วารสาร Holy News ฉบับที่ 1325

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  สิงหาคม  2021

 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หลังจากที่เราได้เรียนรู้เยอะมากแล้ว เรื่องพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เราได้รับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเรา ทันทีที่เรามาเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ว่ามาเชื่อเป็นคริสเตียน ทันทีทันใดนั้น  เกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา  เราเรียนมาเยอะมากแล้ว มาถึงวันนี้ เรามั่นใจแล้วว่าความรอดในชีวิตนิรันดร์หลังความตาย  เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในขณะนี้ พร้อมๆ กัน เราได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในมิติโลกวิญญาณ  มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังเป็นความหวังของเราอยู่ และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเราด้วย ก็คือการที่จะไปรับร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากทิ้งร่างเดิมนี้ไปแล้ว  ก็คือหลังจากตาย  นี่คือความหวังของเราทั้งหลาย  ผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ผู้เชื่อ

ยังจำกันได้ไหมครับว่าที่เราเรียนไป 2-3 สัปดาห์ที่แล้วก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าสิ่งที่ทำให้คริสเตียนทุกยุคทุกสมัย  สามารถเผชิญกับความตาย เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส เขาทนทุกข์ จากการถูกข่มเหงรังแกขนาดหนักอย่างนั้น ได้ด้วยวิธีใด? ก็คือวิธีการจดจ่อไปที่ความหวังสุดท้ายของเขา ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เขาเรียกการรับร่างกายใหม่นี้ว่าการรับชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ผมใช้คำว่าชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option ซึ่งจะรับกันเมื่อวิญญาณออกจากร่าง หลังความตาย ของร่างกายเดิมนี้  ก็คือรอวันเวลา แห่งการรับร่างใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว แต่รออีกนิดหนึ่ง เพราะอยู่ในสวรรค์ในร่างเดิมนี้ ซึ่งอ่อนแอ เสื่อมโทรมไปทุกวัน และยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยความชั่วร้ายนั่นเอง

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อว่าเมื่อถึงวันที่กายฝ่ายโลกของเรานี้ เสื่อมลง สลายลง ตาย จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ที่บอกว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่นั้น จะได้รับเมื่อไร? หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง”  ตอนที่ 1 ก็คือตายนั่นเอง พูดกันตอนนี้ เป็นที่หนุนจิตชูใจมาก สำหรับเรา ที่เราจะได้รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราไปถึงชีวิตนิรันดร์?  อะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลา วิญญาณเราออกจากร่าง คือตายจากโลกนี้?

เมื่อความตายมาถึง วิญญาณออกจากร่าง ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง  เกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครๆ ก็อยากจะรู้ และใครๆ ก็ให้ความสำคัญมากเลย ถึงเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะไปถึงเวลาที่วิญญาณออกจากร่าง อยากถามว่า …

“ถ้าท่านรู้ตัวว่าใกล้จะถึงเวลาตาย กำลังจะถึงเวลาวิญญาณออกจากร่าง สมมติว่ากำลังป่วยหนัก หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ท่านจะคิดถึงความตายอย่างไรบ้าง?”

หรือแม้แต่ ไม่ต้องหมอบอกเลย บางคนอายุมากแล้ว แน่นอน อีกไม่ถึงเท่าไร เราก็ต้องจากโลกนี้ไป ก็คือตาย เรามีความหวังอะไรหลังความตายบ้าง? เราคิดถึงอะไรตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป? เรามีความหวังอะไรตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป ก็จะมีความหวังมากมาย บนโลกใบนี้ สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะอย่างที่บอกว่ามนุษย์ทุกคน ก็คิดเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อถึงวันเวลาจริงๆ ใกล้เข้ามาปุ๊บ ทุกคนก็มีความหวัง มีความเชื่อ เตรียมตัวต่างๆ นานามากมายบนโลกใบนี้ ก็แล้วแต่ เชื่อโน่นเชื่อนี่ ก็ว่าไป  แต่สำหรับคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้า  เชื่อในพระเยซูคริสต์  ลองถามท่านเองว่าความหวังใจของท่านคืออะไร? ท่านคิดถึงอะไร? ท่านคิดถึงความดีงามต่างๆ ที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ เคยรับใช้พระเจ้ามาอย่างไร? เยอะแยะมากมาย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  หรือท่านจะคิดถึงสิ่งที่พระเยซูบอกว่าพระเยซูได้กระทำอะไรให้กับท่านบนไม้กางเขนบ้าง? ท่านจะคิดถึงข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไหม?

ข่าวดี คือมนุษย์เป็นคนบาป แล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ที่เป็นคนบาปจะได้รับการช่วยให้รอด จะได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป มาเป็นผู้ชอบธรรม ได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า  นี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ตรงนี้หรือเปล่าที่ท่านคิดอยู่ ขณะที่เรารอคอยวันเวลา ที่จะจากโลกนี้ไปวิญญาณจะออกจากร่าง เราคิดถึงข่าวดีนี้ไหม? เราคิดถึงพระเยซูคริสต์ที่ตาย เพื่อเราที่ไม้กางเขนหรือเปล่า? เราคิดถึงบาปของเราทั้งหมด ที่เราเคยทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น  หรือเราคิดถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปของเราทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เกลี้ยงเลย สะอาดหมดจด ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อแล้ว  ตามพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ เป็นความจริงหรือไม่? เรากำลังไปสู่ความรอดนิรันดร์หรือเปล่า? เราคิดอย่างนี้ โดยความเชื่อในพระเยซู

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็ต้องคิดถึงสิ่งที่เคยทำมาแล้ว ที่ดีๆ ที่เขาจะพูดกันเสมอว่าก่อนจะสิ้นลม ให้คิดแต่เรื่องดีๆ นะ แล้วเราลองคิดดูว่าเราจะคิดดีๆ ตลอดเวลาได้ไหม? ยิ่งตอนจะสิ้นลม ถ้ารู้ตัวก่อน ยิ่งมีสติอยู่ด้วย ยิ่งจะคิดถึงเรื่องอะไร? ท่านลองคิดดู คิดถึงเรื่องไปทำบุญทำกุศล หรือไปคิดถึงเรื่องไปยิงนก ตกปลา  หรือคิดถึงเรื่องไปทำบาปมากมาย สมมติให้ฟัง จะเห็นชัดเจนเลยว่าอะไรเป็นตัวดึงดูดให้เราไปคิดมากกว่ากัน

สำหรับคริสเตียน ผู้ที่เชื่อในข่าวดี เป็นผู้เชื่อ ต้องรู้สิ่งนี้ก่อนเลยว่าความจริง คือเราได้รับความรอด จากบาป ได้รับการชำระบาป ได้ถูกช่วยให้รอดจากการพินาศในนรกแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นเชื่อในข่าวดี ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วได้ยินเรื่องของพระเยซูคริสต์ ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ตั้งแต่วินาทีนั้น เราได้ถูกย้ายออกจากความพินาศมาสู่สวรรค์แล้วในโลกวิญญาณ ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิมนี้ บนโลกใบนี้ เราก็ได้รับความรอดแล้ว เงื่อนไขแค่นี้ ก็คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านที่พระเจ้าได้ส่งมาช่วยนั่นเอง พอเชื่อแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็จะเข้ามา ในวิญญาณของท่าน ในขณะนั้น แล้วก็มาย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ออกจากความพินาศ มาสู่สวรรค์ในพระเยซูคริสต์เลยทันที ย้ายท่านออกมาอยู่ในสวรรค์เลยทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ในเอเฟซัส 2:6-9 ขณะที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น คือท่านจะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที ยังไม่ได้ตายเลยนะ ทันทีเลย เราลองอ่านดูนะ …

เอเฟซัส 2:6-9 “6 และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่าในยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ อันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีตัวเองในความรอดของตนได้”

 

“และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา คือบังเกิดใหม่” วิญญาณบังเกิดใหม่เลยนะ เมื่อเราต้อนรับข่าวดี เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่มาถึงเรา ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พอเชื่อปั๊บ วิญญาณของเราเป็นขึ้นใหม่ บังเกิดใหม่เลย กับพระคริสต์  และในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เราได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ ก็คือได้นั่งเลยเดี๋ยวนี้  บังเกิดใหม่เลย วิญญาณและจิตใจที่บังเกิดใหม่ได้นั่งอยู่กับพระคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เบื้องขวาก็หมายถึงสำเร็จราชการ  ได้มีสิทธิอำนาจ ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งหมด เป็นเหมือนรัชทายาทของพระเจ้า ผู้สืบทอดบัลลังก์จากพระเจ้า ได้นั่ง หมายถึงได้พักผ่อน ไม่ต้องทำงาน  นั่งเฉยๆ รอวันรับมรดก มันหมายถึงอย่างนั้น

เสร็จแล้ว ก็มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับความรอด จากความพินาศ ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่รอคอยด้วยความอดทน ด้วยความหวังในชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง คือการได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยพระสิริของพระคริสต์ ในวันหนึ่งที่จากโลกนี้ไป เมื่อเสร็จสิ้นการงาน  ไปครอบครองร่วมกับพระคริสต์นิรันดร์กาลในสวรรค์สถานอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และเมื่อถึงเวลา หมดหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราทำ หมดหน้าที่การงาน

ถามว่า … “หน้าที่การงาน คืออะไร?”

คือขณะที่เราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นใหม่ อยู่ภายในร่างกายเดิมนี้ เรามอบถวายร่างกายเดิมนี้ ให้เป็นวิหารของพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย  แล้วพระเจ้าใช้ร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมอง ความคิดในร่างกายนี้ ใช้ให้เป็นประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็ดำเนินชีวิตไป พอเสร็จการงานเรียบร้อยปุ๊บ  เรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง คือตายเราก็จะไปรับร่างกายใหม่

พอตายปุ๊บ เกิดอะไรขึ้น? ชั่วพริบตา ทันที เราก็เข้าไปสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ นึกภาพตามเลยนะ พอวิญญาณออกจากร่างปุ๊บ เราก็รู้กันอยู่แล้ว ถึงไม่เชื่อพระเจ้า ก็รู้ วิญญาณออกจากร่างปั๊บ เราก็เข้าไปสู่มิติทางวิญญาณ  ที่เรียกกันว่าสวรรค์ หรือมิติทางวิญญาณที่เรียกว่าแดนมรณา ไม่ใช่สวรรค์ ถ้าเป็นสวรรค์ ก็คือที่สถิตของพระเจ้านิรันดร์  แต่เรากำลังพูดถึงคริสเตียน ผู้เชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเสร็จสิ้นการงานบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่างชั่วพริบตา เราก็เข้าสู่มิติทางฝ่ายวิญญาณ เราก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน  เหมือนกับที่เราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานก่อนหน้านี้แล้ว เข้าไปสู่สวรรค์สถานทางมิติ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ รับร่างกายใหม่  ซึ่งในโลกวิญญาณของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกเป็นนิรันดร์ เมื่อเป็นนิรันดร์ ก็ไม่มีกาลเวลา ไม่มีปีโน้น ปีนี้  พ.ศ.โน้น พ.ศ.นี้  เป็นอยู่ คือเป็นอยู่ เหมือนพระเยซูเป็นอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์

พอเราเข้าไปอยู่ในมิติวิญญาณแล้ว ได้รับร่างกายใหม่ ที่สมบูรณ์ ครบถ้วน เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเลย  เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูอย่างนั้นแหละ เปลี่ยนมิติเข้าไปทางโลกวิญญาณปุ๊บ  พูดง่ายๆ พระเยซูก็มารับเรา  พร้อมกับร่างกายใหม่ สำหรับเรา  เราก็เข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่  และพบพระเยซู อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันที

ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ไปถึงแล้ว นั่งรออยู่ 2 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี 1000 ปี เพราะในโลกวิญญาณเป็นนิรันดร์ ไม่มีปี ท่านลองคิดดูง่ายๆ ว่าไม่มีปี ไม่เหมือนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าสร้างให้ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ นับวัน นับเดือน นับปีได้ แต่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ของพระเจ้าไม่มี ในมิติในโลกวิญญาณ ไม่มีกาลเวลา  ไม่เหมือนบนโลกใบนี้ที่เรานับกันได้

สำหรับผู้ที่เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านจงดีใจ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่าง ท่านก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ที่เรียกว่ากายสวรรค์ทันที สู่อ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ ได้เห็นหน้าพระเยซูหน้าต่อหน้า ทันทีเลย ชั่วพริบตาเดียว

เพราะฉะนั้น การอดทนรอคอย เพียงแค่บนโลกใบนี้ ที่เรานับกันอยู่นี้ว่าอีกกี่วัน? หมอบอกอยู่ได้กี่วัน? อายุเราน่าจะเหลือได้อีกไม่กี่วัน? จะจากโลกนี้ไป นี่เรารอคอย แต่ ณ วันนั้นมาถึง วันที่วิญญาณออกจากร่าง คือวันที่เราตายจริงๆ พริบตาเดียว ทันที เราจะได้รับในสิ่งที่เราหวังไว้ทั้งหมดตามที่พระคัมภีร์ สัญญากับเราไว้

ในตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  นี่คือตัวอย่างว่าทันทีอย่างไร? ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พร้อมกับโจร 2 คน ปรากฏว่ามีโจรอยู่คนหนึ่งเชื่อในพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ตอนอยู่บนไม้กางเขนเลย แล้วพระเยซูคริสต์ตอบว่าอย่างไร? โจรคนนั้น ได้กล่าวกับพระเยซูว่า …

“ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”

พูดง่ายๆ ว่าเชื่อพระเยซูแล้ว วางใจ มอบชีวิตให้กับพระเยซูแล้ว มาดูสิว่าพระเยซูตอบโจรคนนั้นว่าอย่างไร? ในลูกา 23:43

ลูกา 23:43 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าวันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

 

พระเยซูบอกว่า … “วันนี้ท่านจะไปอยู่กับเราในสวรรค์ ที่มีชื่อว่าเมืองบรมสุขเกษม”

ถูกตรึงพร้อมกัน เมื่อตอน 9 โมงเช้าวันนี้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง บ่ายแก่ๆ โจรคนนี้ก็ต้องตายแล้ว  พระเยซูกำลังบอก ตายเมื่อไร ก็ไปอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษมในสวรรค์ วันนี้? ก็คือทันทีนั่นเอง ไม่ได้บอกว่า …

“โอเค เราจะไปเจอกันอีกทีหนึ่ง เมื่อตอนอีกสักร้อยปี พันปี รอก่อน” … ไม่ใช่

พูดง่ายๆ พระเยซูบอก ตายปั๊บ ก็พบกันทันที  พบกับเราทันที ที่เมืองบรมสุขเกษม ก็คือสวรรค์นั่นเอง

ใน 2 โครินธ์ อาจารย์เปาโลก็บอกในลักษณะนี้ ให้เราเห็นว่ามันทันทีทันใดจริงๆ อาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องของการได้รับกายใหม่  ความหวังใจของคริสเตียนและของท่าน ท่านได้หนุนใจ และท่านก็บอกว่าในความคิดของท่าน ท่านมีความเชื่อและมั่นใจเรื่องของการเป็นขึ้นจากความตาย อย่างมากมาย และมีความหวังว่าเมื่อเสร็จการงานแล้ว จากโลกนี้แล้วไปอยู่กับพระเจ้าทันที ท่านมีความเชื่อตรงนี้มากเลย ท่านจึงพูดถ้อยคำตรงนี้ขึ้นมา ในลักษณะของการสำแดงความเชื่อ ท่านต้องการหนุนใจให้กับผู้เชื่อคนอื่น ไม่ใช่เป็นการพูดแบบท้อแท้ กำลังซึมเศร้า

“โอ๊ย! เบื่อชีวิตเหลือเกิน อยากจะไปอยู่กับพระเจ้า” ไม่ใช่ ความรู้สึกอย่างนั้น

เป็นความรู้สึกที่เขาเรียกว่าเป็นความชื่นชมยินดี ตื่นเต้น และมั่นใจในความเชื่อว่าเราอดทนอีกนิดหนึ่ง การไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ มันรอแป๊บเดียวเอง และถ้าได้ไปอยู่ มันคุ้มกว่าเยอะ ดีกว่าอยู่บนโลกใบนี้มากมาย เป็นการหนุนใจ และสำแดงความเชื่อ  ไม่ใช่สำแดงความท้อแท้ใจ หรือความกลัว 2 โครินธ์ 5:8 ดูสิว่าอาจารย์เปาโลพูดอย่างไร? …

2 โครินธ์ 5:8 “เรามั่นใจและอยากออกจากร่างกายนี้ แล้วไปอยู่กับพระเยซูทันทีมากกว่า”

 

“เรามั่นใจและอยากออกจากร่างกายนี้ แล้วไปอยู่กับพระเยซูทันทีมากกว่า” อย่างที่ผมบอกไม่ได้พูดในท่าทีของการซึมเศร้า หรือการวิตกกังวล หรือการเบื่อหน่ายความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ลักษณะอย่างนั้น  แต่ในลักษณะที่บอกว่า …

“โอ้โห! ไปอยู่กับพระเจ้ามันดีกว่ามหาศาล ไปอยู่บ้านใหม่ โอ้โห ดีกว่าบ้านเก่าทรุดโทรม ไปอยู่ที่นั่นดีกว่าเทียบกันไม่ติดเลย” … อะไรประมาณนั้น

อาจารย์เปาโลบอกเราอยากจะออกจากร่าง วิญญาณเราออกจากร่างกายนี้ “เรา” ตัวนี้ หมายถึงตัวของเปาโล และเราทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกัน ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า วิญญาณออกจากร่างนี้  แล้วไปอยู่กับพระเจ้าทันทีเลย ที่ผมใส่คำว่า “ทันที”  เพราะว่าในภาษาเดิม คำพูดตรงนี้ มีกาลเวลาบอกให้เห็นถึง ออกไปเลย เหมือนกับว่ากำลังออกเดินทางไปเยี่ยมแม่ที่เชียงใหม่ พอไปถึงเชียงใหม่ ก็ไปเยี่ยมแม่ ไม่ใช่ ไปถึงเชียงใหม่ แล้วก็รอไปเยี่ยมแม่ ไม่ใช่  หมายถึงอย่างนั้น ก็คือทันทีนั่นเอง

ใน 1 เธสะโลนิกา 4:15 ผมต้องการเน้นตรงนี้  ลองอ่านดูว่าทันทีอย่างไร?

1 เธสะโลนิกา 4:15 “ในข้อนี้ เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเราผู้ยังดำเนินชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว ก็หามิได้”

 

“เราผู้ยังดำเนินชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา” ก็คือเมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาเป็นทางการ เพื่อพิพากษาโลกนี้ เมื่อถึงวันนั้นแล้ว เราผู้เชื่อที่มีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ตาย มันหมายถึงอย่างนั้น บอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้น  ที่ล่วงหลับไปก่อน ก็หามิได้

จะล่วงหน้าไปรับร่างกายใหม่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ก่อนคนเหล่านั้น ที่ได้ล่วงหลับไป ก็คือตายไปก่อนหน้านั้นแล้วก็หาไม่? คือเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาพิพากษาโลก วิญญาณออกจากร่างไป ก่อนพระเยซูคริสต์มาพิพากษาโลก บรรดาคนเหล่านั้น ได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ก่อนแล้ว ล่วงหน้าในที่นี้ ก็คือได้รับร่างกายใหม่แล้ว โดยพระเยซูคริสต์ มารับไปอยู่ในสวรรค์ก่อนเรียบร้อยแล้ว

ถามว่าก่อนใคร?  ก็ก่อนคนที่มีชีวิตอยู่ในวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก  ก็คือก่อนคนที่ยังไม่ตาย จนกระทั่งพระเยซูคริสต์ มาเป็นทางการ เพื่อพิพากษาโลกนั่นเอง นั่นหมายถึงว่าใครก็ตามที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดตายลง หรือวิญญาณออกจากร่าง ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลกเป็นทางการนั้น พระเยซูจะมาส่วนตัว พูดอย่างนั้น ก็ได้พระเยซูมาส่วนตัว ก็คือพระเยซูจะมารับเขาทันที ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ ในสวรรค์ ในเมืองบรมสุขเกษมทันทีเลย ไม่ว่าจะตายเมื่อวานนี้  เมื่อตะกี้นี้  เดือนที่แล้ว  ปีที่แล้ว พันปีที่แล้วก็ตาม พวกเขาเหล่านั้น ถูกรับไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ได้รับร่างกายใหม่ เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่กับพระเยซูคริสต์ ในเมืองบรมสุขเกษมเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอเราทั้งหลายอยู่ที่นั่น มองลงมาจากตรงนั้น  มองลงมาเห็นเรา  รอเราอยู่ที่นั่น  และถ้าวันไหนที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เกิดตาย วิญญาณออกจากร่าง เจอโควิด รักษาไม่หาย พยายามรักษา รักษาไม่ได้ เกิดตายขึ้นมา ไปไหน? ก็ไปพบพวกเขานั่นแหละ ที่เขาไปอยู่กับพระเจ้ากับพระเยซูก่อนหน้าเรานั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้รับรู้ในวันนี้ ความจริงในวันนี้  มันทำให้เราเกิดความตื่นเต้น ที่ผมบอก ตื่นเต้น ยินดี  คุ้มค่าแห่งการรอคอยและอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ที่อยู่บนโลกใบนี้ ถูกไหม?  คุ้มค่าแห่งการอดทน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด ทำให้การงานไม่ดี ค้าขายไม่ได้  ทำให้เจ็บป่วย ทำให้ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทำอะไรไม่ได้ ไม่สะดวกหลายอย่าง เกิดขึ้นในชีวิต อดทนรอคอย ถ้าถึงวันเวลาที่จากโลกนี้ไป เราสบายแล้ว อีกนิดเดียวเอง ใช่ไหมครับ คุ้มค่าแก่การอดทน ก็คือรอคอยแล้วว่าจะได้รับร่างกายใหม่ จะได้พบพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ทันทีที่ออกจากร่างนี้ แค่นั้นไม่พอ ยังตื่นเต้น เราจะได้พบกับผู้ที่เรารัก ที่จากไปก่อนหน้าเราแล้ว พบกับปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ลูก  พี่น้อง ใครก็ตามที่เราคิดถึง ไปก่อนเราแล้ว ผู้เชื่อ คริสเตียนที่ไปก่อนเราแล้ว เราก็จะไปเจอพวกเขาแหละ เขากำลังเชียร์เราอยู่ เราไปเมื่อไร? พวกเขาก็มาต้อนรับเราหมดเลยนะ ถามว่าซึ่งตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหน? เขาอยู่กับพระเยซูเรียบร้อยแล้ว ในเมืองบรมสุขเกษม และกำลังมองเรา ลุ้นอยู่ตลอดเวลา สู้นะ อัดซ้ายขวา สู้ ออกหมัดสู้ด้วยความเชื่อ หรือเขากำลังเป็นห่วง เป็นใย พยายามเชียร์ให้คนที่เขารัก ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง หรือใครก็ตามที่เขารู้จัก มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เขาเชียร์อยู่ เขาลุ้นให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อจะได้เจอกับเขาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่วิญญาณออกจากร่าง คือตายบนโลกใบนี้นั่นเอง เขารอเราอยู่ วันข้างหน้า เราก็จะได้เจอเขาอีกที ถ้าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราได้เป็นผู้เชื่อ และได้บังเกิดใหม่ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และความหวังของเราและเขา ก็คือจะได้พบกับคนที่เรารักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากวิญญาณออกจากร่างแว๊บเดียว พริบตาเดียว  อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ? ไม่ฮาเลลูยาหรือ? อีกนิดเดียว

เปาโลถึงบอกว่าเพราะเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งแบบไม่คิดชีวิต คือไม่มองอะไรแล้ว มองแค่เป้าหมายนี้อย่างเดียว คืออีกไม่นานเราจะถึงเส้นชัยแล้ว

เส้นชัย คือวิญญาณออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่  พบพระเยซูหน้าต่อหน้า อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ทันทีๆ

เปาโลก็เลยพูดเรื่องนี้ ใช้เรื่องนี้หนุนจิตชูใจบรรดาพี่น้องที่เป็นผู้เชื่อคริสเตียนใหม่ๆ ที่รับเชื่อในสมัยโน้น ในพระคัมภีร์เกือบทุกเล่มในพระคัมภีร์ใหม่ ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ความหวังใจของคริสเตียนในการจากโลกนี้ไป เราจะมาดูในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 4:13-14 ซึ่งก็คุยถึงเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ว่า …

1 เธสะโลนิกา 4:13-14 “13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่าน ไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง 14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกัน บรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซู (ก่อนหน้า) นั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น (ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซู) มากับพระองค์ (ในวันพิพากษาโลก) ด้วย”

 

“แต่พี่น้องทั้งหลาย” ก็คือผู้เชื่อ คริสเตียนทั้งหลาย “ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว” พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” แทนคำว่า “ตาย” เพราะว่าสำหรับผู้เชื่อที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีการตาย ตั้งแต่วันที่เขารับเชื่อในพระเจ้า รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะความตาย คือโทษของความบาป  เมื่อคริสเตียนรอดจากโทษของความบาปแล้ว คริสเตียนก็ไม่มีการตายอีกต่อไป เราจึงล่วงหลับ

“ไม่อยากให้ไม่ทราบ” ก็แปลว่าอยากให้ทราบนั่นเอง อยากให้ทราบเรื่องคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไปแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปแล้ว สิ้นลมแล้ว เขาได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่วิญญาณเขาออกจากร่าง วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้ตามไปพบกับพวกเขา  ได้รับสิ่งเดียวกันนี่แหละ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรับทราบความจริงเหล่านี้ อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ไม่เป็นทุกข์เศร้าโศกเหมือนอย่างคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ในข่าวดีในพระเจ้า ที่เขาไม่มีความหวังแบบนี้  แต่ถ้าเขารู้ว่านี่เป็นจริง และถ้าเราได้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกอีกครั้งหนึ่งนั้น บรรดาคนเหล่านั้น ที่ได้ล่วงหลับไปก่อนหน้าเราแล้วนั้น ที่ได้ไปอยู่กับพระเยซูแล้ว คนเหล่านั้น ก็จะมาพร้อมกับพระเยซูด้วย พระเยซูมา คนเหล่านั้น ที่อยู่กับพระเยซูก็มาด้วย วันที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลกอีกครั้งหนึ่ง ธรรมิกชนที่ล่วงหลับไปก่อนหน้านั้น ก็จะมาด้วย พระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น

พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น “คนเหล่านั้น” คือคนที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูแล้ว มากับพระองค์ด้วย คือมาในวันพิพากษาด้วย แสดงว่าคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปก่อนหน้าเรานั้น เขาอยู่กับพระเยซูแล้ว เราทั้งหลายที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราไม่ล่วงหน้าไปก่อนเขาหรอก เขาอยู่ก่อนหน้าเราแล้ว เปาโลกำลังหนุนใจพี่น้องอย่างนี้ เพื่อว่าพี่น้องคริสเตียนชาวเธสะโลนิกา หรือที่ไหนก็ตามได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ จะได้ไม่ทนทุกข์โศกเศร้าเหมือนกับคนอื่นที่ไม่เชื่อ  โศกเศร้าเรื่องว่าคนรักจากไปแล้ว แล้วไปอยู่ไหน? แล้วไปเป็นอย่างไรบ้าง? คิดถึงเขาจังเลย อะไรประมาณนั้น

พระคัมภีร์บรรยายไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่าเมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? นี่หมายถึงตอนที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนี้นะ  จะมีอะไรเกิดขึ้น?  …

1 เธสะโลนิกา 4:15-16 “15 ในข้อนี้ เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไป (รับร่างกายใหม่ อยู่กับพระเยซูในสวรรค์) ก่อนคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไป (ก่อนหน้า) แล้ว ก็หามิได้ 16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์ จะเป็นขึ้นมาก่อน (รับร่างกายใหม่ พบพระเยซูในสวรรค์)”

 

เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จนถึงองค์พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง จะล่วงหน้าไปรับร่างกายใหม่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน ก่อนคนเหล่านั้น ที่ล่วงหลับไปก่อนหน้าเราแล้ว มันเป็นไปไม่ได้

ข้อ 16 บอกว่าด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า คนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์ คนที่เชื่อและล่วงหลับไปก่อน ในพระคริสต์ จะเป็นขึ้นมาก่อน รับร่างกายใหม่ พบพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ก่อน

หมายถึงว่าก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก เป็นทางการ และรับคนที่ยังไม่ตายไปอยู่กับพระองค์ นั่นหมายถึงไปทีหลัง ดังนั้น คนที่ล่วงหลับไปก่อนนั้น เขาก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ก่อน และเขาก็จะได้รับประสบการณ์เดียวกัน ก็คือมีเสียงแตร พระเยซูคริสต์เสด็จมารับเขา

ผมเชื่อเป็นการส่วนตัว เสียงแตรและเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในนี้ที่บอกไว้ว่าเสด็จจากสวรรค์ด้วยเสียงกู่ก้อง และสำเนียงของเทพบดี ด้วยเสียงแตรอะไรต่างๆ เหล่านี้ โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ พระเยซูมีตำแหน่ง มีฐานะ เป็นราชาจอมราชา King of kings ลองนึกภาพว่าราชาที่เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้  ก็คือกษัตริย์ในประเทศต่างๆ สมัยไหนๆ แล้วแต่ ราชา กษัตริย์บนโลกใบนี้ จะเสด็จไปไหน? ตอนลุก จะเสด็จปุ๊บ ยังมีเพลงนำ เสียงแตรนำ นึกภาพออกใช่ไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ ราชาจอมราชา จะไปไหน? จะมีเพลงสรรเสริญที่ดังกว่านั้น เพราะว่ามนุษย์ก็เลียนแบบพระเจ้าทั้งสิ้น เชื่อไหม? พระเยซูคริสต์กลับมารับคนที่จากไปก่อนหน้านี้ ไปอยู่บนสวรรค์กับพระองค์ ก็จะมาด้วยเสียงแตร เหมือนกัน 1 โครินธ์ 15:52

1 โครินธ์ 15:52 “ชั่วแวบเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

ชั่วแวบเดียว  ในพริบตาเดียว สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เชื่อ ที่ตายไปก่อนหน้านี้  เป็นร้อยปี พันปี กี่ปีก็ตาม หรือผู้เชื่อที่พึ่งตายไปไม่นานก็ตาม หรือพวกเราผู้เชื่อ ที่จะต้องตายลงในวันหนึ่งข้างหน้า ทุกคนก็จะมีประสบการณ์นี้ คือชั่วแวบเดียว เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณทันที เหมือนหลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาเจอทันที ถามว่าเจออะไร?  เจอเหตุการณ์เดียวกัน ก็คือพระเยซูเสด็จมารับพร้อมร่างกายใหม่ให้กับเขา และพระองค์มาด้วยเสียงแตรก้องเวหา เพื่อมารับข้า มั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น ตามถ้อยคำนี้  ใน 1 เธสะโลนิกา 4:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เธสะโลนิกา 4:17 “หลังจากนั้น เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า ในฟ้าอากาศอย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์”

 

หลังจากนั้น คือภายหลัง พูดง่ายๆ “ภายหลัง เราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ ก็คือภายหลังจากคนที่ล่วงหลับไปก่อนหน้านี้ ไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ภายหลังเราทั้งหลายที่เป็นอยู่ เหลืออยู่จะถูกรับขึ้นไปในเมฆ พร้อมคนเหล่านั้น  “คนเหล่านั้น” หมายถึงธรรมิกชนที่จากไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ก่อนหน้าเรา เพื่อจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ตลอดกาล

“คนเหล่านั้น” คือผู้ที่ไปอยู่กับพระเจ้าก่อนหน้าเรา เป็นลูกเรา เป็นพ่อเรา เป็นแม่เรา เป็นปู่ เป็นย่า เป็นตา เป็นยาย คนที่เรารัก เป็นเพื่อนเรา  เป็นคนที่เรารู้จัก ที่เชื่อพระเจ้า ที่ไปก่อนหน้าเรา  เราก็จะไปเจอเขา ในวันนั้นแหละ เจอกันแน่นอน ใน 1 เธสะโลกา 4:18 เปาโลจึงบอกว่า …

1 เธสะโลนิกา 4:18 “เหตุฉะนั้น จงปลอบใจกันและกัน ด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด”

 

ให้เราปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้  อย่างเช่นตอนนี้ ช่วงโควิดกำลังระบาด เขาหนุนใจกันได้ไหม? ปลอบใจกันอย่างนี้ได้ไหมว่าไม่ต้องกลัวเลย แย่สุด ก็คือวิญญาณออกจากร่าง นี่แย่สุดแล้วนะ  เรายังมีความหวังที่ชัดเจน เลือกไม่ถูกเลย จะอยู่หรือจะไป จะไป ก็เจอคนที่เรารักเยอะแยะมากมาย  อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูแล้ว เราก็ไปเจอเขา แต่ถ้ายังไม่ไป เจอโควิด ยังทุกข์ลำบากอยู่ แต่เราก็อยู่กับคนที่เรารัก ครอบครัวที่เรารัก  ยังอยู่กันอยู่  ยังมีโอกาสทำงานให้พระเจ้า  มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐอยู่ มันก็ดีเหมือนกัน มี 2 ทาง ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี ประมาณนั้น นี่แหละ คือความรู้สึกของคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เกิดใหม่จริงๆ แล้ว เช่นนี้แหละ ใน 1 เธสะโลนิกา 5:1-3 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เธสะโลนิกา 5:1-3 “1 แต่พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2 เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะมาเหมือนอย่างขโมย ที่มาในเวลากลางคืน 3 เมื่อเขาพูดว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นแหละ ความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที  เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น”

 

นี่ก็กำลังพูดถึงความแตกต่างระหว่างคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง ไปอยู่กับพระเจ้า แตกต่างกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่มีความหวังอะไรเลย เขาจึงอยู่ในความหวาดกลัว เขาจะอยู่ในความประมาท เมื่อไรที่ออกจากร่าง คือวันที่พระเยซูกลับมา เขาจะทุกข์ใจ ทุกข์ทรมาน  เขาเรียกว่าไปสู่ความพินาศนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ ไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับความพินาศ  เปาโลกำลังเตือนคนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน อ่านต่อไปในข้อ 4 และข้อ 5

1 เธสะโลนิกา 5:4-5 “4 แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว เพื่อวันนั้นจะไม่มาถึงท่านอย่างขโมยมา 5 ท่านทั้งหลายเป็นบุตรของความสว่าง และเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน หรือของความมืด”

 

“แต่พี่น้องทั้งหลาย” คือใคร? พี่น้องทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เหมือนกับเรา พี่น้องทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อ  ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พี่น้องทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่เหล่านี้  ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว

พี่น้องเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ไหม? ยังไม่ตายจากร่างกายนี้ออกไป ไม่ตาย  ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว  ในหนังสือโคโลสี 1:13 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายได้ถูกช่วยให้รอดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างในพระบุตร เมื่อท่านเชื่อปุ๊บ  พระเจ้าได้ย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง”

ข้อ 5 บอกท่านทั้งหลายเป็นบุตรของความสว่างและเป็นบุตรของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน  หรือของความมืด … ชัดเจนนะ ในหนังสือ 1 ยอห์น 4:17 ได้บอกว่าเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว วิญญาณของท่านในขณะนั้น รับเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้ว วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินบนโลกใบนี้เลย บันทึกอย่างนี้เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ได้พักผ่อนอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  พักผ่อน เป็นทายาทที่รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว

1 เธสะโลนิกา 5:6-10 “6 เหตุฉะนั้นอย่าให้เราหลับ เหมือนอย่างคนอื่น 7 แต่ให้เราเฝ้าระวังและไม่เมามาย เพราะว่าคนนอนหลับ ก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมา ก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน 8 แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้ว ก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อกับความรัก เป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะให้ความรอด (ที่ครบถ้วนบริบูรณ์) เป็นหมวกเหล็ก 9 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้ สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้ได้รับความรอด โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 10 ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่ หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์”

 

อาจารย์เปาโลจึงถือโอกาสหนุนจิตชูใจผู้เชื่อทั้งหลาย ขณะเดียวกันก็เตือนและประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ ให้รู้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร?

ในข้อที่ 8 สำหรับคนที่เชื่อแล้ว  เป็นคริสเตียนแล้ว บอกว่าแต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้ว ก็อย่าให้เราเมามาย  ก็หมายถึงอย่าให้เรางง เพราะคนไม่เชื่อก็งง ไม่รู้จะทำอย่างไรในชีวิต แต่คนที่เชื่อแล้ว เรารู้เป้าหมายของเราแล้ว เราอยู่ในกลางวัน ก็คืออยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรารู้เป้าหมายของเราแล้ว ชัดเจน จดจ่อไปที่เป้าหมายนั้น  จงสวมความเชื่อกับความรัก เป็นเกราะป้องกันตน จงสวมความเชื่อ ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู มั่นใจในความรอดที่ได้รับไปแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้ว และดำเนินชีวิตในความรัก  ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว และเป็นความรักในพระเจ้า โดยภายใน และสวมความหวัง เห็นไหมครับ? ก็คือให้มีความหวังเต็มเปี่ยม ในการเป็นขึ้นจากความตาย หลังความตายนั่นเอง ให้สวมความหวังที่จะได้รับความรอด หมายถึงความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ ก็คือได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์นั่นเอง คือรอร่างกายใหม่นั่นเอง

ข้อ 9 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเรา สำหรับพระอาชญา หมายถึงพระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลกแล้ว พระเจ้าไม่ได้เตรียมให้เราถูกการพิพากษา เราไม่ถูกการพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายออกมาจากนรก จากความพินาศ มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อบนโลกใบนี้ เราเป็นของพระเจ้า เราเป็นแกะของพระเจ้า ในทุ่งหญ้าของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นแพะ เราไม่ได้เป็นคนไม่เชื่อ ไม่ได้อยู่ในความพินาศ เพราะฉะนั้น เราถูกกำหนดให้เป็นลูกของพระเจ้าในความสว่าง  ได้รับความรอด  ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

การมาพิพากษาของพระเยซูคริสต์ในครั้งที่ 2  เป็นทางการ มาเพื่อคนที่พินาศอยู่แล้ว  คนที่ไม่ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  เมื่ออยู่ในความพินาศ พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนั้น ก็คือมาสำเร็จโทษนั่นเอง โทษที่ผู้คนเหล่านั้นได้ถูกพิพากษาอยู่แล้ว แต่สำหรับเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าให้เรารับเชื่อเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้นั้น พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ก็คือรับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ข้อ 10 สำคัญมาก ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ก็คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง ที่ทำให้เรารอด ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ แต่เป็นเพราะพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา ถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับอยู่ เราก็จะได้มีชีวิตอยู่กับพระองค์ หมายถึงไม่ว่าจะตื่น คือยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ หรือก่อนพระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก เราจะตายออกจากร่างไปก็ตาม  เราก็มีชีวิตอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ อย่างนั้นตลอดเวลา  ไม่ว่าวิญญาณจะออกจากร่างหรือไม่? พระคริสต์ก็อยู่ในเรา และเราก็อยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นประโยชน์ขนาดไหน? พอเชื่อปั๊บ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันทันที ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วันหนึ่งที่ตาย วิญญาณออกจากร่าง ก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์เหมือนเดิม เพราะไม่ว่าอยู่หรือตาย ก็อยู่กับพระเยซูคริสต์นั่นเอง  มีชีวิตอยู่กับพระเยซูคริสต์ นี่เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำกับมนุษยชาติทั้งโลกใบนี้ เป็นพระคุณยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทำให้กับเราทั้งหลายบนโลกใบนี้ เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเราบนโลกใบนี้  มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ดีๆ ทั้งหมด เพียงแค่นั้นเอง ถึงเรียกว่าพระคุณไงครับ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นเอง จุดเดียวเท่านั้นที่เราต้องทำ แค่นั้นเอง คือเชื่อในข่าวดีและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบ แค่นั้น แล้วไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ไปจนถึงนิรันดร์ พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน และที่ไม้กางเขนพระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว มาเชื่อพระองค์เท่านั้น  พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราไปจนถึงสิ้นยุค จะอยู่กับเราตลอดเวลา จะไม่ทอดทิ้งเรา จะไม่ละเรา ให้เป็นเหมือนลูกกำพร้า จะไม่ทอดทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง จะอยู่กับเราตลอดเวลา แม้กระทั่งเราหลับ พระองค์ก็อยู่ด้วย จะจูงมือเราเดิน เดินไปจนกระทั่งวิญญาณออกจากร่าง และก็เดินกับเราต่อไป จนถึงนิรันดร์ในสวรรค์สถานของพระองค์

นี่เป็นความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ และเมื่อวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลก ถ้าเราอยู่ถึงวันนั้น เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ได้รับร่างกายใหม่ โดยการที่พระเยซูกลับมารับเรา แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ถึงวันนั้น วันที่เราจากไปก่อน วันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราตายก่อน เราก็กลับไปอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใด เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะไปสวรรค์ก่อนหรือหลัง ได้ทั้งหมด  ถ้าพูดเป็นภาษาปัจจุบัน ก็จะบอกว่าได้ทั้งหมด ถ้าสดชื่น อันนี้สดชื่นตลอดเวลาเลย จะไปวันนี้ ก็ได้เหมือนกัน จะไปพรุ่งนี้ ถ้าพระเยซูกลับมาพิพากษาโลก ก็ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะได้แบบไหน ก็ได้เหมือนๆ กัน  ก็แล้วแต่พระเจ้าจะทรงเลือกให้เราก็แล้วกัน ดีสำหรับเราก็แล้วกัน ดีทั้งสองอย่าง เลือกไม่ถูกเลย

อย่างนี้คือความเชื่อของคริสเตียน ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ เพื่อหนุนจิตชูใจ แล้วท่านมีความคิดอย่างนี้หรือไม่? ท่านคิดอย่างนี้หรือเปล่า?

ย้อนกลับมาอีกที วันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราตื่นเต้นไหม? เราจะได้พบพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เพื่อนๆ ญาติพี่น้องที่จากไปก่อนหน้านี้แล้ว เร็วๆ นี้เอง แปลว่าอะไร? ถ้าพูดถึงว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมาเมื่อไร เราไม่รู้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าเหมือนดั่งขโมยมา เราไม่รู้ ไม่มีใครรู้ พระบุตรก็ยังไม่รู้ พระเยซูยังไม่รู้เลย แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือวันที่เราจากโลกนี้ไป เห็นชัดกว่าเยอะ คือวันที่เราตายจากโลกใบนี้ อายุสักเท่าไรดี ให้ 100 ปี จากนี้ไปอีกกี่ปีดี หรือโรคภัยไข้เจ็บ โควิด อุบัติเหตุ หรืออะไรต่างๆ ทำให้วิญญาณเราต้องออกจากร่าง เราก็ได้รับเหมือนกันเลย  คือได้รับร่างกายใหม่ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน พบกับพี่น้องของเรา ที่เรารัก ที่เราคิดถึง อย่างนี้ มันคือความหวังใจที่มีแต่ได้กับได้ คุ้มค่าไหมครับ  ตื่นเต้นไหมครับที่จะรอคอยวันนั้น  และคุ้มค่า สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  คุ้มค่าไหมที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์วันนี้  ณ วินาทีนี้ ในขณะที่สถานการณ์โลกยังเป็นอย่างนี้  ผมยังตื่นเต้นอยู่ ผมยังอยากพบกับคุณพ่อ คุณแม่ เพราะคิดถึงท่านและมั่นใจแล้วว่าวันอันใกล้นี้ ผมก็จะไปพบกับท่าน ท่านก็กำลังเชียร์ผมอยู่ตอนนี้  แล้วยังมีพี่น้องอีกหลายท่านที่คิดถึงกัน อยากจะไปเจอเขาอีกหลายท่าน ที่ร่วมรับใช้ด้วยกันมาอีกหลายท่าน ก็อยากจะไปพบกับท่าน วันนั้นคงจะสนุกสนาน อยากจะไปคุยกับโมเสส อยากจะไปคุยกับอับราฮัม อยากจะไปคุยกับกษัตริย์ดาวิด  อยากจะไปคุยกับเปาโล เราจะไปเจอกันหมดเลย แล้วถามว่าจะไปเจอเมื่อไร? เร็วๆ นี้ เมื่อไร? ก็ไม่รู้ล่ะ เมื่อไรวิญญาณเราออกจากร่าง เมื่อไรเราจะตายจากโลกใบนี้ พอตายปุ๊บ หลับตาปั๊บ เปลี่ยนเข้าสู่มิติทางฝ่ายวิญญาณ หลับตา วิญญาณออกจากร่าง ท่านลองดูก็ได้  แค่พริบตาเดียว หลับตา เทียบกับลมหายใจสุดท้ายที่ออกจากร่างอันไหนเร็วกว่ากัน ผมว่าพอกัน หายใจเข้า หายใจออก  หมดลม เจอหน้าพระเยซูทันที เจอหน้าพี่น้องที่จากเราไปก่อนทันที ที่เรารัก ที่เราคิดถึงทันที มันง่ายอย่างนี้จริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้จริงๆ ผมพยายามที่จะอธิบายแบบชาวบ้านๆ ให้ลึกซึ้ง ให้เห็นภาพตามด้วย ท่านจะมีกำลังใจ เป็นความหวังใจให้กับท่าน ด้วยถ้อยคำที่แท้ ด้วยสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตต่อไป  หายใจเข้าเมื่อไร? หายใจออก ลมหายใจสุดท้าย วิญญาณออกจากร่าง พร้อมกับกระพริบตาปั๊บ เจอพระเยซู พระองค์มารับ อยู่ในสวรรค์ ได้ยินเสียงแตรดังก้องเวหา พระองค์มารับข้า กลับไปอยู่ในเมืองฟ้าทันที เพราะชื่อข้าจดอยู่ในสมุดแห่งชีวิต ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันแรก วินาทีแรก บนโลกใบนี้นั่นเอง   พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเยซูได้กระทำเพียงครั้งเดียว เราก็ได้รับการชำระ จนสะอาดหมดจด และสะอาดอย่างนั้น ถาวรวนิรันดร์

ฮีบรู 10:14  “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

 

แต่ที่บอกว่าค่อยเป็นค่อยไป หมายถึงการเจริญเติบโตของชีวิตคริสเตียน หมายถึงความรู้ในเรื่องพระเจ้าในเรื่องวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตที่ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ที่จะค่อยๆ เรียนรู้ไป

 

วันที่เราได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณเราได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด แล้วก็จริง แต่สติปัญญา และความรู้ในทางพระเจ้า เรายังมีไม่มาก นี่คือสิ่งที่บอกว่า ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ  เรียนรู้ ค่อยๆ ฝึกฝน  แต่ไม่ใช่ค่อยๆ ทำให้สะอาดบริสุทธิ์

 

ไม่มีคำว่าค่อยๆ ชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์

ไม่มีคำว่าค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือค่อยๆ ชำระล้างให้สะอาดทีละนิด

พระเยซูได้กระทำเพียงครั้งเดียว เราก็ได้รับการชำระ จนสะอาดหมดจด และสะอาดอย่างนั้น ถาวรนิรันดร์

 

เอเฟซัส 2:1-3  “1 “ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ  จากการล่วงละเมิดและในบาป (ในอาดัม) ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่งเราเคยมีชีวิต เหมือนกับผู้คนเหล่านั้น (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา) ที่สนองความอยากกับความคิดของมันตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ

วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของมนุษย์  อยู่ที่ไหน?

ในอาดัม ในบาป ในความมืด ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ในความพินาศนิรันดร์ หรือในความสว่างในพระคริสต์

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1324

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  สิงหาคม  2021

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 1

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาเรียนหนังสือเอเฟซัส บอกประวัติคร่าวๆ นิดหนึ่ง  เอเฟซัสเป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อที่อยู่ในเอเฟซัส ทั้งพวกยิวและคนต่างชาติ เมืองเอเฟซัส ปัจจุบันอยู่ที่ตุรกี ตอนที่อาจารย์เปาโลประกาศอยู่ที่เอเฟซัส อาจารย์เปาโลก็อยู่ที่นั่นประมาณ 2 ปี ในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียน ตอนติดคุกอยู่ที่กรุงโรม เขียนเมื่อ ค.ศ.60 เหตุผลที่เขียนหนังสือมาถึงชาวเอเฟซัส ก็เพราะว่าตอนที่อาจารย์เปาโล ไปประกาศข่าวประเสริฐให้ผู้คนมารับเชื่อ เมืองเอเฟซัส มีเรื่องความเชื่อเยอะแยะมากมาย และมีพวกรูปเคารพ ที่ช่างเงิน ช่างทองเขาทำขึ้นมา มีรายได้ดี พอคนมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็เลิกไปอุดหนุน พวกรูปต่างๆ ของเจ้าแม่ต่างๆ ที่เขานับถือกัน เช่น เจ้าแม่อาราเทมิส เท่ากับว่าตัดทางทำมาหากิน ของพวกช่างเงิน ก็เลยทำให้รู้สึกขัดใจ อาจารย์เปาโลมาประกาศพระเยซูคริสต์ ทำให้รายรับของตัวเองขาดหายไป

และในขณะเดียวกัน ก็จะมีพวกที่เชื่อทางวิทยาคม มีหนังสือเยอะแยะมากมาย ที่เขาเก็บสะสม หนังสือพวกนี้มีค่ามากเลย แต่พอมาเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็ขนหนังสือมาเผาทิ้งหมดเลย นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายมากในคริสตจักรเอเฟซัส เมื่อเป็นอย่างนี้ อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายมา เพื่อยืนยันความรอดที่พระเจ้าให้กับพวกเขาผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์

ตรงนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลเน้นความสำคัญมากๆ คือผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าในยุคไหนก็ตาม ทั้งในยุคตอนอาจารย์เปาโลยังมีชีวิตอยู่ หรือหลังจากที่อาจารย์เปาโลจากไปแล้ว ก็มีผู้รับใช้ของพระเจ้ามาประกาศข่าวดีของพระองค์ไปเรื่อยๆ จนถึงยุคของเราที่เป็นคนต่างชาติ คนต่างชาติที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายยิว พระเจ้าก็เรียกมาด้วย ให้มาเชื่อวางใจในพระเจ้า โดยวิธีง่ายๆ เลย อาจารย์เปาโลบอกมาเชื่อพระเจ้า เป็นของประทาน เป็นของขวัญที่ให้ฟรีๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรง ไม่ต้องมีการประพฤติ ดิ้นรน ตะเกียกตะกาย ทำโน่นทำนี่  เพื่อให้ได้รับความรอด แค่มาเชื่อเท่านั้น เขาก็จะได้รับความรอดเลย ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่พวกยิวรับไม่ได้  เรามาดูในหนังสือเอเฟซัส 1:1 อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่าอย่างไร? …

เอเฟซัส 1:1 “จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส ผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์”

 

อาจารย์เปาโลได้พูดถึงตัวเอง ในลักษณะเหมือนกับแนะนำตัวเองว่าเป็นอัครทูต คำว่า “อัครทูต” ในสมัยโน้น จนถึงยุคนี้ อัครทูตของพระเยซูคริสต์ มีทั้งหมดแค่ 13 คน พี่น้องจำได้ใช่ไหมค่ะ ตอนที่พระเยซูมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า  พระเยซูก็เลือกสาวกของพระองค์ 12 คนมาติดตามพระองค์ แล้วสาวกเหล่านี้ เดินกับพระองค์ ได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ แล้วถือว่ากลุ่มนี้  คือได้ใช้ชีวิตกับพระเยซูมาตลอด ตรงนี้ เขาถึงเรียกว่าเป็นอัครทูต  อัครทูต 12 คน มีคนหนึ่งที่กบฏ หรือทรยศพระเยซู คือยูดาส อิสคาริโอด ที่ขายพระเยซูด้วยเงิน 30 แผ่น แล้วพอยูดาสขายพระเยซูเสร็จ ก็ไปฆ่าตัวตาย สาวก 12 คนก็หายไปคนหนึ่ง

หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกสาวก เขาก็คุยกันว่า …

“เรามี 12 คน ขาดไปคนหนึ่ง เรามาจับฉลากกันแล้วกัน”

เขาก็เลือกคน 2 คน ปรากฏว่าได้มัทธีอัส เขาก็เห็นพ้องต้องกันว่าเอาคนนี้เข้ามาเป็นอีกคนหนึ่งของอัครทูต ก็เท่ากับครบ 12 คน

กิจการ 1:23-26 “23 ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอชื่อชายสองคนคือ โยเซฟที่เรียกกันว่าบารซับบาส (และอีกชื่อหนึ่ง คือยุสทัส) กับมัทธีอัส 24 จากนั้นพวกเขาอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของทุกคน ขอทรงสำแดงว่าทรงเลือกคนไหนในสองคนนี้ 25 ให้รับพันธกิจแห่งอัครทูตแทนยูดาสผู้ได้ละทิ้งไปสู่ที่ของตน” 26 แล้วพวกเขาจับฉลากได้มัทธีอัส ดังนั้นจึงรวมเขาเข้ากับอัครทูตสิบเอ็ดคน”

 

หลังจากนั้น อาจารย์เปาโลไปข่มเหงคริสตจักร เนื่องจากเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูมาประกาศว่าใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับความรอด ได้เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ต้องทำอะไรเลย อาจารย์เปาโลก็รับไม่ได้ เพราะอาจารย์เปาโลเป็นยิว เป็นผู้ที่รักษากฎบัญญัติมาก เป็นพวกฟาริสี  เป็นพวกเคร่งครัด  เขาก็มีความรู้สึกว่าพระเยซูมาทำลายความเชื่อของพวกเขา พวกฟาริสี พวกยิวเขาเชื่อมาตั้งนานแล้ว  กฎบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าให้มา  แล้วอยู่ดีๆ ก็มาทำให้กฎบัญญัตินี้หายไปเลย มาเชื่อ ก็รอด อาจารย์เปาโลก็ไม่โอเค พอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ก็เลยไปตามฆ่าผู้เชื่อ

ซึ่งผู้เชื่อในสมัยนั้น เขาก็ยังไม่ได้เรียกว่าเป็นคริสเตียน เรียกว่าผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส ก็เจอพระเยซูเลย คืออาจารย์เปาโลก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เจอพระเยซู หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเขาก็นับอาจารย์เปาโลเข้ามาเป็นอีกหนึ่งคนของอัครทูต ซึ่งอัครทูตทั้งหมด ที่พระเยซูคริสต์เรียก ก็แบ่งหน้าที่ให้ทำงานที่แตกต่างกัน

อย่างเปโตร ถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนยิว  แต่เปาโล ถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ  ก็คือคนที่ไม่ใช่ยิว เป็นประมาณพวกเรา พวกประเทศต่างๆ ที่ได้รับความรอดผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเจ้า

พออาจารย์เปาโลถูกเรียกปุ๊บ ก็หันเข็มทิศของตัวเองเลย จากการที่เป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตา ตอนนี้อาจารย์เปาโลก็ทิ้งหมดเลย คือไม่สนใจแล้ว เรื่องชื่อเสียงเกียรติยศ หรือตำแหน่งหน้าที่ ความรู้อะไรต่างๆ ที่สะสมกันมาทั้งชีวิต อาจารย์เปาโลก็ทิ้งไปเลย แล้วก็หันมาประกาศพระคริสต์ พอหันมาประกาศพระคริสต์ปุ๊บ เปลี่ยนขั้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จากคนที่เคยได้รับการยกย่อง กลายเป็นคนที่ถูกไล่ล่า ฆ่า พี่น้องนึกภาพออกไหม? จากการที่เปาโลเดินไปไหน? มีคนชื่นชมยินดี ยกย่อง สรรเสริญ …

“เปาโลสุดยอดเลย เป็นผู้รับใช้ที่เข้มแข็งมาก แล้วก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วย ร่ำรวยอีกต่างหาก”

แต่ปรากฏว่าพอมาเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลทิ้งทุกอย่าง ก็มาประกาศพระคริสต์  พอประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ คนยิวรับไม่ได้ แปรพักตร์แล้ว อยู่ดีๆ เชื่อบทบัญญัติของพระเจ้า แล้วไปเปลี่ยนเป็นเชื่อพระเยซูได้อย่างไร? แล้วยังมาประกาศว่าคนต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมวงศาคณาญาติอีก คนยิวเขามีความรู้สึกภาคภูมิใจในการทรงเรียกของพระเจ้ามาก

“ฉันเป็นกลุ่มคนพิเศษของพระเจ้า ที่พระเจ้าเรียกมาตั้งแต่โน้น สมัยอับราฮัม  สมัยโมเสส ตอนช่วงโมเสส พระเจ้าก็ให้ธรรมบัญญัติกับคนยิว คนอิสราเอล”

ซึ่งเขาคิดว่าเขาเป็นประชากรที่พิเศษกว่าคนอื่น ซึ่งคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่อิสราเอล  เขาก็ดูถูกเหยียดหยาม เหมือนพวกไม่มีสกุลรุนชาติอะไรอย่างนี้ แล้วอยู่ดีๆ อาจารย์เปาโลบอกว่าคนต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นลูกหลานของอับราฮัมได้ โดยผ่านทางความเชื่อ แบบเรียกว่ามันไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ ก็เลยต่อต้านเปาโล ไล่ล่า อาจารย์เปาโลไปประกาศที่ไหน? เขาก็จะไปเลย บางทีไปจับอาจารย์เปาโลติดคุกบ้าง! โบยตีบ้าง! คือทำทุกอย่าง แต่ไม่ว่าคนกลุ่มนี้ พวกยิวจะจับอาจารย์เปาโลไปทรมานขนาดไหน? เอาไปติดคุกด้วยซ้ำไป อาจารย์เปาโล ก็เฉยๆ ติดคุกก็ติดคุกสิ ติดคุกแค่ร่างกาย คุกตารางไม่สามารถจะขวางกั้นข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้ อาจารย์เปาโลอยู่ในคุก ก็ยังเขียนจดหมายออกมาหนุนใจคนนอกคุกอีก ยืนยันให้ผู้เชื่อตั้งมั่นคงอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลประกาศ เป็นเรื่องจริง ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องจริง  พระเยซูเป็นพระเจ้าจริง พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริง แล้วสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อ มันเป็นเรื่องจริง แล้วเราได้รับแล้วด้วย

นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้กระทำ ในช่วงชีวิตของท่าน ที่อยู่บนโลกใบนี้ อย่างไม่ลดละ ก็คือใครจะเป็นอย่างไร? เจอความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้อาจารย์เปาโลท้อถอยในการประกาศข่าวประเสริฐได้เลย ไม่มีทาง

ดังนั้น ในจดหมาย ข้อที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าอาจารย์เปาโลเป็นอัครทูต ที่เป็นอัครทูต เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลทำ ยืนยันการรับใช้ของท่าน เป็นการยืนยัน แบบชัดเจนมากเลยว่าพระเจ้า เรียกท่านมา เพื่อประกาศกับคนต่างชาติ แล้วผลมันเกิดขึ้น เห็นชัดเจน คนต่างชาติเยอะแยะมากมายเปิดใจมาเชื่อพระเจ้า และก็เข้มแข็ง  เจริญเติบโต ถูกวางรากอย่างมั่นคง ในพระเยซูคริสต์ ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาอย่างมั่นคง ในพระเยซูคริสต์ แล้วมีความเชื่อที่หนักแน่น  ขนาดว่าถูกข่มเหงอย่างไร เขาก็ไม่ทิ้งความเชื่อนี้  เพราะเขามีความหวังใจ  และมีความเชื่อมั่นคงในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดยอด ที่สุด เป็นข่าวประเสริฐแท้ๆ ที่ใครก็ตามได้ยินได้ฟัง ได้ฝังรากลงไปในวิญญาณจิต และก็เชื่อตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ คนเหล่านั้นจะเข้มแข็ง เจริญเติบโต ไม่ว่าเขาจะเจอกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เขาก็ไม่ทิ้งพระเจ้า  เพราะว่าความทุกข์ยากไม่ได้เป็นปัญหาเลย สำหรับผู้เชื่อในยุคก่อนๆ หน้านั้น แล้วมันก็ไม่ควรเป็นปัญหา สำหรับพวกเราผู้เชื่อในยุคปัจจุบันด้วย ถ้าเราถูกก่อขึ้นบนรากฐานที่ถูกต้อง

ฉะนั้น พอเราถูกวางรากฐานและก่อขึ้นอย่างถูกต้องปุ๊บ สายตาเราไม่ได้จ้องอยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันชั่วคราว มันมีวันจบ ชีวิตของเราสั้น แต่ละคนอยู่ได้เต็มที่เลย 80 กว่า 90 กว่า ร้อยหนึ่ง ให้ร้อยยี่สิบด้วย ถ้าอายุยาวมาก แต่ว่า ณ ปัจจุบัน ไม่ค่อยเจอหรอกอายุ 120 ส่วนใหญ่ 80 กว่าก็เริ่มแล้ว เริ่มเตรียมตัวจากโลกนี้แล้ว

ฉะนั้น คนที่เชื่อพระเจ้า เขาตั้งตารอคอยพระสัญญาที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเขา ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับผู้เชื่อ ถ้าเราคอยความหวังที่ผิด เราก็จะได้รับความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ ถ้าเราหวังว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราน่าจะร่ำรวย เพราะพระเจ้าบอกว่าจะให้เราสูงขึ้นทางเดียว ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง พระเจ้าจะให้กับพวกเรา พระเยซูยอมยากจน เพื่อให้เราร่ำรวย แต่สิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกทั้งหมด พูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้นแล้ว ในอาณาจักรของพระเจ้า ในตัวผู้เชื่อ คือพวกเราทุกๆ คน ทันทีที่เราเชื่อ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ แล้วเราจะรับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเราในโลกวิญญาณ มือเราสัมผัสไม่ได้ ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยินด้วยว่าพระเจ้าคุยอะไรกับเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงต้องอธิษฐานขอเปิดหูตาฝ่ายวิญญาณให้กับพวกเรา เพื่อเราจะได้สามารถเห็นและได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าอย่างชัดๆ

ตอนที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูจะพูดบ่อยเลย … “ใครมีหูจงฟังเถิด”

ไม่ใช่เราไม่มีหูนะ ทุกคนมีหูหมดแหละ แต่ว่าที่พระเยซูพูด คือหูฝ่ายวิญญาณที่จะฟังสิ่งที่โลกวิญญาณคุยกับเรา สิ่งที่พระเจ้าคุยกับเรา ในโลกวิญญาณว่าพระองค์ได้เตรียมอะไรไว้สำหรับผู้เชื่อ เรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วเราทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเจ้า บังเกิดใหม่ เราต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเลย ถ้าเราจะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสแตะต้องสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยทั้งหมดในอวัยวะของเรา เราไม่ได้หรอก เราก็จะท้อใจ …

“อ้าว! ไหนพระเจ้าบอกพระพรนานัปการ พระเจ้าให้กับเราแล้วไง ทำไมเราไม่เห็นเลย”

แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา พระเยซูบอกเรา คือเรื่องในโลกวิญญาณ ส่วนโลกนี้ พระเจ้าบอกเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว แม้ว่าเราต้องอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่กับร่างกายเก่านี้ ที่ต้องเดินทางไปสู่ความตาย พระเจ้าก็ยังคงดูแลเราอยู่ และพระเจ้าให้กำลังกับกายที่กำลังเดินทางไปสู่ความตาย ก็ให้เราสามารถที่จะเดินอยู่บนโลกนี้ ไปได้ตลอดรอดฝั่ง นี่คือพระสัญญา

แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าจะอวยพรให้เราร่ำรวย พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่ามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าจะอวยพรให้ทุกคนสุขภาพร่างกายแข็งแรง หรืออวยพรให้ทุกบ้านเลยอยู่ดีมีสุข รักกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มือ หู ตา จมูก ลิ้น กายเราสัมผัสจับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าไม่เคยสัญญาที่จะอวยพรเรา แต่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าให้เราได้ตามชอบพระทัยของพระองค์ แล้วแต่พระเจ้า พระเจ้าจะอวยพรใครให้ร่ำรวย มันก็เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ เราเห็นคริสเตียนร่ำรวยก็มี คริสเตียนยากจน ก็มี คริสเตียนแข็งแรง ก็มี คริสเตียนที่เจ็บออดๆ แอดๆ ตลอดชีวิต ก็มี เราเห็นคริสเตียนที่ครอบครัวน่ารักมาก รักกันจนจากไปอยู่กับพระเจ้า เขาก็ยังรักกันอยู่ แล้วคริสเตียนที่ทะเลาะกันทั้งวัน อยู่ในบ้าน เราก็เห็น  แต่ไม่ว่าพฤติกรรมอะไรของแต่ละชีวิต มันก็เป็นเรื่องของโลกใบนี้  ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรารอดแล้ว วิญญาณเรารอด เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เราถูกย้ายจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ในถ้อยคำของพระเจ้าที่อาจารย์เปาโลพูดบ่อยๆ ว่า …

“พระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับพวกเรา  สำเร็จเรียบร้อยตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยพระสิริ เป็นฤทธิ์อำนาจอันเดียวกันที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ผู้ที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ไม่เชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง ในความดีของตัวเอง แต่วางใจในพระเจ้า ทันที พระพรเหล่านี้ เป็นของเรา”

แล้วพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราได้ต้อนรับพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณของเรา จากการที่เป็นวิญญาณบาป ที่อยู่ในอาดัมมาเป็นวิญญาณใหม่ ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ย้ายฝั่งมาอยู่ที่พระเจ้า  แล้วเป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ด้วย แล้วได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เราตัวเป็นๆ เลย สิ่งเหลานี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่มนุษย์เข้าใจยาก ถ้าเราไม่อธิษฐานขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณ ให้เราสามารถรับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะรับรู้ด้วยสติปัญญาของเราเอง อย่างไรเราก็ไม่เข้าใจ เราไม่สามารถรับรู้ได้ นอกจากพระเจ้าเปิดตาใจให้เราสามารถรับรู้ นี่คือเรื่องจริง ใช่ พระเจ้าบอกเราอย่างนี้แหละ เป็นเรื่องจริง ตาเราก็จะจ้องไปที่สิ่งที่พระเจ้าได้สัญญากับเราในโลกหน้า อย่างที่เราได้เรียนรู้มา ส่วนหนึ่งเราได้รับแล้ว ณ เวลานี้ คริสเตียนผู้เชื่อทุกคนจ้องอยู่ที่ไหน? เราจ้องอยู่ที่อีกนิดเดียว  ที่เรายังไม่ได้ คือร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ซึ่งร่างกายนี้พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว แต่รอเวลา คือพวกเราแต่ละคนมีกำหนดเวลาของแต่ละคน ที่ไม่เท่ากันที่จะอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราจบหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ เราทิ้งร่างกายเก่านี้ ไว้ที่โลกใบนี้ คือเปื่อยเน่าไป วิญญาณ เราก็ไปสวมร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี  ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ทันทีเลย

ที่เราบอกว่า “ทันที” ก็คือในโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา เราอยู่ที่เดิม พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะว่า ณ เวลานี้ในโลกวิญญาณ  พวกเราผู้เชื่อทุกคนอยู่ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด ที่พระเจ้าบอกว่าการงานบนโลกใบนี้ จบแล้วล่ะ เหมือนกับ 5 โมงเย็นแล้ว เตรียมตัวแพ็คกระเป๋ากลับบ้านได้เลย ถึงเวลาไปพักผ่อน เมื่อเป็นอย่างนั้นปุ๊บ คนนั้น ก็ลมหายใจออกจากร่าง ทิ้งร่างกายเก่านี้ ซึ่งอยู่ในความบาปและความตาย ทิ้งให้เปื่อยเน่าไป  พอทิ้งร่างกายเก่านี้ปุ๊บ  วิญญาณเราก็ไปสวมร่างกายใหม่ทันทีเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับพวกเรา

ฉะนั้น ผู้เชื่อ รอคอยตรงนี้แหละ ร่างกายใหม่ที่วันหนึ่งข้างหน้า  เมื่อจบงานบนโลกใบนี้ เราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ แล้วพระเจ้าก็ยังบอกเราอีกว่าโลกนี้ โลกเก่าที่มันเสียหายไปหมดแล้ว เนื่องจากมนุษย์ล้มลงในความบาป ทำให้โลกนี้เสียหายไป ทุกอย่างเสียหายไปหมด มีแต่ความวุ่นวายสับสน วันหนึ่งโลกนี้ก็จะสูญสลายไปด้วย แต่พระเจ้าทรงเตรียมโลกใหม่ไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้วเช่นเดียวกัน ฉะนั้น มี 2 สิ่งเท่านั้น ที่ผู้เชื่อยังไม่ได้  และเรามีความหวังใจใน 2 สิ่งนั้น คือขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรเราจะได้กลับบ้านสักที เราจะได้ไปครอบครองร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และโลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละ เป็นแรงผลักดัน หรือเป็นกำลังใจ ทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัด และสู้ต่อไป ในโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก แต่เรามีความหวังใจ

พอมีความหวังใจ และหวังตรงนี้ ไม่ได้หวังลมๆ แล้งๆ ด้วย เป็นความหวังที่หนักแน่น มั่นคง ที่พระเจ้าสัญญากับเราแล้ว เราจึงมีความอดทน รอคอย ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? ซึ่งปัจจุบัน ง่ายๆ เลย เรื่องของโรคระบาด โควิดทำให้ทุกอย่างรวนไปหมดเลย แต่ว่าไม่ว่าเราจะเผชิญหนักขนาดไหน? เราก็ยังมีความหวังใจ เราก็ไม่เป็นไร เราก็อยู่ตามอัตภาพ ที่ตอนนี้เราออกไปข้างนอก อย่างอิสระเสรีไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราก็พยายามออกให้น้อยลง เราไม่สามารถไปเที่ยวเตร่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราอยู่บ้านก็ได้ เราก็หาความสุขในบ้านได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถช่วยเรา ให้ผ่านไปได้ ในสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบาก ยุ่งยากขนาดนี้ ซึ่งพระเจ้าจะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา พระเจ้าไม่ทิ้งเรา ให้เผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้แต่ลำพัง แต่พระเจ้าคอยช่วยเหลือเรา ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าคอยช่วยเหลือเรา เพราะพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ไปไหนไปด้วย ทุกข์ พระองค์ก็ทุกข์กับเราด้วย สุข พระองค์ก็สุขกับเราด้วย ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำดี ทำไม่ดี พระเจ้าอยู่กับเราด้วยหมดเลย พระองค์ไม่เคยหนีเราไปไหน เพราะว่าพระเจ้ากับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน หลอมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกกันไม่ได้

ตรงนี้ชัดเจนมาก พี่น้องอาจจะกลัวว่าถ้าเราสอนผู้เชื่อว่าความเชื่ออย่างเดียวทำให้เรารอด  ความประพฤติไม่สำคัญเลย นี่เป็นการชี้ช่องทางให้คนทำชั่วไหม? พี่น้องคิดดูดีๆ ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ผู้รักเรามาก ขนาดสิ้นพระชนม์ ยอมตายแทนเรา อยู่ในเรา ถ้าเรารู้ว่าพระองค์อยู่ในเรา มันจะทำให้เรารู้สึกอยากทำชั่วอีกไหม? เราไม่อยาก แต่ถ้าเราเผลอไปทำ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่างที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ล้ม แล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ปัดฝุ่น  แล้วเราก็เดินต่อ ไม่ต้องมาสำนึกเสียใจ …

“แย่จังเลย พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

ไม่ต้องนะ เพราะว่าเราไม่มีโทษแล้ว ไม่ต้องมาขอการยกโทษ จากพระเจ้า ในหนังสือโรมบอกว่าไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ทำให้เราพ้นจากกฎของบาปและความตาย เราไม่ได้อยู่ใต้กฎแล้ว เราไม่มีโทษแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่มีโทษอะไรจะให้พระเยซูมายกแล้ว

พอเราเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ ชีวิตเราจะเปลี่ยน เราจะเปลี่ยนจริงๆ โดยธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าอยู่ในเรา เป็นธรรมชาติแบบเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วเมื่อเรารับรู้ธรรมชาติใหม่มากขึ้นเท่าไร? เราเจริญเติบโตมากขึ้นเท่าไร เราก็จะสำแดงธรรมชาติ แบบพระเจ้าออกไปมากเท่านั้น นี่แหละ คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามบอกกับผู้เชื่อ

เอเฟซัส 1:2 “พระคุณของพระเจ้าไม่มีขีดจำกัด  ที่ท่านได้รับไปแล้ว  และสันติสุขในทางวิญญาณ ที่ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

เป็นคำทักทายเหมือนกับพอเราเจอหน้า เราก็จะบอกกันว่า … “เธอรู้ไหม ตอนนี้พระคุณของพระเจ้าที่ไม่มีขีดจำกัด อยู่ในเธอนะ”

ทำไมเราถึงบอกว่าไม่มีขีดจำกัด เพราะพระคุณตรงนี้ ที่พระเจ้าให้ความรอด เราเปล่าๆ จากที่เราเป็นคนบาป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เข้ามาเชื่อพระเจ้า เราก็ได้รับความรอดเลย อันนั้น คือพระคุณ พระคุณซ้อนพระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา เรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ได้รับไปแล้วด้วย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เรารับพระคุณตรงนี้  ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย  พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ แต่ในโลกวิญญาณ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันเป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว  เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องไปรอจนเราตาย แล้วค่อยไปนั่ง ตอนนี้เรานั่งอยู่แล้ว นี่คือความจริงที่อาจารย์เปาโลต้องย้ำ ให้ผู้เชื่อรับรู้ พอเราเจอกัน  เราก็พูดอย่างนี้ เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แปลว่ามันเป็นแล้ว ท่านไม่รู้หรือ?”

ท่านควรจะรู้ เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์  ทำไมอาจารย์เปาโลต้องบอกให้จดจ่อ จดจำ มุ่งไปที่เบื้องบน ก็คือพุ่งเป้าไปที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ที่เบื้องบน เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าว่าอะไรที่พระเจ้าทรงสัญญากับเรา ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ  พอเราจดจ่อตรงนี้ปุ๊บ เรารับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นอย่างนี้แล้ว   ตอนนี้เราเป็นชาวสวรรค์แล้ว เราไม่ใช่ชาวโลกแล้ว เมื่อก่อนเราเป็นชาวโลก เป็นพวกของมาร ตอนนี้เราไม่ใช่แล้วนะ ตอนนี้เรากลับใจใหม่แล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรามาอยู่ฝ่ายพระเจ้าแล้ว  เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ตัวตนจริงๆ เราเป็นอย่างนี้เลย เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าแล้ว

พอเราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า เราก็สวมตัวตนใหม่ ที่ตอนนี้เราเป็นอยู่ ซึ่งเราก็จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่าตัวตนใหม่เราเป็นอย่างไร? ที่เราต้องเรียนรู้ เพราะว่าถ้าเรารู้มากเท่าไร? เราก็จะสำแดงตัวตนใหม่ได้มากเท่านั้น ถ้าเรารู้ว่าตอนนี้เราเป็นความรัก “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรัก เราเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เราเป็นความชื่นชมยินดี เราเป็นความดี เมื่อเราเป็น แปลว่าไม่ต้องไปหาที่ไหน? มันอยู่ข้างในเราแล้ว แค่ว่าเอามันออกมาใช้ เท่านั้นเอง รู้ว่าเป็น รู้ว่ามี รู้ว่าสิ่งเหล่านี้พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว เปรียบเทียบเหมือนกับใส่เสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่า เสื้อใหม่ของเรา คือเสื้อใหม่แห่งความชื่นชมยินดี เสื้อใหม่แห่งความบริสุทธิ์ เสื้อใหม่แห่งความรัก เสื้อใหม่ที่สะอาด เป็นผู้ชอบธรรม นั่นคือเสื้อใหม่หมด ที่พระเจ้าแขวนไว้ในตู้ให้เราเป็นแถวเลย วันๆ เราก็ไปหาดูว่าวันนี้ พระเจ้าจะให้เราใส่เสื้อตัวไหนดี ออกไปข้างนอก เจอสถานการณ์อย่างนี้ เราควรจะใส่เสื้อตัวไหนดี? อะไรอย่างนี้ พระเจ้าก็จะให้สติปัญญาเรา แล้วพอวันไหนเราเผลอ ไปหยิบเสื้อเก่ามา ซึ่งเสื้อเก่ามันก็ยังอยู่อีกตู้หนึ่ง มันยังไม่ได้ถูกโละทิ้ง เนื่องจากร่างกายเรา ยังเป็นร่างกายเก่า คือความคิดเก่าๆ โปรแกรมเก่าๆ ที่มันฝังอยู่ในร่างกายเก่าของเรา ซึ่งวันดี คืนดี ก็แอบเข้ามา โน้มน้าวจิตใจ ชักชวน ยั่วยวนให้เราทำตามมัน มันก็จะนำเสนอ …

“วันนี้ เธอใส่เสื้อตัวนี้ดีกว่า”

เป็นเสื้อที่เก่า ขาดกระรุ่งกระหริ่ง น่าเกลียด น่าชังมาก แต่เขาก็โน้มน้าวจิตใจ จนเรารู้สึก เราใส่เสื้อใหม่มาเยอะแล้ว ลองใส่เสื้อเก่าสักทีดีไหม? พอเราใส่เสื้อเก่า แล้วเราทำออกไป ความอิจฉาริษยา หรืออะไรต่างๆ ที่เป็นวิถีชีวิตเดิม ที่เราเคยเป็น แต่ตอนนี้เราไม่เป็นแล้ว พอเราทำออกไปปุ๊บ เราจะรับรู้ว่าเสื้อตัวนี้ เราใส่แล้ว มันไม่เหมาะกับเรา  ออกไป แล้วมันไม่สวย พอไม่สวย ทำอย่างไร? ไม่เห็นมีอะไรยากเลย กลับเข้าบ้าน ถอดเสื้อเก่าทิ้ง เอาเสื้อใหม่มาใส่ แค่นั้นเอง นั่นคือชีวิตคริสเตียน ระหว่างที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเป็นอย่างนี้แหละ ใส่เสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่า เผลอใส่เสื้อเก่า ก็ถอดทิ้งไป เอาเสื้อใหม่มาใส่ มันจะเป็นขบวนการอย่างนี้ตลอด ช่วงเวลาที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้

แต่ว่าถ้าเรายิ่งรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้ามากเท่าไร? เรารู้ว่าเสื้อใหม่เรามีเยอะมาก เราก็จะหยิบเสื้อเก่ามาใช้น้อยลง นานๆ ที เผลอก็หยิบมาที ถ้าเผลอหยิบมาทีหนึ่ง ก็ไม่ต้องรู้สึก … “แย่จังเลย ทำไมวันนี้เราถึงหลวมตัวไปใส่เสื้อเก่า น่าเกลียดมาก” … แล้วไปนั่งตำหนิตัวเอง ไม่ต้องเลยนะ ก็แค่ อ้าว! ใส่ผิด ถอดทิ้ง เอาตัวใหม่มาใส่ แค่นั้นเอง ชีวิตคริสเตียน

ดังนั้น ไม่มีโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต่อให้พฤติกรรมเราไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ธรรมชาติ ที่เราเป็นอยู่ในพระคริสต์ ก็ไม่เป็นไร? เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ดูที่ผลของการกระทำ หรือพฤติกรรมของเรา ทำให้เราได้รับความรอด ความรอด เรามาจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ล้วนๆ เพียวๆ เท่านั้น

ตรงนี้บอกว่า … “พระคุณ ที่ไม่มีขีดจำกัด และสันติสุขในทางวิญญาณ”  สันติสุข ที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยแล้ว สันติสุขที่ในวิญญาณของเรา ที่เราจะรับรู้ว่าตอนนี้สันติสุขอยู่ในเราแล้ว ให้เราสำแดงสันติสุขออกมา “สันติสุขที่ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า” รับรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว แยกจากกันไม่ได้เลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ กิน นอน เดิน ขึ้นรถ ลงเรือ ทำไม่ดี ทำดี เราก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ไม่หนีไปไหน? ฉะนั้น พอเรารับรู้ตรงนี้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือผ่านทางความเชื่อนั่นแหละ เราได้รับตรงนี้มา ฉะนั้น พอเรารับรู้ตรงนี้ รับรู้มากเท่าไร? ข้างในเราจะรับรู้เลยว่าพระเจ้าอยู่ในเรา เราก็จะทำตัวให้เหมาะสมกับการที่พระเจ้าอยู่ในเรา พฤติกรรมเราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา    ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน”

 

ก็คือพระพรฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์ ในสวรรค์สถานที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่คุยกันตั้งแต่ต้น พระพรเหล่านั้นเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปวิ่งหาอีกต่อไป

เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์   ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์  ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก”

 

ในข้อที่ 4 ตรงนี้ คำว่า “พระองค์ทรงเลือกเรา” … “เรา” ในที่นี้ ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนต่างชาติ แต่ “เรา” ตรงนี้ คือพวกยิว … ยิวเป็นชนชาติแรกที่พระเจ้าได้เลือกไว้ก่อน ยิวถึงรู้สึกภาคภูมิใจว่า …

“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ ที่พระเจ้าเลือกฉันไว้ ฉันต้องดีกว่าพวกเธอที่เป็นคนต่างชาติ”

แต่มันเป็นแผนการ ที่พระเจ้าทรงเลือกชาวยิวมา  เพื่อเป็นคนรักษากฎ ระเบียบของพระเจ้า เพื่อเป็นแบบอย่างของความชอบธรรม ที่มาโดยอับราฮัม  … อับราฮัม คนยิวเขาถือว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ แล้วพระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อ ไม่ใช่การประพฤติ

ตั้งแต่สมัยอดีต พระคัมภีร์เดิมก็บอกเราชัดเจนเลยว่าที่อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการประพฤติ แต่เกี่ยวกับความเชื่อ เมื่อพระเจ้าสั่งอับราฮัมทำอะไร อับราฮัมทำทันที คือเชื่อก่อน แล้วก็ทำ ทำไมเรารู้ว่าเชื่อก่อนถึงทำ  เพราะตอนที่พระเจ้าเรียกอับราฮัม พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าจะประทานบุตรคนหนึ่ง ตามพระสัญญา ที่จะเป็นต้นพันธุ์ ให้เผ่าพันธุ์ของอับราฮัมกระจายไปทั่วโลกเลย ตอนนั้น อับราฮัมอายุ 75 คนสมัยก่อนอายุยืนเนอะ อับราฮัมก็เชื่อเลย แต่ในระหว่างที่เชื่อ ตามธรรมชาติของมนุษย์ เชื่อ มันไม่เกี่ยวกับการประพฤติ ถ้าพี่น้องแยกให้ชัดเจน  ความเชื่อไม่เกี่ยวกับการประพฤติ อับราฮัมเชื่อๆ จนถึงวันหนึ่ง เมื่อผ่านไปประมาณ 10 ปี นางซาราห์ก็ยังไม่มีลูกเลย ยังไม่ตั้งท้องด้วยซ้ำไป นางซาราห์ก็เลยไปช่วยพระเจ้า ยกคนใช้ นางฮาการ์ มาให้อับราฮัม แล้วก็คลอดลูกคนหนึ่ง ชื่ออิชมาเอล แต่พระเจ้าก็ยังไม่ถือว่าเชื้อสายของอิชมาเอลเป็นลูกแห่งพันธสัญญา เพราะพระเจ้าบอกว่าลูกแห่งพันธสัญญาจะมาทางสายนางซาราห์เท่านั้น

ฉะนั้น ด้วยความเป็นมนุษย์ ก็ทำผิดพลาดไปใช่ไหม? แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ถือว่าความผิดพลาดตรงนี้ ทำให้อับราฮัมสูญเสียความชอบธรรม  เห็นไหม? อับราฮัมไม่ได้สูญเสียความชอบธรรม พระเจ้าก็ยังรักเขาอยู่ เพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้น เขาเชื่อ แม้พฤติกรรม การประพฤติอาจจะออกนอกลู่นอกทาง จากที่พระเจ้าบอก ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับความเชื่อของเขา

พอหลังจากที่อับราฮัมรอคอย ต่อมาอีก 10 กว่าปี ตอนอับราฮัมอายุ 99 ปี พระเจ้ามาเจอเขาอีก  แล้วก็บอกกับเขาว่าวันนี้ ปีหน้า นางซาราห์จะคลอดบุตร  ฉะนั้น บุตรตรงนี้ ที่พระเจ้าบอก  ก็คือบุตรแห่งพันธสัญญา ที่พระเจ้าบอกบุตรคนนี้แหละ จะเป็นต้นพันธุ์ที่พระเจ้าจะอวยพร พอพระเจ้ามาสัญญาปุ๊บ พระเจ้าก็ตั้งชื่อให้เลยว่า “อิสอัค” ลูกยังไม่ทันคลอดออกมาเลย พระเจ้าตั้งชื่อแล้ว อับราฮัมก็ยังเชื่อ คือแม้จะรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ แต่เขาก็ยังเชื่ออยู่ดี แล้วนางซาราห์ก็ตั้งครรภ์จริงๆ คลอดบุตร

หลังจากคลอดบุตร บุตรได้โตประมาณหนึ่ง  พระเจ้าก็สั่งอีก ให้อับราฮัมเอาบุตรไปถวายให้พระเจ้า การถวายบุตรในยุคของอับราฮัม  คือไปฆ่าให้ตายเลยนะ  เหมือนถวายเครื่องบูชา  อับราฮัมก็เชื่ออีก นี่แหละ ความเชื่อ ทำให้อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม เชื่อแบบไม่มีการต่อล้อต่อเถียง ความเชื่อ คือเชื่อจริงๆ ไม่ว่าพระเจ้าสั่งอะไร เราเชื่อตามนั้น แม้เราจะไม่เข้าใจเหตุผลของพระเจ้าว่าเพื่ออะไร? เพราะอะไร? พระเจ้าอุตส่าห์ให้มา ฉันรอตั้ง 25 ปี ทำไมพระเจ้าถึงทำอย่างนี้ ไม่มี

อับราฮัมก็ยังคงเชื่อเหมือนเดิม พาอิสอัคไปถวาย นั่นแหละ ความเชื่อตรงนี้ พระเจ้าถือว่าเป็นความชอบธรรมของอับราฮัม หลังจากเชื่อ อับราฮัมก็พาอิสอัคไปถวาย เห็นไหม? ความเชื่อมาก่อนการประพฤติ

ฉะนั้น ความเชื่อเท่านั้นที่พระเจ้าถือว่าเป็นความชอบธรรม พอถึงยุคปัจจุบันของเรา  พระเจ้าก็ดูที่ความเชื่อ พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราย้ายจากเผ่าพันธุ์เดิม เผ่าพันธุ์ของอาดัม คือความบาป อยู่ในความสาปแช่ง ตายกับตาย ตายแรก คือวิญญาณตาย ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้  ตายที่สอง คือร่างกาย กำลังรอวันตายไปสู่ดิน นั่นคืออันเดิมของเรา ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แล้วไม่มีตัวเลือกด้วยนะ พอเราโตๆ จนถึงพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ พระเยซูบอกว่ามีทางเลือกใหม่ คือใครที่เห็นว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คืออยู่ในความตายกับตาย แต่อยากได้ชีวิต ให้ตัดสินใจ ย้ายจากต้นไม้แห่งความตาย ต้นไม้แห่งความสาปแช่ง ต้นไม้แห่งความมืด ความบาปของอาดัม ย้ายมาอยู่ที่ต้นไม้ใหม่ คือต้นไม้แห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์  ดังนั้น ใครที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐตรงนี้ แล้วตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็ถูกย้ายมา แล้วการย้ายตรงนี้ ไม่ใช่การกระทำของเรา พอเราตัดสินใจปุ๊บ พระเจ้าเป็นคนย้าย พระเจ้าก็เริ่มขบวนการการย้าย โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่นำเราฝังเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไปบัพติศมาด้วยกัน ไปตรึงด้วยกัน  ฝังด้วยกัน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ด้วยกัน พอผ่านการย้ายปุ๊บ วิญญาณเราตอนนี้  ไม่ได้เป็นวิญญาณเก่าแล้วนะ  ไม่ได้เป็นวิญญาณแห่งความตาย วิญญาณแห่งความตาย เราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ คือวิญญาณแห่งชีวิต วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด วิญญาณที่ไม่มีบาปเลย

พอไม่มีบาปปุ๊บ เราก็ไม่ต้องสารภาพบาป ใช่ไหม? เราไม่มีบาป แล้วเราจะไปเอาบาปที่ไหนมาสารภาพล่ะ ก็ไม่ต้อง ฉะนั้น มีการสารภาพบาป เฉพาะคนที่อยู่ในความตาย อยู่ในบาป แล้วสารภาพครั้งเดียวด้วย เมื่อวันที่เขาตัดสินใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือสารภาพว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราอยากขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า สารภาพครั้งนั้น ครั้งเดียว แล้วพระองค์สัตย์ซื่อ พระองค์ชำระเราเลย ให้พ้นจากบาปทั้งสิ้น

“บาปทั้งสิ้น” ตรงนี้หมายถึงบาปทั้งในอดีต ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า และบาปปัจจุบัน  วันที่เรามาเชื่อพระเจ้า และยังเป็นบาปในอนาคต หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราคงจะทำบาปอยู่ ดังนั้น พระเยซูบอกว่าชำระหมดสิ้น ก็คือหมดเลย ไม่ต้องมานั่งสารภาพบาปอีก สำหรับผู้เชื่อ ฉะนั้น พอเราพูดอย่างนี้ปุ๊บ หลายคนก็ ได้อย่างไร? แต่ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น มันเป็นความจริง เรามีวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีบาป พอไม่มีบาป  เราทำบาปไม่เป็น ใช่ไหม? วิญญาณเดิมเราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ เราทำบาปไม่เป็น แต่ทำไมคริสเตียนยังทำบาป เราคุยกันเรื่องนี้ หลายคนไม่เข้าใจ เราต้องอธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาใจ ฝ่ายวิญญาณ ให้สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ พอเราเข้าใจเรื่องนี้ปุ๊บ เราเป็นอิสระเลย ความจริงจะทำให้เราเป็นไทเลย เหตุที่คริสเตียนยังคงทำบาปอยู่ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายเดิม ที่กำลังเดินทางไปสู่ความตาย แล้วโปรแกรมเดิม ที่เป็นโปรแกรมบาป ที่ยังฝังอยู่ในสมองของเรา มันยังคงอยู่  พอคงอยู่ปุ๊บ มันก็มีโอกาสที่อิทธิพลของโลกใบนี้ ของบาป ของผีมารซาตาน ส่งจากข้างนอกเข้ามาชักชวน หว่านล้อมด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เรามีสิทธิ์ เราผู้เชื่อ ตอนนี้เรามีสิทธิ์ในการเลือกที่จะเชื่อมัน คือถูกการหว่านล้อมจนใจแตก แล้วก็ไปทำตามมัน ก็เรียกว่าล้มลงในความบาป ใช่ไหม? คริสเตียนล้มลงในความบาป

แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไร? เชื่อมัน ล้มลงในความบาป ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับความรอดของเรา เพราะวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ พฤติกรรม หรือการกระทำ ไม่สามารถส่งผล ทำให้ผู้เชื่อ ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพิพากษาอีกต่อไป ไม่สามารถ เพราะขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้เชื่อแล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย วิญญาณใหม่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พอถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วันสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จะมีการพิพากษา ฉะนั้นการพิพากษาตรงนี้ มีไว้สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ไม่ยอมหันจากความบาป หรือต้นไม้เดิม ต้นไม้ของอาดัม ยังคงพึ่งความสามารถ พฤติกรรม การกระทำของตัวเอง เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ซึ่งรู้อยู่แล้วว่ามันสร้างอย่างไร? ก็ไม่ได้ ก็คือต่อให้ทำขนาดไหน? วิญญาณเขาก็ยังอยู่ในความบาปและความตาย ฉะนั้น เมื่อวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเขาไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าวิญญาณของผู้ตาย  แต่เราผู้เชื่อ เราไม่ตาย เราผู้เชื่อ เรามีวิญญาณใหม่ วิญญาณนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ดังนั้น ในพระคัมภีร์จะไม่ใช้คำว่า “ตาย” กับผู้เชื่อ พระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ล่วงหลับ” เราหลังจากโลกนี้ ทิ้งร่างกายนี้ ถ้าเป็นชาวบ้าน เขาก็เรียกว่าตาย ร่างกายตาย วิญญาณไม่ตาย วิญญาณเราก็ไปอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่สวมร่างกายใหม่ อันนี้ชัดเจนมากเลย

ฉะนั้น คนที่ตาย ไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า คือคนที่ตายทั้งวิญญาณ ตายตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ และร่างกายก็เดินทางไปสู่ความตาย เมื่อทิ้งร่างกายนี้ ที่ต้องลงดิน วิญญาณก็ยังตายเหมือนเดิม แล้วก็ต้องไปยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า แล้วถึงวันนั้น ก็เรียกว่าตัดสินเด็ดขาด หมายความว่ามันจบแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ถูกตัดสินไปแล้วใช่ไหม? แต่พระเจ้าชะลอเวลา เพื่อเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ ได้กลับใจใหม่ คือ …

“ฉันเปิดโอกาสให้เธอนะ เธอสามารถเปลี่ยนขั้วได้ เธอสามารถที่จะย้ายจากต้นไม้แห่งความตาย มาสู่ต้นไม้แห่งชีวิตได้นะ”

แต่พอถึงวันสุดท้ายจริงๆ คนที่ยังคงไม่ยอมย้าย ยังคงอยู่ที่เดิม ยังคงพึ่งความชอบธรรมของตัวเอง พึ่งการประพฤติของตัวเอง วันนั้นแหละ ของจริง  คือการพิพากษาจริงๆ วิญญาณตาย ร่างกายตาย ไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า และนั่นแหละ พระเจ้าก็จะพิพากษาครั้งสุดท้าย วิญญาณของผู้คนเหล่านั้น ก็จะถูกทิ้งไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์กาล

นี่คือความจริงทั้งหมดในถ้อยคำของพระเจ้า ฉะนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเราผู้เชื่อ เราตายไปแล้ว เรายังต้องไปยืน ถูกพิพากษาอีกหรือ? ไม่มี ไม่สามารถไปยืนอยู่ได้ หรือไม่ต้องยืนด้วย เราไม่ได้ถูกพิพากษาเลย เพราะว่าวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์  หมดจดแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม เรามีวิญญาณใหม่ เรามีชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้แล้ว ไม่มีคำว่าพิพากษา สำหรับผู้เชื่อเลย อันนี้พี่น้องจำให้ดีๆ อย่าให้ใครมาพูดให้เราสั่นคลอน หรือหวั่นไหว พอทำอะไรไม่ถูกต้อง ตกลง …

“ถ้าฉันตาย ฉันยังต้องไปถูกพิพากษาไหม?” หรือว่า “ถ้าฉันตาย ความรอดจะหายไปไหม?”

พระเจ้าบอกเราชัดเจน ในถ้อยคำของพระองค์บอกว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า เราเป็นแกะของพระองค์ แกะของพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถแย่งชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้ แล้วเราก็จะดูแลแกะนั้น ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไปจนถึงโลกหน้า แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา เราไม่ทิ้งเขา เราอยู่กับเขาตลอดเวลา จนถึงในอนาคตข้างหน้า  ที่วิญญาณของคนเหล่านี้ผู้เชื่อ ออกจากร่าง เขาก็ไปอยู่ที่เดิม ก็คือที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เวลานี้ เรารับรู้ในโลกวิญญาณ แต่ถ้าถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความหวัง ที่จะรอร่างกายใหม่ ก็คือเราได้รับร่างกายใหม่ จากพระเจ้าเลย

นี่คือสิ่งที่เป็นความจริง ที่พระเยซูจะย้ำตลอด … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า …” แล้วถ้าใครรู้ความจริง  ความจริงจะทำให้ผู้นั้นเป็นไท ฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริง ถ้า คริสเตียนที่ไม่รู้ความจริง หรือรู้ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะถูกหลอกได้ แล้วชีวิตเราก็ไม่สามารถที่จะมีสันติสุขในพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ มันน่าเสียดาย ที่พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ทำไมเราต้องไปตะเกียกตะกายทำ เพื่อที่จะได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้า ตะเกียกตะกายทำ เพื่อว่าวันสุดท้าย เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราจะได้รับความรอด

พระเยซูบอก … “เธอรอดแล้ว รอดเลย เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”

ก็คือความจริง ฉะนั้น ขอพระคุณพระเจ้า ทรงเมตตาเรา ให้ความจริงนี้ ได้ถูกฝังรากลึกลงไปในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องความจริงนี้ ที่จะปลดปล่อยให้เขาเป็นไท

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 8:8-9  “8 บรรดาผู้ที่ธรรมชาติวิสัยบาปควบคุมอยู่ (ยังไม่ได้บังเกิดใหม่) ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ 9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน (บังเกิดใหม่แล้ว) ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ”

 

เชื่อพระเจ้า อย่าหลงไปเชื่อใคร  พระองค์ทรงห่วงใย  รักแท้และแน่จริง

คริสเตียนบังเกิดใหม่ ก็เป็นอิสระจากการควบคุมของอำนาจบาป

ไม่ใช่เป็นอิสระที่จะทำบาป ซึ่งตามธรรมชาติเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะบังเกิดใหม่  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว นอกจากถูกล่อลวงให้หลงเชื่อศัตรู

 

ในตอนเริ่มต้นการทรงสร้างของพระเจ้า โลกวัตถุเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-อยู่ตลอดไป (นิรันดร์)  เพราะเหตุมนุษย์หลงเชื่อคำหลอกลวงจากซาตาน  จึงดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า และผลคือความตาย กลายเป็นเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับศูนย์ไป ทุกสิ่งบนโลกนี้ที่เป็นวัตถุสิ่งของจับต้องมองเห็นได้ รวมทั้งร่างกายภายนอกนี้อยู่ในขบวนการมุ่งไปสู่การดับศูนย์ทั้งสิ้น

 

ส่วนฝ่ายวิญญาณ ผลของความบาปที่เกิดขึ้น กับวิญญาณมนุษย์ คือเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-อยู่ตลอดไป แต่ ตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตายจากธรรมชาติของพระเจ้าซึ่งเรียกว่าพระสิริ ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

 

ขบวนการชั่วร้ายทำลายล้าง มนุษยชาติและสิ่งที่ พระเจ้าทรงสร้างทั้งสิ้นนี้พระคัมภีร์เรียกขบวนการนี้ว่าคำสาปแช่ง (ถูกพิพากษาให้รับโทษ)

 

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ  โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา” เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”  กาลาเทีย 3:13

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1323

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  สิงหาคม  2021

เรื่อง “เรารอดโดยความเชื่อ ไม่ใช่การประพฤติ”

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาดูในหนังสือฟีลิปปี บทที่ 3 เป็นถ้อยคำอีกอันหนึ่งที่จะบ่งบอกถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ในการที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าเราอยู่ในสถานะแบบไหนอย่างไร? และเราควรจะใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างไร?  เพื่อเป็นอิสรภาพ เพื่อจะฉายแสงของพระองค์ออกไป และความหวังที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อว่าเราจะไม่ถูกหลอก ไม่ว่าจะด้วยคำสอน หรือคำพูด หรืออะไรก็ตามที่ฟังดูแล้วเหมือนกับมันน่าจะเป็นไปได้  เราน่าจะทำแบบนี้นะ เราถึงจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้อยคำของพระเจ้าบอกอะไรเราบ้าง?

ฟีลิปปี 3:1 “สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า! ไม่ลำบากสำหรับข้าพเจ้าเลย ที่จะเขียนเรื่องเดียวกันถึงท่านอีก ทั้งสิ่งนี้ยังเป็นการป้องกันท่านด้วย”

 

อาจารย์เปาโลเริ่มต้นบทที่ 3 ด้วยคำว่า “ให้พี่น้องชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วก็บอกพี่น้องชาวฟีลิปปีว่าไม่ได้ลำบากเลย ที่อาจารย์เปาโลจะเขียนจดหมายเรื่องเดิมๆ

ในจดหมายฝาก พี่น้องจะเห็นเป็นเรื่องเดิมๆ เลย ที่อาจารย์เปาโลเขียน อาจจะมีความแตกต่างในแง่มุมต่างๆ นิดหนึ่ง แต่เนื้อหาสำคัญที่อาจารย์เปาโลเขียน จะพุ่งไปที่ความรอดในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลย สำหรับท่าน ที่จะเขียนเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อจะได้ป้องกันเราไว้ จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยเล่ห์กลต่างๆ ตามลมปากของคนโน้นคนนี้ สอนเราว่าเราควรจะทำอย่างนั้น เราควรจะทำอย่างนี้ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว

ในพระคัมภีร์เรื่องที่พระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว คือความรอด โดยพระคุณ … ความรอด โดยพระคุณตรงนี้ เราเรียนรู้กันมาเยอะมากเลย ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเจ้า เราอาจจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าผ่านคนโน้นคนนี้ ที่บอกเราว่า …

“มาเชื่อพระเยซูสิ เชื่อแล้วเราจะได้รับเยอะแยะมากมาย เราไม่ต้องทำอะไร เราจะได้รับความรอด เราไม่ต้องตะเกียกตะกาย เราสามารถที่จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ หลังความตาย”

แต่ความเป็นจริง คือเมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเราเปิดใจ บอกกับพระเจ้าว่าเราเชื่อตามนั้นแหละ เรารับรู้ว่าเราเป็นคนบาป เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า พอเรามาบอกพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้บัพติศมาเรา เข้าส่วนในพระเยซูคริสต์

คำว่า “บัพติศมา” คือการเอาวิญญาณของเราเข้ามามีส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เราอยู่ในบาป อยู่ในที่เดิม ที่เราเกิดมาปุ๊บ เราเป็นคนบาปเลย  วิญญาณตรงนั้น เมื่อเราตัดสินใจบอกกับพระเจ้าว่าเราเป็นคนบาปนะ เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราอยากจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำเราบัพติศมา เข้าไปในพระเยซูคริสต์ และไปตายพร้อมกับพระองค์ ฝังพร้อมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราจะได้บังเกิดใหม่ พอเราบังเกิดใหม่ เราจะมีชีวิตเหมือนกับพระเยซูเป๊ะเลย  วิญญาณเราจะเป็นวิญญาณใหม่ ซึ่งตรงวิญญาณใหม่ตรงนี้ คือวิญญาณเก่าเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูแล้ว

ใหม่ๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ พระเยซูตายตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว  แล้วเราอยู่ในยุคปัจจุบัน เราจะไปตายพร้อมได้อย่างไร? เหตุผล ก็คือในโลกวิญญาณไม่มีเวลา อันนี้เรื่องจริงในโลกวิญญาณไม่มีเวลา พระเจ้าบอกพระองค์ทรงเป็นอัลฟาและโอเมก้า เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ไม่มีเวลา พอไม่มีเวลา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับปุ๊บ มันเดี๋ยวนี้ ทันที ที่เราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู

พอเราเป็นขึ้นใหม่พร้อมกับพระเยซูปุ๊บ เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย คือทันทีที่เราเชื่อ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เราได้เป็นผู้ชอบธรรม วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด วิญญาณเก่าที่เป็นบาป เราตายไปแล้ว  เรามีวิญญาณใหม่ เราได้เป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ คือ ณ เวลานี้ วิญญาณของผู้เชื่อทุกคน เป็นวิญญาณใหม่ และอยู่ที่สวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

เรามาดูในท้ายบทที่ 2 ของฟีลิปปี อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าความชอบธรรมสามารถมาโดยบทบัญญัติ หรือการประพฤติของมนุษย์แล้ว พระเยซูก็สิ้นพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์

ก็คือถ้ามนุษย์สามารถใช้การกระทำของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้ สิ่งที่พระเยซูคริสต์มาทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็มนุษย์ทำได้แล้ว แต่ความเป็นจริง คือไม่มีมนุษย์คนไหน บนโลกใบนี้ สามารถสร้างความชอบธรรม ด้วยการประพฤติของตัวเอง  ด้วยบทบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา แล้วมนุษย์พยายามที่จะดิ้นรน ตะเกียกตะกายทำ

บทบัญญัติเหล่านี้ ตั้งแต่เริ่มแรกที่พระเจ้าให้กับชาวยิว คือคนอิสราเอลเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรก ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เพื่อจะเป็นผลแรก ในการให้พระเยซูคริสต์มาเกิด ที่ชาวยิว คนอิสราเอล ฉะนั้น คนยิว เขาก็จะยึดถือบทบัญญัติ พยายามทำบัญญัติให้ดีที่สุด เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นประชากร ที่พระเจ้าเลือกสรรมา เขามีระดับที่สูงกว่าคนอื่นๆ ที่เป็นชนต่างชาติ ที่ไม่ใช่อิสราเอล แล้วเขาคิดว่าเขาเป็นกลุ่มชนที่พิเศษกว่าคนอื่น ภาคภูมิใจในความเป็นอิสราเอล  ความเป็นลูกของพระเจ้า  ความเป็นลูกของอับราฮัม  เรามีบทบัญญัติของพระเจ้า เรายึดถืออย่างหนักแน่นมั่นคง แล้วก็คิดว่ายังไงๆ เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์แน่นอน ความเป็นจริง คือมันไม่ใช่

ดังนั้น บทบัญญัติ พระเจ้าได้ตั้งไว้ เป็นเหมือนเงาในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วบัดนี้ พระเยซูคริสต์ก็มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว

ฉะนั้น เมื่อคนยิวได้รับรู้ความจริงตรงนี้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดได้มาแล้ว คนยิวทุกคนจำเป็นต้องกลับใจใหม่ เหมือนคนต่างชาติ เขาจำเป็นจะต้องไม่พึ่งพากำลัง ความสามารถ  หรือการประพฤติของเขาที่จะพยายามทำตามกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย เพื่อทำให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่พระเจ้าบอกว่าความชอบธรรมมาจากพระเจ้า เป็นความรอด โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ มีทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะสามารถรับความชอบธรรมนี้ หรือความรอด การเป็นลูกของพระเจ้า การเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ มีทางเดียว คือผ่านทางความเชื่อเท่านั้น

ตรงนี้ อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าไม่ได้เป็นเรื่องลำบาก สำหรับเราเลย เราจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้บ่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อว่าเราจะได้ป้องกันพวกท่าน ก็คือป้องกันผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ในอดีต คือในฟีลิปปีเท่านั้น การป้องกันมาถึงพวกเราด้วย  เพราะว่ามันเป็นความจริงไง  ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ทำให้เราเป็นอิสรภาพ

ดังนั้น ความจริงตรงนี้ คือวิญญาณเราสะอาดแล้ว เรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นความจริง เมื่อเราเป็นอิสระแล้ว เราก็จะไม่ตกเป็นทาสอีกต่อไป คือทาสที่เราต้องทำเอง  เชื่อแล้ว ยังต้องทำเองอีก ถ้าอย่างนั้น พระเยซูก็ไม่ต้องมาตายแทนเรา เราก็ยังคงต้องทำเองเหมือนเดิม ดังนั้น พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว เราได้รับความรอดแล้ว เราพึ่งในพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องทำเองเลย พระเจ้าทำให้เราเสร็จ ครบถ้วนสมบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างได้ถูกทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เรียบร้อยไปแล้ว  และเราผู้เชื่อ ก็ได้รับสิ่งนี้ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว

ฟีลิปปี 3:2 “จงระวังพวกสุนัข จงระวังพวกคนทำชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง”

 

ทำไมอาจารย์เปาโลบอกผู้คนในฟีลิปปีให้ระวัง? ทำไมต้องระวัง? จากอันดับแรก อาจารย์เปาโลพยายามเอาความจริงเข้าไป …

“ตอนนี้น๊า พวกเธอเชื่อแล้วน๊า พวกเธอรอดแล้วน๊า พวกเธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้วน๊า พวกเธอสะอาดบริสุทธิ์แล้วน๊า พระเยซูคริสต์ทำให้พวกเธอเรียบร้อยไปแล้วน๊า ตอนนี้พวกเธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้วน๊า แล้วเธอได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วน๊า ตอนนี้พระเยซูทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ไปเรียบร้อยแล้วน๊า พวกเธอไม่ต้องทำอะไรเลย เธอแค่เชื่อ เธอก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า เธอแค่เชื่อ เธอก็ได้ไปอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว”

อาจารย์เปาโลย้ำ เพื่อป้องกัน พอข้อที่ 2 บอกว่า “จงระวัง” แปลว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะมีคำสอนเยอะแยะมากมาย ที่พยายามเข้ามาบอกเราว่า …

“เชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอ  เธอยังต้องทำอย่างนี้ เธอยังต้องทำอย่างนั้น เพื่อว่าจะทำให้พระเยซูรักเธอมากขึ้น เธอจะได้รักษาความรอดตรงนี้ไปได้ เธอจะได้รักษาว่าหลังความตาย เธอจะไม่หลุดออกจากทางของพระเจ้า”

นั่นคือการล่อลวงทุกรูปแบบเลยที่ส่งเข้ามา

ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่า … “รอดแล้วรอดเลย เมื่อเธอเป็นลูกของพระเจ้า  เธอก็เป็นลูกของพระเจ้าเลย  เธอไม่ต้องกลัวว่าเธอจะถูกแยกไปจากมือของพระเจ้า”

ในพระธรรมยอห์นบอกว่า .. “ไม่มีใครสามารถแย่งแกะของพระเจ้า ไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้เลย”

แต่มีคนบอกว่า … “ถ้าเธอทำอย่างนี้ นิสัยไม่ดี เดี๋ยวเธอจะหลุดจากทางของพระเจ้า เดี๋ยวตายไป เธอไม่รอดหรอก”

อ้าว! กลายเป็นอย่างนั้นไป

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยต้องมาย้ำว่าอย่าไปเชื่อคนเหล่านี้ คือให้ระวังไว้ คนเหล่านี้ ในสมัยของอาจารย์เปาโลจะมีคริสเตียน 2 กลุ่ม คริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เป็นคนยิว  กับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เป็นคนต่างชาติ

พอคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าเป็นคนยิว บางครั้งเขาก็ยังผสมผเสเอากฎบัญญัติของโมเสสเดิมมาปฏิบัติอยู่ บางคนยังไปบอกคนต่างชาติว่า …

“เธอมาเชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอนะ เธอยังต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วย เพราะพวกฉัน พวกยิวเราทำพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเป็นประชากรของพระเจ้า  ฉะนั้น พวกเธอเป็นคนต่างชาติ มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอ  เธอยังต้องมาเข้าสุหนัตเหมือนพวกฉัน หรือเธอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอยังต้องมารักษากฎบัญญัติของโมเสส 1, 2, 3, 4 เธอยังต้องมารักษากฎวันสะบาโต 1, 2, 3, 4 กฎอะไรเยอะแยะมากมาย”

เชื่อแล้วนะ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปโดนหลอก เราเชื่อแล้ว เราไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ  แต่เราอยู่ใต้พระคุณ เมื่อเราอยู่ใต้พระคุณปุ๊บ กฎบัญญัติไม่มีผลอะไร สำหรับชีวิตของผู้เชื่อเลย ไม่มีผลอะไรเลย ฉะนั้น ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น แล้วเราพยายามไปทำตามกฎบัญญัติ ก็คือมาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ เราต้องอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้ารักเราถึงที่สุดแล้ว ที่สุดตรงไหน? ตรงที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน แค่นั้นจบแล้ว

พระเยซูคริสต์ไม่ได้เรียกร้องว่า … “เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอต้องมาอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ เธอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เธอต้องอธิษฐานเยอะๆ เธอเชื่อพระเจ้า เธอต้องมาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวพระเจ้าไม่เอาเธอ”

ไม่มีเลย พระเยซูบอกว่าเชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่ว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ ไม่อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ไม่อธิษฐาน  มาโบสถ์ ไม่มาโบสถ์ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเรา จากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เปลี่ยนไม่ได้ เราก็ยังคงเป็นลูกพระเจ้าอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าพอพูดอย่างนี้ จากนี้ต่อไป พี่น้องไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์แล้ว พี่น้องไม่ต้องอธิษฐานแล้ว พี่น้องไม่ต้องมาโบสถ์แล้ว แต่จริงๆ ณ ทุกวันนี้ ถูกบังคับโดยปริยาย อยากมา ก็มาไม่ได้อยู่ดี มาโบสถ์ไม่ได้  ก็ต้องออนไลน์  แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ตามที่คนบอกเราว่าถ้าไม่มาโบสถ์ เราจะไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า  ตอนนี้คริสเตียนทั้งโลกเลย ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าหรอก เพราะเรามาโบสถ์ไม่ได้ไง ใช่หรือไม่? ดังนั้น มันไม่เกี่ยวกัน

เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูบอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าไม่ได้ให้เราอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ แต่การอธิษฐานดีไหม? ดี เป็นสิ่งที่เราควรทำ เราทำ  เราทำ เพราะเราเห็นว่ามันเป็นสิ่งทีดี แต่เราไม่ได้ทำ เพราะว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าจะไม่รักเรา ไม่เกี่ยว

หรือการอ่านพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ดีไหม? ดี เราควรจะอ่าน มันเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา แต่ไม่ใช่ต้องอ่าน ถ้า “ต้อง” เธอไม่อ่าน พระเจ้าก็จะไม่รักเธอ ไม่เกี่ยวกัน

หรือการมาโบสถ์ เธอต้องมานะ ถ้าสมมติว่าไม่ได้เจอโควิดอย่างนี้ เธอต้องมา เกิดวันไหนเราติดขัด ขัดข้อง พ่อแม่เราป่วยหนัก เราต้องดูแลพ่อแม่ แล้วถูกสั่งว่าเธอต้องมา ถ้าเธอไม่มา พระเจ้าไม่รักเธอ แล้วยังไงล่ะ มันไม่ใช่ไง

ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกว่าอะไรที่ดี ให้เราทำ เพราะว่ามันสมควรทำ เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า  การมาโบสถ์เป็นสิ่งที่ดี เราสมควรทำ เราก็ทำ แต่ไม่ใช่เป็นกฎข้อบังคับว่าต้องมานะ ไม่มา พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอไม่ได้เป็นคริสเตียนที่ดี ไม่เกี่ยวกัน

หรือแม้แต่หลายๆ อย่าง ที่คนพยายามจะเอามาใส่ในชีวิตของคริสเตียน  ผู้เชื่อว่าต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำทุกอย่างเลย ฉะนั้น แม้แต่เรื่องต้องถวายทรัพย์ ถ้าไม่ถวายทรัพย์พระเจ้าไม่รักเธอ หรือเธอจะไม่ได้รับพระพร มันก็ไม่ใช่ ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าทุกคนจงให้ ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้เพราะเสียดาย หรือไม่ใช่ให้ เพราะว่าถูกบังคับ หรืออะไร? เรามีพระเจ้าแห่งการให้อยู่ในวิญญาณของเราแล้วตอนนี้ วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งการให้ วิญญาณแห่งความรัก วิญญาณแห่งความดีงาม ทั้งหมดที่พระเจ้าเป็น มันเป็นของเราอยู่แล้ว ฉะนั้น การถวายทรัพย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในวิญญาณของเรา ที่ให้ออกไป หรือแม้แต่ไม่ใช่การถวายทรัพย์ด้วยซ้ำไป การที่เราไปช่วยเหลือคนอื่น อธิษฐานเผื่อคนอื่น หรือแม้แต่เห็นคนยากจน แล้วเราช่วยเหลือจุนเจือเขา มันก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ทำตามธรรมชาติใหม่ของเราออกไป โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่า …

“ถ้าฉันทำดีกับคนนี้ ฉันจะได้รับกลับมา 100 เท่านะ หรือฉันถวายทรัพย์ ฉันจะต้องได้รับกลับมา 100 เท่า”

ไม่ใช่ ถ้าเราคิดอย่างนี้ มันไม่ใช่การทำ เพื่อถวายเกียรติ แด่พระเจ้า แต่เป็นการลงทุน พี่น้องนึกการลงทุนได้ไหม? เราไปลงทุนอะไรอย่างหนึ่ง เราวางเงินลงไปตรงนี้ ที่ทุกวันนี้ คนถูกหลอกเยอะแยะมากมาย  ไปเล่นหุ้น เล่นแชร์ อะไรต่างๆ เขาก็จะหลอกเรา ลงตรงนี้ แล้วอีกกี่วันเราจะได้กำไรเท่านี้ กี่เท่าตัว กำไรเยอะแยะมากมาย ที่คนถูกหลอก ทำลงไป เพราะว่าข้างในมีเป้าหมาย ก็คือเป็นการลงทุน เพราะเราเห็นผลประโยชน์ ที่จะตามมา ที่เขาบอกเรา ผลประโยชน์ใหม่ๆ อาจจะมี ไปๆ มาๆ ทั้งผลประโยชน์ ทั้งเงินต้นเราสูญหายไปเลย

ฉะนั้น พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ใช่ใช้วิธีนี้กับพระเจ้า วิธีนี้ ไม่สมควรที่เราจะทำกับพระเจ้าเลย เพราะว่าพระเจ้าให้ทุกอย่างกับเราแล้ว ให้เราทำทุกอย่าง เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะว่าข้างในเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้วไง พระเจ้าทำอย่างไร? เราก็อยากทำอย่างนั้น พระเจ้าเป็นความรัก เราก็อยากให้ความรักออกไป พระเจ้าเป็นการให้  เราก็อยากให้ออกไป ไม่ว่าเป็นการให้คำอธิษฐาน ให้เงินทอง ให้ทรัพย์สิ่งของ หรือให้คำหนุนใจ ให้อะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา  จากข้างในผลักดันออกมา แล้วเราก็ทำ โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญ สำหรับพวกเรา ที่ได้รับความรอดแล้ว ที่ควรจะทำ ไม่ใช่ต้องทำ

ฟีลิปปี 3:3 “เพราะว่าพวกเรา คือผู้เข้าสุหนัตแท้ เรารับใช้พระเจ้าด้วยพระวิญญาณของพระองค์ เราอวดอ้างพระเยซูคริสต์ และเราไม่มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย”

 

อาจารย์เปาโลย้ำนะ เราเป็นผู้เข้าสุหนัตแท้ คือเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้รวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาเนื้อหนังอีกต่อไป วิญญาณเราได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว พอเราได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ ณ เวลานี้ สิ่งที่เราจะอวดอ้าง คืออวดอ้างเรื่องของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราจะไม่อวดอ้างหรือเชื่อใจในเนื้อหนังของเรา หรือการกระทำของเรา อวดอ้างความดีงามของเราว่าเราไปทำอะไรมาเยอะแยะมากมาย วันนี้เราได้ทำอย่างนี้ เมื่อวานเราได้ทำอย่างนี้ ทำๆ จนเสร็จ อวดจนเสร็จ มีคนมาชม ยิ่งยืดใหญ่เลย มีคนมาชมว่า …

“เราทำอันนี้ สุดยอดเลย ไปประกาศ คนมาเชื่อเยอะแยะเลย สุดยอดเลย”

เราภาคภูมิใจ ความเย่อหยิ่งเริ่มตามมา เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรก็ตามที่เราทำ อยู่ในพื้นฐานที่ผิดปุ๊บ เราก็จะเฉไป ชีวิตของเราก็จะไขว้เขว ไม่ตรงตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น

ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วเท่านั้น ที่จะอวดอ้างพระเยซูคริสต์ เราไม่มีอะไรอวด เราอ่านจดหมายของอาจารย์เปาโล ไม่เคยคุยเรื่องอะไรเยอะแยะมากมาย  จริงๆ อาจารย์เปาโลทำหมายสำคัญ อัศจรรย์เยอะมากเลย แต่อาจารย์เปาโลแค่เล่าให้ฟัง แล้วจากนั้น จดหมายฝากต่างๆ อาจารย์เปาโลไม่ได้อวดอะไรเลย อวดแต่พระเยซูคริสต์เท่านั้น พูดแต่เรื่องของพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเยซูเป็นใคร? มาทำอะไรเพื่อเรา? แล้วตอนนี้เราเป็นใคร? เรามีตำแหน่งอะไร? ในพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้

ฟีลิปปี 3:4-7 “4 แม้ข้าพเจ้ามีเหตุผลหลายประการที่มั่นใจเช่นนั้น ถ้าคนใดคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะมั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่า คือ 5 ข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นคนอิสราเอลตระกูลเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูแท้ ในด้านบทบัญญัติข้าพเจ้าเป็นฟาริสี 6 ในด้านความเคร่งศาสนา    ข้าพเจ้าเคยข่มเหงคริสตจักร  ในด้านความชอบธรรมตามบทบัญญัติ  ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติ 7 แต่สิ่งใดๆ ที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าถือว่าขาดทุน  เพื่อเห็นแก่พระคริสต์”

 

ตรงนี้แหละ อาจารย์เปาโลบอกว่าจริงๆ ถ้าพวกเธออวดอ้างว่าเธอทำอะไรเยอะแยะมากมาย รักพระเจ้ามาก ทำตามกฎบัญญัติ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าจะอวด ฉันมีเรื่องอวดเยอะกว่านั้นอีก เรื่องอวดของอาจารย์เปาโล คืออะไร? ไล่มาเลยว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ 8 วันก็เข้าสุหนัต

คืออาจารย์เปาโลเป็นคนยิวแท้ สมัยก่อน พระเจ้าตั้งกฎบอกว่าเด็กผู้ชาย เมื่ออายุได้ 8 วัน ต้องมาที่พระวิหาร แล้วก็ทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าเราเป็นของพระเจ้า เสร็จ อาจารย์เปาโลบอกว่าเห็นไหม? 8 วัน ฉันก็เข้าสุหนัตแล้ว แล้วฉันก็เป็นคนอิสราเอลแท้ อยู่ในตระกูลของเบนยามินอีก เห็นไหม? มีชาติตระกูลด้วยนะ แล้วฉันก็เป็นชาวฮีบรูแท้อีก ไม่ใช่เทียมๆ มาหลอกเล่น แต่โดยชาติกำเนิด อาจารย์เปาโลเป็นแบบนั้นด้วย ในด้านบทบัญญัติ ฉันเป็นพวกฟาริสี คือพวกที่รู้บทบัญญัติเยอะมาก ไม่ใช่รู้อย่างเดียว เคร่งครัดตามบทบัญญัติ แทบจะเอาไม้บรรทัดมาวัดเลยว่าต้องเป๊ะๆ อาจารย์เปาโลก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แล้วในด้านความเคร่งศาสนา ข้าพเจ้าก็เคยข่มเหงคริสตจักร

ก่อนที่อาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลคิดว่าตัวเองรักพระเจ้ามาก ที่ต้องขอทหารไปไล่ล่าคริสเตียน เพราะว่าเขารักพระเจ้า เขาทำเพื่อพระเจ้า คนกลุ่มนี้ เป็นใคร? อยู่ดีๆ คนที่ชื่อเยซู มาประกาศความเชื่อใหม่ให้กับเรา เราเชื่อมาตั้งนานแล้ว บทบัญญัติของโมเสส เราทำกันแทบจะเป็นจะตาย เพื่อรักษากฎบัญญัติเหล่านี้ไว้ แต่พอคนหนึ่ง ชื่อเยซู มาถึงบอกว่า …

“กฎบัญญัติทั้งหมดไม่ต้องทำแล้ว มาเชื่อฉัน ได้รับความรอดเลย”

อาจารย์เปาโลก็รับไม่ได้ เหมือนกับพวกฟาริสีอื่นๆ ที่รับไม่ได้เหมือนกัน อาจารย์เปาโลถึงขนาดว่าขอทหารไป เพื่อไล่ล่าฆ่าผู้เชื่อ แล้วก่อนที่ขอทหาร ก็ไปทำร้ายผู้เชื่อเยอะแยะมากมาย  ที่ไหนที่มีการรวมกลุ่มของผู้เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ อาจารย์เปาโลจะไปรังครวญหมดเลย ที่อาจารย์เปาโลคิดว่าที่ทำไป ก็เพื่อพระเจ้า ไปข่มเหงคริสเตียน ก็เพื่อพระเจ้า รักษากฎบัญญัติ ก็เพื่อพระเจ้า อดอาหาร ก็เพื่อพระเจ้า ตอนที่อาจารย์เปาโลเอาทหารไปไล่ล่าผู้เชื่อ ระหว่างเดินทางไปดามัสกัสเจอพระเยซู พออาจารย์เปาโลเจอพระเยซูปุ๊บ ตาใจฝ่ายวิญญาณถูกเปิดออก รับรู้ว่าที่เราทำมา มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันสูญค่า สิ่งที่เราคิดว่าเราทำเพื่อพระเจ้า แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เลย มันไม่มีประโยชน์ มันเหมือนขยะที่อวดอ้างว่า …

“ฉันดีมากเลย ฉันเป็นคนรักษากฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย ฉันทำโน่น ทำนี่ เพื่อพระเจ้า”

ก็คือมันจบเลย  สำหรับอาจารย์เปาโล เมื่อก่อนคิดว่าได้กำไร แต่ตอนนี้ขาดทุนย่อยยับเลย สิ่งที่ทำทั้งหมด มันสูญเปล่า  เพราะว่าไม่ได้เป็นความเป็นจริงที่เขาได้รู้จักกับพระเจ้าจริงๆ พอถึงข้อที่ 8 …

ฟีลิปปี 3:8 “ยิ่งกว่านั้นอีก  ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไร้ค่า  เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ล้ำเลิศ  ในการที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อพระองค์ข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่งข้าพเจ้าถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเศษขยะ  เพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์”

 

คือเมื่อก่อนอาจารย์เปาโลพึ่งในการกระทำดีของตัวเอง  โอ้อวดในความดีทั้งหมดเลย คิดว่า …

“ฉันดีนะ ฉันเป็นฟาริสี ฉันรักพระเจ้ามากๆ ขนาดฉันไม่ยอมเลยนะ คนที่ชื่อเยซูมาลบหลู่นามของพระเจ้าที่ฉันรัก ที่ฉันนับถือ มาทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

ก็พยายามต่อต้านทุกรูปแบบเลย ซึ่งคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ ณ เวลานี้ เมื่อเจอพระเจ้า อาจารย์เปาโลเลิกเลย เลิกโอ้อวด ผลงานของตัวเอง  เพราะสิ่งที่ทำมาทั้งหมด  ก็เป็นเศษขยะ เพื่ออาจารย์เปาโลจะได้อยู่ในพระคริสต์ เมื่ออาจารย์เปาโลได้พระคริสต์ปุ๊บ อย่างอื่น มันไม่มีค่าสำหรับอาจารย์เปาโลเลย เหมือนเราทุกวันนี้ เราได้พระคริสต์ อะไรก็ตามที่ดูเหมือนดี เราไม่ได้เอามาใส่ใจเลย ถ้าเรายังคงใส่ใจว่าวันนี้เราทำอย่างนี้ เราดี เราวิเศษกว่าคนอื่น ก็แปลว่าเราพยายามพึ่งพากำลังของตัวเราเอง  ไม่ได้พึ่งพากำลังของพระเจ้าเลย

ฟีลิปปี 3:9 “และอยู่ในพระองค์ ตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชอบธรรมที่ได้มา  โดยบทบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมที่ได้มา โดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า  และได้มาโดยความเชื่อ”

 

อันนี้ชัดเจนเลยนะ สิ่งที่อาจารย์เปาโลทำมาทั้งหมดไม่ใช่เป็นความชอบธรรม และไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนชอบธรรมได้ด้วย ตอนนี้ความจริงได้ปรากฏ อาจารย์เปาโลได้รับรู้แล้วว่าความชอบธรรม มาได้ทางเดียว  คือทางความเชื่อผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกพวกเรา แล้วพวกเราก็เหมือนกัน เราจำเป็นจะต้องรับรู้ตรงนี้ ไม่มีความชอบธรรม โดยผ่านการกระทำของเราแม้แต่นิดเดียว  เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ไม่ว่าเราทำอะไรทั้งหมด ก็คือเกิดจากข้างใน ที่พระเจ้านำเราไปทำ ทำเสร็จ เราขอบคุณพระเจ้า จบ ไม่ได้เป็นความดีงามอะไรของเราเลย มันเป็นเรื่องของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะใช้เราทำงาน ฉะนั้น ความชอบธรรมต่างๆ การอวดอ้าง การกระทำของเราที่อยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันไม่ได้อยู่ในสมองของอาจารย์เปาโล ณ เวลานี้ แล้วมันก็ไม่ควรอยู่ในสมองของพวกเราด้วย เพราะเรารู้ว่าทุกอย่างพระเจ้าทำให้เราเสร็จเรียบร้อยแล้ว หน้าที่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือทำชีวิตของเราให้สำแดงพระเยซูคริสต์ให้กับผู้คนได้รับรู้ จากข้างในออกมาข้างนอก

ฟีลิปปี 3:10 “ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระคริสต์  และมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์  และร่วมสามัคคีธรรมในการทนทุกข์ของพระองค์   เป็นเหมือนพระองค์ในการสิ้นพระชนม์”

 

ตรงนี้จริงๆ อาจารย์เปาโลรู้จักพระเยซูคริสต์แล้วล่ะ เหมือนกับพวกเรา เราทุกคนก็รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ที่อาจารย์เปาโลพูด ก็คือรู้จักแล้ว เราก็อยากจะรู้จักเพิ่มขึ้น อยากจะรับรู้เรื่องราวของพระองค์มากขึ้น เหมือนกับที่ว่าพอเรารู้จักกับพระเจ้าให้เราจดจ่อ จดจำในถ้อยคำของพระเจ้า สิ่งที่พระเยซูบอกเราว่าเป็นอย่างไร? เราได้รับอะไรไปแล้ว? โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เราได้รับอะไรไปแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เราไม่ต้องไปกลัวว่าพอทำอะไรพลาด เราต้องไปตกนรกอีก ไม่มีแล้ว เพราะพระเจ้าบอกว่านี่คือความจริง

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอยากจะรู้จักมากขึ้น มีความรู้เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในแต่ละวันกับพระเจ้าให้เพิ่มขึ้น ประสบการณ์ในเรื่องของการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน แต่ในขณะเดียวกัน ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะต้องร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ในการทนทุกข์ด้วย เราต้องทนทุกข์ร่วมกับพระเยซู เป็นการทนทุกข์จริงๆ เราดูภาพนะ พระเยซูบอกว่าโลกนี้ จะข่มเหงเรา คือข่มเหงพระเยซู โลกกับพระเยซูคริสต์เป็นคนละฝั่งกัน พระเจ้ากับมารเป็นศัตรูกัน ความสว่างกับความมืดเป็นศัตรูกัน อยู่คนละฝ่าย ความดีกับความชั่วอยู่กันคนละฝ่าย ฉะนั้น เมื่อก่อนเราอยู่ในความชั่ว เราก็เป็นพวกเดียวกัน เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร? แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้อยู่คนละพวกแล้วนะ พวกมารที่ข่มเหงผู้เชื่อ คืออยู่คนละพวก เมื่อเขาข่มเหงพระเยซู เขาก็จะข่มเหงเราด้วย

เมื่อเรารับสิ่งดีจากพระเจ้า ทางโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ในร่างกายนี้ เราก็อยากจะมีประสบการณ์ในการทนทุกข์ ร่วมกับพระองค์ด้วย บางคนอาจจะถูกต่อต้านอย่างหนัก แต่บางคนอาจจะไม่ถูกต่อต้าน แต่ว่าชีวิตในการดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ มันก็จะเผชิญกับอะไรมากมาย ที่เราจำเป็นจะต้องทนทุกข์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นั่นคือประสบการณ์ในชีวิตของเรา ในโลกใบนี้

ฟีลิปปี 3:11 “เพื่อจะได้เป็นขึ้นจากตาย  โดยทางใดทางหนึ่ง”

 

ก็คือเมื่อพระเยซูทนทุกข์ เราทุกข์ด้วย ทำไมเราทุกข์ เพราะว่าพระเยซูอยู่ในเรา เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน คนเขาต่อต้านพระเยซู เขาก็ต่อต้านเราด้วย คนเขาอยากจะข่มเหงพระเยซู เขาก็จะข่มเหงเราด้วย แล้วถ้าพระเยซูได้ดี เราก็ได้ดีกับพระเยซูด้วย ตอนนี้ ในโลกวิญญาณ เราได้ดีกับพระเยซูเลย คือทุกอย่างพระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ เราก็ทนทุกข์ มีประสบการณ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย

ฟีลิปปี 3:12 “ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้ว หรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ารุดหน้าไป  เพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้สำหรับข้าพเจ้า  เมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของพระองค์”

 

วันที่พระเยซูคริสต์ได้ฉวยเราเป็นของพระองค์ ก็คือวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า แต่ในขณะที่ร่างกายยังเป็นร่างกายเก่า ที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ถ้ามีใครบอกว่า …

“ฉันมาเชื่อพระเจ้า ฉันดีเลิศประเสริฐศรี ฉันเป็นคนดี ไม่เคยทำผิดอะไรเลย” … อย่างนั้น โกหก มันไม่ใช่

ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเดิม นิสัย หรือความประพฤติต่างๆ ก็ยังไม่ดีพร้อม พอเป็นคริสเตียน เราค่อยๆ พัฒนาบุคลิกลักษณะของเรา ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น เป็นการพัฒนา ไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหน? หรือทำสิ่งที่ออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้าขนาดไหน? เราก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าความประพฤติไม่เกี่ยวกับการเป็นลูกของพระเจ้า ดังนั้น ความเชื่อกับความประพฤติต้องแยกกัน

คริสเตียนที่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันไม่มีผลกระทบกับวิญญาณของเราเลย ไม่มีผลกระทบเลยนะ อย่าให้ใครหลอกเราว่าเราทำไม่ดีปุ๊บ พระเจ้าจะตัดเราทิ้งจากกองมรดกของพระองค์ ไม่มี พระเจ้าบอกเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเจ้า เข้าแล้วเข้าเลย เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย ก็คือไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นบุตรของพระเจ้า หรือผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ของเราได้อีกเลย ไม่มีทาง

โลกใบนี้เปรียบง่ายๆ เลย ถ้าเราเป็นลูกของพ่อแม่ ต่อให้เราทำดีหรือไม่ดี ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะเราจากการเป็นลูกของพ่อแม่ได้เลย ถ้าเราทำดี พ่อแม่ชื่นใจ ถ้าเราทำไม่ดี พ่อแม่เสียใจ เพราะว่าพอเราทำไม่ดีเราก็จะกินผลของมัน พ่อแม่ก็จะเสียใจ แต่ไม่ว่าจะชื่นใจหรือเสียใจ เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่เราอยู่ดี คริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้า ลักษณะเดียวกัน เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ต่อให้พฤติกรรมเราเป็นอย่างไร? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเรา จากการเป็นลูกของพระเจ้าวิ่งกลับไปเป็นลูกของมาร มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด เราอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า …

“เธอทำอย่างนี้ เธอตกนรกแน่ๆ”

อย่าเด็ดขาด ฉะนั้น ไม่ว่าพฤติกรรมของอาจารย์เปาโลจะเป็นอย่างไรก็ตาม อาจารย์เปาโลไม่สนใจ ทำดี คนชมก็เฉยๆ ทำไม่ดี ก็เฉยๆ ถ้าเราเอาตามตรง ในพระเยซูคริสต์ การกระทำมันไม่สำคัญเลย คนอาจจะคิดว่าเชื่ออย่างนี้ คนที่เป็นคริสเตียน ก็ไปทำบาปได้ตามสบายสิ แต่ว่าความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราไม่อยากทำบาปหรอก จะว่ากันตามตรง คือเราทำบาปไม่เป็น เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปเราตายไปแล้ว แต่เนื้อหนังที่อยู่บนโลกใบนี้ อาจจะสามารถถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกใบนี้ ที่ส่งผ่านเข้ามา ทางความคิดของเรา แล้วก็ทำให้เราคล้อยตาม ที่จะไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก แต่ว่าเราก็จะทำน้อยลงแหละ พี่น้องสังเกตตัวเองนะ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า รับรู้ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? เราก็จะเลียนแบบเหมือนพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าไง ลูกคนก็เป็นเหมือนคน ลูกพระเจ้าก็เป็นเหมือนพระเจ้า มันก็จบตรงนี้ มันจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่สมบูรณ์แบบแน่นอน จนกว่าวันหนึ่ง เราทิ้งร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่จะต้องตาย อย่างไรก็ต้องตาย แล้วเราไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้า ณ วันนั้นแหละ เราไม่ต้องมานั่งพะวงว่าวันนี้เราจะพลาดไหม? หรือพรุ่งนี้เราจะพลาดไหม?  ตอนนั้นไม่มีแล้ว ไปอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าครบถ้วนบริบูรณ์ ได้รับร่างกายใหม่ ไม่ต้องลุ้นแล้ว  ก็คือได้เลย แต่ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องลุ้นอยู่ในแต่ละวัน

ดังนั้น ในถ้อยคำของพระเจ้าจึงบอกเราว่าให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ให้เรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า ลักษณะ คุณภาพชีวิต หรือธรรมชาติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ให้เราสำแดงธรรมชาตินั้นออกไป ธรรมชาติของพระเจ้า พระองค์เป็นความรัก สำแดงความรักออกไป พระองค์เป็นความบริสุทธิ์ สำแดงความบริสุทธิ์ออกไป พระองค์เป็นความชื่นชมยินดี  สำแดงความชื่นชมยินดีออกไป แต่คำว่า “สำแดง” ไม่ใช่เราต้องไปบีบตัวเองให้ทำ ไม่ต้อง ทำตัวสบายๆ พระเจ้าจะเป็นคนทำเอง อย่างที่บอก เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ ต้นไม้ไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรเลย เขาอยู่เฉยๆ แต่คนที่ปลูกจะคอยดูแล รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย เก็บพวกวัชพืช หนอน แมลงต่างๆ ที่จะมากิน พอถึงฤดูกาลของมัน ต้นไม้มันก็งอกออกมาให้เราเห็น เห็นดอก เห็นผล มันมีฤดูกาลของมัน มันจะออกมาโดยธรรมชาติ

ชีวิตคริสเตียนเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน เราต้องทำอย่างนี้นะ เพื่อสำแดงคุณลักษณะของพระเจ้า ไม่ต้อง อยู่เฉยๆ เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะให้สิ่งเหล่านี้สำแดงออกมาเป็นธรรมชาติ เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น รับรู้เรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น โตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับเด็ก เด็กตอนเล็กๆ ทำอะไรไม่เป็น กินนม พอโตขึ้นอีกหน่อย รู้จักกินอย่างอื่น พอโตอีกหน่อย มีฟัน รู้จักเคี้ยวของที่เคี้ยวได้ พอฟันแข็งแรง ตอนนี้กินเนื้อก็ได้ หรือโตขึ้นจากคลานเป็นตั้งไข่ จากตั้งไข่เป็นเดิน จากเดินเป็นวิ่ง แล้วโตขึ้น ความฉลาดมันจะมาเอง จากสิ่งที่เขาเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ สิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังคุณพ่อคุณแม่คุยกัน ความฉลาดมันจะมา แล้วเขาจะรู้ว่า …

“อย่างนี้นี่เอง เวลาเราจะกินข้าว ถือช้อน ถืออย่างไร?”

ใหม่ๆ เด็กถือช้อน ถือไม่เป็นนะ ถือแบบกำเอาไว้ แล้วเวลากิน ไม่ได้เข้าปาก บางทีไปที่จมูก ไปที่คาง แต่พอเริ่มโตขึ้น พ่อแม่ก็จะสอน …

“ถือช้อนอย่างนี้ เวลากิน เล็งดีๆ ตรงนี้คือปาก ก็ใส่เข้าไป”

แล้วเขาก็จะเรียนรู้ พัฒนา สามารถทำได้มากขึ้นๆ ลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เราไม่ต้องพยายาม ให้เราเรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? พอถึงเวลา ที่เราโตเต็มที่ พระเจ้าจะดันสิ่งที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้คนอื่นได้เห็น ได้รับรู้ว่านี่ลูกพระเจ้าจริงๆ นี่คือขบวนการที่อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ว่าพฤติกรรมเป็นอย่างไร? เรียกว่าทำดี คนมาชม ก็ไม่ได้ชื่นชมยินดีด้วย แบบฉันสุดยอดเลย ไม่ได้สนใจ สิ่งที่อาจารย์เปาโลสนใจ คือพุ่งไปข้างหน้า เพื่อที่จะรับอะไรบางอย่างที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขา

ฟีลิปปี 3:13 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านมา  และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า”

 

ไม่ว่าบนโลกใบนี้ เราทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปปักใจเยอะแยะมากมาย พุ่งไปข้างหน้า มองทะลุไปเลย สิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมสำหรับพวกเรา

ฟีลิปปี 3:14 “ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัย  เพื่อคว้ารางวัล  ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้ไปรับ”

 

คว้ารางวัล คนอาจจะถามว่า …

“อ้าว! ไหนว่าทุกสิ่งได้รับหมดแล้วไง ความรอด ก็ได้รับแล้ว การเป็นผู้ชอบธรรม ก็ได้รับแล้ว คนของพระเจ้าก็เป็นแล้ว แล้วยังจะไปหาอะไรอีก”

หรือบางคนอาจจะคิดว่ารางวัลที่พูดถึง ก็คือสิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ แล้วเราจะไปเก็บเกี่ยวรางวัลที่โลกหน้า มันไม่เกี่ยวกันเลย  สิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ เราก็จะเก็บเกี่ยวรางวัลบนโลกใบนี้ เพราะว่าบนโลกหน้า หลังความตาย พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดเรียบร้อย ทุกคนได้เท่ากัน ไม่มีใครได้ดีกว่าใคร? ไม่ว่าเราจะทำอะไรเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ก็ไม่มีผลอะไรกับโลกหน้า ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

แต่รางวัลที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้ คือร่างกายใหม่ ในโลกวิญญาณ ความรอด เราได้แล้วใช่ไหม? วิญญาณเราเกิดใหม่แล้วใช่ไหม? เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว แต่สิ่งที่เรายังไม่ได้ แต่เป็นรางวัลที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกหน้า หลังจากเราทิ้งร่างเก่านี้ ก็คือร่างกายที่จะต้องเปื่อยเน่าไป พอทิ้งร่างเก่านี้ปุ๊บ วิญญาณเราออกจากร่าง เราไปสวมร่างใหม่เลย เป็นร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องป่วย ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ทรมาน เป็นร่างกายที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่พวกเราผู้เชื่อทุกคนหวังไว้ หวังในสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ แต่ที่ตอนนี้บอกว่าหวัง เพราะว่าเรายังไม่ได้รับ เราต้องรอรับหลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วเราไปสวมร่างกายใหม่ ดังนั้น มันจะแยกเป็น 2 ส่วน

ฟีลิปปี 3:15 “พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว  ควรมีทัศนะเช่นนี้ และถ้าท่านคิดเห็นแตกต่างไปในบางประเด็น พระเจ้าจะทรงให้ท่านเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแจ่มแจ้งด้วย”

 

พอคนที่เป็นผู้ใหญ่ เราไม่ต้องมาพูดเรื่องความรอด การกลับใจใหม่ พูดเรื่องการสารภาพบาป ก็คือเรารู้หมดแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกว่าถ้าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว ไม่ต้องมาคุยเรื่องนี้ซ้ำอีกแล้ว แต่ที่อาจารย์เปาโลเอามาคุย เพราะว่ามันมีเหตุ เหตุที่มีคนถูกล่อลวงให้เฉไป ก็เลยต้องมาคุย

ฟีลิปปี 3:16 “ขอแต่เพียงให้เราดำเนินชีวิต  ให้สมกับสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว”

 

ก็คือเมื่อเราเชื่อวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สิ่งที่เราได้รับมาแล้ว คือเราเป็นใคร? เราเป็นความดีงาม เป็นความสว่าง เป็นสันติสุข เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม ก็คือเราได้รับมาแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้ ก็คือเมื่อเชื่อแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราเป็น แล้วเราเป็นตรงนี้ คือพระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว

ในพระคัมภีร์ตรงนี้ หลายคนอาจจะไม่เข้าใจถึงลักษณะการทำงานของพระเจ้า แต่ว่าเราสามารถทำได้ โดยความเชื่อ นึกออกไหม ตอนนี้ทุกอย่าง เราต้องใช้ความเชื่อหมดเลย อาจารย์เปาโลพูดไว้ใน 1 โครินธ์ 13:13 … “ดังนั้น ยังตั้งอยู่ 3 สิ่ง คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก” แล้วอาจารย์เปาโลก็จบท้ายลงที่ว่า … “ความรักใหญ่ที่สุด”

ความเชื่อ ณ เวลานี้ ที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  เรามองไม่เห็น เราจึงต้องใช้ความเชื่อเอา แต่วันหนึ่ง วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ถึงวันนั้น คริสเตียนไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราเห็นพระเจ้าชัดๆ แล้ว

อีกอันหนึ่ง คือความหวัง ความหวังตอนนี้ เราก็ยังต้องหวังอยู่ เพราะว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา ร่างกายใหม่ เรายังไม่ได้ พอเราไม่ได้ เราก็ยังหวังอยู่ วันหนึ่งเมื่อเราออกจากร่างนี้ไป เราก็ไปสวมร่างกายใหม่ ถึงตอนนั้น ไม่ต้องหวังอีกแล้ว ก็คือจบ

แต่เรื่องของความรัก มันจะคงอยู่กับเราทั้งบนโลกนี้ และโลกหน้าด้วย เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความรักของพระเจ้าเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราเป็นความรัก ฉะนั้น พอเราจากโลกนี้ไป ความรักตรงนี้ คือพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ก็อยู่กับเราด้วย ฉะนั้น ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าความรักใหญ่ที่สุด  ก็คืออย่างนี้แหละ คือไม่หายไปไหน? หลังความตาย ความรักก็ยังอยู่กับเรา

ฟีลิปปี 3:17 “พี่น้องทั้งหลาย  จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า  และเลียนแบบผู้ที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้”

 

เลียนแบบข้าพเจ้า ก็เพราะว่าข้าพเจ้าเลียนแบบพระคริสต์

สรุปจบ ก็คือให้เราทำตามแบบของพระคริสต์ แต่ว่าพระเยซูคริสต์เรามองไม่เห็น พอเรามองไม่เห็น เราก็ต้องดูจากผู้รับใช้ของพระเจ้า จากเปาโล หรือจากผู้รับใช้อื่นๆ ตอนที่ทำงานรับใช้พระเจ้าร่วมกับเปาโล ที่เห็นความเชื่อของเขา สิ่งที่เขากระทำออกมา ดังนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราเลียนแบบคนเหล่านั้น แล้วก็ดำเนินชีวิต ตามแบบอย่างที่คนเหล่านั้นทำ คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความเชื่อ อะไรก็แล้วแต่ ที่พระเจ้าบอกให้เราทำ

ฟีลิปปี 3:18-19 “18 เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ำเตือนท่าน  และบัดนี้  ก็เตือนอีกด้วยน้ำตาว่ามีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรูต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ 19 ปลายทางของพวกเขา  คือความพินาศ พระของเขา คือกระเพาะ เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก”

 

ในข้อที่ 18 กับ 19 อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงพี่น้องอีกหลายๆ คน ที่อาจารย์เปาโลไปประกาศแล้วว่าให้เขาหันใจตัวเอง จากการพึ่งพาตัวเอง  ให้มาพึ่งพระเจ้าดีกว่า คือพูดแล้ว ก็ยังไม่สนใจ พระคุณที่พระเจ้าให้ ก็ยังคงอยากจะพึ่งพาในตัวเอง  ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าเสียใจนะ เหมือนพี่น้องร่วมชาติ ก็อยากให้เขาได้รับความรอด แต่เขาไม่เอาพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่มาช่วยเขา เมื่อเขาไม่เอา ก็อยู่ที่เดิม … ที่เดิม ก็คือบึงไฟนรก  ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง เมื่อสิ้นสุดชีวิตของเขา เขาก็ต้องไปสู่ความตาย ความพินาศ นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดนะ ในตรงนี้

ฟีลิปปี 3:20 “แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์  และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์  คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า”

 

“แต่เรา” คือพูดถึงพี่น้องที่เชื่อ ตามเปาโลเชื่อตามอัครทูตในสมัยเดิมที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่พึ่งการกระทำของตัวเอง เราเป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคนของพระเจ้าแล้ว เราก็เฝ้ารอคอยพระเจ้าของเรา

ฟีลิปปี 3:21 “พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา  ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

ข้อ 21 อาจารย์เปาโลย้ำให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่าเมื่อถึงวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อย คือกายเนื้อของเรา ที่อยู่ในความสาปแช่ง เมื่อเราจากโลกนี้ไป วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะไปสวมกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วก็มาปรากฏกับสาวกของพระองค์ ก็คือสามารถจำกันได้ สามารถที่จะกินข้าวด้วยกันได้ พูดคุยกันได้ แล้วก็สามารถเดินทะลุประตูได้ ไม่ต้องเปิดประตู เดินทะลุได้ อันนั้นแหละ คือกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราผู้เชื่อ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราไปสวมกายตรงนั้น นั่นแหละ เราจะได้รับความรอด ครบถ้วนบริบูรณ์ คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราผู้เชื่อทุกคน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ได้รับตัวตนใหม่แล้ว แต่ยังคงทำบาปอยู่ เหตุ คือมาจากสิ่งที่เรียกว่า เนื้อหนัง

ที่ผ่านมา การแปลพระคัมภีร์ ในเรื่องเกี่ยวกับการทำบาปของคริสเตียน เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า “วิสัยบาป” หมายถึง “ธรรมชาติบาป” ซึ่งมีปรากฏอยู่เยอะเลย ในพระคัมภีร์ใหม่

ตัวอย่าง เช่น โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิต ตามธรรมชาติวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่ธรรมชาติวิสัยบาปต้องการ

พอใช้คำว่า “วิสัยบาป” ก็กลายเป็นความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่บอกว่า มี 2 ตัวอยู่ในเรา เป็น 2 ธรรมชาติวิสัย  อันหนึ่ง คือธรรมชาติเดิม (คือตัวดำ) ที่เป็นวิสัยบาป อีกอันหนึ่ง คือธรรมชาติใหม่ (คือ ตัวขาว) ที่เป็นเหมือนพระเจ้า

เวลาที่เราไปทำบาป ก็บอกว่า เป็นเพราะทำตามธรรมชาติเดิม ตอนไหนที่ทำดี ก็บอกว่าตอนนั้น ทำตามธรรมชาติใหม่

คิดตามนะครับ “ธรรมชาติ” ก็แปลว่าธรรมชาติ มีได้แค่ธรรมชาติเดียวเท่านั้น เหมือนตัวอย่าง ที่ผมพูดบ่อยๆ ว่าธรรมชาติของทาร์ซาน คือมนุษย์  ต่อให้ไปอยู่กับลิงนานแค่ไหน ใช้ชีวิตแบบลิง พูดภาษาลิง กินอาหารลิง  แต่ธรรมชาติหรือตัวตนที่แท้จริง ก็ยังคงเป็นมนุษย์ อยู่วันยังค่ำ

ฉันใด ก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของตัวตนที่แท้จริงของเรา จากธรรมชาติแห่งวิสัยบาป (หรือ Sinful Nature) มาเป็นธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า (หรือ Divine Nature)   และเมื่อพระเจ้า ได้เปลี่ยนธรรมชาติของเราแล้ว   ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว  ที่จะสามารถเปลี่ยนได้อีก

สรุปว่าคริสเตียนมีกี่ธรรมชาติ? … คำตอบ คือมีแค่ 1 ธรรมชาติเท่านั้น คือธรรมชาติของวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  ไม่มีอีกแล้ว ธรรมชาติวิสัยบาป

ถามว่าคริสเตียนที่มีแต่ธรรมชาติวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าเหมือนพระเจ้าแล้ว ยังทำบาปไหม?  คำตอบ  คือทำ แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติวิสัย

โรม 6:6 “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

คนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป คนเก่าของเรา ก็คือตัวตนเก่า ที่เป็นธรรมชาติวิสัยบาป ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว ถูกทำลายจนหมดสิ้นไปแล้ว เราได้เปลี่ยนธรรมชาติวิสัย มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

ธรรมชาติวิสัยของลูกพระเจ้า คือสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่เราทำบาป ก็แปลว่า เรากำลังฝืนธรรมชาติวิสัยของเรา เหมือนที่ทาร์ซาน ยังคงชินกับการทำตัวแบบลิง ก็คือการฝืนธรรมชาติ

ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า “เนื้อหนัง” มาจากรากศัพท์ ในภาษากรีก คำว่า “SARX” ที่แปลว่า “Fresh” หรือ “เนื้อหนัง”  ซึ่งมีความหมายต่างกับคำว่า “ธรรมชาติวิสัยบาป” (Sinful Nature)

คริสเตียนมีธรรมชาติวิสัยเดียว คือธรรมชาติวิสัยที่เหมือนพระเจ้า  แต่ยังคงทำบาปอยู่  เพราะยังมี SARX หรือ FRESH หรือเนื้อหนัง ซึ่ง SARX หรือ Flesh หรือเนื้อหนังนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของเรา  แต่เป็นปรสิต หรือกาฝาก ที่แอบซ่อนอยู่

ในโรม 8:5 ถ้าจะแปลให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ตามภาษาเดิม ก็จะเป็น “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งที่เนื้อหนังต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่ พระวิญญาณทรงประสงค์”

ถึงตรงนี้ เราสรุปได้แล้วนะครับว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณ มีธรรมชาติวิสัยที่เป็นเหมือนพระเจ้า และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อีก เป็นสิ่งยืนยันว่าเราได้รับความรอด ได้ไปสวรรค์แล้ว แน่นอน 100 %

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1322

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  (แบบ Full Option)”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่อง “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?” ยังจำคำตอบได้ไหมครับ?  จากพระคัมภีร์เราได้เรียนรู้แล้วว่าท่ามกลางสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา พระคัมภีร์ก็เตือนเรา บอกความจริงเรา ตลอดเวลาว่าอยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากลำบากทุกคน ไม่ใช่คริสเตียนคนเดียว  จะคริสเตียน หรือไม่คริสเตียน ทุกข์ยากลำบากหมด แม้กระทั่งธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมา สัตว์เอย สรรพสิ่งเอย ก็ทุกข์ยากไปกับเราด้วย ในความทุกข์ยากลำบากนี้ เราควรจะมีความคิดอย่างไร? มีความหวังไปที่ใด? ให้เราสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยความทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น แบบไม่ลำบากมากนัก ความหวังของเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนอยู่ที่ไหนเอ่ย?

ครั้งที่แล้วเราได้ยกตัวอย่าง เรื่องราวของคริสเตียนยุคแรกๆ ที่เผชิญกับความทุกข์ลำบาก ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เราก็เห็นความเชื่อของเขาเหล่านั้นว่าความหวังของเขาอยู่ที่ไหน? ซึ่งความหวังของเขา ทำให้เขาเหล่านั้นผ่านความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสเหล่านั้นไปได้ด้วยวิธีใด เพราะเขาเหล่านั้นมองข้ามทุกสิ่งทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่ไปจดจ่ออยู่ที่อะไรบางอย่าง ในความหวังของเขา คือเป้าหมายสุดท้ายของเขา ในการเป็นขึ้นจากความตาย หรือการมีชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์หลังความตายทางฝ่ายร่างกายนั่นเอง  ความหวังเขาอยู่ที่นี่ ความหวังเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ว่าจะอยู่สุขสบาย หรือมองไปที่ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น มันไม่มีความหวังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  แต่ความหวังเขามองไปที่ชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งผมย้ำตรงนี้ครั้งที่แล้ว ความครบถ้วนบริบูรณ์นี้ว่าชีวิตนิรันดร์แบบ Full Option จำได้ใช่ไหมครับ?  ย้ำกันตรงนี้อีกครั้งว่าคริสเตียน เราต้องมีความหวังของเราไว้ที่ชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ มีคริสเตียนบางคนยังมีความเข้าใจว่าความหวังของเรา คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน แบบครบถ้วนบริบูรณ์ในอนาคต หลังความตาย

คิดให้ดีๆ นะ ความหวังในชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากตายแล้ว  มันก็เป็นความหวังที่หลายคนมีความหวังอยู่  แต่ถ้าเรามาคิดตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ  หรือตามหลักของภาษาจริงๆ ว่าความรอดนิรันดร์ที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียกว่า Full Option  ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าเราหวัง ก็แสดงว่าตอนนี้เรายังไม่ได้ ถูกไหมครับ? มันเป็นอนาคต ตายแล้วถึงจะได้ มันก็อาจจะเกิดความกังวล สงสัย ระหว่างที่เดินทางไปสู่ความตาย หลังความตาย จะไปรับชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option เรามีอะไรผิดพลาดไหม?  เราทำได้ครบถ้วนไหม?  เราดีพอไหม?  มันก็เป็นความหวังที่มีคำถามในตัวเราเองว่า …

“เอ๊ะ ถึงวันนั้นจริงๆ แล้ว หลังความตายแล้ว เราจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า Full Option อย่างที่หวังไว้จริงหรือไม่?”

เพราะเราก็คอยสังเกตดูว่าเราดำเนินชีวิตอย่างไร? จนมาถึงความตาย  ซึ่งว่ากันตามจริง เราก็เรียนกันมาเยอะแยะแล้วว่าความรอดนิรันดร์ เราได้รับเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เป็นความรอดนิรันดร์ที่มันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ทันทีเลยบนโลกใบนี้  คือเมื่อเชื่อในพระเยซูแล้ว วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ทันที เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเป็นคริสเตียน เริ่มวินาทีแรก บนโลกใบนี้เลย  ในขณะนั้น เริ่มต้นชีวิตนิรันดร์ของเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกเมื่อเราเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซู เราได้ถูกตรึงตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน นี่ตัวเก่าของเราที่เป็นตัวบาป  วิญญาณได้ตายไปพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ทันที  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ชีวิตนิรันดร์จึงเกิดขึ้น ณ บัดนี้ ตอนเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เลยทีเดียว  และมันจะไปครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่เราทิ้งร่างเดิมบนโลกใบนี้แล้ว  เข้าสู่มิติวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าความหวังของเรา ควรจะอยู่ที่ไหน?  ถ้าเราหวังในสิ่งที่เขาเรียกว่ามีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องหวัง พูดง่ายๆ ถ้าเรายังไม่มี เราก็หวัง แต่ในพระคัมภีร์บอกให้เรามีความหวัง เพราะสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว คือวิญญาณที่ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์กับจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องหวังแล้วตรงนี้ ได้แล้ว สิ่งที่เราหวัง คืออะไร? หวังไว้ว่าวันหนึ่ง วิญญาณใหม่และความคิดจิตใจใหม่นี้ จะไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซู หลังความตายบนโลกใบนี้นั่นเอง นี่คือความหวังของเรา  ถูกต้องไหมครับ? ข้อพระคัมภีร์ที่เราทิ้งท้ายไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือโรม 8:24-25 ที่พูดถึงเรื่องความหวังนี้ …

โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว” มีอยู่แล้ว ไม่ต้องหวัง นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้  ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับชีวิตนิรันดร์ เปลี่ยนไปแล้ว บังเกิดใหม่ ก็คือได้รับชีวิตของพระเยซูคริสต์ มาเป็นชีวิตของเรา บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้ใจใหม่ เรียบร้อยแล้ว เป็นใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่ไม่ต้องหวังแล้ว ใช้ความเชื่อว่าได้แล้วเดี๋ยวนี้  นั่งอยู่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องหวัง

แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน … อะไรยังไม่มีล่ะ  ชีวิตนิรันดร์ประกอบด้วย  วิญญาณที่เหมือนพระเยซู ความคิดที่เหมือนพระเยซูได้แล้ว และร่างกายที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูได้หรือยัง?  ยังไม่ได้ ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ เพราะฉะนั้น ความหวังของเรา ก็คืออีกนิดเดียว ได้ร่างกายใหม่ มาสวมวิญญาณ ตัวตนเรา ที่แท้จริง บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว  เราจึงรอคอยด้วยความอดทน  อดทนด้วยความเชื่อ อดทนด้วยความหวัง มีสัญลักษณ์ ก็คือมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ยืนยันอยู่ในใจของเรา สิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็คือความรอด ชีวิตนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน ก็คือการได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความหวังเดียวกันกับคริสเตียนในยุค ที่เขาทนทุกข์ทรมาน ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้า  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน? เขาก็ยินดีได้ เพราะความหวังตรงนี้แหละ

ความหวังที่จะเป็นขึ้นจากความตาย หมายถึงการได้รับร่างกายใหม่  หลังจากที่กายนี้ กายเก่า ตายจากโลก เสื่อมสลายไป  ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ากายสวรรค์ หรือกายวิญญาณ สิ่งที่เรากำลังหวังและรอคอยในชีวิตนิรันดร์ ตอนหลังความตาย  เพิ่มเติมให้เป็น Full Option ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราอยู่ในร่างกายเก่า 1 โครินธ์ 15:40 ที่เราได้ยกมาเมื่อครั้งที่แล้ว บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 15:40  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

การได้รับกายใหม่  ซึ่งเรียกว่ากายสวรรค์ หรือกายวิญญาณ หลังจากที่กายแบบโลก คือกายเก่านี้ ของเรามันเสื่อมสลาย ก็คือตาย เมื่อตายไปปุ๊บ การได้รับชีวิตนิรันดร์ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือ Full Option จะเข้ามาแทนที่ ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอยด้วยความอดทน

วันนี้เราจะมาสรุปกันที่ความหวังของเราตรงนี้ว่ากายสวรรค์ กายโลกวิญญาณ กายที่เป็นขึ้นจากตาย ที่เรารอคอย มันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร?  ทำอย่างไร? เราจึงได้รับ และวันนั้น จะมาถึงเมื่อไร?  ในพระคัมภีร์มีบอกไว้ค่อยข้างชัดเจน ซึ่งเรื่องวันนี้ ชื่อเรื่องที่ผมตั้งขึ้นว่า “ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option)” เริ่มต้นที่คำถามแรก …

“คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร?  เมื่อร่างกายของเราตายไปแล้ว เน่าเปื่อย ย่อยสลายไปแล้ว เราจะเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร?  จะอยู่ในสภาพไหน?”

ทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องคิดอย่างนี้  อยากรู้ใช่ไหมว่าความหวังของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? และพระคัมภีร์พูดว่าอย่างไร?  ชัดเจนมาก อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างนี้อย่างชัดเจนมากๆ ลองติดตาม เราจะได้รู้ว่าความหวังของเราอยู่ตรงไหน? 1 โครินธ์ 15:35-44

1 โครินธ์ 15:35-44 “35 บางคนอาจจะถามว่า “คนตายเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหน?” 36 ช่างเขลาเสียจริง! สิ่งที่ท่านหว่านลงจะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน 37 เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้ปลูกต้นที่โตเต็มที่แล้ว แต่ท่านปลูกแค่เมล็ด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดพืชใดๆ 38 แต่พระเจ้าประทานลำต้นตามที่ได้ทรงกำหนดไว้  และพระองค์ประทานลำต้นของมันเอง ให้แก่เมล็ดแต่ละชนิด 39 เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ปีก สัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง 40 กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง 41 สง่าราศีของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง อันที่จริงสง่าราศีของดาวแต่ละดวงก็ต่างกัน 42 การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้น เสื่อมสลายได้ ที่เป็นขึ้นมาใหม่ จะไม่เสื่อมสลาย 43 ที่หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง 44 ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ ถ้ามีกายธรรมชาติ ย่อมมีกายวิญญาณด้วย”

 

บางคนถาม ทุกวันนี้เราอาจจะถามเหมือนกัน … “คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นมาร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหนเล่า?”

เปาโลก็อธิบายให้ฟังว่า … “สิ่งที่หว่านลง จะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน”

หว่านลงคืออะไร?  อาจารย์เปาโลก็ยกตัวอย่าง หว่านเมล็ด เราปลูกต้นไม้ เราไม่ได้เอาลำต้นไปปลูก เราใช้เมล็ดเปล่าๆ  ไม่มีอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เป็นเม็ดเล็กๆ ใบก็ไม่มี สีสันก็ไม่มี ทิ้งไป พอเมล็ดนั้นลงไปในดิน  มันก็เริ่มเน่า เริ่มตาย  พอตายจนหมดปุ๊บ ก็เกิดเป็นลำต้นขึ้นมา พูดถึงต้นไม้ ลำต้น คือร่างกายของต้นไม้

“ตามที่ได้ทรงกำหนดไว้” พระเจ้ากำหนดไว้ ต้นไม้ต้นนี้ หว่านลงไป จะออกมาเป็นต้นอะไร? มันก็จะออกมาเป็นต้นนั้น แตกต่างจากเมล็ดที่หว่านลงไป ยกตัวอย่าง ต้นข้าวสาลี หว่านเมล็ดข้าวสาลีลงไป ไม่เห็นเกี่ยวกับลำต้นเลย ไม่มีเงาของลำต้นให้เห็นได้เลยว่าเป็นอย่างไร? แต่พระเจ้าเตรียมลำต้นของข้าวสาลีไว้  เมื่อเมล็ดลงไป ตามกฎปุ๊บ เน่าเปื่อย แล้วมันก็เกิดเป็นต้นข้าวสาลี ต่างกันลิบลับ

แล้วยังยกตัวอย่าง ข้อ 39 ว่า … “เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน” เนื้อ หมายถึงอะไร? ก็หมายถึงร่างกาย พูดถึงสัตว์แล้ว พูดถึงสิ่งที่เป็นอีกสปีซี่ส์หนึ่ง ตะกี้ต้นไม้ คราวนี้มาพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ … “เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง” เนื้อ หมายถึงกาย … “สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง” ร่างกายของสัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง  สัตว์ปีก สัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง เห็นไหมครับ? สัตว์น้ำก็มีร่างกายอีกแบบหนึ่ง  สัตว์ปีกก็มีร่างกายอีกแบบหนึ่ง  นี่อาจารย์เปาโลเริ่มยกตัวอย่างให้เห็น พระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดว่าไม่เหมือนกัน เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน  ต้นไม้ก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต มนุษย์ก็มีชีวิต สัตว์มีชีวิต มีทั้งร่างกายและมีความคิดด้วย  ต้นไม้มีร่างกาย แต่ไม่มีความคิด แต่มนุษย์แตกต่างตรงที่มีร่างกาย  มีความคิด และเป็นวิญญาณ  ซึ่งสัตว์ไม่มี เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นพระฉายของพระเจ้า  คือมีวิญญาณพระเจ้าอยู่ภายใน เป็นตัวเริ่มต้นชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำหนด และสร้างขึ้นมา

ในข้อ 40 บอกว่า … “เพราะฉะนั้น กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และฝ่ายโลกเช่นกัน”

พูดถึงกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์ก็จะมีแบบสวรรค์ด้วย  และมีแบบฝ่ายโลกด้วย เปรียบเทียบเมื่อตะกี้นี้ว่าเมล็ดพืชกับต้นไม้ที่มันเกิดมาทีหลัง 2 อย่าง ตอนนี้มาเปรียบเทียบให้เห็นว่าร่างกายของมนุษย์ ก็มีร่างกายแบบสวรรค์กับร่างกายแบบโลกที่เรามองเห็นทุกวันนี้ แต่สง่าราศีกายแบบสวรรค์ ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลก ก็อีกอย่างหนึ่ง

“สง่าราศี” คือครั้งที่แล้ว ที่ผมบอกว่าเป็นสปีซี่ส์ เป็นลักษณะชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา  เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ว่ามีคุณภาพของชีวิตแตกต่างกัน  ร่างกายแบบที่ถูกสร้างขึ้นมา จากดิน เรียกว่าฝ่ายโลก  ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ร่างกายที่ถูกสร้างมาแบบสวรรค์ แบบวิญญาณก็อีกแบบหนึ่ง มีคุณภาพ  ลักษณะแตกต่างกัน

ข้อ 41 บอกว่า … “สง่าราศีของดวงอาทิตย์ ก็อีกแบบหนึ่ง  ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง  อันที่จริงสง่าราศีของดวงดาวแต่ละดวง ก็ต่างกัน”

เห็นไหม?  ก็คือลักษณะที่ถูกสร้างขึ้นมา จะไม่เหมือนกัน เนื้อจะไม่เหมือนกัน  ความสง่างามก็ไม่เหมือนกัน

ท่านลองนึกภาพต้นกุหลาบกับต้นไมยราบ มันก็ต่างกันนะ  กุหลาบก็เป็นต้นไม้ ไมยราบก็เป็นต้นไม้ แต่เราว่าสง่าราศีของใครเด่นกว่า กุหลาบนะเด่นกว่า ถูกไหม?

สัตว์ล่ะ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมยกตัวอย่างมด ตัวหนึ่งก็มีชีวิตตัวหนึ่ง  มาเทียบกับลิง ลิงก็มีชีวิต ใครดูมีราศีกว่ากัน ก็ต้องเป็นลิงสิ ในทำนองเดียวกัน ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายของโลกใบนี้กับร่างกายสวรรค์ก็แตกต่างกันลิบลับเหมือนกัน  ดวงดาวก็เช่นเดียวกัน อย่างที่บอกดวงอาทิตย์กับดวงดาวเล็กๆ ดวงหนึ่ง  ดาวอังคารที่ไม่มีแสงในตัวเอง ต่างกันไหม? มันก็ต่างกัน

ข้อที่ 42 จึงบอกว่า … “การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน” นี่เปรียบเทียบให้เห็น “การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้น เสื่อมสลายได้” ก็คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ที่ถูกสร้างมาจากดิน เมื่อวันหนึ่งที่มันต้องตาย  คือมันเน่าไปเหมือนกับเมล็ด  พืช มันเสื่อมสลายไป  ที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่เสื่อมสลาย” ต้นที่เป็นขึ้นมาใหม่ คือร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายสวรรค์จะเป็นอมตะ ไม่มีการตายอีกต่อไปเลย ไม่มีการเสื่อมสลายอีกต่อไปเลย ไม่มีเน่าเปื่อย  ไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป  ไม่มีการแก่อีกต่อไป

ข้อ 43 … “หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี” เปรียบเทียบ 2 อัน กายที่ตายลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเลย  มันอ่อนแอ มันไม่มีศักดิ์ศรีเลย แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย จะเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี  ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง  เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี  เหมือนพระเยซู

ข้อ 44 … “ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ” กายธรรมชาติ ก็คือกายแบบวัตถุ ที่เหมือนโลกใบนี้ กายธรรมดา … “ที่เป็นขึ้นมาเป็นวิญญาณ หรือเรียกว่ากายสวรรค์ ถ้ามีกายธรรมชาติ ก็ย่อมมีกายสวรรค์ด้วย” คือมันมีจริงๆ  ตามที่ยกตัวอย่างขึ้นมา

เพราะฉะนั้น กายธรรมชาติที่ทุกวันนี้อยู่ มันเป็นกายที่อ่อนค่า ด้อยค่าไม่มีสง่าราศี  ไม่มีเกียรติ แต่กายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ที่จะสวมวิญญาณใหม่  ที่บังเกิดใหม่แล้วเดี๋ยวนี้ ใจใหม่ที่ได้รับแล้วเดี๋ยวนี้ มันต้องเข้ากันได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นกายที่เหมาะสำหรับชาวสวรรค์จะสวมนั่นเอง มันเข้ากันได้

และถามว่ากายวิญญาณ กายสวรรค์ที่เหนือธรรมชาตินี้ ที่จะมาแทนที่ ผู้เชื่อสามารถที่จะคาดคะเนได้ไหมว่าลักษณะเป็นเช่นไร? พระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์ก็ต้องคิดอย่างนี้  ก็เลยให้พระเยซูเป็นตัวอย่าง พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายของพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  อย่างนั้นแหละ เราก็จะได้รับร่างกายเหมือนพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย และพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นจากความตาย จึงมาปรากฏ 40 วันให้ผู้คนและสาวกให้เห็นมากมาย เป็นพยานยืนยันว่านี่แหละ เป็นอย่างนี้ๆ  เพื่อจะไปเล่าสู่กันฟัง  ไปบอกกันฟังว่าเป็นอย่างนี้  เป็นสง่าราศีอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นผลแรกของบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่เป็นขึ้นจากความตาย คือผู้ที่เป็นขึ้นจากความตายผู้แรกนั่นเอง  และเราทั้งหลาย ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์เช่นเดียวกัน  ร่างกายก็จะเหมือนพระองค์ สามารถจับต้องมองเห็นได้ บางคนบอกว่าแล้วตอนที่เราตาย แล้วเราเป็นขึ้นจากความตาย ยังจำกันได้ไหม?  ลองดูพระเยซูเป็นตัวอย่าง

พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มาปรากฏกับสาวก สาวกจำพระเยซูได้ไหมครับ? ตอบว่าได้  นี่พระเยซู  เดินทะลุกำแพงเข้ามา  ไม่ต้องเปิดประตู ตกใจนึกว่าเป็นผี พอตั้งสติได้ พระเยซูนี่นา เห็นไหม? จำได้นะ  แล้วสามารถเดินผ่าน ทะลุกำแพงได้ กินอาหารได้ ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ บนฟ้าได้ด้วย อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น นี่คือลักษณะกายสวรรค์ กายฝ่ายวิญญาณที่จะเป็นขึ้นจากความตาย  ในวันหนึ่งที่เราทิ้งร่างเก่าไปแล้วนั่นเอง เรามาต่อ 1 โครินธ์ 15:45-50 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 โครินธ์ 15:45-50 “45 จึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรก จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต” ส่วนอาดัมคนหลังเป็นวิญญาณ ผู้ให้ชีวิต 46 กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อน และกายวิญญาณมาทีหลัง 47 มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48 คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น 49 และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น 50 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือด ไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก”

 

“อาดัมมนุษย์คนแรก จึงกายเป็นผู้มีชีวิต” ก็คืออาดัมถูกสร้างมาจากดิน จากธรรมชาติของวัตถุ หรือธาตุที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา เป็นร่างกายของอาดัม เราทั้งหลาย ก็เหมือนอาดัมนั่นแหละ  ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน  แล้วพระเจ้าประทานชีวิตให้

“ส่วนอาดัมคนหลัง” ทำไมพระเยซูถูกเรียกว่าเป็นอาดัม คนที่สอง หรือว่าอาดัมคนหลัง  เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วก็ได้กระทำการสิ่งหนึ่งที่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์พันธุ์ใหม่บนโลกใบนี้  เพื่อให้บรรดามนุษย์เผ่าพันธุ์เก่า ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่  คือเผ่าพันธุ์ของพระเยซู เผ่าพันธุ์ของพระเจ้า  มนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัว

ส่วนอาดัมคนหลัง  ก็คือพระเยซู เป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต เห็นไหมครับ? พระองค์เป็นชีวิตเลย  พระองค์มาเพื่อประทานชีวิต ให้กับคน แตกต่างกับอาดัม ผู้รับชีวิตมาจากพระเจ้า แต่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประทานชีวิตให้กับมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  เป็นหัวหน้าของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นต้นตระกูลของมนุษย์พันธุ์ใหม่  เรียกว่าพันธุ์พิเศษ พันธุ์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นก่อนหน้าพระเยซูมีพันธุ์เดียว ก็คือพันธุ์อาดัม ตอนนี้มีพันธุ์ใหม่ ก็คือพันธุ์พระเยซูคริสต์

ข้อ 46 “กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อน และกายวิญญาณมาทีหลัง” พูดง่ายๆ ว่ากายธรรมชาติ คือกายแบบอาดัมมาก่อน เกิดก่อน แล้วหลังจากนั้น ค่อยมีกายมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือกายพระเยซูคริสต์  เราที่อยู่ในกายของอาดัม เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในขบวนการแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้าแล้ว จิตใจใหม่จากพระเจ้าที่เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อวันหนึ่งร่างกายเก่า ร่างกายอาดัมสิ้นสุดลง เราก็จะไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายวิญญาณจึงเรียกว่าทีหลัง

ข้อ 47 “มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์” อันนี้ชัดเจน  ที่ตะกี้นี้อธิบายไปแล้ว

ข้อ 48 “คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น” … คนฝ่ายโลก ก็คืออาดัมเป็นอย่างไร? ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์ที่เกิดมาจากอาดัม ก็เป็นอย่างนั้น หมายถึงคนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ยอมให้พระเยซูคริสต์ย้ายเขาเข้ามาอยู่ในมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่พระเยซูคริสต์เริ่มต้น พันธุ์ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง  คนฝ่ายโลก ก็คือฝ่ายอาดัม  เป็นอาดัม มนุษย์ทุกคนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซู ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

“คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น” … พระคัมภีร์เรียกเราว่าเป็นชาวสวรรค์ … คนจากสวรรค์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน  เป็นตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอรับเชื่อในพระเยซูคริสต์เมื่อไรก็ตามบนโลกใบนี้  ทางด้านโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณเราออกจากอาณาจักรของความมืด ออกจากในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์ มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระคริสต์ มานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในพระคริสต์  อยู่ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  รอคอยวันหนึ่งที่จะได้รับร่างกายใหม่เข้ามาสวมนั่นเอง

ข้อ 49 บอกว่า “และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร?” เห็นไหมครับ? มนุษย์เราเกิดมา เรามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลกอย่างไร?  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่เป็นข้อความที่เขียนถึงผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น  ก็มีลักษณะเหมือนกับพระเยซู เหมือนกันไม่มีผิดเลย

ตอนนี้วิญญาณเหมือนแล้ว พระคัมภีร์บอก 1 ยอห์น 4:17 ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  จิตวิญญาณของเราเหมือนพระเยซูเลย เหมือนแล้วทำอย่างไร?  ก็รอคอยวันหนึ่ง เมื่อออกจากร่างนี้ ก็จะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนนพระเยซูคริสต์นั่นแหละ เรียกว่า Full Option

ข้อ 50 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือด ไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก” พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อเราทั้งหลายมีลักษณะเหมือนกับพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด เพื่อว่าเราจะได้มีร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซู เข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถานที่พระเจ้าบอกไว้  มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีตำแหน่งมากมาย  ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เราจะไปครอบครองนี้ได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายของเราต้องเป็นร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูเท่านั้น ร่างกายเก่าจึงเข้าสวรรค์ไม่ได้ ร่างกายเก่านี้ไม่มีคุณภาพเพียงพอ ร่างกายเก่านี้เป็นสปีซี่ส์ที่ไม่เหมาะสมที่จะไปรับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ได้  หมายถึงอย่างนั้น

1 โครินธ์ 15:51 “ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึกแก่ท่าน คือเราจะไม่ล่วงลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

“ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึก” ก็คือเหมือนกับสิ่งที่พระวิญญาณได้อธิบายให้กับอาจารย์เปาโลได้รู้ แล้วก็มาบอกต่ออีกทีว่าสิ่งลึกซึ้งอันนี้  เป็นหัวใจสำคัญ ในความเชื่อที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว … “ความล้ำลึก” คือเราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

จริงๆ ตรงนี้ต้องเป็น “ล่วงหลับ” นะไม่ใช่ “ล่วงลับ”

ทำไมอาจารย์เปาโลใช้คำว่า “หลับ” เพราะว่าเมื่อเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้เข้าสู่ขบวนการ เขาเรียกว่าได้เข้าสู่ขั้นตอนของชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ คือชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับจากพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  Full Option แต่แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน

ขั้นตอนแรก เมื่อรับเชื่อปุ๊บ  ก็ได้รับวิญญาณ กับจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู นี่คือขั้นตอนแรก ได้ไปทันทีเลย  ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยวิญญาณใหม่ ที่เหมือนพระเยซู จิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซู นี่คือขั้นตอนแรก ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ยังคงอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งร่างกายเก่าไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์ รับมรดก และไม่สามารถเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ ไม่สามารถ

ขั้นตอนที่สอง ต้องมีการเปลี่ยนร่างกาย เป็นร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เหมาะสำหรับตัวตนภายในของเรา  ที่เป็นชีวิตที่เหมือนพระเยซู มีจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้วนั้น จึงจะสามารถร่วมครอบครองกับพระเยซูในสวรรค์สถานนิรันดร์ได้ เรียกว่าขั้นตอนที่สอง เพราะฉะนั้น การได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตายนั้น จะสวมก็ต่อเมื่อครบเวลาที่เราจะได้รับ Full Option เป็นขั้นตอนที่ 2 ของชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์

เพราะฉะนั้น นึกในใจมี 2 ขั้นตอน เมื่อมี 2 ขั้นตอน อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่า “เราจะไม่หลับกันทั้งหมด”  ไม่เรียกว่าตาย เรียกว่าหลับ

ทำไมเรียกว่า “หลับ” เดี๋ยวติดตามต่อไป ไม่มีคำว่าตาย เพราะว่าเราหลับ เพื่อจะตื่นขึ้นมาปั๊บ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเราเท่านั้น  เราไม่เรียกว่าตาย เราเรียกว่าเราเปลี่ยนร่างกาย เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า หลับปั๊บ ตื่นมาปุ๊บ ได้รับร่างกายใหม่แล้ว

“เราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” ตรงนี้เน้นถึงคำว่า “พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” … “พวกเราทั้งหมด” คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ถึงวันที่ต้องล่วงหลับไป ทั้งหมดที่ล่วงหลับไป หรือตามภาษามนุษย์เรียกว่าตาย แต่ภาษาคริสเตียนเรียกว่าหลับ  ทุกคนที่ล่วงหลับไป จะได้รับอย่างนี้ ตรงนี้เน้นถึงทุกคนที่ล่วงหลับไปนะ  ไม่ว่าจะล่วงหลับไปเมื่อไรก็ตาม? เมื่อพันปีที่แล้ว  หรือจะหลับเมื่อวานนี้  หรือจะหลับพรุ่งนี้ก็ตาม จะได้รับการเปลี่ยนแปลง  โดยอย่างนี้ นี่คือข้อล้ำลึก 1 โครินธ์ 15:52 ได้บอกไว้ว่า …

1 โครินธ์ 15:52 “ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

หลับอยู่ใช่ไหมครับ? ชั่วแว๊บเดียว  … แว๊บเดียวขนาดไหน? ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย อันนี้รวมกัน แล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน  ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว  ในขณะที่มีการเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น พูดง่ายๆ ว่าพอเราหลับไป มีการตื่น ถามว่าหลับไปนานเท่าไร?  อาจารย์เปาโลบอกว่าแป๊บเดียว  แค่พริบตา เหมือนที่ผมบอกว่าขณะที่เราล่วงหลับ หรือตายจากร่างกายนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ  เมื่อเราก้าวเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ในมิติฝ่ายวิญญาณ มันไม่มีกาลเวลาแล้ว ไม่มีคำว่าหลับไปอีก 3 ปี 4 ปี 5 ปี พันปี ไม่มี เพราะในมิติโลกวิญญาณ สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีเวลา  เป็นอยู่ ก็เป็นอยู่เลย  เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่าพริบตาเดียว ในโลกวิญญาณ พูดง่ายๆ พริบตาเดียว ชั่วแว๊บเดียว ก็คือทันที เพราะว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ สวรรค์ของพระเจ้า ไม่มีเวลา

เราเคยคุยกันเล่นๆ ตอนนั้นบ่อยๆ ว่ามีชายคนหนึ่งบอกกับพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า สำหรับพระองค์แล้ว หนึ่งพันปี เท่ากับหนึ่งวัน”

พระองค์บอกว่า “เอเมน ใช่”

“เงินหนึ่งหมื่นล้านของพระองค์  เท่ากับบาทเดียว”

พระองค์บอกว่า “ใช่ ถูกต้อง”

ชายคนนี้เลยบอกว่า “ลูกอธิษฐานขอสัก 50 สตางค์” (50 สตางค์ ก็เท่าไร? ห้าพันล้าน)

พระเจ้าก็ตอบว่า “เอเมน” เหมือนเดิม พอเอเมนปุ๊บ พระเจ้าก็จะหันไปหยิบห้าพันล้านให้  หันกลับมาอีกที ชายที่ขอ มายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว  ตายไปแล้ว เพราะขณะที่หันไปหยิบ เวลาผ่านไปประมาณเป็นร้อยปี

นี่พูดเล่น เอามาเล่าสู่กันฟัง แต่นึกให้ดีๆ มันใช่ไหม?  เวลาสำหรับพระเจ้าไม่มี แต่เราไปคิด เราไปคำนวณกันเองว่ามันกี่ปีๆ  บนโลกใบนี้มีกี่ปี? เพราะว่ามีโลกหมุนรอบตัวเอง  มีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ให้มีเวลา  เพราะฉะนั้น มันเลยนับได้  แต่ในโลกวิญญาณไม่มีเวลา เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าชั่วแว๊บเดียว พริบตาเดียว ก็คือทันทีเลย  มีเสียงแตรเป่าขึ้น  ดังขึ้น คนตาย คือเราทั้งหลายที่ตายปั๊บ ก็จะถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ คือเปลี่ยนแปลงร่างกายเรา จากร่างกายที่ต้องตาย  คือแบบที่เสื่อมสลายได้ เข้าสู่แบบที่ไม่เสื่อมสลาย  เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมเลย

1 โครินธ์ 15:53 “เพราะที่เสื่อมสลาย ต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้ ต้องสวมที่ไม่มีวันตาย”

 

เห็นไหมครับ? “เพราะที่เสื่อมสลาย ต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้” เข้าสู่สวรรค์ไม่ได้ ก็คือเสื่อมสลาย ก็คืออยู่ในอาดัม ไม่ได้ ต้องสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ถึงจะอยู่ในสวรรค์ได้

1 โครินธ์ 15:54 “เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้น สวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง คือ “ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป”

 

เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ความตายก็ไม่มีชัยอีกต่อไป เพราะว่าร่างกายใหม่ของเราไม่มีวันตาย ไม่อยู่ใต้อำนาจของความตายอีกต่อไป  ก่อนหน้านี้ร่างกายเรายังอยู่ใต้ความบาปและความตายอยู่ มันต้องตายอยู่ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าทนทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ในร่างกายเก่านี้ ซึ่งกำลังตายอยู่ทุกวันๆ นี้ เราอดทนได้ ก็เพราะเรามองไปที่วิญญาณที่อยู่ภายใน ที่เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  2 โครินธ์ 4:16-18 บอกไว้ว่าเรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  คือตัวตนข้างในของเรา  คือวิญญาณของเราและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว มันเจริญเติบโตเข้าไปสู่ Full Option อย่างนี้ เข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ แต่ขณะนี้มันอยู่ในร่างกายเก่าที่ต้องตาย แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป ความตายก็พ่ายแพ้ไปเลย มันเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้น คริสเตียนหลายคนมีคำถามว่า … “แล้วขบวนการที่เราจะได้รับกายใหม่ หรือกายแบบสวรรค์เป็นอย่างไร? คนตายไปก่อนจะได้รับก่อน หรือรอรับพร้อมกัน หรือต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งก่อน”

ที่พวกเรามีคำถามแบบนี้ ก็เพราะว่าเรายังคิดแบบโลกอยู่ อย่างที่ผมบอก โลกนี้มีเวลา มีนาที มีชั่วโมง มีวัน มีเดือน มีปี  แต่ในสวรรค์ไม่มีอีกแล้ว  พระคัมภีร์บอกว่าวันนั้นมาถึง เราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง คือเราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด  คำนี้หมายถึงคริสเตียนที่อยู่บนโลกใบนี้  แล้วยังไม่ตาย ไม่ล่วงหลับไป  ยังเป็นๆ อยู่บนโลกใบนี้  แต่พระเยซูเสด็จกลับมา คือวันสิ้นโลก วันที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลก  กลับมาสำเร็จโทษโลก  เพราะว่าโลกได้ถูกสำเร็จโทษ ได้ถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งมาร ทั้งสิ่งของบนโลกใบนี้ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ได้ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว  วันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีก  ถ้าถึงวันนั้นเสด็จกลับมา คนที่เป็นคริสเตียน ก็ไม่ต้องตายไง ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีเลย  หมายถึงพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลก

แต่ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่กลับมา ซึ่งยังไม่ได้กลับมาเลย  ในช่วง 2,000 ปีนี้ก็ยังไม่กลับมา ถ้ายังไม่กลับมาผู้เชื่อ หรือคริสเตียนที่ตายหรือล่วงหลับไปแล้วนั้น ก็จะเป็นผู้ไปหาพระเยซูเอง ก็คือออกจากร่างไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พระเยซูก็มารับเขาเหมือนเดิม ก็เหมือนกัน  เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเหมือนกัน  ไม่ว่าพระเยซูจะมาเป็นทางการ พิพากษาโลกหรือไม่? หรือจะมาเพื่อรับคนใดคนหนึ่งที่ได้ล่วงหลับไป ได้ตายไปแล้ว ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก พระเยซูก็จะกลับมารับเขาเหมือนกัน เรียกว่ากลับมารับเขาไปสู่อ้อมกอดของพระบิดานั่นเอง เหมือนที่พระเยซูพูดกับโจรบนไม้กางเขน บอกว่า …

“วันนี้ท่านจะได้พบกับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

วันนี้ คือไม่ต้องรอ พบกันเลย ใช่ไหม? เหมือนเพลงที่เราร้องกัน …

“พระคริสต์กลับมา เหมือนเสียงแตรดังก้องเวหา

เพื่อมารับข้า กลับไปอยู่ในเมืองฟ้า”

เป็นทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่อยู่จนพระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก หรือฝ่ายที่เสียชีวิต ไปพบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที เหมือนดั่งที่เปาโลพูดว่าเมื่อจากร่างกายนี้  ก็จะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เปาโลบอกตัดสินใจลำบากมากเลย อยู่ก็อยู่ เพราะว่าเป็นห่วงคนที่ยังไม่เชื่อ  และคนที่เชื่อใหม่แล้ว  อยากให้เขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยถ้อยคำพระเจ้า ได้รับการสอน ได้รับการประกาศข่าวดี  เป็นประโยชน์ต่อบรรดาผู้คน แต่มันก็ทุกข์นะ อยู่ในร่างกายเก่านี้  แต่ถ้าออกจากร่างกายเก่านี้ ก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ได้กำไร ดีกว่าเยอะ ตัดสินใจลำบากมาก นี่คือความเชื่อของเปาโล

ในข้อ 52 บอกว่า “ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

เป็นตัวยืนยันว่าไม่มีกาลเวลา ชั่วแว๊บเดียว  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เชื่อ ที่ตายไปก่อนหน้านี้ เป็นร้อยปี ผู้เชื่อที่เพิ่งตายไปไม่นาน  หรือพวกเราที่จะต้องตายลงในวันหนึ่งข้างหน้า  ทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซูก็จะมีสภาพเดียวกัน  คือชั่วแว๊บเดียว พริบตาเดียว ก็ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าทันที มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงใช้คำนี้ว่าเหมือนหลับ  แล้วก็ตื่นขึ้นมาเจอพระเยซูเลย  เจอพระเจ้าเลย นี่คือความหวังใจ ความชื่นชมยินดีของผู้เชื่อ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่า … รอให้พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก ที่เรียกว่าพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อพิพากษาโลก และเราไม่ต้องตาย เปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปสวรรค์ พบพระเยซูทันทีเลย  หรือเราตายแล้วไปพบพระเยซูเลยทันที

ท่านคิดว่าอะไรน่าจะถึงก่อน ง่ายกว่ากัน  ก็คือเราตาย แล้วไปพบพระเยซู ง่ายกว่านะ  เพราะพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องไม่มีใครรู้ นอกจากพระบิดา พระเยซูก็บอกไม่มีใครรู้ นอกจากพระบิดาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังเราน่าจะมาอยู่ที่ว่าเมื่อไรหมดการงานบนโลกนี้แล้ว  เราก็จะไปอยู่ในสวรรค์ ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที ได้รับชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option ให้เราจำตรงนี้ไว้  ตอนนี้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าเรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปสู่ Full Opiton เรากำลังเดินทางไปสู่ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์กับพระเจ้า  เรากำลังเดินทางไป  ไม่ใช่เราหวังว่าจะได้รับเมื่อตอนตายจากโลกนี้  เปล่า เรากำลังเดินทางไป เราได้รับมัดจำเรียบร้อยแล้ว  ในโลกนี้ ภายในวิญญาณของเรา  เราได้รับเรียบร้อย ตัวตนจริงๆ ของเราได้รับเรียบร้อยแล้ว  คือวิญญาณและจิตใจของเรา  ที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา  เพียงแต่รอรับร่างกายใหม่เท่านั้น เมื่อวันจบงาน ในโลกนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

และสิ่งที่เราได้พบได้เจอนั้น ไม่ได้เจอแค่ร่างกายใหม่เท่านั้น แต่เรายังรอคอยความหวังอีกต่อไป ก็คือโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาจะสร้างให้เราได้อยู่อาศัย หลังจากที่เราได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่ว่าจะตายไปก่อน หรืออยู่จนกระทั่งพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ตาม เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็จะได้เข้าไปอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้าง เป็นสวนเอเดนใหม่ที่สวยสดงดงาม  เขาก็จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ในวิวรณ์ 21:1-4 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดัง มาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

“พวกเรา” คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ กำลังเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  และชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น ก็จะเป็นเหมือนที่ได้อ่านเมื่อสักครู่นี้

พอไหมครับที่จะเป็นความหวังใจ เป็นนิมิตให้กับเราในการดำเนินชีวิต ในความทุกข์ยากลำบาก เหมือนยุคแรกๆ ที่เขาอดทนมาจนกระทั่งทุกวันนี้ 2,000 ปี จะถูกข่มเหงอย่างไร? จะพบกับปัญหาความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? สิ่งเหล่านี้คุ้มค่ากับการรอคอยมาก คุ้มค่ากับคำว่าอดทนรอคอย แต่ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้  ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร?  ขอย้ำอีกที ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย คือเมื่อไร?  คือวันสุดท้ายที่พระเยซูจะกลับมา และเราจะได้อยู่ในโลกใหม่  ที่อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ในวิวรณ์ บทที่ 21 เมื่อไร? เราไม่รู้ อย่าคาดคะเนเอาเองว่าเป็นวันนั้น วันนี้ เพราะพระเยซูเองก็บอกไม่รู้ ในมัทธิว 24:36 พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 24:36 ““ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ”

 

พระคัมภีร์บอกเพียงว่าเมื่อเวลานั้นใกล้จะเข้ามาถึง จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วคนก็ไปคำนวณหาเวลา เปรียบเทียบเหตุการณ์ แล้วก็คาดเดากันว่าเดือนนั้น ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะเสด็จกลับมา โลกจะแตกแล้ว  โลกจะถูกตัดสินแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น หนังสือเอย บทความ เยอะแยะเต็มไปหมด ที่ไปโยงเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ  แล้วก็มาบอกว่าวันนี้ วันนั้น พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้ว ให้เตรียมกันให้ดีๆ  ซึ่งบางครั้ง ข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นอันตราย

เช่น บางคนที่เชื่อตาม ก็ไปขายทรัพย์สมบัติ แล้วไปใช้ชีวิต เหมือนกับไม่มีเวลาพรุ่งนี้อีกแล้ว ที่หนักกว่านั้น ก็คือบางคน บางความเชื่อ ถึงขั้นรวมตัวกัน  แล้วก็ใช้เวลาที่คาดเอาไว้ ฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อบอกว่าพระเยซูมาแล้ววันนี้  ก็มีข่าวมาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ

เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าไม่มีใครรู้ แม้แต่พระเยซูก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่รู้ ก็ควรจะไม่รู้สิ จริงๆ ก็อย่าไปรู้เลย  เพราะว่าไม่มีใครรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะกลายเป็นมนุษย์คนเดิม  คือมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า  ส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้อนาคต  อยากอันนั้น อันนี้อยากเป็นอันนั้น อันนี้ เหมือนที่เขาไปดูหมอดูกัน เขาก็อยากจะรู้อนาคต เป็นคริสเตียน เรารู้อนาคตทั้งหมดแล้ว เพราะอนาคตเราอยู่ที่พระเจ้า  พระเจ้าบอกเรา อนาคตเป็นอย่างไร? ก็บอกหมดเรียบร้อยแล้ว  อะไรที่ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องไปนั่งคิด วางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเจ้า  ไม่อย่างนั้น เรามีโอกาสถูกมารหลอกได้ เหมือนอาดัมและเอวาตอนเริ่มต้น ก็เพราะอย่างนี้ ไม่เชื่อในพระเจ้า  อยากรู้อนาคตของตัวเอง  อยากจะมีความรู้มากกว่าที่พระเจ้าบอกให้ พระเจ้าบอกให้แค่นี้ อยากรู้มากกว่านี้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

สิ่งที่เรารู้แน่ๆ พระคัมภีร์บอกไว้ คือวันสุดท้ายของเราบนโลกใบนี้  มันอีกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกไว้ว่าแป๊บเดียวเอง  วันสุดท้ายในการดำเนินชีวิตอยู่  ในร่างกายนี้  อย่างที่ผมบอก ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16  ที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่ท้อใจ ข้าพเจ้าไม่กลัว ข้าพเจ้าไม่วิตกกังวล ไม่เสียใจ  ในร่างกายนี้ที่กำลังตายไปทุกวันๆ กำลังตาย คืออีกไม่นานก็ตาย กำลังทุกข์และกำลังตาย  แต่วิญญาณข้างในของข้าพเจ้ากำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน”

นี่คือการบอกแล้วว่าที่เราตาย มันแป๊บเดียวเอง  อันนี้บอกชัดๆ เลย ทำไมไม่ฟังตรงนี้มากกว่า ตรงนี้ คือความจริง ที่บอกว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา  เพราะว่าจะมาหรือไม่มา เราก็ได้รับสิ่งที่เราหวังไว้  สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  มีชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์  ร่างกายใหม่ที่ให้กับผู้เชื่อทุกคน วิญญาณใหม่ที่เกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์ และจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์จะได้สวมร่างกายใหม่นี้ ได้รับกันทุกคนแน่นอน เมื่อถึงวันที่จะตาย หรือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม  แต่วิธีที่เราจะไปหาพระเยซู ตายที่โลกนี้ มันแป๊บเดียว มันเห็นชัดกว่าตั้งเยอะ ตรงนี้แหละ คือความหวังสูงสุด  ที่พวกเราผู้เชื่อ  คริสเตียนทั้งหลาย เฝ้ารอคอย ต่างรอคอยด้วยความอดทน  และเป็นความหวังเดียว  ที่เป็นพลังผลักดันการดำเนินชีวิตของเรา ให้สามารถเผชิญทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ได้  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน? คริสเตียนที่เชื่อวางในพระเจ้า ก็ทนได้ อีกแป๊บเดียว  มองไปที่ร่างกายใหม่  เขาไม่ได้มองไปที่ชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย ที่เน้นตอนต้นให้ฟัง เพราะว่าชีวิตนิรันดร์ เราได้รับแล้ว วิญญาณนิรันดร์ จิตใจที่เป็นนิรันดร์เหมือนพระเยซู ได้รับไปแล้ว บนโลกใบนี้ ไม่ต้องหวังแล้ว  เขารออีกนิดเดียว คือรอที่ยังไม่ได้รับ รอไปสวมร่างกายใหม่ สวมเมื่อร่างกายเก่านี้ถึงเวลาหมดสิ้น ตาย ล่วงหลับ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นแหละ คือชีวิตหลังความตาย  ชีวิตที่เป็นชีวิตนิรันดร์ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ นี่คือความหวัง

เพราะฉะนั้น คริสเตียนในอดีต เราจะเห็น เขาไม่กลัวตาย  ความตายเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขาด้วยซ้ำ เพราะเขามองทะลุไปถึงอนาคต มองทะลุไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  มองทะลุไปถึงโลกข้างหน้าแล้ว เขามองไปที่ร่างกายของเขา  ที่ยังไม่ตาย แต่เขาเห็นวิญญาณของเขา และความคิดจิตใจของเขาที่เหมือนพระเยซูแล้ว ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  พระเยซู คือชีวิตของเขา  …

“ข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าก็อยู่ เพื่อพระคริสต์  ข้าพเจ้าอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในข้าพเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตของข้าพเจ้า”

ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยพระคริสต์  แต่อยู่ในร่างกายเก่า  รอรับร่างกายใหม่ ก็จบงาน ก็แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาจึงมีความเชื่อ วางไว้ตรงนี้  เขาจึงไม่กลัวไง

ยกตัวอย่างเช่น สตีเฟ่นถูกหินขว้างให้ตาย เขาก็นึกว่าตกใจ ตื่นเต้นว่าสตีเฟ่นมองไปที่ไหน? มองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์มารับ  สตีเฟ่นถูกหินขว้าง เหมือนถูกข่มเหงอย่างหนัก แต่สำหรับสตีเฟ่นเองแล้ว ตอนนั้น กำลังขอบคุณ สรรเสริญ พระเจ้ายิ่งใหญ่ จบงานเขาสักทีหนึ่ง เขาจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า  เขาถึงไม่กลัว

เปโตรถูกตรึงไม้กางเขน เปโตรบอกว่า … “ขอถวายเกียรติต่อพระเจ้า  ตรึงข้าพเจ้าแบบเอากลับหัวกลับหางได้ไหม? เอาหัวทิ่มลงดิน  ให้มันทรมานมากกว่านี้อีก”

เพราะรู้แล้วว่าอีกแป๊บเดียว  วันที่เขารอคอย คือความหวังของเขา ที่จะออกจากร่างกายนี้ ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า เหลืออีกแป๊บเดียว

เปาโล ยิ่งดีใจใหญ่เลย เปาโลก่อนเดินทางไปโรมถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ถูกขว้างให้ตาย ถูกตามล่า ตามฆ่า เจ็บปวดทุกอย่าง  ทนได้ แล้วบอกว่า …

“ข้าพเจ้าทนสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะความหวังใจตรงนี้แหละ คือเมื่อข้าพเจ้าออกจากร่างเมื่อไร ข้าพเจ้าจะพบกับพระเจ้าทันที หน้าต่อหน้า”

และอยู่ที่กรุงโรม เขาก็พาเปาโลไปตัดคอ ผมเชื่อเลย เปาโลตอนไปตัดคอ คงจะยิ้มแย้มแจ่มใสมากเลย  จบงานสักที  คราวนี้เขาจะได้พบพระเจ้าหน้าต่อหน้า

คริสเตียนที่ถูกรังแก ถูกข่มเหงในกรุงโรมในขณะนั้น  โดยเนโร ก็เช่นเดียวกัน  ถูกจับให้สิงโตกิน ก่อนที่สิงโตกิน เขาก็มองทะลุไปในโลกวิญญาณ เห็นพระเยซูมารับแล้ว เพียงแค่พริบตา เสียงแตรก็ดังก้องเวหา พระเยซูคริสต์กลับมารับข้า ไปเมืองสวรรค์สถาน

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะฝากความหวังของเราไว้ที่จุดนี้แหละ  จุดที่สำคัญที่สุด ที่ไม่มีใครจะมาขโมยความหวังนี้ของเราออกไปได้อีกเลย คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากล่วงหลับ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

“ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  และได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ บัดนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ครบถ้วนแล้ว”  โรม บทที่ 6

เมื่อเราต้อนรับพระเยซู เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว พระเจ้าได้ทำให้เรา บังเกิดใหม่เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี เป็นแสงสว่าง  เป็นความรัก บริสุทธิ์สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไป เราจึงมั่นใจในวันพิพากษา เท่าๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ

 

มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์  สุขแท้จริงไม่มี มนุษย์จึงหาทางเอาชนะโลกแห่งความทุกข์นี้ให้ได้  ด้วยวิธีการต่างๆ นานา แล้วใครกันล่ะที่เอาชนะโลกนี้ได้

โลกนี้เหมือนเรือแตก ที่กำลังจมลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทร ด้วยแรงดึงดูดของโลก มนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนประพฤติดี หรือประพฤติชั่ว ก็จะถูกดูดลงสู่ความพินาศ ใต้มหาสมุทรทั้งสิ้น ด้วยแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

 

เช่นกัน พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่าโลกและทุกสิ่งบนโลก รวมทั้งมนุษยชาติ กำลังจมลงสู่ความพินาศ ใต้บึงไฟ ด้วยแรงดึงดูดของบาป ของมารที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม   แล้วใครกันล่ะ? ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

2 เปโตร 3:9-10 “9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัด ที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น”

 

นี่คือสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ จำเป็นต้องชนะโลก แล้วใครกันล่ะ?  ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

 

เครื่องบินมีชัยชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก แต่ด้วยความเชื่อในเครื่องบิน  คนที่เข้าไปนั่งในเครื่องบิน  ก็มีฤทธิ์อำนาจ เอาชนะเหนือแรงดึงดูดของโลก ใครกันล่ะที่เอาชนะเหนือแรงดึงดูดของโลกได้   ก็คือคนที่เชื่อ ในกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1321

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่อง “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองเห็นอะไร? ท่านมองไปที่ใด?  ซึ่งเราได้เรียนจากพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ บทที่ 4 ที่ได้เปรียบเทียบให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่งที่เราจดจ้องมองไป ท่ามกลางสถานการณ์บนโลกใบนี้ที่กำลังทุกข์ยากลำบากอยู่ มี 2 สิ่งที่ไม่สามารถที่จะเปรียบกันได้เลย  ก็คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบากที่เป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้   เป็นสิ่งเล็กน้อยยยยย   และเป็นเพียงชั่วคราวอยู่แป๊บเดียว

(2) สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าได้ทรงสำแดงให้เราเห็นแล้ว  ได้เกิดขึ้นภายในเราแล้ว ที่เราได้เชื่อพระเจ้า และการเกิดใหม่ในวิญญาณของเราได้รับรู้จากในวิญญาณของเราแล้ว  เป็นสิ่งยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งสมบูรณ์ ถาวร นิรันดร์

สองสิ่งนี้เปรียบกันไม่ได้เลย อันหนึ่งแป๊บเดียว อีกอันหนึ่งถาวรนิรันดร์ และเราก็สรุปทิ้งท้ายไว้ครั้งที่แล้วว่าเมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว  เราก็ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกมองไปที่ใด?  มองไปที่สิ่งที่มองเห็นได้ คือสถานการณ์บนโลกขณะนี้ หรือมองไปในโลกวิญญาณ  ที่ตามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แต่มันเป็นอยู่จริง เรารู้ เพราะอยู่ในใจ  พระวิญญาณยืนยันตามนั้น  ตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง  เห็นไหม ความจริงจะทำให้เราเป็นไท? เพราะอย่างนี้แหละ 2 โครินธ์ 4:18 ที่เราได้พูดกันครั้งที่แล้ว  ก็สรุปไว้อย่างนี้ …

2 โครินธ์ 4:18  “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

พระเจ้าจึงสอนเรา แนะนำเรา เมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ควรจะทำอย่างนี้  คือจับจ้อง จดจ่อ สนใจ ให้รายละเอียด ฝังความคิด ตั้งเป้าหมายไว้ที่สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือในโลกวิญญาณที่มีอยู่จริงๆ และมีถาวรนิรันดร์ แทนที่จะมองไปในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ทำให้เราทุกข์  ที่จับต้องมองเห็นได้เหล่านี้  มันอยู่ชั่วคราวจริงๆ  สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นของชั่วคราว มันเป็นแค่เงาเท่านั้นเอง อย่าไปจับเงา เหมือนคว้าลม แต่ให้คว้าของจริงดีกว่า

และวันนี้เราจะมาดูกันต่อว่า ณ เวลานี้  ที่สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก  ก็ยังมีให้เห็นอยู่ เต็มไปหมด  มากขึ้นทุกวันด้วยสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย  ขณะที่ภัยเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกวันๆ  ความหวังของท่านฝากเอาไว้ที่ใด?  ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่  แน่นอนเราทุกคน ก็ยังต้องเผชิญความทุกข์ลำเค็ญ ในสารพัดรูปแบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์จากเศรษฐกิจ ความทุกข์จากสุขภาพ ความทุกข์จากปัญหาครอบครัว  ความแตกแยกกันในครอบครัว  ความรักที่เสื่อมคลาย ปัญหาสังคม  ความเกลียด ความเห็นแก่ตัว  ความชั่วอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด นี่คือความทุกข์ ขณะที่ดำเนินบนโลกใบนี้  ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า  ได้รับการบังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่เราก็ยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ก็จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่แตกต่างอะไรกับผู้คนบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย  พูดกันตรงๆ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนทนทุกข์อย่างนี้นะ สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าก็ทนทุกข์ไปพร้อมๆ กับพวกเรานี่แหละ

ถ้าเป็นอย่างนั้น “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?” นี่คือหัวข้อเรื่องในวันนี้ ท่านลองถามตัวเอง ใช้เวลานิ่งๆ สักเสี้ยววินาที นึกถึงว่าความหวังของท่านอยู่ที่ไหน? ในขณะนี้ หยุดคิดเรื่องข่าวร้าย ข่าวโควิด  ข่าวผลกระทบโควิด หยุดคิดสักแป๊บหนึ่ง แล้วดูว่าความหวังของเราอยู่ที่ไหน?  ความหวัง เป้าหมายในชีวิตของเราอยู่ที่ไหน ในสถานการณ์ตอนนี้  ยกตัวอย่างไวรัสกำลังระบาดหนัก ทั่วโลกในขณะนี้

ถ้าคิดตามหลักของโลกนี้ หลายคนก็คงฝากความหวัง … หวังว่า …

“ไวรัสตัวนี้จะถูกเอาชนะโดยมนุษย์ ด้วยวัคซีน หยุดระบาดเร็วๆ นี้มั้ง คงจะมียาเข้ามารักษาแล้วล่ะ ความหวังอยู่ที่นี่”

หรือคนที่มีปัญหาเรื่องปากท้อง ก็คงคิดว่า … “อีกสัก 3 เดือน 6 เดือน ร้านเรา การทำมาหากิน คงจะทำได้เป็นปกติดี เศรษฐกิจคงจะฟื้นตัวเร็วๆ นี้”

หรือคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ตอนนี้  เครียดอยู่ หรือสุขภาพเรื่องอื่นๆ  ก็มีความหวังว่าเมื่อไรจะหายสักทีหนึ่ง ใช่ไหมครับ?

ความหวังของทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ ในขณะนี้  ซึ่งมันไม่ผิด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยโน้น  ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นปฐมกาล  มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสุข เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึก บุคลิกของมนุษย์ทุกคนต้องการความสุข บนโลกใบนี้ เพราะว่าเขาถูกสร้างมาให้มีความสุข อยู่ในสวนเอเดน พูดง่ายๆ คือไม่ต้องทำอะไรเลย เสวยสุขอย่างเดียว จริงๆ เลย  พระเจ้าสร้างทุกอย่าง ทำให้อย่างดีทุกอย่าง ครบหมด บริบูรณ์เลย  ถ้าไม่มีคำสาปแช่งเข้ามา มนุษย์ก็จะอยู่อย่างราชา ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก  มีแต่ความสุข

เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์จะเอาคำสาปแช่ง โดยผ่านทางการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม-เอวา คำสาปแช่งเข้ามาก็จริงอยู่ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ยังมีเชื้อสายที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาให้มีความต้องการที่จะอยู่อย่างมีความสุขบนโลกใบนี้

นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกคนไขว่คว้าหาความสุข เพราะว่าความสุขถูกทำให้หายไปแล้ว มันไม่มีแล้ว มันมีแต่ของปลอม โลกใบนี้มันถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว  มันมีแต่ความทุกข์ แต่ปรากฏว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ยังไขว่คว้าหาความสุขเหมือนเดิมอยู่  มันก็เลยยิ่งทุกข์ดับเบิ้ล เพราะมันไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น มันไม่ได้แปลกเลยว่ามนุษย์ทุกคนไขว่คว้าหวังว่าจะมีความสุขบนโลกใบนี้

เราจะเห็นได้ว่าถ้าเราฝากความหวังไว้กับสิ่งของ หรือสถานการณ์บนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ เป็นเรื่องจริง  ชีวิตมีแต่ทุกข์ เป็นเรื่องจริง  ที่หนีไม่พ้น แล้วเราไปฝากความหวังว่ามันจะมีสุขขึ้นมา แล้วเราจะได้รับอะไร?

สถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ สัมผัสได้  มันจะวนเวียนอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คือความทุกข์ลำบาก  ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังไว้ ความหวังของเรา ก็เป็นความหวังที่เหมือนลมๆ แล้งๆ เปล่าประโยชน์ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ากินลม กินแล้ง หวังในเงา ฉวยเงา ก็ไม่เจออะไรเลย แต่สำหรับความจริงที่พระเจ้าได้บอกผู้ที่เชื่อในพระองค์ เชื่อในพระเยซูที่เราเรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ความหวังแห่งความสุขบนโลกใบนี้  ไม่ใช่ความหวังในสถานการณ์บนโลกใบนี้ว่าจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นความหวังที่ฝากไว้ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก แต่ความหวังจริงๆ  ที่เราได้รับแล้ว ในการมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว คือเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว  ซึ่งแม้จะเป็นความหวังที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ณ วันนี้ ณ ขณะนี้ แต่ด้วยความเชื่อเรามั่นใจ มีอยู่จริงๆ และเป็นอยู่ในใจ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างใน เป็นพยานยืนยัน บอกเราข้างในว่ามันเป็นจริงตามนั้น

นี่แหละ เราจึงมีความหวังในสิ่งที่โลกใบนี้ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่ด้วยความเชื่อ เราสามารถเห็น สามารถสัมผัสได้ทางวิญญาณ และนี่คือความหวังเดียวของชีวิตคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าบนโลกใบนี้  ก็คือความหวังในชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว  ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ชีวิตที่ได้เป็นเหมือนพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูแล้วเดี๋ยวนี้ เรียบร้อยแล้ว นี่คือความหวังของเราผู้เป็นคริสเตียน

คริสเตียนในยุคแรกๆ ที่ประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากมากมายมหาศาล  ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง ถูกเอาไปแสดงโชว์ ในการต่อสู้กับสัตว์ร้าย ให้สัตว์ร้ายกิน หรือเอาไปฆ่ากันเอง เพื่อเป็นการโชว์ให้กับชาวโรมัน ในการเข้ามาดู เหมือนดูการแสดงอะไรต่างๆ  ถูกทรมานอย่างมากมาย แล้วความหวังของเขาอยู่ที่ไหนในขณะนั้น? ความหวังของเขาอยู่ที่การเป็นขึ้นจากตาย การมีชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ หลังความตายฝ่ายร่างกายนี้  นี่คือความหวังของเขา  ของคริสเตียน ทุกยุค ทุกสมัย  ความหวังของคริสเตียน อยู่ที่ตรงนี้  ซึ่งพระเจ้ายืนยันในพระคัมภีร์ คือความหวังในชีวิตหลังความตาย  ซึ่งไม่ว่าความทุกข์ทรมานขนาดไหน?  หรือความสุขขนาดไหนที่ได้รับบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย  เหมือนเงากับของจริงที่ผมบอกไปแล้ว เหมือนฟ้ากับเหว

ความสุขขนาดไหนบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ความทุกข์ขนาดไหนบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้  จะมาเทียบกับชีวิตหลังความตาย  คือชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้วนั้น เทียบกันไม่ติดเลย  และความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์ ตรงนี้เป็นความหวังที่ยอดเยี่ยมมาก อัศจรรย์ใจใหญ่ยิ่ง  เพราะไม่ได้เป็นความหวังแบบมนุษย์ที่บอกว่าเรามีความหวัง เป็นความหวังที่เป็นอนาคตว่าเราหวังว่าจะได้ในขณะนี้ แต่ความหวังที่เป็นความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ เป็นความหวัง เป็นความรอด  ที่เป็นขบวนการ มีจุดเริ่มต้น และมีจุดสำเร็จสุดท้าย

จุดเริ่มต้น จุดแรก คือเมื่อคนๆ นั้น เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะเข้าไปในร่างกายของคนๆ นั้น  และเริ่มการงาน ขบวนการความรอดนิรันดร์ทันทีในคนๆ นั้น จนไปถึงจบขบวนการ คือชีวิตนิรันดร์แบบ Full option เพราะฉะนั้น ความหวังอย่างนี้ จึงเป็นความหวังที่พิสูจน์ได้ เมื่อเราเป็นคริสเตียน เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เกิดอะไรขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเสด็จเข้ามาในร่างกายเรา  มาบัพติศมาเรา  มาจุ่มเรา นำเราเข้าส่วน เข้าไปในพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ให้ตัวเก่าของเรา คือวิญญาณเก่า พร้อมกับความคิดจิตใจได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณได้เข้ามา เราเรียกกันว่าการผ่าตัดทางวิญญาณ เพื่อขบวนการที่เราได้รับการบังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  เราที่มีส่วนในพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

นั่นคือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และความคิดจิตใจใหม่  เห็นไหมครับ ณ นาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเราเอ่ยปากว่าเราเชื่อในข่าวดีนี้ จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ ให้เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป  ให้ได้รับชีวิตนิรันดร์  เมื่อเราเชื่อเปิดใจต้อนรับ ขบวนการนี้เกิดขึ้นทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปผ่าตัดวิญญาณเรา ทำให้เราบังเกิดใหม่  มีวิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเยซู มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู  บันทึกไว้อย่างนี้เลย

เหมือนพระเยซู คือเหมือน เต็มด้วยสง่าราศี เป็นลูกของพระเจ้าเลย ทันที วิญญาณที่เป็นตัวจริงๆ ของเรากับความคิดจิตใจของเรา จึงเหมือนพระเยซูคริสต์ทันที และในพระคัมภีร์บอกว่าและได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู ได้อยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย ไม่ต้องรอ  ไม่ใช่ว่ารอตายแล้ว จึงไปอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ทันที ขณะที่เรารับเชื่อ  ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความบาป เข้ามาสู่อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร ย้ายเราออกจากตระกูลเดิม คืออาดัม เข้ามาสู่ตระกูลใหม่ คือพระคริสต์ ทำให้วิญญาณเรา ที่ตายอยู่ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นบาปนั้น ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า  ทันทีเลย

นี่เปรียบเหมือนมัดจำ ในขบวนการความรอด นิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ แต่ยังไม่ Full option  เพราะว่าพอเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเชื่อแล้ว เราก็ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเก่า นี่แหละคือความหวังใจของคริสเตียน ไม่ได้หวังใจว่าจะไปอยู่ในสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  มั่นใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันแล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณยืนยันให้เราเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา พ่อ  เราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการยืนยันจากภายใน เป็นทายาทที่ได้รับมรดกจากพระเจ้าด้วยนะ  ยืนยันจากภายใน

และความหวังของเรา คือเรารู้แล้วว่าเราเป็นใคร?  เราเป็นลูกพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ และความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู เป็นน้องพระเยซู แต่เรารอคอยความหวังนิดเดียว คือจะได้เข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ มาแทนที่ร่างกายปัจจุบัน ที่มันทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้  ที่มันติดโควิด ที่มันกลัวโควิด  ที่มันเกิดความทุกข์ยากลำบาก มันกลัวโน่นกลัวนี่ วิตกกังวล อ่อนแอเหลือเกิน  นี่เราหวังตรงนั้น นี่คือความรอดอย่าง Full option ครบถ้วนบริบูรณ์  ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้วนั้น  ได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  เมื่อตายออกจากร่างกายนี้แล้ว นี่คือความหวังของคริสเตียน

เพราะฉะนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลยนะกับความทุกข์ยากลำบาก  ที่บนโลกใบนี้มันแป๊บเดียวเอง  นี่คือความหมายของคำว่าความรอดนิรันดร์ แบบ Full option แบบครบถ้วนบริบูรณ์  ที่เป็นความหวังของคริสเตียนทั้งหลาย  ในโรม 8:10-11 ที่เราได้อ่านไปเมื่อครั้งที่แล้ว วันนี้เอามาย้ำอีกนิดหนึ่ง …

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

“ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน ก็หมายถึงท่านเป็นคริสเตียนแล้ว  พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถ้าเป็นอย่างนั้น กายภายนอกของท่านที่ต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาป ก็คือต้องตาย ที่ตะกี้นี้บอก  แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซู เพราะท่านบังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  ยืนยันตามนั้น

“และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  สถิตอยู่ภายในท่าน ในขณะนี้  พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้  ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่ภายในท่าน” ก็หมายถึงขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระวิญญาณทรงสถิตอยู่กับเรา วิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว  เหมือนพระเยซู ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูแล้ว แต่ร่างกายที่ต้องตายอยู่นี้  กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ กำลังพบกับความทุกข์เหล่านี้ พระวิญญาณก็เสริมกำลัง ประทานฤทธิ์อำนาจที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายนี้ตลอดเวลา  เพื่อนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็น Full option ก็คือนำพาเรา ปกคลุมเราด้วยชีวิตนิรันดร์ในร่างกายที่ต้องตายนี้ จนกว่าร่างกายนี้จะสูญสิ้นไป  และนำพาเราไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นแหละ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่คริสเตียนหรือผู้เชื่อที่หวังไว้ ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ไม่ใช่เป็นขึ้นจากความตาย ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจ ซึ่งได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  นั่งอยู่ที่ในสวรรค์สถานแล้วเท่านั้น อันนี้ได้ไปแล้ว  แต่ที่หวัง ที่ยังไม่ได้ ก็คือจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่เหมือนพระเยซูนั่นแหละ

ซึ่งมีตัวอย่าง มีคำพยานให้เห็นเยอะแยะมากมาย ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และทรงปรากฏให้กับสาวกและบรรดาคนอีกมากมายในช่วงเวลานั้น  เรามาอ่านคำพยานเหล่านี้ ที่ 1 โครินธ์ 15:1-7 จะได้รู้ว่านี่คือหลักการของคริสเตียน ตั้งแต่สมัยยุคแรกว่าเขาหวังอะไร?  ชีวิตเขาฝากไว้ที่ไหน? อะไรที่สำคัญที่สุดในความหวัง หรือความต้องการของคริสเตียน  หลังจากที่เชื่อแล้ว  ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้ว  ความคิดจิตใจ ก็เหมือนพระเยซู แล้วต้องการอะไรอีกล่ะ  นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ  ก็คือร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ที่เป็นตัวอย่างการเป็นขึ้นจากความตาย ที่มาปรากฏตัวให้เห็นเลย …

1 โครินธ์ 15:1-7 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐ ที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้ และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอด โดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้น ท่านก็เชื่อ โดยเปล่าประโยชน์  3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้น ปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมา พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้อง กว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ และแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุด พระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”

 

ในข้อที่ 3 บอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์  เพราะบาปของเรา  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์  ทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม  พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามพระคัมภีร์ระบุไว้

อะไรสำคัญที่สุด? พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้ง 12 คน ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่า 500 คนในคราวเดียว

500 คน ในสมัย 2,000 ปีที่แล้ว ลองคิดดูสิ เทียบกับปัจจุบัน ควรเป็นกลุ่มใหญ่เท่าไร?  และข้อสำคัญ ก็คือผู้คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่เปาโลเขียน หลายคนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่  ไปสัมภาษณ์เขาได้เลย ไปคุยกับเขาได้เลย  บางคนล่วงหลับไปแล้ว  บางคนทิ้งร่างนี้ไปแล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว รับร่างกายใหม่เรียบร้อยแล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์นี้ อยู่ๆ แล้วนะ  หมายถึงเข้าไปอยู่ในสวรรค์ แบบ Full option เลย

นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก นี่คือหัวใจ แรงจูงใจให้กับบรรดาคริสเตียน คือความหวังเดียวของคริสเตียนที่หวังไว้ ไม่ใช่หวังว่าจะไปสวรรค์ เพราะคริสเตียนเขามีความมั่นใจ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้วตอนนี้  เดินอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าก็สถิตอยู่แล้ว ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ เราอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้หวังว่าจะไปสวรรค์นะ  แต่ความหวัง คือหวังว่าจะพ้นทุกข์จากร่างกายที่จะต้องตายนี้ พระเจ้าสัญญาไว้ว่าเขาจะได้รับร่างกายใหม่  แทนร่างกายนี้ เมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง  และร่างกายใหม่ที่จะได้รับนั้น จะเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย  มาปรากฏให้กับผู้คนได้เห็น ตามที่เราได้อ่าน เป็นพยานเมื่อสักครู่นี้ จับต้องได้ แตะต้องได้ กอดพระองค์ได้ พระองค์ทานอาหารร่วมกันได้ พระองค์เดินผ่านทะลุกำแพงเข้ามา พระองค์ลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เราก็จะเป็นอย่างนั้น ท่านลองคิดดู แรงบันดาลใจนี้ทำให้อัครสาวกและผู้เชื่อในสมัยโน้น ตายก็ไม่กลัวแล้ว  ทุกข์ยากลำบากก็ไม่กลัว มันแป๊บเดียว ดีด้วยซ้ำไป แป๊บเดียว  กลายเป็นดีไปอีก เหมือนที่เปาโลบอก …

“อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ จากไป ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปพบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า อยู่ก็อยู่เพื่อทำงาน  ถวายเกียรติต่อพระเจ้า  ประกาศข่าวดี ถ้าเกิดหมดภาวะในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือตายจากร่างกายนี้ ก็ได้ไปปรากฏพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ดีกว่าตั้งเยอะ”

ความหวังใจ ทัศนะคติของคริสเตียนแท้จริง ในความเชื่อ คืออย่างนี้ ซึ่งเราเอามาใช้กับในปัจจุบันได้ อย่างมากมายเลย เพราะปัจจุบันนี้ ความทุกข์ยากลำบากยังน้อยกว่าในสมัยนั้นตั้งเยอะ

ใน 1 โครินธ์ 15:29-32 จึงได้เห็นชัดเจนว่าแรงจูงใจที่อัครสาวกเหล่านี้ เสี่ยงชีวิต ทำอะไรต่างๆ เหนื่อยยาก มากขึ้นอีกกว่ามนุษย์มนาปกติทั่วๆ ไป หรือพูดง่ายๆ ว่าทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ยากลำบาก มากอยู่แล้ว แต่การเป็นอัครสาวก และต้องรับใช้ พระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคแรกๆ  ต้องใช้กำลังความเชื่อ  ชนะความกลัวขนาดไหน? ลองอ่านดูนะครับ …

1 โครินธ์ 15:29-32 “29 เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายจะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทำไมยังมีคนรับบัพติศมา เพื่อผู้ตาย  30 และสำหรับเรา ทำไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา 31 ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอน เหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่าน ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัส เพียงเพื่อ เหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา “ให้เรากินและดื่ม เพราะพรุ่งนี้ เราก็ตายแล้ว”

 

โอ้โห! สามารถพูดได้กับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างมากเลย

อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวอย่างแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมา สำหรับคนตายจะทำอย่างไร?  “บัพติศมา” แปลว่าเข้าส่วนร่วม บรรดาผู้ที่เข้าส่วนร่วมในพระเยซู คือตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน จะมีความหวังอะไรล่ะ จะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา  คือตายแล้วตายเลย ทำไมยังมีคนมารับบัพติศมา เพื่อผู้ตาย ยังมีคนเข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อ  เป็นคริสเตียนอีกมากมาย  เขาจะมาทำไม? ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีความหวังอะไรเลย  ก็เพราะว่าพระเยซู ก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เปล่าประโยชน์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เรา” ในที่นี่ สำหรับอัครสาวก เหล่าทีมผู้ประกาศในสมัยยุคแรก ซึ่งต้องเสี่ยงชีวิตมากมายอยู่ตลอดเวลานั้น ถ้าไม่มีความหวังว่าชีวิตนี้ รอคอยวันที่ออกจากร่างนี้ และจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู จะไปทำงานเหล่านี้ มีความหวังอะไร? จะไปเสี่ยงชีวิต เพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ทำไม?

ข้อ 31 บอกว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน  คำว่า “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” หมายถึงเรื่องจริงๆ คืออาจารย์เปาโลบอกว่าอัครสาวกทั้งทีม เผชิญอันตรายอยู่ทุกเวลา แต่เฉพาะของอาจารย์เปาโลตายทุกวัน ก็คือเป็นตัวเอกเลยที่เขาจ้องจะฆ่า ทั้งชาวยิวที่ยังไม่เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐ หาว่าเปาโลทรยศ และยังผู้คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว ที่เสียผลประโยชน์จากการที่เปาโลไปประกาศข่าวเรื่องพระเยซูคริสต์ ทำให้คนกลับใจใหม่  เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ คิดแผน จ้องฆ่า ถึงขนาดสาบานว่าจะต้องฆ่าเปาโลให้ได้เลยนะ วางแผนฆ่าตลอดเวลา

แต่ในนี้บอก “ข้าพเจ้าตายทุกวัน ข้าพเจ้าจะมาทำอย่างนี้ทำไม? เสี่ยงชีวิตอย่างนี้ทำไม? ต้องคอยสู้กับพวกที่วางแผนฆ่า ที่รุนแรง ยกตัวอย่างเหมือนพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัส  ก็คือผู้คนที่ทำรุนแรง ข่มเหงเปาโลที่เมืองเอเฟซัส  ข้าพเจ้าจะทำอย่างนี้ เพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์หรือ? ไม่มีประโยชน์เลย เสี่ยงชีวิตขนาดนี้  แต่ที่ข้าพเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ  และเป็นตัวอย่าง เป็นผลแรก ที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าข้าพเจ้าก็จะเป็นขึ้นจากความตายอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อถึงวันเวลาของข้าพเจ้า” มันหมายถึงอย่างนั้น

พระคัมภีร์บรรยายเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างร่างกายทางโลก คือร่างกายที่เราต้องทุกข์ลำบากขณะนี้ บนโลกใบนี้กับร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ใน 1 โครินธ์ 15:40 เขียนไว้อย่างนี้ …

1 โครินธ์ 15:40  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

“สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของกายแบบโลกก็อย่างหนึ่ง” สง่าราศี ก็หมายถึงลักษณะชีวิต คล้ายๆสปีชีย์  … สปีชีย์ที่ท่านเห็นอยู่ในร่างกายของพวกเราในขณะนี้  ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นสปีชีย์หนึ่ง แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์นั้น เป็นอีกลักษณะหนึ่ง เป็นสปีชีย์หนึ่ง ไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? มันเทียบกันไม่ได้เลย 2 สปีชีย์นี้ เทียบกันเหมือนฟ้ากับเหวเลย

ถ้าพูดง่ายๆ ยกตัวอย่างปัจจุบัน  นี่พยายามยกตัวอย่างพอให้เห็นเฉยๆ  เหมือนลักษณะชีวิต สปีชีย์ที่เป็นตัวอะมีบ้า ตัวเชื้อโรค ตัวแบคทีเรีย มีชีวิตไหม? ไวรัสเขาก็มีชีวิต แต่เอามาเทียบกับลิงสักตัวหนึ่ง  สัตว์ชนิดหนึ่ง สักตัวหนึ่ง เทียบกันไม่ติดเลย นี่ก็ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ลิงตัวหนึ่ง ก็มีชีวิตหนึ่ง อะมีบ้าตัวหนึ่ง ก็มีชีวิตหนึ่ง  แล้วถ้าเอาอะมีบ้าตัวหนึ่ง มาเทียบกับมนุษย์ ยิ่งห่างกันเยอะมากเลย

คำว่า “สง่าราศี” ก็คือแบบ ลักษณะชีวิต เปาโลจึงบอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ระหว่างความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในร่างกาย ในปัจจุบันนี้กับความรอดนิรันดร์ แบบ  Full option  ที่วิญญาณของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซู ความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ที่ในสวรรค์สถานแล้วในขณะนี้  จะไปสวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย ครบ Full option อย่างนี้  มันเทียบกันไม่ได้กับร่างกายปัจจุบันที่มันต้องตาย เจออะไรนิดหนึ่งก็ทุกข์ เจอเตะหิน ก็เจ็บแล้ว  ไม่ต้องเตะหิน ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่คิดข่าวร้ายแค่นี้ เครียด  ทุกข์ใจ ลำบาก มีแต่ความทุกข์ลำบาก  โรม 8:18-20 อาจารย์เปาโลจึงเขียนไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:18-20 “18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอย ให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มัน ต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว”

 

อาจารย์เปาโลจึงได้บอกว่ามันเทียบกันไม่ได้เลย  ความทุกข์ยากลำบากของเราในปัจจุบัน  ในร่างกายกำลังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ กำลังเผชิญโควิด เผชิญโรคภัยไข้เจ็บ เผชิญการข่มเหง เผชิญความอดยาก เผชิญโรคอื่นๆ เผชิญการทำร้ายซึ่งกันและกัน เผชิญความอิจฉาริษยา เผชิญกับความทุกข์ทรมาน อยากจะทำ ก็ทำไม่ได้ ไม่อยากจะทำ ก็ต้องทำ อะไรอย่างนี้  มันเทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริที่จะทรงสำแดงในเรา หมายถึงตะกี้ที่บอกสปีชีย์ใหม่  ที่ดีกว่านี้เยอะแยะมากมาย เทียบกันไม่ได้เลยของร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ แบบพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น ที่กำลังจะสำแดงในเราทั้งหลาย  “ในเรา” ก็คือผู้เชื่อ พูดง่ายๆ เทียบไม่ได้เลยกับร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ วันหนึ่งเราจะไปสวมร่างกายนั้น

ข้อ 19 จึงบอกว่า “สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง จดจ่อ รอคอยให้บุตรของพระเจ้ามาปรากฏ” สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ ที่พระเจ้าทรงสร้าง สรรพสิ่งบนโลก ก็กำลังรอคอยให้บรรดาบุตรมนุษย์ ก็คือพวกเราทั้งหลาย บรรดาบุตรของพระเจ้า  คือลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ในพระเยซูได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้ปรากฏ ก็คือได้รับ Full option สักทีหนึ่ง สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็อยากจะให้ผู้เชื่อ ได้รับร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ Full option  สักทีหนึ่ง ให้ครบหมดเลย  เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมสรรพสิ่งถึงอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้สวมร่างกายใหม่ ได้ Full option

ข้อ 19 บอกไว้อย่างนั้น … “เพราะว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่า ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง”

เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านี้  ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์เลี้ยง สัตว์ต่างๆ อะไรเหล่านี้  มันถูกทำให้เสียหาย ถูกสาปแช่งไป เพราะความบาป เข้ามาบนโลกใบนี้  ไม่ใช่โดยมันอยากทำเอง มันไม่ได้ตั้งใจอยากจะเป็นอย่างนั้นสักหน่อย  แต่ความบาปที่มนุษย์เอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ทำความเสียหายให้มันอย่างมากมาย  มันอยากจะได้รับการเปลี่ยนแปลง อยากได้รับการช่วยให้รอดเหมือนกัน เพราะมันรู้ว่าพระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าวันหนึ่ง เมื่อมนุษย์ได้รับความรอด แบบนิรันดร์ แบบ Full option  ครบทุกคน หมดเรียบร้อยแล้ว  เมื่อถึงวันนั้น สรรพสิ่งเหล่านี้  ก็จะถูกเปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน  เป็นโลกใหม่ เป็นฟ้าใหม่  เป็นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ เป็นบ้านใหม่ ให้กับมนุษย์ใหม่เหมือนกัน ที่จะอยู่อาศัย เรียกว่าสวรรค์สถาน อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  มันเลยรอคอยวันนั้น  วันที่พวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย จะได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์

ที่บอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้  หมายความว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง เรื่องใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเผื่อเรารู้ และเรามีความหวังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ว่าร่างกายใหม่ของเรา พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งโลกใหม่ที่ไม่มีความบาป  ไม่มีความสกปรกโสโครก ไม่มีความชั่วร้าย  พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป เราก็จะไปพบกับความจริงเหล่านี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้นั้น  ก็จะไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้เราหวั่นไหว และสามารถจะมาเปรียบเทียบกับความหวังนี้ได้เลย  ไม่ว่ามันจะทนทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากขนาดไหนก็ตาม ไม่สามารถมาเทียบกันได้กับความยิ่งใหญ่ แห่งสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา เป็นความหวังใจของเราทั้งหลายผู้เชื่อในพระองค์

แล้วความหวังที่จะทำให้เราสามารถเผชิญความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้นั้น สรุปแล้วอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ใกล้เข้ามาชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้วนะครับ เรามาดูกันว่าเราควรจะฝากความหวังไว้ที่ใด? ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสถานการณ์แห่งความสุข ชอบใจ ดีใจ  หรือสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบากทนไม่ไหวก็ตาม  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นชั่วคราวเท่านั้น  แป๊บเดียวเอง และสิ่งที่เราหวังไว้ ที่จะมาทดแทนหรือเป็นรางวัลให้กับเรา คืออะไร? โรม 8:21-23 …

โรม 8:21-23 “21 ด้วยมีความหวังว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น จะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เรา จดจ่อรอคอย การทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”

 

ในนี้บอกชัดเจนว่าสรรพสิ่งก็มีความหวัง เหมือนกับเราทั้งหลาย แต่เราจะต้องเป็นผลแรกให้กับเขา ก็คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง คือโลกใบนี้ทั้งใบ  มีความหวังว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น  จะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัด ให้ต้องเสื่อมสลาย  ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ  สรรพสิ่งทั้งหลาย  ก็เปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน  เพราะในนี้เขียนบอกว่าจะนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า ก็คือมาร่วมกันกับชีวิตนิรันดร์ของเรา เราได้รับชีวิตนิรันดร์ของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่บังเกิดใหม่  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  และเราจะอาศัยอยู่ในโลก ที่เป็นโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ เหมือนกัน ไม่ต้องตกอยู่ในความตายเหมือนกัน มารับชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น ท่านมีสุนัขอยู่ สุนัขท่านเลี้ยงไว้ สุนัขนั้นก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เป็นสุนัขที่มีชีวิตนิรันดร์อยู่กับท่าน หรือท่านปลูกต้นไม้อะไรอยู่ ต้นไม้นั้น ก็จะมากับท่านด้วย พูดง่ายๆ ธรรมชาติบนโลกใบนี้  จะถูกทำให้เกิดใหม่เหมือนกับเราทั้งหลาย  เขาเรียกว่าชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน ซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้ ในข้อ 22 บอกว่า “เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบัน” สรรพสิ่งเหล่านี้อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็วๆ วันที่เขาจะได้รับความรอดสู่นิรันดร์ Full option เหมือนกัน  แต่ต้องรอให้มนุษย์ได้รับเสียก่อน  ถ้าพูดถึงอีกนัยหนึ่ง ก็คือรอวันสิ้นสุด โลกใบนี้นั่นเอง พูดง่ายๆ วันนี้เราจะไม่ลงรายละเอียด เอาไว้วันหลังเราจะลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตนิรันดร์ วันนี้จะพูดคร่าวๆ พอเข้าใจว่าผู้เชื่อ มีความหวังรอคอยร่างกายใหม่  ซึ่งเป็นร่างกายซึ่งเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ขณะเดียวกัน สรรพสิ่งทั้งหลาย คือโลกใบนี้ทั้งใบ ก็รอคอยว่าวันที่มนุษย์ทั้งหลายได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ เข้าสู่นิรันดร์ เป็นโลกใหม่ ให้กับมนุษย์ได้อยู่อาศัย เหมือนกัน  มันเป็นลักษณะอย่างนั้น  แต่เมื่อมนุษย์เชื่อในพระเยซูคริสต์ อย่างที่บอกแล้วว่าเขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเยซู อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในมิติหนึ่งที่เรียกว่าสวรรค์ แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายเดิม ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในมิติของโลกใบนี้อยู่  เห็นภาพไหมครับ? วันหนึ่งเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง  คือตาย วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว  เพียงแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำวิญญาณเขาไปสวมร่างกายใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงเขียนว่าเมื่อวันสุดท้ายของโลกใบนี้ คือวันพิพากษาของโลกใบนี้ ที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา ก็คือสิ้นสุดของโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว โลกใบนี้ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่นิรันดร์ เราผู้เป็นคริสเตียน ก็จะอยู่ในร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่บนโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ไม่มีบาป ไม่มีมาร ไม่มีการล่อลวง ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ไม่มีความอดอยากใดๆ  และเราจะอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเปรียบไม่ได้กับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ในขณะนี้ เห็นไหม? พอเปรียบกันแล้ว อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าน้อยมาก มันนิดเดียวเอง  ความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ ในปัจจุบัน ที่เรากำลังรับอยู่ ก็เพราะสิ่งนี้แหละที่เรียกว่าความหวัง ซึ่งเป็นความหวังที่ไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ  แต่เป็นความหวังที่มีมัดจำยืนยันอยู่ภายในใจ คือพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่หวังไว้  และในความหวังนั้น ได้รับไปแล้ว 99% ก็คือวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูได้ไปแล้ว  อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานอยู่แล้ว เพียงแต่รออีกนิดหนึ่ง ให้ร่างกายนี้ สิ้นสุดลง แล้วจะเปลี่ยนเป็นร่างกายใหม่ เมื่อสิ้นจากโลกใบนี้ เมื่อหมดลมหายใจ พูดง่ายๆ ว่าได้ไป 99% แล้ว รออีกแป๊บเดียว รออีก 1% เท่านั้น  ก็จบสิ้นแล้ว

มันเหมือนกับเราดูหนัง หนังเรื่องนี้เราดูจบแล้ว  เราก็ไม่ตื่นเต้นอะไร? หนังเรื่องนี้จะตื่นเต้น ถ้าเรายังไม่เคยดูมาก่อน เราก็ไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร?  แต่นี่เหมือนเรารู้ตอนจบไปแล้วว่าตอนจบ ก็คือเราชนะ เราอยู่ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเจ้า และได้รับร่างกายใหม่ เมื่อตอนจบเรื่อง ร่างกายที่เป็นทุกข์ลำบากทุกวันนี้ หมดสิ้นไป เราจะไปสวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ และจะอยู่อย่างนั้นบนโลกใหม่ ชั่วนิรันดร์

บางคนอาจจะเคยถาม แล้วต้องรออีกกี่ปี ถ้าสมมติว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้เราหมดลมหายใจปุ๊บ เราจะรออีกนานเท่าไรถึงจะได้รับ วิญญาณเราออกจากร่างไป สวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตายเมื่อไร? ก็อยากจะบอกว่าเมื่อไร ก็เมื่อนั้นเลย ก็ทันที ถามว่าทำไมถึงทันที … เมื่อเราออกจากร่างนี้ไปแล้ว นึกภาพให้ดีๆ ที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ เพราะเราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นมิติของสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้  มีเวลา มีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ มีโลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดวันเวลาขึ้น เราจึงนับว่ากี่ปีๆ 2,000 ปี 3,000 ปี 4,000 ปี แต่โลกมิติทางวิญญาณมันไม่มีเวลา พูดง่ายๆ  เมื่อไม่มีเวลา ขณะที่วิญญาณเราออกจากร่างไป เราหลุดออกจากระบบของเวลาบนโลกใบนี้ไปแล้ว เข้าไปสู่มิติสวรรค์ที่ไม่มีเวลากำหนด เป็นก็คือเป็น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อออกจากร่าง ก็พบพระเจ้าทันที อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อออกจากร่าง ก็จะเจอพระเจ้าทันที จำโจรบนไม้กางเขนได้ไหม? ที่รับเชื่อพระเยซู ฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ก่อนตายที่ไม้กางเขน  พระเยซูบอกวันนี้เราพบกันในสวรรค์ พระเยซูไม่ได้บอกรออีกพันปี อีกกี่ปี พระเยซูบอกเดี๋ยววันนี้ได้ไปสวรรค์

เราไปคิดแบบภาษามนุษย์ว่าพอไปสวรรค์ ต้องกี่ปีๆ ในสวรรค์มันไม่มีปีแล้ว พระเยซูเป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คืออะไร? พระเจ้าเป็นทั้งอัลฟาและโอเมก้า  เริ่มต้น ปฐมและอวสานคืออะไร? ก็คือไม่มีเวลาอยู่ นี่คือความหวังใจ พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งไปเร็วเท่าไร? ยิ่งดี  นี่เปาโลพูดนะ เปาโลพูดว่า …

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าอยากออกจากร่างนี้ไปพบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า”

ถ้าเลือกได้ แต่ทุกคนถูกกำหนด ให้ตายเพียงครั้งเดียว  มันมีกำหนดไปแล้ว ก็แล้วแต่พระเจ้าจะทรงนำ แต่เราสบายใจ ตรงที่เราดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว  จบด้วย วันหนึ่งเมื่อออกจากร่างนี้ ไม่ว่าจะทุกข์ทรมาน ก่อนจะออกจากร่างขนาดไหนก็ตาม พระวิญญาณอยู่กับเราตลอดเวลา และให้กำลังกับเราในทุกอนุเนื้อ ตับ ไต ไส้ พุง ความคิดอะไรต่างๆ ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา ด้วยฤทธิ์อำนาจของชีวิตที่เป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูอยู่ในร่างกายเรา ตลอดเวลาอยู่แล้ว ประคับประคองจนกระทั่งร่างกายที่ต้องตายได้ มันถึงจบหมดสิ้น มันตายจริงๆ หยุดทำงาน เมื่อนั้นแหละชัยชนะเป็นของเรา จบสิ้นกันสักที หมดงาน พระวิญญาณก็นำวิญญาณเราเข้าไปสู่มิติทางวิญญาณ สวมร่างกายใหม่ อยู่ในสวรรค์ใหม่  ที่อธิบายกันไปแล้วทั้งหมด เฮกันเลย  ขอบคุณพระเจ้า

ซึ่งความเชื่ออย่างนี้ ทำให้เราสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความหวังใจ คริสเตียนทุกคนน่าจะเป็นผู้คนที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว  น่าจะรับรู้ความจริงเหล่านี้ ถ้ารับรู้ความจริงเหล่านี้  ก็เท่ากับดูหนังจบแล้ว  ก็จะตื่นเต้นนิดหนึ่ง จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็ไม่ได้ บางทีก็ตกใจเหมือนกันนะ อะไรเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จับต้องมองเห็นได้กับสิ่งที่หวังไว้ มองไม่เห็น บางทีมันก็สะดุ้งเหมือนกัน แต่เมื่อใช้สติ ค่อยๆ คิด มันก็สามารถที่จะวางใจว่าหนังเรื่องนี้มันจบไปแล้ว

เพราะฉะนั้น คริสเตียนทุกคนก็จะใคร่ครวญเรื่องความจริงเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา อย่าประมาท คิดถึงตลอดเวลา ในเรื่องของความมรณาบนโลกใบนี้ คือชัยชนะของคริสเตียนทั้งหลายในโลกหน้านั่นเอง โรม 8:24-25 …

โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน” เพราะเรายังไม่มีจริงๆ แต่เรารู้ว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว ได้รับมัดจำไว้ตั้ง 99% แล้ว เหลืออีกนิดเดียว มันก็สามารถหวังและอดทนได้  อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังดำเนินอยู่ และขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ปล่อยให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ตามลำพัง ได้รับ 99% แล้วอยู่ตามลำพัง ไม่ใช่ พระองค์บอกแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า จะไม่ละเราให้อยู่ตามลำพัง จะอยู่กับเราเสมอตลอดเวลาเลย  ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเริ่มต้นรับเชื่อ เชิญพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา พระองค์เข้ามาทั้ง 3 พระภาค และก็อยู่กับเรา จะไม่ทอดทิ้งเราเลย  คอยจูงมือเราเดินไปตลอด จนกว่าจะหมดลมหายใจบนโลกใบนี้  ใช้อวัยวะในร่างกายของเราให้เป็นประโยชน์ในแผนการของพระองค์ นั่นแหละคือสิ่งที่พระองค์ต้องการทำ แค่นั้นเอง เราจึงสามารถอดทนได้ และขณะที่พระองค์ดำเนินไปกับเราบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงช่วยเรา นำพาเราให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ในโรม 8:26-30 จึงได้บันทึกอย่างนี้ …

โรม 8:26-30 “26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเราในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย 27 และพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจของเรา ทรงรู้พระทัยของพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงอธิษฐานวิงวอนแทนประชากรของพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า 28 และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว  พระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปี ท่ามกลางพี่น้องมากมาย 30 และบรรดาผู้ที่ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย บรรดาผู้ที่ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย”

 

ท่านผู้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว รับเชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้ว  อ่านข้อความในโรม 8:26-30 บ่อยๆ  เหมือนได้ดูหนังจบแล้ว  ปล่อยให้พระเจ้านำพาเราไป

พระวิญญาณผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา จะช่วยเราในยามที่เราอ่อนแอ ไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไร? พูดก็ไม่ออก เจอความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ไม่เป็นไร? อธิษฐานไม่ได้ ไม่เป็นไร อธิษฐานไม่ออก ไม่เป็นไร? พระวิญญาณอยู่ภายในเรา ช่วยวิงวอนแทนเรา  คร่ำครวญแทนเรา  ให้อธิษฐานเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เห็นไหม?  ทุกอย่างอยู่ในการดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้นเลย  พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้ทิ้งเราให้อยู่คนเดียวโดดเดียว ต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาบนโลกใบนี้ แล้วมีความหวังว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เปล่าเลย คอยช่วยเราตลอดเวลา  เราเพียงแต่ทำสิ่งเดียว ก็คืออดทน และรอคอยวันจะเสร็จงานการของเราบนโลกนี้เท่านั้นเอง

ในข้อ 28 ยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย … “และเรารู้ว่าในทุกสิ่ง พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีกับบรรดาผู้ที่รักพระองค์”

ข้อ 28 นี้ ภาษาเดิมบอกว่า … “พระเจ้าทรงสามารถกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา” คือทั้งที่เราชอบและเราไม่ชอบ พูดง่ายๆ ทั้งที่เราทุกข์ลำบาก หรือเราสุขก็ตาม พระองค์จะทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะทุกข์หรือมันจะสุข ไม่ว่าเราจะเห็นว่าดีหรือไม่ดี ไม่ว่าคนอื่นเขาจะมองว่ามันดีหรือไม่ดี สำหรับชีวิตของเราก็ตาม พระองค์มีความสามารถที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้  ผสมปนเป ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์

คำว่า “เป็นผลดี” ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลดี ตามที่เราต้องการนะ  แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหมาะสำหรับเรา แต่เราไม่อยากได้อย่างนี้ เพราะเราไม่รู้ความจริง เราฉลาดไม่พอ แต่พระเจ้ารู้ว่าอย่างนี้ดีกว่า พระเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดให้เกิดเป็นผลดี เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ซึ่งดีกว่าเรามาก เกินกว่าที่เราจะคิด หรือขอ หรือคาดด้วยซ้ำไป พระองค์สามารถ ทำให้เกิดผลดีเหล่านั้นได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามใจเรา ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วินาทีที่เราเริ่มต้นรับเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียน  จนถึงวันแห่งลมหายใจสุดท้าย ออกจากร่างกายนี้ไป  จบสิ้นการงาน  เราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ด้วยร่างกายใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย  ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องโศก ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่ต้องอ่อนแอเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และไม่มีบาป  ไม่มีอะไรมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไป และเราจะอยู่ในสวรรค์สวยสดงดงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่หมด ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สวยกว่าสมัยเอเดนเดิมอีกด้วยซ้ำไป นิรันดร์

นี่เป็นความหวังใจของคริสเตียนทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเจ้าไม่ได้รอตอบคำอธิษฐานของเรา ตามที่เราต้องการ เราต่างหากที่รอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ จงอดทนรอให้พระเจ้า ทำตามแผนการของพระองค์  ไม่ใช่แผนการของเรา  เพราะพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ

 

พระเยซูผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย  ต้องกลายเป็นคนบาป ในขณะที่เราทั้งหลาย (ผู้เชื่อ) อดีตเป็นคนบาป แต่ได้กลายเป็นคนดีของพระเจ้า

เราได้เรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าความชอบธรรมของเรา คือการสามารถยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของมหาจักรวาล  คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สะอาดได้

เราเป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า และความชอบธรรมนี้ เป็นของประทาน เป็นของขวัญ โดยพระคุณ และผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์

พระเจ้า ได้ทรงทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลาย ผู้ซึ่งเป็นคนบาป และทำบาปมากมาย เพื่อที่เราทั้งหลาย จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม

พระเยซู ผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย แต่ต้องกลายเป็นคนบาป

ในขณะที่เราทั้งหลาย (ผู้เชื่อ) ไม่ได้ทำดีเลย แต่ได้กลายเป็น คนดีของพระเจ้า

เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เพราะได้กำเนิด เกิดมาเป็น ลูกพระเจ้า ไม่ใช่โดยความประพฤติ

“He made Christ who knew no sin to [judicially] be sin on our behalf, so that in Him we would become the righteousness of God [that is, we would be made acceptable to Him and placed in a right relationship with Him by His gracious loving kindness.” 2 Corinthians 5:21 AMP

 

พระเจ้ากระทำสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ได้ใช้สิทธินี้ ใครเปิดใจต้อนรับสิทธินี้  เชื่อในข่าวดีนี้  ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง  ได้บังเกิดใหม่ทันที

 

เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาด มากเท่าไหร่?

อ่านถ้อยคำนี้แล้ว ท่านอาจจะตกใจ …

1 ยอห์น 4:17  “เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”

เป็นเหมือนพระองค์ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกใบนี้เลย   พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1320

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ  ท่านมองไปที่ใด?”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องราวของความทุกข์ยากลำบากที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  จากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ รวมทั้งสถานการณ์โลกด้วย นอกเหนือจากการดูแลเรื่องปากท้อง เรื่องการรักษาสุขภาพอนามัย ปกป้องให้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งที่พวกเราต้องการเป็นอย่างมากในตอนนี้ ก็คือความหวัง คือกำลังใจ การหนุนใจ ใช่ไหมครับ แน่นอนสิ่งที่เราต้องการ อาจจะขาดแคลนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การกิน การอยู่ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือความหวัง  ความหวังเราอยู่ที่ไหน? เราต้องการความหวัง ต้องการกำลังใจ ต้องการการหนุนใจอย่างจริงๆ  ของแท้ และจริงๆ  ที่จะพยุงเราผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ ข่าวสารข้อมูลรายล้อมพวกเราในขณะนี้ เกือบทั้งหมด มีแต่ข่าวร้ายทั้งนั้น ข่าวติดลบทั้งนั้น  ทำให้เกิดความเครียด ช่วงนี้ไม่ว่าจะไปอ่านข่าวที่ไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียวมีเดีย ทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวใหม่  ข่าวใช่ ไม่ใช่ ส่วนใหญ่เป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น มาถึงพวกเราในแต่ละวัน เขาเรียกว่ากองขยะ เต็มไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหวังใจ เกิดความหนุนใจ เกิดกำลังใจในการดำเนินชีวิตเลย แต่ตรงกันข้าม เกิดความเครียด เกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจ โควิดยังไม่ติด ที่ติดแล้ว ก็คือความกังวล ความวิตก ท้องอืด ท้องเฟื้อ ปวดเมื่อยอะไรต่างๆ เหล่านี้ มาก่อนโควิดอีก เพราะข่าวร้ายเหล่านี้  หลายคนมัวแต่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย ลืมคิดถึงด้านจิตใจไปว่าจิตใจสำคัญกว่าร่างกายอีก เพราะฉะนั้น เราต้องดูแลเรื่องของร่างกายไปด้วยพร้อมๆ กัน  ไม่เช่นนั้น เราจะสะสมความเครียด แล้วเกิดการจับป่วยต่อร่างกายเราขึ้นมาแทนที่ ก็ได้

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้คำตอบกันไปแล้วว่า “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับลูก” และ “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกๆ อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” คำตอบเราก็รู้แล้ว คือพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นกับลูก คำตอบสั้นๆ เพราะมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจเอง พระเจ้าให้สิทธิในการมีอิสระในการตัดสินใจของมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ตัดสินใจผิดพลาดไป ตั้งแต่สมัยเริ่มต้น  จนตกลงไปในความบาป  ความทุกข์ยากลำบาก จึงเข้ามาสู่มวลมนุษยชาติทั้งปวง เท่าเทียมกันหมด  นี่คือคำตอบว่าพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น บนโลกใบนี้กับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงรัก เพราะว่าพระองค์อนุญาตให้เราตัดสินใจด้วยตัวเราเอง แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเลยแม้แต่นิดเดียว  ไม่อยากให้เป็น คืออยากให้เราเชื่อฟังนั่นเอง

และพระเจ้าอยู่ที่ไหน ตอนที่เกิดความทุกข์ยากลำบาก เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่ที่ไหน? คำตอบ ก็คือพระเจ้า ก็อยู่ในตัวเรานั่นเอง พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราเลย ทั้ง 3 พระภาค นำพาเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขา เงามัจจุราช ไม่ต้องกลัวอะไรลูก ไปด้วยกัน ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่ห่างเราเลย นี่คือคำตอบของ 2 หัวข้อที่ได้เรียนรู้กันไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว

และวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันต่อว่าท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้  ซึ่งเปรียบเสมือนมีความมืด  หรือสิ่งเลวร้ายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลก และเหนือมนุษย์ทั้งปวง  ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เราควรจะมองไปที่ใด?  ชื่อเรื่องการบรรยายวันนี้ ก็คือ “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองไปที่ใด?” ในยามเกิดความทุกข์ลำบากไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในขณะนี้  ลองถามตัวท่านเอง ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญเหล่านี้  ท่านมองไปที่ใด?  ฉันมองไปที่ไหน?  นึกในใจว่าท่านกำลังมองไปที่ไหน?  ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก ท่ามกลางปัญหา  ความยุ่งยาก  ท่ามกลางผลกระทบโควิด-19 ทุกรูปแบบ เรามองไปที่ไหน?  มีคำตอบให้เลือกอยู่ 2 ข้อ  ก็คือ …

(1) มองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่

(2) มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น

ท่านเลือก 1 หรือ 2 หรือท่านกำลังเลือก 1 หรือ 2 หรือท่านได้เลือกไปแล้ว คือ 1 หรือ 2 หรือท่านกำลังอยู่ในข้อ 1 หรือข้อ 2 มองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่ หรือ 2 มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  ลองถามตัวเองขณะนี้ …

“ฉันมองไปที่สิ่งที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้ รอบข้าง  ความเดือดร้อน หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หรือฉันมองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นความหวังในพระคริสต์”

ชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้  ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ได้เป็นคริสเตียน  รู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า ผมอยากยกตัวอย่างเหมือนนั่งรถไฟเหาะ  จำได้ไหมสมัยเด็กๆ เราชอบไปเล่นรถไฟเหาะ รถไฟตีลังกา ก็ได้ ในสวนสนุก มนุษย์ทุกคนเหมือนนั่งอยู่ในรถไฟเหาะ เพียงแต่ถ้าไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระเยซูสถิตอยู่ด้วย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็คือนั่งรถไฟเหาะตัวคนเดียว แล้วแถมไม่มีเข็มขัดรัดอีก ท่านลองคิดดู ต้องใช้กำลังตัวเองในการยึด จับราวให้แน่น เข็มขัดก็ไม่มี กลัวก็กลัว  แล้วออกเดินทาง พอถึงที่สูง ก็สบาย ยิ้ม ดูวิว แป๊บเดียว ลง ต้องหลับตา ตะโกนดังลั่น  ว๊ายยยย  แรกๆ มันลงไปเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว หายใจได้นิดเดียว มาอีกแล้ว ตอนลง เขาเรียกว่าความทุกข์ยากลำบากเข้ามา  แล้วเราต้องใช้ตัวเราเองจับอยู่อย่างนั้น  แล้วเราจะไปถึงที่หมายไหม  มันหนักกว่านั้น หลายครั้ง ไม่ใช่ลงอย่างเดียว มันหมุนตีลังกา เขาเรียกรถไฟตีลังกาแล้ว  มันหมุนอย่างนี้เลย แล้วเราเอากำลังตัวเองยึดอยู่ พอไหวหรือ? จะได้สักกี่หมุน? หรือกี่ครั้ง?

แต่สำหรับคริสเตียน  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว  มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เมื่อมีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  ก็เหมือนนั่งในรถไฟเหาะนี้  ไม่ใช่มีพระเจ้าอย่างเดียวนะ พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีแล้ว ให้เรามองไปที่ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้ข่าวดีนี้  ซึ่งเป็นความจริง  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์คาดไว้ที่เอว พูดง่ายๆ ว่านั่งรถไฟเหาะ แล้วคาดเอวด้วยข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อนั้น แล้วก็เอามือจับราวเหมือนกัน ไม่พอ พระเยซูยังนั่งข้างๆ ไม่ใช่นั่งข้างๆ คลุมตัวเราอยู่เลย  กอดเราอยู่ตอนนั้น อยู่กับเราตอนนั้น  แล้วก็บอกเราว่าไปด้วยกัน  นี่แหละ รถไฟเหาะมันก็เป็นอย่างนี้เสมอ  สำหรับคริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว ไปด้วยกัน พอถึงเวลาลงเหว ก็คือเวลาขาลง  เกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้นมา  เราก็เหมือนเดิม  มันเคยชิน มันก็ต้อง (ขอโทษที) มันก็ต้องแหกปากร้อง ตกใจ แล้วก็หลับตา  แต่ในขณะหลับตา เราเห็นพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราเห็นเอามือจับ หลับตา สัมผัสได้ว่าเราคาดเข็มขัดอยู่ ก็ตกใจ ว๊ายยยย แต่ลึกๆ ก็คือเรามีความหวัง เราปลอดภัยแน่นอน เพราะเรารัดเข็มขัดแล้ว  นี่แหละ แล้วมันก็ขึ้นมา ดู ชมวิวปุ๊บ เดี๋ยวลงอีกแล้ว  จะลงมากถึงขนาดตีลังกากี่ตลบก็ตาม  เข็มขัดก็รัดเราไว้อยู่ แล้วพระเยซูก็โอบกอดเราอยู่  เราก็แค่ตกใจ แล้วก็สนุกสนานไปกับความทุกข์ลำเค็ญ ตีลังกา หมุน เหมือนรถไฟเหาะนั้น

นั่นแหละสิ่งที่ผมอยากยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ เลย คือมันแตกต่างตรงที่เราไม่พึ่งพากำลังของตนเองอีกแล้ว แต่เราพึ่งพากำลังของพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้าสมัยก่อนเราไม่รู้จักพระเจ้าเลย  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราพึ่งพาตนเอง เราพึ่งพากำลังของตนเอง  เข็มขัดก็ไม่มี เราก็ไม่มีความหวัง

เพราะฉะนั้น ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นความจริง ความจริงที่ไม่ตาย  ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่มีพระเยซูคริสต์เป็นผู้นำ  สถิตอยู่ภายใน และเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของผู้เชื่อ ท่านลองนึกถึงภาพว่านี่คือความเป็นจริง  นี่คือข่าวดีของพระเยซู ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่มีพระเยซูสถิตอยู่ภายใน  เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา  ไปไหน ไปกับเราตลอดเวลา  มีพระเยซูคริสต์ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา นี่คือความจริงของข่าวดี

ท่านเชื่อไหมว่าพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ถ้าถามคริสเตียนทุกคน ผู้เชื่อทุกคน ก็แน่นอนนี่คือเริ่มต้นของความเชื่อ ในข่าวดี ก็คือต้องเชื่อว่าพระเยซูได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปเรา  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อแน่นอนอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อแบบนี้ คือเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านก็ต้องเชื่อด้วยว่าพระเยซูผู้นี้ สถิตอยู่ในท่าน เป็นความจริง อันเดียวกันกับตอนที่เริ่มต้น เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน พระเยซูตายที่ไม้กางเขนเป็นความจริง พระเยซูสถิตอยู่ในท่าน ก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน  เหมือนๆ กัน เป็นความจริงที่สำคัญ

ความเชื่อ ก็คือการจดจ่อ หลับตา มองไปที่สิ่งที่ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้  ซึ่งตาฝ่ายเนื้อหนัง ตาฝ่ายร่างกาย มองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้  เราจึงเรียกว่าความเชื่อ  ไม่ใช่ความเชื่อ แล้วไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไร ไปเชื่อลมๆ แล้งๆ ไม่ใช่ เชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่ได้บันทึกเอาไว้ บอกว่านี่คือความจริง แล้วเราก็จดจ่อ  มองไปที่ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านั้น ที่บันทึกเอาไว้ หลับตามอง  ถ้าลืมตาไม่เห็น  ลืมตา ก็จะเห็นสิ่งที่สัมผัสแตะต้องได้

ความทุกข์ลำบากต่างๆ บนโลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้  สัมผัสได้ แตะต้องได้  มีผลกระทบต่อชีวิตของเรา ทุกคนบนโลกใบนี้  เหตุก็เพราะว่าความอ่อนแอของร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ซึ่งมันตกอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ แม้ว่าเราเป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม เนื้อหนัง  ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ตกอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย  เพียงแต่ว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา แล้วช่วยให้เรารอดทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น  แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า  อยู่ภายใต้อวัยวะที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย คือต้องดำเนินไปสู่ความตายอยู่

และนอกเหนือจากนั้น ร่างกายนี้ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังมีอิทธิพลของความบาปและกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คือความเคยชิน ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ที่แอบแฝงอยู่ ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ก็จะเกิดความทุกข์เหล่านี้  เพราะเนื้อหนังร่างกายที่อ่อนแอตรงนี้แหละ

และเนื้อหนังร่างกายที่อ่อนแอ มันจะส่งผลมาเป็นอย่างไร? เราก็เห็นๆ อยู่ เช่น แก่ เจ็บ ตาย กลัว วิตกกังวล เครียด ท้อแท้ ซึมเศร้า โกรธ เกลียด วิวาท ทำร้ายกัน แก่งแย่งกัน ฆ่ากัน ทำลายกัน นี่คือกระทบต่อร่างกายที่อ่อนแอของเรา ผู้เชื่อ ทำให้เราเกิดความทุกข์

เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคน ก็จะทุกข์อย่างนี้แหละ  เพราะร่างกายที่มันอ่อนแอ และรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น  มันก็เกิดความทุกข์  ถ้ารับได้ มันก็ไม่เกิดความทุกข์  แต่นี่รับไม่ได้ เพราะร่างกายมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของความบาป ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  และยังทำงาน มีอิทธิพลอยู่ในร่างกายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้  แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูมาช่วยเราแล้ว เราจะเรียนรู้กันต่อไปว่ามาช่วยขนาดไหน? เราเริ่มต้นที่โรม 8:10-11 ในวันนี้ก่อน ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน  แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

ข้อ 10 “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน ผู้เชื่อแล้ว  ถ้าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน  แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณ จิตใจภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซู เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”

ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู วิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่  จิตใจของท่านได้ถูกเปลี่ยนเป็นใหม่ทั้งสิ้น  วิญญาณเหมือนพระเยซู จิตใจก็เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย แต่อาศัยอยู่ในร่างกายที่ยังอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย คือต้องเสื่อมโทรมไปสู่ความตายนั่นเอง

ข้อ 11 บอกว่าอย่างนี้ … “และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  สถิตอยู่ภายในท่าน พระวิญญาณผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้  ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซูให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก  ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นเดียวกัน”

พูดง่ายๆ ก็คือแม้ว่าร่างกาย อวัยวะภายนอกนี้ จะต้องตาย เสื่อมสลายไปก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ซึ่งเป็นพระวิญญาณที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันเดียวกันนี้  ก็จะประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอกนี้ด้วย

พระคัมภีร์เขียนให้เห็นชัดเจนเลย ให้เห็นถึงรายละเอียดเลยว่าชีวิตแบบนิรันดร์ของพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา พระวิญญาณจะปกคลุมอยู่เหนือทุกส่วนในร่างกายของเรา ทุกเซลเลย  นั่นหมายถึงขณะที่อวัยวะทุกชิ้นในร่างกายนี้  หัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท ตา หู จมูก ลิ้น สมอง พูดง่ายๆ ทุกเซลในร่างกายของเรา กำลังเสื่อมโทรม เสื่อมสลาย เสียหาย เจ็บป่วย เป็นทุกข์ ไปสู่ความตาย  แน่นอน ไปสู่ความตาย เพื่อลงไปสู่ดิน  สู่ความสูญสิ้น  ในขณะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน ก็กำลังให้พลังชีวิตแบบพระคริสต์ ให้ฤทธิ์เดชแบบพระคริสต์ ปกคลุม ควบคุมอยู่เหนืออวัยวะต่างๆ  ที่กำลังเสื่อมสลาย เสียหายอยู่นั้น ตลอดเวลาเลย  ไม่ว่าจะนอนหรือตื่น ตลอดเวลา  ทุกลมหายใจเข้าออก พระวิญญาณบริสุทธิ์  ให้พลังฤทธิ์เดชแบบพระเยซูคริสต์ ให้กับเนื้อหนังร่างกาย อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน  พระวิญญาณช่วยเราให้สามารถที่จะชื่นชมยินดี  ทรหด อดทน เต็มไปด้วยสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้ได้ ด้วยพลังชีวิต ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ในขณะที่อวัยวะต่างๆ เหล่านี้เสื่อมโทรมไป ทุกข์ลำบากไป  ขณะเดียวกันมีพลังอะไรบางอย่าง  มีฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาเสริมให้ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี  เต็มไปด้วยความอดทน รับได้กับสิ่งเหล่านี้ มีความหวังกับสิ่งเหล่านี้

ให้พลังชีวิตกับเรา ในทุกอวัยวะในร่างกายที่ต้องตายนี้  ที่ได้รับความทุกข์นี้ จะให้พลังนี้ไปจนกระทั่งถึงสิ้นสุด ขบวนการเสื่อมสลายในที่สุด คือหมดลมหายใจ บนโลกใบนี้ แล้วก็กลับไปสู่ดิน  วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะนำวิญญาณของเรา พร้อมทั้งจิตใจที่เหมือนพระเยซูนั้น ไปสวมร่างกายใหม่  ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยพระสิริ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเลยทีเดียว เรียกว่าร่างกายสวรรค์ที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย ไม่ได้ตกอยู่ใต้ความเสื่อมโทรมอีกต่อไป เป็นร่างกายนิรันดร์ เป็นร่างกายอมตะ

สรุป ก็คือโลก และทุกสิ่งบนโลก กำลังต่อต้าน ทำร้าย ทำลายเรา ให้สูญสิ้น ตามกฎของความบาปและความตาย แต่พระเยซูผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา  กำลังเสริมสร้างเราขึ้นใหม่ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ในเรา ฮาเลลูยา

นี่คือความหวังของเรา ในขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ และเรามองไปที่พันธสัญญาของพระเจ้า  ที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ สัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่มันเป็นจริงตามนั้น เรารู้อยู่ภายในจิตใจของเรา  2 โครินธ์ 4:16-18 ย้ำยืนยันในเรื่องนี้อีกว่า …

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างหล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา)  แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

ข้อ 16 เริ่มต้น “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ กลัว เครียด ซึมเศร้า  แม้ว่ากายภายนอกเรากำลังทรุดโทรมไป”

ท่านสามารถพูดตามนี้ได้ไหมว่า … “ฉันไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ไม่กลัว แม้ว่ากายภายนอกนี้ ตับ ไต ไส้ พุง  อวัยวะทุกชิ้นนี้ กำลังทรุดโทรมไปสู่ความตาย  ฉันไม่กลัว ฉันไม่ท้อแท้ ฉันไม่วิตกกังวล”

คำว่า “ท้อแท้” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษ หลายฉบับได้ใช้คำว่า “Lost Heart” ที่แปลเป็นภาษาพูด เรามักใช้คำว่า “ถอดใจ ท้อแท้ หมดหวัง”

“ฉันไม่หมดหวังเลย  แม้ว่าจะเจ็บป่วย ฉันไม่หมดหวังเลย  แม้ว่าจะทนทุกข์อยู่ตอนนี้  ฉันไม่หมดหวังเลย แม้จะเครียดกับความกดดัน  จากผลกระทบของโควิด-19 ในขณะนี้มาก เท่าไรก็ตาม ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่าฉันอยู่ในความทุกข์  แต่ฉันมีความหวังในความทุกข์เหล่านี้” มันแปลว่าอย่างนี้

เราไม่ท้อแท้ หรือเราไม่ถอดใจจากเหตุที่ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไปก็จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้  เห็นอยู่จริงๆ  จับต้องมองเห็นได้  มันกำลังทุกข์

คำว่า “กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป” ตรงนี้หมายรวมถึงทั้งการเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่เป็นไปตามธรรมชาติ  ความเสื่อม ความแก่ที่เป็นไปตามอายุขัย  ความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้าย โรคเรื้อรังต่างๆ  รวมไปถึงความเครียด จนนอนไม่หลับ  รวมถึงความทุกข์ทรมาน ทุกรูปแบบ เป็นผลกระทบมาจากเรื่องอะไรก็ตามที่เราได้รับอยู่  ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม  บางครั้งอาจจะทุกข์มาจากความสูญเสีย ในสิ่งที่รักไป สูญเสียคนที่รัก หรือบางครั้ง เหมือนกับสิ่งที่อยากทำ ก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ไม่อยากทำ ก็ไปทำ มันวุ่นวายไปหมด สิ่งที่ต้องการกลับไม่ได้ สิ่งที่ไม่ต้องการกลับได้มา โลกใบนี้มันช่างวุ่นวายเหลือเกิน

ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนมีส่วนในกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไปทั้งสิ้น อย่างนี้แหละ มันกำลังนำเราไปสู่ความตาย ความทุกข์ลำบากนั่นเอง เป็นเรื่องของกฎของความบาปและความตาย  และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้  และมนุษย์ทุกคนก็อยู่ใต้กฎนี้ทั้งสิ้น

แต่ถึงแม้ว่าเราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ คือความทุกข์ลำบากเหล่านี้ ก็ตาม เราก็ไม่ท้อแท้  ไม่ถอดใจ เต็มไปด้วยความหวัง  ในถ้อยคำตรงนี้ได้บอกต่อว่าเพราะถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป  กำลังทุกข์ ลำบาก  เครียด ท้อแท้  เห็นๆ อยู่  แต่ตัวตนภายในของเรา  ซึ่งก็คือวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์นั้น  กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวันๆ ในขณะเดียวกันกับที่ร่างกายกำลังทรุดโทรมไป  แต่วิญญาณข้างในของเรา  ที่เป็นตัวจริงๆ เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา  ที่อยู่นิรันดร์นั้น ที่บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ที่เหมือนทั้งวิญญาณและที่เหมือนทั้งจิตใจนั้น  โตขึ้นทุกวันๆ  ตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเชื่อพระเยซู และได้บังเกิดใหม่แล้ว  จนถึงวันนี้ มันก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ  โดยได้รับการเลี้ยงดูจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรานั่นเอง เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?

นี่คือความหวังใจของเรา  ข้างนอก คือสิ่งที่มองเห็นอยู่  อาจดูเสื่อมโทรมลงทุกวันๆ แย่ลงทุกวัน  ทุกข์มากขึ้นทุกวัน  แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ ไม่สิ้นหวัง เพราะเรารู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน รู้ได้อย่างไร? ก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจของเรา ถามคริสเตียนว่ารู้ได้อย่างไร? ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็จะตอบว่า …

“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

มีอะไรบางอย่างยืนยันอยู่ในใจ  มีอะไรบางอย่างย้ำยืนยัน  เป็นพยานอยู่ในใจว่ามันใช่ มันถูกต้องในความหวังนี้  มันจับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่หวังไว้ สิ่งนั้น ก็คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลายผู้เชื่อ และวิญญาณเราทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่  พร้อมกับจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่แหละเป็นตัวยืนยันว่า … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” นี่คือความหวังของเรา

มาดูข้อ 17 กันต่อ อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เราเกิดความมั่นใจ ที่บอกว่ากายภายนอกกำลังทรุดโทรมลง แต่ตัวตนที่แท้จริงข้างใน กำลังเจริญเติบโตขึ้นใหม่ทุกวัน  หมายความว่าอะไร?  เรามาค่อยๆ วิเคราะห์กันต่อ ในข้อ 17 บอกว่า … “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างหล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย”  ฮาเลลูยา

สังเกตให้ดี ในข้อนี้ ใช้คำว่า “เปรียบ” ก็แปลว่ามีการเปรียบเทียบของสิ่งต่างๆ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ดูสิว่าเขาเปรียบอะไรกันอย่างไร? ถ้อยคำตรงนี้กำลังเปรียบเทียบระหว่าง …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก

(2) สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าที่อยู่ในเรา

 

มาดูลักษณะของ 2 สิ่งนี้ ที่เราเปรียบเทียบกัน

(1) ความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังรับอยู่ในขณะนี้นั้น   นึกถึงความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ว่าจะมาจากผลกระทบจากโควิด-19  หรือได้รับมาก่อนหน้าโควิด-19 จะมีด้วยซ้ำไป ได้รับมาตั้งแต่เมื่อไร? ได้รับมาตั้งแต่ 3 ขวบ 7 ขวบ 10 ขวบ 50 ขวบ 60, 70 เพิ่มไปเมื่อไรก็ตาม มากขึ้นเมื่อไรก็ตาม  เรื่องอะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบาก เหล่านี้ ที่ท่านได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น คือขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้อยู่นั้น มันเป็นสิ่งชั่วคราวเท่านั้น และเป็นสิ่งเล็กน้อย ต้องใช้คำนี้เลยนะ เพราะภาษาเดิมแปลจริงๆ ต้องใช้สำเนียงเสียงช่วยด้วย คือไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย ต้องเรียกว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย (ใช้เสียงเล็กน้อยจริงๆ)  มากเลย  นี่คือลักษณะของสิ่งที่หนึ่ง

(2)  สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์  นี่เทียบกัน สง่า ราศี พระสิริของพระเจ้า อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์ นิรันดร์ ตะกี้นี้บอกว่าความทุกข์ยากลำบากชั่วคราว อันนี้บอกสง่าราศีอันยิ่งใหญ่นิรันดร์ ตะกี้บอกความทุกข์ยากลำบากเล็กน้อย มาเทียบกับสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สมบูรณ์ เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนใช่ไหมครับ?

อันแรก คือความทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งเล็กน้อยยยยยย มากเลย ในขณะที่สง่าราศี พระสิริของพระเจ้า เป็นสิ่งถาวรนิรันดร์ และยิ่งใหญ่ มโหฬาร มากมาย

นี่คือที่บอกว่าสองสิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  เหมือนกับฟ้ากับเหว  เปรียบกันไม่ได้เลย สูงสุด กับต่ำสุด หาไม่เจอเลย ต่ำสุด อยู่ขนาดไหน? ฟ้ากับเหว  หรือเหมือนกับเงาและของจริง เงาอยู่ถึงเมื่อไร? แป๊บเดียว ของจริงอยู่นิรันดร์ นี่คือการเปรียบเทียบกันระหว่างเล็กน้อยยยยย ชั่วคราวกับความยิ่งใหญ่ ถาวร นิรันดร์

เห็นอะไรบางอย่างหรือยังว่าท่านมองไปที่ไหน?  สำคัญไหม?  ท่านมองไปที่สิ่งที่เล็กน้อยยยย ชั่วคราว มองไปที่เงา หรือท่านกำลังมองไปที่สิ่งของที่ยิ่งใหญ่ ถาวร และอยู่นิรันดร์ ของจริง ไม่ใช่เงา ของจริงเลย  โรม 8:18 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ เป็นตัวย้ำยืนยัน อยากให้ท่านดูถ้อยคำตรงนี้  เพื่อเป็นการสนับสนุนในการมองไปที่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีท่าที มองไปที่ความทุกข์ยากลำบากนั้น ในลักษณะอย่างไร? …

โรม 8:18   “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”

 

“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า …” เห็นอะไรบางอย่างไหม?  …

“เพราะฉันเชื่อ ฉันจึงเห็น” พูดง่ายๆ

“เพราะว่าฉันหลับตาเห็นนั่นเอง”

“เพราะฉันเชื่อ ฉันหลับตา จึงเห็น ลืมตาไม่เห็น”

“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น  ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ได้สำแดงในเราทั้งหลาย”

“เมื่อหลับตา เต็มไปด้วยความเชื่อ ฉันจึงเห็นว่าชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ภายในวิญญาณของฉัน และจิตใจของฉัน ที่บังเกิดใหม่นั้น  มันยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบารมี เต็มไปด้วยสิริมากมายขนาดไหน?

เมื่อหลับตา จึงเห็น ที่ผมเคยบอก มองในกระจก แล้วตกใจ  เพราะว่ามองไปทีไร ก็เห็นใบหน้าตัวเองแก่ลงทุกวัน เต็มไปด้วยความทุกข์ ลำบาก มีปัญหาโน้น ปัญหานี้ แต่มองกระจก แล้วหลับตา  คราวนี้ยิ้มแฉ่งเลยนะ คือ …

“หลับตามองด้วยความเชื่อ สายตาวิญญาณเปิดออก เห็นตัวจริงๆ ของฉันที่อยู่ข้างใน คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว  เอเมน และนอกเหนือจากนั้น ยังเห็น 3 พระภาคของพระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วย  เอเมน”

เพราะฉะนั้น  เมื่อเกิดความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์ลำเค็ญมากมายมหาศาล เราควรจะหลับตาเดิน แต่อย่างที่บอก ไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์กับเราเลย จะทำลายเราลูกเดียว  ไม่ใช่ พระเจ้าสามารถทำให้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรานั้น  เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับชีวิตของเรา ที่พระองค์ทรงรักได้ด้วย  พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด มีความสามารถ มีสติปัญญาล้ำเลิศ  พระองค์ไม่ได้เป็นคนเอาความทุกข์ยากลำบากมาให้กับเรา เรารู้แล้ว  จากการเรียนรู้เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าความทุกข์ยากลำบากจะเกิดขึ้นกับลูกๆ ของพระองค์เพราะลูกๆ ของพระองค์ไม่เชื่อฟัง แต่พระองค์ยิ่งใหญ่  เต็มไปด้วยความสามารถ พระองค์สามารถเอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกนั้น มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น โอเคไม่เป็นไร เกิดขึ้นปุ๊บ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดผลดี  สำหรับลูกของตัวเองเสียเลย  นี่มันเป็นอย่างนั้น

ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยยยยมาก และเป็นเพียงแค่ชั่วคราว  แต่พระเจ้าเอากลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็คือใช้มันให้เป็นการเสริมสร้าง หล่อหลอมและเตรียมเรา ในการเข้าสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบนิรันดร์  ในอนาคตนั่นเอง  ซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ทุกอย่าง ทุกประการ

พูดง่ายๆ ว่าเป็นการตระเตรียมเราเข้าไปสู่การรับความรอด จากพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบนั่นเอง  เพราะขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์แล้วก็จริง  แต่มันยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าวิญญาณและความคิดจิตใจเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว จบสิ้นไปแล้ว ได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา แต่เรายังสวมร่างกายเก่า  ซึ่งตกอยู่ใต้ความบาปและความตาย ในความทุกข์ทรมานเหล่านี้ อย่างที่บอก มันยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์และแถมยังอยู่ในโลกเดิม  โลกเก่า ที่เต็มไปด้วยระบบของความบาปและความสาปแช่ง ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น มันยังไม่เป็น Full option ของความรอดนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะความรอดนิรันดร์นั้น  จะได้รับก็ต่อเมื่อ  ขาด Option อีก 2 อย่างที่ยังไม่ได้รับ ก็คือ …

(1) ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

(2) โลกใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นใหม่ และสรรพสิ่งบนโลกใหม่เอี่ยมเลย เป็นสวรรค์ใหม่เลย ให้กับเราทั้งหลาย แทนโลกใบนี้ ที่จะอยู่กับพระองค์เป็นนิรันดร์

สองสิ่งนี้ เรายังไม่ได้รับไง แต่สิ่งที่เราได้รับไปแล้ว ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์ไปเรียบร้อยแล้ว รอเพียงร่างกายใหม่ ร่างกายที่มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย และรอไปอยู่ในโลกใหม่  หลังจากโลกใบนี้สิ้นสุดลง  ถูกทำลายหมดสิ้นลงแล้ว พระเจ้าทรงประทานโลกใหม่ สรรพสิ่งบนโลกใหม่ๆ ให้กับเราทั้งหลาย ได้อยู่อาศัย นั่นแหละคือ Full option ของความรอด  นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ผู้เชื่ออย่างเต็มบริบูรณ์นั่นเอง

ขนาดไม่เต็มบริบูรณ์ ตอนนี้ก็ยังโอ้โห ขอบคุณพระเจ้ามากมายเลย แต่ยังมีความหวังไว้ว่าเมื่อไรจะถึง Full option สักที  และความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่เรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ความลำเค็ญเหล่านี้  จงมองให้เห็นเถิดว่าความหวังเราอยู่ที่ไหน? ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ให้เป็นตัวเสริมสร้าง ให้เรามีกำลัง ให้เรามีความหวังชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่เราหวังไว้ คือร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นขึ้นจากความตาย  ที่เราจะสวมในอนาคต รวมทั้งโลกใหม่นั้น  มีอยู่จริง และชัดเจนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประทานความจริงนี้ ชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในอวัยวะทุกส่วน  ทุกระบบในร่างกายนี้ที่มันกำลังเสื่อมสลายไป ให้หล่อเลี้ยง ด้วยพลังเสริมนี้ตลอดเวลา ให้รู้ว่าขณะที่ทรุดโทรมลงไป เราจะมีชีวิตใหม่ เรามีความหวังอยู่ในพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  โรม 5:3-4 จึงได้บันทึกไว้ลักษณะนี้ว่า …

โรม 5:3-4 “3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจ”

 

เพราะเหตุนี้แหละ ที่อธิบายให้ฟังไปเมื่อสักครู่นี้  ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เราจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  ไม่ได้ชื่นชมยินดีที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่เหมือนพระเยซู แต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เรากำลังเดินทางไปสู่สิ่งใดที่เราหวังไว้? พระเจ้ากำลังทำอะไร?  เราจึงสามารถมีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้

พูดง่ายนะครับ แต่เวลาเผชิญอยู่ ลำบากมากจริง เพราะขณะที่เราลืมตามองดูในสิ่งที่มองเห็น คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันดูเหมือนทุกข์สาหัสจริงๆ เลย เมื่อไรจะหมดทุกข์สักที ทั้งๆ ที่ความจริง มันแป๊บเดียว พระเจ้าบอกเรา แต่เราหลับตา เรามองเห็นชีวิตนิรันดร์ ความสุขนิรันดร์ที่รอเราอยู่ และเราได้รับมัดจำไปแล้ว เราจึงสามารถชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบากนั้น มันก่อให้เกิดผลดีในชีวิตของเรา พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ก่อให้เกิดผลดี

“เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก ความกดดัน ความท้อแท้ ความลำบาก ความเครียด ความกลัว ความเสื่อมสลายของร่างกาย ผมหงอก ตาเริ่มมองไม่เห็น  สายตาเริ่มยาว ประสาทเริ่มเสียลง เดินทรงตัวไม่ค่อยได้ เจ็บโน่น เจ็บนี่ เข่าตึง เข่าทรุด เข่าเสีย หัวใจเต้นผิดปกติ กินยาลดความดัน เป็นโน่น เป็นนี่ ไม่เป็น ก็โดนโน่นโดนนี่ โดนนั่น เครียดไปหมดเลย  แต่เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ตะกี้บอก คือความทุกข์ลำบากเหล่านี้ มันทำให้เราเกิดความอดทน ความอดทนเยอะๆ ทำให้เกิดความทรหด เขาเรียกว่าทรหดอดทน แล้วเกิดมีประสบการณ์ขึ้นมา  แล้วประสบการณ์นี้ทำให้เราเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  มีกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็งขึ้น ที่พระเจ้าจะสามารถใช้ได้  ซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง ในชีวิตนิรันดร์นั่นเอง  และความหวังนี้ ทำให้เราเกิดความหวังใจในความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับมาแล้วนั้น เรามองไม่เห็น แต่เรารู้อยู่ในใจ  และทำให้ความรู้อยู่ในใจ และความเชื่อในความรอดตรงนี้ ในความหวังตรงนี้ มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจน  แน่ใจมากยิ่งขึ้น  คือมีกล้ามเนื้อของวิญญาณ กล้ามเนื้อของความเชื่อและความหวังใหญ่ขึ้น

ผมนึกถึงภาพ เหมือนคนเข้ายิม ทุกคนที่เข้ายิมหรือฟิตเนส ถามว่าเข้าไปทำอะไร? เข้าไปทรมานตัวเอง หลักการ คือทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน เกิด สเตทต่ออวัยวะในร่างกาย กล้ามเนื้อเหล่านั้น เพื่อจะใช้ความอดทน จะเห็นชัดเลย ยกน้ำหนัก จะให้กล้ามเนื้อขึ้น ต้องยกให้มันหนักเข้าไว้  หนักขนาดกล้ามเนื้อนั้นๆ เกือบจะรับไม่ไหวแล้ว ให้มันเกิดความกดดัน  เกิดความทุกข์ต่อกล้ามเนื้อนั้น  พอทุกข์ปุ๊บ  แล้วปล่อยให้มันพัก มันก็จะเสริมสร้างตัวเองขึ้นมา เพื่อจะรอรับความทุกข์อันต่อไป ตามธรรมชาติ เผื่อมีความทุกข์ขึ้นมา  จะได้รับได้  เกิดความอดทน ความอดทนทำให้เกิดกล้ามเนื้อค่อยๆ แข็งแรงขึ้น  เกิดเสริมสร้างขึ้น  พอได้ระดับหนึ่งปุ๊บ ก็ต้องยกหนักขึ้นอีก  เพื่อให้เกิดความทรหด  ให้กล้ามเนื้อนั้นได้เสริมสร้างขึ้นอีก  เป็นขั้นเป็นตอน เสริมสร้างขึ้นเรื่อยๆ อดทน ทรหด

ทรหดแล้วก็มีความทรหดมากขึ้น  มีประสบการณ์ทรหดนั้น แล้วก็เกิดอุปนิสัยใหม่ของร่างกาย อุปนิสัยใหม่ของกล้ามเนื้อนั้น ก็เกิดขึ้น คือกล้ามเนื้อที่เล็กๆ ก็กล้ามใหญ่ขึ้น มีกำลังมากขึ้น  เอาไปประกวดเพาะกายได้  เบ่งกล้ามออกมาสวยงาม

ถามว่าเขาทุกข์ทรมาน เพราอะไร? เพราะหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะได้ตามรูปที่บอกไว้  จะได้เพาะกายกล้ามเนื้อ นักเพาะกาย ถ่ายรูปมาสวยๆ กว่าเขาจะได้อย่างนั้น เขาทำความทุกข์ยากลำบากให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อเหล่านั้น เป็นเวลานานเท่าไร? อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า นานเท่าไร? เพราะฉะนั้น ก็ลักษณะเดียวกันในโลกวิญญาณ

พระเจ้าทราบดีหมดว่าคนไหนเหมาะสมอย่างไร? ไม่ใช่เข้ายิม ทุกคนก็ทำได้เท่ากันหมด  ทุกคนเข้ายิม ยกน้ำหนักเท่ากันหมด ทุกคนเข้ายิมยกน้ำหนักตั้งแต่ 2, 3 กิโลฯ แล้วไปถึง 100 กิโลฯ ได้ เราเข้าไปใหม่ๆ สรีระร่างกาย อาจไม่ได้เท่ากับนักเพาะกายคนนี้ หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าเลย เพราะเราต้องเกิดมาเป็นเขา จะไปเปรียบเทียบกับเขา ทำตามเขา ไม่ใช่อย่างนั้น  เทรนเนอร์คงไม่ทำอย่างนั้นกับเรา  เทรนเนอร์ก็คงดูแลเราว่าสรีระร่างกาย ความสามารถของกล้ามเนื้อของเราขณะนี้ และด้วยการเกิดของสายพันธุ์ เชื้อชาติของเรา ขณะนี้ เรารับได้ขนาดไหน? ก็ค่อยๆ ฝึกไป ค่อยๆ ตามแต่ความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เห็นไหมครับ? ไม่ใช่เข้าไป ก็อยากจะเป็นนักเพาะกาย เหมือนคนที่เขาทำซะสวยเลย  …

“ผมอยากได้แบบนั้นบ้าง?”

“ฉันอยากได้แบบนี้บ้าง?”

เทรนเนอร์บอก … “ไม่ได้หรอก ต้องไปเกิดใหม่ เป็นไปไม่ได้หรอก” อะไรต่างๆ เหล่านี้

เพราะฉะนั้น  พระเจ้าก็เป็นเหมือนเทรนเนอร์  ทรงทราบดีว่าแต่ละคนมีคุณสมบัติ  มีความสามารถ มี DNA จากพ่อแม่ที่เกิดมา จากเชื้อพันธุ์ที่เกิดมา มีโรคประจำตัวอะไรไหม? เป็นอย่างไรไหม?  รับได้ขนาดไหน? พระองค์ทรงทราบดี  พระองค์จึงจัดเตรียมให้แต่ละคนรับได้ไม่เหมือนกัน  เพราะว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระองค์จัดเตรียมให้เหมาะสำหรับแต่ละคน พอดีๆ พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่เกินกว่าที่เราจะรับได้

ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่เกินกว่าที่เราจะรับได้ แต่พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ สัตย์ธรรม พระองค์ทรงเตรียมแผนการบอกให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  คือให้เราได้พัก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อต่อไป  ไม่ให้ถึงขนาดบาดเจ็บนั่นเอง เทรนเนอร์ที่ไม่ดี ก็คือทำตามใจคนออกกำลังกาย อยากจะทำอย่างนี้ ปล่อยให้ทำไป ยกน้ำหนักเกินกว่าตัว ที่จะสามารถทำได้ ก็เกิดความบาดเจ็บ พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น

ดังนั้น เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วว่า 2 สิ่งนี้ มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อยมาก  และเป็นสิ่งชั่วคราว เหมือนเงา

(2) สง่า ราศี และพระสิริของพระเจ้า ที่ได้ทรงสำแดงในเราเรียบร้อยไปแล้ว  และได้สัญญากับเราว่าจะให้กับเรา หลังจากเราจากโลกนี้ไปแล้ว  เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ครบถ้วนถาวรนิรันดร์ เปรียบกันไม่ได้เลย

เมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว เราจะจดจ่อ จดจ้อง มองไปที่ใดในชีวิตบนโลกใบนี้  ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว  ความจริงเหล่านี้ลงไปอยู่ในจิตใจของเราแล้ว  เราจะจดจ่อชีวิตของเรา  จิตใจของเรา จดจ่อมองไปที่สิ่งไหน? สิ่งที่มองเห็น หรือสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่เป็นความทุกข์ยากลำบาก  ที่มองเห็นอยู่ หรือสง่าราศี พระสิริพระเจ้า การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ และชีวิตนิรันดร์แบบสมบูรณ์แบบ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ในโลกวิญญาณ และในสวรรค์เบื้องหน้านั้น เราจะมองไปที่ใด

คำตอบ สรุปจบอยู่ในข้อ 18  ที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้  เราวิเคราะห์ด้วยกัน ข้อ 18 นี้  เป็นบทสรุปที่เยี่ยมยอดมากเลย 2 โครินธ์ 4:18 …

2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”

 

แทบจะเอาไปท่อง หรือเอาไปคิดไตร่ตรองกันได้อย่างสงบเลยนะ  … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น มันเป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ยั่งยืน เป็นเหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นถาวรนิรันดร์”

ผลกระทบจากโควิด-19  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร? ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นกับเราก่อนโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร? ความทุกข์ทางกาย ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนจะเสื่อมไป  ไตจะเสียไป ตับจะแย่ไป  ลำไส้จะเป็นมะเร็ง คือทุกคนเป็นมะเร็งอยู่แล้ว  ถ้ามีอายุแก่พอนะ เป็นมะเร็งกันทุกคนแหละ เพราะมันเสื่อมไปเรื่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม ไม่ว่าความทุกข์ในรูปแบบลักษณะใดก็ตาม  มันเหมือนเงา แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มันถาวรนิรันดร์

สิ่งที่มองไม่เห็น คือสิ่งที่สามารถเห็นได้ โดยการหลับตา หลับตาแล้วเห็นถ้อยคำพระเจ้า เขียนเอาไว้ สัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ หลับตา แล้วเห็นโลกวิญญาณ …

“หลับตา แล้วเห็นชีวิตของฉันได้เกิดใหม่ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และมีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้ว เดี๋ยวนี้ ในขณะนี้  อยู่อาศัยในร่างกายเดิมนี้อยู่ ชั่วคราว แป๊บเดียวเอง และเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง จบลง จะกี่ปีก็ตาม วิญญาณของฉัน ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของฉัน รวมทั้งความคิดจิตใจของฉันเป็นเหมือนพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะนำไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซู ตอนเป็นขึ้นจากความตาย  ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ฉันจะไปสวมในร่างกายนี้  และฉันก็จะอาศัยอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียม  สร้างให้  ในวันที่โลกใบนี้สิ้นสุดลง  โลกใหม่ ฟ้าใหม่ ที่ไม่มีมารซาตาน  ไม่มีความบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ก็คือไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป (ถามว่านานเท่าไร?) เป็นนิจนิรันดร์ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ร่างกายที่ไม่ต้องทนทุกข์ เครียด ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เหมือนพระเยซู จะเป็นร่างกายของฉัน และเป็นร่างกายที่ไม่ต้องมาต่อสู้กับความบาปอีกต่อไป ไม่ต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป  เพราะมันไม่มีแล้ว และฉันจะอยู่ในโลกใหม่ ที่มีสัตว์เลี้ยงที่ฉันรัก แต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่สร้างใหม่ เกิดใหม่ พร้อมๆ กับโลกใหม่ ต้นไม้ใหม่ ธรรมชาติใหม่ สวยสดงดงามกว่าสมัยสวนเอเดนอีกด้วยซ้ำไป  แล้วฉันจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้าชั่วนิรันดร”

นี่คือ Full option ของความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ที่เราควรจะมองไปที่นี่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในขณะนี้ เราควรจะหลับตา แล้วมองสิ่งเหล่านี้  ควรจะหลับตา ผ่านทางความเชื่อ ผ่านทางถ้อยคำ คำสัญญาจากพระเจ้า เห็นถึงความจริงเหล่านี้ ที่เกิดขึ้น และขอบคุณพระเจ้า และรับรู้ได้ ด้วยวิญญาณของเรา ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างใน เรารู้ว่ามันใช่ เรารู้ว่ามันจริง เรารู้แม้กระทั่งเราหลับตา เราก็เห็นชัดเจน เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา ได้รับการยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ได้รับการยืนยันจากตัวเราเอง คือวิญญาณที่อยู่ภายใน และจิตใจของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นความจริงทุกประการ เรามีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ความจริง 3 ประการ ที่ทำให้ท่านชนะ โควิด-19 อย่างเด็ดขาด

(1) พระเจ้าพระบิดาพูดกับท่านว่า …

“เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

(2) พระเยซูพูดกับท่านว่า …

“เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่านในร่างกายของท่าน”

(3) พระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับท่านว่า …

“ท่านเป็นลูกของพระเจ้าและเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”

(4) ท่านพูดกับตัวเองว่า …

“God is for me who can be against me”

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากความกลัวและความวิตกกังวล ความจริงจะนำท่านสู่ชัยชนะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม”

 

“เพราะ​ว่า​พระเจ้า​รัก​ผูกพัน​กับ​มนุษย์​ใน​โลกนี้​มาก จน​ถึง​ขนาด​ยอม​สละ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระองค์ เพื่อ​ว่า​ทุก​คน​ที่​ไว้วางใจ​ใน​พระบุตร​นั้น​จะ​ไม่​สูญ​สิ้น (พินาศ) แต่​จะ​มี​ชีวิต​กับ​พระเจ้า​ตลอด​ไป พระเจ้า​ไม่​ได้​ส่ง​พระบุตร​ของ​พระองค์​เข้า​มา​ใน​โลกนี้ เพื่อ​ตัดสิน​ลงโทษ​โลกนี้ แต่​เพื่อ​ช่วย​โลกนี้​ให้​รอดพ้น คน​ที่​ไว้วางใจ​พระบุตร​จะ​ไม่​ถูก​ตัดสินลงโทษ แต่​คน​ที่​ไม่​ไว้วางใจ​ก็​ได้​ถูก​ตัดสินลงโทษ​ไป​แล้ว เพราะ​พวก​เขา​ไม่​ไว้​วางใจ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระเจ้า”  ยอห์น 3:16-18

 

เราไม่สามารถพึ่งความดีกระทำความดี เพื่อไปสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้ แต่เราพยายามทำดี เพื่อจะได้มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

 

พระเจ้าไม่ได้รอตอบคำอธิษฐานของเรา ตามที่เราต้องการ เราต่างหากที่รอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ จงอดทนรอให้พระเจ้า ทำตามแผนการของพระองค์  ไม่ใช่แผนการของเรา  เพราะพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1319

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “เราต่างก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้า”

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เราก็มาคุยเรื่องใหม่ หัวข้อของเรื่องในวันนี้ คือ “เราต่างก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้า” เราจะมาดูในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:1-17 (ฉบับ TNCV)

ในหนังสือ 1 โครินธ์ เป็นจดหมายของอาจารย์เปาโลที่เขียนถึงคริสตจักรเมืองโครินธ์ พอดีมีการวุ่นวายเกิดขึ้น มีการแตกก๊ก แตกเหล่ากัน  อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายฉบับนี้ มาถึงผู้เชื่อในเมืองโครินธ์  1 โครินธ์ 3:1-3 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:1-3 “1 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์ 2 ข้าพเจ้าได้ป้อนนมให้ท่าน มิใช่อาหารแข็ง เพราะท่านยังไม่พร้อมจะรับ อันที่จริง จนเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่พร้อม 3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยาและการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกมิใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนอย่างคนธรรมดา มิใช่หรือ?”

 

อาจารย์เปาโลเริ่มต้นจดหมาย ในบทที่ 3 ด้วยลักษณะเหมือนกับพูดให้คริสตจักรชาวโครินธ์ให้รับรู้ว่าที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือที่แตกก๊ก แตกเหล่ากัน มันไม่ใช่วิสัยของผู้ใหญ่ในวิญญาณนะ ยังเป็นเด็กอยู่เลย ถ้าเป็นเด็ก อาจารย์เปาโลก็ไม่สามารถที่จะป้อนอาหารแข็งได้ ก็ยังคงป้อนน้ำนมอยู่

เด็กๆ เราจะเห็นภาพทารก เราต้องใช้น้ำนมในการป้อนเขา ให้เขาเจริญเติบโต แล้วจะมีขบวนการว่าเด็กอายุประมาณกี่เดือน สามารถที่จะให้อาหารอย่างอื่นได้ ให้น้ำส้ม ให้กล้วย ให้โจ๊ก ให้ข้าว ให้กับข้าว หรืออะไรอื่นๆ  มันจะมีระยะเวลาของการเจริญเติบโต

แต่อาจารย์เปาโลบอกสมาชิกในคริสจักร เมืองโครินธ์น่าจะเชื่อมาประมาณหนึ่ง  แต่ทำไมยังเป็นเด็กอยู่ล่ะ  ทำไมยังอิจฉาริษยากัน ทำไมยังแตกก๊ก แตกเหล่ากัน ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของผู้ใหญ่เลย อาจารย์เปาโลก็ยังคงต้องใช้น้ำนมให้กับผู้เชื่อเหล่านี้ …

1 โครินธ์ 3:4-5 “4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ? 5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟัง เมื่อมีการแตกก๊ก แตกเหล่า ในลักษณะ …

“ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์เปาโลนะ”

“ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์อปอลโลนะ”

หรือ “ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ไม่รู้ อาจารย์ ก. ข. ค. ง. ที่มาสอนถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์คนนี้พูดเก่งกว่านะ มีตัวอย่างมายกให้ฟังเยอะแยะมากมาย ไม่น่าเบื่อเหมือนอาจารย์เปาโล พูดอยู่เรื่องเดียว เรื่องพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน ถูกฝัง แล้วก็เป็นขึ้นมาจากความตาย  พูดอยู่แค่นี้ วนไปวนมา ไม่น่าสนใจเลย  แต่อาจารย์อีกท่านหนึ่ง สุดยอดเลยนะ เขาสามารถที่จะเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ ตัวอย่างโน้นตัวอย่างนี้มายกให้เราฟัง เราฟังแล้วชอบมากเลย เหมือนจรรโลงใจ ฟังแล้วทำให้เกิดมีความสุขกว่า พูดแต่เรื่องพระเยซูคริสต์เกิด ตาย เป็น มันไม่น่าสนุกเลย”

แต่สิ่งที่เรารู้สึกไม่น่าสนุก นั่นคือข่าวดี  คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ผู้เชื่อทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้ และปลูกฝังลงไปในวิญญาณของพวกเราทุกคน เพราะไม่มีคำพูดสวยหรูอะไรที่จะสามารถทดแทนข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างคำพยาน หรือคนโน้นคนนี้มาพูดอะไรก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แค่เราฟัง แล้วรู้สึกดี แต่ไม่มีฤทธิ์อำนาจ ไม่สามารถทำให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไขชีวิตเราให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นได้

ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนยันที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ที่จะบอกกับพี่น้องว่าเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับอะไรจากพระเจ้าบ้าง? เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราถูกวางรากลงไปอย่างมั่นคงในพระเยซูคริสต์แล้ว  ไม่ว่าใครก็ตามที่จะมาสอนต่อ ถ้าสอนตามความจริง ตามถ้อยคำของพระเจ้า ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะเจริญเติบโตตามระบบที่พระเจ้าตั้งไว้  แล้วเขาจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ไม่ใช่หันไปเหมา ใครว่าตรงนั้นดี เราก็แถไป ใครว่าตรงนี้ดี เราก็แถไป  แล้วไม่มีจุดยึดเหนี่ยวอย่างมั่นคงในการเดินติดตามพระเจ้า แล้วคนเหล่านั้นก็จะไม่โต

ทำไมเรารู้ว่าไม่โต?  เพราะว่าพอเขาได้รับข่าวประเสริฐที่ไม่ใช่ความจริง ในพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐที่มนุษย์พยายามปั้นแต่งขึ้นมา ที่พยายามให้ฟังดูดี ดูแล้ว มันดีนะ ฟังแล้ว เราได้รับการเล้าโลมใจ แต่หลายอย่างที่ได้ยินได้ฟัง มันไม่ใช่เรื่องจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  แค่ได้รับการหนุนจิตชูใจ  แค่แป๊บเดียว แต่ว่าระยะยาวไม่สามารถช่วยให้คนๆ นั้นเจริญเติบโตได้ เมื่อเขาเจอกับปัญหาปุ๊บ เขาก็จะล้มลง  เขาก็ไม่สามารถติดตามพระเจ้าได้อย่างมั่นคง

ฉะนั้น เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ  ซึ่งอาจารย์เปาโลก็จำเป็นจะต้องบอกให้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช พี่น้องอย่าเอือมละอาที่จะฟังถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งขนาดซ้ำไปซ้ำมา เรายังจำไม่ได้เลย  เราก็อยากจะได้ยินสิ่งใหม่ๆ  ซึ่งถ้าเราอ่านในจดหมายของอาจารย์เปาโล เราจะได้ยินคำนี้บ่อยมากว่า …

“ข้าพเจ้าจะไม่ประกาศเรื่องอื่น นอกจากเรื่องของพระเยซูคริสต์”

เรื่องเดียวเท่านั้นที่อาจารย์เปาโลจะประกาศ อาจารย์เปาโลเป็นคนที่รู้เรื่องของบทบัญญัติเยอะมาก จะเรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริงก็ได้ รู้หมด และจำได้หมดด้วย  แต่พออาจารย์เปาโลได้กลับใจใหม่  มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลบอกว่าความรู้ทั้งหมดที่อาจารย์เปาโลเคยมี มันเป็นหยากเยื่อ มันไม่มีประโยชน์เลย  มันเป็นแค่ความรู้ของบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่สามารถที่จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น  ให้สามารถเป็นอิสระอย่างแท้จริงตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นได้  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยไม่เลือกที่จะสอน …

“ประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ฉันได้ทำโน่นทำนี่เยอะแยะมากมาย”

อาจารย์เปาโลไม่สอน  แต่สอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ได้มาบนโลกใบนี้ เกิดในหญิงพรหมจารี ถึงเวลากำหนด พระองค์ได้ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไปสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และได้ถูกฝังในอุโมงค์ ได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม นั่นคือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกกับผู้เชื่อ ไม่เพียงแต่คริสตจักร เมืองโครินธ์เท่านั้น  แต่กับผู้เชื่อในทุกที่ทุกแห่งที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ

อาจารย์เปาโลถูกเรียกมา เพื่อที่จะประกาศกับคนต่างชาติ คือลักษณะเหมือนพวกเรา ซึ่งไม่ใช่อิสราเอล โดยกำเนิด แต่เราเป็นอิสราเอลโดยความเชื่อ

สมัยก่อนคนอิสราเอล เขาก็จะดูถูกคนต่างชาติว่าไม่ใช่เป็นคนของพระเจ้า เป็นคนละเกรดกับเขา เขาจะมองด้วยหางตา พวกนี้ ไม่มีสกุลรุนชาติ ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง พวกนี้คบไม่ได้ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ทรงรัก ไม่เฉพาะคนอิสราเอล  แต่พระเยซูคริสต์ทรงรักคนต่างชาติด้วย ก็คือรักมนุษย์ทั้งโลกแหละ ที่พระเยซูมาเกิด มาสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็เพื่อมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่เขาจะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป ทาสของมาร  เมื่อเขามาได้รับอิสรภาพจากพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า

ฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามที่จะพร่ำสอนให้ผู้คนในอดีต ในสมัยของท่านได้รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  เพื่อที่จะหยั่งรากลึก แล้วเพื่อที่จะถูกก่อขึ้นมาเป็นวิหารที่สวยงามของพระเจ้า เป็นตึกที่มั่นคงของพระองค์

ในข้อที่ 5 อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟัง …

1 โครินธ์ 3:5 “อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

ชัดเจนนะ ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาส หรือเป็นใครก็ตาม อาจารย์ทั้งหลาย หลังจากอาจารย์เปาโลมา จนถึงยุคปัจจุบัน มีหน้าที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า  ที่จะทำตามที่พระเจ้ามอบหมาย พระเจ้ามอบหมายให้แต่ละคนทำหน้าที่แตกต่างกัน อาจารย์เปาโลถูกมอบหมายให้เป็นอัครทูต ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้คนมาเชื่อ วางใจในพระเจ้า  พอหลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไป ต่อ ก็จะมีผู้รับใช้อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกใช้ โดยพระเจ้า มาเป็นผู้ดูแลผู้เชื่อเหล่านั้น ให้เขาได้เจริญเติบโต ถ้าเปรียบให้ชัดเจน ก็คือในข้อที่ 6 บอกว่า …

1 โครินธ์  3:6 “ข้าพเจ้าปลูกอปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต

 

อันนี้สำคัญชัดเจนเลยนะ “แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต” อาจารย์เปาโลเป็นคนปลูก ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อลงไป  ในผู้คนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ และผู้คนเหล่านั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อนี้ ก็จะถูกปลูกฝังลงไปในวิญญาณจิตของเขา  แล้วจากนั้น ก็จะมีขบวนการที่เราเรียนรู้กันมาตลอด ก็คือเมื่อคนตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็จะเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่  โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นำเอาวิญญาณเก่าที่เป็นความบาป ไปไว้ในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ถูกฝังพร้อมกับพระองค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยพระเกียรติสิริ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย ฉะนั้น ณ เวลานี้ ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ก็เป็นแบบนั้นเลย คือวิญญาณใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ เอี่ยมอ่อง เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

จากนั้น อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบว่าอปอลโลรดน้ำ  การรดน้ำ เมื่อคนปลูกพืช ไม่ว่าชนิดอะไรก็ตาม มันก็จะมีขบวนการรดน้ำ พรวดดิน ใส่ปุ๋ย ก็ทำหน้าที่ส่วนของเขา  พอทำหน้าที่ส่วนของเขา คนที่รดน้ำ  ก็ไม่มีความสามารถ ที่จะไปบีบให้ต้นไม้ต้นนั้น ที่เราปลูก ให้มันเกิดผล เราแค่ทำหน้าที่ส่วนของเรา  คือรดน้ำ พรวดดิน ใส่ปุ๋ย ไปหาข้อมูล ใครว่าอะไรดีเราควรจะทำอย่างนี้ พืชชนิดนี้ ชอบดินชุ่ม รดน้ำให้เยอะหน่อย พืชชนิดนี้ ไม่ชอบดินชุ่ม ก็รดน้ำให้น้อยหน่อย  พืชชนิดนี้ 3 วันรดที อีกชนิดหนึ่งต้องรดเช้ารดเย็น  คือเราก็จะไปหาข้อมูลว่ามันจะเป็นอย่างไร?  แต่ว่าไม่ว่าข้อมูลจะเป็นอย่างไร? เราจะทำเป๊ะขนาดไหน? ผู้ที่ทำให้เกิดผล คือพระเจ้า  เราไม่สามารถที่จะทำให้มันเกิดผล เราแค่เฝ้ารอ  รอเวลาที่พืชที่เราปลูก มันค่อยๆ งอกขึ้นมา ค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ แตกกิ่งก้านสาขา แล้วคนที่รดน้ำ ดูแล ประคบประหงม พอเห็นความเจริญเติบโตของต้นไม้ต้นนั้น ที่เราประคบประหงม เราก็ชื่นใจ มันเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง

สมมติเราปลูกต้นมะม่วงต้นหนึ่ง เราคอยมากเลย ต้นมะม่วงน่าจะ 4-5 ปีถึงจะออกผลให้เราได้กิน แต่เราก็จะเฝ้าอดทน รอคอย ทะนุถนอม คอยที่จะริดใบที่เหลือง หรือคอยไปสอดส่องว่ามีแมลงไหม? เราก็จะไปดูแลอย่างดี  พอถึงเวลาที่มันออกผล  มันต้องมาเป็นดอกก่อนใช่ไหม? แล้วค่อยมาเป็นลูก แค่เราเห็นดอกอยู่บนต้นมะม่วง เราก็มีความสุขล่ะ พอมันออกมาเป็นลูกเล็กๆ  เราก็ยิ่งมีความสุข  พอมันโตขึ้นมา ให้เราเด็ดกิน ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย แล้วพอกินเสร็จ มันหวานมากเลย ตอนนี้ยิ้มจนตาหยีไปเลย มันเป็นความสุขของผู้ที่ดูแลประคบประหงม

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลใช้เรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับผู้เชื่อ ที่ถูกหยั่งรากลงไปในพระเยซูคริสต์ ก็คืออาจารย์เปาโลประกาศแล้วไงว่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็คือถูกหยั่งรากลงไปแล้ว  ใครจะมาย้ายอีกไม่ได้  ใครจะมาวางรากฐานอื่น ก็ไม่ได้ ก็คือคนที่เกิดแล้วเกิดเลย นึกออกไหม? บังเกิดใหม่แล้ว  บังเกิดใหม่เลย ใครจะมาดึงเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ได้แล้ว  ก็คือคนนั้นได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอจากนั้น ก็จะมีพี่เลี้ยงค่อยๆ มาสอนเรา ในเรื่องราวของพระเจ้า ให้เราเจริญเติบโต ในข้อที่ 7-8 …

1 โครินธ์ 3:7-8 “7 ฉะนั้น ไม่ใช่คนปลูกหรือคนรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน”

 

คนปลูก คนรดน้ำ คนพรวดดิน คนดูแลประคบประหงม ต่างก็ได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า  การงานที่เขาทำ  ในข้อที่ 8 ที่พูดถึง “บำเหน็จ” สมัยก่อน เราก็ถูกสอนว่าถ้าเราทำอะไรบนโลกใบนี้ เรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ เราไปประกาศเยอะๆ เราไปเลี้ยงดูลูกแกะเยอะๆ  เราไปคอยเยี่ยมเยือน ประคบประหงมเช้า สาย บ่ายเย็น โทรศัพท์หาตลอดเวลา เราก็จะได้บำเหน็จตรงนี้ หลังความตาย เราถูกสอนมาแบบนี้

แต่ความเป็นจริง  ในถ้อยคำของพระเจ้า ตอนนี้พระเจ้าเปิดให้เราเห็นว่ามันไม่ใช่ บำเหน็จที่พูดถึงนี้ เราจะได้เก็บเกี่ยวบนโลกใบนี้ ดังนั้น หลังความตาย พวกเราทุกคนจะได้เท่ากัน พระเยซูคริสต์บอกอย่างนั้น  ก็คือพระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ทันที เราได้บังเกิดใหม่  พอเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระพรนานัปการในฝ่ายโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว แปลว่าไม่มีใครสามารถไปเพิ่มเติม หรือไปเอาออกได้ มันครบเสร็จเรียบร้อยแล้วตรงนั้น ผู้เชื่อทุกคนที่ได้บังเกิดใหม่  จะได้เท่ากัน ตามที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เขา ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้หลุดจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างของพระเจ้า ได้หลุดจากมือของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้เปลี่ยนสถานะจากเคยเป็นทาสของมาร เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้รับสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรค์สถาน  และได้อีกอันหนึ่งที่สำคัญที่สุด  พระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราบังเกิดใหม่  เราถูกชำระให้สะอาดหมดจดแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในร่างกาย ร่างกายของเราสะอาดพอที่จะเป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือเป็นวิหารของพระเจ้า

ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า ดังนั้น วิญญาณของเราถูกชำระสะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเรารอด โดยพระคุณของพระเจ้า  เมื่อเราบังเกิดใหม่ วิญญาณเราถูกแยกออกไปแล้วนะ ในชีวิตของมนุษย์ เราจะมีวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย พอเราต้อนรับพระเจ้า  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ  พระเจ้าก็จะชำระหมดเลยทั้ง 3 อย่าง  คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายของเราให้สะอาด  แต่เนื่องจากร่างกายและความคิดจิตใจของเรา ยังคงอยู่บนโลกใบนี้  คือวิญญาณเราแยกไปแล้วนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า  ถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง  เราไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ณ เวลานี้เราก็อยู่ของเราอยู่แล้ว แต่เนื่องจากร่างกาย และความคิดจิตใจของเรายังอยู่บนโลกที่มันเสียหายไปแล้ว  แล้วร่างกายที่เราเป็นอยู่ เป็นเรือนดิน แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราก็จะรอวันตาย คือมันถูกพิพากษา ไปเรียบร้อยแล้ว มันจะค่อยๆ แก่ลง

ใครอย่ามาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้วไม่แก่ อย่าโดนหลอก เป็นคริสเตียนแล้วไม่ตาย ก็อย่าโดนหลอกอีก ร่างกายเรายังต้องตายอยู่ เรายังต้องแก่ เรายังมีโอกาสที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายเราทำงานผิดปกติ แล้วเราเจ็บป่วย มันเป็นเรื่องปกติ ตามธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป  แต่สิ่งที่เราได้รับ คือวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังความตาย เราไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาของพระเจ้า เพราะเราไม่มีความผิดใดๆ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกในหนังสือโรม ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคน อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  ไปไหน ไปด้วยกัน  พี่น้องไปไหน พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคไปกับเราด้วย เราอยู่ในความทุกข์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทุกข์กับเราด้วย  เรามีความสุข พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็มีความสุขกับเราด้วย  พระเจ้าก็จะนำพาเราเดินไปบนโลกใบนี้ที่มันเสียหายไปแล้วล่ะ รอวันหนึ่งข้างหน้าที่พระเจ้าจะให้โลกนี้ถูกทำลายไป แล้วพระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ที่เป็นโลกที่สวยงาม ให้กับผู้เชื่อทุกคนได้ไปอยู่ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน

ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราอธิษฐานอะไร พระเจ้าก็จะทำให้เราหมดเลย จะไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับคริสเตียน มันไม่จริงหรอก เราก็ยังคงเป็นเหมือนคนอื่น เวลาฝนตก คริสเตียนเดินออกไปข้างนอก ก็เปียกเหมือนกัน  เวลาแดดออก เราเดินออกไปข้างนอก  เราก็ร้อนเหมือนกัน ถ้าตอนนี้มีโควิด เราเดินออกไปข้างนอก โดยไม่ระวังตัว หน้ากากก็ไม่ใส่ มือก็ไม่ล้าง แล้วก็เดินฉลุย เดินช๊อปปิ้ง เข้าไปในคนกลุ่มใหญ่  เยอะแยะมากมาย เราก็ติดโควิด เหมือนกัน ไม่ใช่คริสเตียนติดโควิดไม่เป็น ติดเหมือนกัน  หรือแม้แต่บางคนระวังตัว อย่างดีเลย ยังอุตส่าห์ติดอีก  เราจะว่าอย่างไร?

พระเจ้าบอกเราว่าเราอย่าไปมองสิ่งเหล่านี้  เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นของที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งรอวันที่จะเสื่อมสูญไป แต่ให้เราหลับตามองทะลุไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่ไม้กางเขน วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทุกสิ่งได้ถูกกระทำสำเร็จแล้ว แล้วเราผู้เชื่อ ก็ได้รับทุกสิ่งอย่างนี้เรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปขวนขวายหา ไม่ต้อง เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณ ที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราแค่มาเชื่อ แล้วเราก็จะได้รับตามนั้น

พอบอกไม่ต้องทำอะไรปุ๊บ มนุษย์ก็เริ่ม ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ มันง่ายไปไหม? พอง่ายไป ก็จะพยายาม ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ พระเจ้าบอกว่าเรารอดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไร พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำให้เราหมดแล้ว  เราแค่เชื่อเท่านั้น พออยู่ไปนานวัน ก็มีผู้คน พี่เลี้ยงที่แสนดีมาสอนเราว่าไม่พอๆ แต่เรายังต้องทำนั่นทำนี่ ทำเยอะแยะมากมาย เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  ถามจริง พระเจ้าพอใจเราตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ถ้าพระเจ้าไม่พอใจ พระเจ้าก็ไม่ให้เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าไม่พอใจ พระเจ้าก็ไม่มาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา  ร่างกายของเรา ก็ไม่สามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ถ้าพระเจ้าไม่พอใจ  แปลว่าทุกอย่าง คือพระเจ้าพอใจในสิ่งที่พระองค์กระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเชื่อตามนั้น  คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจที่สุด ฉะนั้น อย่าให้ใครบอกเราว่าเรา “ต้อง” ทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  หรือเราต้องทำนั่น ทำนี่ ช่วยพระเจ้าหน่อยหนึ่ง เราได้รับความรอดโดยพระคุณแล้ว แต่เรายังต้อง

ในหนังสือโครินธ์ตรงนี้  ในยุคของผู้เชื่อในโครินธ์  ก็คือยังอยู่ในยุคสมัยหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในยุคสมัยสาวกแรกๆ ก็จะมีพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกคนยิวที่เขาถือกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย ที่โมเสสให้มา พระเจ้าให้ผ่านโมเสสนั่นแหละ  เขายังถือกฎเหล่านี้ แล้วยังมีคนต่างชาติมาเชื่อพระเจ้า เขาก็บอก …

“มาเชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอ เธอเป็นคนต่างชาตินะ ถ้าเธอจะมาเป็นคนของพระเจ้า เธอต้องมาเข้าสุหนัตเหมือนพวกฉัน เธอจึงจะมาเป็นคนของพระเจ้าได้ครบถ้วน สมบูรณ์แบบ” อะไรประมาณนั้น

หรือ “เธอต้องมารักษากฎบัญญัติวันสะบาโต หรือต้องอะไรเยอะแยะมากมาย ที่มนุษย์พยายามคิดขึ้นมา  เมื่อมาสร้างขึ้นบนรากฐานของผู้เชื่อใหม่  แล้วพี่น้องลองคิดดู ผู้เชื่อใหม่เขาไม่รู้เรื่อง ใครว่าอะไร เขาก็เชื่อตามนั้น  แต่ว่าสิ่งที่ผู้เชื่อใหม่มี ก็คือวิญญาณเขารอดแล้ว อย่างไรเขาก็ได้ไปสวรรค์แหละ  แต่ว่าเมื่อถูกสอน หรือถูกก่อขึ้นมาแบบไม่ได้เป็นถ้อยคำจริงๆ  ข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ  มันก็จะเฉไปเฉมา  เหมือนกับก่อไปก่อมา ก็ล้มลุกคลุกคลาน มันไม่ใช่นะ

เมื่อก่อนเราก็เคยถูกหลอกนะ เช่น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเจ็บป่วย เราไม่ต้องไปหาหมอ

“ในนามพระเยซู ใช้ความเชื่อ วางมือเลย อธิษฐาน แล้วเราจะหาย”

บางคนหาย  ดิฉันก็เคยวางมือแล้วก็หาย แต่ก็หลายๆ ครั้งที่ดิฉันวางมือ แล้วดิฉันก็ไม่หาย ดิฉันก็ต้องไปหาหมออยู่ดี นึกภาพออกไหมค่ะ ดังนั้น อันนี้ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  ก็คือเราเอามายึดเป็นหลักในการประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้  ก็คือจะไปสอนผู้เชื่อใหม่ว่า …

“เธอต้องวางมืออธิษฐาน  เพราะว่าพระเจ้าให้สิทธิอำนาจเราแล้ว ถ้ามีความเชื่อที่ไหน? หมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น จะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย คนเหล่านั้นจะหายโรค”

อะไรอย่างนี้ แล้วพอคนวางมือแล้ว  ไม่หาย ตอนนี้เป็นเรื่องแล้วล่ะ  เป็นเรื่องตรงที่ว่าความเชื่อเราไม่พอใช่ไหม?  พี่เลี้ยงก็บอกความเชื่อไม่พอ ไปอดอาหารอธิษฐาน  เราก็ทำ ทำทุกอย่างเลย มันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย เราก็ยังป่วยอยู่  แล้วทำอย่างไร? หาหมอ ก็ไม่กล้าไปหา  เพราะเดี๋ยวเขาว่าความเชื่อเราไม่พอ  ไปๆ มาๆ ก็ตาย เพราะความเชื่อเราไม่พอ มันไม่ใช่เรื่องจริง

ตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา 30 กว่าปี  ไม่รู้ทำร้ายใครไปกี่คนแล้ว  พอเรารู้ความจริง แบบมันไม่จริง แล้วเราก็สอนไปเรื่อยๆ คนก็เชื่อ เพราะเราเป็นผู้รับใช้ พอเชื่อเราปุ๊บ มันก็เฉ ออกมาสะเปะสะปะ คนก็เริ่มสงสัยพระเจ้า

“ไหน เขาบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า เราจะร่ำรวย”

มีคริสเตียนกี่คนที่ร่ำรวยตามที่ถูกสอนมาล่ะ มีคริสเตียนกี่คนที่สุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต โดยไม่เจ็บป่วยเลย ตามที่ถูกสอนมาล่ะ  มันไม่มีกี่คนหรอก เปอร์เซ็นต์มันน้อยมาก อาจจะมีนะ เพราะเรื่องนี้ เป็นพระพรพิเศษที่พระเจ้า จะให้ใคร พระองค์ก็จะทำ ถ้าเราอ่านหนังสือกิตติคุณ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็รักษาโรค คนเจ็บคนป่วย แต่ก็จะมีกลุ่มหนึ่ง ที่พระเยซูไม่รักษา  จะมีกลุ่มหนึ่งที่หายโรค  มีอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่หายโรค  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อว่าเราเชื่อมั่นคงในพระเจ้า  ความเชื่อเราพุ่งไปถึงฟ้าสวรรค์ แล้วจะทำให้เราได้ทุกอย่างตามใจของเรา อันนั้นไม่ใช่  พอมันไม่ใช่ปุ๊บ  มันเป็นเรื่องแล้วล่ะ เพราะว่าเราไม่โตเต็มที่  เราก็เชื่อแบบผิดๆ  แล้วเราก็นั่งฟ้องผิดตัวเองว่าความเชื่อเราไม่พอ เราไปทำอย่างนั้นไม่ดี วันนี้เราไปทำบาป แล้วตกลงเราจะรอดหรือไม่รอด  ถ้าเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ความเชื่อเรา สั่นคลอน

พอความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ถูกบิดเบือนปุ๊บ  ไม่สามารถที่จะเชื่อ อย่าง 100% ว่าพระเยซูบอกเราแล้ว พระเยซูทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ความรอด  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติของมนุษย์คนหนึ่งคนใด  แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ  เมื่อเราเชื่อ เรารอดแล้ว ความประพฤติเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้น พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ เรามาดูต่อนะ ในข้อที่ 9-15 …

1 โครินธ์ 3:9-15 “9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้าเป็นตึกของพระเจ้า 10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น ทว่าแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร    11 เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง ก่อขึ้นบนรากฐานนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

อาจารย์เปาโลมาเปรียบเทียบให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่าเมื่ออาจารย์เปาโลหยั่งรากลงไปเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ คนนั้นเชื่อแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามาก่อนขึ้นด้วยอะไร อาจารย์เปาโลใช้เปรียบเทียบอยู่ 6 สิ่ง ก็คือทองคำ เงิน เพชรพลอย 3 สิ่งนี้ เมื่อโดนไฟ  จะไม่ถูกเผาไหม้ แต่อีก 3 สิ่ง คือไม้ หญ้าแห้ง และฟาง ถ้าผลงานที่เขาทำ ถูกพิสูจน์ด้วยไฟปุ๊บ  มันเผาวอดหมดเลย  พอเผาวอดหมดเลย แปลว่ามันไม่มีอะไรให้เราชื่นใจเลย

ดังนั้น คำว่า “บำเหน็จ” ตรงนี้  มันจะเป็นเรื่องของปัจจุบัน เหมือนเราเลี้ยงลูกแกะคนหนึ่ง หรือเลี้ยงผู้เชื่อคนหนึ่ง  เลี้ยงสมาชิกคนหนึ่ง แล้วเราค่อยๆ อดทนในการสอนเขา ค่อยๆ ก่อขึ้นมา บนรากฐานที่เขาเชื่อแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  เราจะบอกเขาเลยว่าเขารอดแล้ว พระเยซูทำให้เสร็จ เขามั่นใจได้เลยว่าหลังความตาย เขาได้ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์แน่นอน หรือแม้แต่ ณ เวลานี้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ เขาได้นั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบาก  หรืออะไรที่มันไม่ได้ดั่งใจเรา  ไม่ต้องไปสนใจ เราอย่าไปมองแค่ปัญหาตรงนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ มันสั้นมาก มันแค่ไม่กี่สิบปีเอง  เผชิญไปเถอะ ต่อให้เราต้องเผชิญทุกวี่ทุกวัน  ก็ให้เราอดทน เพราะถ้าเราอดทน เราจะได้สำแดงพระลักษณะของพระเจ้าออกมา

เพราะฉะนั้น พอเราก่อขึ้นมาในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า  ผู้เชื่อคนนั้น ก็จะเข้าใจ หยั่งรากลึกลงไป รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นใคร เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาได้รับสิ่งสารพัดในโลกวิญญาณจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เขามองทะลุไปที่ข้างหน้าว่าเขาจะรอวันเวลาที่เขาจะทิ้งร่างกายนี้  ซึ่งอย่างไรมันก็ต้องเปื่อยเน่าไป  เพื่อเขาจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ แล้วเขาจะได้รับสิ่งสารพัด ทำให้เขาเกิดความชื่นชมยินดี  ทำให้เขามีกำลังใจที่จะเดินผ่านความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ไปได้  แล้วเขามั่นใจเลย ถ้อยคำของพระเจ้าบอก พระเยซูคริสต์ไม่ทิ้งเขาไปไหน? ไม่ว่าเขาจะเจอปัญหาอะไร พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ในเขา จูงมือเขาเดิน ผ่านไปด้วยกัน เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เกิดการหนุนกำลังใจในผู้เชื่อคนนั้น  แล้วเขาก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตในความเชื่อที่ถูกต้อง ความทุกข์ยากลำบากไม่สามารถสั่นคลอนความเชื่อของเขาได้เลย   เขาก็จะเจริญเติบโตไป

แต่ส่วนอีกคนหนึ่งที่ถ้าไปก่อสร้างในข่าวประเสริฐที่ไม่ถูกต้อง เหมือนกับไปเชียร์เขา …

“มาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ  พระเจ้าสัญญาว่าเธอจะร่ำรวย เธอจะแข็งแรง ครอบครัวเธอจะไม่มีปัญหา เชื่อนะๆ”

แล้วคนนั้นฟังแล้ว เขาก็จะเชื่อตามนั้น พอเชื่อเสร็จ ปรากฏว่าผลที่ออกมา มันไม่ได้เป็นจริงอย่างที่พี่เลี้ยงเราสอนไว้ มันไม่จริง เพราะว่าเรายังเจอปัญหาอยู่เลย ครอบครัวเรายังทะเลาะกันอยู่เลย  เรายังมีสุขภาพที่อ่อนแออยู่เลย  เรายังเจ็บโน่นเจ็บนี่อยู่เลย  แล้วยังไงล่ะ เสร็จ คนนั้นก็เริ่มเขวแล้ว

“ตกลงพระเจ้ามีจริงไหม? สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา พระเจ้าโกหกเราไหม?”

ซึ่งความเป็นจริง พระเจ้าไม่เคยสัญญากับเราในเรื่องนี้เลย  ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาที่พระเจ้าเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แต่พระเจ้าทำได้ไหม?  พระเจ้าทำได้ มันเป็นเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ใคร พระองค์ก็จะกระทำ  มันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จว่า …

“คนนั้นร่ำรวย ฉันต้องร่ำรวยกับเขาด้วย คนนั้นสุขภาพแข็งแรง ฉันต้องสุขภาพแข็งแรงเหมือนเขาด้วย หรือคนนั้นครอบครัวดีจังเลย ฉันต้องเป็นเหมือนเขาด้วย”

มันไม่เกี่ยวกัน  ตรงนี้พระเจ้าไม่ได้สัญญา  แต่เราถูกสอนผิด เราก็โตแบบทุลักทุเล พี่น้องนึกภาพออกไหม? เซไปเซมา ความเชื่อ  ก็ไม่ได้ตั้งมั่นคงอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เลี้ยงเท่าไรก็ไม่โต เลี้ยงตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ยังไม่โตเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น  ลองคิดดูว่าคนที่เลี้ยงเขาจะชื่นใจไหมล่ะ  ก็ไม่ชื่นใจ บำเหน็จตรงนี้แหละ ความชื่นชมยินดีที่เราได้เห็นผู้เชื่อคนหนึ่ง  ที่ถูกสอนให้อยู่ในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเขาเจริญเติบโต เขาอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก  เขาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาไม่ทิ้งพระองค์เลย เขาบากบั่น เขากัดฟัน แล้วเขาเชื่อมั่นว่าในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระเจ้าอยู่ด้วยกับเขา แล้วพระเจ้าพาเขาผ่าน แล้วเขาก็ผ่านได้ทุกครั้ง ด้วยพระคุณของพระเจ้า  พอเราเห็นแล้วเราชื่นใจ

ขอบคุณพระเจ้านะ คนนี้เราเห็นเขาตั้งแต่ลูกเขาตัวนิดเดียวเอง จนตอนนี้ลูกเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาทุกข์ยากลำบาก เขาไม่ได้อยู่สบาย แต่เขาก็ยังเชื่อ เขาวางใจในพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเขาเป็นจริง ความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นจริง แค่เรื่องการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันนิดเดียว  เขาก็อดทน รอคอยพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็พาเขาผ่าน

กับอีกคนหนึ่ง  ไม่ยอมโต แล้วคิดดูว่าคนที่ดูแลเขาจะกลุ้มใจขนาดไหน?  เชื่อพระเจ้ามา 20 ปีผ่านไป ยังปัญหาเดิมๆ ที่จะต้องมาบอกเราให้ช่วย ให้อธิษฐาน ซึ่งไม่ชื่นใจ การงานที่เราทำลงไปทั้งหมด ก่อขึ้นมา ก็เหมือนกับไม้ เหมือนฟาง เหมือนหญ้าแห้งที่ถูกเผาไฟไป  พอเผาไป มองแล้ว ในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกการงานจะประจักษ์ คือให้เราเห็นว่าคนนี้โต แต่คนนี้ไม่ยอมโตสักที กลุ้มใจ เราต้องคอยแบกเขาตลอดเวลา

ซึ่งตรงนี้แหละ ส่วนใหญ่ คนจะเข้าใจผิด  อย่างที่ตะกี้ได้คุยให้ฟังว่าบำเหน็จที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้   ก็คือบำเหน็จบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ถูกก่อขึ้นมาบนรากฐานที่ถูกหว่านเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าไม่ได้พุ่งไปที่การพึ่งพระเยซู แต่พุ่งไปที่การพึ่งผลของการกระทำของตัวเองเมื่อไร? อันนั้นแหละ การงานจะไม่เกิดผล  วันหนึ่งข้างหน้า ก็จะถูกเผาด้วยไฟ คนจะมองเห็น ก็คือทำเหนื่อยแทบตาย เหนื่อยจนไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่โต ทำให้คนที่ดูแลไม่ชื่นใจ  เพราะคนที่ดูแล ก่อขึ้นมา ในหนทางที่ผิด คำว่า “รอดจากไฟ” แปลว่าการงานที่ลงแรงทำลงไปนั้น ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ถูกเผาหมด แต่เขาก็ยังรอดอยู่ เพราะเชื่อพระเจ้าแล้ว ในข้อที่ 16 …

1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตภายในท่าน?”

 

อาจารย์เปาโลถาม “ท่านไม่รู้หรือ?” แปลว่าท่านควรจะรู้นะ เมื่อเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านควรจะรู้ ถ้าเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นบุคลิกลักษณะของพระเจ้าออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น  ข้อที่ 17 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:17 “ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น”

 

คำตรงนี้ หมายถึงพระเยซูกำลังบอกผู้เชื่อว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าจะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง พี่น้องมองภาพให้เห็น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเรา  พระเจ้าจะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง  ฉะนั้น ไม่ว่าใครข่มเหงเรา หรือไม่ว่าใครทำอะไรกับเราก็ตาม เราไม่ต้องไปต่อล้อ ต่อเถียง ไม่ต้องไปฮึดสู้ เพื่อพระเจ้า ไม่ต้อง ให้วางใจในพระเจ้า พระเจ้าจะจัดการเอง

เหมือนภาพอาจารย์เปาโล ตอนที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อาจารย์เปาโลก็ข่มเหงคริสตจักร  คือไปขอทหาร ไปไล่ล่าพวกที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อจับมาทรมาน จับมาฆ่าบ้าง แต่ระหว่างทางที่อาจารย์เปาโลเดินทางไปเมืองดามัสกัส  พระเยซูมาหาอาจารย์เปาโล  แล้วทำให้อาจารย์เปาโลตกม้า แล้วก็ตาบอด  แล้วพระเยซูก็พูดกับอาจารย์เปาโล

อาจารย์เปาโลได้ยินเสียงเลยนะ พระเยซูถามว่าเซาโล ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อเปาโล …

“เซาโลๆ เจ้าข่มเหงเราทำไม”

อาจารย์เปาโล “ข่มเหงพระเยซูตรงไหน เปล่าเลยนะ เราไม่ได้ข่มเหงพระเยซู”

แต่พระเยซูบอกว่า “เจ้าข่มเหงผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  ก็เท่ากับเจ้าข่มเหงเรา”

พี่น้องเห็นภาพไหม?  ใครก็ตามข่มเหงผู้เชื่อ ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พระเยซูก็บอกกับอาจารย์เปาโลว่า “เจ้าถีบปฏัก ก็เจ็บตัวเอง” มันจะเด้งกลับมาโดนตัวเอง

พระเยซูกำลังจะบอกเราว่าไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ให้เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าจะดูแลชีวิตของเราเอง  แล้วพระเจ้าจะนำพาย่างเท้าของเรา ไม่ว่าบนโลกใบนี้เราจะเจออะไรก็ตาม เจอปัญหาอุปสรรค เจอคนข่มเหง เจอคนดูถูกเยาะเย้ย ดูหมิ่น เหยียดหยามอะไรก็ตาม ให้เรานิ่งและวางใจในพระเจ้า พระองค์จะจัดการให้กับพวกเราทุกคนเอง

วันนี้จบแล้ว จะแถมให้ ตรงที่ทำไมอาจารย์เปาโลจะคอยสอนเราว่าให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า ความคิดของเราเป็นที่เก็บข้อมูล  เนื่องจากว่าร่างกายและความคิดจิตใจของเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว  ฉะนั้น ความคิดเรายังมีข้อมูลเก่า ที่อาจารย์นครชอบพูดว่าโปรแกรมเก่าอยู่ในความคิดของเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกเราว่าให้เราจดจ่อที่ถ้อยคำของพระเจ้า  เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ก็คือเอาโปรแกรมใหม่ ที่เป็นเรื่องราวของพระเจ้า พระสัญญาของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเชื่อแล้ว เราเป็นใคร พระเจ้าได้ให้อะไรกับเรา  พยายามจดจ่อ แล้วก็มาใส่ข้อมูลที่ความคิดของเรา เมื่อข้อมูลของเรามีมากเท่าไร? ความคิดจะสั่งการให้กับร่างกายของเรา ให้ทำตามความคิดนั้น เมื่อความคิดไม่สั่งการ ร่างกายจะไม่ทำตาม  ดังนั้น ความคิดจะสั่งการ ให้เราทำตามถ้อยคำของพระเจ้า หรือทำตามระบบของโลกนี้  การหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบ ที่พยายามชักจูง ดึงเรา  ให้ไปทำตามมัน  ซึ่งเราสามารถต่อสู้ ขัดขืนได้ เมื่อก่อนเราเป็นทาสมัน แต่ตอนนี้เราไม่ใช่แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาด เป็นวิญญาณใหม่ เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป  แต่มันก็ยังคอยหลอกเราว่า …

“เธอยังเป็นทาสฉันอยู่  เธอต้องทำตามฉัน”

ซึ่งถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ว่า “ฉันไม่ได้เป็นทาสเธอแล้ว เธอมาหลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันไม่เชื่อเธอ ไม่ทำตาม”

พอเราไม่ทำตาม มันทำอะไรเราไม่ได้เลย … “ฉันไม่เชื่อแก” … ต้องบอกอย่างนี้เลย

ฉะนั้น  พอระบบความคิดของเราเข้ามาอยู่ในระบบที่พระเจ้าบอกเราปุ๊บ พระเจ้าบอกเราว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า บุคลิกลักษณะของพระเจ้าจะอยู่ในชีวิตของเรา คือเราเป็นเลย เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความอดทนนาน  เป็นการรู้จักบังคับตัวเอง เราเป็นหมด คือพระเจ้าที่อยู่ในเราเป็น  พอเป็นปุ๊บ เราเป็นอย่างนั้น พอระบบความคิดของเราถูกใส่เข้าไปในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปุ๊บ  พอเรารู้ว่าเราเป็นความสว่าง

ความคิดตรงนี้ก็จะสั่งการ ทำให้ร่างกายเราสำแดงความสว่างออกมา มันออกมาเอง โดยอัตโนมัติ ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้ามากเท่าไร? ความคิดเรายิ่งสะสมความรู้ของพระเจ้าได้มากเท่าไร? มันก็ยิ่งทำให้ส่งผลออกมาเป็นการกระทำ ให้คนอื่น ผู้คนรอบข้างได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรามากเท่านั้น อย่างที่บอก พอเราคิดตามพระเจ้า คิดเยอะๆ เราก็จะเริ่มเห็นด้วยกับพระเจ้า แล้วก็ทำตามพระเจ้า แต่ถ้าเราคิดแบบเอาความคิดเก่าๆ เข้ามา เอาความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  ความโสโครก สกปรก โสมม อิจฉา ริษยา  มันฝังในความคิดเราปุ๊บ พอเราคิดเยอะๆ มันก็จะทำให้เราเชื่อตามนั้น แล้วก็สั่งการให้ร่างกายเราทำตามมันด้วย มันก็จะออกมาเป็นลักษณะที่หลายครั้ง เราก็ล้มลง ไปทำตามตรงนั้น แต่ไม่ว่าเราจะล้มลง หรือเราจะเผลอทำตามธรรมชาติเก่าของเรา  ยังคงยืนยันอันเดิม พี่น้องต้องบอกตัวเองเลย พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาดแล้ว  เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้ย้ายจากต้นไม้บาปของอาดัม  มาอยู่ในต้นไม้ของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราทำผิดพลาดขนาดไหน? ให้รับรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเราไม่ได้เป็นคนทำบาปเลย วิญญาณเรารอด และเราเป็นต้นไม้ดี เราอยู่ในต้นไม้ดีของพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“เมื่อท่านเป็นทาสของบาป   ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม   (ความดี)” โรม 6:20

 

เราตั้งใจทำความดี  ไม่ใช่เพื่อจะได้รับความรอดจากบาปจากเวรกรรม แต่เป็นธรรมชาติของวิญญาณภายในที่ดีเหมือนพระเจ้า  เพราะเราได้รับความรอดจากบาป และได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว …

– โดยพระคุณ พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ นำเรา สอนเราให้ทำดี เหมือนพ่อ

– พระคุณสอนให้ใจเราเคารพยำเกรงพ่อ และไม่กลัวที่จะเข้าหาพ่ออีกต่อไป

– พระคุณของพระเจ้าทำให้เราฝึกวินัยตนเอง  รู้จักบังคับตนเอง  อยากทำดีเหมือนพ่อ  ทำให้พ่อชื่นใจ

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1318

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “พระเจ้าอยู่ที่ไหน  ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้าย?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกประสบความทุกข์ยากลำบากเหมือนๆ กันหมด ทุกข์ยากมากบ้าง? น้อยบ้าง? เพียงแต่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบากคนละรูปแบบกัน ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เรียนรู้กันไปแล้ว เมื่อครั้งที่แล้ว  บางคนก็ทุกข์ยากลำบากจากเรื่องปัญหาสุขภาพ บางคนก็เรื่องปากท้อง การกิน การอยู่ การทำมาหากิน พูดง่ายๆ บางคนก็ทุกข์เรื่องปัญหาครอบครัว  เรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในสังคมอะไรต่างๆ  ทะเลาะเบาะแว้ง แม้ในสังคมบ้าน  ในครอบครัว ในบ้านเดียวกัน  พ่อ แม่ ลูก ทะเลาะกันรุนแรงก็มี ปัญหาแก้ไม่ได้ ที่ผมเน้นย้ำไปครั้งที่แล้ว  ก็คือความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  ทั้งหมดทั้งปวง พุ่งตรงมาทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกใบนี้  เหมือนกันทุกคน โดนหมดทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม นี่คือพื้นฐานความจริง

และสำหรับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราก็ได้รับการสอน ได้รับการยืนยันมาตลอด จากถ้อยคำพระเจ้าว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ในตัวเรา  ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วย  พระองค์กำลังดูแล กำลังนำทางเราเดิน และพระองค์จะสามารถนำพาเราผ่านในทุกสถานการณ์ได้  ทุกสิ่งจะเป็นผลดีสำหรับผู้ที่รัก ผู้ที่เชื่อวางในพระองค์ เพราะฉะนั้น ก็จะมีคนถาม ตามที่เราได้เรียนรู้กันครั้งที่แล้วว่าถ้าอย่างนั้น เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว ทำไมถึงยังต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากอีก ทำไมต้องเกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิตของเราด้วย  ทั้งๆ ที่เราเชื่อแล้ว 2 คำถามที่มักจะเกิดขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย ก็คือ …

(1) ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นกับมนุษย์    ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักดั่งแก้วตาดวงใจ? อันนี้เป็นข้อแรกเลย

(2) พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่เราตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น

นี่คือ 2 คำถามที่เราตั้งกันไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเราก็ได้คุย ได้ตอบคำถามข้อแรกไปแล้วว่า “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่พระองค์บอกว่ารักมากมาย ดั่งแก้วตาดวงใจ”  ซึ่งคำถาม สรุปความจริงในข้อนี้  ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์ตัดสินใจด้วยตนเองตั้งแต่แรกแล้ว คือให้เป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นทาส เป็นลูก มีอิสระในการตัดสินใจได้ สรุป คือพระเจ้าอนุญาตให้เราดื้อ ไม่เชื่อฟัง ตัดสินใจที่ไม่เชื่อก็ได้ แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราดื้อ

เพราะเมื่อเราดื้อ เกิดสิ่งเลวร้ายเข้ามาในชีวิต พระองค์อนุญาตให้เรารับสิ่งเลวร้ายนั้น แต่พระองค์ไม่ได้ประสงค์ที่จะให้สิ่งเลวร้ายนั้น เกิดขึ้นกับเรา สรุปครั้งที่แล้วเป็นอย่างนั้น

ความจริง คือมนุษย์เองต่างหากที่นำความบาปเข้ามา  จากการถูกหลอก โดยมาร จึงทำให้มนุษย์ติดเชื้อบาป และเอาความตาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ยากลำบาก คำสาปแช่งลงมาสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และบ้าน คือที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ วิปริต เสียหายใหญ่โต กระทบกระเทือนกันไปหมดทั้งสังคมโลกใบนี้เลย ซึ่งหลักใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้สำคัญที่สุด ก็คือมนุษย์

มนุษย์จึงถูกทำลายด้วยความเสื่อมเสีย ความเสียหาย  เหตุจากบาปเข้ามาในโลก เราได้เรียนรู้แล้ว เพราะมนุษย์คนเดียว บรรพบุรุษของเรา เผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะดื้อ พูดง่ายๆ  พระเจ้าเตือน แล้วไม่ฟัง เราได้เรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแล้วนะ

เราได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าประสงค์ให้เป็นอย่างนั้น ถูกไหม? ตรงกันข้าม พระองค์กลับเสียใจ เศร้าใจอย่างมากมาย ฐานะเป็นพ่อ ลูกไม่เชื่อฟัง ได้รับบาดเจ็บ  ได้รับความเสียหาย มีพ่อที่ไหนจะดีใจ พ่อก็เสียใจ เศร้าใจ คอยวันเวลาที่จะเยียวยารักษาให้หาย ซึ่งพระองค์ก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว อันนี้สำคัญมาก นี่คือข่าวดี  พระองค์ทรงเยียวยารักษาให้หายแล้ว โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่มาตายบนไม้กางเขน และพระองค์ทรงตรัสที่ไม้กางเขน บอกว่า “สำเร็จเรียบร้อยแล้ว”

“สำเร็จ” คือรักษามนุษย์ให้หายจากเชื้อบาปเรียบร้อยแล้ว

ท่านอาจจะถามว่า “เรียบร้อยแล้ว แล้วทำไมโลกนี้ ไม่เห็นกลับมาดีเหมือนเดิมเลย  ก็ยังมีโรคภัยไข้เจ็บ มีความเสียหาย มีคำสาปแช่ง มีความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นเหมือนเดิม มนุษย์ทุกคนยังเจ็บป่วยเหมือนเดิมเลย ไหนล่ะ”

ก็อยากจะบอกว่าคำว่า “พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว” คือสำเร็จในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งมันเป็นนิรันดร์กาล  สำเร็จทางวิญญาณ ในทุกอย่าง ที่พระองค์ทรงกระทำ หายจากการติดเชื้อบาป แต่โลกใบนี้  และร่างกายของเราที่ถูกสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้ที่ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นของโลกวัตถุ ที่ต้องคำสาปและรับผลไปเรียบร้อยแล้ว คือต้องสิ้นสุดลง ต้องจบ ต้องตาย พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว คือวิญญาณของเรา  ได้เกิดใหม่ ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  แล้วก็รอวันที่พระองค์จะทำให้โลกนี้ เป็นโลกใหม่ สร้างโลกใหม่ให้กับลูกๆ ของพระองค์ได้อยู่อาศัย รอคอยวันที่พระองค์ทำอีกนิดหนึ่งให้สำเร็จ คือวันที่โลกใบนี้มันจะสิ้นสุดลง เราไม่รู้ว่าเมื่อไร?

วันที่โลกใบนี้และทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ถูกสำเร็จโทษพร้อมทั้งมารซาตาน  ต้นเหตุของการหลอกลวงมนุษย์ให้ตกลงไปในความบาป ไม่เชื่อฟังต่อพ่อ พระเจ้า มารและสมุนของมัน รวมทั้งโลกใบนี้ทั้งหมด และรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ มีวันที่จะจบ สิ้นสุดลง สลาย มารก็ถูกขังไว้ในบึงไฟนรกนิรันดร์ โลกใบนี้ ก็ดับสูญ ธาตุในโลกใบนี้ก็ดับสูญ รวมทั้งร่างกายมนุษย์ก็ดับสูญ แต่พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และเตรียมโลกใหม่ ฟ้าใหม่  ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ ในที่นั่นร่างกายของเรา ก็จะเป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ในโลกใหม่ ฟ้าใหม่ และร่างกายใหม่ ที่เราจะได้รับนั้น  เราจะอยู่ในโลกใบนั้น โดยไม่มีเชื้อบาปอยู่เลย ไม่มีผลของเชื้อบาป ไม่มีผลของคำสาปแช่ง  ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป  ไชโย เอเมน นี่คือความหวังใจ นี่คือความจริง  ฉะนั้น นี่คือความต้องการตามพระประสงค์ของพระเจ้า แผนการของพระเจ้าที่ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย เพียงแต่รออีกนิดเดียว

และวันนี้เราจะมาดูคำตอบสำหรับคำถามข้อที่ 2 ที่ผู้เชื่อมักจะถามพระเจ้าว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น”

“โอ้! พระเจ้าอยู่ที่ไหน ขณะนี้ผลกระทบจากโควิดทั้งโลก” คนที่เชื่อพระเจ้าส่วนใหญ่ก็จะถามว่า “โอ้! พระเจ้าอยู่ที่ไหน?” วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องคำถามข้อที่ 2 นี้ ซึ่งในข้อที่ 2 นี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ต้องตอบแยกกัน คือ …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ฉันกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านั้น” นี่หมายถึงมนุษย์กลุ่มแรก คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในพระเจ้า คือมนุษย์ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขาในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ประทานให้ คือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อใช่ไหม? ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เป็นกลุ่มแรก ถ้ากลุ่มแรกถามว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ฉันกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายอย่างนี้”

คำตอบจากพระคัมภีร์ “พระเจ้าอยู่ที่ไหน?” พระเจ้าอยู่ข้างๆ ท่าน  พระเจ้าอยู่ล้อมรอบท่าน คอยตามท่านตลอดเวลาเลย  แม้ท่านจะนอน ท่านจะตื่น ท่านจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะทำดีขนาดไหน? หรือทำชั่วขนาดไหน? พระเจ้าก็อยู่ข้างๆ ท่านอยู่ เรียกว่าโอบล้อมร่างกายของท่านอยู่ รอวันเวลาที่ท่านจะพบความจริง ในพระเยซูคริสต์ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ยอมรับว่าช่วยตัวเองไม่ได้ ขอพระเจ้าเข้ามาช่วยด้วย พระองค์มาเคาะประตูใจ เคาะตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที เพื่อให้ท่านเปิดใจ ตัดสินใจ ยอมให้พระองค์เข้ามาช่วยในการดำเนินชีวิตของท่าน  เมื่อท่านไม่ไหวแล้ว ท่านไปไม่ได้แล้ว  ท่านยอมสยบ

“ด้วยกำลังของฉันเอง ฉันไปไม่ได้แล้ว” แสวงหาอะไร ก็ช่วยท่านไม่ได้แล้ว เหลือแค่พระเจ้าเท่านั้น เหลือแค่พระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านยังไม่เคยลองดู ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร? นั่นแหละ พระเจ้าก็จะเข้าไปในร่างกายของท่าน  ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ และท่านก็จะสามารถมาฟังคำตอบ ข้อ 2 ของกลุ่มที่ 2 นี้ได้

สรุปว่ากลุ่มแรก คือพระเจ้าเคาะประตูใจท่านตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ขณะที่ท่านทนทุกข์ลำบาก อยู่ในความวุ่นวาย บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอะไรก็ตามที่ตะกี้เราพูดกันมา  พระเจ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านนั่นแหละ รอให้ท่านตัดสินใจ เปิดใจ บังคับท่านก็ไม่ได้

สำหรับกลุ่มที่ 2 ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เรียกว่าคริสเตียนแล้ว  ความจริง ก็คือเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว  สถิตอยู่ในเรา คอยดูแล ช่วยเหลือ ในการที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ความทุกข์ยากต่างๆ  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้  และในขณะที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั้น พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกนี้แล้ว ชนะเชื้อบาปบนโลกใบนี้แล้ว เมื่อพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อนั้น หมายถึงว่าในตัวเรา ในวิญญาณของเรา  ที่เป็นคนบาป  มีจิตใจชั่วร้าย โดยกำเนิดนั้น ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการชำระล้าง โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด จนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป ปราศจากความชั่วร้ายใดๆ นั่นคือตัวจริงๆ ของเราเลย มันเป็นอย่างนั้น  และพระองค์กำลังนำพาวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้รับการชำระจนสะอาด ในพระคัมภีร์บอกเหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น คำตอบของข้อ 2 ในกลุ่มที่ 2 คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้าได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของท่าน ทำให้ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  และทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน วิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่  ด้วย DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยวิญญาณชนิดเดียวกันกับของพระเยซูคริสต์

ย้ำอีกทีหนึ่ง ผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ ถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ เรียกว่ามีพระสิริ พระเกียรติ บารมี ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ ความดีงาม ท่านก็ได้รับวิญญาณอย่างนั้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น วิญญาณของท่านที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  นี่คือความจริง แล้วเราจะเห็นได้อย่างไร?  เห็นไม่ยาก ที่เคยบอกไว้ มองไปที่กระจก อ้าว! มองกระจก แล้วจะเห็นได้อย่างไรล่ะ มองกระจกเงา เห็นตัวท่านเอง  ถ้ามองกระจกเงา เห็นตัวเอง  ท่านหลับตาต่อหน้ากระจกเงา  พอท่านหลับตาปุ๊บ แล้วก็นึกถึงถ้อยคำพระเจ้า  ที่พระเจ้าบอกความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้กับเราได้รู้ว่าท่านเป็นใครในโลกวิญญาณ

หลับตา ท่านก็จะเห็นวิญญาณของท่าน ที่อยู่ภายในร่างกาย ที่เห็นด้วยกระจกเงาเมื่อตะกี้ ตอนลืมตานั่นแหละ พอหลับตาปุ๊บ ไม่เห็นกระจกเงาแล้ว แต่เห็นถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง ก็คือวิญญาณที่อยู่ข้างใน  พร้อมทั้งความคิดจิตใจ  สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณก็เหมือนพระคริสต์ ความคิดจิตใจ ก็เหมือนพระคริสต์ และตัวตนที่แท้จริงตรงนี้  คือวิญญาณและความคิดจิตใจนี้  จะไปอยู่กับพระเจ้าในวันหนึ่ง  ในโลกใหม่ที่ตะกี้นี้ เราพูดถึง

และในขณะนี้  ที่เราหลับตา แล้วเราเห็นความเป็นจริงโลกวิญญาณนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว มันเป็นอย่างนั้นอยู่จริงๆ  ก็คือขณะที่เราหลับตา เราจะเห็นวิญญาณของเรา ความคิดจิตใจของเราที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นน้องพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว  เพียงแต่รอคอยวันเวลา ที่ครบกำหนด สำเร็จโทษบนโลกใบนี้  สำหรับมารซาตาน และความบาป รวมทั้งโลกเก่านี้ ที่ถูกปกคลุมไปด้วย ความบาป ความเสียหาย สูญสิ้นไปหมดเมื่อไร? โลกใบนี้ จบเมื่อไร? วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็จะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย และท่านจะได้อาศัยอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย  ไม่มีสิ่งเสียหายอีกแล้ว  ดีกว่าสวนเอเดนเก่าอีก นี่คือความเป็นจริง … 1 2 3 ลืมตาได้ … หลับตาจึงเห็น ลืมตาไม่เห็น

เพราะฉะนั้น นี่คือเริ่มต้นตอบคำถามข้อที่ 2 “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกตกอยู่ในความเลวร้ายเหล่านี้ เหล่านั้น ขณะนี้ ขณะนั้น”  เราจะมาเรียนรู้กันต่อในเรื่องนี้  เรียนรู้จากประสบการณ์ของอาจารย์เปาโล เรื่องหนามในเนื้อ ซึ่งเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ได้อย่างดี

พูดถึงอาจารย์เปาโล ก็การันตีได้ว่าท่านได้เรียนรู้เรื่องพระเจ้าลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ โดยการเรียนรู้จากพระเยซูโดยตรง แล้วพระเยซูเคยพาอาจารย์เปาโลไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 ได้เห็นมากับตา แล้วกลับมาอยู่บนโลกใบนี้  มาประกาศเรื่องข่าวประเสริฐต่อ เพราะฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด มันจึงลึกซึ้ง และชัดเจนในเรื่องโลกวิญญาณอย่างมาก

เปาโลก็จะใช้คำว่า “หนามในเนื้อ” หรือใช้คำว่า “ความอ่อนแอ” ที่อาจารย์เปาโลบอกความอ่อนแอ  มันหมายถึงอาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าตั้งแต่ความท้อแท้  ความเครียด ความกังวล ความกลัวในการถูกสบประมาณ กลัวความทุกข์ยากลำบาก ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก ลำบากทั้งใจและกาย คือเจ็บป่วยทั้งกายและใจ อาจารย์เปาโลเป็นอย่างนั้นจริงๆ ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลเผชิญสิ่งเหล่านี้หมด แล้วก็เปิดเผยให้ฟังได้เลยว่านี่คือความอ่อนแอของท่าน ที่ดำเนินอยู่บนโลก ทั้งๆ ที่มองไปที่โลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่ภายในอย่างไร?  ที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ทั้งๆ ที่รู้ แต่ยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก มันเกิดความรู้สึกเมื่อตะกี้นี้ ที่พูด มันยังทุกข์ยากลำบากอยู่

อาจารย์เปาโลเจ็บป่วยนะ เจ็บทางกาย ถึงขนาดตาบอด แต่เราไม่รู้ว่าคำว่าหนามในเนื้อ อาจารย์เปาโลพูดตรงนี้ เน้นไปที่ความเจ็บป่วยทางกาย หรือความเจ็บป่วยทางจิตใจ หรือความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด อะไรต่างๆ แต่ที่เรารู้แน่ๆ  ก็คือหนามในเนื้อ  คือความทุกข์ยากลำบากขนาดหนักเลย หนักมากขนาดอาจารย์เปาโลไม่ได้พูดว่าหนามในเนื้อ ถูกเอาหินขว้างให้ตาย แล้วก็ไม่ตาย เป็นขึ้นมาใหม่ ถูกเฆี่ยนไม่รู้กี่ครั้ง  เรือแตก ถูกเขาตามล่า จะฆ่า จะทำลายให้ตาย  แต่ละวันๆ เป็นอย่างนั้น  ความทุกข์ยากลำบากที่เรียกว่าหนามในเนื้อของเปาโลหนักมาก หนักถึงขนาดขอพระเจ้าให้ช่วย เอามันออกไป  แสดงว่าต้องหนักมากทีเดียว

ถ้าเทียบกับพวกเราในปัจจุบัน หนามในเนื้อของเรา คือผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนติดคุกติดตาราง ไปไหนก็ไม่ได้ กลัวจะติดเชื้อ กลัวฉีดวัคซีน แล้วเป็นอะไรผลข้างเคียง กลัวโน่น กลัวนี่ ผลกระทบ การทำมาหากินก็ลำบาก นี่พูดถึงเฉพาะแค่ในปัจจุบัน ก่อนโควิดมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว  คือความทุกข์ยากลำบากมันปกคลุมอยู่ในโลกใบนี้ตลอดเวลา

ฉะนั้น คำถามนี้ที่บอกว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกตกอยู่ในความเลวร้ายนี้” ไม่ใช่มาถามเฉพาะตอนที่มีโควิดระบาด แต่มีก่อนหน้านี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่สมัยอาดัมตกลงไปในบาปใหม่ๆ  จนกระทั่งถึงเปาโล จนกระทั่งมาถึงเราทุกวันนี้  จนกระทั่งถึงพี่น้องบางคนที่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะมีโควิดอีก เป็นมะเร็ง เจ็บป่วย ประสบกับปัญหา ทุกข์ยากลำบาก นอนเป็นอัมพาตอยู่ จะให้เขาคิดอย่างไรในชีวิต ทั้งๆ ที่เขาเชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องตะโกนถามเลยว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหนในยามที่ลูกกำลังลำบากถึงขนาดนี้?”

เพราะฉะนั้น คำถามนี้ไม่ได้มานึกถึง เฉพาะโควิดเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มี และเราทุกคนก็รู้ดีว่าต่างฝ่าย ต่างก็ประสบกับความอ่อนแอ หนามในเนื้อ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เท่าๆ กันทุกคน เป็นทุกคน โดนทุกคน เพราะว่าโลกใบนี้มันเสียหาย มันทุกข์ยากลำบากจริงๆ ตามนั้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการป่วยทางกาย ทางใจ ทางความคิดอะไรต่าง ทางความสัมพันธ์ ความหวาดกลัว ความวิตก กังวล ความซึมเศร้า ความเครียด สิ่งเหล่านี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น ซึ่งความจริง ก็คือพระเจ้าต้องการเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่พึ่ง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้เล้าโลม เป็นผู้นำทางสู่ความสำเร็จ สู่ชัยชนะอย่างแท้จริงของเราทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักเรามากที่สุด เกินกว่าใครในมหาจักรวาลนี้แล้ว

พระองค์ต้องการแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นใคร? ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ  พระองค์อยากให้เรารู้จักพระองค์ อยากให้เราสนิทกับพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา มีชีวิตอยู่กับเราตลอดเวลา  ทุกลมหายใจเข้าออก เราเดินไปที่ไหน? พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอย่างไร? พระเจ้าก็ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา เรามักบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยเอาหนามในเนื้อนี้ออกไปที”

ก็เหมือนเปาโลอย่างนี้แหละ … “พระเจ้าไม่ไหวแล้ว ช่วยเอาหนามในเนื้อนี้ออกไปเถิด ขอโปรดทรงช่วยเหลือให้หลุดรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้  ไปด้วย เอามันออกไปจากลูกเถิด สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ลูกไม่ไหวแล้ว”

เหมือนที่เปาโลกำลังอธิษฐาน แต่พระเจ้าบอกเปาโล … “ไม่” ไม่เอาออกไป ทั้งๆ ที่รัก ทำไมไม่เอาออกไป เพราะว่าพระเจ้าบอกว่า … “ไม่ เพราะเราต้องการให้เจ้าเห็นว่าเราเป็นใคร? เราสามารถทำอะไรให้เจ้าท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งอธิบายยาก พระเจ้าคงจะอธิบายให้เราฟังยากมาก เพราะเราเป็นมนุษย์ เราจะเข้าใจไหม? พระองค์จึงให้เราเชื่อในพระองค์ วางใจในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา รักมาก ถึงขนาดประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อเรา ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ สำแดงความรักกับเราอย่างนี้แล้ว เชื่อมั่นในพระองค์ว่าพระองค์พาไปในสิ่งที่ดีได้  ที่ไม่ได้เอาความทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้เอาหนามในเนื้อออกไปให้กับลูกนั้น  ไม่ได้ไม่อยากเอาออกไป อยากเอาออกไปแทบขาดใจ  แต่มันมีส่วนประกอบ มีเหตุผลอะไรอีกหลายอย่างที่ลูกไม่เข้าใจเลย”

ยกตัวอย่างเช่น บนโลกใบนี้ มันมีแต่ความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น ถ้าอยากให้เอาหนามในเนื้อออกไป มีทางเดียว คือเอาลูกออกไปจากโลกใบนี้  ก็คือลูกต้องตาย เอาวิญญาณออกไปจากโลกใบนี้  ก็จบกัน เพราะว่าวิญญาณของลูกก็เกิดใหม่แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว  อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอธิบายให้เราฟังยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากมากขณะที่เรากำลังประสบกับปัญหาเหล่านั้น กำลังทุกข์ใจ ทุกข์กาย

เปาโลเช่นเดียวกัน เปาโลถาม 3 ครั้ง แสดงว่ามันหินมากนะ  ขนาดเปาโลยังอธิษฐาน 3 ครั้ง คุ้นๆ ไหม?  คำว่าอธิษฐาน 3 ครั้ง พระเจ้าก็ยังตอบยืนยัน ซึ่งเดี๋ยวจะเรียนรู้ต่อไป  จำคำว่า “3 ครั้ง” ได้ไหม?  ใครในพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ พระเยซูเอง ก่อนที่จะยอมให้เขามาจับพระองค์ไปตรึงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์อยู่ที่สวนเกเสมนี อธิษฐานด้วยความทุรนทุราย ด้วยความหวาดกลัว วิตกกังวล กลัวมาก  ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือด อธิษฐานว่า

“ไม่ถูกตรึงได้ไหม? (พูดง่ายๆ)  มีวิธีอื่นไหม? พ่อจ๋า พระเจ้า ไม่ไหวนะ เห็นภาพล่วงหน้าแล้ว ท่าทางจะรับไม่ไหว”

มันหนักมาก อธิษฐาน 3 ครั้ง ได้รับคำตอบเหมือนกันกับที่เปาโลได้รับ ก็คือพระเจ้าปฏิเสธ ไม่ทำตาม

พระเยซูเลยบอกว่า … “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

เห็นไหม? พระเยซูยังอธิษฐาน 3 ครั้ง เมื่อจะพบกับภาระหน้าที่ที่หนักหนา เสร็จแล้ว ยอมทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เกิดเป็นผลดีมากมาย ก็คือยอมตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติให้กลับคืนสู่พระเจ้า  ได้สามารถบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า สามารถนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ นั่นไงแผนการของพระเจ้า จึงได้สำเร็จ

เรามาดูเปาโลถาม 3 ครั้งที่จะให้พระเจ้าเอาหนามในเนื้อนี้ออกไป แต่พระเจ้าบอกว่าให้หนามในเนื้อนั้นอยู่อย่างนั้นแหละดีแล้ว แต่บอกว่าพระคุณและฤทธิ์อำนาจของเราจะมีเพียงพอ และมีพอที่จะนำพาเจ้าผ่านพ้นไปได้ และได้ดีด้วย  เป็นผลดีสำหรับแผนการของพระองค์ด้วย …

2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

 

ข้อ 8 “ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง” วิงวอนไม่ใช่ครั้งละสั้นๆ แล้วก็ไปนะ ถึง 3 ครั้ง เอาใจใส่ อุตสาหะ ทูลขอ จริงจัง  3  ครั้ง ช่วยเอาความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่รู้อะไร ความทุกข์หนักแน่นอน หนามในเนื้อ  เหมือนที่พระเยซูบอกเอาจอกนี้ออกไป เลื่อนออกไปได้ไหม? ไม่ทำได้ไหม จอกนี้ ก็คือหน้าที่ นี่คือหนามในเนื้อ คือความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันคือความเจ็บปวด มันคือความทุกข์ทรมาน อย่างต่อเนื่อง จึงใช้คำว่าหนาม ทิ่มอยู่ตลอด ให้เอาออกไปได้ไหม?

ข้อ 9 บอกว่า “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า” ก็คือ “ไม่” นั่นเอง แต่บอกว่าพระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า

“พระคุณ” หมายถึงการบังเกิดใหม่  การได้รับการชำระ เป็นลูกของพระเจ้าที่ได้บังเกิดใหม่  เต็มด้วยสง่าราศี มีวิญญาณที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตัวตนแท้ๆ ของเปาโลและพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อ ในวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรานั่นแหละ และเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว  พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น ตรงนี้เพียงพอแล้วสำหรับเปาโล ในการเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น

แล้วบอกต่อไปว่า “เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ตรงนี้สำคัญ ไม่เอาออกไปหรอก แต่ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวของเปาโล เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวของท่านนั่นแหละ ที่ท่านหลับตามองที่กระจกเงา แล้วท่านเห็นว่าตัวของท่านจริงๆ เป็นเหมือนพระเยซู เป็นน้องพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจเหมือนพระเยซูเลย  นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซู ด้วยสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงให้ท่าน ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน  ตัวนี้คือตัววิญญาณและความคิดจิตใจของท่าน ที่เหมือนพระเยซูเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในท่านเดี๋ยวนี้แล้ว ในตัวของเปาโลนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น

และความอ่อนแอเหล่านี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เป็นเหตุทำให้ฤทธิ์อำนาจตรงนี้ สำแดงออกมาอย่างเต็มที่ เอเมน ขณะที่ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นนั้น  ผู้เชื่อทั้งหลาย จงรับทราบเถิด หลับตาเห็นฤทธิ์เดชอำนาจของการบังเกิดใหม่ของเราในวิญญาณ ที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  และพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ในร่างกายนี้ ในขณะนั้น ในฤทธิ์เดชอำนาจนี้กำลังปรากฎออกมาเต็มที่ในความอ่อนแอนั้น

เปาโลจึงตอบว่า “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวด” … “อวด” ก็คือยินดีนั่นเอง มีอะไรดีๆ เราก็อยากอวด ภูมิใจ “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจ  (ใช้คำนี้ก็ได้) จึงอวดด้วยความภูมิใจว่าฉันเป็นคนดี  ฉันเป็นคนเข้มแข็ง ฉันเป็นคนเชื่อฟัง ฉันเป็นคนอธิษฐานเยอะ ไม่ใช่  … ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวด ภูมิใจในความอ่อนแอของตน” เราเรียนรู้ไปเมื่อตะกี้ ความอ่อนแอ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด ความวิตกกังวล  ความท้อแท้ … “ข้าพเจ้าจึงอวดด้วยความภูมิใจในความท้อแท้ของข้าพเจ้า” มีใครอยากอวดบ้างตรงนี้  เพราะฉะนั้น อวดได้นะ อวดว่าตัวเราเองท้อแท้ แต่ข้างในเราเข้มแข็ง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา … “ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน  อวด ชื่นชม ภูมิใจ ด้วยความยินดี” เห็นไหม? ยินดี เพราะรู้แล้วว่าเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์” เห็นไหม? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ก็คือเพื่อฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ ซึ่งสถิตอยู่ในข้าพเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับข้าพเจ้า  เป็นศีรษะ ข้าพเจ้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ซึ่งมีข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น จะได้ฉายแสงออกมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มที่

ข้อ 10 “ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชม ในความอ่อนแอ” ตรงนี้ ภาษาเดิมจะมีคำเพิ่มเติมมา คือ “ข้าพเจ้าจึงชื่นชม และมีความยินดีในความอ่อนแอนั้น  ในการถูกสบประมาท”

ใครสบประมาทมา เรายินดีเลย  ยิ้ม ขณะที่ยิ้มไป เจ็บปวดไหมล่ะ อ่อนแอ เจ็บปวด บางครั้งทนไม่ไหว อาจจะเครียด หงุดหงิด ลองอ่านดูในนี้ชัดเจนเลย

“ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ และยินดีในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง  เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ภายใน ซึ่งพลังมหาศาลจะโผล่ออกมาชัดเจนขึ้น”

เห็นไหมครับ? ชัดเจนแจ่มใสเลย  เราสามารถใส่ตรงนี้ เป็นตัวเราได้เลย ถึงบอกว่าประสบการณ์ของเปาโล เรื่องหนามในเนื้อ เป็นตัวอย่างอย่างดีสำหรับพวกเราทุกคน  ผู้เชื่อ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก อย่างนี้เหมือนกัน เราสามารถนะ แต่จะทำหรือยัง ยังไม่รู้นะ แล้วแต่พระวิญญาณจะนำเรา เจริญเติบโตมากขึ้นเท่าไร? เราอาจจะใส่คำนี้ว่า …

“ฉันชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของตัวของฉันเอง ในร่างกายนี้ ในการถูกสบประมาท (ต้องเป็นตอนนี้นะ)  คนนั้นก็ว่าฉันไม่ได้เรื่อง คนนี้ก็ว่า ฉันมีความอ่อนแอตรงนั้น ฉันรู้สึกฟ้องผิด ในความทุกข์ยากลำบากในขณะนี้ ถูกผลกระทบของโควิด-19 ตกงาน รายได้ ก็ไม่มี  แถมยังติดเชื้ออีก แถมยังติดเชื้อมากด้วย  คนก็สบประมาทฉันว่า … ‘เชื่อพระเจ้า พระเจ้าอยู่ไหนไม่เห็นมาช่วยเลย  ไหนบอกเชื่อพระเจ้า พระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ไหน ทำไมเป็นอย่างนี้’  นี่แหละ คือลักษณะเดียวกันอย่างนี้   ไหนล่ะๆ  นี่คือความยุ่งยากและลำบากในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ของคริสเตียน ของคนที่เชื่อแล้ว

แต่ชัยชนะของเราอยู่ที่ภายในร่างกายนี้ คือในวิญญาณของเรา ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า กระทำการงานอยู่ในตัวของเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ หลับตาลงก็จะเห็นฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  พระพรอันนับไม่ถ้วนในสวรรค์สถาน  ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า จนถึงวินาทีนี้  เราก็ได้รับพระพรนั้น และเราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป  จนถึงนิรันดร์กาล  เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง มีโลกใหม่เข้ามาแทนที่ เราก็จะอยู่ในสวรรค์นี้เหมือนเดิม แต่มีลักษณะที่เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นร่างกายที่ไม่มีความเจ็บปวด  เจ็บป่วย ทุกข์กาย ทุกข์ใจ  ไม่มีบาปอีกต่อไป  และอยู่ในโลกใหม่ที่ไม่มีมาร  ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีบาปอีกต่อไป  เราจะอยู่ในความสุขจริงๆ อย่างถาวรนิรันดร์ ร่วมกับพระเจ้าของเรา  เป็นครอบครัวของพระเยซูคริสต์ เอเมน

นี่คือวิธีเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ความอ่อนแอของเรากับวิถีทางที่พระเจ้าจะช่วยเรา ไม่เหมือนที่เราคิด

มีคำสอน มีทฤษฏีมากมาย ที่บอกว่า … “ถ้าท่านมีความเชื่อมากพอ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้”

ท่านคิดอย่างไรกับทฤษฏีเหล่านี้ “ถ้าท่านมีความเชื่อมากพอนะ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้” แต่ความจริง ก็คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ สิ่งที่พระเจ้าสัญญาและได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ก็คือพระองค์ได้ประทานความคิด จิตใจใหม่ที่เหมือนพระคริสต์ ตามพันธสัญญาใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว พระองค์ทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ ก็คือในพระคริสต์ เรามีวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระคริสต์อยู่ สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยน หรืออาจไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือความคิด เปลี่ยนความต้องการของเรา ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ ให้เป็นไปตามความคิด จิตใจ ที่เหมือนพระคริสต์ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ตอนที่เราบังเกิดใหม่ และอยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนโปรแกรมความคิดเดิมๆ ของเรา ที่อยู่ในสมองของเรา  ตอนก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  จากความคิดเดิมๆ ที่เรามักต้องการให้พระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ เปลี่ยนมาเป็นเชื่อวางใจที่จะมอบสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ให้พระเจ้าเป็นผู้นำพาเราผ่าน  แค่เรามั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วย  พระองค์นำหน้าอยู่ในชีวิตเรา และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา แค่นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ และควรที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ  เป็นความคิดใหม่อย่างนี้ แล้วเราก็จะรับรู้ และเข้าใจอย่างนี้ ลึกซึ้งถึงพระคุณและฤทธิ์เดชอำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลาแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มเปิดใจเชื่อในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นไร เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเราอย่างนี้  ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างนี้  เราก็จะเกิดความอดทน รอคอย มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือต้องหลับตา ไม่สนใจในสิ่งที่มองเห็นในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

สถานการณ์ติดเชื้อโควิด เราก็มองเห็น  สถานการณ์ที่เงินเดือนไม่มี เราก็มองเห็น  สถานการณ์ที่อดๆ อยากๆ เงินไม่พอใช้ เราก็มองเห็น สถานการณ์ที่ทะเลาะกัน วิวาทกัน เห็นแก่ตัว แย่งกัน เราก็เห็น สถานการณ์ที่เราเครียดอยู่ เราวิตกกังวล ท้อแท้ใจ ไม่มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตอยู่ เราก็เห็น

เพราะฉะนั้น หลับตาสิ เราจึงจะเห็นในสิ่งที่ตามองไม่เห็น หลับตาปุ๊บ เราเห็นถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราไว้  เราเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้า เรามีวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ และความคิดจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระองค์ พระองค์สถิตอยู่กับเรา คอยนำพาชีวิตตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็เป็นพระคริสต์ หายใจออกก็เป็นพระคริสต์ ไปไหนก็อยู่กับพระคริสต์ เดินไปไหน ก็เป็นพระคริสต์ เผชิญกับโควิด-19 หรือผลกระทบจากโควิด-19 ก็เผชิญกับพระคริสต์ ว่ากันตามจริง ไม่ได้เผชิญกับพระคริสต์ คือพระคริสต์นำหน้า เราเดินตาม

ต้องใช้วิธีหลับตาลง แล้วดูในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร? ก็ตามพระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่งของเรา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะพระองค์สถิตอยู่ในเรา และพระองค์ทรงรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะพระองค์ชนะโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ให้เรารับรู้ ให้พระองค์เป็นหนึ่งอยู่ในใจตลอดเวลา พระองค์อยากจะเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้นำทางในชีวิต ทุกเสี้ยววินาทีของเรา พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอาพระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงพระคุณความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเรา ที่พระองค์ทรงเทใส่เข้ามาในเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้รู้ถึงความรักที่อยู่ภายในเรา  เป็นฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว

เพราะฉะนั้น เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิม โปรแกรมเดิมๆ เสียใหม่ ที่จะพึ่งพาตนเอง ที่จะคิดด้วยตนเองว่าสถานการณ์นี้มันน่าจะเปลี่ยนอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ด้วยเหตุผลของมนุษย์อะไรต่างๆ น่าจะเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น ตัดสินใจมอบให้พระเจ้า นึกถึงที่เปาโลอธิษฐาน 3 ครั้ง  นึกถึงที่พระเยซูอธิษฐาน 3 ครั้ง เราจะอธิษฐานกี่ครั้งไม่รู้ ก็ว่าไป แต่สุดท้ายแล้ว ขึ้นอยู่กับพระองค์ มอบให้พระองค์ตัดสิน ในโรม 5:1-5 ก็ได้บันทึกอย่างนี้เช่นเดียวกันว่า …

โรม 5:1-5 “1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณ ที่เรายืนอยู่ โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดี ในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกัน ที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์) 3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้   แต่ให้เราชื่นชมยินดี    ในความทุกข์ยากลำบากด้วย   เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัยที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจในความรอดนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคงชัดเจนแน่ใจ 5 และความหวังใจนี้ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว (ตั้งแต่เริ่มเชื่อ และได้บังเกิดใหม่)”

 

อาจารย์เปาโลเขียนตรงนี้  เพื่อให้เราได้เห็นชัดเจนว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร และตอบสนองอย่างไรต่อความทุกข์ยากลำบาก? บนโลกใบนี้ที่เราเจอแน่ๆ 100% ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเจอ เราควรจะมีท่าทีอย่างไร?

ข้อ 1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม”  … “คนชอบธรรม” ก็คือคนที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เชื่อแล้วได้บังเกิดใหม่ ได้คืนดีกับพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ข้อ 2 “โดยทางของพระเยซูคริสต์ โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่ยืนอยู่ โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวัง” … “ในความหวังใจ” นี้ เป็นความหวังใจที่มันเกิดขึ้นแล้วนะ ไม่ใช่ความหวังใจแบบมนุษย์ที่หวังใจ หวังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  ไม่ใช่ มันมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว  เรียบร้อยแล้ว มีหลักประกันมั่นคงแน่ใจแล้ว เรามีความหวังใจตรงนั้น

เหมือนที่เราบอกว่าเรามีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง เราไม่ไปเห็น แต่เรามีความมั่นใจ เพราะว่าเราถือโฉนดไว้ในมือแล้ว  เพราะฉะนั้น เราก็มีความหวังใจว่าวันหนึ่งเราจะไปสร้างบ้านที่ที่ดินนั้น เห็นหรือยัง? ไม่เห็นที่ดิน แต่รู้ได้อย่างไร? เป็นความหวังใจที่โฉนดอยู่ในมือแล้ว  ความหวังใจตรงนี้ หมายถึงความหวังใจลักษณะนี้ มีร่องรอย หลักฐานที่แน่ใจมั่นคง

ในนี้บอกว่าในความหวังใจ มีหลักฐานอันมั่นคง แน่ใจว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี ก็คือมีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ ก็เหมือนตะกี้ที่บอก หลับตาต่อหน้ากระจกเงา ท่านลืมตาต่อหน้ากระจกเงา ก็จะเห็นร่างกายตัวเองที่ทรุดโทรมไปทุกวัน ที่เสื่อมโทรมไปสู่ความตายขึ้นทุกวัน สิว ฝ้าขึ้นทุกวัน กระขึ้นทุกวัน เริ่มแก่ไปทุกวันๆ แต่หลับตา เราจะเห็นภายในร่างกายของเรานั่น เป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเยซูคริสต์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์ มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือวิญญาณของเรา พร้อมด้วยความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซูทันที เมื่อหลับตาเห็น

ข้อที่ 3 จึงบอกว่าและไม่ใช่เพียงเท่านี้ ดีใจ ยินดีว่าตัวจริงๆ ของเราบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นเหมือนพระเยซู ทั้งวิญญาณและความคิดจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูเลย เต็มด้วยสง่าราศี  ไม่ใช่ยินดี เฉพาะแค่นั้น แต่ให้เราชื่นชมยินดี

“ให้เรา” ชวนพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว  ไม่ใช่ชื่นชมยินดีตอนที่ได้เป็นลูกของพระเจ้า  มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากด้วย  ให้เราชื่นชมยินดีในความอ่อนแอของเราด้วย ให้เราชื่นชมยินดีในหนามในเนื้อของเราด้วย  หนามในเนื้อของแต่ละท่าน ก็ไม่เหมือนกันนะ ไม่จำเป็นต้องมาก๊อปปี้กัน ใครรับได้เท่าไร พระเจ้าทรงทราบ เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากลำบาก  ความกดดัน ความท้อแท้ ความลำบาก ความเครียดนั้น ทำให้เกิดเป็นผลดี คือเกิดความอดทน พอเรามีความหวังใจ หลับตา เราเห็นอะไรที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราเห็นตัวเราเองเป็นใครจริงๆ ในโลกวิญญาณ พอเกิดความทุกข์ยากลำบาก เกิดความท้อแท้ เครียด มันทำให้เราเกิดความอดทนได้  และความอดทนนี้ ทำให้เกิดความทรหด เริ่มจากอดทน อดทนได้มากขึ้น เขาเรียกว่าทรหด ลำบากเท่าไร ก็ไปได้

ข้อ 4 บอกว่าความทรหด ผ่านประสบการณ์มากๆ ประสบการณ์ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว  ไม่ใช่โตแต่ความรู้พระเจ้าอย่างเดียว  แต่ไม่เคยผ่านประสบการณ์จริงๆ เลย  ประสบการณ์จริงๆ คือ ประสบกับความทุกข์ยากจริงๆ  นี่แหละ เขาเรียกประสบการณ์แห่งหนามในเนื้อ ไม่ใช่แค่เรียนเท่านั้นเอง  แต่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เมื่อเรียนรู้ผ่านของจริงแล้ว ได้ถูกทดสอบแล้ว นั่นแหละเป็นผู้ใหญ่ของแท้ๆ  อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังชัดมาก

เมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ผ่านการทดสอบแล้วนั้น ทำให้ความหวังใจที่มีอยู่ เกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่ตะกี้นี้ ที่บอกเราเป็นวิญญาณที่ได้รับส่วนชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ นั่งอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว เราอยู่กับพระเจ้าในสรรค์แล้วนั้น ความหวังใจที่มันเป็นอย่างนี้แล้วนั้น  เห็นชัดเจนแล้ว มันชัดเจนยิ่งขึ้น  ทำให้ความหวังในใจความรอดนิรันดร์ในพระคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐานที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจมากขึ้น แสดงว่าความอ่อนแอ หนามในเนื้อ ความทุกข์ยากลำบาก ทำให้ความชัดเจน  ในการหลับตาและมองเห็นตัวเองเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มันชัดเจนยิ่งขึ้นนั่นเอง

ข้อ 5 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่า “และความหวังใจนี้ ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย” ความหวังนี้ คือหลับตา แล้วเห็นอะไร? เห็นว่าตัวเราเองเป็นเหมือนพระเยซู เห็นว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซูในสวรรค์สถานแล้ว  และความหวังใจ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย  เพราะว่าเราได้รับความรักจากพระเจ้าอย่างเหลือล้น ท่วมท้นอยู่ในวิญญาณและจิตใจของเราแล้ว

พูดง่ายๆ ว่าเราได้รับมัดจำไปเรียบร้อยแล้ว  คือเราได้รับแล้ว ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะว่าเราได้รับความรักจากพระเจ้า ที่พระองค์ใส่เข้ามาตอนที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ ตอนที่ให้เรารับเชื่อในพระเจ้า  พอเรารับเชื่อในพระเจ้า ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราบังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซู และวิญญาณนี้ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า ประทานให้พระเยซู และพระเยซูแบ่งให้กับเรา เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราที่บังเกิดใหม่ และวิญญาณตัวนี้ เป็นวิญญาณความรัก เหมือนแหล่งที่มา เหมือนพระเจ้านั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นความรักนั่นเอง  อยู่ที่วิญญาณและจิตใจเราเรียบร้อยไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ที่วิญญาณและจิตใจของเรา  มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คอยย้ำยืนยันให้กับเรา เป็นมัดจำในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระองค์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นจริงอย่างนั้น  คอยกระตุ้นเตือนเราอยู่ตลอดเวลา  ทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน ที่เราเผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร?  วันนี้ หรือวันข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น ให้สิ่งที่เราเรียนรู้วันนี้  ฝังรากลึกลงไปที่ความคิดจิตใจของเรา  อันเดิมของเรา เปลี่ยนแปลงมันซะว่าพระเจ้าเป็นที่พึ่ง  ที่ปรึกษา และผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านทุกๆ สถานการณ์ ทุกๆ ปัญหา ทุกๆ ความทุกข์ยากลำบาก ได้อย่างดี เกินกว่าที่เราจะสามารถคิดหรือเข้าใจได้ พระองค์จะคอยเป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นกำลัง คอยปลอบโยน จูงมือเราเดิน พระองค์ต้องการสำแดงให้เราได้เห็นว่าพระองค์ทรงรักเราขนาดไหน? และความรักที่พระองค์ใส่ลงมาอยู่ในวิญญาณของเรานั้นเป็นอย่างไร? เยอะขนาดไหน? ใหญ่ขนาดไหน? และพระองค์เป็นใคร? เราเป็นใคร?  พระองค์ทรงอยู่ในเราท่ามกลางสถานการณ์เลวร้ายของโลกใบนี้นั้น  พระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา  และพระองค์ต้องการให้ ไม่ใช่เรารับรู้อย่างเดียว  แต่พระองค์ต้องการให้โลกได้เห็นความยิ่งใหญ่ การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ในเราด้วย  โดยผ่านทางการดำเนินชีวิตของเรา นี่มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือเชื่อ วางใจในพระเจ้า หลับตาเดิน หลับตาแล้วเห็นพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ที่พระองค์บอก … “สำเร็จแล้ว” … อะไรสำเร็จบ้างในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับชีวิตของเราที่ได้บังเกิดใหม่  ในพระเยซูคริสต์

ยกตัวอย่างเช่นว่าวางไว้บนความเชื่อ หลับตาให้เห็นว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  วิญญาณเรากับวิญญาณพระเยซูเป็นวิญญาณเดียวกัน  เราได้นั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เรารู้ว่าพระเจ้านำพาเราผ่านไปได้  เรารู้อนาคตของเราว่าเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ ในสวรรค์สถานนิรันดร์  ด้วยร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด เจ็บป่วย  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย

แล้วก็มอบสถานการณ์ต่างๆ บนโลกนี้  ทุกอย่างที่ตามองเห็นทั้งหลาย  ที่พอลืมตา มันมองเห็น สถานการณ์ต่างๆ ความทุกข์ยากลำบาก ความเครียด ความเบื่อหน่าย ความเจ็บป่วย ความยากจน ความขัดสน ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นโควิด หรือเป็นความทุกข์ยากลำบากอื่นๆ ที่จะเข้ามาอีก อะไรต่างๆ เหล่านั้น  สงคราม เป็นอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด  มอบให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจ  ไม่ใช่หน้าที่เราแล้ว  พระองค์ไม่ได้สัญญาสิ่งเหล่านั้นไว้  แต่ที่หลับตามองเห็นในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสัญญา และพระองค์ทรงทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราไปรับเอาได้เลย พระพรนานับประการ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถานต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ ไปรับได้เลย พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราไปรับได้เลย  พระองค์ทรงเป็นความรัก ไปรับได้เลย

แต่สถานการณ์บนโลกใบนี้จะเป็นเช่นไร จะเปลี่ยนแปลงไปตามที่เราต้องการหรือไม่? ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้า  แต่เราสามารถอธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ ปรึกษาพระเจ้า อยากให้ตรงนี้เปลี่ยน อยากให้ตรงนั้นเปลี่ยน อยากให้ตรงนี้เป็นอย่างนั้น  พูดได้หมดเลย  คุยกับพ่อของเรา สนิทสนมกันเลย  ลูกไม่ไหวแล้ว ก็เหมือนอาจารย์เปาโล เหมือนพระเยซูยังพูดเลย เราอาจจะพูดไม่ใช่ 3 ครั้ง อาจจะพูดเกิน 3 ครั้ง เป็น 30 ครั้ง เป็น 300 ครั้งก็ได้ แต่จบสุดท้าย ก็คือ …

“แล้วแต่พระเจ้า ลูกรู้ว่าพระองค์ทรงมีหนทางที่ดีกว่า”

ไม่ใช่ปรึกษาไม่ได้ ไม่ใช่พูดไม่ได้ พูดได้ … “ขอให้ตรงนี้เปลี่ยนไปเลย ขอให้ตรงนั้นเปลี่ยนไป ลูกไม่ไหวแล้ว  ถ้าจะตกงานขนาดนี้ ไม่มีเงินใช้  จะทำอย่างไร? ช่วยลูกด้วยเถิด ขายของตรงนี้ ต้องขายให้ได้ ถ้าขายไม่ได้อดตายแน่ๆ อย่างไรต้องขายให้ได้”

สรุปสุดท้ายก็คือ … “จะขายได้ไม่ได้  ลูกฝากไว้ที่พระองค์ แล้วแต่พระองค์” อย่างนี้เป็นต้น

ไม่ใช่ … “ออกไปไหน พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแล อย่าให้ติดเชื้อโควิด” แล้วก็ออกไป แล้วก็อธิษฐานตลอดเวลา  “ฉันต้องไม่ติดโควิด พระเจ้าไม่ให้ฉันติดโควิดหรอก”

พระเจ้าไม่ให้ท่านติดโควิดได้อย่างไร? ก็ทั้งโลก คนที่เป็นคริสเตียนก็ติดโควิดกันตั้งเยอะแยะมากมาย แล้วท่านเป็นใคร? มันมีแฟคเตอร์อีกหลายอย่างที่ทำให้ท่านติดหรือไม่ติดอะไรต่างๆ เหล่านั้น เยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พระองค์ทรงควบคุมดูแลได้ว่าอะไรมันออกมาเป็นผลดีที่สุด สำหรับใครแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น มอบให้กับพระองค์ไปเถิด อย่าไปวิตกกังวล มัวแต่ไปจดจ่อที่มองเห็นนั้น  พยายามจะเปลี่ยน พยายามจะแก้ พระองค์อาจจะมีวิธี ไม่ใช่อาจ มีวิธีแน่นอน พระองค์มีวิธีที่ดีกว่านี้อีก ดีกว่าที่ท่านคิดเยอะ เพราะฉะนั้น สามารถที่จะคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อตลอดเวลา แต่มอบการตัดสินใจไว้ที่พระองค์ ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจดีกว่าพูดง่ายๆ

เราอาจถามพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ตอนนี้ ขณะนี้ได้ เมื่อเราเรียนมาถึงตรงนี้แล้วว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ลูกกำลังประสบกับความทุกข์ยากลำบากมากเหลือเกินในขณะนี้”

เราถามได้ เรามีสิทธิ์ถาม  และเพระเจ้าก็อยากให้ถาม ให้เราสนิทกับพระองค์ …

“พ่อลูกกำลังทุกข์ลำบากมากเลย กำลังวิตกกังวลมาก  กำลังท้อแท้เหลือเกิน ความเชื่อถดถอยมาก ช่วยลูกด้วยเถิด ขณะที่ลูกกำลังท้อแท้ ถดถอยด้วย พ่ออยู่ที่ไหน? พระเจ้าของลูกอยู่ที่ไหน?”

พระเจ้าก็จะตอบเราเหมือนในอิสยาห์ 41:10 ว่า …

อิสยาห์ 41:10  “อย่ากลัวเลย เพราะพ่ออยู่กับลูก อย่าท้อแท้ เพราะพ่อเป็นพระเจ้าของลูก พ่อจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยลูก พ่อจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของพ่อ (คือพระเยซูคริสต์)

 

เราอาจจะวิงวอนต่อพระเจ้า พ่อของเรา … “พ่อ เงินเดือนๆ นี้ก็ไม่มีเลย แล้วจะอยู่อย่างไร? ลูกไม่พอใช้ ต้องจ่ายค่าโน่น ค่านี่”

หรืออาจจะบอกกับพ่อว่า … “ลูกไม่มีแรงจะไปทำงานแล้ว หมดแรง เพราะลูกเจ็บป่วยตรงนี้อยู่ตั้งนานแล้ว รักษาไม่หายสักที”

หรือ … “พ่อ ลูกนอนไม่หลับมาหลายเดือนแล้ว ลูกก็พยายามเต็มที่ ทั้งอธิษฐาน ปรึกษาพ่อตลอด พ่ออยู่ที่ไหน?”

พระเจ้าก็ตอบเรา  เหมือนในหนังสือฮีบรู 13:5 พระเจ้าก็ตอบว่า …

ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในสิ่งที่ลูกมี ลูกเป็นอยู่ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้า พ่อจะไม่มีวันละทิ้งลูกให้อยู่ตามลำพัง”

 

และเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า พ่อของเราอย่างนี้แล้ว เราที่เป็นลูก ก็สามารถตอบได้อย่างมั่นใจ ฮีบรู  13:6  ว่าอย่างนี้ …

ฮีบรู 13:6 “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูก ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ใครจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

 

สรรเสริญพระเจ้า และขอบคุณพระบิดา ผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์สถาน พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด  ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ตรัสไว้ว่าพระองค์ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้ หมายถึงพระองค์ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ และพระองค์ทรงรักเราทั้งหลาย ลูกของพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว และจะโอบกอดเรา อุ้มเรา ยกเรา แบกเราไว้บนบ่าของพระองค์ ไปจนถึงนิรันดร์ ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้เลย  แม้แต่นิดเดียว  ไม่มีสถานการณ์ใด ความทุกข์ยากลำบากใดๆ มารซาตาน หรือสิ่งใดสามารถทำอันตรายเราได้เลย  หรือจะมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้ ออกจากฝ่ามือของพระองค์ไปได้ ไม่มีสิ่งใดมาแยกหรือพรากเราออกจากความรักของพระเจ้า ที่ทรงเทลงมาอยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยแล้วในพระคริสต์ได้เลย พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว และพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ ให้เรามีความมั่นใจเถิด ขอบคุณพระเจ้า   พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

บางครั้งพระเจ้าทำให้พายุสงบ แล้วจูงมือเราเดินผ่านอย่างอัศจรรย์ แต่หลายครั้ง พระเจ้าทำให้เราสงบ แล้ว “แบกเราขึ้นบ่า” ผ่านพายุที่โหมกระหน่ำ อย่างอัศจรรย์มากยิ่งกว่า

 

พระเจ้าตรัสว่า … “อย่ากลัวเลย! เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราอยู่กับเจ้าในยามทุกข์ยากลำบาก จงมองให้เห็นเถิด! เราโอบกอดเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรทำอันตรายทำร้ายเจ้าได้  แม้ว่าความเชื่อของเจ้าจะสั่นคลอน เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ความรักของเราที่มีต่อเจ้าไม่มีวันสั่นคลอนเปลี่ยนแปลงเลย ฉะนั้น อย่ากลัวเลยลูก! เรารักเจ้า”

 

“จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเรา คือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางบรรดาประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก” พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของเรา เส-ลาห์”   (สดุดี 46:10-11)

 

เมื่อเราต้อนรับพระเยซูแล้ว เราได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาปทันทีเช่นเดียวกัน

 

“พระองค์​ได้​ช่วย​ให้​เรา​รอด ไม่​ใช่​ เพราะ​เรา​ทำดี  แต่​เป็น ​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระองค์​ต่างหาก พระองค์​ได้​ชำระ​ล้าง​เรา ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​เกิด​ใหม่ และ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา​ใหม่ ​ด้วย​ฤทธิ์เดช​ของ​พระวิญญาณ​บริสุทธิ์”  (ทิตัส 3:5 THA-ERV)

 

พระเจ้าอวยพรครับ