากความพินาศ ให้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างได้แล้ว 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยอภัยโทษให้กับมนุษย์ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พระคัมภีร์เรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นปี แห่งความโปรดปราน เป็นปีแห่งการอภัยโทษ เป็นช่วงเวลาแห่งการประกาศอิสรภาพ เป็นช่วงเวลาแห่งพระคุณของพระเจ้า  ที่มาช่วยเหลือมนุษย์อย่างง่ายๆ เลย ให้มนุษย์ย้ายข้าง ให้มนุษย์มารับเอาฟรีๆ ให้มนุษย์รับเอาการอภัยโทษบาปให้กับเขา ถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว รอการสำเร็จโทษ ขณะที่รอนั้น  พระเจ้ามาประกาศว่าอภัยโทษให้กับนักโทษทุกคน สามารถเป็นอิสระจากโทษบาปนั้นได้ ให้มารับสิทธิของท่านเสีย จะได้ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษ  เมื่อถึงวันนั้น มันหมายถึงแค่นี้

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ 2,000 ปีนั้นเป็นต้นมา  ตั้งแต่ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในโลกวิญญาณ บนโลกใบนี้ มีการย้ายสถานที่ มีการย้ายที่อยู่ของมนุษย์มากมาย ก็คือของผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  เชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ เยอะแยะมากมายไปหมด มาถึงทุกวันนี้  2,000 ปีแล้ว รวมทั้งเราในปัจจุบันนี้ ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นี้ เราก็คือผู้ที่พระเยซูได้ย้ายเรา เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว ย้ายที่จากที่เดิม  ย้ายจากโลกทางฝ่ายวิญญาณเดิมที่เราอยู่ โลกที่ถูกพิพากษา ให้ต้องได้รับโทษถึงพินาศเรียบร้อยแล้ว รอการสำเร็จโทษ เราได้ถูกย้ายแล้ว  ย้ายออกมาจากโลกที่ชั่วร้าย โลกเดิม เมื่อถูกย้ายออกมาแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราจึงดำเนินชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนกับโลกใบนี้ ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่บ้านของเราแล้ว  หมายถึงโลกวิญญาณเดิมแหละ ไม่ใช่โลกของเราอีกต่อไปแล้ว  โลกกำลังสูญสิ้นไป  โลกใบนี้กำลังสู่ความพินาศ แต่เราหลุดออกมาแล้ว สู่โลกใหม่แล้ว เราไม่ได้อยู่ในอาดัม ไม่ได้อยู่ในโลกวิญญาณเดิมที่เรียกว่าอยู่ในอาดัม แต่เราอยู่ในโลกใหม่ที่เรียกว่าแสงสว่าง อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าแล้ว และจะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าอย่างนี้  แบบนี้เลย เหมือนปัจจุบันนี้ตลอดไปเลย

ถ้ายังอยู่ในโลก หมายถึงโลกวิญญาณเดิม ถ้ายังไม่ย้าย  ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยกันกับโลกใบนี้ เพราะโลกและทั้งหมดที่อยู่บนโลกใบนี้ ตามที่เราได้อ่านไปสักครู่นี้  ได้ถูกตัดสินลงโทษ สู่ความพินาศไปแล้ว และกำลังเดินทางไปสู่การสูญสิ้นนี้ สู่การสำเร็จโทษในที่สุดนั่นเอง ซึ่งเราไม่รู้เมื่อไร? พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า ปีโน้น ไม่รู้ โดยเฉพาะในขณะนี้ หลายๆ คนบอก …

“โควิดมาอย่างนี้ เป็นไปทั่วโลกอย่างนี้ อาจเป็นวันสูญสิ้นของโลกก็ได้”

จริงๆ แล้วมันมีมาเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่อดีตมามากมายแล้ว ความทุกข์ยากลำบาก ความหายนะ เกิดภัยพิบัติรุนแรงต่อโลกใบนี้ มันเยอะแยะ เพราะว่าโลกมันถูกตัดสินให้อยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว กำลังเดินทางสู่ความเสื่อมสลายนั่นเอง ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในพระคริสต์ ถ้าเราไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เราก็ยังอยู่ในโลกวิญญาณเดิม  แล้วก็ต้องสูญสิ้นไปกับโลกที่เรียกว่าถูกลงโทษ ให้พินาศ เพราะว่าโลกใบนี้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณนี้  เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เคมีเข้ากันไม่ได้เลย  ความบาปและความบริสุทธิ์ไม่สามารถเข้ากันได้  โลกวิญญาณเดิมที่เราอยู่นั้น เป็นความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับความดี ขาวเข้ากับดำไม่ได้ พระเจ้าเข้ากับมารไม่ได้  เราจะอยู่ฝ่ายไหน? ถ้าเราไม่ย้าย เราก็อยู่ฝ่ายมาร อยู่ฝ่ายศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง  จึงไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้

ที่เล่าให้ฟังเหล่านี้ทั้งหมด  ที่เรามาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด คือกฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนา ดูแลให้เป็นไปตามกฎ เหมือนตะกี้ที่ผมบอกว่าเหมือนกฎแรงดึงดูดของโลก มันเป็นกฎ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  พระองค์ยุติธรรมและเที่ยงตรง พระองค์ปล่อยให้เป็นไปตามกฎ เมื่อรู้จักกฎและรู้ความจริงแล้ว  ถ้าท่านไม่เลือก ไม่ใช้สิทธิของท่าน ตามกฎ ท่านก็จะได้รับผลเป็นไปตามกฎนั้น ถ้าท่านเลือกเอาด้วยกฎวิญญาณแห่งชีวิต คือได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้า ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ท่านก็รอดพ้นจากการถูกประหาร ไม่ต้องลงนรก มันเป็นกฎ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านทำดีหรือทำเลว  ท่านทำดีมากขนาดไหน? ทำชั่วมากขนาดไหน?  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติเลย ขึ้นอยู่อย่างเดียว ท่านรู้ความจริงหรือไม่? เมื่อรู้ความจริงแล้ว ท่านตัดสินใจเชื่อหรือไม่?  ในความจริงเหล่านั้น แค่นั้นเอง

ฉะนั้น สรุป ก็คือมนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่อยู่ทางวิญญาณ  ท่านลองคิดดูนะว่าใช่หรืไม่?  เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่ในทางวิญญาณ ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพื่อย้ายมาอยู่กับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์

ถามว่าทำไมต้องตัดสินใจในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพราะว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เพราะโลกวิญญาณเป็นนิรันดร์ แต่โลกวัตถุนั้นเป็นแค่ชั่วคราว  เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไป  และพระเจ้าก็จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่  พร้อมทั้งสร้างร่างกายใหม่ที่มีสง่าราศี ให้กับเราผู้เชื่อในพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องย้ายสถานที่ทางวิญญาณ เพื่อมาอยู่กับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์ โดยต้องได้รับการบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์สะอาด จึงจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ คือต้องมาเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ซึ่งไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้นะ มาเกิดใหม่ด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  เกิดใหม่ โดยการกระทำความดี ก็ไม่ได้  มาเป็นลูกของพระเจ้า โดยการกระทำความดี ก็ไม่ได้  ต้องพึ่งในพระเยซู ซึ่งเป็นของประทาน  ของขวัญจากพระเจ้า ที่ให้กับมนุษย์ทุกคน ด้วยความรัก และความห่วงใย เป็นปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า เป็นปีแห่งการอภัยโทษของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก่อนที่จะถึงวันสำเร็จโทษ และหลังจากย้ายก็เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ขอย้ำอีกทีว่าทันทีเลย ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน พอใช้สิทธิของท่าน  ท่านก็ได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ทางฝ่ายวิญญาณท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันที และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้  อยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดไปชั่วนิรันดร์

ถ้าท่านไม่ย้ายมันเกิดอะไรขึ้น?  ท่านก็จะอยู่ในโลกวิญญาณที่เดิม ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยู่ในความพินาศ ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน นี่คือเหตุที่พระเจ้าเป็นห่วง เป็นใยมนุษย์บนโลกใบนี้มากนัก และขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อท่านย้ายแล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่ในท่านแล้ว ที่ให้ท่านดำเนินชีวิตอยู่ตอนนี้ ก็เพื่อจะใช้ร่างกายของท่านในการต่อเนื่องไปช่วยเหลือมนุษย์คนอื่นๆ ที่เขายังไม่ได้ย้าย  อาจจะยังไม่ได้ยินเรื่องข่าวดีของพระเยซู อาจจะยังไม่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการอภัยโทษ  ท่านก็มีหน้าที่เป็นสื่อให้กับเขา ไปช่วยเขา ตามการทรงนำของพระเจ้า 3 พระภาคซึ่งสถิตอยู่ในท่านนั่นเอง

แล้วท่านก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าวันหนึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นการงานบนโลกใบนี้ ท่านก็จะจากร่างกายนี้ไป ที่เรียกว่าตาย วันหนึ่งท่านก็จะทิ้งร่างนี้ไป  หมดลมหายใจ และชีวิตหลังจากออกจากร่างนี้ หรือหลังจากตาย ท่านก็สามารถที่จะรับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี  เป็นร่างกายที่ไม่ต้องกลัวโควิดหรือโรคภัยไข้เจ็บอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกลัวมะเร็ง ไม่ต้องกลัวเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ  หรือความเจ็บป่วยใดๆ มาทำร้ายได้อีกเลย  เพราะไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแก่งแย่ง ไม่มีบาป  ข้อสำคัญ ก็คือไม่มีมารซาตานมาล่อลวงให้มนุษย์ทำบาป  ทำชั่ว ตีกันเอง แก่งแย่งกันเอง  ทำอะไรที่ชั่วๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าต้นตอของความชั่ว  ก็คือมาร มันได้ถูกกำจัด ลงไปสู่บึงไฟนรก จบไปแล้ว และท่านจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ซึ่งในขณะที่อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลนั้น ท่านไม่ต้องใช้ความเชื่อ อีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความหวังอีกต่อไป เหมือนโลกนี้แล้ว เหมือนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกนี้  เพราะท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่สลัวๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่สลัวๆ เหมือนเดี๋ยวนี้  แต่ท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เห็นความเป็นจริง เหมือนกับที่พระเจ้าเห็นหน้าเราตอนนี้  เราก็จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าในวันนั้น  และจะอยู่กับพระองค์ด้วยความรัก ที่พระองค์ทรงเทลงมาในชีวิตของเราทั้งหมด อยู่ในสวรรค์อันงดงามอย่างนี้  พระคัมภีร์บอกตลอดชั่วนิรันดร์กาล และนี่แหละคือชัยชนะนิรันดร์เหนือโลก ไม่ใช่ชนะธรรมดา แต่เป็นชัยชนะนิรันดร์เหนือโลก

คราวนี้ก็มาถามได้แล้วล่ะ … “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้?”  ก็คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และคนที่เชื่อนี้ ก็จะได้รับฤทธิ์อำนาจ ได้บังเกิดใหม่ ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า และพระเจ้า 3 พระภาคก็เข้ามาสถิตอยู่กับคนนั้น

ทั้งหมดนี้ การชนะโลกอย่างนี้ สถานะที่เปลี่ยนไปอย่างนี้  สถานที่ที่เปลี่ยนไปอย่างนี้  ย้ำอีกที ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นทันที  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย เกิดขึ้นทันทีเลย เมื่อท่านใช้สิทธิของท่าน เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาช่วยท่าน สิ่งเหล่านี้ ผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะเกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้  และจะอยู่อย่างนั้น ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาลเลย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เพราะเนื้อหนังทางร่างกายเรายังมีเชื้อบาปอยู่ เพราะฉะนั้น ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในโลกนี้  ไม่มีทางเลย  ที่เราจะไม่ทำบาป  เราจึงต้องพึ่งในพระเมตตาพระเจ้า

 

และหน้าที่ของเราบนโลกนี้  เราควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน รับรู้และเข้าใจสถานะซึ่งกันและกันว่าเราต่างก็เป็นคนบาป เราต่างก็ทำผิดพลาดได้เสมอ อภัยให้กันด้วยความรัก เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยให้เราด้วยความรัก และไม่มีเงื่อนไข

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “พี่น้องทั้งหลาย หากใครถูกจับได้ว่าทำบาป ท่านที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ควรช่วยเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน ให้เขากลับตั้งตัวใหม่ แต่จงระวังตัวท่านเอง มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกล่อลวงให้ทำบาปไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์”   (กาลาเทีย 6:1-2)

 

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระเมตตาของพระองค์  ที่ทรงรักและให้อภัยเรา อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราจะหลง หรือเผลอไปกระทำผิดบาปซักแค่ไหน

 

ถ้อยคำพระเจ้าย้ำยืนยันกับเราว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราก็ได้รับการชำระล้างบาปจนหมดสิ้น กลายเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว  (ถ้าเราเชื่อพระเจ้าจากใจจริง และมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ)

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดฟังคำของเรา  และเชื่อพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา  ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่ถูกลงโทษ”  (ยอห์น 5:24)

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1311

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “ความจริง 3 ประการ ที่ทำให้ท่านชนะโลก”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

 

เรื่องที่จะคุยในวันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แน่นอน  ณ เวลานี้ไม่มีข่าวอะไร ที่สำคัญไปกว่าข่าวนี้อีกแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทุกชนิดในโซเซียลมีเดีย ในหนังสือพิมพ์ การพูดคุยในครอบครัว ที่ทำงาน ในหมู่เพื่อนฝูง เจอใครก็คุยแต่เรื่องโควิด-19 ไม่คุยไม่ได้

เมื่อปีเศษ ตอนแรกๆ ข่าวนี้ ไกลตัวเหลือเกิน เราก็เฉยๆ ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร? มาจากต่างประเทศ เสร็จปุ๊บ กระเถิบเข้ามาใกล้ๆ ประเทศแล้ว จากใกล้ๆ ประเทศ ก็เข้ามาในประเทศ จากเข้ามาในประเทศ ก็เข้ามาในจังหวัดของเรา  ยังไกลเราอยู่ พอเข้ามาในจังหวัดของเราแล้ว ก็เข้ามาในหมู่บ้านของเรา  เข้ามาในชุมชนของเรา แล้วก็เข้ามาในบ้านของเรา ตอนนี้เข้าไปในห้องนอนของเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ไม่คุยไม่ได้ ไม่ให้ความสนใจไม่ได้เลย

และส่วนใหญ่จะคุยเรื่องอะไรกัน? พอพูดถึงโควิดจะมีข่าวสารออกมา ให้เราได้ยินได้ฟังกัน รับรู้กันในช่วงนี้  มันจะออกมาในรูปแบบใดในการคุยกัน

“โอ้โห! โควิดระบาดรอบนี้ น่ากลัวมาก น่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมาเลย  อันตรายมาก ยอดผู้ติดเชื้อยังไม่ลดเลย  คนเสียชีวิตก็มีอยู่ทุกวัน เพิ่มขึ้นทุกวัน ที่ทำงานก็มีคนติดหลายคน ก็ต้องกักตัวกันยุ่งไปหมดเลย  ที่ทำงานฉันก็มีคนติด ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันติดหรือไม่? ตอนนี้กำลังระวังอยู่ เพื่อนของเพื่อนเขาบอกไปติดมาแล้ว พี่ของเพื่อน เพื่อนของน้อง ญาติคนโน้นคนนี้ติดมาแล้ว ไปตรวจเชื้ออยู่ กำลังรอฟังผลอยู่ด้วยความตื่นเต้น เขาดีใจมากเลย ไม่ติด แต่หมอบอกว่าต้องไปตรวจอีกครั้งที่ 2  ซึ่งยังไม่แน่ใจ ก็ยังหวั่นๆ อยู่             แต่เพื่อนคนนี้ไปตรวจตั้งแต่วันแรกเลย ติดเชื้อ แต่ตอนนี้อาการก็ดีขึ้น คนนี้อาการไม่ดีขึ้นเลย”

อะไรอย่างนี้ มันสับสนวุ่นวาย  เต็มด้วยความวิตกกังวลทั้งสิ้น  แล้วยังมีเรื่องนี้อีก …

“ฉีดวัคซีนหรือยัง? ข่าวว่าฉีดตัวนี้ดี ตัวนั้นดี  ยี่ห้อนี้ดี ยี่ห้อนั้นไม่ดี จะเป็นหมอกันหมดแล้ว ตัวนี้มีผลข้างเคียงเยอะ”

ทางการก็ออกมารณรงค์ให้ประชาชนไปลงทะเบียนฉีดวัคซีนกันทุกคน เพื่อช่วยสังคม บางคนก็บอกว่า …

“อย่าไปฉีดเลย เพราะว่าไปฉีดอาจจะแพ้วัคซีน  บางคนฉีดไป แล้วตายก็มี”

อะไรอย่างนี้  เป็นบรรยากาศที่ต้องตัดสินใจและใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที ซึ่งปกติแล้ว การฉีดวัคซีนเขาก็บอกว่ามีโอกาสแพ้บ้าง แต่มันน้อย แพ้แล้วยังมีวิธีการรักษาได้ นี่ทางการบอกมา ทางวงการแพทย์บอกมา แต่ถ้าติดเชื้อขึ้นมา มันอันตรายกว่าเยอะ อะไรอย่างนี้

นี่คือข่าวสาร ที่กระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเราในขณะนี้ เข้ามาถึงห้องนอนเราแล้ว  ไม่รับรู้ไม่ได้ ไม่คิดไม่ได้ ไม่ฟังไม่ได้ เมื่อปีที่แล้วอาจจะไม่ฟังได้ แต่ปีนี้ ตอนนี้เข้ามาอยู่ในห้องนอนแล้ว  ตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินจากหู จากความคิดข้างในออกมาแล้ว

เหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่โลกกำลังตะโกนใส่เรา กำลังพูดใส่เรา ผ่านทางสถานการณ์ของโรคระบาดโควิด-19 และผลกระทบจากโควิด-19 นี่แหละ และผลกระทบต่างๆ นี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้บ้าง ก็เกิดเป็นความกลัว ความวิตกกังวล  ความเห็นแก่ตัว ความแก่งแย่ง เรากำลังถูกโจมตี ถูกกระหน่ำ ถูกทิ้งระเบิดปรมาณู ด้วยข่าวร้ายต่างๆ รอบตัวเรา  สับสนไปหมด ผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้ กำลังอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว หวาดระแวง โดยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หนีก็ไม่พ้น เพราะตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ผลกระทบของข่าวนี้  ก็เป็นผลกระทบไปถึงทุกคนบนโลกใบนี้เลยทีเดียว

ซึ่งบางคนก็บอกว่าข่าวร้ายนี้ เรื่องโควิดให้ระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อ โรคโควิด-19 ไวรัสตัวนี้ ปรากฏว่าดูแลสุขภาพร่างกาย ป้องกัน  ด้วยความหวาดกลัว  หวาดระแวงอย่างมากเลย  ไม่ติดเชื้อโควิดหรอก แต่ไปติดเชื้ออย่างอื่นแทน เชื้อของความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียด เสพสื่อมากเกินไป อย่างนี้  มันเป็นเรื่องจริง เกิดความเครียดขึ้นมา  เป็นโรคเครียดแทน โรคอื่นจะตามมาด้วย

วันนี้เราจะมาดูกันว่าในขณะที่โลกกำลังพูดกับเรา ตะโกนใส่เราด้วยข่าวสาร ด้วยข้อมูลแบบนี้  แล้วอีกฝั่งหนึ่งที่เรารู้จัก คือพระเจ้าของเรา พระเจ้ากำลังพูดอะไรใส่หูเรา กระชากใส่เรา ตะโกนใส่เรา ดึงเรากลับมาหาพระองค์อย่างไร? ไม่ให้เราหลงไปกับข่าวสาร  ข่าวร้ายของโลกใบนี้  และเราควรจะทำอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งตามสายตามนุษย์  รวมทั้งตัวเราเอง ซึ่งก็คือมนุษย์ เป็นสถานการณ์ที่หดหู่ หมดกำลังใจ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต เหลืออยู่เลย กลัววิตกกังวล

และถ้าเรามัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับข่าวสารจากโลกใบนี้ที่ตะโกนใส่เรา  มัวแต่เสพข่าวสารบนโลกใบนี้อยู่  มัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่โลกกำลังพูดกับเรา สิ่งที่โลกกำลังกระหน่ำใส่จิตใจของเรา ความคิดของเรา ก็จะมีแต่ความห่อเหี่ยว มีแต่ความหวาดกลัว เพราะนี่คือเป้าหมายของมาร ที่ต้องการสื่อสารกับเราแบบนี้ นี่คือแผนการของมารที่จะส่งมาทำลายเรา ก่อนที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด ติดก่อน ก็คือความวิตกกังวล ความกลัว และความเครียดทั้งหลาย

ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 โดยเฉพาะข้อ 1 ได้บอกชัดเจน ตั้งแต่ 2,000 กว่าปีมาแล้ว ได้บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่าจงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน  ถ้าท่านได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านจงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน … เบื้องบน คือที่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์

พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเผื่อท่านเชื่อในพระเยซู และได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พร้อมกับพระเยซู ด้วยความเชื่อของท่าน ต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต  ท่านได้บังเกิดใหม่ นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วในขณะนี้  ท่านก็จงจดจ่อไปที่ความจริงตรงนี้  ในเรื่องโลกวิญญาณนี้ว่าท่านได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าจดจ่อความคิดของท่านไปยังโลกใบนี้  บอกชัดเจน เตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่สมัยโน้น  ให้ฟังข่าวสารของพระเจ้า อย่าฟังข่าวสารของโลกใบนี้เยอะนัก ได้เตือนไว้โคโลสี 3:1-4 …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เพราะฉะนั้น หัวข้อเรื่องของการบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “ความจริง 3 ประการที่ทำให้ท่านชนะโลก” ซึ่งตามที่พระเยซูได้บอกไว้ในหนังสือยอห์นว่าโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ได้บอกชัดเจน บอกเลยว่าบนโลกนี้  ในโลกนี้ ท่านดำเนินชีวิตอยู่นั้น  ท่านจะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาต่างๆ นานา เป็นเรื่องธรรมดา นี่คือความจริง และพระคัมภีร์ได้บอกเรา โลกกำลัง อยู่ในขบวนการการสูญสิ้นไป แต่จงชื่นชมยินดีเถิด  เพราะพระองค์ได้เอาชนะโลกแล้ว ในหนังสือยอห์น 16:33 ได้บันทึกเอาไว้ พระเยซูตรัสอย่างนี้แหละ พูดอย่างนี้กับเรา  นี่คือความจริง …

ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้พวกท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”

 

“จงชื่นชมยินดีเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว” ในโลกนี้ พวกท่านจะมีความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโลกนี้ อยู่ในขบวนการการสูญสิ้น การพินาศอยู่ อยู่ในความทุกข์ ความลำบาก เนื่องจากความบาปที่มนุษย์เอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ตั้งแต่อาดัมและเอวา สวนเอเดนไม่ได้เป็นสวนเอเดนอีกต่อไปแล้ว  พระเจ้าสร้างโลกใบนี้อย่างดีงาม  มันไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนนี้อีกต่อไปแล้ว แต่มันล่มสลาย ไปสู่ความชั่ว ความเลว ความสาปแช่ง ความทุกข์ยาก ความลำบาก ซึ่งได้ถูกตัดสินไป ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ตั้งแต่ตอนโน้น จนมาถึงทุกวันนี้ แล้วมันกำลังจะไปสิ้นสุดตรงที่สิ้นสลาย สูญสิ้น พินาศ เพราะว่าโลกนี้ไม่ได้อยู่ในการดูแลของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่วันโน้นเป็นต้นมา  สวนเอเดนไม่ได้เป็นของผู้ที่พระเจ้ากำหนดอีกแล้ว  พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ที่อยู่ในโลกใบนี้ เพื่อให้หลุดออกจากความเสื่อมสูญ ความพินาศ จากนรกนั่นเอง  โลกนี้เหมือนนรก พูดง่ายๆ  พระเยซูได้ถูกส่งมาเกิดบนโลกใบนี้  เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากโลกใบนี้ ไปสู่โลกหน้า โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างไว้  เตรียมไว้ให้กับลูกของพระองค์ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น โลกใบนี้จะมีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความเลว ตามที่ผมเกริ่นมาเมื่อตอนต้นว่าโลกเรานี้กำลังตกอยู่ภายใต้การกระหน่ำ โจมตี ให้เกิดความทุกข์ยากลำบากมากมาย อยู่ในความพินาศ ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด หมายถึง ณ ขณะนี้  มันเป็นอย่างนี้มาตลอด สงครามโลก ก็คือการกระหน่ำของความชั่วร้ายบนโลกใบนี้  ที่กระหน่ำความทุกข์ยากเข้ามาสู่มนุษยชาติ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ครั้งนี้ก็กระหน่ำเรา อัดเรา บุกเรา โจมตีมนุษย์ด้วยสถานการณ์ระบาดของโควิดทั่วโลก มนุษย์ทุกคนได้รับเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น หัวข้อเรื่องในวันนี้อาจจะสามารถระบุเฉพาะเจาะจงในช่วงเวลานี้ได้เลยว่าความจริง 3 ประการที่จะทำให้ท่านสามารถเอาชนะโควิดได้  ความจริง 3 ประการนี้ จะทำให้ท่านเอาชนะสถานการณ์โควิดในขณะนี้ได้ ความจริง 3 ประการนี้ จะทำให้ท่านเอาชนะสถานการณ์ ผลกระทบจากโควิด-19 นี้ได้ ต้องจำตรงนี้เลย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เดี๋ยวคนเอาตรงนี้ไปเจาะเฉพาะตัดตรงนี้ไป บอกว่าผมบอกว่าเอาชนะโควิดได้ หมายถึงไม่เป็นโรคโควิดแล้ว ไม่ติดเชื้อแล้ว

คำว่า “เอาชนะโควิด” ตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าฟังการบรรยายในวันนี้ รู้ความจริง 3 ประการนี้ จบแล้ว ท่านไม่ต้องไปฉีดวัคซีนแล้ว แต่หมายถึงเอาชนะสถานการณ์ ไม่หมกมุ่นหรืออยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยความหวาดกลัว ด้วยความวิตกกังวล มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านยังคงต้อง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามสติปัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ อย่างเช่น สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจำ เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในที่ชุมชน แออัด ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ยังต้องทำอยู่นะ ฉีดวัคซีนก็ยังต้องไปฉีดอยู่ ตามที่ทางการเขาแนะนำมา วงการแพทย์แนะนำมา หรือว่าจะไม่ฉีด ท่านก็ต้องไปใช้สติปัญญา คิดคำนวณเองอะไรต่างๆ แต่ต้องให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ด้วย  แล้วสิ่งสำคัญ คือต้องอธิษฐาน เป็นเวลาที่เราต้องอธิษฐานมากกว่าปกติ อธิษฐาน ก็คือยิ่งทุกข์เท่าไร ก็ยิ่งอธิษฐานมากเท่านั้น

เราเข้ามาสู่เรื่องราวของวันนี้ “ความจริง 3 ประการที่จะทำให้เราชนะโลก” ชนะสถานการณ์ในขณะนี้ได้  ความจริง 3 ประการที่พระเจ้าพูดกับเรา  เราฟังโลกนี้พูดกับเรามาเยอะแล้ว ปีกว่าแล้ว ทุกวัน วันหนึ่งกี่ชั่วโมง เรามานั่งคิดดู เปิดดู เปิดฟัง ข่าวสารเรื่องเกี่ยวกับโควิดทั้งนั้น  แล้วท่านฟังพระเจ้าพูดกี่นาทีต่อหนึ่งวัน  ความจริง 3 ประการที่พระเจ้าพูดกับเรา  …

ประการที่ 1 พระเจ้าพระบิดา คือพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ตรัสว่า … “เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

พระเจ้าพระบิดาพูดกับท่านว่า … “เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

นี่คือความจริงที่พระเจ้ากำลังกับพูดกับเราขณะนี้ ฮีบรู 13:5 ได้พูดไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่าน ให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน เราจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

“จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่าน ความประพฤติของท่าน ให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง” อยู่บนโลกนี้มีความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระเจ้ากำลังแนะนำเราบอกว่าให้เราดูแลชีวิตของเรา โดยการดำเนินชีวิต โดยการไม่รักเงินทอง

เงินทอง คือทรัพย์สิ่งของบนโลกใบนี้ … “ไม่รัก” คือไม่รัก ไม่ได้หมายถึงไม่สำคัญ ทรัพย์สิ่งของบนโลกนี้ไม่สำคัญ เรายังต้องใช้ปัจจัยเหล่านี้อยู่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ใช้ในทางที่ดีได้  ไม่รักเงินทอง หมายถึงมีได้ แต่พอดีๆ  ไม่ได้เป็นความจำเป็นที่สุด ที่จะต้องมี แต่มีได้ แต่ให้มันพอเพียง พอดีๆ รวมทั้งอย่าโลภในกิเลสตัณหา และรักสิ่งของบนโลก จงพอใจในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และที่เป็นอยู่ ก็หมายถึงให้เรามีความพอดีๆ  โลภได้ไหม? ได้ มนุษย์เกิดมามันต้องโลภอยู่แล้วล่ะ กิเลสตัณหามีไหม? มี ก็อยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีอยู่แล้ว  แต่ให้มันพอดีๆ  อย่าให้มันโลภ จนกระทั่งทำบาป อย่าให้มันมีกิเลสตัณหาจนกระทั่งทำบาป  และอย่าให้การรักสิ่งของบนโลก ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวทำบาป แต่จงพอใจในทุกสิ่ง ที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ทุกสถานการณ์ด้วย ไม่ว่าสถานการณ์เราจะสบายใจ (รู้สึกนะๆ)  สถานการณ์นี้รู้สึกชื่นชมยินดี  แฮปปี้  หรือสถานการณ์อย่างโควิด ก็ให้เรามีความพอใจ พอเพียงในการมีอยู่ เป็นอยู่ และพระเจ้าได้ตรัสว่าให้ทำอย่างนั้น เพราะพระเจ้าบอกว่า …

“เราไม่มีวันทอดทิ้งท่าน  และเราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน เราจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

“เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน” หมายความว่าเราจะไม่มีวันปล่อยให้ท่าน เป็นเด็กกำพร้า เป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อมีแม่ ความลึกซึ้งตรงนี้ หมายถึงอย่างนี้  เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า จะไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อมีแม่ แต่นี่เราเป็นพ่อ อยู่กับเจ้า “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า” ก็คือไม่ปล่อยเจ้าให้อยู่ตามลำพัง เพียงคนเดียว

พ่อแม่ดูแลลูกยังเล็กๆ อยู่ ผมเห็นภาพนี้ชัดเลย  ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ลำพังแต่คนเดียว เด็กอยู่ลำพังคนเดียวในห้อง หรือที่ไหนก็ตาม ร้องโวยวายหวาดกลัว แต่พ่อเข้าไปกอด แล้วบอก …

“รักน๊าๆ พ่อกอดอยู่น๊า พ่อไม่ได้ไปไหน? พ่ออยู่นี่ แม่อยู่นี่ พ่อและแม่อยู่นี่น๊า”

คือกำลังจะบอกว่า … “พ่อและแม่อยู่กับเจ้าเสมอ พ่อและแม่เป็นพ่อและแม่ของเจ้า เจ้าไม่ใช่เด็กกำพร้า”

“รักนะๆ” อย่างนั้นแหละ ก็คือภาพที่พระเจ้ากำลังพูดกับเราในขณะนี้ ในขณะที่เราอยู่ในสถานการณ์ดูเหมือนว่าเราอยู่ตามลำพังคนเดียว แต่เปล่าเลย พระเจ้า พ่อของเรา อยู่กับเรา โอบกอดเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็บอกกับเราว่า …

“โอ๋! รักนะ อย่ากลัวเลย ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อกำลังพาเจ้าเดิน เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว เจ้าไม่ต้องกลัวนะ”

ในขณะที่โลกถาโถมเราด้วยข่าวสารแห่งความกลัว แต่พ่อกำลังพูดกับเราด้วยความรักอย่างนี้แหละ และเป็นความจริงด้วย

ประการที่ 1 พระเจ้า ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระบิดาพูดกับเราแล้ว ใช่ไหม? ตอนนี้มาถึงพระเยซู พระบุตร

          ประการที่ 2 พระเยซูพูดกับท่านในนาทีนี้  ในสถานการณ์โควิด-19 อย่างนี้ พระเยซู พระบุตรของพระเจ้ากำลังพูดกับท่าน พูดกับเราว่า … “เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่าน ในร่างกายของท่าน”

ยอห์น 14:23 “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสอง จะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา”

 

“ถ้าใครรักเรา” ก็หมายถึงถ้าใครยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาปและความตาย จากความพินาศ และต้อนรับสิทธิ์นี้ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิต เข้ามาอยู่ในร่างกายของตนเอง คนนั้นคือรักพระเยซู แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร? ถ้าใครรักพระเยซู คนนั้นประพฤติตามคำของเรา คือยอมรับพระองค์ และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสอง หมายถึงพระบิดากับพระบุตร พระเยซู เราทั้งสองจะมาหาเขา มาทำที่อยู่ จะมาอยู่กับเขา ในร่างกายของเขา มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา พระเยซูกำลังพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้ที่เชื่อในพระองค์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาดัม ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด  ในโลกวิญญาณเข้ามาอยู่ในความสว่าง เข้ามาอยู่ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ มารวมกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันและได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซู ที่ไม้กางเขน และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซู และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  มันหมายถึงอย่างนั้น เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู

พระเยซูพูดว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “เรากับท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน” เป็นหนึ่งถึงขนาดไหน? หนึ่งถึงขนาด ใครที่ข่มเหงเรา (พระเยซู) แปลว่าใครที่ข่มเหงคนที่เชื่อในพระเยซู ผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใครข่มเหงคริสเตียน ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซู พูดง่ายๆ ใครทำอะไรต่อท่าน ผู้ที่เชื่อในเรา (ในพระเยซู) เท่ากับทำให้พระเยซู ถ้าเขาให้น้ำท่านแก้วหนึ่ง เท่ากับเขาให้น้ำพระเยซูแก้วหนึ่งเหมือนกัน มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น โควิดและข้อมูลข่าวสาร ที่กระหน่ำมาให้เราเกิดความกลัว และข่มขู่เราด้วยข่าวร้ายเหล่านี้ กำลังข่มขู่ ผลักดันให้เรากลัว กำลังผลักดันพระเยซูให้กลัว ข่มขู่พระเยซูด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะว่าเรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน

นี่คือประการที่ 2 จงจำเอาไว้เลยว่าพระบิดากับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่อาศัยกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  ในวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน

ประการที่ 1 พระเจ้า พระบิดา ผู้เป็นพ่อพูดกับเราแล้ว

ประการที่ 2 เราจำได้ ก็คือพระเยซู พระบุตรพูดกับเราแล้ว

ประการที่ 3 ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับเรา ตอนนี้มาถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าพูดกับเราว่า … “ท่านเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”

ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านเป็นทายาทด้วย อ่านโรม 8:15-17 …

โรม 8:15-17 “15 เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้น จะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาส ซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้น เราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)” 16 พระวิญญาณนั้น เป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า 17 และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรี ด้วยกันกับพระองค์ด้วย”

 

ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง บันทึกว่าเพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าได้ให้มา สำหรับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณได้ถูกส่งเข้ามาในชีวิตของเรา  จะมาทำให้เราไม่ได้เป็นทาสของความบาป และความกลัวอีกต่อไป หลุดพ้นจากความบาป มันหมายถึงอย่างนั้น

พระวิญญาณได้ทำให้เราพ้นจากการเป็นทาส ไม่ต้องอยู่ในความกลัวอีกต่อไป  เราได้เลยเมื่อเรารับเชื่อแล้ว  เราเป็นคริสเตียน เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ มันหมายถึงอย่างนี้

ในนี้บอกว่าแต่พระวิญญาณได้ทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า คือพระวิญญาณที่ถูกส่งให้เรา ตอนเรารับเชื่อ เข้ามาทำให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น  พระวิญญาณได้ถูกส่งเข้ามา เพื่อผ่าตัดวิญญาณของเรา ให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณอุแว๊ เรียกว่าวิญญาณลูกของพระเจ้า  เรียกว่าเป็นตัวตนแท้จริงของเรา คือเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้  โดยพระเจ้า พระบิดา ผู้ส่งเข้ามาให้กับเรา โดยพระวิญญาณนั้น เราจึงได้บังเกิดใหม่ จึงร้องเรียกพระเจ้าได้ว่า “พ่อ … อับบา” พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พ่อแห่งวิญญาณของเราที่ให้เราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์

มันหมายถึงอย่างนั้น เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นเมื่อไร? เกิดเมื่อไร?  เกิดเมื่อวินาทีแรกที่เราเปิดใจ จริงใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากบาป ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาช่วยฉัน  บัดนี้ ฉันต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของฉัน นั่นแหละ ท่านพูดจบ ด้วยความเชื่อจริงๆ จากใจ ก็จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น  คือพระวิญญาณจะถูกส่งเข้ามาในวิญญาณของท่าน พระเจ้าทำการผ่าตัดให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ณ บัดนั้น และเป็นเลย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

ฟังให้ดีๆ ในโลกวิญญาณ เมื่อเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าต่อไป ตลอดเวลาเลย  พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน เมื่อตะกี้นี้ในประการที่ 1 และประการที่ 2 ที่พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูพูดกับท่าน เมื่อท่านเป็นลูกแล้ว ท่านก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นอีกแล้ว  ท่านเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  เมื่อท่านเป็นลูกของพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว ไม่ว่าจากนั้นท่านจะมีความประพฤติเช่นใดก็ตาม ไม่ว่าต่อไปท่านจะเชื่อฟัง หรือดื้อต่อพระเจ้าบ้าง ทำบาปอยู่บ้าง ก็ตาม มันไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงความเป็นลูกของพระเจ้าของท่านได้อีกเลย พระเจ้าจะดูแลท่าน เลี้ยงดูท่าน ค่อยๆ สอนท่าน

คืออย่างนี้ ความจริงมีอยู่ว่าเรามนุษย์ทุกคนไม่สามารถพึ่งความดี กระทำความดี เพื่อเป็นลูกของพระเจ้าได้ เราไม่สามารถพึ่งในการกระทำดีของเรา  เพื่อที่จะเป็นลูกของพระเจ้าได้  แต่เราทำดี เพื่อจะได้มีสันติสุข มีความทุกข์น้อยลง ในโลกแห่งความชั่วร้ายเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และทำให้เรามีความชื่นใจ เพราะว่าขณะที่เราทำดีนั้น พ่อของเรา  พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ พระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณมีความชื่นชมยินดี ชื่นใจในเรา นี่หมายถึงอย่างนั้น แต่ถ้าเราพลาด ถูกล่อลวง กระทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของเรา จนกระทั่งไปทำบาป  พระเจ้าก็อภัยให้กับเราเรียบร้อยแล้ว อภัยไปตั้งนานแล้ว  อภัยก่อนล่วงหน้าเลย  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ก็เพียงแต่เราจะได้รับความทุกข์ ความลำบากมากขึ้น อย่างไม่น่าจะเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ซึ่งมีความทุกข์ มีความชั่วร้ายอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับความประพฤติ ในการกระทำดีด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้พึ่งในการกระทำดี เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระเจ้า เพราะมันทำไม่ได้อยู่แล้ว  เพราะไม่มีใครทำดีได้ครบถ้วน 100 % พระเยซูบอก พระองค์จึงได้ถูกส่งมา เพื่อช่วยคนที่อ่อนแอ ที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะไม่มีใครทำได้อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น นี่คือข่าวสารจากพระเจ้าพูดกับเรา ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เป็นพี่เลี้ยงเรา  พูดกับเราอย่างนี้ แต่ในโลกใบนี้ มารยังคงกระทำการงานอยู่ มารยังคงดำเนินการงานของมันอยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่ามันจะถูกตัดสินพิพากษาไปแล้ว  แต่มันยังอยู่ในขบวนการ การสิ้นสุด การลงโทษ ยังไม่ถึงเวลานั้น  มันจึงสามารถที่จะดำเนินการอยู่บนโลกใบนี้อยู่ได้

และมันทำวิธีใด? ก็ด้วยเล่ห์เดิมๆ ของมัน คือการขโมย ฆ่า และทำลาย  มีแค่นี้ มันไม่ได้สร้างอะไรใหม่เลย  มันเอาของเก่าของพระเจ้ามา แล้วก็บิด ทำให้มันเพี้ยนๆ ซะ  จากขาว มันก็ทำให้เป็นดำ หรือถ้าไม่ดำ มันก็ทำให้เป็นเทาๆ อะไรประมาณนั้น มันได้ชื่อว่าเป็นพ่อแห่งการโกหก เจ้าเล่ห์ มันใช้วิธีนี้แหละ วิธีเดียว ที่จะมาล่อลวงมนุษย์ ให้ไปสู่ความทุกข์ ความพินาศ ร่วมกับมัน ซึ่งถูกพิพากษาลงสู่นรก ลงสู่ความพินาศไปแล้ว กำลังรอขบวนการสำเร็จโทษนั่นเอง

ยกตัวอย่าง พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเราใช่ไหม?  แล้วพระเจ้าบอกดีทุกอย่าง แล้วทุกอย่างก็ดีหมดแล้ว  แล้วพระเจ้าสั่งมนุษย์ว่า …

“อย่าไปกินนะ ถ้าวันใดเจ้าฝืนกินผลจากต้นไม้ต้นนี้ เจ้าจะต้องตาย”

ง่ายๆ พระเจ้าบอกว่า … “อย่ากินเลย อย่าทำนะ ถ้าทำวันใดเจ้าจะได้รับโทษถึงตายเลย มันส่งผลถึงตายเลย”

อย่างที่บอกว่า “ลูกเอ๋ย อย่าไปจับไฟฟ้านะ จับไปมันช๊อตตายเอานะ”

พูดด้วยความรัก เตือนด้วยความรัก  แต่มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย

มันก็มาหลอกมนุษย์ว่า … “อุ้ย! ที่พระเจ้าบอกว่าตาย ไม่จริงหรอก วันใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะเหมือนพระเจ้า พระเจ้าไม่อยากให้เจ้าเหมือน”

อะไรอย่างนี้ คือแย้ง พระเจ้าบอกตาย มันบอกไม่ตายหรอก แล้วในที่สุด เราก็รู้อยู่แล้ว  บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา ก็ตกลงไปในการทดลอง ไปกินผลไม้ ไปทำในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ ก็ได้รับผลตามที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือตาย  ถูกตัดขาดออกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตกสู่ความพินาศร่วมกับมารไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา รวมทั้งลูกหลานเหลนโหลน และทรัพย์สิ่งของ บ้าน คือโลกใบนี้ทั้งใบ ก็ตกอยู่ในความพินาศ ร่วมกับมารไป มันก็ใช้วิธีนี้มา ทุกวันนี้มันก็ใช้วิธีนี้แหละ ใช่ไหม ในสถานการณ์โควิดอย่างนี้ มันก็ใช้วิธีนี้ …

“พระเจ้ามีจริงหรือ?” มันก็จะถามเรา

“ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ความทุกข์ยากลำบากอย่างโควิด เกิดขึ้นกับท่าน พระเจ้ามีจริงหรือเปล่า? ถ้าจริง ทำไมไม่ช่วย ผลกระทบจากโควิดที่ท่านได้รับ การค้าขายไม่ได้ ตกงานอีก เงินไม่พอใช้อีก  พระเจ้ามีจริงหรือ? พระเจ้าอยู่กับท่านหรือ?  พระเจ้าไม่ละทิ้งท่านจริงหรือ? ถ้าจริงทำไมไม่ช่วยท่าน ให้ผ่านไปด้วยดี ทำไมไม่ช่วยท่านให้มีเงินใช้  ทำไมไม่ช่วยท่านให้สามารถหลุดรอดพ้นจากเชื้อโควิด ดูๆๆๆๆๆ”

ดูอะไร? ดูตามที่มันชี้ แล้วมันก็จะส่งข้อมูลมาในสมองเรา …

“ดูสิ ผู้เชื่อคนนั้นยังติดโควิดเลย แล้วเธอเป็นใคร? เธอก็เป็นผู้เชื่อใช่ไหม? แล้วพระเจ้ามีจริงหรือ? ทำไมไม่ปกปักษ์คุ้มครองดูแล ผู้เชื่อยังติดโควิดเลยเห็นไหม?  ดูสิ ไปโบสถ์ยังติดเลย ไม่ใช่ติดโควิดธรรมดา คริสเตียนยังตายด้วยโควิดก็มี ไหนพระเจ้าบอกปกป้องคุ้มครองดูแลไง”

มันก็จะใช้วิธีเดียวกันนี่แหละ พระเจ้าบอกสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ละทิ้ง ทอดทิ้งเรา มันก็จะบอก … “ไม่ละทิ้ง ไม่ทอดทิ้ง ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”

หรือบางครั้ง มันก็จะบอกว่า … “อุ้ย! พระเจ้าเคยอยู่กับท่าน ตอนนี้ทิ้งท่านไปแล้ว”

พระเจ้าบอกไม่ทอดทิ้งท่าน  มันบอก … “ทิ้งแล้ว” มารผ่านสื่อมาบอก … “ทิ้งท่านไปแล้ว”

ทิ้งท่านไปเมื่อไร? … “ก็ดูสิ อธิษฐานก็ไม่อธิษฐาน ท่านจึงเกิดปัญหานี้ไง”

ทิ้งท่านไปแล้ว เมื่อไร? … “ดูสิ ท่านติดเชื้อโควิดใช่ไหม?  เพราะท่านอธิษฐานน้อย เพราะท่านไม่ไปโบสถ์เลย  เพราะท่านไม่ถวายทรัพย์ เพราะท่านไม่ๆๆๆๆๆ” อะไรเยอะแยะมากมายหมด

“เพราะท่านความเชื่อไม่พอ”

มันก็จะส่งข้อมูลเหล่านี้ มาใส่สมองเราตลอดเวลา  นี่คือวิธีกลเม็ดเด็ดพราย เจ้าเล่ห์ของมาร ทำให้เกิดความสงสัยในพระเจ้าของเรา พระเจ้าทิ้งเธอไปแล้ว พระเยซูไปจากเธอแล้ว พระเยซูบอกเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่ได้เป็นหนึ่งแล้ว พระองค์ออกไปแล้ว เพราะเธอไปทำบาป ไม่บริสุทธิ์พอ  พระเจ้าเลยทิ้ง เพราะเดี๋ยวนี้ ชีวิตเธอไม่โอเคต่อไปแล้ว  ไม่โอเค เพราะว่าเธอไปโกหก ไปอิจฉาเขา แล้วยังไม่อภัยให้กับคนโน้น คนนี้ พระเจ้าเลยไม่พอใจ  ไปแล้ว ออกไปจากเธอแล้ว  อะไรเหล่านี้ ทำให้เราเกิดไขว้เขวในพระเจ้า แล้วเกิดความสงสัยในพระเจ้าของเรา

ซึ่งอะไรจะมาช่วยเหลือสถานการณ์อย่างนี้  มันยิงเอาความโกหก จะมาขโมย ฆ่าและทำลายเรา  พระเยซูบอกความจริงทำให้เราเป็นไท   ความจริง  คือโล่ป้องกันภัย  คือโล่ป้องกันลูกศรเพลิงที่มารพยายามยิงเข้ามา มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก มันเพียงแต่พยายามยิงจากข้างนอกเข้ามาในสมองในชีวิตของเรา  มันอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ข้างใน เราจากข้างใน ก็ต้องเอาโล่ป้องกันไว้  … โล่ คือความจริงคาดเอวไว้อย่างนี้ พระคัมภีร์สอนเรา

ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัว และความวิตกกังวล และการโกหกหลอกลวงของมารซาตานเหล่านี้แหละ  ความจริงจะนำท่านสู่ชัยชนะ ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือร้าย ตามสายตาของมนุษย์ก็ตาม แม้กระทั่งตามความคิดของเรา ก็ตาม ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เรามีชัยชนะ

เพราะพระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างนี้แล้ว พระเจ้าบอกเราเรียบร้อยแล้วว่าผู้ชอบธรรม ก็คือลูกของพระเจ้า ที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าผู้ชอบธรรม … ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิต ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่สัมผัสได้  ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้ยินจากโลกใบนี้  ซึ่งแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ผู้ชอบธรรม ลูกของพระเจ้าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น  เชื่อ แม้จะเกินกว่าความคิดของเราจะเข้าใจ  เชื่อ แม้จะเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจ เชื่อ แม้จะเกินกว่าความรู้สึกของเราที่จะเข้าใจ พูดง่ายๆ นะ แต่ทำยาก ที่เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อ  แต่เป็นในแง่ที่ดี

หลับหูหลับตา คือไม่มองในโลกใบนี้  ที่ปกคลุมโดยมาร ที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  โลกใบนี้ทั้งใบ ระบบของโลกใบนี้  ที่อยู่ในการดูแลครอบครองของพญามาร เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เพราะฉะนั้น มันจะทำทุกอย่าง เพื่อต่อต้านพระเจ้า  เราก็หลับหูหลับตาอย่าไปฟังมัน อย่าไปมองมัน  เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อในพระเจ้า

หลับหูหลับตาเชื่อในพระเจ้า คือหลับหูหลับตาเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา อธิบายให้เราฟังในพระคัมภีร์นั่นเอง ไม่ต้องเข้าใจ

มารจะบอก … “อย่างนี้จะเข้าใจได้อย่างไร? ไม่มีเหตุผล”

“ไม่รู้ ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องอธิบาย”

“ทำไม คนนี้ เป็นคริสเตียน เชื่อด้วย อธิษฐานเยอะด้วย ยังติดโควิดเลย”

“ฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันก็ไม่เข้าใจ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา เขาเป็นลูกพระเจ้า พระเยซูอยู่กับเขา พระวิญญาณอยู่กับเขา เขาเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว  เอเมน นอกนั้น ฉันไม่รู้ ใครจะไปรู้หมดทุกอย่าง”

ถ้าเผื่อเกิดย้อนกลับไปได้ เมื่อตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ ตอนที่อาดัมและเอวาพูดอย่างนี้ ก็คงจบเลยนะ

“ทำไมไม่กินผลไม้?”

“พระเจ้าสั่งไม่ให้กิน วันใดเจ้ากิน เจ้าจะถึงตาย”

“เจ้าจะไม่ตายหรอก”

อาดัมน่าจะบอกว่า … “ฉันก็ไม่รู้หรอก ตายหรือไม่ตาย ฉันก็พอใจในทุกสิ่ง ทุกวันนี้ พระเจ้ารักฉันจะตาย ทุกอย่างก็ดีหมดแล้ว ไปให้พ้น ฉันไม่ต้องเข้าใจหรอก ทำไมถึงไม่ให้กิน”

“ทำไมถึงไม่ให้กิน ทำไมหวงไว้”

“ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่สนใจแก”

แทนที่จะไปฟังมัน ฟังมันมากๆ แล้วมันคล้อยตาม เพราะมันใช้เล่ห์ไง  ไม่ได้ด้วยเล่ห์ เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยคาถา เอาด้วยการบีบบังคับ พยายามทุกอย่าง นี่คือวิธีการของมาร

เราไม่รู้อนาคต แต่เรารู้ว่าผู้ควบคุมอนาคตของเรา คือพระเจ้า  ผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เป็นคริสเตียนแล้วจริงๆ เกิดใหม่แล้วจริงๆ เราไม่รู้อนาคตหรอก

มารก็จะบอกว่า … “รู้จักพระเจ้า มีพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว 3 พระภาคอยู่ในตัวแล้ว ป่านนี้เธอต้องรู้หมดแล้ว ยิ่งกว่าหมอดูอีก เก่งแล้วเนี้ย”

พระคัมภีร์ไม่ได้พูดอย่างนั้น เราไม่รู้อนาคต แต่เรารู้ว่าผู้ควบคุมอนาคตทั้งหมดนั้น รวมทั้งของเราด้วย คือพระเจ้า  ไม่ใช่พระเจ้านั่งรอจะตอบคำอธิษฐานของเรา ไม่ใช่เราอธิษฐานอะไร แล้วพระเจ้าตอบเลย ตามที่เราขอ หรือตามที่เราต้องการ แต่เราต่างหากที่ต้องรอพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้ารอเรา  เราต้องรอพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์

เราต่างหากที่ต้องรอพระเจ้า ตอบคำอธิษฐานของเรา ให้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ฉะนั้น จงอดทน และรอพระเจ้า  ให้ทำตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่ตามแผนการของเรา หรือตามที่เราคิด หรือเราอยากได้  หรือความรู้สึกของเรา หรือสติปัญญาของเรา  หรือความเข้าใจของเรา  แม้จะไม่เข้าใจ แม้จะไม่รู้สึกอะไรต่างๆ แต่จงอดทนรอให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา ตามแผนการของพระองค์ เพราะเรารู้อย่างเดียวแค่นั้นพอ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงรักเรามาก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าทั้งสิ้น เกินกว่าความคิดมนุษย์จะเข้าใจ เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ เขาถึงเรียกความเชื่อแท้จริงในพระเจ้า ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่หูได้ยิน ไม่ใช่ความรู้สึกว่า …

“ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ว่าฉันจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ถ้อยคำบอกแล้วว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ก็สถิตอยู่กับฉัน ไม่ใช่รู้สึกว่าพระเจ้าหายไปแล้ว พระเจ้าไม่อยู่ด้วย คือพระเจ้าไม่อยู่ด้วยแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วย แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่ความรู้สึก”

นี่คือวิถีทางของคริสเตียน … “เพราะฉะนั้น ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงรักฉันดั่งแก้วตาดวงใจ นี่คือความจริงที่ฉันยึดเอาไว้ ไม่ว่าสถานการณ์นั้น ฉันจะได้ยินข่าวสารอื่น  หรือมีความรู้สึกว่าพระเจ้าเกลียดฉัน พระเจ้าไม่พอใจฉันแล้ว พระเจ้าหนีฉันไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม ฉันหดหู่เหลือเกิน อธิษฐานไม่ได้ พระเจ้าคงไม่อยู่กับฉัน หรือข้อความแย้งอื่นๆ ก็ตาม ฉันไม่สนใจ ฉันสนใจอย่างเดียวว่า ฉันเชื่อ ฉันยืนอยู่บนถ้อยคำแห่งความจริงว่าพระเจ้าทรงรักฉันดั่งแก้วตาดวงใจ  และจะอยู่กับฉันตลอดไป  เอเมน”

เพราะฉะนั้น จงนิ่งเถิด และรับรู้ว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่กับเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะมีความกลัว หรือวิตกกังวลอยู่ก็ตาม จงนิ่งเถิด  และรับรู้ว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค สถิตอยู่กับเรา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงอยู่ฝ่ายเรา อยู่ข้างเรา รักเรา กอดเราอยู่ตลอดเวลา ต้องรับความจริงเหล่านี้ แล้วฝังรากลึกของความจริงเหล่านี้ อยู่ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าโลกใบนี้จะแย้งกับความจริงนี้อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงยืนหยัดอยู่ในความจริงเหล่านี้

เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสถานการณ์อะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ที่ทำให้เราตกอยู่ในสภาวะคิดอะไรก็ไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก อธิษฐานก็ไม่ได้ … อธิษฐานไม่ได้ โทรศัพท์หาศิษยาภิบาล หาผู้รับใช้ หาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  ที่เขายังมีแรงอยู่ มาร่วมใจกันอธิษฐานได้

เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์บางช่วง บางเวลา คิดอะไรก็ไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก อธิษฐานก็ไม่ได้  ไม่มีกำลังใจ ไม่มีจิตใจจะอธิษฐานเลย แต่ขอให้ท่านจดจำ 3 ประการนี้ ที่พระเจ้ากำลังพูดกับเรา และพูดอย่างต่อเนื่องให้ได้ ก็แล้วกัน จำอะไรไม่ได้ จำแค่นี้พอ จำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นไร ทำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นไร จำแค่นี้พอ จำแค่ลางๆ ก็ยังดี คือ …

          ประการที่ 1 พระเจ้าพระบิดาตรัสว่า … “เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

          ประการที่ 2 พระเยซูตรัสว่า … “เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่าน ในร่างกายของท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว”

          ประการที่ 3 พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า … “ท่านเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”

นี่คือ 3 สิ่ง 3 ประการในคำพูดของพระเจ้าที่ขอให้ท่านจำไว้แค่นั้น

“จะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้

จะอยู่ เพื่อจะรักจนหมดดวงใจ”

ใช่ไหม? ตอนนี้ต้องบอกว่าจะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้ จะจดจำ 3 ประการนี้เอาไว้ คือ …

(1) พระบิดาไม่ละทิ้งเรา ไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราเสมอ โอบกอดเราอยู่

(2) พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย ใครทำอะไรเรา ก็เท่ากับทำกับพระเยซู

(3) พระวิญญาณบอกกับเรา ยืนยันกับเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า และไม่ได้เป็นลูกธรรมดา เป็นทายาทด้วย คือมีมรดกให้กับเรา เตรียมตัวไว้รับมรดก ครอบครองร่วมกับพระเยซู พี่ชายคนโตของเราชั่วนิรันดร์กาล

และเมื่อจำสิ่งที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคพูดกับเราได้อย่างนี้แล้ว จากนี้ต่อไป ก็เอามาสรุป พูดกับตัวเองเหมือนกับข้อความของพระเจ้าที่เขียนเอาไว้ในหนังสือฮีบรู 13:6 ดังนี้ว่า …

ฮีบรู 13:6 “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจแน่วแน่ กล้าหาญว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว ข้าพเจ้าจะไม่หวาดหวั่นกับสถานการณ์ใดใด  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?

 

คราวนี้มาถึงเราพูดกับตัวเองแล้ว ตะกี้เราฟังพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับเราเต็มหู 2 ข้างทางฝ่ายวิญญาณ เต็มความคิดจิตใจทางฝ่ายวิญญาณ เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาแล้ว  คราวนี้ถึงตาเราเอง พูดให้ตัวเราเองฟังว่า …

“ฉันมีความมั่นใจ แน่วแน่ กล้าหาญว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือฉัน ฉันจะไม่กลัว ฉันจะไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ใดใด มนุษย์หรือโควิดจะทำอะไรฉันได้เล่า? เอเมน”

“ฉันมีพระเยซู ฉันจะไม่หวั่นไหว             ฉันมีพระเยซู ฉันจะไม่หวั่นไหว

ดั่งต้นไม้งาม ปลูกไว้ริมลำธารน้ำ              ฉันจะไม่หวั่นไหว

ฉันไม่หวั่นไหว  ฉันจะไม่หวั่นไหว          ฉันไม่หวั่นไหว  ฉันจะไม่หวั่นไหว

ดั่งต้นไม้งาม ปลูกไว้ริมลำธารน้ำ              ฉันจะไม่หวั่นไหว”

เห็นไหม? ร้องเป็นเพลงยังได้เลย เพราะเราเกิดความมั่นใจ แน่วแน่ กล้าหาญจากถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกับเรา แล้วทำให้เราฮึดขึ้นมา ต่อสู้กับข่าวร้ายต่างๆ ที่บอกเข้ามา กระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเราในขณะนี้ ผ่านทางโควิด-19 พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคกำลังจูงมือเราเดินผ่านโควิด-19 และผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยความรัก ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ทั้งหมดทั้งสิ้นของพระองค์ ความรักอันมั่นคงของพระองค์ และความดีของพระองค์จะอยู่ในเรา จะติดตามเราไปตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดชีวิตของเราบนโลกใบนี้ และไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาลเลยทีเดียว  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ภายในจิตใจของผู้ที่ได้รับการชำระล้างบาปแล้ว ล้วนปรารถนาที่จะทำแต่สิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ก็ยังคงต้องต่อสู้กับเนื้อหนังที่ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ตามที่อาจารย์เปาโล ได้คร่ำครวญไว้ว่า …

“ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่ว ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเอง เป็นผู้กระทำ” (โรม 7:19-20)

 

หลายคนก็ต้องเคยมีประสบการณ์แบบนี้ คือใจอยากจะทำดี ไม่อยากทำบาป แต่เนื้อหนังสู้ไม่ไหว และในที่สุด ผู้ที่มีพระวิญญาณคอยช่วยอยู่ ก็จะค่อยๆ ทำบาปน้อยลงเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน เรายังคงสามารถมั่นใจได้ว่าเราได้รับการอภัยแล้ว วิญญาณเราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว

 

พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่สมบูรณ์พร้อม  แม้ทางจิตวิญญาณจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม  แต่ทางกายก็ยังมีเชื้อบาปอยู่  ยังต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังอยู่

 

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงโปรดอภัยให้เรา  และคอยอยู่เคียงข้างเรา  นำพาเราในทุกสถานการณ์  คอยช่วยเหลือและให้กำลังเรา ในการต่อสู้กับการล่อลวง และไม่ว่าเราจะผิดพลาดไปกระทำบาปแค่ไหนก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยปรับโทษเราอีกเลย แต่ยังคงอธิษฐานเพื่อเราอยู่เสมอ

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้ พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย” (โรม 8:34)

 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1310

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย”  ตอน 49

โดย วราพร   คงล้วน

 

วันนี้เราก็มาต่อลูกา 2:14 คราวที่แล้ว เราได้คุยถึงเรื่องที่นางมารีย์กับโยเซฟต้องเดินทางมาที่เบธเลเฮม เพื่อที่จะคลอดพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ ก็คือพระเจ้าได้เผยพระวจนะไว้แล้วว่าพระเยซูจะต้องเกิดที่ไหน? เกิดอย่างไร?  และในช่วงเวลาที่นางมารีย์ใกล้กำหนดคลอด ก็ต้องเดินทางจากนาซาเร็ธมาที่เบธเลเฮม แล้วโรงแรมทุกโรงแรมห้องเต็ม จนโยเซฟกับนางมารีย์ต้องไปอยู่ที่คอกสัตว์ แล้วพระเยซูก็ได้ประสูติตามที่ผู้เผยพระวจนะได้บอกไว้ คือพันผ้าอ้อม แล้วนอนอยู่ในรางหญ้า

แล้วกลุ่มแรกที่พระเจ้าส่งทูตสวรรค์ไปบอก ก็คือคนเลี้ยงแกะ บอกว่าวันนี้ เป็นวันที่ทุกคนต่างเปรมปรีดิ์ เพราะพระผู้ช่วยให้รอดได้มาบังเกิดแล้ว ที่เบธเลเฮม แล้วพวกเจ้า ถ้าเดินทางไป จะเห็นหมายสำคัญ คือพระกุมารจะนอนอยู่ที่รางหญ้า จากนั้น ทูตสวรรค์ก็ได้ร้องสรรเสริญพระเจ้า ในข้อที่ 14 บอกว่า …

ลูกา 2:14 “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น”

 

พระคัมภีร์ข้อนี้ พี่น้องจะคุ้นชินมาก เพราะว่าใกล้คริสตมาส เราก็จะขึ้นข้อพระคัมภีร์ข้อนี้  เพื่อที่จะบอกว่าบัดนี้ สันติสุขได้มาถึงมนุษยชาติแล้ว

ในอดีต หลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  มนุษย์ไม่มีสันติสุขเลย เพราะว่าถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถที่จะมีความสุขเหมือนสมัยที่อาดัมกับเอวาไม่ได้ล้มลงในความบาป  ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมากมาย บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น มนุษย์ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด หลังจากที่ล้มลงในความบาปแล้ว มีสันติสุขได้  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาประสูติบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ได้มอบสันติสุขให้กับมนุษยชาติ ซึ่งสันติสุขนี้ โลกให้เราไม่ได้ หรือไม่สามารถที่จะรับได้ จากอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้

ทูตสวรรค์ได้บอกว่า … “พระสิริจงมีแด่พระเจ้า ในที่สูงสุด”

ก็คือพระสิริ ความสง่างาม หรือสมัยก่อน ก่อนที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระสิริของพระเจ้าได้ปกคลุมอยู่เหนืออาดัมและเอวา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าด้วยพระสิรินั้น ทำให้มนุษย์ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ไม่รู้สึกว่าต้องอาย  เพราะว่าความใสซื่อ บริสุทธิ์ สะอาดของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือมนุษย์ หลังจากที่ล้มลงในความบาป  พระสิริของพระเจ้าหลุดออกไปจากมนุษยชาติ เพราะว่าความดีงาม ความบริสุทธิ์สะอาดหมดจดของพระเจ้า ไม่สามารถอยู่กับความบาปได้เลย เพราะฉะนั้น พระสิริ ณ เวลานี้อยู่ที่พระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ส่วนบนแผ่นดินโลก หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิด ก็คือตอนนี้ เกิดแล้ว ในพระธรรมลูกา ทูตสวรรค์ได้มาบอกกับพวกเลี้ยงแกะว่าพระผู้ช่วยให้รอด มากำเนิดแล้วนะ ณ บัดนี้  ขอให้สันติสุขของพระเจ้าดำรง อยู่ท่ามกลางมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปราน

มนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงโปรดปราน  และพระเจ้าปรารถนาที่จะให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด ได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า ได้หลุดจากมือของผีมารซาตาน มาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ซึ่งถ้ามนุษย์คนหนึ่งคนใด ที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้มากระทำ มนุษย์ผู้นั้น ก็จะไม่มีสันติสุขเลย

สันติสุขที่พระเจ้าพูดถึง คือสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจของพวกเราทั้งหลาย  เป็นสภาวะที่ทำให้ความคิดจิตใจของเราสงบได้  ซึ่งสภาวะนี้จะเกิดขึ้นในผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ซึ่งถ้าเราไม่มีพระเจ้า เราไม่สามารถสงบได้เลย ยิ่งในยุค ณ เวลานี้ เป็นยุคที่หน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นยุคที่เดินออกไปข้างนอก เจอแต่ภัยอันตราย กลัวไปหมด เราจะไม่สามารถมีสันติสุขได้เลย แต่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า สามารถสงบได้ในท่ามกลางปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะเรามีความมั่นใจในความรอดที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย และเมื่อเรารับเอาสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ข้างในวิญญาณเราเกิดความสงบสุข  เกิดความมั่นใจในความรอด ที่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดแล้ว เราได้ถูกย้ายวิญญาณจากฝั่งที่เป็นความมืด เข้ามาสู่ฝั่งที่เป็นความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว ย้ายจากการที่เป็นทาสของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  จากการที่เราต้องเชื่อฟังมาร  ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะเราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อเรามีความมั่นใจ เกิดความมั่นใจปุ๊บ จะมีผลออกมาในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าหวาดกลัวทั้งหมด ผลนี้จะทำให้เราไม่กลัว  ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  เราก็ไม่เกิดความกลัว เพราะความรอดนี้จะทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่งที่เรามี … ทุกสิ่งที่เรามี ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องร่ำรวยเงินทองมหาศาล หรือมีทุกอย่างที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ ทุกสิ่งที่เรามี แบบอาจจะไม่เหมือนคนอื่น  อาจจะมีนิดเดียว แต่เรามีความพึงพอใจ ฉะนั้น ความพึงพอใจเกิดขึ้นเมื่อไร จะทำให้ข้างในเรามีความสุข แต่ถ้าเราไม่พึงพอใจ ต่อให้เรามีเยอะขนาดไหนบนโลกใบนี้  ก็ไม่สามารถทำให้เราสงบ  หรือเกิดสันติสุขได้

พอเราเกิดความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี และที่เป็น คือเป็นอยู่ขณะนี้ ที่เราต้องลำบากลำบน หลายคนตกงาน หลายคนไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยในช่วงนี้ ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว เราคิดว่าโควิดสักกลางปี น่าจะจบ ไม่จบ  มีระลอกแรก ก็พอได้  ระลอก 2 มา เที่ยวนี้ระลอก 3  มันลากยาวมาเป็นปีๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถ้าเราไม่มีพระเจ้า  เราไม่สามารถที่จะนิ่งได้เลย เราไม่สามารถที่จะมีความสงบได้ และที่เราเป็นอยู่ เราจะไม่สามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ เราไม่ได้ขอบคุณพระเจ้าที่เราเจอโควิด ไม่ใช่ หรือเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้  เราขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงนำพาย่างเท้าของเราในแต่ละวัน  ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ทำให้เราสามารถสงบได้ ทำให้เราสามารถเชื่อ วางใจในพระเจ้าได้ สามารถรับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา พระเจ้ามีน้ำพระทัยของพระองค์ สำหรับชีวิตของพวกเราแต่ละคนแน่นอน ซึ่งมันแตกต่างกัน

ฉะนั้น การนำพาของพระเจ้า ในชีวิตของพวกเรา ณ วันที่ทูตสวรรค์มาประกาศให้กับคนเลี้ยงแกะได้รับรู้ ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์มาประสูติบนโลกใบนี้  แปลว่าแผนการที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนไว้ เป็นหลายพันปี ได้เผยพระวจนะ ได้สัญญากับมนุษย์ว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอดมา เพื่อที่จะไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป และสามารถที่จะคืนดีกับพระเจ้าได้ มนุษย์ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อตายจากโลกนี้ไป  เราจะต้องไปตกนรก ต้องไปรับการพิพากษา ไม่ต้องแล้ว พระเจ้าบอกว่าข่าวดีของพระองค์ มาถึงพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  แล้วข่าวดีนี้ พระเยซูคริสต์ก็บอกพวกเราผู้เชื่อให้ประกาศออกไป

ข่าวดีของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช เป็นฤทธานุภาพ ไม่ได้เป็นเรื่องของเหตุผล หรือเป็นเรื่องที่เราจะต้องมาไล่เบี้ยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันมีเหตุมีผลอะไร? ไม่ใช่ แต่เป็นฤทธิ์เดช เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่พระองค์ได้ประทานให้กับมนุษยชาติ เมื่อพระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ คนกลุ่มแรกที่ดีใจที่สุด ก็คือพวกคนอิสราเอล … คนอิสราเอลเป็นกลุ่มคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพระองค์ก็ได้ทำพันธสัญญากับคนอิสราเอลนานมาก ไล่มาเรื่อยๆ  แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์จะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับชนชาติอิสราเอล  เพื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องสู้ด้วยกำลังของเขาเอง  แต่พระเจ้าจะเป็นคนนำพา แล้วก็สู้เพื่อเขา

แต่ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดจริงๆ แล้ว  คนอิสราเอลกลุ่มหนึ่งกลับไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าพระองค์คือผู้นั้น ที่พระเจ้าได้ส่งมา และหลายคนเชื่อ คือเมื่อข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไปปุ๊บ มันจะแตกออกมาเป็น 2 กลุ่ม อย่างที่เราคุยกันทุกครั้งไป  2 กลุ่ม คือ …

กลุ่มที่เชื่อ ฟังปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงาน เปิดตาใจ ทำให้เขามีความสามารถเชื่อในสิ่งที่พระเจ้ากระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ซึ่งตรงนี้เป็นความสามารถที่พระเจ้าใส่เข้ามา  พระเจ้าไม่ได้มาบังคับมนุษย์คนหนึ่งคนใดต้องมาเชื่อพระเจ้า  ไม่ได้บีบคอเราว่าต้องมาเชื่อพระเจ้า แต่ว่าพระเจ้าต้องการให้เราเต็มอกเต็มใจ  เปิดใจยอมรับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า

เหมือนในถ้อยคำของพระเจ้าในวิวรณ์บอกว่า … “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู เคาะแล้วเคาะอีก เคาะทุกวี่ทุกวัน”

การเคาะที่ประตูของพระเยซูคริสต์  ก็หมายถึงพระเจ้าได้ส่งคนแล้วคนเล่ามาถึงชีวิตของ

เรา คุยเรื่องพระเจ้าให้เราฟัง  ฟังแล้วฟังอีก ฟังอยู่นั่นแหละ ฟังจนไม่รู้จะฟังอย่างไร? หลายคนฟังแล้ว ก็ไม่มีการยอมรับ หรือตอบสนอง แต่หลายคนใช้เวลานานมากเลย  หลายปี ค่อยตอบสนองในความรักของพระเจ้า  แต่มีอีกกลุ่มหนึ่ง ฟังปุ๊บ ตอบสนองเลย  เราขอบคุณพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงเมตตามนุษย์ แม้ว่ามนุษย์จะดื้อ แต่พระเจ้าก็อดทนกับพวกเรา คอยแล้วคอยเล่า คอยทุกวี่ทุกวัน คอยให้เราเปิดใจ ต้อนรับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เข้ามาในใจของเรา เพื่อเราจะได้สามารถรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้  เพราะว่ามันคือกฎที่พระเจ้าได้ตั้งเอาไว้ ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกที่ล้มลงในความบาป  ยังไม่ทันล้มลงด้วยซ้ำไป  ที่พระเจ้าบอกว่า …

“อย่ากินผลไม้ต้นนี้  ไม่งั้นเจ้าจะตาย”

นั่นคือกฎ กฎที่พระเจ้าบอกไว้ว่าถ้าเชื่อฟังเจ้าก็จะไม่ตาย วิญญาณไม่ตาย  ร่างกายไม่ตาย เป็นนิรันดร์เหมือนพระเจ้า แต่มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ล้มลงในความบาป

ฉะนั้น ความตาย เริ่มเกิดขึ้นกับมนุษย์ เราจะเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากๆ ก็คือทันทีที่พระองค์ทรงรับรู้ พระองค์ไม่ได้เพิกเฉย  ถ้าเป็นพวกเรา ที่เป็นมนุษย์ ก็จะบอกว่า …

“สมน้ำหน้า พูดแล้วก็ไม่รู้จักฟัง เตือนแล้วก็ไม่รู้จักฟัง เห็นไหมล่ะ”

นั่นคือมนุษย์ แต่ว่าพระองค์ไม่ใช่ พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรเลย พระองค์แค่ถามอาดัมว่า …

“เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามแล้วหรือ?”

ก็คือพระเจ้าแบบนุ่มๆ … “อ้าว! บอกว่าอย่ากินไง กินแล้วหรือ?”

เมื่อกินแล้ว ทำอย่างไร? เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ไม่ทิ้ง ในเมื่อล้มลงแล้ว พลาดไปแล้ว  พระเจ้าก็ต้องหาแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้น จากการเป็นทาสของมาร  เมื่อมนุษย์ขายวิญญาณของตัวเอง  ก็คือยอมขายทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ให้กับมาร แทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ไปเชื่อฟังมาร  … มารมีอำนาจควบคุมมนุษย์ตั้งแต่วินาทีนั้น เป็นต้นมา จนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าส่งมา แล้วพระเจ้าบอกว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่มนุษย์จะได้รับสันติสุข มนุษย์ทุกคนเลย ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พระเจ้ารักหมด แต่พระเจ้าไม่บังคับที่จะให้ทุกคนต้องมาเชื่อพระเจ้า  แล้วพระองค์ทรงรู้ดีด้วยว่าใครที่มีใจอ่อนโยน  มีใจที่สามารถจะรับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้ด้วย  บางคนใจแข็งกระด้าง ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเจ้า เห็นหมายสำคัญ เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้ามากแค่ไหน? ก็ยังดื้อ ไม่ยอมเชื่อพระเจ้าอยู่ดี

หลายคนเคยบอกว่าถ้ามนุษย์เห็นหมายสำคัญเยอะๆ เห็นคนตายเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือเห็นการอัศจรรย์จากตาของเราจะๆ เลย มนุษย์จะเปิดใจต้อนรับพระเจ้า ไม่จริงนะ มีมนุษย์เยอะแยะมากมายที่เห็นกับตา แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี คือใจไม่เปิด แต่คนที่ใจเปิด ใจอ่อนสุภาพ ใจอ่อนโยน คนเหล่านั้น ไม่ต้องเห็นหมายสำคัญก็ได้ ไม่ต้องเห็นการอัศจรรย์ก็ได้  เมื่อเขาได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตาใจฝ่ายวิญญาณเขาเปิด แล้วเขาก็ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าปรารถนาจากมนุษยชาติ เพราะพระเจ้าไม่ต้องการให้แม้แต่คนหนึ่งคนใดต้องพินาศไป  อย่างที่เราเรียนรู้กันมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่พาสเตอร์นครคุยเรื่องนี้ คุยแล้วคุยอีก คุยซ้ำไปซ้ำมา เพื่อเราจะได้รับรู้ว่าการกลับใจใหม่ที่กลับมาต้อนรับพระเจ้า รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เราสามารถทำได้ เฉพาะในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในขณะที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าบอกออกไปประกาศ ออกไปบอกข่าวดีให้กับผู้คนได้รับรู้ว่ามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าลมหายใจออกจากร่างเมื่อไร? โอกาสปิด ก็คือจบแล้ว

คนที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เมื่อลมหายใจเขาออกจากร่าง ที่เดียวที่เขาจะไป ก็คือไปถูกพิพากษา เมื่อถูกพิพากษาลงโทษ ก็ต้องไปอยู่ในนรกนิรันดร์กาล

พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราก็ไม่อยากเห็นพี่น้องของเรา ผู้ที่เรารัก  ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตาทวด ลูก หลาน เหลน โหลนของเรา เราไม่อยากเห็นเขาตกนรก เราไม่อยากเห็นเขาอยู่บนโลกนี้ ก็ทุกข์แล้ว หลังความตายยังต้องไปทุกข์อีก  เราก็ไม่อยากเห็น เราอยากจะให้เขาได้เปิดใจต้อนรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา รับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเพื่อเรา แต่อย่างที่บอกไง พระเจ้าไม่บังคับเรา ทุกคนเมื่อได้ยิน  ได้ฟัง ข้างในเขาจำเป็นจะต้องเปิดใจด้วยตัวของเขาเอง  เรามีหน้าที่อย่างเดียว มีโอกาสก็ประกาศ อธิษฐานขอพระเจ้าเมตตา ขอเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้กับญาติพี่น้องของเรา ให้กับคุณพ่อคุณแม่ของเรา ให้กับลูกหลานของเรา ให้เขาได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา แล้วเราก็อธิษฐานอย่างนี้แหละ แล้วอธิษฐานไปเรื่อยๆ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระองค์ เราทำหน้าที่ได้แค่นี้  แล้วเราก็ฝากไว้กับพระเจ้า อย่างที่บอก อะไรที่เกินกำลัง หรือเกินการควบคุมของมนุษย์ เราก็ต้องฝากไว้ที่พระหัตถ์ของพระเจ้า เราทำส่วนของเรา  พระเจ้าจะทำส่วนของพระองค์เอง

ลูกา 2:15-18 “15 เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขา ขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา” 16 เขาก็รีบไป แล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้น นอนอยู่ในรางหญ้า 17 ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น 18 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจ ด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกแก่เขา”

 

อันนี้ คือการเป็นพยาน เมื่อคนเลี้ยงแกะได้ยินทูตสวรรค์บอกเล่าเรื่องปุ๊บ ไม่ได้รีรอ หรือไม่ได้ชักช้า เขารีบเดินทางไปที่เบธเลเฮม ไปดูว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้บอกเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แล้วเขาก็เห็นจริงๆ เห็นทั้งนางมารีย์ เห็นทั้งโยเซฟ และเห็นทั้งพระเยซูคริสต์ ประสูติที่รางหญ้า เมื่อเขาได้เห็นสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้ประกาศ เชื่อว่าข้างในวิญญาณเขา เขาจะรับรู้ว่าใช่เลย นี่คือพระผู้ช่วยให้รอดได้มาประสูติแล้ว ซึ่งคนอิสราเอลรอคอยมาเป็นหลายพันปี  จากตรงนี้ เขาก็ออกไปประกาศเลย ไปคุยให้คนทั่วไปได้ยินได้ฟังว่า …

“นี่พวกเธอรู้ไหม ตอนนี้พระผู้ช่วยให้รอดได้มาประสูติแล้วนะ ผู้ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว”

ดังนั้น ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังถึงเนื้อความที่ได้รับ ก็ประหลาดใจ คำว่า “ประหลาดใจ” เราคาดว่าจะมี 2 พวกเหมือนเดิม คือ…

คนที่ฟังแล้วเชื่อ  คือเชื่อเลยว่าใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเรา เรารอคอยมานานแล้ว  พระผู้ช่วยให้รอดได้เกิดแล้ว  เรามีความปิติยินดี

แต่อีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือไม่เชื่อ ไม่จริงหรอก อะไรอย่างนี้

ลูกา 2:19-20 “19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและรำพึงอยู่ 20 คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เพราะเหตุการณ์ทั้งปวง ซึ่งเขาได้ยิน และได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว”

 

นางมารีย์เก็บเรื่องไว้ในใจ จริงๆ นางมารีย์รู้เรื่องที่สุดเลย ตั้งแต่เริ่มต้น ที่ทูตสวรรค์มาปรากฏกับนางมารีย์ แล้วก็บอกกับนางมารีย์ว่า …

“เธอเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาจุติในครรภ์ของเธอ แล้วเธอจะคลอดบุตรชาย แล้วให้ชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะผู้นี้ จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ มาปลดปล่อยชนชาติ ไม่เพียงแต่ชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่ปลดปล่อยมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของมาร เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้”

นางมารีย์รู้เรื่องดีที่สุดเลย จากนั้นคนเลี้ยงแกะก็จากไป สรรเสริญ ยกย่องพระเจ้า ชื่นชมยินดี มีความสุขมากเลย ในลักษณะที่ …

“ขอบคุณพระเจ้านะ เรารอมาตั้งนานแล้ว หลายพันปีแล้ว  บัดนี้ เราได้เห็นแล้ว เห็นกับตาเลยว่าพระผู้ช่วยให้รอดได้มาประสูติเรียบร้อยไปแล้ว”

ลูกา 2:21-22 “21 ครั้นครบแปดวัน เป็นวันให้พระกุมารนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงให้นามว่าเยซู ตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้ก่อน เมื่อยังมิได้ปฎิสนธิ์ในครรภ์ 22 เมื่อถึงเวลาทำพิธีชำระตัวตามธรรมบัญญัติของโมเสส เขาจึงนำพระกุมารไปยังกรุงเยรูซาเล็มจะถวายแด่พระเป็นเจ้า”

 

สมัยก่อน เด็กผู้ชายคนยิว เมื่อครบ 8 วัน อย่างที่คราวที่แล้วเราเรียนรู้มา ยอห์นบัพติศโต เมื่อครบ 8 วัน  เขาก็เอาไปถวายให้กับพระเจ้า ไปทำพิธีเข้าสุหนัต คือทำพิธีขลิบหนังปลายองคชาติ เป็นพิธีที่พระเจ้าได้ประทานให้กับอับราฮัมว่าเป็นพันธสัญญาเลือด ที่พระเจ้าได้เล็งถึงในอนาคตข้างหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาหลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่คนเป็นอันมาก กฎระเบียบตรงนี้ คนอิสราเอลก็จะทำมาตลอด

พอถึงวันที่ 8 เขาก็จะตั้งชื่อ อย่างคราวที่แล้วยอห์น เขาก็จะให้ตั้งชื่อตามเศคาริยาห์ แล้วก็บอกว่าไม่ใช่ ต้องชื่อว่ายอห์น  นี่เหมือนกัน เมื่อถึงวันที่ 8 เอาพระเยซูมาถวาย เพื่อทำพิธีเข้าสุหนัต เขาก็ตั้งชื่อพระเยซูว่า “เยซู” ตามที่พระเจ้าได้ให้ทูตสวรรค์มาบอกกับนางมารีย์เรียบร้อยไปแล้ว

ลูกา 2:23 “ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นบุตรที่ถวายแด่พระเจ้า”

 

สมัยก่อน ลูกคนโต หรือสัตว์ตัวแรกเบิกครรภ์ เรียกว่าเป็นผลแรกที่จะต้องถวายให้กับพระเจ้า มีช่วงหลังๆ ที่พระเยซูยังไม่มาเกิด พอใครมีบุตรชายคนแรก เขาก็จะใช้วิธีเอาเงินมา เพื่อที่จะแลก เหมือนกับมาถวายเป็นเครื่องบูชา  เป็นกฎเกณฑ์ของสมัยโบราณ

ฉะนั้น พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่าบุตรชายหัวปี เป็นของพระเจ้า ฉะนั้น โมเสสก็ได้สั่งพวกเหล่านี้ไว้ มันเป็นธรรมบัญญัติที่ยุ่งยากมาก ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้า ที่พอพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาทำทุกอย่างเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์บอกเราว่าธรรมบัญญัติทั้งหมดได้สำเร็จที่พระเยซูเรียบร้อยไปแล้ว

หมายความว่าจากนั้น เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างจบ ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็คือตั้งแต่วันนั้น มนุษย์ไม่ต้องทำพิธีกรรมแบบนี้อีกต่อไป บุตรคนแรกของครอบครัว ก็ไม่ต้องเอามาทำพิธีเข้าสุหนัตอีกต่อไป ก็คือพิธีนี้เท่ากับล้มเลิกไปเลย คนอิสราเอลก็ไม่ต้องไปเอาแพะเอาแกะมา เพื่อที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตัวเองปีต่อปีอีกต่อไป  เพราะพระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นแกะปัสกา ที่ได้มาถวายตัวพระองค์เอง ไม่ใช่เอาเลือดสัตว์มาถวาย แต่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เองมาถวายแด่พระเจ้า ฉะนั้น ธรรมบัญญัติทั้งหมดตั้งแต่สมัยโบราณ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับโมเสส มาจนกระทั่งถึงยุคของพระเยซูคริสต์ วันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นแหละ บัญญัติทั้งหมดได้สำเร็จครบถ้วนแล้ว  มนุษย์ไม่ต้องทำอีกแล้ว

ทำอยู่อย่างเดียว ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา  ทันทีที่เราทำอย่างนี้ เชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก ทันที พระเจ้าจะนำเราไปบัพติศมาพร้อมกับพระเยซู คือเอาวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาปของเรา ไปตรึงบนกางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ และไปถูกฝังร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้ถูกเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยมอ่อง เป็นวิญญาณที่ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  สะอาด บริสุทธิ์หมดจด ไม่มีความบาปอีกต่อไป นี่คือข่าวดี  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าให้เราประกาศออกไป

ซึ่งในขณะนี้ พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้เรื่องนี้  เพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญในยุคที่เราอยู่ในความหวาดกลัวตลอดเวลา เมื่อเรารู้ความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าจะทำให้เราสามารถมีสันติสุข มีความสงบสุขได้ เพราะเราไม่กลัวแล้ว ถ้าพระเจ้ายังให้เราอยู่ ต้องเผชิญกับปัญหา อาจจะโควิดจบไป เรื่องอื่นมา มันจะมีมาเรื่อยๆ เราก็จะสามารถเผชิญกับมันได้ หรือถ้าพระเจ้าเห็นว่าถึงเวลาที่เราจะได้พักผ่อน  พระเจ้าก็เอาลมหายใจเราออกจากร่าง  เราก็ไปอยู่กับพระเจ้าที่สวรรค์สถานอย่างชอบธรรม เพราะจริงๆ ตอนนี้เราอยู่แล้วในโลกวิญญาณ  เราก็แค่เปลี่ยนมิติ จากที่เราทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่แก่ลงทุกวันๆ สุขภาพร่างกายก็เริ่มเสื่อมโทรม เซลล์ต่างๆ ก็เริ่มทำงานไม่เป็นปกติ ร่างกายนี้แหละ มันจะไม่อยู่กับเรายาวนาน  เมื่อเราเป็นผู้เชื่อปุ๊บ เราเข้าใจเรื่องนี้ เราจะไม่อิดออด อาลัยอาวรณ์กับร่างกายนี้เลย เราอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวัน …

“พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นไป เราอยากกลับไปอยู่กับพระองค์ เราอยากจะจากโลกนี้ ไปอยู่กับพระองค์ ถ้าถึงเวลาจริงๆ พระองค์เจ้าข้า เอาวิญญาณลูกออกจากร่าง ทิ้งร่างกายนี้ แล้วลูกจะได้ไปอยู่กับพระองค์จริงๆ เต็มพิกัด สมบูรณ์แบบ ลูกจะได้ไม่ต้องมาเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความหวาดผวา”

มันมีบ้างนะ แป๊บหนึ่ง แล้วเราก็ต้องนิ่ง ทบทวนว่าขณะนี้ เราอยู่ในสภาวะไหน? อยู่ในสถานะอะไร?  เราเป็นลูกพระเจ้า พระองค์ทรงดูแลปกปักษ์ พิทักษ์ รักษา คุ้มครองเราอยู่แล้ว

คำว่า “ปกปักษ์ พิทักษ์ รักษา คุ้มครอง” ไม่ได้หมายความว่าพ้นจากสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้  บางทีเราอาจจะแจ๊คพอร์ตเจอ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย  เจอก็เจอ แต่เรารู้ว่าไม่ว่าเราจะเจออะไร? พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เมื่อถึงวาระที่สมควร ที่เราจะได้พักผ่อน  พระเจ้าจะนำวิญญาณเราออกจากร่าง  แล้วไปอยู่กับพระองค์ พักสงบอย่างแน่นอนกับพระเจ้า

ขอพระคุณพระเจ้าทรงโปรดเมตตา ช่วยเหลือพวกเราทุกๆ คน ในยุคที่น่าหวาดเสียวอย่างนี้ เมื่อพระเจ้ายังไม่อนุญาตที่จะให้เรากลับบ้านไปพักผ่อน เราจำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ทำตามกฎที่โลกใบนี้เขาได้ตั้งไว้  แต่กฎนี้ก็ไม่สามารถควบคุมให้เราอยู่ภายใต้อำนาจของกฎนี้ได้ เพราะว่าเราอยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราจะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกวัน  เราจะไม่ตื่นตระหนกตกใจมากจนเกินไป จนทำให้ชีวิตเราขาดสันติสุข ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตที่เป็นปกติสุขได้ เราจะไม่เป็นอย่างนั้น  อย่างทุกวันนี้ เรื่องข่าวร้ายเยอะมาก ถ้าพี่น้องเป็นคนจิตแข็ง เสพไปเถอะข่าวร้ายนั้น  คือฟังเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ไม่ต้องไปใส่ใจมากมาย ก็แค่รู้ว่าตอนนี้โลกกำลังเคลื่อนไปถึงไหน? แค่นั้นพอ แล้วเราก็ระวังชีวิตของเรา ตามสมควร  เพื่อว่าชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้จะได้ไม่ทุกข์ทรมานจนเกินไป

แต่ว่าถ้าคนที่จิตอ่อน เสพข่าวปุ๊บ วิตกจริต กังวลเลย เครียดเลย นอนไม่หลับเลย  ผวาเลย แนะนำนะคะ ไม่ต้องเสพเยอะ นานๆ ทีก็ได้ ให้พี่น้องนำเอาถ้อยคำของพระเจ้ามาทบทวนทุกวันดีกว่า ดีกว่าที่พี่น้องจะไปจดจ่อทั้งวี่ทั้งวัน ดูว่าวันนี้โควิดไปถึงไหน? ตอนนี้คนติดเท่าไร?  วันนี้ตายไปกี่คน? แค่รับรู้ว่ามีคนติด เราทำอย่างไร? เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราก็ทำหน้าที่ส่วนของเรา คือระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ไม่ออกไปในที่ชุมชน ถ้าจำเป็นต้องออกไป ก็รีบไปทำธุระ แล้วก็รีบกลับบ้าน นั่นคือส่วนที่เราทำได้

ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่พระเจ้าให้เราเห็นภาพ เปิดให้เราเห็น เราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่เรามีพระเจ้าผู้ทรงรักเรามากมาย ที่พระองค์คอยเตือน คอยบอกเรา คอยที่จะประคับประคองย่างเท้าของเรา เพื่อเราจะได้สามารถมีชีวิตที่จะประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

หลายๆ ครั้ง วิกฤตเข้ามา คือโอกาสของผู้เชื่อที่เราจะประกาศให้โลกใบนี้ หรือคนที่ยังไม่เชื่อ ได้รับรู้ว่าทำไมเราจึงสามารถสงบได้ขนาดนี้ เพราะเรามีพระเจ้า เรามีหลักประกัน เรามีความไว้วางใจ เราเชื่อมั่นว่าโลกนี้เราจะอยู่ทุกข์ยากลำบากแค่ไหน? ก็แค่แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวเราก็จะได้กลับบ้านถาวร เป็นบ้านที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นบ้านที่น่าอยู่ ที่เราไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อีกต่อไป อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล เป็นชีวิตที่มีคุณภาพเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือหลักประกัน

เราสามารถมีโอกาสที่จะบอกกับผู้คนบนโลกใบนี้ ที่เขากำลังหวาดกลัวอยู่ เขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร นั่นคือโอกาสที่เขาจะสามารถเข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า เมื่อได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระองค์ เขาจะทบทวน เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเขา เขาจะเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็ขอพระเจ้าทรงเมตตาพวกเราทุกๆ คน ให้กำลัง ให้เรี่ยวแรงเราอย่างมากมาย ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อย่าวิตกจริตมากจนเกินไป  กลัวได้นะ พอเรากลัว เราก็จะระวังตัวมากขึ้น ไม่ไปทำให้ตัวเอง สุ่มเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่ากลัวจนเราไม่กล้าทำอะไรเลย อันนั้น ก็ไม่ใช่นะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่มากมายหลายแห่ง ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราก็ได้รับการชำระล้างบาปจนหมดสิ้น กลายเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว วิญญาณเราได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว  (ถ้าผู้นั้น เชื่อพระเจ้าจากใจจริง และมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ) ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า …

“เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดฟังคำของเรา  และเชื่อพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา  ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และจะไม่ถูกลงโทษ”  (ยอห์น 5:24)

 

พระคัมภีร์บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่อยู่ในพระเยซู ซึ่งจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์มานำพาชีวิต  และผู้นั้นจะมีใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ

 

คือสำหรับผู้ที่ได้มาเชื่อพระเยซูอย่างจริงใจแล้ว ถึงแม้กายภายนอก ทางเนื้อหนัง ซึ่งยังมีเชื้อบาปอยู่ ยังถูกล่อลวงให้ไปกระทำบาปได้ก็จริง แต่วิญญาณข้างใน ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว จะมีความคิดที่ตรงข้ามกัน  และเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสามารถทำบาปได้อย่างสบายใจ เพราะทางวิญญาณ ถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว

“ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว  ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”  (กาลาเทีย 5:24-25)

 

หลายครั้งในชีวิตคริสเตียน แม้ว่าเราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์แล้ว  แต่เพราะเนื้อหนังทางร่างกาย มันยังมีเชื้อบาปอยู่  มันจึงเกิดการสู้กัน  ระหว่างวิญญาณที่ปรารถนาจะทำความดี  และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า  กับเนื้อหนังที่ยังถูกล่อลวงให้กระทำบาป แม้แต่อัครฑูตเปาโลเอง ก็ยังต้องผ่านสถานการณ์เช่นนี้  ตามที่มีบันทึกไว้ว่า …

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง  เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี  ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ” (โรม 7:15-20)

 

พระเจ้าอวยพรครับ