วารสาร Holy News ฉบับที่ 1381

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กันยายน  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซูที่มักเข้าใจผิด” ตอน 4

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.3

“กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

เรามาเข้าหัวข้อนี้ “คำประกาศของพระเยซูที่มักเข้าใจผิด” ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา EP.3 ชื่อเรื่องว่า “กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” ซึ่งเราผ่านมา 3 ตอนแล้ว ก็คือ …

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  EP.1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  EP.2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา EP.3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องคำประกาศของพระเยซู ซึ่งมักมีคนเข้าใจผิดกันว่ากำลังมาสอนคริสเตียนให้ทำอันโน้นทำอันนี้ ซึ่งไม่ใช่ เราก็เรียนรู้แล้วว่าพระองค์กำลังมาชี้ให้เห็น ความเป็นจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ  อยากให้ท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว หรือไม่เป็นก็ตาม ฟังซีรี่ย์นี้จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ฟังตั้งแต่ต้นเลย ฟังแล้วค่อยๆ ติดตามไป ผมจะพยายามอธิบายอย่างละเอียด ปูพื้นเบื้องหลังให้ท่านได้ทราบ  เพราะฉะนั้น มันจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่ใช่คริสเตียน  ท่านที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เข้าใจ  ผมจะพยายามอธิบายให้ท่านได้สามารถเข้าใจได้ด้วย จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  หรือเป็นคริสเตียนก็ตาม ถ้าฟังไปเรื่อยๆ จะเข้าใจ

ยกตัวอย่าง เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่าบทบัญญัติ กฎบัญญัติ ผมก็จะใส่คำว่าบทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว  กฎแห่งศีลธรรมบนโลกใบนี้ ท่านก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าถึงไม่เป็นคริสเตียนก็รู้จักคำเหล่านี้ดี  เพราะคำเหล่านี้  ก็คืออันเดียวกันกับที่กฎบัญญัตินั่นแหละ  แต่บทบัญญัตินี้ สำหรับคริสเตียนก็จะคุ้นหู คุ้นคำว่าบทบัญญัติ แต่คนที่ไม่ใช่ คริสเตียน เขาไม่เข้าใจบทบัญญัติ คืออะไร? ผมก็จะพยายามที่จะใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไป เพื่อให้เห็นชัดขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมก็จะพยายามปูพื้นเบื้องหลัง ก่อนที่จะบรรยายเสมอ เพื่อที่คนทั้งไม่ใช่เป็น คริสเตียน และเป็นคริสเตียนจะได้เข้าใจว่าพระเยซูกำลังมาทำอะไร? เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย

สำหรับวันนี้ปูพื้นเบื้องหลังกันอีกครั้งหนึ่งว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูดำรงสภาพเป็นมนุษย์อยู่ สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ คือคำประกาศ หรือคำเทศนาก็ได้ คำเทศนาของพระเยซูคริสต์ ที่มักมีคนเข้าใจผิด ก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ในช่วงเวลาที่พระเยซูยังดำรงชีวิต เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ คือตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วปรากฏตัว เดินอยู่กับสาวกอีก 40 วัน ให้คนเห็นเลย แล้วจากนั้นเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าต่อตาสาวก จนถึงวันเพ็นเตคอส คือวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน ก็คือวันเพ็นเตคอสที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก ซึ่งพระองค์มีอายุ 33 ปีนี้ ตอนที่ทำงานประกาศ แค่ 3 ปีเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการอันล้ำลึกของพระเจ้าก่อนสร้างโลก คือเลือกสรรกลุ่มคนที่เรียกว่าชาวยิวไว้ก่อน เป็นพวกแรก พระคัมภีร์ก็ได้บันทึกไว้ว่าและเขาก็จะปฏิเสธพระองค์ ไม่รับสิ่งที่พระองค์ประกาศนี้แหละ

คำว่า “ไม่รับ” หมายถึงกลุ่มคนชาวยิวเป็นกลุ่ม มีคนชาวยิวบางคนรับไหม? รับ แต่ถือว่าไม่รับ เพราะว่ากลุ่มใหญ่ๆ ไม่รับ ไม่เชื่อ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อไม่เชื่อข่าวประเสริฐนี้ พระเจ้าก็ย้ายไปสู่กลุ่มที่ 2 ก็คือคนต่างชาติ  แล้วค่อยกลับมาเก็บตกคนยิว นี่คือเบื้องหลัง ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังคุยอยู่นี้ เป็นยุคที่มาหาคนต่างชาติอยู่ มาหา 2,000 ปีแล้ว แต่จะมีวันหนึ่ง  ที่คนต่างชาติได้เข้ามาแล้ว พระองค์ก็จะกลับไปถามคนยิวอีก ไปบอกคนยิวอีก เรียกคนยิวอีก เป็นครั้งสุดท้ายว่ากลับมาเถิด แล้วคนยิวก็จะกลับมาจริงๆ นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เป็นเบื้องหลัง

เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป็นช่วงที่ชาวยิวปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู ปฏิเสธตั้งแต่เมื่อไร? ก็ตั้งแต่ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ ตั้งแต่พระเยซูประกาศ 3 ปีนี้  ประกาศให้ชาวยิวก่อน ชาวยิวก็ปฏิเสธ ไม่เชื่อ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด ปฏิเสธถึงขนาดไหน? ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ขนาดถึงกับต่อต้านพระเยซู พระองค์พูดมา 3 ปี ต่อต้านมาตลอด จนในที่สุด ฆ่าพระเยซูเลย ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์  โดยเฉพาะกลุ่มแรก นั่นก็คือชาวยิวนั่นเอง  พวกเขาฆ่าพระเยซู ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าเป็นลูกแกะของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ตามสัญญาที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปฐมกาล หลายพันปีมาแล้ว ชาวยิวก็รู้ดี แต่ไม่เชื่อ

ก่อนที่พระเยซูจะมา พระองค์ก็มีพันธสัญญากับชาวยิว พันธสัญญาเดิมนั้น ก็คือการถวายสัตว์หัวปีที่สมบูรณ์ให้พระเจ้า  นำเอาโลหิตของสัตว์ที่บริสุทธิ์นั้น มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตัวเองปีต่อปี ผ่อนปีต่อปี พระเจ้าถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ผ่าน นึกออกใช่ไหม? พันธสัญญาเดิม แต่ขณะที่มีพันธสัญญาเดิม เลือดสัตว์ พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพันธสัญญานี้ ใช้เลือดสัตว์ ใช้ชั่วคราว แต่วันหนึ่งเราจะส่งมา คือพระบุตรของเรา แกะของเรา บุตรของเราเอง จะส่งมา เพื่อเป็นพันธสัญญา ที่เป็นถาวร อีกครั้งหนึ่ง ให้รอ นึกภาพออกใช่ไหม? ให้รอ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูมา แล้วพระเยซูก็จะเป็นตัวเริ่มต้นของพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมาทำกับมนุษย์ ก็คือชาวยิวเป็นพวกแรก  อย่างที่เคยบอกนั้น เบื้องหลัง ก็คือพูดถึงชาวยิวเมื่อไร ก็คือกลุ่มมนุษย์กลุ่มแรก เป็นชาวยิว ซึ่งเล็งไปถึงคนต่างชาติ ก็คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง

ครั้งนี้ คือครั้งที่เขาฆ่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ในครั้งนี้มีค่าเท่ากับว่าเขากำลังถวายพระบุตร  ถวายพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ เป็นมนุษย์คนแรก  คนเดียวที่ไม่มีบาปเลย  ไม่เคยทำบาปเลย  ให้กับพระเจ้า  พอมองภาพออกไหม?  ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี  เขาอยู่ในพันธสัญญาเดิม เขาถวายสัตว์อันบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า รับการไถ่ชั่วคราวปีต่อปี แต่ตอนนี้เขากำลังมอบถวาย ฆ่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์ มนุษย์พันธุ์ใหม่ที่บริสุทธิ์ ให้กับพระเจ้าที่เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้ตัว  แต่เขากำลังทำสิ่งนี้แหละ

เพราะคนที่มอบถวายพระเยซูคริสต์ ให้กับปีลาตเอาไปฆ่าให้ตายนั้น  เป็นผู้รับผิดชอบ ก็คือเป็นผู้ฆ่าพระเยซูนั่นเอง  ใครเป็นผู้มอบพระเยซูให้กับปีลาตเอาไปฆ่า ก็คือหัวหน้าปุโรหิต พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกสภาปกครอง ประเทศอิสราเอล ก็คือชาวยิว และประชาชนทั้งปวง บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย จะมองเห็นภาพไหม? นี่คือเบื้องหลัง เขาจะต่อต้านพระเยซูจนไปถึงตรงนี้ เท่ากับว่าปุโรหิตที่เป็นผู้ที่มีหน้าที่ถวายสัตว์ให้กับพระเจ้าในอดีตนั้น  ตอนนี้ถวายพระบุตร ถวายเลือดของมนุษย์ที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นเดียวกันว่า …

“วันหนึ่ง พวกเจ้าจะได้รับการไถ่อย่างถาวร โดยมนุษย์คนหนึ่งที่บริสุทธิ์”

เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์คนแรก ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าบุตรหัวปี คือคนแรก … คนแรกและคนเดียวที่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไม่มีบาปเลย สมบูรณ์ สะอาด บริสุทธิ์ ถูกนำไปฆ่า โดยการยินยอมของพระองค์เอง พระองค์บอกว่าถ้าพระองค์ไม่ยอม ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่พระองค์ทรงยอม ให้เขานำไปฆ่า เพื่อนำโลหิตถวายแด่พระเจ้า เป็นพันธสัญญาโลหิตอันบริสุทธิ์  เพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ  ครั้งเดียวเป็นพอ พระคัมภีร์บันทึกไว้  เพื่อไถ่บาปให้พวกเขา พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ พวกชาวยิวที่นำพระองค์ไปฆ่า  และเล็งไปถึงไถ่ให้กับคนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนนั่นเอง

และทั้งหมดนี้มันตรงตามคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่ปฐมกาลมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งหลายพันปีว่าพระเยซูจะเป็นแกะปัสกา ปัสกาอะไร? ปัสกาสุดท้ายของพันธสัญญาเก่า  พันธสัญญาเก่าใช้ถวายเลือดสัตว์มาเป็นเวลาพันๆ ปี พอถวายพระเยซู พระเยซูจะเป็นแกะปัสกาคนสุดท้าย  พระองค์จึงเป็นจุดจบ ที่จะยกเลิกพันธสัญญาเดิม จุดจบ เพราะว่าพระองค์มาทำให้สมบูรณ์ดีกว่า เป็นคนแรกที่เริ่มต้นเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์

เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ เป็นมนุษย์คนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คนแรก คนแรกก็แสดงว่าต้องมีคนต่อๆ ไป  ก็คือเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย ชำระบาปให้กับมนุษย์  เพื่อให้มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถได้เป็นขึ้นมาใหม่เหมือนพระองค์ ได้ย้ายมาอยู่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เช่นเดียวกัน

นี่คือสิ่งที่พระองค์มากระทำบนโลกใบนี้ แล้วกำลังประกาศ กำลังบอกพวกเขา ชี้ให้เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ก็คือคำเผยพระวจนะ บอกมาตั้งแต่ปฐมกาลว่าจะเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า พระบุตรจะมาเป็นแกะปัสกา เป็นเมษโปดก เพราะฉะนั้น วันที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น ก็คือเป็นปัสกาครั้งสุดท้าย ที่มนุษย์จะถวายแด่พระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ บันทึกไว้ตลอด จนพระเยซูมาเกิดจริงๆ เป็นมนุษย์จริงๆ เตรียมตัว 3 ปีนี้ แล้วประกาศสิ่งเหล่านี้

ในหนังสือยอห์น 1:15-18 เรื่องราวเกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่ได้บอกเรื่องนี้อีกแล้ว บอกมาเป็นพันๆ ปีแล้วใช่ไหม? พอพระเยซูมาเกิดจริงๆ ยอห์นบัพติศโต ก็เป็นผู้เผยพระวจนะที่มาพูดซ้ำอีกทีหนึ่งว่ามาแล้ว สิ่งที่สัญญาไว้ พระเมษโปดก พระบุตรของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้ามาแล้วตอนนี้ มาจัดการงานนี้แล้ว ถึงเวลาแล้ว ที่บันทึกไว้ในหนังสือ ยอห์น 1:15-18

ยอห์น 1:15-18 “15 ยอห์น (ยอห์น บัพติศโต) เป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ เขาร้องประกาศว่า “นี่คือผู้ซึ่งเราได้บอกไว้ว่า ‘พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังเรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา’ 16 เราทั้งปวงได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่า จากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์ 17 เพราะบทบัญญัติประทานมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้า คือพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาได้ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว”

 

คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเดินอยู่บนโลกใบนี้แล้วนั่นเอง ในยอห์น 1:29-30 ได้ประกาศอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:29-30 “29 วันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป 30 นี่แหละ คือผู้ที่เราหมายถึงเมื่อเรากล่าวว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมาภายหลังเรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา”

 

นี่แหละ พระเมษโปดกที่สัญญาไว้ จะมาบัพติศมาในน้ำ ให้ประชาชนได้เห็นตามคำเผยพระวจนะที่ได้บอกไว้ ยอห์นบัพติศโตประกาศดังลั่น  ผู้คนได้ยินได้ฟัง ได้ชัดเจนว่า …

“คนนี้เป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า”

พระเมษโปดก แปลว่าลูกแกะของพระเจ้า ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมอบให้กับมนุษย์  เพื่อเอามาไถ่บาป

พระองค์เป็นพระเจ้านั่นเอง  นี่คือคำเผยพระวจนะสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะทำงานให้สำเร็จ ตามคำเผยพระวจนะมาหลายพันปี  ก็คือก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์

พระองค์มากระทำการงานอย่างนี้ นี่คือเบื้องหลัง เพื่อให้ท่านได้เห็นว่าพระเยซูกำลังมาทำอะไร? พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม การทำดีทำชั่ว มีคนสอนเยอะแยะแล้ว  พอแล้ว คนก็รู้อยู่แล้ว  แต่มันทำไม่ได้เท่านั้นเอง บทบัญญัติก็มีหมดแล้ว บทบัญญัติของชาวยิวก็เขียนไว้ในแผ่นหิน แผ่นศิลากับบนหนังสัตว์  สำหรับคนต่างชาติก็เขียนอยู่ในใจของเขา และคนต่างชาติก็รู้จักในใจ ก็เขียนออกมาเอง เป็นกฎระเบียบทางศาสนา ทางสังคม จริยธรรมอะไรต่างๆ มาตั้งนานแล้ว  แต่กลุ่มไหนกลุ่มนั้น ก็เขียนออกมาจากใจ เพราะรู้ว่าอันนี้มันดี  อันนี้ไม่ดี เขียนออกมาให้เห็น สิ่งเหล่านี้ เรียกว่ากฎบัญญัติ เรียกว่ากฎหมาย เรียกว่ากฎศีลธรรม  เรียกว่ากฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอย่างนี้จะได้ดี ทำอย่างนี้จะได้ชั่ว ให้ทำดีนะ ละชั่วนะ แต่พระเยซูไม่ได้มาสอนสิ่งเหล่านี้ พระองค์มาบอกว่าพระองค์กำลังมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลนั้น ที่ผมเล่าตั้งแต่ปฐมกาลหลายพันปี ผมเล่าแค่ 15 นาทีเอง เพื่อเวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า จะได้เข้าใจว่าที่เขียนไว้ตรงนี้ หมายถึงอะไร? ที่พระเยซูพูดตรงนี้หมายถึงอะไร? พระเยซูพูดต่างๆ ทั้งหมด มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น โลกวิญญาณ คือเรื่องเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งสิ้น การถวายเลือดสัตว์ ก็เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ พระคัมภีร์เก่าถวายเลือดสัตว์ เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ มาพระคัมภีร์ใหม่ ถวายเลือดของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ ฟังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านอาจจะค่อยๆ ซึมซับ เข้าใจมากขึ้น พระเยซูกำลังมาชี้ให้เห็นโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วชี้ให้เห็นถึงลักษณะของความรัก ความอ่อนโยนของพระองค์

มาเข้าเรื่องของวันนี้ คำเทศนาบนภูเขา EP.3 “กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าเป็นไปตามพระคัมภีร์ ก็ต้องใช้คำนี้ว่ากฎบัญญัติ ทำพลาดบัญญัติเพียงข้อเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ อันนี้แบบคริสเตียนใช่ไหม? แต่ผมแปล เพื่อให้คริสเตียนก็เข้าใจ และไม่ใช่คริสเตียนก็เข้าใจว่ากฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ใจท่านรู้ไหมว่าท่านทำบาป ในนี้ต้องรู้อยู่แล้วนะ สำหรับชาวยิว รู้ไหมว่าทำบาป มันไม่ตรงกับบัญญัติ ก็คือทำบาป ครั้งเดียวก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ครั้งที่แล้ว ได้บอกว่าพระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างบทบัญญัติ พระเยซูมาล้มล้างกฎแห่งกรรม เขาว่าพระองค์ว่าอย่างนี้ ใครเป็นคนกล่าวหาพระเยซู อันดับแรกที่เราควรจะเรียนรู้ ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ก็คือกำลังพูดกับชาวยิว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้  ที่วันนี้เราพูดถึง  ถูกกล่าวหา ใครเป็นคนกล่าวหา  พวกชาวยิวที่เป็นหัวหน้าธรรมาจารย์ต่างๆ เหล่านั้น ฟาริสี พวกหัวหน้าปุโรหิตเหล่านั้น ซึ่งปูพื้นให้แล้ว  ปฏิเสธ ต่อต้านพระองค์ ในที่สุดจะฆ่าพระองค์ให้ตาย  และพระองค์ยอมด้วย  ท่านเห็นแล้ว เข้าใจแล้ว คนเหล่านี้แหละ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระองค์ถูกฆ่าให้ตาย โดยพวกเหล่าคนที่พระองค์มาไถ่บาปเขามาช่วยเขา ซึ่งในที่นี้ ก็คือชาวยิวนั่นเอง มาดูว่าพระเยซูตอบพวกเขาอย่างไรว่าไม่ใช่หรอก บอกว่าเราไม่ได้มาทำอย่างนั้น เราจะมาชี้ความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้ท่านได้เห็นมากกว่า  เราลองมาวิเคราะห์กันดูตามข้อความ มัทธิว 5:18 วันนี้เริ่มต้น …

มัทธิว 5:18  “เราขอบอกความจริงกับท่านว่าตราบที่สวรรค์และโลกคงอยู่ แม้แต่ตัวหนังสือเล็กสุด หรือจุดๆ หนึ่ง จะไม่ถูกตัดออกไปจากกฎบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้ จะสัมฤทธิ์ผลตามกฎนั้น”

 

มัทธิว 5:18 พระเยซูคริสต์แย้งกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกเหล่าหัวหน้าปุโรหิตเหล่านั้น ที่ต่อต้านพระองค์ ที่กล่าวหาพระองค์ พระองค์แย้งว่าพระองค์ไม่ได้มาล้มกฎบัญญัติสักหน่อย แต่มาเสริมให้เข้มข้นขึ้น ตามเป้าหมายของธรรมบัญญัตินั้น  พระองค์บอกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังอยู่ กฎของความบาปและความตาย  กฎของการกระทำ หมายถึงบทบัญญัติเหล่านี้ คือกฎศีลธรรมเหล่านี้ กฎของการทำดีทำชั่ว  ก็คือกฎของตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันยังคงอยู่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นโลก ในวันพิพากษาโลก โลกดับสูญไป  นั่นคือวันที่บทบัญญัตินี้จะหมดไปด้วยเช่นเดียวกัน

ในวันพิพากษา ก็คือวันจบสิ้นว่าโอเค ที่ทำไปทั้งหมด ที่อยู่ในกฎของความบาป กฎบัญญัติเหล่านั้น กฎทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้พระเจ้าพิพากษาว่าสรุปแล้วทำดีมากกว่าทำชั่ว หรือทำชั่วมากกว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ไหม? ผ่านพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าไหม? โดยเกณฑ์ของพระเจ้า ก็คือทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ผ่านแล้ว นี่คือวันพิพากษา  แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงวันพิพากษา  ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ นึกภาพออกใช่ไหม?

พระเยซูคริสต์กำลังมาประกาศความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่า … “อย่าคิดในใจ และปฏิเสธ ต่อต้านเรา  อย่าคิดว่าเรามา เพื่อลบล้างความศักดิ์สิทธิ์ ความเที่ยงธรรมของบทบัญญัติ  หรือให้ความสำคัญกับบทบัญญัติน้อยลง”

พวกฟาริสีพวกนี้ เขามองดูภายนอก เขาเห็นพระเยซูทำ เขาคิดว่าพระเยซูไม่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ

พระเยซูบอกว่า  … “แต่เรามา เพื่อย้ำยืนยันให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ และให้ความสำคัญที่สุดกับบทบัญญัติมากกว่าพวกท่านเสียอีก พวกฟาริสี และธรรมาจารย์เอ๋ย”

มากอย่างไร?  พระองค์บอกว่าต้องทำให้ครบร้อย ฟาริสีบอกไม่ต้องครบร้อยก็ได้ ใครให้ความสำคัญมากกว่ากัน

พระเยซูอธิบายว่า … “คือท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติให้มากที่สุดเท่าที่พยายามทำให้ได้นั้น ก็เป็นที่ดีแล้ว  เพียงพอแล้ว  สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ผิดพลาดไปบ้างอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่เป็นไรหรอก  พระเจ้าคงเข้าใจดีมั้งว่าเราพยายามที่สุดแล้ว  พระเจ้าพอใจแล้ว พระเจ้าจะได้นับเราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีคนหนึ่ง ผ่านการพิพากษาได้  และสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้ ทั้งๆ ที่ทำไม่ครบ”

พูดง่ายๆ ทำชั่ว ทำบาป  แต่คิดว่ามันนิดหน่อยน่า พระเจ้าคงเข้าใจ ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม รักษาบทบัญญัติ อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลำเอียง รักเขาไหม? รัก แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลความยุติธรรมของโลกใบนี้ทั้งสิ้น  กฎก็ต้องเป็นกฎ เห็นภาพนะ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามชี้ให้พวกเขาเห็น

พระเยซูบอกว่า … “เราบอกความจริงว่าถ้าท่านพึ่งการกระทำของตนเอง ในการประพฤติตนตามบทบัญญัติ พยายามทำบทบัญญัติให้ตรง เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น ท่านต้องรักษาบทบัญญัติและประพฤติตามนั้นทุกข้อ ทุกจุด จุดขีด ไม่เว้นเลยแม้แต่นิดหนึ่ง”

นี่คือสิ่งที่พระองค์อธิบายให้เขาฟัง แย้งให้เขาฟัง ทุกอย่างท่านต้องทำให้ถูกต้องหมดเลย เว้นไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นข้อที่ท่านคิดเองว่าเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ต้องรักษาไว้ด้วย เพราะมันเป็นกฎ จะมาบอกเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ พระองค์กำลังบอกใครให้ความสำคัญกับบทบัญญัติมากกว่ากัน เห็นภาพไหมครับ?

“แม้เล็กๆ น้อยๆ ท่านบอกไม่เป็นไร? เรากำลังบอกท่านต้องรักษาให้ครบ 100% เลย จุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ก็ลบออกไปไม่ได้ ท่านบอกว่าแค่คิดมีความกำหนัดในเพศตรงข้าม แค่คิดเกลียดคนนี้ อิจฉาคนนี้หน่อยหนึ่ง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ทำสักหน่อย เราบอกว่านั่นแหละ ก็ตกนรกแล้ว ไม่ผ่านแล้ว”

ใครให้ความสำคัญกับกฎมากกว่า ใครเป็นคนลบล้างกฎ เรามา เพื่อทำให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ นี่มันแปลว่าอย่างนี้  ท่านต้องรักษาให้ครบ 100%  ตามที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัตินั้น บทบัญญัติ กฎหมายเขียนไว้อย่างไร? ท่านต้องทำหมด ทุกจุด ทุกขีด  ถึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้ และผ่านการพิพากษาได้  และพระเจ้าจะรับท่านเป็นผู้ชอบธรรม เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ เห็นภาพไหม?

ท่านบอก … “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียว”

แต่พระเยซูกำลังบอกว่า … “ไม่ได้ ต้องครบ 100”

ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่สามารถทำได้ ถูกไหมครับ? เราก็รู้อยู่ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว  ไม่มีมนุษย์คนใดไม่เคยทำบาปเลย  แม้แต่ครั้งเดียว  ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งเรามาไง

พระเยซูจึงบอก … “พระเจ้าจึงส่งเรามา เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อช่วยและชี้ให้ท่านเห็นถึงความจริงเหล่านี้  เพื่อท่านจะได้ถ่อมใจลง และกลับใจเสียใหม่ ไม่พึ่งพาความชอบธรรม และการกระทำตามบทบัญญัติของตนเอง”

แต่ทำอะไร? “กลับใจ ยอมรับว่าเราทำไม่ได้หมดหรอก  ถ้าถ่อมใจเมื่อไร? ก็จะเห็นตัวเองว่าเราทำไม่ได้หมดจริงๆ แล้วกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาพระองค์ พระองค์บอกแล้วให้วางใจในพระองค์ วางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงประทานให้  และเรา คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าทรงส่งมา ช่วยท่านทั้งหลาย  ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เดิมที่เกี่ยวกับเรา หลายพันปีแล้ว คือตัวเรานั่นแหละ มาแล้วตอนนี้  กลับใจเสียใหม่เถิด”

เพื่ออะไร? “เมื่อท่านกลับใจมาหาเรา วางใจในเราว่าเราคือพระมาซีฮาห์  ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยท่านทั้งหลาย สิ่งที่ท่านวางใจในเรานั่นแหละ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะรับท่านเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อในเรา ตรงนี้เรียกว่าพระคุณความรอด เรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่กฎ บทบัญญัติ ต้องทำตาม ตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกแล้ว แต่เป็นพระคุณ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย  คือเรามาช่วยท่าน”

นี่พระเยซูกำลังชี้ให้เขาเห็นอย่างนี้ ถามว่าทั้งหมดนี้ พระองค์กำลังสอนศีลธรรมหรือ?  ไม่ใช่เลยเห็นไหม? หลายคนไม่เข้าใจ นึกว่าพระองค์บอกว่าทุกจุด ทุกขีด ต้องทำให้ครบ 100% เพราะฉะนั้น เราต้องทำให้ครบ 100% ต้องพยายามทำ คิดชั่ว คิดไม่ดี ก็ …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกคิดไม่ดี ต้องคิดให้ดี ไม่อย่างนั้นตกนรกแน่นอน”

มันใช่ไหมล่ะ? มันไม่ใช่  ไม่ตรงตามบริบท ที่พระเยซูกำลังบอก  มันไม่มีใครทำได้ ถ้าเราจะทำตามพระเยซู มีใครทำได้ไหม? ใครรักษาได้ครบร้อย ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้น ในหนังสือกาลาเทียจึงบันทึกไว้อย่างนี้  ในกาลาเทีย 3:10-11 ซึ่งเปาโลได้เขียนมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเปาโล ก็คือวิญญาณของพระคริสต์  ก็คือพระเยซูคริสต์ได้พูดตอนสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว  ตอนที่มีคริสเตียนแล้ว อธิบายตรงนี้ให้ฟัง จะเห็นชัดเลย มันก็คือจุดหมายเดียวกัน กาลาเทีย 3:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 3:10-11 “10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” 11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ”

 

นี่คือคำชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณของพระเยซู ตอนที่พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ผู้ที่เชื่อในพระองค์แล้ว หลังจากมีคริสเตียนแล้ว โดยพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกว่า …

“ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

“ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” ก็คือทุกสิ่ง ทุกจุด ทุกขีดที่เขียนในหนังสือบทบัญญัติ เขียนไว้ในกฎแห่งกรรม เขียนไว้ในกฎการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎศีลธรรม ต้องทำให้ครบ เหมือนกันไหม? เหมือนกับมัทธิวที่พระองค์ทรงพูด เหมือนกันไม่มีผิดเลย ทุกจุด ทุกขีด ต้องทำให้ครบ ถ้าไม่ครบ ถูกสาปแช่ง  ก็คือไปไม่รอด ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ไม่ผ่านการพิพากษานั่นเอง

การพิพากษา คือหลังความตาย วิญญาณจะอยู่ในนรกหรืออยู่ในสวรรค์ อยู่ในที่พินาศ อยู่ในที่มืด หรืออยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นั่นเอง หลังความตายจะเข้าสู่การพิพากษา พิพากษาตามการกระทำของแต่ละคน

ในข้อ 11 บอกว่า “เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า” พระเยซูประกาศ “ต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยรักษาบทบัญญัติเลยแม้แต่คนเดียว เพราะจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ต้องดำเนินชีวิตแบบเชื่อเท่านั้น”

เชื่ออะไร? ก็คือวางใจในพระบุตร  วางใจในพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าส่งมานั่นแหละถึงจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ถ้าทำด้วยตนเอง ไปไม่รอดแน่นอน

ยากอบ 2:10 ก็ได้บันทึกอย่างนี้เหมือนกัน พระเยซูก็พูดให้ฟังอย่างนี้  ที่ผมพยายามอธิบายและพูดข้ามไปเลยว่าพระเยซูพูดให้ฟัง ทั้งๆ ที่หนังสือยากอบนั้น ยากอบเป็นคนเขียน  แต่เขียนจากการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตภายใน พระวิญญาณสถิตนั่นแหละ คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นผู้อธิบายสิ่งนี้  เพื่อเอามายืนยันกับท่านว่านี่คือคำพูดอันเดียวกันกับตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ในหนังสือมัทธิวที่เรากำลังเรียนอยู่ ที่ประกาศบนภูเขานี้  อันเดียวกันนั่นแหละ …

ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิด เท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

 

“แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด” จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ผิดไม่ได้เลย เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “กฎแห่งกรรม ทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” เหมือนกันไหม? พลาดไปจุดเดียวก็เท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด ไม่ได้ไปสวรรค์หรอก พระเยซูประกาศ เตือน ชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เตือนบอกว่า … “พี่น้องชาวยิวและเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลก เฮ้ย! น้องๆ อย่าสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมาด้วยการกระทำดีตามบทบัญญัติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก  อย่าพยายามทำ ให้มันครบร้อย เพื่อจะได้ไปสวรรค์ มันทำไม่ได้  แต่ให้มาแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าดีกว่า จงยอมถ่อมใจและยอมรับความจริงว่าตนเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วต้องการรับการช่วยเหลือ อย่าเย่อหยิ่งเลย”

มัทธิว 5:19 “เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ใครที่ประพฤติจนเป็นวิสัย (ครบถ้วน) และสอนผู้อื่นให้ทำตามธรรมบัญญัติ คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”

 

พระองค์ทรงชี้ให้เห็นต่อว่า … “เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในบทบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นอีกต่างหาก ให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์”

ก็คือคนที่สอนคนอื่นว่า … “เฮ้ย! พยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น พระเจ้าเข้าใจน่า”

คนเหล่านี้ คนเล็กน้อย เป็นจำนวนของชาวยิว หมายถึงไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่เข้าสวรรค์แล้วเป็นคนเล็กน้อย หมายถึงไม่มี ในสวรรค์ไม่มีคนเล็กน้อย  ในสวรรค์ไม่มีคนใหญ่สุด ในสวรรค์มีคนเท่าๆ กันหมด พอเข้าใจใช่ไหม?  เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงว่าไม่ได้เข้าสวรรค์นั่นเอง  นี่คือพวกแรก ที่ไม่ได้เข้าสวรรค์ คือพวกที่ …

“นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก เราพยายามที่สุด ก็แล้วกัน ผิดศีลไป 3-4 ข้อไม่เป็นไรหรอก เพราะเราทำและรักษาได้ตั้งแยะแล้ว  เราพยายามที่สุดแล้ว พระเจ้าคงเข้าใจ”

รู้แล้วนะว่าตรงนี้ พระเจ้าไม่เข้าใจ เพราะว่ากฎหมาย ก็คือเป็นกฎหมาย

และพวกที่ 2 คือใคร? อีกพวกหนึ่ง ในข้อ 20 ก็คือคนที่ยึดมั่น ถือมั่น มั่นใจว่าตัวเองทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว …

“ฉันทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว และพยายามสอนคนอื่นให้สมบูรณ์เหมือนฉันสิ นี่ฉันอดอาหารอธิษฐาน ฉันถวายสิบลด ฉันไปวิหารครบถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าบอก 3 ครั้ง ฉันก็ทำตามหมดเลยทุกอย่าง ฉันรักษาวันสะบาโตด้วย ฉันทำทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้น ฉันมั่นใจในตัวเอง เธอต้องทำตามที่ฉันทำ ทำไมไม่รักษาวันสะบาโต วันสะบาโตทำงานทำไม? วันสะบาโตยังไปรักษาคนป่วยอีก วันสะบาโตยังไปเก็บรวงข้าวที่ตกอยู่อีกหรือ?”

อะไรประมาณนั้น นึกภาพออกใช่ไหม?ไปจี้คนอื่นเขา ให้พยายามทำสมบูรณ์เหมือนกับตนเองคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง พระเยซูพูดอย่างนี้แหละ ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง ทะนงตนว่ารักษาบทบัญญัติ  10 ประการได้อย่างเคร่งครัดเลย

“ฉันรักษาบทบัญญัติ 10 ประการได้อย่างเคร่งครัดแล้ว ทำตามบทบัญญัติเป๊ะเลย เธอต้องรักษา เธอรักษาได้กี่ข้อแล้ว”

“ได้ 7 ข้อเอง”

“ท่านต้องพยายามทำต่อไป ฉันรักษาบทบัญญัติ และกฎอีก 603 ข้อ ทั้งหมด 613 ข้อ ฉันรักษามาได้ 500 ข้อแล้ว ตรงเป๊ะเลย เธอรักษาได้เท่าไร? เพิ่งจะ 70 เองหรือ! ต้องทำต่อไป ไม่ทำ เดี๋ยวตกนรกนะ เธอเป็นคนบาป ไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอน พระเจ้าเกลียดเธอนะ  ไม่ชอบเธอ เธอเป็นคนเก็บภาษี เธอไม่รักษาวันสะบาโต ไม่เหมือนฉัน”

ทั้งๆ ที่ตอนไปชี้ ไปว่าคนอื่นเขา ตัวเองในใจก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถรักษามันครบทุกข้อได้ ถูกไหม? รู้ตัวเองว่าบกพร่องอยู่แล้ว แต่เย่อหยิ่ง ซึ่งพระเยซูเรียกผู้คนเหล่านี้ ซึ่งก็คือพวกปุโรหิต หัวหน้าปุโรหิต  พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่จับพระองค์ไปฆ่า พระองค์เรียกคนเหล่านี้ด้วยความรักนะ ไม่ได้เกลียดชัง  เพื่อจะชี้ให้เขาเห็น พระองค์เรียกพวกเขาว่าพวกหน้าซื่อใจคด คือต่อหน้าทำเป็นคนเคร่งศาสนา  เคร่งบทบัญญัติมาก  ทำได้ดีหมดเลย  ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ครบหมดบริบูรณ์ แต่ทำท่าว่าทำดีมากเลย แล้วก็คอยชี้นิ้วคนอื่นว่าคนนี้ทำไม่ดี คนนั้นทำไม่ดี คนนี้บาปหนา เพราะว่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ พระเยซูบอกคนที่ตัดสินคนอื่นเขาอย่างนี้ ตัวเขาเองก็จะถูกตัดสินแบบเดียวกัน

พระเจ้าก็หันมาดู … “แล้ว เธอทำดีครบไหม?”

ไม่ครบเหมือนกัน  ไปตัดสินเขาอย่างนี้  ตามกฎ พระเจ้าก็จะตัดสินเขาตามกฎเหมือนกัน  ซึ่งในความเป็นจริง ก็คือไม่มีใครสักคนหนึ่งได้เข้าสวรรค์เลย  โดยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ตามบทบัญญัติให้ได้ครบ 100%  ไม่ว่าจะทำได้มากหรือน้อยก็ตาม ไม่มีใครสามารถทำได้เลย  พระเยซูจึงบอกไง บอกว่าใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองทำได้ ที่ในนี้เขียนว่าแต่ใครที่ประพฤติจนเป็นนิสัย ก็คือประพฤติเป็นธรรมชาติ จากวิญญาณของเขา  พระเยซูกำลังบอก ใครที่ประพฤติตนตามบทบัญญัติได้ ไม่ผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ตามธรรมชาติในวิญญาณของเขาเลยนะ จากข้างในเลย ไม่เคยคิดชั่วเลย แล้วก็สอนคนอื่น บอกให้ทำตามเขาว่าต้องบริสุทธิ์อย่างนี้ ถึงจะเข้าสวรรค์ได้  คนนั้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ มีไหม? มีใครทำได้ไหม? ไม่มีเลยสักคนหนึ่ง

เพราะฉะนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีใครเข้าสวรรค์ได้สักคนหนึ่งเลย ในข้อนี้ แต่ใครที่ประพฤติจนเป็นวิสัย จนเป็นธรรมชาติ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามบทบัญญัติได้นั้น และสอนคนอื่นให้ทำตามบทบัญญัตินั้น ให้บริสุทธิ์อย่างนั้นด้วย เขาทำได้ด้วย แล้วก็บอกคนอื่น ต้องบริสุทธิ์นะ ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ คนนั้น เป็นใหญ่ในสวรรค์ มีเพียงผู้เดียว ก็คือคนที่พูดนั่นเอง  ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสวรรค์ เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมา มีวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ไม่ได้มีเชื้อบาปมาจากอาดัม พระองค์เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ไม่มีบาป พระองค์ไม่มีความคิดชั่วเลย  ไม่มีการทำบาปเลยใน พระคัมภีร์บันทึกไว้  พระองค์ไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง พระองค์จึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ และพระองค์ก็มาสอนให้ผู้คนบอกว่า …

“พวกเธอต้องบริสุทธิ์เหมือนฉัน เธอถึงจะเข้าสวรรค์ได้  ซึ่งการจะบริสุทธิ์เหมือนฉันได้ เธอต้องเข้ามาวางใจในฉัน และได้รับการบังเกิดใหม่ ทำด้วยตัวเองไม่มีทางหรอก”

มันหมายถึงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกันในข้อนี้

สรุปว่า … “สำหรับพวกเธอ ทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครได้เข้าไปในสวรรค์ โดยการรักษาบทบัญญัติ รักษากฎแห่งกรรม รักษากฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รักษากฎแห่งศีลธรรมอันดีงาม รักษาอย่างไรก็ต้องพลาดแน่ และไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ผ่านการพิพากษาหลังความตาย”

ผมจึงทำตรงนี้เป็นอุปมา ที่ผมคิดขึ้นมานะ อุปมาเหมือนปีนบันไดขึ้นสวรรค์ ฟังให้ดีๆ นะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องปีนบันไดขึ้นสวรรค์ทุกคน

ปีนบันได ก็คือทำความดี เพื่อไปสู่ยอดสูงสุดของบันได คือสวรรค์

ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมด  จะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม แต่มันเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาปุ๊บ ก็ปีนบันไดทันที คือปีนจากบนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ไปสู่สวรรค์ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งไม่มีใครมีความสามารถที่จะปีนขึ้นไปได้ ไม่มีใครสามารถทำความดีได้ครบถ้วน โดยไม่พลาดเลยแม้แต่ขั้นเดียว  เพื่อไปสู่ยอดสูงสุด คือสวรรค์นี้ได้เลย  เพราะว่าพลาดขั้นเดียว ครั้งเดียว ก็ตกลงมาตายเลย ทำผิดแค่จุดเล็กๆ จุดเดียว  ก็คือพลาดแล้ว แต่พระเจ้าก็ให้ตัวช่วยแก่ชาวยิวก่อน แล้วรวมไปถึงมนุษยชาตินั้นด้วย ที่เชื่อในการทรงพระชนม์ของพระองค์  คือเชื่อว่ามีพระเจ้า  การเชื่อว่ามีพระเจ้า คือความเชื่อนี้ เหมือนมีเข็มขัดนิรภัย เซฟตี้อยู่ในขณะปีน ฟังให้ดีๆ นึกภาพตาม

ขณะปีน พระเจ้าได้ให้ความเชื่อในการทรงพระชนม์ของพระองค์ เหมือนมีเข็มขัดนิรภัย เซฟตี้ พลาดตกบันได ก็ไม่ตาย มันเซฟตี้ มันห้อยอยู่ ตกลงมา ก็ปีนต่อไป เจ็บแต่ปีนต่อไป จนกว่าจะถึงสวรรค์ เขาปลอดภัยถึงสวรรค์ได้ ก็เพราะเซฟตี้ เข็มขัดนิรภัยนี้ คือความเชื่อให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง ถูกไหม? รู้ว่าปีนไป ตกแน่ ขอมีตัวช่วย ก็คือมีพระเจ้ามาช่วย  ซึ่งในอดีตนั้น ตัวช่วยตัวนี้  เรียกว่าพันธสัญญาเดิม  ผ่านทางพันธสัญญาเดิม เป็นพันธสัญญาเลือด  ก็คือโลหิตของสัตว์ เป็นเหมือนเซฟตี้  มนุษย์ผู้ใด ที่ปีนอยู่บนบันได  ก็คือมนุษย์ผู้ใดที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนบัญญัติ ก็คือกำลังดำเนินชีวิตไต่บันไดขึ้นไป ตามกฎแห่งการทำดีทำชั่ว กฎแห่งกรรมนี้  ซึ่งสำหรับชาวยิว

ตัวอย่างนี้ ก็คือหนังสือของบทบัญญัติ ที่เขียนไว้บนแผ่นหิน บนหนังสัตว์ สำหรับชาวต่างชาติ ก็อยู่ในความรู้ดี รู้ชั่ว ในจิตสำนึกของเขาเขียนไว้  แต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความสว่างบนโลกที่ปกคลุมด้วยความมืดนี้ และปีนขึ้นบันไดนี้เหมือนกัน  ปีนขึ้นไปถึงบนสวรรค์ได้  โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นตัวแทนที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ปราศจากบาป  ไม่มีพลาดเลย ปีนขึ้นไปได้  พระองค์จึงสามารถปีนไปถึงยอดบันได ก็คือสวรรค์ได้

แล้วพอไปถึงยอดบันได ทำอะไร? โดยผ่านทางความสำเร็จบนไม้กางเขน พระองค์ได้ทรงถวายเลือดของพระองค์เอง ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระเจ้า ในการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหมดไว้ โดยผ่านทางพระบุตร ตั้งนานแล้ว

และผลของการถึงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ และเอาเลือดไปถวายพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็จัดการพันธสัญญาใหม่ ผล ก็คือพระเจ้าก็ทำลิฟต์ไว้ให้ จากพื้นโลกไปสู่ยอด คือสวรรค์ แล้วยกเลิกเข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัย คือพันธสัญญาเลือด โดยเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์

นึกภาพออกไหม? พระองค์ก็ทรงยกเลิกเข็มขัดนิรภัยนี้ แต่ว่าบันไดเก่า บทบัญญัติเหล่านั้นที่จะขึ้นสู่ยอดสวรรค์นั้น มันยังคงอยู่  ดังนั้น ตั้งแต่วันที่พระเยซูทำงานสำเร็จ แล้วพระเจ้าทำลิฟต์นี้ขึ้นมาแล้ว มีทางขึ้นสวรรค์อยู่ 2 ทาง ทางเก่ากับทางใหม่ ทางเก่าต้องปีนบันไดขึ้นไป ทางใหม่เปลี่ยนเข้ามาในลิฟต์ ขึ้นลิฟต์เลย

พระเยซูเลยมาเตือนบอกว่า … “อย่าปีนทางเก่าเลย มันอันตราย เพราะท่านทำไม่ได้หรอก เพราะเรามีประสบการณ์ เรารู้ว่าท่านทำไม่ได้แน่นอน เราผ่านมาแล้ว  และข้อสำคัญ คือตอนนี้  ท่านปีนไม่ได้เหมือนแต่ก่อนนี้ เพราะว่าพระเจ้ายกเลิก ไม่มีเข็มขัดนิรภัยแล้วด้วย พลาดแม้ขั้นเดียว ก็ตกลงมาตายอย่างแน่นอน เพราะไม่มีเข็มขัดนิรภัย ไม่มีเซฟตี้แล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงเลิกพันธสัญญาเดิม คือเลือดสัตว์ ไม่มีการใช้อีกต่อไปแล้ว  ไม่มีแล้ว ยกเลิกแล้ว พระองค์รับอย่างเดียว ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ได้หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เพราะฉะนั้น มาทางใหม่ มาขึ้นลิฟต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้วดีกว่า ขึ้นลิฟต์ด้วยวิธีใด วางใจในเรา แล้วจะได้บังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในลิฟต์ ในสวรรค์ อยู่กับเราทันที สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ลิฟต์นี้มียี่ห้อว่าพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์เถิด เข้ามาอยู่ในลิฟต์เถิด ในพระคริสต์เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว  และกำลังเดินทางขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ใหญ่ สมบูรณ์พร้อม ซึ่งก่อนเข้าอาณาจักรสวรรค์ใหญ่นั้น  เมื่อถึงประตูสวรรค์ใหญ่ ก็ต้องเปลี่ยนชุดเข้าสู่สวรรค์ใหญ่ คือสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมาะกับสวรรค์ใหญ่นั่นเอง แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็อยู่ในสวรรค์ อยู่ในลิฟต์แล้ว พักผ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในลิฟต์นั้น ไม่ต้องปีนให้เหนื่อยแล้ว

มัทธิว 5:20  “เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์”

 

อย่างที่บอกพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เหล่านี้  พวกหัวหน้าปุโรหิตเหล่านี้ เขามั่นใจในตัวเองว่าเขาทำดีมาก เขาโชว์ออฟมากเลยว่าเขาทำศีลธรรมอันดี สูงส่งมาก ทำได้เยอะมาก จนกระทั่งผู้คนทั้งหลายที่อยู่ข้างล่าง ที่ทำไม่ได้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาปมากกว่า มองขึ้นไป ก็ …

“มันจริงๆ นะ ฉันทำเท่าเขาไม่ได้หรอก เขารักษาศีล รักษาบทบัญญัติได้ตั้ง 600 ข้อ 500 ข้อ  ฉันทำได้ไม่ถึง 10 ข้อเลย ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”

ยกฟาริสีและคนที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ว่าเป็นคนดีเยี่ยมมาก พระเยซูจึงยกตัวอย่างอันนี้ขึ้นมาว่า …

“ถ้าท่านคิดว่าความชอบธรรมของท่านได้เท่ากับพวกฟาริสีก็พอ แต่จะบอกให้ท่านต้องมีความชอบธรรมมากกว่าพวกฟาริสีอีก”

คนเหล่านี้ฟัง แล้วเป็นอย่างไร? คนที่ด้อยกว่าฟังแล้วเป็นอย่างไร? ตกใจ

พวกสาวกพระเยซูฟังพระองค์พูดตรงนี้ … “ใครจะทำได้ ทำไม่ได้หรอก  ผม ฉันทำไม่ได้ ตายแล้ว”

ฟังจบพวกสาวกงงเต้ก … “ใครจะไปทำได้ล่ะอาจารย์”

พระเยซูเลยบอกกับพวกเขาว่า … “พวกเธอทำเองไม่ได้หรอก แต่พระเจ้าทำได้

ก็คือท่านต้องเกิดใหม่นั่นเอง พระเจ้าทำให้ท่านเกิดใหม่ได้  ท่านทำเองไม่ได้หรอก พระเยซูกำลังอธิบายให้เขาฟังว่าพระเจ้ามองที่ใจ แต่พวกฟาริสีมองที่กฎ ไม่ใช่พวกฟาริสีมองที่กฎอย่างเดียว พวกท่านก็มองที่กฎ ก็คือพวกท่านมองที่ข้างนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน  พวกเราทั้งหลายมองที่ข้างนอก พวกเราทั้งหลายมองที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ใต้น้ำลงไป ที่ท่านไม่เห็น ก็คือฐานของภูเขาน้ำแข็งอันเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ข้างล่าง ความบาปที่อยู่ข้างล่าง พวกฟาริสีมองที่ยอดน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ใต้น้ำ ฟาริสีมองไปที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองไปที่วิญญาณข้างใน ฟาริสีมองไปที่สิ่งที่ตามองเห็นได้ การประพฤติที่มองเห็นได้ แต่พระเจ้ามองไปที่ในวิญญาณ พวกฟาริสีใช้สัมผัสแตะต้องได้ตามที่ตามองเห็น และให้ความสำคัญกับสิ่งที่มองเห็น เช่นล้างมือก่อนกินข้าว อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่พระเจ้าต้องการให้เขามองไปที่โลกวิญญาณ ใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า จากวิญญาณออกมา ทำให้เขาตายได้ จากการกินอาหารสกปรกเข้าไป ก็แค่ถ่ายออกมาเท่านั้นเอง

ฟาริสีก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมดด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเราฟังอย่างนี้แล้ว มาถึงบทที่ 5 ข้อ 20 เราต้องปูพื้นเบื้องหลัง อยู่ในใจตลอด ขณะที่ฟังไป เรียนรู้ไป ต้องไม่ลืมว่าพระเยซูกำลังมาประกาศว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ และวิธีจะเข้าสวรรค์นั้น ต้องมีท่าทีอย่างไร? นี่คือเป้าหมายในการประกาศของพระเยซูคริสต์ ก็คือต้องไม่เย่อหยิ่ง  ไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองในการรักษาบทบัญญัติ การกระทำดี รักษากฎแห่งศีลธรรม ในการสร้างความชอบธรรมของตัวเองขึ้นมา  ไม่พึ่งพาความดีของตัวเอง พูดง่ายๆ  ไม่ใช่ไม่ทำความดีนะ ตั้งใจทำความดี  แต่ไม่พึ่งพาความดีของตัวเอง เพราะรู้ว่าทำความดีไป ก็ไม่ได้รอดจากการถูกพิพากษา แต่ตั้งใจทำความดีไหม? ตั้งใจ แต่ไม่ได้ตั้งใจว่า …

“ทำความดีแล้ว ฉันจะรอดจากการถูกพิพากษา”

แต่หันกลับมาเชื่อวางใจในพระบุตร คือพระมาซีฮาห์ พระองค์เท่านั้น  จะทำให้เขาบังเกิดใหม่ได้ เขาทำด้วยตัวเอง เกิดใหม่ไม่ได้หรอก ทำให้ตาย ก็ไม่มีทางได้เข้าสวรรค์ ต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น

นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์ คือวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเขาต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง วิญญาณของเขากำลังปีนบันไดอยู่หรือวิญญาณของเขาอยู่ในลิฟต์ มันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์หรือที่เรียกว่าความพินาศที่ไม่มีพระเจ้า  บนบันไดนั้น ไม่มีพระเจ้า  แต่ในลิฟต์มีพระเจ้า ซึ่งพระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องโลกใบนี้ว่าจะทำตัวอย่างไร เพราะมนุษย์ทุกคนอยู่บนโลกใบนี้ รู้และเห็นหมดแล้ว เข้าใจหมดแล้วล่ะ  ไม่ต้องอธิบาย  เพราะทุกคนดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  ภายใต้อิทธิพลของกฎของความบาปและความตายอยู่แล้ว เกิดมาก็อยู่ใต้บทบัญญัตินี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ย้ายนะ กฎแห่งกรรมที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็จะปกคลุมอยู่เหนือชีวิตของเขา กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ยังอยู่ บันไดก็ยังอยู่ หว่านสิ่งใด เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นก็ยังอยู่ ยังคงเป็นอยู่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นโลกใบนี้ และวิญญาณของเรา ถ้าไม่ย้าย ก็จะอยู่ในที่นี่แหละ พลาดทีเดียว ก็ต้องตาย  แต่ถ้าเราย้ายมาอยู่ในลิฟต์ พลาดก็ไม่ตาย  เพราะว่าในลิฟต์มันเป็นเหมือนสวรรค์แล้ว  พระโลหิตของพระเยซูชำระให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความเป็นจริงของการประกาศของพระเยซูบนภูเขา ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จอีก 3 ปีต่อมานั่นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“RIP”  เป็นตัวย่อมาจากคำว่า “Rest in peace” ซึ่งส่วนใหญ่ เขาจะเขียนคำนี้ไว้ที่ป้ายหน้าหลุมศพ หรือไม่ก็เขียนไว้ในหรีดไว้อาลัยในงานพิธีศพ “Rest in peace” หรือตัวย่อว่า  “RIP” ก็คือ  “จงพักสงบชั่วนิรันดร์”

 

นี่ความหมายจริงๆ ของการที่ตั้งใจจะเขียน แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย เพราะว่าผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว เราสามารถใช้คำว่า RIP กันได้วันนี้เลยทันที เมื่อเชื่อแล้ว ก็เขียนให้ตัวเองได้เลยว่า …

“คุณนคร จง RIP เถิด!”

 

คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ที่เขาใช้คำว่า “RIP” เพราะความหมายของคำว่า “RIP” คือเขาหวังว่าเป็นความหวังแบบมนุษย์ธรรมดา คนจากไป เราก็ระลึกถึงเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี แสดงความเสียใจ แล้วบอกว่า “RIP” นะ คือหวังว่าจะได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์อย่างสงบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ถูกไหมครับ ที่เขาตั้งใจเขียนอย่างนั้น เพราะเขาหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

 

แต่จากที่เราเรียนรู้ด้วยกันมาแล้ว สวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็น Now คือเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ไม่ต้องรอ สามารถเข้าสวรรค์ได้เลย เข้าด้วยวิธีเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ได้เข้าสวรรค์ทันที คนที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ ก็คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว

 

แล้ว RIP จะใช้กับคนที่ตายแล้ว ถามท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่ตายบนกางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน เอาบาปของท่านออกไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นตัวอย่างให้กับท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระองค์ด้วย

 

เมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถามว่าท่านตายหรือยัง? ก็ต้องตายก่อนสิ แล้วจึงจะบังเกิดใหม่ได้

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในข้อที่ 3 เป็นคำตอบ เพราะท่าน (ท่านคือผู้ที่เชื่อแล้ว) ตายแล้ว วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่านที่ เป็นคนชั่วคนบาป มันได้ตายไปแล้ว

 

วิญญาณเก่าของท่าน ก่อนที่จะรับเชื่อ เป็นวิญญาณมืดบอด เป็นวิญญาณที่เป็นทาสของมารซาตาน เป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรก มันตายไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อในข่าวดี และบัดนี้ เดี๋ยวนี้ หรือขณะนี้ Now ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า วิญญาณเก่าท่านได้ตายแล้ว และได้เกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ในข้อ 1 แล้ววิญญาณที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้านั้น ตอนนี้ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า คือถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ท่านก็อยู่ที่สวรรค์นั่นแหละ ทันที เดี๋ยวนี้เลย

 

สรุปว่าเราใช้ RIP ได้หรือยัง? ได้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำข้อ 1 ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ยังไม่สามารถใช้ RIP ได้นะ เขาจะใช้ให้คุณต่อเมื่อคุณหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว แต่ถ้าคุณเชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดี ทันทีปุ๊บ คุณใช้ได้ทันทีเลยว่า …

“ฉันกำลัง RIP เรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1380

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  สิงหาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 3

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.2

“พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในซีรี่ย์การบรรยายชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องราวต่อจากครั้งที่แล้วที่พูดถึง “คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์” นั่นเอง ครั้งที่แล้ว EP.1 ชื่อตอนว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู”

วันนี้เป็นคำเทศนาบนภูเขา EP.2 ผมให้ชื่อตอนว่า “พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ” ต้องค่อนข้างที่จะละเอียดมาก สำหรับเรื่องนี้  เพราะเรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดมาก  และอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก บอกอยู่บ่อยๆ ว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย ทั้งหมดเลย  มันก็ยากนะ ที่จะเข้าใจ  และมันจะต้องใช้เวลาละเอียดอ่อน ค่อยๆ ซึมซับความจริงนี้ ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย  แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเราช่วยย่อยความรู้อะไรต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ เข้าไป มันต้องใช้เวลา ใช้ความละเอียด  ผมก็จะพยายามทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

บางทีกลับไปนั่งฟังคำบรรยายของตนเอง ตรงนี้ก็ยังไม่ได้พูด ตรงนั้น ก็ยังไม่ได้อธิบาย เขาจะเข้าใจไหม?  ก็คิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ  ก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ ว่า …

“ขอพระองค์ทรงเมตตาช่วยลูกด้วยเถิด ให้ลูกสามารถพูดในสิ่งที่พระองค์ต้องการพูดได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ในคำบรรยายทุกๆ ครั้ง”

มันยากมาก ที่ภายในหนึ่งชั่วโมง จะพูดทุกอย่างให้มันเป็น ให้ทุกคนเข้าใจ

ก่อนอื่นขอถือโอกาสมาปูพื้น ปูอยู่เรื่อยๆ เพราะมันเรื่องวิญญาณ ปูพื้นเบื้องหลังของหนังสือที่บันทึกคำเทศนาบนภูเขา  หรือการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ เรื่องสวรรค์มาตั้งอยู่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระเยซูคริสต์ ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้  ประกาศเรื่องนี้ 3 ปีเท่านั้น ซึ่งบันทึกอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ ใช้ชื่อว่าพระกิตติคุณ 4 เล่ม มีมัทธิว มาระโก ยอห์น ลูกา เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ว่าพระเยซูกล่าวอะไรบ้าง? ไม่ได้เป็นหนังสือมาสอนว่ามันหมายความว่าอย่างไร? พระเยซูประกาศ พูด หรือสอน คำเทศนาบนภูเขา เป็นการประกาศทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ และจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?

เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะไปศึกษาเรื่องอะไรต่างๆ ต้องรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่พระเยซูกำลังพูดถึง จะตีความอะไรก็ต้องดูว่าสิ่งที่พูด มันเกี่ยวอะไรกับด้านวิญญาณบ้าง?

พระองค์พูดกับใคร? ครั้งที่แล้วได้ยืนยันแล้ว พูดกับชาวยิวเท่านั้น ชาวยิว ซึ่งพระเจ้าได้เลือกสรรไว้ก่อนคนต่างชาติ … คนต่างชาติ คือใครก็ตามที่ไม่ใช่ชนชาติยิว แล้วจากนั้น ก็จะไปหาคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ทุกชาติ ทุกภาษา ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้าอันล้ำลึก ก่อนสร้างโลก ก่อนมนุษย์ตกลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้นว่าพระเจ้าวางแผนการนี้ อย่างล้ำลึกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการนี้ถูกซ่อนอยู่ในพระองค์ ไม่มีใครรู้เลย คือแผนการที่พระองค์ได้เลือกคนยิวก่อน หรือคนอิสราเอลก่อน และเลือกคนต่างชาติทีหลัง ให้มาได้รับความรอด เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตรงนี้ต้องสำคัญมากๆ เลย เกี่ยวกับโลกวิญญาณอีกแล้ว พระเจ้ามองภาพรวม พระเจ้ามองมาจากฟ้าสวรรค์ มองมาในโลกใบนี้ ไม่ได้มองปัจเจกบุคคลว่าคนนี้ บุคคลนั้น มองเป็นภาพรวมว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นกลุ่มเป็นก้อน และพระองค์ก็ทรงแบ่งเลยว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มี 1 เผ่าพันธุ์เท่านั้นเอง

กลุ่มแรกที่จะได้รับข่าวประเสริฐก่อน ก็คืออิสราเอล หรือว่ายิว

กลุ่มที่สองที่จะตามมา ที่จะรับรู้ข่าวประเสริฐว่าสวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว ก็คือคนที่ไม่ใช่ยิว

พระองค์มองจากสวรรค์มนุษย์มีอยู่พันธุ์เดียว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เรียกว่าชาวยิวกับกลุ่มที่ไม่ใช่ยิว จบแล้ว แค่นี้ มันจะเห็นภาพชัด ในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น

สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้กัน ในคำเทศนาบนภูเขา คือพระเยซูคริสต์กำลังประกาศให้กับชาวยิว ที่พระเจ้าบอกว่าเลือกทั้งสองกลุ่มเลย แต่เลือกสรรชาวยิวก่อนว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?

สรุปพื้นๆ ก็คือบอกชาวยิวว่าต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะได้เป็นลูกพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในสวรรค์ได้ นี่คือหลักพื้นฐาน ที่เราต้องรู้ว่าเบื้องหลังเป็นอย่างนี้ และเป็นชาวยิว  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ คือชาวยิวที่ยังอยู่บนพื้นฐาน ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อในกฎบัญญัติทางศาสนาของยิวอยู่เลย ท่านจะได้เห็นภาพว่าเวลาพระองค์พูดจะอยู่บนพื้นฐาน ประเพณี ศาสนา ความเชื่อของชาวยิวทั้งหมด ท่านจะได้เห็นภาพ

เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย เราฟังดู อาจจะไม่รู้เรื่องด้วย เพราะเป็นประเพณี เป็นศาสนายิว ฉะนั้น เมื่อเราจะศึกษาพระคัมภีร์ตอนนี้ เราต้องรู้เบื้องหลังนี้ให้ได้ ถ้าเราไม่รู้เบื้องหลังนี้ เราก็จะสับสน ถ้าเราเปิดใจต้อนรับข่าวดี ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็น คริสเตียนแล้วตอนนี้ เราบังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ข้อความที่พระเยซูประกาศสอนในหนังสือนี้ก็เป็นเพียงแค่ยืนยันว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ นั่นเอง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูกำลังประกาศสอน เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์นั้น อย่าเข้าใจผิดว่าพระองค์กำลังพูดกับเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ก่อนที่จะศึกษาเรื่องพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามถ้อยคำของพระองค์นี้ นึกภาพออกนะว่ามีผู้เข้าใจผิด ว่าพระเยซูสอนให้คริสเตียนทำตามนี้ ไม่ใช่ เพราะถ้าเราเชื่ออย่างนั้น เราจะสับสน หลงทางจากข่าวประเสริฐ ที่เราได้รับผลเรียบร้อยไปแล้วจากการรับเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่แล้วอยู่ในสวรรค์แล้ว  ตามพระคัมภีร์ใหม่ที่ได้อธิบายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  เราจะสับสน (งงเต้กเลย)

ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เราสมควรที่จะปฏิบัติตัวเองอย่างไรให้เหมาะสมนั้น พระเยซูจะมาสอนในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ก็คือหลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ คือพันธสัญญาใหม่ ตอนที่พระเยซูได้เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อแล้ว คือตอนเริ่มต้นพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาใหม่ สำหรับคริสเตียน  ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่เริ่มต้นตั้งแต่พระเยซูเกิด แต่ต้องเป็นพันธสัญญาใหม่หลังจากที่พระเยซูตาย  ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ ตั้งแต่ต่อจากพระกิตติคุณ 4 เล่ม มัทธิว  มาระโก  ยอห์น  ลูกา   ตะกี้นี้อธิบายไปแล้ว เป็นประวัติ พระเยซูมาทำอะไร? แต่พระคัมภีร์ใหม่จริงๆ ต้องเริ่มต้นตรงกิจการว่าเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น คริสเตียนเริ่มต้น ดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ใหม่ นี่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้บังเกิดใหม่ เห็นไหม? มองภาพรวม มาเป็นกลุ่มก้อน ชัดเจน

พระคัมภีร์ใหม่ คือตอนที่พระเยซูสอน โดยเข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อ พระกิตติคุณสมบูรณ์ พระองค์ทรงสอน ประกาศตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ใช่ไหม? แต่พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูได้เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อแล้ว พระองค์ก็จะสอนผ่านทางพระวิญญาณ ที่สถิตอยู่ในมนุษย์ ก็คือผู้เชื่อ ผู้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นอัครทูต เป็นศิษยาภิบาล เป็นอาจารย์ เป็นผู้สอน พระองค์ก็จะสอนเขาผ่านทางผู้คนเหล่านี้

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูใช้ผ่านทางเปาโลไปประกาศให้คนที่เป็นคนต่างชาติ  ก็คือกลุ่มที่ 2 ที่บอกไว้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้เห็นภาพรวม เห็นเป็นก้อนๆ มันจะชัด

และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ก็จะทำงานร่วมกันกับคำสอนของอัครทูต หรือบรรดาผู้เชื่อที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ อาจารย์ ศิษยาภิบาลเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย ก็จะยืนยันว่าใช่ จะสอนเราว่าเราผู้เชื่อ เป็นใครในพระคริสต์? เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เราสมควรประพฤติตนอย่างไร? ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความสว่าง เขาประพฤติตัวกันอย่างไร? ไปอ่านดูได้ในพระคัมภีร์ใหม่ เขาประพฤติตัวเหมือนกันหมด

ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าให้วางใจในพระเจ้า วางใจในพระเยซู เราจะได้บังเกิดใหม่  พอบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นลูกแล้วเป็นเลย แล้วก็สมควรประพฤติตัวอย่างไร?

นี่คือบทสรุป จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากตอนที่แล้ว ผมใช้ชื่อว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู” ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว 5:1-16

เห็นไหม? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แล้วจะทำให้ท่านสามารถที่จะติดตาม ศึกษาเรื่องนี้ต่อไป อย่างเข้าใจ ง่ายขึ้น

ในครั้งที่แล้ว บทที่ 5 ข้อ 1-16 พระเยซูกำลังพูดกับคนที่มีท่าทีในใจที่ถ่อมใจ ยอมรับว่าตนเองไม่สามารถทำตามกฎระเบียบ บัญญัติ ศีลธรรมของชาวยิวได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องมีผู้มาช่วยเขา รอพระมาซีฮาห์มาช่วย คนเหล่านี้มีท่าทีที่พร้อม ที่เข้าสู่สวรรค์ในอีก 3 ปีข้างหน้า  ที่พระองค์จะทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วก็เป็นขึ้นจากความตาย เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ คนเหล่านี้จะได้เข้าสวรรค์ หมายถึงอย่างนี้

วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่าแล้วสำหรับคนที่มีจิตใจแข็งกระด้าง เย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองไม่ป่วย สามารถรักษาบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วยังภูมิใจในตัวเองว่าตัวเองทำได้มากกว่าคนอื่น จึงสมควรได้ไปสวรรค์ เป็นใคร เป็นคนที่ยังไม่เชื่อ และเป็นกลุ่มแรก ที่เรียกว่าพวกชาวยิว ไม่ได้เกี่ยวกับคนต่างชาติ ให้รู้ในบริบทที่เรากำลังเรียนนี้ แล้วค่อยปรับเอามาใช้กับเรา ถ้าเผื่อมันสามารถตรงกันได้ ก็ว่ากันไป พระเยซูกำลังพูดกับคนยิวที่มีพื้นฐาน ศาสนายิว ที่ได้รักษาบัญญัติมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนเหล่านี้ ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกที่มีการศึกษาสูง ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนายิว ซึ่งเย่อหยิ่งจองหองว่า …

“ฉันรักษาบทบัญญัติของโมเสส”

เห็นไหม? ถ้าคนต่างชาติมาฟัง เขาไม่รู้เรื่อง …

โมเสส คือใครก็ไม่รู้ อะไรอีกหลายคำพูดที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิวนี้  หรือหนังสือพระกิตติคุณนี้ จะเห็นชัดเลยว่าในนั้นเกือบทั้งหมด เราจะไม่รู้เรื่องเลย เพราะเขาพูดถึงกฎระเบียบของศาสนายิวทั้งสิ้น …

“บัญญัติฉันก็ไม่รู้ บัญญัติคืออะไร?”

แต่ชาวยิวเขารู้ทันที บัญญัติ ก็คือบัญญัติตั้งแต่สมัยโมเสส อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งตรงนี้พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

หัวข้อที่ผมใช้ชื่อเรื่องวันนี้ ก็คือ “พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ” ท่านเห็นภาพไหมว่าถ้าท่านเป็นชาวต่างชาติ ที่ยังไม่เชื่อ ท่านรู้เรื่องไหม? ไม่รู้เรื่องพระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้าง บัญญัติคืออะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้กล่าวหาพระเยซู ใครกล่าวหา พระเยซูเกิดเป็นคนยิว แล้วคนยิวด้วยกัน ที่เขามั่นใจ เขากล่าวหาคนก่อนหน้าพระเยซูแล้ว กล่าวหาคนที่มีใจถ่อม ที่เป็นยิว ที่ไม่แน่ใจตัวเอง ไม่ได้รักษาบทบัญญัติได้ดีเท่าเขา เขาก็ดูถูกคนเหล่านั้นว่าเป็นคนบาป สมควรตกนรก ไม่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบของโมเสสเลย ไม่เหมือนเขา เขารักษาบทบัญญัติ เขาไปเข้าวิหารเป็นประจำวันละ 3 ครั้ง อธิษฐาน เขาอดอาหารเป็นประจำ เขาถวายสิบลดเป็นประจำ เขาทำโน่นทำนี่ รักษาบทบัญญัติเยอะแยะไปหมด พวกยิวอีกประเภทหนึ่ง เช่นคนเก็บภาษีเอย โสเภณีเอย พวกนี้ตกนรก เพราะรักษาบัญญัติไม่ได้ เขาเอาตัวเขาเป็นตัวเปรียบเทียบ เขาทำได้ เขาชอบธรรม เขาสมควรไปสวรรค์ เขาจึงกล่าวหาคนอื่นก่อน พอพระเยซูมา ถูกกล่าวหาแน่นอน พระเยซูกำลังมาชี้ให้เขาเห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งเรากำลังจะเรียนรู้กัน

พระเยซูมาแย้ง มาตอบว่าไม่ใช่อย่างนั้นหรอก อย่าเข้าใจผิด เขา คือชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ต้องจำไว้เลย ไม่ใช่คริสเตียน ชาวยิวที่เย่อหยิ่ง กล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้มาล้มล้างบัญญัติโมเสส ซึ่งเขายึดถือกันมาตั้งแต่โบราณ บัญญัตินี้ คือหนังสือพระคัมภีร์ ไม่มีเดิม สมัยก่อนยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ คือพระคัมภีร์ของชาวยิวที่ถือไว้ 5 เล่มแรก ที่มีชื่อตามภาษาฮีบรูว่า “โทราห์” ก็คือหนังสือ 5 เล่ม ซึ่งรวมทั้งบทบัญญัติ 10 ประการบวกกับอีก 603 ข้อ อยู่ในนั้นเสร็จ เราลองอ่านดูในมัทธิว 5:17 ว่าพระองค์ถูกกล่าวหาว่าอย่างไร? …

มัทธิว 5:17 “อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ (พระคัมภีร์เดิม ห้าเล่มแรก) หรือคำเผยวจนะของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเพื่อล้มล้างสิ่งเหล่านั้น แต่มา เพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน  เป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ (เกี่ยวกับเรา)”

 

“เป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรา” นั่นเอง พระคัมภีร์นี้ ก็คือ 5 เล่มแรก ที่พระเจ้าให้โมเสสเขียนว่ากำเนิดของโลกเป็นอย่างไร? ปฐมกาลลงมาจนกระทั่งถึงเลวีนิติ ก็คือบทบัญญัติต่างๆ สมัยโมเสส

“อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ” ก็คือพระคัมภีร์เดิม ก็คือของเขาไม่เดิม แต่เราเรียกว่าพระคัมภีร์เดิม เพราะว่าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เราอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่แล้ว มีพันธสัญญา บทบัญญัติใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น เลยมีเดิม มีใหม่ แต่ของเขาไม่มีใหม่ เขาก็คือเดิมอย่างเดียว ก็คือพระคัมภีร์นั่นแหละ 5 เล่มแรก พระองค์แย้งเขา บอกเขาว่าเราไม่ได้มาล้มล้างหรอก

ก่อนที่จะเรียนรู้ต่อไป ต้องเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าเป็นความรักใช่หรือไม่? พระเยซูเป็นความรักใช่ไหม? พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าขณะที่เราเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระองค์ สกปรก พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงความรัก พระเจ้าทรงสำแดงความรัก คือให้พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นความรักไหม? เป็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงประกาศ สิ่งที่พระองค์ทรงสอนเหล่านี้ อยู่เบื้องหลังของท่าทีของความรัก ความห่วงใย  ดุจแก้วตาดวงใจ นึกถึงภาพ เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่าพระองค์กำลังด่าพวกนี้ พระองค์กำลังโกรธแค้นพวกนี้ว่ามาหาว่าพระองค์เป็นคนล้มล้างบทบัญญัติ เปล่าเลย

ภาพจะเปลี่ยนไปแล้ว เราจะมองภาพออก เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่าพระองค์รักนะ ห่วงใยมาก

แทนที่จะบอกว่า … “อย่าคิดว่าเรามาล้มล้างหนังสือบทบัญญัตินะ” (ทำเสียงเข้มๆ หน่อย)

แต่ให้นึกในใจว่าพระองค์กำลังมาบอกว่า … “อย่าคิดเลย อย่าเข้าใจผิดนะว่าฉันมาล้มล้างบทบัญญัติตามที่เธอคิด เธอเข้าใจผิดแล้ว” (พูดเสียงนุ่มๆ) … น้ำเสียงมันคนละอย่างกัน

จริงๆ แล้วพระเยซูกำลังนำเอาพระคุณพระเจ้ามา กฎแห่งพระคุณของพระเจ้า แล้วถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างบทบัญญัติ  เห็นภาพไหม?

พระเยซูตรัสว่าพระองค์มาทำให้บทบัญญัตินั้นสำเร็จ ฟังให้ดีๆ นะ พระองค์มาทำให้บทบัญญัตินั้นสำเร็จ คือเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ให้สำเร็จได้ 100% มันหมายถึงอย่างนั้น

บัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับมวลมนุษย์ คือบัญญัติที่ท่านต้องทำตามทั้งหมด ที่โมเสสเขียนเอาไว้เป็นตัวอย่าง 600 กว่าข้อ นั่นคือบทบัญญัติที่ท่านถือไว้ เป็นพันธสัญญากับพระเจ้า ไม่มีคนไหนทำได้เลยสักคนหนึ่ง ตั้งแต่วันที่เริ่มพันธสัญญาจนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูกำลังพูดนี้ พระเยซูกำลังหมายถึงอย่างนั้น พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่สามารถปฏิบัติ 600 กว่าข้อและเลยกว่า 600 กว่าข้ออีก พระองค์จึงบริสุทธิ์  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นมนุษย์คนเดียวที่บริสุทธิ์ชอบธรรม เพราะปฏิบัติได้หมดเลย เรียบร้อย ในพระคัมภีร์จึงเขียนไว้ว่าพระองค์มาเพื่อทำให้มันสำเร็จ ครบถ้วน ทำ 100% เลย

พระเยซูจึงเป็นมนุษย์ชาวยิว ที่เกิดในยิว ที่สามารถรักษาบทบัญญัติของบรรพบุรุษ สมัยโมเสสได้ครบถ้วนบริบูรณ์  พระองค์จึงสะอาด บริสุทธิ์ เพียงพอ ตามบทบัญญัติสมัยโมเสสว่าใครก็ตาม ที่รักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด เขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด พร้อมที่จะเป็นเครื่องถวายบูชาแด่พระเจ้า เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ไม่มีใครทำได้เลย พระองค์มาเพื่อทำให้สำเร็จในสิ่งที่บทบัญญัติวางไว้ บทบัญญัติวางไว้ เพื่อว่าใครก็ตามในหมู่มนุษย์ สามารถรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์กับพระเจ้า แล้วเขาสามารถเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวงไถ่บาปให้เพื่อนมนุษย์ในเผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกันได้ นึกภาพออกใช่ไหมครับ? ผมจึงต้องใช้เวลาช้าหน่อย ค่อยๆ อธิบาย

มีพระเยซูผู้เดียวสามารถที่จะไถ่มนุษย์ได้ พระองค์จึงจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ในหนังสือกาลาเทีย 4:4 บอกว่าเมื่อถึงกำหนดเวลา พระเยซูมากำเนิดที่ในครรภ์ เกิดจากหญิงพรหมจารี เกิดเป็นเนื้อหนัง คือพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณเป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ เกิดจากครรภ์ของหญิง

ในพระคัมภีร์กาลาเทีย บทที่ 4 ตอนนี้บอกว่าพระองค์เกิดเหมือนกับพี่น้อง ก็คือเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ เขา เกิดใต้กฎบัญญัติ ก็คือเกิดในเนื้อหนังอย่างเรา ก็คือเกิดจากเนื้อหนัง ที่มาจากแมรี่ มารดา ในครรภ์ เห็นไหมครับ? พระองค์จึงเป็นมนุษย์จริงๆ  เหมือนกับพี่น้องที่เป็นมนุษย์ จำได้ไหม? เหมือนเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ พระองค์ก็เลยเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ในเชื้อสายยิว แต่ขณะเดียวกันพระองค์เป็นวิญญาณ ที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์ของอาดัม พระองค์จึงเป็นพระเจ้าในร่างของมนุษย์

ร่างของมนุษย์ เพื่อจะสามารถมาไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ เป็นตัวแทนให้กับมวลมนุษย์ได้ เพราะพระองค์บริสุทธิ์ สะอาดจากข้างใน จึงสามารถรักษาบทบัญญัตินี้ได้ทั้งหมด พระองค์กำลังมาอธิบายให้ฟังอย่างนั้น

พระองค์จึงเตือนพี่น้องเผ่าพันธุ์ของตน  ก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ชอบพูดคำนี้เสมอเลย “บุตรมนุษย์ๆ” เขาเรียกพระองค์ว่า “อาจารย์ๆ” “บุตรมนุษย์ๆ” พระองค์ต้องการยืนยันให้เขารู้ว่าพระองค์เป็นมนุษย์เหมือนกับท่านทั้งหลายนั่นแหละ  และพระองค์จึงเตือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่าท่านไม่สามารถที่จะรักษาบทบัญญัติได้ครบถ้วน 100% หรอก มีเราเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าทราบก่อนล่วงหน้าแล้วว่า …

“ท่านทำไม่ได้ เราทำได้ พระเจ้าจึงเตรียมทางออกให้กับท่าน คือส่งเรามา เมื่อถึงกำหนดเวลา มาเพื่อช่วยท่าน ส่งเรามา เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่”

ฟังให้ดีๆ นะ เพื่อจะได้เป็นตัวแทน เริ่มต้นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นสัญญาใหม่ที่จะเริ่มต้น ที่เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ ในโลหิตของพระองค์ พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่นี้กับมวลมนุษย์ นึกออกหรือยัง? ที่พูดนี้พูดกับชาวอิสราเอล แต่เล็งไปถึงหลังจากอิสราเอล ก็คือชาวต่างชาติด้วย พระองค์จะทำพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษยชาติต่อจากนี้ ก็คือต่อจากพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ซึ่งพระองค์ก็จะทรงกระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พูดนี้ อีก 3 ปี ประมาณนั้น ก็คือเมื่อทำสำเร็จ มนุษย์ทุกคน ทั้งสองกลุ่มใหญ่ๆ ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว สามารถเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเข้าสวรรค์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อ  ต้อนรับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น พันธสัญญาใหม่ จึงเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ที่ไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์  การฝังไว้ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่

ผลของพันธสัญญาใหม่ คือมนุษย์คนใด ก็ตาม ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด อยู่ในกลุ่มไหนก็ตาม จะกลุ่มยิวหรือไม่ใช่ยิวก็ตาม เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับสิทธิของเขา เชื่อแล้ว เขาก็จะได้รับบัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตัวเก่าของเขา วิญญาณเก่าของเขาที่เป็นบาปอยู่ ก็จะได้ตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็จะได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในฝ่ายวิญญาณด้วย กลับกลายมาเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจด ดีพร้อมจากวิญญาณข้างในของเขา เข้าสวรรค์ทันที ได้บังเกิดใหม่ทันที นี่พระเยซูกำลังอธิบายให้เขาฟังอย่างนั้น

นี่คือเบื้องหลังว่าพวกท่านทำไม่ได้หรอก มีเราที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ คือสิ่งเหล่านี้ ที่ผมบอกว่าพระเยซูพูดกับชาวยิว ชาวยิวจะเข้าใจดี เพราะมันพื้นฐานศาสนาของยิว ความเชื่อของยิว มาตั้งแต่บรรพบุรุษ เขารอคอยพระมาซีฮาห์ พระเจ้าได้บอกเขาล่วงหน้า ถึงสิ่งเหล่านี้ ที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ท่านฟังทั้งหมด ถ้าคนต่างชาติฟัง ก็ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ชาวยิวจะเข้าใจดีว่าที่พระองค์พูดหมายถึงอะไร? อาจจะไม่เข้าใจละเอียด แต่รู้ว่าพระองค์กำลังเล็งถึงอะไร?

ชาวยิวก็รู้ ในอดีต พันธสัญญาเดิม มนุษย์ตายจากพระเจ้า อาดัมทำบาป เกิดผล คือความตายมาสู่มวลมนุษย์ มวลมนุษย์ ตอนนั้นยังเป็นกลุ่มก้อนเดียว ยังไม่ได้ถูกแยกออกเป็นอิสราเอล ยิว หรือคนต่างชาติ

ในพันธสัญญาเดิม เนื่องจากอาดัมทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรียกว่าตายจากพระเจ้า หลุดจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากความชอบธรรม คือการสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ นี่ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์ได้ กลายเป็นคนชั่ว คนบาป ตายจากความชอบธรรม มาอยู่ในบาป ท่านจะเห็นภาพ นี่ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณเหมือนกัน มนุษย์ โดยอาดัมเป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏกับพระเจ้า เกิดผล เป็นความตายจากพระเจ้า หลุดออกจากพระเจ้า ออกจากสวรรค์ มาอยู่ในความบาป อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ใต้กฎๆ หนึ่ง ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย หรือตามภาษาของคนต่างชาติ ภายหลัง เรียกว่ากฎแห่งกรรม คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ต้องรับในสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งท่านก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครทำได้สักคน ไม่มีใครไม่ทำชั่วเลย ทำชั่วนิดหนึ่ง ก็เท่ากับทำแล้ว ซึ่งเดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไป พระเยซูอธิบายเรื่องนั้นอีก  ในโรม 10:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 10:4  “เพราะว่าสิ่งที่บทบัญญัติได้กำหนดไว้นั้น  พระคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว  เป็นเหตุให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ ได้ถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า”

 

อย่าลืมนะครับถ้าเผื่อไม่เข้าใจตรงไหน? ฟังมากๆ ค่อยๆ ตามไปทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปิดเผยความจริงเหล่านี้ ได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราเข้าใจ  ท่านจะเข้าใจมากขึ้น ผมก็จะพยายามอธิบายให้ได้ละเอียดที่สุด เท่าที่ทำได้

“เพราะว่าสิ่งที่บทบัญญัติ ได้กำหนดไว้นั้น พระคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว” เห็นไหมครับ?

บทบัญญัติได้กำหนดเอาไว้นั้น พระคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว พันธสัญญาเดิม ก็คือบทบัญญัติเดิม ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว มีผู้ใดทำตามนี้ได้ไหม? ถ้าทำตามได้ ถือว่าสะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เข้าไปหาพระเจ้าได้ เมื่อเข้าไปหาพระเจ้าในสวรรค์ได้ แล้วเป็นมนุษย์ ก็สามารถถวายตัวเองไถ่มนุษย์ทุกคนออกมาได้ นี่คือบทบัญญัติเดิม ชาวยิวสมัยนั้น เขารู้ดี เขาเข้าใจดี เขาอ่านในโรม 10:4 ที่เปาโลมาสอนทีหลัง เปาโลกำลังอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งที่บทบัญญัติได้กำหนดเอาไว้นั้น พระคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว ก็คือ …

“มีใครสักคนหนึ่งไหม? ที่เป็นตัวแทนของเธอ ที่จะเข้ามาหาฉัน (พระเจ้า)”

ไม่มีเลย เข้ามาไม่ได้สักคนหนึ่งเลย

แต่พระเยซูบอก … “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว”

มาเพื่อสิ่งที่พระองค์ต้องการ คือเลือด คือโลหิตของผู้บริสุทธิ์  ก่อนหน้านี้ บัญญัตินี้ ก็บอกว่าขอเลือดบริสุทธิ์ แต่ไม่มีใครทำได้ เพราะฉะนั้น ใช้สัตว์แทนไปก่อน แต่ไถ่ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์นะ ต้องทำทุกปี เอาสัตว์หัวปีที่สะอาดที่สุด ที่ดีที่สุด ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาฆ่า แล้วเอาโลหิตมาให้พระเจ้า ถือว่าเป็นการชำระบาปชั่วคราว

นี่คือบทบัญญัติ รอให้วันหนึ่ง เมื่อถึงกำหนด ก็คือจะมีมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถทำได้ ที่เข้ามาหาเราได้ รักษาบทบัญญัติเหล่านี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าว่าแต่ 613 ข้อเลย มากกว่านั้นอีก เพราะวิญญาณของเขาบริสุทธิ์ สะอาด เป็นพระเจ้า แต่ร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เข้ามาหาพระเจ้า และก็มอบถวายตัวเอง เอาเลือดบริสุทธิ์ของพระองค์ไถ่บาป ในฮีบรูบอกว่าทำเพียงครั้งเดียวเป็นพอ ไถ่บาปมนุษย์ทั้งปวง ไม่ใช่ไถ่บาปอิสราเอลอย่างเดียว แต่ไถ่บาปให้มนุษย์ทั้งหมด

เมื่อพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ก็หมายถึงพันธสัญญาเดิม กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการกระทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็หมดสมัยไป พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าล้าสมัยไป หมดไป เพราะมันมีอันใหม่มาดีกว่า มันหมดไปแล้ว เหมือนเรามีโทรศัพท์มือถือตอนนี้ แต่ก่อนนี้เราส่งข้อความกัน เราใช้โทรเลข นั่นเราก็กำลังสื่อสารกันนะ ทุกวันนี้เราเอามือถือมาส่งไลน์ กดเสร็จไปแล้ว ถามว่าโทรเลขยังอยู่ไหม? อยู่ แล้วมีคนใช้ไหม? ไม่มีคนใช้ เพราะมันหมดยุคไปแล้ว  เหมือนกัน มันหมดสมัยไปแล้ว มันเปลี่ยนจากยุคทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ต้องปฏิบัติตามกฎบัญญัติ อยู่ใต้กฎของความบาปและความตายนั้น เปลี่ยนมาเป็นยุคพระคัมภีร์ใหม่ เรียกว่ายุคพระคุณ ไปอ่านพระคัมภีร์ใหม่ หนังสือจดหมายฝากทั้งหมด อาจารย์เปาโล เปโตร ทั้งหมด เรียกตลอด พูดอยู่ซ้ำๆ ซากๆ อยู่ตลอดเวลา …

“พระคุณ”

“ขอพระคุณและสันติสุขดำรงอยู่กับท่าน”

อย่าลืมว่าพระคุณของพระเจ้าสอนท่าน ให้ท่านกระทำดี เห็นไหม? อะไรขึ้นมาก่อน พระคุณ ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว “พระคุณ” ก็คือได้มาฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์ประทานให้ โดยพระเจ้าเท่านั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป แปลว่าตั้งแต่ที่พันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาแห่งพระคุณที่พระเยซูคริสต์นำมา ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน นั่นแหละ คือการตอกย้ำ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าพระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ … กรมธรรม์ คือพันธสัญญา

พันธสัญญาเดิมล้าสมัยแล้ว หมดแล้ว ไม่ใช้แล้ว มาใช้พันธสัญญาใหม่ แต่อนิจจา มนุษย์ถูกหลอก ถูกปิดบังตา ยังคงก้มหน้าก้มตาต๊อกๆ อยู่ในพันธสัญญาเดิม ยังคงก้มหน้าก้มตา ใช้โทรเลข ต๊อกๆ ไม่ได้ไปถึงสวรรค์เลย สวรรค์เขาใช้ไลน์แล้ว กดปุ๊บ ไปเลย นึกภาพออกไหม?

พระเยซูกำลังมาบอกให้พวกเขารู้ว่าถ้าเขาขืนอยู่ในกฎเดิมต่อไป เขาไปไม่รอดแน่ เพราะว่ากฎเดิมมันยกเลิกแล้ว การเอาเลือดสัตว์ไม่ได้ผลแล้ว เพราะพระเจ้าทรงเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนพันธสัญญาเป็นพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเก่าจบแล้ว ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ดี เปลี่ยนใหม่แล้ว พระองค์ไม่ใช้แล้ว แล้วยังไปพยายามใช้อยู่ พระเจ้าจะรับได้อย่างไร? รับไม่ได้ เอาเลือดสัตว์ไปใช้ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายเรียบร้อยแล้ว ต้องใช้บทบัญญัติใหม่นี้เท่านั้น พระองค์ไม่ได้มาล้มเลิก เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนี้มาวิเคราะห์ตอนนี้ได้ ก็คือเพราะฉะนั้น มวลมนุษยชาติ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว ก็มี 2 ทางให้เลือกแล้ว  มี 2 พันธสัญญาให้เลือก พันธสัญญาที่ล้าสมัยไปแล้วกับพันธสัญญาใหม่ที่ … ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า Active กรมธรรม์ที่ Active กับกรมธรรม์ที่เขาเลิกไปแล้ว กรมธรรม์ที่หมดอายุไปแล้ว กับกรมธรรม์ที่เพิ่งทำใหม่ ยังทำงานอยู่ Active เรามีกรมธรรม์ใหม่แล้ว  และทางบริษัท เขาก็ใช้กรมธรรม์ใหม่นี้ เกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วยอะไรก็ไปเคลมตามที่บันทึกเอาไว้ในกรมธรรม์ อันนี้ที่ใช้อยู่ และเราเกิดเจ็บป่วย เราไปเอากรมธรรม์เดิมไปหาที่บริษัท เขาบอกนี่มันหมดอายุแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เราจะใช้อันไหน?

มนุษย์มี 2 ทางให้เลือก คือจะอยู่ในกรมธรรม์เก่า ซึ่งหมดอายุไปแล้ว หรือจะย้ายมาใช้กรมธรรม์ใหม่ จะอยู่ในกฎบัญญัติเดิม กฎแห่งการกระทำตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือจะย้ายมาอยู่ในกฎใหม่ กฎวิญญาณแห่งชีวิต เรียกว่ากฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ จะเอาอะไรดี ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

โรม 8:1-2 บอกว่า … “1 ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะกฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย”

 

ใครที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือใครที่เปิดใจต้อนรับสิทธิอำนาจ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้ ไถ่บาปให้ที่ไม้กางเขนนั้น เขาก็จะย้ายจากกรมธรรม์เดิม จากทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำชั่วครั้งหนึ่ง ก็ได้ชั่วแน่นอน ลงนรกแน่นอน ไปอยู่ที่พินาศ ที่ไม่มีพระเจ้าแน่นอน หรือจะย้ายมาอยู่ในกฎใหม่  กรมธรรม์ใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกฎแห่งพระคุณ เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ถามว่ากฎของความบาปและความตายยังอยู่หรือไม่? อยู่ แต่ใส่ลิ้นชักเอาไว้ อย่าไปยุ่งกับมัน แต่มันอยู่ และมันก็ Active ด้วย สำหรับคนที่ไม่ยอมย้ายไง คนที่ไม่ยอมย้ายก็ยังอยู่ที่เดิม ในโลกวิญญาณ มีอยู่ 2 กรมธรรม์ จะเอาอยู่ที่ไหน? ถ้าอยู่ที่เดิม ก็ต้องทำตามที่เดิม ก็คือต้องทำให้ได้ครบบริบูรณ์ 100% ในการรักษาบทบัญญัติ ที่พระเยซูรักษาได้ ต้องทำให้เหมือนพระเยซูเลย ทำผิดแค่นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แล้วทำได้ไหม? ไม่ได้ อย่าฝืน พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวอย่างนี้แหละ

พระเยซูมาทำให้คำเผยพระวจนะสำเร็จด้วย ตะกี้นี้พระองค์ทำให้บทบัญญัติที่กำหนดไว้ สำหรับชาวอิสราเอล ถ้าใครทำได้หมดมาเลย มาเป็นตัวแทนมนุษยชาติ ไม่มีใครทำได้เลย ในโทราห์หรือบทบัญญัติ ในพระคัมภีร์ทั้ง 5 เล่ม ซึ่งชาวยิวต้องถือไว้และปฏิบัติตาม ไม่มีใครทำได้เลย รอกำหนดเวลาที่พระเยซูจะมา

พระเจ้าก็ทรงทราบ หลังจาก 5 เล่มนั้นแล้ว หลังจากโมเสสเขียนเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็มักพูดเสมอใช่ไหม? พระองค์ดูแลอิสราเอล แล้วบอกว่า …

“พวกเจ้ามักกบฏ เดี๋ยวก็ทำไม่ดีๆ”

ก็ทำดีได้อย่างไร? ในวิญญาณมันอยู่ในความตาย อยู่ในอาดัม จะทำดีได้อย่างไร? ต้องรอพระเยซูมา มนุษย์คนเดียว แต่พระเยซูยังไม่มา เห็นภาพหรือยัง? พระเจ้าจึงนำอิสราเอลด้วยอย่างนี้แหละ ด้วยรู้ว่าทำไม่ได้ เดี๋ยวก็ตก เดี๋ยวก็หล่น เดี๋ยวก็ล้ม ล้มสัญญาอยู่เรื่อย ละเมิดสัญญาอยู่เรื่อย  กบฏอยู่เรื่อย พระองค์ก็ปลอบใจ อยากจะบอกว่าปลอบใจ โดยผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่าไม่เป็นไร? บางคนก็ไปคิดอีกแบบหนึ่ง แต่ผมคิดแบบนี้ อย่างที่บอก ผมคิดว่าพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น พระเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยผ่านทางความรักมนุษย์ดังแก้วตาดวงใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าคำเผยพระวจนะเหล่านี้ พระองค์เผยด้วยความรัก ไม่ใช่เผยด้วยความโกรธ เกลียดชัง ดุด่ามนุษย์ โธ่! สงสารเขาจะตาย นี่กำลังเตรียมจะช่วยเขาให้รอด พระองค์รู้ว่าเขากบฏบ่อยๆ ก็เลยบอกว่า …

“ไม่เป็นไรหรอก รอให้วันนั้นมาถึง”

“วันไหน?”

“วันที่ครบกำหนดเวลา เราจะส่งผู้หนึ่งมาช่วยเจ้า เราจะส่งมา”

นี่คือคำเผยพระวจนะทั้งหมด ทั้งเล่ม พระคัมภีร์เดิม ซึ่งชาวยิวถืออยู่ ผู้เผยพระวจนะก็จะพูดสิ่งเหล่านี้  แค่นี้ ไม่ว่าจะเป็นเยเรมีย์ ไม่ว่าจะเป็นดาเนียล เป็นอิสยาห์ พูดถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ทั้งในแง่ของอุปมาบ้าง ในมุมของโลกวิญญาณบ้าง เปรียบเทียบบ้าง ด้วยความห่วงใย และด้วยความรัก ผมยกตัวอย่างมาให้อันหนึ่ง จะเห็นชัด หนึ่งในคำเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์

จำได้ไหม พระเยซูบอกว่า … “เรามาทำให้บทบัญญัตินั้นสำเร็จ และเรามาทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านั้นได้สำเร็จเหมือนกัน”

ทำให้คำเผยพระวจนะ ก็คือคำเผยพระวจนะว่าพระองค์จะมา พระองค์มาแล้ว ก็คือทำให้คำเผยพระวจนะนั้นเป็นจริงนั่นเอง นี่คือหนึ่งในจำนวนคำเผยพระวจนะ จากผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ หนังสือเยเรมีย์ 31:31-34 …

เยเรมีย์ 31:31-34 “31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 32 เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

 

“เฮ้ๆๆๆๆๆ”

พอเรารู้เบื้องหลังที่อธิบายให้ฟังเมื่อตะกี้ เราจะเห็นไหม?  ถ้าเผื่อชาวยิวถ่อมใจ แล้วฟังพระเยซูคริสต์พูด ทุกคนถ้าถ่อมใจนะ ขอบคุณพระเจ้าๆ จะเหมือนสิเมโอนเลย สิเมโอนที่อยู่ที่พระวิหาร ที่เมื่อเห็นพระเยซู ขอบคุณพระเจ้า รอมาตั้งนานแล้ว

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง” ที่เราจะทำพันธสัญญาใหม่ ท่านรู้แล้วตอนนี้ ท่านตอบได้แล้ว เวลาไหน? เวลาที่เราจะส่งพระบุตรของเราลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ในหญิงพรหมจารี เขาจะเป็นมนุษย์บริสุทธิ์ เขาจะมาเริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญา ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้ คือพันธสัญญาเดิมนั้นกับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือเขา นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ พวกเขาละเมิดพันธสัญญา ที่ทำกับเราเป็นประจำ มักกบฏ ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านาย ตรงนี้ไม่ใช่เจ้านาย ความหมายของภาษาเดิมตรงนี้ ทั้งๆ ที่เราเป็นพระเจ้าของเขา ไม่ใช่เขาไม่รับพระองค์เป็นพระเจ้า แต่เขาทำไม่ได้ เพราะข้างในมันสกปรก วิญญาณเขาสกปรก เขาจึงพยายามรักษาบทบัญญัติ แต่ทำไม่ได้ นี่พระเจ้าเมตตารักมนุษย์ขนาดไหน? องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล สมัยนั้น ก็คือพันธสัญญาใหม่ คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของเขา จารึกบนหัวใจของเขา คือเราจะให้วิญญาณใหม่กับเขา วิญญาณแห่งความรัก ที่เป็นเหมือนเรา ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซู เป็นวิญญาณแห่งความรัก และบทบัญญัติที่เราใส่ลงไปในความรักนั้น ที่จะเขียนในใจของเขา ไม่ใช่เขียน 10 ประการกับ 613 ข้อ แต่เป็นเพียงแค่ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าทรงได้รักท่านแล้ว ทำได้ไหม? ทำได้ทุกคน ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าได้ใส่ความรักลงไปในวิญญาณของท่านแล้ว ท่านเป็นความรักแล้ว จงรักกันและกัน สบายสิ

ท่านเป็นปลาแล้วไปว่ายน้ำ สบาย  เห็นภาพไหม? ในอดีตบอกว่าท่านเป็นปลาแล้ว แต่จงบินให้ได้ ตายเลย จงอยู่บนบกให้นานๆ ไม่ไหว แล้วประโยคสุดท้ายบอกว่า …

“เพราะเราจะอภัยในความบาปชั่วของเขา เราจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป เราลบทิ้งเลย”

ไม่จดจำ ก็แสดงว่าไม่จดจำ เราจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขา บาปทั้งหลาย คือบาปทั้งหมด ไม่จดจำ ก็คือทำเมื่อไร เราก็ไม่จำ แล้วอย่างนี้เราต้องสารภาพบาปไหม? ก็พระองค์ไม่จำแล้ว อยากจะสารภาพ ก็สารภาพไป แต่ไม่ได้จำ ทำบาปปุ๊บ ลบ … ลบ เพราะพระโลหิตพระเยซูคริสต์ยังอยู่ที่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าในทุกวันนี้เลย เป็นพยานยืนยันว่านั่นแหละ เราจะไม่จำบาปของเจ้าอีกเลย นี่คือคำมั่นสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับชาวยิว ซึ่งเล็งถึงมนุษยชาติทั้งปวง ก็คือชนต่างชาติจะมาทีหลังด้วย ด้วยความรักและห่วงใย  ต้องเสริมตรงนี้

ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้ทรงให้ผู้เผยพระวจนะ เผยถึงสิ่งต่างๆ ที่พระองค์สัญญาไว้ว่าจะทำในอนาคต เพื่อมวลมนุษยชาติ ทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งในพระคัมภีร์เดิม ยังทำไม่สำเร็จ  เพราะพระเยซูยังไม่มา ก็คือสิ่งที่พระองค์จะทำ ก็คือการแก้ไขความชั่วช้า ความบาปของมวลมนุษย์ ที่วิญญาณของเขา ที่มันสกปรก ที่มันตายอยู่ มันไม่มีทางทำอะไรได้เลย พระเยซูบอกว่าต้นไม้มันเลวอย่างไร? ก็ยังเลวอยู่ดี พระองค์ทรงตรัสว่าทำต้นไม้ให้ดีสิ แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง แล้วเราทำต้นไม้ให้ดีได้ไหม? ต้นไม้ ก็คือวิญญาณ วิญญาณไม่ดี ก็ไม่มีอะไรดีเลย แต่ถ้าวิญญาณดี ทุกอย่าง ผลออกมา ก็ดี แล้วเราจะมาทำให้วิญญาณเราดีได้ไหม? ไม่ได้ มันต้องตายแล้วเกิดใหม่ มันหมายความว่าอย่างนั้น

แล้วสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญากับมวลมนุษย์ ที่ยังกระทำไม่สำเร็จในสมัยพระคัมภีร์เดิม ก็คือการแก้ไข การรักษาความบาปที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ให้หาย ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษยชาติทั้งปวง มนุษย์เราเกิดมา ก็บาปแล้ว เพราะวิญญาณมันบาป วิญญาณตายอยู่ในความบาป รักษาด้วยวิธีอะไร? ตายแล้วเกิดใหม่ พระเยซูกำลังมาพูดอย่างนั้น ตอนที่พระองค์พูด พระองค์กำลังทำให้สำเร็จ ตอนเดิน พูดอยู่นั้น 3 ปีแล้ว ยังไม่สำเร็จ ตามพันธสัญญา แต่พระองค์กำลังทำอยู่ตอนนี้  ก็คือประกาศให้ พอพร้อมแล้ว 3 ปีแล้ว พระองค์ก็จะทำให้สำเร็จ ตามพันธสัญญานี้ ก็คือสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอก ที่พระองค์ประกาศ ตอนสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” มันหมายถึงอย่างนี้ รอคอยมาตั้งนาน สำเร็จแล้ว พระเจ้าก็ยิ้ม แล้วพระเจ้าก็ออกจากวิหาร ม่านขาดออก 2 ท่อน

นี่คือคำแย้งคำอธิบาย ความจริงของข้อกล่าวหา ที่พระเยซูถูกกล่าวหา พระเยซูคริสต์แย้งว่าพระองค์ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่มาเสริมให้มันครบถ้วนบริบูรณ์  ตามที่อธิบายมา เมื่อตะกี้นี้ คือมาทำให้เป้าหมายของบัญญัติที่ให้ไว้นั้น มันครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่ได้ระบุไว้  เป็นความต้องการของพระเจ้านั่นแหละ คือช่วยพวกท่านทั้งหลาย ให้รอด ก็คือมนุษย์ทุกคน ต้องทำให้ตามบทบัญญัติทั้งหมด ถึงจะรอด ซึ่งไม่มีใครทำได้ นี่คือหัวใจของบทบัญญัติ นี่คือหัวใจ จิตวิญญาณของบัญญัติโมเสส ที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม ที่ชาวยิวถืออยู่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับชาวต่างชาติ พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าชาวต่างชาติ ไม่ได้ถือบทบัญญัติเหล่านี้ แต่บทบัญญัติเหล่านี้ ได้ถูกเขียนเอาไว้ไม่ใช่หิน แล้วก็ไม่ใช่หนังสัตว์ แต่ถูกบันทึกเอาไว้ ตามหนังสือโรม บอกว่าสำหรับท่านทั้งหลาย คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั้น นึกว่าไม่มีบทบัญญัติ หรือตอนที่อิสราเอลถือบทบัญญัติโมเสส เปล่าเลย ท่านทั้งหลายมีบทบัญญัติอยู่ในจิตใต้สำนึกของท่านแล้ว พระเจ้าเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกท่านแล้ว อะไรดีอะไรชั่ว จิตใต้สำนึกท่านจะฟ้องท่าน สำหรับชาวอิสราเอลที่ถือบทบัญญัติโมเสส แล้วทำอะไรผิดกฎนั้น บทบัญญัติจะฟ้องท่าน บทบัญญัติบอกว่า “อย่าฆ่าคน” ถ้าฆ่าคน ก็จะถือว่าผิดบทบัญญัติ แต่ท่าน แค่โกรธคนในใจ ท่านก็รู้แล้วไม่ดี นั่นแหละ คือความชั่ว คือการทำผิดกฎบัญญัติ ไม่มีใครหนีออกจากนี้ไปได้พ้นหรอก ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ จากพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์

นี่คือหัวใจของจิตวิญญาณ ของเป้าหมาย ของบทบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งกลุ่มแรกของอิสราเอล เขียนไว้ที่หิน และบันทึกไว้ที่หนังสัตว์ สำหรับคนไม่เชื่อพระเจ้า คนต่างชาติ เขาเขียนไว้ที่จิตใต้สำนึกของเขา นี่คือความลึกเข้าไปในวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังจะชี้ให้เขาเห็น  และจะชี้ให้เขาเห็นไปตลอดในการประกาศ ในการสอนของพระองค์ ในหนังสือพระกิตติคุณที่บันทึกเอาไว้ในมัทธิว  มาระโก  ยอห์น  ลูกา โดยเฉพาะคำเทศนาบนภูเขา ที่เรากำลังมาเจาะลึกตอนนี้

เพราะฉะนั้น พระเยซูถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ามาล้มเลิกบทบัญญัติ กฎแห่งกรรม กฎศาสนา กฎแห่งบัญญัติ คือกฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วเราลองคิดดู

คราวนี้ย้อนกลับมาปัจจุบัน เราซึ่งเป็นคริสเตียน เชื่อแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูสถิตอยู่ในเรา ถามคริสเตียนทั้งหลายว่าท่านเคยถูกกล่าวหาว่าล้มเลิก ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติอันดี ตามกฎหมายศีลธรรม ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วหรือยัง? โดนหรือยัง? ถามคริสเตียนดู พระเยซูอยู่ในเราแล้วนะตอนนี้ ถ้าท่านบังเกิดใหม่ มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน อยู่ใต้บทบัญญัติของพระคุณ ใต้กฎแห่งพระคุณ เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ถูกไหม? ท่านเคยถูกกล่าวหา  เหมือนที่พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มเลิกบทบัญญัติ ล้มเลิกศีลธรรมอันดี ล้มเลิกกฎแห่งกรรมหรือไม่? เคยไหม?

เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ เช่น เคยมีใครกล่าวหาท่านไหมว่า …

“เป็นคริสเตียนก็ดีนะ ทำบาปอะไรก็ได้ ตามสบาย ไม่ตกนรก พระเจ้าอภัยให้หมดเลย อภัยเสมอ ได้ไปสวรรค์แน่นอน”

เคยมีใครพูดอะไรกับท่านแบบนี้ไหม? ต้องเคยอยู่แล้วล่ะ หรือเขาอาจจะพูดไม่ครบ ใช่ไหม? แล้วผมถามว่าแล้วมันเป็นจริงตามนี้ไหม? ตามที่เขากล่าวหา …

“เป็นคริสเตียนดีนะ ทำบาปอะไรก็ได้ ตามสบาย ไม่ตกนรก พระเจ้าอภัยให้หมดเลย เรียบร้อยไปแล้ว บาปในอนาคต ก็อภัยให้เรียบร้อยแล้ว ได้ไปสวรรค์แน่นอน ตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว”

ถูกหรือไม่ถูก? มันถูกนะ น่าติดตามนะ แล้วก็ถูกกล่าวหาว่า …

“พวกเธอคริสเตียนดี เอะอะอะไรก็อ้างพระคุณ รอดแล้วรอดเลย ความประพฤติบนโลกใบนี้ ไม่เกี่ยวกันกับผลของความรอดทางด้านวิญญาณเลย ไม่สำคัญอะไรเท่าไร?”

มีคนเข้าใจผิดกับเราอย่างนี้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่มันมีส่วนถูกต้องตามพระคัมภีร์ ตามพันธสัญญาใหม่  เพราะว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจความจริงของโลกฝ่ายวิญญาณได้ ทั้งๆ ที่เอเฟซัส 2:8-9 บอกว่า … “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านความเชื่อ ความรอดนี้  ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

มันจริงตามนั้น  และคำกล่าวหาอันนี้ ไม่ใช่กล่าวหาพวกเราที่อยู่ในยุคปัจจุบันเท่านั้น ตอนที่พันธสัญญาเริ่มต้นใหม่ๆ เมื่อ 2,000 ปี เขาก็กล่าวหาคริสเตียนอย่างนี้เหมือนกัน เปาโลจึงแก้ต่างให้ เปาโลจึงพูดในหนังสือโรม บทที่ 6  พวกเขาก็จะพูดเหมือนเมื่อตะกี้นี้ …

“อย่างนี้ก็สบายสิ ทำบาปอย่างไรก็ได้ ทำบาปตามสบายใจเลยสิ”

เปาโลบอก “เห้ย! นายไม่เข้าใจ โลกวิญญาณ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่คุณเกิดใหม่ แล้วคุณจะไปทำบาป สนุกสนาน เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติที่คุณเกิดใหม่นั้น มันเปลี่ยนไปแล้ว คุณเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว คุณทำบาปไม่เป็นแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ คุณได้เกิดใหม่ คุณได้บัพติศมา ตายพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูด้วย วิญญาณใหม่แล้ว วิญญาณใหม่ของท่านสะอาดหมดจด เต็มไปด้วยความรัก ความบริสุทธิ์ ท่านไม่ชอบทำบาปแล้ว ท่านแพ้บาปด้วย ทำไม่ได้หรอก เหมือนปลาอยู่ในน้ำ ไม่มีปลาตัวไหนอยากจะอยู่บนบก เด้งดึ๊งๆ มันเป็นไปไม่ได้  ธรรมชาติท่านเปลี่ยนไปแล้ว” เห็นไหม? มันอันเดียวกันกับตอนที่พระเยซูประกาศบนภูเขานั้น เหมือนกันไม่มีผิด

สรุปวันนี้ ก็คือท่านจะเลือกอะไร? ท่านมีสิทธิ์เลือกแล้ว สิ่งที่พระเยซูพูดกับชาวยิว ก็เท่ากับเล็งถึงชาวต่างชาติทั้งหมด ในภายหลังด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น นี่พูดถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะพันธสัญญาใหม่ได้สถาปนามาแล้ว 2,000 ปี เพราะฉะนั้น ท่านเลือกเอา จะอยู่ในพันธสัญญาเดิม แล้วก็พึ่งพาการกระทำของตนเอง ต้องทำดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนที่พระเยซูคริสต์ได้ทำแล้ว  วิญญาณท่านต้องสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ คิดสกปรกนิดหนึ่ง ก็ถือว่ามาจากวิญญาณของท่านแน่นอน ท่านทำได้ไหม? ถ้าทำไม่ได้ พระเยซูแนะนำด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย ด้วยน้ำตาไหล ด้วยเลือดของพระองค์ ชีวิตของพระองค์ที่เทให้ บอกว่า …

“น้องๆ เอ๋ย ตามเรามาเถิด น้องๆ ทำไม่ได้หรอก เราทำให้แล้ว แค่เดินตามเรามา แค่นั้นเอง แล้วท่านจะได้รับชีวิตใหม่ อยู่ในพันธสัญญาใหม่ อยู่ในสวรรค์กับเราเลย”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เพียงแค่เราเชื่อพระเยซู  เราก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว  คือตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา วิญญาณของเรา ได้พักสงบ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้วทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก เพียงแต่รอวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมารับจะปรากฏอีกครั้งหนึ่ง

 

หลังจากนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา แบบชั่วนิรันดร์ ก็คือเราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นอมตะ ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องมีความตายอีกแล้ว เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอีสเตอร์นั่นแหละ เหมือนเลย เราจะมีร่างกายใหม่ เป็นอย่างนั้นแหละ

 

ทางฝ่ายวิญญาณได้รับเรียบร้อยแล้วทันที  หมดแล้ว  แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เรายังอยู่ในร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้อยู่นี้ ถ้าเราทำตาม 3 ขั้นตอนที่ควรทำ คือรับรู้ วางใจ และอธิษฐาน   ตามที่พระเจ้าแนะนำ   สิ่งที่เราจะได้รับในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผล ประโยชน์ที่จะได้รับ พระเจ้าสัญญาไว้ ก็คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เลย

 

แล้วเริ่มต้นฝึกฝนวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกอย่างไร ก็เชื่อตามนั้น พระเจ้าบอกไม่กลัว ก็ไม่กลัว พระเจ้าบอกให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน วางใจ แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับ คือความสุขมากขึ้นในชีวิต ปัญหาต่างๆ ระหว่างดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะนำพาเรา ถ้าตามภาษาไทยเรา เขาเรียกกันว่าพระเจ้าสามารถดลบันดาลช่วยเราได้ แทนที่เราจะทำคนเดียว แทนที่เราจะทำมาหากินตัวคนเดียว แก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ถึง 3 องค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าผู้เป็นพ่อ พระเจ้าพระบุตรผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่เลี้ยงเรา 3 พระภาค สถิตอยู่กับเรา ในตัวเรา ในวิญญาณของเรา นำพาเราเดิน แล้วท่านจะกลัวอะไรตอนนี้ ท่านก็จะมีความสุขมากกว่าเดิม

 

พระเยซูบอกเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาต่างๆ เลย เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วว่าท่านต้องการอะไร? สิ่งใดจำเป็นในชีวิตของท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงรู้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แล้วพระองค์จะให้กับท่านแน่นอน ท่านเคยเห็นนกกระจอกมันอดตายไหม? พระเยซูยกตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วบอกว่าดูตัวอย่างนกกระจอกสิ นกตัวเล็กๆ มันยังไม่อดตายเลย พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย แล้วท่านเป็นลูกพระเจ้า มีค่ากับพระเจ้ามากขนาดไหน? พระเจ้ารักท่านมากขนาดไหน? พระเจ้าจะไม่เลี้ยงดูท่านมากกว่านั้นอีกหรือ?

 

แต่ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง คนเดียว มีทั้งกิเลสตัณหา มีทั้งความอยาก มีทั้งการล่อลวงต่างๆ ให้ทำชั่ว ซึ่งทำให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ปกติโลกใบนี้มันทุกข์อยู่แล้ว ท่านก็ไปทำให้มันทุกข์มากขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่าง เรื่องโลภ ปกติไม่โลภ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่ท่านไปโลภ มันยิ่งทุกข์มากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำที่พระเจ้าแนะนำให้ทำ คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับรู้ วางใจ และ อธิษฐาน

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1379

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  สิงหาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 17

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 3 ที่เราต้องย้ำกันบ่อยๆ เพราะอยากจะให้ความล้ำลึกของพระเจ้า  ถูกสถาปนาลงไปในวิญญาณของพวกเรา เพื่อเราจะได้มีความมั่นคงในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่หันไปเหมา ไม่ผวา พอมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ก็ผวาไปผวามา ตอนนี้เราอยู่ในสถานะแบบไหน? อย่างไร? อะไรแบบนี้ ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนอยู่ในสถานะแบบไหนในพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่ในเรา หมายความว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย

พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระองค์ก่อน เราเข้ามาอยู่ในพระองค์ได้อย่างไร? ก็เกิดจากการได้ยินได้ฟังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วเราก็เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พอเราเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ก็เข้ามาในวิญญาณของเรา  เขาเรียกว่าบัพติศมาวิญญาณของเรา เอาวิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาปและความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ใน DNA ของอาดัมไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจชนิดเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย

ดังนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ คือยิ่งใหญ่มหาศาลมาก เหมือนระเบิดปรมาณูที่มันระเบิดออกมา แล้วทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเลย แล้วเมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นผู้ชอบธรรมเลย เป็นนะ โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำ เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เกิดมาเป็นความรักเลย เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉะนั้น พอวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจเราเปลี่ยนแปลงใหม่ แต่เหตุที่เรายังต้องอยู่ในโลกใบนี้ เพราะร่างกายเรายังไม่สูญสิ้นไป ร่างกายเรายังอยู่ในร่างกายเก่าที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่

แต่ร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายตรงนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เหมือนกัน ทำไมเรารู้ว่าเราถูกชำระให้บริสุทธิ์ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ก็คือพอเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ผ่านทางความเชื่อ ผ่านทางการบัพติศมาในพระวิญญาณ บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ พอเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ถ้าพูดตามภาษาพวกเรา หอบผ้าหอบผ่อนเข้ามาอยู่กับเราเลย  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคแพ๊คกระเป๋าเรียบร้อย หิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ในเราเลย

มองภาพตรงนี้ แล้วเราจะเห็นชัดว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ไม่สามารถที่จะมองด้วยตาเรา แต่ในวิญญาณ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้นว่าเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผ่านการบัพติศมาในวิญญาณปุ๊บ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคก็แพ๊คกระเป๋า เดินทางเข้ามาอยู่ในเราเลย ณ เวลานี้  เราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เข้าใจหรือไม่เข้าใจ อะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

อย่างที่บอก พระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเป็นตัวแทน พอบอกพระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ ให้พี่น้องนึกถึงทั้ง 3 พระภาคเลย คือพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา นี่คือความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้กระทำการงานของพระองค์ผ่านทางชีวิตของพวกเรา เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เรามาดูเอเฟซัส 3:1

เอเฟซัส 3:1 “ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นนักโทษ เพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ เพื่อท่านผู้เป็นคนต่างชาติ”

 

ทำไมอาจารย์เปาโลถึงเป็นนักโทษได้? จริงๆ อาจารย์เปาโลเดิมทีเป็นกลุ่มเดียวกับพวกฟาริสี เป็นพวกที่มีความรู้เยอะมาก อยู่ในธรรมศาลา อยู่ในกฎบัญญัติเคร่งครัดมากๆ เรารู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์เปาโลเคร่งครัด เพราะว่าอาจารย์เปาโลตอนที่พระเยซูคริสต์ประกาศ เรื่องราวความจริง ข่าวประเสริฐของพระเจ้า แล้วมีผู้คนติดตามพระองค์ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ก็จะมีกลุ่มคน เชื่อว่ากลุ่มคนกลุ่มแรก ก็คือพวกสาวกนั่นแหละ ที่ก่อนหน้านั้น ที่พระเยซูยังไม่ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็ตามพระองค์อยู่แล้ว ติดตามมาตลอด เชื่อในพันธสัญญาที่พระเจ้าเขียนไว้ตั้งแต่ในอดีตว่าอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยพวกเขา ให้รอดพ้นจากการถูกพิพากษา  เขาก็ตามมาตลอด ที่เขาตามมา เขาก็ทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือบัญญัติเดิม พระเจ้าบอกว่าคนที่จะมาเป็นของพระเจ้า ก็ให้ทำตามบัญญัติเดิม ที่พระเจ้าตั้งไว้ เริ่มแรกจริงๆ พระเจ้าตั้งสัญญาตรงนี้ ตั้งแต่สมัยปฐมกาล คือตอนที่อาดัม เอวาล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าก็ฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง เพื่อเอาหนังมาห่อหุ้มร่างกายของเขา ก็คือใช้เลือด

หลังจากอาดัม ก็จะมีคาอินกับอาเบลที่ถวายเครื่องบูชา แล้วเราจะเห็นว่าอาเบลถวายเครื่องบูชา คือเอาแกะ ที่ไม่มีตำหนิมาถวายให้กับพระเจ้า ก็คือตามพันธสัญญาที่พระเจ้าบอก คือเอาเลือดมาถวาย ก็เป็นที่พอใจของพระเจ้า มันไม่เกี่ยวกับการประพฤติอะไรเลยนะ ส่วนคาอินก็เอาผลผลิตของเขา ก็คือพืช ผัก ผลไม้ ถามว่าคาอินเอาสิ่งที่ดีที่สุดมาถวายไหม? ดีที่สุดเลยนะ พืช ผัก ผลไม้ ปัจจุบันอาจจะบอกว่าเป็นพวกปลอดสารพิษ ทำอย่างดี ใส่ตะกร้า กระเช้า จัดสวยงามเลย เอามาถวายให้พระเจ้า แต่พระเจ้าไม่รับ เหตุที่ไม่รับ เพราะไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า ต่อให้คาอินทำดีขนาดไหน พระเจ้าก็ไม่รับ เหมือนกับมนุษย์ทุกวันนี้ ต่อให้เราประพฤติปฏิบัติดีขนาดไหน? ถ้าไม่ได้ตามเงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ พระเจ้าก็ไม่รับ รักษากฎบัญญัติเป็นร้อยๆ ข้อ พระเจ้าก็ไม่รับ เพราะว่าเงื่อนไขใหม่ที่พระเจ้าจะรับมนุษย์ได้ ก็คือมาเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ มาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น แล้วเราก็ได้รับความรอดผ่านทางพระคุณ ไม่ได้ผ่านทางการประพฤติใดๆ เลย ไม่ว่าเราจะประพฤติดี ไม่ดี ก็แล้วแต่ พระเจ้าแค่ดูว่าเราเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทำไหม? ก็เป็นลักษณะเหมือนกับเอาเลือดพระเยซูมา พระองค์ก็รับ ถ้าไม่มีเลือดพระเยซู พระองค์ก็ไม่รับ นั่นคือปัจจุบันนะ

แล้วเลือดของพระเยซูมาจากไหน? ก็มาจากเราเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ก็มาชำระเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือทำให้เราไม่มีบาปเลย ชำระเราให้สะอาดเลย แล้วโลหิตนี้ พระเจ้าหลั่งมาครั้งเดียว  ก็มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่อดีต เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน อนาคตข้างหน้า ก็คือใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ เดินเข้ามาบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์ ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

แค่นั้นเอง เขาก็จะได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ แล้วจากนั้น ผู้เชื่อได้รับความรอด ผ่านทางพระคุณ ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วใช่ไหม? ได้เข้าบัพติศมาในวิญญาณกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือวิญญาณเก่าที่เป็นบาป ไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ก็คือที่เราเรียกว่าบังเกิดใหม่

พอเราบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้เราเป็นคนใหม่ คนใหม่ที่อยู่ในร่างกายเก่า มันยากดีเนอะ ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจตรงนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้ เราก็จะงงว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? บอกว่าเราสะอาดบริสุทธิ์แล้วไง แต่เรายังทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ แล้วยังไง เราจะสะอาดยังไง แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าบอก คือเรื่องของวิญญาณ

วิญญาณเรา ณ เวลานี้ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า วิญญาณของเรา เป็นวิญญาณที่เชื่อฟังเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ บังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณเราเชื่อฟังเลย คือไม่ต้องทำนะ ไม่ต้องพยายามที่จะเชื่อฟัง วิญญาณเก่าที่ไม่มีพระเจ้า ต่อให้เราทำดีแค่ไหน เราก็เชื่อฟังพระเจ้าไม่ได้ เพราะเป็นวิญญาณที่ดื้อและกบฏกับพระเจ้า เชื่อแป๊บๆ ก็ดื้อ ไม่สามารถทำได้ตลอดรอดฝั่ง แต่พอเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ วิญญาณใหม่เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังเลย แต่ว่าวิญญาณส่วนวิญญาณ ความประพฤติส่วนความประพฤติ วิญญาณเราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แต่ว่าการประพฤติของเรา บางครั้งอาจจะไม่เชื่อฟังก็ได้ อันนี้ คือพระเจ้าไม่ได้สนใจ จะว่าพระเจ้าไม่สนเลย ก็ได้ พระเจ้าแค่ดูว่าตอนนี้เธอเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เธอเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป ความรอดนี้ เธอไม่ได้พึ่งการกระทำของตัวเอง ไม่ได้พึ่งการประพฤติใดๆ เลย แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า เขาเรียกว่าเป็นของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติเปล่าๆ แค่เดินมารับเท่านั้นเอง แล้วคนที่เดินมารับ ก็คือพวกเราทั้งหลายนั่นแหละ ไม่ว่าแต่ละคนมารับตอนไหน? อย่างไร? ก็คือเปิดใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้าปุ๊บ ของขวัญชิ้นนี้เป็นของเรา พอจากนั้น เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ช่วงนี้เราย้ำบ่อยๆ มาก จำตรงนี้ไว้ เป็นแล้วเป็นเลย เชื่อแล้วเชื่อเลย เกิดแล้วเกิดเลย เกิดเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า จะไม่มีการเข้าๆ ออกๆ เกิดแล้ว พอทำผิดปุ๊บ เราหลุดออกจากการเป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีนะ เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าก็เป็นเลย

ส่วนประพฤติในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย เรามีโอกาสที่จะเผลอ ถูกอิทธิพลข้างนอก ที่ส่งเข้ามา พยายามที่จะดึงความคิดของเราให้คิดตามมัน พอคิดตามมันปุ๊บ คิดเยอะๆ มันก็จะสั่งร่างกายให้ทำตามมันด้วย

เพราะฉะนั้น เหตุผลที่พระเจ้าบอกว่าให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือจดจ่อว่า ณ เวลานี้ เราบังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระเยซูคริสต์ให้เราเป็นอะไรบ้าง? เป็นความสว่าง เป็นเกลือ เป็นความดีงาม เป็นคนที่เชื่อฟังเลย เราเป็นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น พอเป็นอยู่แล้ว แค่ทำอย่างเดียว คือยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมอง แค่นั้นเอง

ทุกอย่างมันเริ่มที่ความคิด ถ้าความคิดเราเปลี่ยน พฤติกรรมเราจะเปลี่ยนแปลงเอง ถ้าความคิดเราไม่เปลี่ยน ความคิดเรายังหมกมุ่นกับสิ่งที่มันวนเวียน แค้นนี้ต้องชำระๆ ความประพฤติเราไม่เปลี่ยนแน่นอน  พอวันดีคืนดี แค้นนี้ต้องชำระจริงๆ มันก็ส่งออกมาเป็นผลของการประพฤติ คือเอาไม้หน้าสาม ไปฟาดหัวคนที่เราบอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ นึกออกไหม? ความคิดมันจดจ่ออยู่กับสิ่งที่โลกนี้ส่งเข้ามา  แต่ถ้าความคิดเราจดจ่ออยู่ที่ความเป็นจริง ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นแล้ว  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นความรัก เราเป็นความดีงาม เราเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมดที่อยู่ในเราแล้ว คือเป็นความรักที่อดทนนาน เป็นความรักที่กระทำคุณให้ ความรักที่ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง อะไรอย่างนี้ นี่คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ทุกคนเป็นแบบนี้ คือเป็นอยู่แล้วนะ แค่อนุญาตให้พระเจ้านำสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ ใช้ออกไป แค่นั้นเอง

ตรงนี้พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ให้มันฉายแสงออกไป” พระเจ้าจุดตะเกียงแล้ว เราอย่าเอาฝามาครอบ หรืออย่าเอาถังมาครอบ วิธีครอบ มีเราคนเดียวที่ครอบได้ พระเจ้าไม่ครอบอยู่แล้ว พระเจ้าจุด พระเจ้าต้องการให้แสงสว่างที่เป็นอยู่ในชีวิตใหม่ของเราฉายแสงออกไป ก็คือความดีงามของพระเจ้าฉายแสงออกไป แต่คนที่จะครอบแสงนี้ได้ ก็คือเรา เราเป็นผู้ตัดสินใจ อย่างที่บอก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ชีวิตเราถูกซื้อโดยพระเจ้าแล้ว แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา อยากให้พระเจ้าบังคับเนอะ  เราจะได้ไม่ต้องมาตัดสินใจถูก ผิด แต่ว่าพระเจ้าไม่ฝืนธรรมชาติของพระองค์เอง คือพระเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคนเหมือนลูก สร้างให้มีอิสรภาพในการตัดสินใจ พระเจ้าไม่บังคับ เราต้องตัดสินใจทุกวันว่าในเหตุการณ์เรื่องนี้ เราจะอนุญาตให้พระเจ้าทำงานในคาวมคิดของเรา คือคิดตามพระเจ้าว่าเหตุการณ์เรื่องนี้ ให้อภัยเขาเถอะ เขามาเหยียบขาเราเจ็บ เจ็บแต่ให้อภัยเขาเถอะ เขาไม่ได้ตั้งใจ หรือเราจะให้ความคิดจดจ่อ …

“ได้อย่างไร มาเหยียบขาเรา มันเจ็บนะ ไปเหยียบตอบแล้วกัน”

อะไรแบบนี้ มันจะมี 2 อย่าง ที่เราจะตัดสินใจ แล้วอยู่ที่เรา ถ้าเราตัดสินใจตามพระวิญญาณ ก็คือตามธรรมชาติใหม่ของเรา …

“โอเค ไม่เป็นไร เจ็บนิดหนึ่ง เดี๋ยวก็หาย อภัยให้เขา”

นั่นแหละ เราก็ฉายแสงแห่งความเมตตาออกไป คนที่เหยียบเรา เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เขาขอโทษแล้ว ขอโทษอีก ถ้าเรา …

“ไม่เป็นไรค่ะๆ”

มันก็เท่ากับตามพระวิญญาณ แต่ถ้าเราไม่ตามพระวิญญาณ เราตามอิทธิพลของเนื้อหนัง

“ขอโทษแค่นี้ จะจบได้อย่างไร? มันเจ็บนะ” ต้องทำคืน อะไรอย่างนี้

นึกภาพนะพี่น้อง พยายามจะให้เห็นภาพชัดๆ ว่าตามพระวิญญาณกับตามอิทธิพลของเนื้อหนัง มันออกมาเป็นแบบไหน? แล้วคนที่จะตัดสินใจ ก็คือตัวเรา ซึ่งพระเจ้าบอกว่านี่แหละ คือผลที่เราทำตามพระวิญญาณ มันก็จะออกมาเป็นแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติจริงๆ ของเราเลยออกมา แต่ถ้าเราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณ เรายังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ไหม? เป็น ยังได้รับความรอดอยู่ไหม? ได้รับ ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ไหม? เป็น แต่เป็นผู้ชอบธรรมที่หม่นๆ นิดหนึ่ง ทำสิ่งที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไร? แล้วเราก็จะรับผลของโลกใบนี้ ก็คือผลของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เป็นผลนะ แต่เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น

พอเรารู้ความจริงเหล่านี้ เราก็จะไม่โดนหลอก เราก็จะชั่งใจ เวลาเห็นเหตุการณ์ที่เข้ามาในชีวิตของเราปุ๊บ อย่าเพิ่งรีบ นิ่งๆ แป๊บหนึ่ง แล้วคิดดูว่า ณ เวลานี้ เรื่องนี้ เราจะยอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา หรือจะยอมให้อิทธิพลของโลกใบนี้เขี่ยเราให้ทำตามเท่านั้นเอง

พออาจารย์เปาโลบอกว่าด้วยเหตุนี้ อาจารย์เปาโลเป็นนักโทษ เพื่อเห็นแก่พระเยซูคริสต์ เพื่อคนต่างชาติ

อาจารย์เปาโลถูกเรียกมา เพื่อไปประกาศกับคนต่างชาติ  คนต่างชาติ ก็คือพวกเรา ใครก็ได้ ชนชาติไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ยิว ไม่ใช่คนอิสราเอล เขาเรียกว่าคนต่างชาติ ฉะนั้น พออาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติปุ๊บ เหมือนกับทรยศ สมัยก่อนอยู่ในวิหาร ยังเป็นพวกเดียวกัน ยังข่มเหงคริสเตียนอยู่เลย ยังไล่ล่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์อยู่เลย ขอทหารด้วย ตามไป ใครที่เชื่อทางนั้น เขาเรียกว่าทางนั้น คือทางพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ ไปไล่ล่า ลากมา เอาไปติดคุก เอาไปโบยตี เอาไปทรมาน แล้วอาจารย์เปาโล ก็คือตัวสำคัญเลย ในลักษณะตอนที่อาจารย์เปาโลทำแบบนั้น เขามีความรู้สึกว่าเขากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่ ทำไมเขารู้สึกอย่างนั้น

“ได้อย่างไร ฉันรักษากฎบัญญัติ พระเจ้าพระบิดาบอกให้เราทำอย่างนี้ เราต้องรักษากฎบัญญัติ ต้องทำตามธรรมเนียม ประเพณีทุกอย่าง ต้องเป๊ะๆ อยู่ดีๆ นายคนนี้ ชื่อเยซู มาประกาศว่าให้มาเชื่อฉัน แค่นั้นเอง เธอรอดแล้ว อะไรง่ายขนาดนั้น”

รับไม่ได้ พอรับไม่ได้ อาจารย์เปาโลก็ต้องไล่ล่า หาว่าพระเยซูมาลบล้างบทบัญญัติ หาว่าพระเยซูมาทำให้บัญญัติที่พระเจ้าพูดมาตั้งแต่ในอดีต ให้คนยิวทำ มันเสื่อมเสีย ทำให้มีผู้คนเยอะแยะมากมาย แทนที่จะมาเชื่อวางใจในพระเจ้า มาทำพิธีกรรมในพระวิหาร คนพวกนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว ตามพระเยซูไป ไม่ทำซะอย่างนั้น พอตามพระเยซูไป ก็คือไม่ต้องทำแล้วไง

พระเยซูบอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก ก็คือชำระแล้ว แล้วหลังจากที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ เรื่องของการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร ก็คือถูกยกเลิกแล้ว ไม่ต้องทำ  ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพระเจ้าไม่รับแล้ว พระเจ้ารับอันใหม่ ก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พอเป็นอย่างนี้ อาจารย์เปาโลจึงรับไม่ได้

ตอนที่สตีเฟ่นประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ แล้วถูกหินขว้างตาย ในพระคัมภีร์บอกเปาโลอยู่ที่นั่นด้วย แปลว่าเปาโลอยู่ในกลุ่มเดียวกันที่ …

“สะใจ พวกนี้สมควรตาย เพราะว่ามาทำให้พระเจ้าด้อยค่าลง มาเชื่ออะไรก็ไม่รู้ คนที่ชื่อเยซู”

อะไรอย่างนี้ เปาโลอยู่ที่นั่น แต่พอถึงวันที่พระเจ้าทำงาน พระเจ้าได้มาพบอาจารย์เปาโลระหว่างทางที่เดินทางไปดามัสกัส เดินทางนี้ควบม้าอย่างแรง ขอทหารเป็นกองทัพเลย เพื่อที่จะไปจับผู้เชื่อ ผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ ไปจับมาติดคุก ระหว่างเดินทาง พระเยซูมาพบเขา ตกหลังม้าเลย แล้วพระเยซูก็ถามเขาว่า … (ตอนนั้น ชื่อ “เซาโล”)

“เซาโลๆ เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

เซาโลตกใจ เฮ้ย! ข่มเหงพระเจ้าตั้งแต่เมื่อไร? พระเยซูบอกว่าถ้าใครข่มเหงผู้เชื่อ ก็เท่ากับข่มเหงพระองค์ ทำไมเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงตอนที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ในยุคที่สาวกไปประกาศ ข่าวประเสริฐแล้ว

หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน จำได้ใช่ไหม? บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ถ้าใครข่มเหงเรา ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซูคริสต์ เพราะว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ถามเปาโลว่า …

“ข่มเหงเราทำไม?”

เซาโลก็ตกใจ “ข่มเหงตอนไหน? อย่างไร?”

อะไรอย่างนี้ เขายังมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำเพื่อพระเจ้าอยู่ กำลังจะไปจัดการกับพวกนอกรีด พวกที่ละเมิดกฎอยู่ แต่พระเยซูกลับมาพบเปาโล แล้วเปาโลก็ตาบอดไป 3 วัน แล้วพระเยซูก็บอกว่าเปาโลเป็นภาชนะที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว เพื่อเขาจะได้ออกไปประกาศกับคนต่างชาติ  แล้วก็เจอความทุกข์ทรมาน เปาโลทุกข์เยอะมากเลย ไปประกาศกับคนต่างชาติ มันเหมือนกับเป็นศัตรูกับพวกคนยิวเลย ได้อย่างไร? เขามีความรู้สึกว่าพระเจ้าเป็นของเขาผู้เดียว เป็นของชนชาติเดียว คนอื่นห้ามยุ่ง

พอเปาโลเลิกทำตามกฎบัญญัติ ไม่พอ ไปติดตามพระเยซูคริสต์ก็ยังไม่พอ  ยังไปประกาศกับคนต่างชาติอีก ยิ่งเคืองใหญ่เลยตอนนี้ ก็เลยไล่ล่าฆ่า จากการที่เป็นที่เคารพ ให้เกียรติของคนยิวในวิหาร ณ เวลานั้น กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ให้เกียรติแล้ว ตอนนี้ไล่ฆ่าเลย ไล่ฆ่าขนาดที่คนต้องเอาเปาโลใส่เข่ง แล้วก็หย่อนให้ลงข้างกำแพง แล้วก็หนีไป แต่ว่าเปาโลก็ไม่ลดละ ต่อให้เปาโลถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี ถูกทำทุกอย่าง ถูกจับติดคุก สารพัดสารเพที่คนจับอาจารย์เปาโล ไปทำทุกๆ วิถีทาง เพราะเหตุเดียว คืออาจารย์เปาโลไปประกาศกับคนต่างชาติ แค่นั้นเอง นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึง เพื่อท่านผู้เป็นคนต่างชาติ ฉันก็เลยถูกจับเป็นนักโทษ นี่คือที่มาที่ไป เป็นอย่างนั้น

เอเฟซัส 3:2 “แน่ทีเดียวท่านทั้งหลาย ย่อมได้ยินถึงภารกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า ซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้า เพื่อท่านแล้ว”

 

“ภารกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า ที่ทรงประทานจากพระเจ้า” ก็คือภารกิจนี้แหละ ภารกิจที่ไปประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ต้องเป็นข่าวประเสริฐ เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? มาทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ? มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนทำไม? หลั่งพระโลหิตเพื่ออะไร? ถูกฝังเพื่ออะไร? ถูกฝัง เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ ตายเป็น และตายจริงๆ ด้วย และเป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ อยู่กับสาวก ณ เวลานั้น ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ อยู่กัน 40 วัน ให้เห็นจะๆ เลยว่าพระเยซูเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ คน ฉะนั้น ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ นี่คือข่าวประเสริฐ เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ ทำไมเราต้องใช้คำว่า “ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ” เพราะว่าเป็นข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะประพฤติดีหรือชั่ว นึกออกไหม?

ความรอดนั้น เกิดจากพระคุณของพระเจ้า ไม่เกี่ยวกับการประพฤติของมนุษย์คนหนึ่งคนใด เพื่อไม่ให้ใครอวดอ้างได้ คืออวดไม่ได้เลยว่า …

“ฉันทำดีกว่าเธอ ฉันรักษาบทบัญญัติได้มากกว่าเธอ ฉันถึงได้รับความรอด ฉันถึงเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าถึงยอมรับฉัน”

ไม่ใช่ ต่อให้ทำดีขนาดไหน? พระเจ้ายอมรับเราไม่ได้ ถ้าเราไม่มาเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วก็เป็นความจริงในข่าวประเสริฐแท้ๆ ของพระเยซูคริสต์

หลังจากนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอดผ่านทางพระคุณปุ๊บ เรามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ จากนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย

คำว่า “ไม่ต้องทำอะไร” มนุษย์รับไม่ได้ ทำไมมนุษย์ถึงรับไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัม เอวา คือเป็นธรรมชาติอยู่ในกฎของความบาปและความตาย มีความรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะรับอะไรบางอย่างเข้ามา ทำดี เพื่อจะได้รับผลดีเข้ามา ถ้าเราทำชั่ว เราก็จะได้รับผลชั่วเข้ามา นั่นคือกฎของบนโลกใบนี้ กฎของความบาปและความตาย แต่พอเรามาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  แต่เราเข้ามาสู่กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ แล้วกฎนี้ ทำให้เราหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตายในวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับโลกนี้นะ  ในวิญญาณ เราหลุดแล้ว เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นธรรมชาติเดิม ที่เป็นบาปอยู่ในอาดัมได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

วิญญาณเราตายจากกฎ วิญญาณใหม่ของเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติบนโลกใบนี้ วิญญาณใหม่เรานะ แต่วิญญาณใหม่เราอยู่ภายใต้พระคุณ พออยู่ภายใต้พระคุณปุ๊บ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ค่อยๆ ลำดับภาพ ช้าๆ พี่น้องจะได้เห็นภาพชัดๆ ว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อ อยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย พอเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎตรงนี้แล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว จากนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎ อันนี้ไม่ใช่เรื่องของวิญญาณแล้วนะ อันนี้เป็นเรื่องของวัตถุ ร่างกายเรายังอยู่ในโลกใบนี้ เรายังอยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ พออยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ หว่านอะไร จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น อันนี้ชัดเจน พี่น้องต้องแยกให้ชัดเจน แยกระหว่างวิญญาณกับร่างกาย

พอร่างกายที่อยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกฎเดิมปุ๊บ ยังสามารถรับเอาอิทธิพลจากภายนอก อิทธิพลที่โลกใบนี้ อย่างที่พระเยซูบอก โลกใบนี้มันเป็นความมืด เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ในลักษณะของกฎของการดำเนินชีวิตที่ต่อต้านพระเจ้า ฉะนั้น พออิทธิพลเหล่านี้มันแฝงมากับข่าวสารต่างๆ เยอะแยะมากมาย ทีวี ที่ทุกวันนี้เด็กๆ ก้าวร้าวขึ้น เพราะว่าดูทีวีเยอะ มีสื่อ เรื่องฆ่ารันฟันแทง คือมันเป็นเรื่องของหนัง แต่เด็กแยกแยะไม่ได้ว่านี่คือหนัง นี่คืออยู่ในภาพ ไม่ได้เป็นความจริง พอเด็กแยกแยะไม่ได้ ก็เลยเอาภาพที่เขาเห็นมาใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เขาจะมีขึ้นก่อนฉายว่า …

“สารคดีนี้ หรือหนังเรื่องนี้ ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้พ่อแม่อยู่ด้วย จะได้อธิบายให้เขาฟังว่าอันนี้เอามาใช้ไม่ได้”

หรือในทีวี ปีนขึ้นไปบนขื่อ แล้วกระโดดลงมา นั่นเป็นหนัง แต่เด็กไม่เข้าใจ ดูแล้วก็ สุดยอดเลย ปีนขึ้นไปบนขื่อ เอาผ้ามาพันเป็นซุปเปอร์แมน กระโดดลงมา ตายเลย นึกภาพออกไหมค่ะ

ดังนั้น สื่อพวกนี้ มันสามารถเข้ามาได้ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า เรามีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าสื่อพวกนี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ที่จะให้กำลังเราสามารถต่อสู้ขัดขืนมันได้  เราไม่ยอมมันได้ เมื่อก่อนที่เราไม่มีพระเจ้า เราไม่ยอมมันไม่ได้ เพราะเราอยู่ภายใต้กฎของเขา เราเป็นเบี้ยล่างให้เขาปั่นเราให้ทำอะไรตามมันได้หมด เมื่อก่อน ตอนที่เรายังไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราพ้นจากกฎตรงนี้ เราสามารถที่จะปฏิเสธ ไม่ยอมมันได้ ก็คือเมื่อความคิดชั่วๆ ถูกส่งเข้ามาในความคิดของเราปุ๊บ เราสามารถที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่อตามมัน หรือเราจะปฏิเสธ

เขาส่งมาว่า … “โกงเขาสิ ใครๆ เขาก็ทำแบบนั้น จะได้ไม่ลำบากไง นิดเดียวเอง”

นั่นแหละ คือความคิดชั่วร้าย แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะส่งข้อมูลมา บอกเราว่าอันนี้ คือสิ่งที่ไม่ดี เราเป็นความรัก เราเป็นความดี ถ้าเราไปโกงเขา เราก็ไม่มีความรัก เราไปทำให้เขาเดือดร้อน

ฉะนั้น ตรงนี้แหละ ป้อมปราการหรือสนามรบ คือความคิดตรงนี้ ที่เราจะอนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ตอนนี้เราเป็นคนใหม่ เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นความดีงาม เราเป็นความสัตย์ซื่อ อะไรทุกอย่าง ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เราเป็นแล้วนะ เราอย่าไปยอมมัน มันหลอกเรา เราไม่ต้องยอม เราสามารถไม่ยอมมันได้ พอความคิดเรารับรู้ตรงนี้ เราไม่ยอมมันได้นี่นา เราก็ปฏิเสธ ปฏิเสธข้อเสนอที่ส่งมา แม้จะเป็นข้อเสนอที่สวยงามก็ตาม ไม่เอา อย่างที่บอกไง ของฟรีไม่มีในโลก นอกจากของฟรีที่พระเจ้าให้เราในโลกวิญญาณ  ของฟรีที่มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่เชื่อ ถูกหลอก ก็เพราะเรื่องของฟรีนี่แหละ นำเสนอมาอย่างดีเลย ทำโน่นทำนี่ แล้วก็ลงทุนแค่นี้ ได้กำไรเป็นร้อยเท่า มันไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นรูปแบบนี้อย่าไปหลงเชื่อ เชื่อแล้วคนก็ล้มละลายไป มันมีมาเรื่อยๆ ฉะนั้น ถ้าคนไม่โลภ ก็จะไม่ถูกหลอก อันนี้เรื่องจริง แต่ถ้าคนโลภ มักจะถูกหลอก เพราะเขาจับจุดอ่อนของมนุษย์ได้ว่ามนุษย์ทุกคนโลภ เราไม่ปฏิเสธนะว่าพื้นฐานของมนุษย์อยู่ในความบาป โลภทั้งนั้น ไม่ว่าโลภเยอะโลภน้อย นิดหน่อยมันมี พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันก็ยังมีอยู่นะ แต่ว่าถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเรา

ฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ ความพอใจ ก็คือไม่โลภ โลภเมื่อไร ก็พัง พังแค่โลกวัตถุเท่านั้นเองนะ เราก็จะอยู่อย่างยากลำบาก ก็คือถูกหลอกให้ไปลงทุนอะไรก็ตาม แล้วก็ทั้งต้นทั้งดอกหายไป เราก็ทุกข์ทรมาน แต่ว่าไม่ว่าเราจะทุกข์ทรมานในโลกใบนี้แบบไหน? วิญญาณเรายังรอดอยู่นะ ตรงนี้พี่น้องต้องจำให้มั่นๆ …

เอเฟซัส 3:3 “อันได้แก่ข้อลี้ลับ ซึ่งทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า  ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้อย่างย่อๆ”

 

ที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ก็คือในเอเฟซัส บทที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลแยกแยะให้เห็นว่าแผนการที่ลี้ลับ คือความลับสุดยอดของพระเจ้า ไม่ได้ไปเปิดเผยให้ใครรู้ แต่เปิดเผยให้คริสตจักรรู้ จำได้ใช่ไหม? ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็วางแผนลี้ลับตรงนี้แล้ว ซ่อนไว้ แล้วก็ค่อยๆ เผยพระวจนะให้กับมนุษย์ได้รับรู้ แผนการนี้ ก็คือพระเจ้าจะเลือกกลุ่มคน กลุ่มแรกที่จะเป็นต้นแบบของการรับพระคุณของพระเจ้า การรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็คือชนชาติยิว จากอดีต ก็คือพระเจ้าเรียกชนชาติยิวมาเป็นประชากรของพระองค์ ให้กฎบัญญัติให้กับคนยิว สำหรับคนต่างชาติพระเจ้าจารึกไว้ในใจ แต่สำหรับคนยิวมีลายลักษณ์อักษร ก็คือเลือกคนยิวไว้ก่อน ให้มารักษากฎบัญญัติเหล่านี้ แล้วก็ให้คนยิวเหมือนเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วก็มาเป็นแพะรับบาปให้กับมนุษยชาติ ก็คือเริ่มต้นตั้งแต่ใช้พันธสัญญาเลือดในอดีต ที่พระเจ้าบอกว่าให้เอาเลือด ทุกอย่างจะถูกปะพรมด้วยเลือดหมด คือเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้า จะต้องเอาเลือดเข้ามา

ฉะนั้น ทุกคนในยุคนั้น เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาบอก ก็คือเอาเลือดของแพะ ของแกะ ของนกพิราบ พอทำผิดทำบาป ก็เข้ามา เอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาถวายให้พระเจ้า ปุโรหิตก็จะเอาเลือดไปปะพรมแท่นบูชา ถือว่าทำตามกฎระเบียบที่พระเจ้าตั้งไว้

พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ ก็ยังคงใช้เลือด แต่เที่ยวนี้จะไม่เหมือนกัน จะไม่ใช้เลือดแพะเลือดแกะ แต่ใช้เลือดของพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีเชื้อบาป เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า ฉะนั้น เลือดของพระเยซูคริสต์ คือพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าได้ให้กับชนชาติอิสราเอล และอนาคตข้างหน้า ก็ให้คนต่างชาติ

แผนการลี้ลับตรงนี้ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ก็คือข่าวประเสริฐ หรือความรอดที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ปฐมกาล ที่มีการเผยพระวจนะมาตลอด ได้เตรียมไว้ให้กับทั้งคนยิว คือเลือกคนยิวก่อน หลังจากนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ ก็จะถูกเตรียมไว้ให้กับคนต่างชาติ  หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

ตอนที่พระเยซูคริสต์ยังมีชีวิตอยู่ พระเยซูคริสต์ประกาศกับคนยิวเท่านั้น แต่จะมีคนต่างชาติที่ประปรายมา แต่เป้าหมายหลักของพระเยซูคริสต์ คือประกาศกับคนยิว หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจสำเร็จ เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ข่าวประเสริฐตรงนี้ ก็ถูกประกาศออกไปให้กับคนต่างชาติผ่านทางอาจารย์เปาโล

นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกคนยิวเคือง เหมือนกับอาจารย์เปาโลทรยศ กบฏ ไปประกาศเรื่องของพระเจ้า ไม่พอ เป็นเรื่องพระเจ้าที่เขาไม่ยอมรับด้วย เรื่องของพระเยซูคริสต์ ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งคนต่างชาติ คนยิวถือว่าเป็นคนไม่มีระดับ เป็นคนละชั้นกับเขา จะมาเป็นลูกของพระเจ้าด้วยกัน มันไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ มามีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากันยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แต่อาจารย์เปาโลประกาศว่า …

“ใครก็ตาม ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า อยู่ในฐานะลูกของพระเจ้าเท่ากัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ”

รับไม่ได้เลย  นึกภาพออกไหม? อาจารย์เปาโลก็เลยถูกไล่ล่ามาตลอดเวลา

นี่คือแผนการที่พระเจ้าได้วางไว้ แล้วแผนการนี้ก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ใช่เฉพาะคนยิวเท่านั้น ที่จะได้รับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่จะได้รับความรอดผ่านทางพระคุณที่พระเจ้าทำให้ แต่พระเจ้าได้เล็งเป้าหมายไว้แล้ว ก็คือข่าวประเสริฐได้ไปถึงมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ณ เวลานี้ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับหมด  พระเยซูทำให้เสร็จหมดแล้ว อยู่ตรงที่ว่าใครได้ยินได้ฟังแล้ว เชื่อก็มารับของขวัญนี้ไป แค่นั้นเอง พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะความรอดที่เราได้รับมานั้น เรารอดโดยพระคุณ เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำของเราเอง   ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับทันที เมื่อเราถ่อมใจยอมรับ ต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

 

ความรอดทางฝ่ายจิตวิญญาณ  มันเกิดขึ้นทันทีกับเราเลย  เมื่อเรารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ  ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระเจ้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์  มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ  รวมทั้งฉันด้วย  และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  นี่แหละเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจแล้ว …

“ขอต้อนรับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับฉัน”

 

แค่นั้นเอง เราก็จะได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้รับฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า (ทันที) เลย  ได้รับความรอดเปล่าๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เรารอดจากบาป รอดจากการเป็นทาสของมาร รอดจากอาณาจักรของความมืด หรือเราเรียกกันว่านรก รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ ในสิ่งที่เราทำไม่ดี บาปเยอะแยะมากมาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตอีก นี่เรารอดหมดเลย หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ

 

แต่พระคัมภีร์ก็มีสอนไว้ แนะนำไว้ว่าหลังจากเชื่อแล้ว ได้รับความรอดอย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้แล้ว พ่อซึ่งเป็นพระเจ้าก็บอก …

“ลูกๆ เอ๋ย เมื่อเป็นลูกแล้ว ควรจะทำอะไรบ้าง? เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หลังจากได้รับความรอด โดยเปล่าๆ ฟรีๆ ควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง”

 

และเมื่อเกิดประโยชน์กับตัวเองแล้ว มันก็จะเกิดประโยชน์กับผู้คนรอบข้าง ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ ซึ่งพระเยซูใช้คำว่าให้แสงสว่างฉายแสงออกไป ที่โลกใบนี้ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ แล้วเราก็ควรทำ เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

 

และสิ่งที่เราควรทำ มี 3 ควรกับ 1 ต้อง … ก็คือ “ต้องเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า”

ซึ่งเราเชื่อแล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 3 ควร …  ก็คือ “รับรู้  วางใจ  และอธิษฐาน”

ทั้งหมดมี 4 ขั้นตอน สำหรับชีวิตผู้เชื่อ …

ขั้นตอนแรก คือเชื่อแล้ว เป็นผู้เชื่อในข่าวดี เสร็จแล้ว….

–  ควรจะรับรู้

–  ควรจะวางใจ

–  และควรจะอธิษฐาน

ควรจะเป็นอย่างนั้น …

“ต้องเชื่อแล้ว” ก็คือรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจแล้วว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าทันทีในวิญญาณ

“ควรจะรับรู้” ก็คือจดจ่อไปที่ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ พระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้ารักเรามากเลย เราเป็นลูกแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว

“ควรวางใจ” พอรับรู้เสร็จ ก็ให้เราวางใจ วางภาระลงที่พระเจ้า ให้พระเจ้านำไปตลอด เพราะพระเจ้ารู้มากกว่าเยอะ ไม่ต้องกลัวอะไร? คือพักสงบ พักผ่อนได้แล้ว ทำมาเยอะแล้ว กังวลมาเยอะแล้ว

และสุดท้าย ก็คือ “ควรอธิษฐาน” ควรจะเริ่มต้นอธิษฐาน อธิษฐาน คือการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นใครในสวรรค์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร? เขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร? นี่เขาเรียกว่าอธิษฐานทั้งสิ้น

 

เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ผู้ช่วยให้รอดได้ แค่เชื่อตรงนี้ ก็เกิดประโยชน์แล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย นี่คือผลประโยชน์ที่ได้เกิดขึ้น และเมื่อเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวลอีกแล้วว่าหลังจากเราจากโลกนี้ไป เราจะไปอยู่ไหน? ก็เราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วทันที จากโลกนี้ไป เราก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ชีวิตหลังความตายของเราจะเป็นอย่างไร? เราก็ไม่ต้องกลัว ไม่กังวลอีกแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ เมื่อเราเชื่อแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1378

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  สิงหาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 2

“คำเทศนาบนภูเขา EP.1

“คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ เราจะมาต่อเรื่องสัปดาห์ที่แล้วกัน “คำประกาศของพระเยซูคริสต์ ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 2 ผมให้ชื่อตอนว่า “คำเทศนาบนภูเขา” อย่างที่เกริ่นในสัปดาห์ที่แล้วว่าเราต้องมาเน้นย้ำ ในเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีคริสเตียน  ผู้เชื่อจำนวนมากที่อ่านพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน  แต่ยังตีความไม่ตรงกัน  เราจึงจำเป็นต้องมาปรับจูน พื้นฐานความเข้าใจ เนื้อหาสาระของข่าวประเสริฐ ให้ถูกต้องตรงกัน ย้ำอีกทีว่าเรามาเน้นเรื่องกระดุมเม็ดแรก ที่สำคัญที่สุด  ถ้ากระดุมเม็ดแรกผิด แย่เลยนะ

กระดุมเม็ดแรกที่สำคัญที่สุด ในการอธิบายความหมายของถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็คือเราต้องทราบก่อนว่าถ้อยคำของพระเจ้านั้น กำลังพูดกับใคร? เบื้องหลังเป็นอย่างไร? ใครเป็นคนพูด  หมายความว่าอะไร?  ต้องรู้ว่าใครเป็นคนพูด? พูดกับใครสำคัญมาก? ไม่ใช่แค่หยิบเอาไปวลีเดียว แล้วก็พยายามตีความหมาย ใส่ความคิดตัวเองเข้าไป  ความเข้าใจของตัวเอง เข้าไปในวลีนั้น ประโยคนั้น ประโยคเดียว หรือแม้แต่บางเหตุการณ์ คำเดียว ก็เอามาใช้ อะไรแบบนี้ อันตรายมากๆ

ครั้งที่แล้ว เราทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำประกาศ ในหนังสือมัทธิวของพระเยซูเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ในมัทธิว 6:33 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ทวนกันสักนิดหนึ่ง …

มัทธิว 6:33 “แต่  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์ จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

เราได้มาวิเคราะห์กันแล้ว  และก็ได้สรุปกันไปแล้วว่าถ้อยคำตรงนี้ เป็นคำพูดของพระเยซู พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ส่วนใหญ่ที่ยังยึดติดอยู่กับพันธสัญญาและรักษาบัญญัติเดิม ตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ พูดง่ายๆ คือพระองค์กำลังประกาศให้กับคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้พบกับอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง เพราะฉะนั้น คำว่า …

“จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” จึงไม่สามารถใช้กับผู้เชื่อหรือคริสเตียนได้ เพราะเมื่อได้เชื่อในพระเยซู บังเกิดใหม่แล้ว ได้พบอาณาจักรสวรรค์ และพบกับความชอบธรรมของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว  ได้อยู่ในสวรรค์เลย  ไม่ใช่ได้พบธรรมดา อยู่ในสวรรค์เลย  และพบกับความชอบธรรม คือได้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูคริสต์เลย เอเมน

และวันนี้ เราจะมาดูกันต่อ ถึงความหมายที่แท้จริงของคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู ซึ่งก็เป็นถ้อยคำที่ดังมาก คริสเตียนทุกคนต้องเคยได้ยินแน่นอน  แต่ก็มีการเข้าใจผิดอยู่อีกเยอะ เช่นเดียวกัน วันนี้เราจะเริ่มวิเคราะห์กันถึงคำประกาศของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคำเทศนาบนภูเขา คำประกาศบนภูเขา  ก็อย่าลืมนะ กระดุมเม็ดแรกของการอ่านพระคัมภีร์ ต้องยึดหลักให้แม่นก่อนว่าที่พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์บนภูเขานั้น  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น นี่กระดุมเม็ดแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เรารู้แล้ว คนฟังตอนนั้น เขาไม่รู้ แต่เราทั้งหลาย เราเป็นคริสเตียน เราเรียนรู้แล้ว เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ คือเรื่องเกี่ยวกับความบาปในใจของมนุษย์ ในวิญญาณของมนุษย์ นึกภาพออกใช่ไหม?

พระเยซูพูดเรื่องต้นไม้ดี ต้นไม้ไม่ดี  ก็คือวิญญาณดี วิญญาณไม่ดี  วิญญาณดี ก็จะให้ผลดี วิญญาณไม่ดี ก็จะให้ผลไม่ดี วิญญาณดี ก็ได้ไปสวรรค์ วิญญาณไม่ดี ก็ตกนรก นึกออกใช่ไหม? หรือพระองค์ทรงพูดสิ่งสกปรกในใจออกมาทำลายผู้นั้น สิ่งสกปรกที่เข้าไปทางปาก ไม่ทำอันตรายหรอก สิ่งที่ออกมาจากใจ คือความบาป

คำพูดพระเยซูที่เราคุ้นๆ หลุมศพฉาบปูนขาว ก็คือข้างใน มันเป็นศพ มันตายอยู่ แต่ข้างนอกดูสะอาดใสแจ๋ว เพราะรักษาบทบัญญัติ  มีศีลธรรมอันดีงาม  ดูแล้วเป็นคนดี แต่วิญญาณข้างในตาย รวมๆ แล้ว คือพระเยซูกำลังมาประกาศแผ่นดินสวรรค์ ให้รู้จักว่าของเก่า ประพฤติตามกฎ ตามบัญญัติ  แต่วิญญาณข้างในตาย  ของใหม่ วิญญาณได้เกิดใหม่  ไม่ได้ดำเนินตามกฎ อยู่ในยุคพระคุณ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ คือได้บังเกิดใหม่ฟรีๆ นี่คือภาพรวม คือกฎกับพระคุณนั่นเอง

กำลังมาพูดถึงกฎกับพระคุณ กฎ คืออันเดิม พระคุณ คืออันใหม่  ที่พระองค์นำมา ก็คือสวรรค์ ผ่านทางพระคุณ อะไรประมาณนี้

เรื่องของการบังเกิดใหม่ผ่านทางพระองค์ สิ่งซึ่งผู้ฟังในขณะนั้น  ไม่สามารถเข้าใจเลย เรื่องบังเกิดใหม่  ไม่สามารถเข้าใจเลยว่าต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงเข้าสวรรค์ได้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูประกาศ ทั้งหมด ทุกเรื่องราวที่พระองค์ทรงพูด ทรงประกาศอุปมา  ไม่ว่าจะเป็นคำเทศนาบนภูเขา  หรือคำเทศนาอื่นๆ ก็ตาม นี่พูดรวมๆ ให้เลย

เพราะฉะนั้น เรื่องบังเกิดใหม่ ผ่านทางพระองค์ เรื่องวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป  จะต้องแก้ไขด้วยการตาย แล้วเกิดใหม่นั้น  ผู้ฟังตอนนั้น แม้กระทั่งสาวกที่อยู่ใกล้ชิดเอง ก็ยังไม่เข้าใจ สาวกไม่เข้าใจชัดเจนตรงไหน? ก็ตรงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย มีอยู่ครั้งหนึ่งสาวกบอกว่า …

“โอ้! แล้วใครจะสามารถเข้าไปในสวรรค์ได้ล่ะอาจารย์”

จำได้ใช่ไหม? สาวกสนิทเลยนะ สาวก 12 คนพูดกับอาจารย์ พระเยซู …

“พระเยซู ฟังมาตลอดเลยเนี้ย แล้วอย่างนี้ใครจะเข้าสวรรค์ได้เล่า คนเขาทำขนาดนี้ ยังไม่ได้เช้าสวรรค์ แล้วใครจะมาเข้าได้ แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่า …

“สำหรับมนุษย์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเหลือกำลัง”

ใครจะไปทำดีครบถ้วนบริบูรณ์ได้ ตามกฎ ใครล่ะจะบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้ เป็นไปไม่ได้  แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ ก็คือบังเกิดใหม่ เป็นไปได้จริงๆ

เราจะมาลองดูคำเทศนาบนภูเขาว่าสิ่งที่พูดไปนั้น มันจริงไหม? คำเทศนาบนภูเขา เริ่มต้นตั้งแต่มัทธิว บทที่ 5 ข้อ 1 ไปจนถึงจบมัทธิว บทที่ 7 ข้อสุดท้าย คือประมาณข้อ 28, 29 ลองดูก่อน ไปดูตอนจบสิว่าพระองค์พูดบนภูเขาทั้งหมด ประกาศทั้งหมด เขาเข้าใจไหม? “เขา” คือใคร? เดี๋ยวเราติดตามต่อไปว่าพูดจบแล้ว เขารู้เรื่องไหม? มัทธิว 7:28-29 ได้ตรัสไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 7:28-29 “28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ (งง) ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ (ในโลกวิญญาณ) ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”

 

“ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ” ท่านรู้ไหม? ตรงนี้ไม่ได้แปลว่าอัศจรรย์ใจหรอก ฝูงชนก็อึ้งกิ้มกี๋ ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรเลย ภาษาเดิมตรงนี้ ฝูงชนก็งงเต้กเลย มันเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่รู้เรื่องเลย พูดง่ายๆ เป็นศูนย์ ต้องใช้คำว่างงเต้ก ชัดเจน  ฝูงชนก็งงเต้กกับคำประกาศ คำสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจในโลกวิญญาณ พระองค์เป็นความจริง พระองค์พูดแรงมาก และมีฤทธิ์อำนาจมาก  เพราะมันเป็นความจริงทั้งหมด พูดออกมาเป็นพลัง เต็มไปหมดเลย พวกเขารู้ว่าเป็นความจริง แน่นอนเชื่อว่าเป็นจริง แต่เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ  งงเต้กในความคิดของมนุษย์  แต่รู้ว่านี่แน่นอน ตาค้างเลย ประหลาดใจ งงเต้ก อึ้งกิมกี่ เพราะแบบนี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ กฎระเบียบอะไรต่างๆ ไม่ได้มาสอน พูดง่ายๆ คือไม่ได้มาสอนศีลธรรม การทำดี ละชั่วนะ อย่างโน้นอย่างนี้  เพราะพระองค์กำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระองค์กำลังมองไปที่ใจหรือวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็ชี้ให้เขาเห็นว่าวิญญาณของมนุษย์ ของพวกท่านทั้งหลายมันเป็นอย่างไรอยู่ วิญญาณมันตายอยู่  มันชั่ว เพราะข้างในมันตาย  พวกเขาไม่สามารถที่จะรับรู้เรื่องที่พระเจ้าพูดได้หรอก ไม่สามารถรับรู้เรื่องพระเยซูคริสต์กำลังอธิบายให้ฟังเรื่องสวรรค์ เพราะตายอยู่ ตาบอดอยู่  หูหนวกอยู่  เขาต้องการฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์  ทำให้เขาบังเกิดใหม่  ตาวิญญาณเปิดออก เขาจึงสามารถเข้าใจได้ใช่หรือไม่? เอเมน

ยกตัวอย่างคนเป็นโรคหัวใจ หัวใจวายปั๊บ  สิ่งที่เขาต้องการ คือหมอ หมอรีบไปเลย แล้วหมอไปถึงก็เอาหนังสือว่าด้วยสุขลักษณะของการกิน เพื่อป้องกันโรคหัวใจ  อย่ากินมันนะ อย่ากินเค็มเกินไป ออกกำลังกายบ้างนะ อย่ากินหวานมาก อย่ากินแป้งเยอะเกินไป  อย่าให้อ้วนมากนัก เขารู้เรื่องไหม? ไม่รู้ เพราะว่าเขาหมดสติ ตายอยู่ สิ่งที่เขาต้องการ คืออัศจรรย์ สิ่งที่เขาต้องการอันดับแรก คือปั๊มหัวใจให้เขาขึ้นมาก่อน แล้วค่อยสอนเขาทีหลัง

พระเยซูรู้ คนก่อนหน้าๆ ที่ไม่ใช่พระเยซู สอนอย่างกลับกัน คือเป็นหมอที่เอาหนังสือมาพูดให้คนตายฟังว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ เขาตายอยู่ เขาจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร? เขาจะรับรู้ไหม? ไม่มีทาง สิ่งที่เขาต้องการ คือฤทธิ์เดชอำนาจ อัศจรรย์ คือมาชาร์จให้เขาเป็นขึ้นมาจากความตายก่อน แล้วค่อยบอกเขาว่า …

“เกิดใหม่แล้ว ต้องทำอย่างนี้นะ เพราะเราเกิดใหม่แล้ว ควรจะทำอย่างนี้นะ ไม่ควรกินอันนั้น ไม่ควรกินอันนี้”

ถูกไหม? ชัด ปั๊มหัวใจขึ้นมาปุ๊บ หัวใจเดิน ชีวิตเริ่มต้นใหม่ หมอก็จะมาบอก อยู่โรงพยาบาลแล้ว หัวใจหายแล้วนะ ต่อไปนี้ กินอาหารให้เป็นประโยชน์นะ ถูกหรือไม่ถูก? มันต้องเป็นอย่างนั้น

ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่สอนให้ประพฤติ ปฏิบัติตามสิ่งที่ตามองเห็น คือตามกฎบัญญัติ ให้รักษาศีล รักษาบทบัญญัติตรงนั้น ตรงนี้ ตรงนี้อย่าทำ ตรงนั้นทำ แต่พระเยซูกำลังมาบอกความจริงนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ ไม่ได้มาบอกว่าตรงโน้นให้ทำ ตรงนี้ให้ทำ ตรงนี้ไม่ทำ ตรงนี้อย่าทำ แต่มาบอกว่าอย่าทำทั้งหมดเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้มาเกิดใหม่ก่อน  ให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาต้องเกิดใหม่ก่อน แล้วเขาถึงจะได้รู้ ได้เห็นทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นเช่นไร? พระองค์มาชี้ให้เขาได้รู้ได้เห็น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเสด็จมาทีหลัง เมื่อเขาบังเกิดใหม่แล้ว มายืนยันถ้อยคำทั้งหมดนี้ ที่เขาไม่เข้าใจ ที่เขางงเต้กอย่างนี้ทีหลัง ต้องให้เขาเกิดใหม่เสียก่อน เอเมนไหม?

คำเทศนาบนภูเขา เริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1 เป็นต้นไป สรุปรวมก่อนนะว่าพระเยซูกำลังประกาศ เรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ใช่ไหมครับ? ให้ทำอะไร? เราเรียนรู้ครั้งที่แล้ว  ตั้งแต่ก่อนบทที่ 5 คือบทที่ 4 ที่พระองค์เริ่มต้นประกาศ พระองค์บอกคำแรกเลย “จงกลับใจเสียใหม่” จากทางเดิมของเขา จากการรักษากฎบัญญัติ  เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม  จงกลับใจเสียใหม่ ให้มาบังเกิดใหม่ในพระองค์ ผ่านทางพระองค์ คือพระองค์กำลังบอกถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ให้เขาได้รู้ว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มันจะเป็นเช่นไร? ในมัทธิว บทที่ 5 นี้ ก็จะมาชี้ให้เห็นแล้ว พระเยซูกำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ กำลังมาบอกพวกเขาทั้งหลาย ซึ่งมองตามแค่ตามองเห็น เห็นแค่ข้างบนเอง  แต่ใต้น้ำเขามองไม่เห็น เหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง

นึกภูเขาน้ำแข็งออกไหม? ที่เรือชน แล้วล่มเลย ก็เพราะว่ามันมองไม่เห็นข้างล่าง  มันลึกขนาดไหน? มันใหญ่ขนาดไหน? มองเห็นแต่ข้างบน ลอยตุ๊บป่องๆ เป็นยอดเล็กๆ นิดเดียว เป็นหิมะเกาะอยู่ เป็นน้ำแข็งลอยอยู่บนน้ำ เหนือมหาสมุทร แต่ข้างล่าง มันเต็มไปด้วยโขดหิน โสโครก อะไรต่างๆ เหล่านั้น ลึกมาก ใหญ่มาก เรือไปก็ชน เรือใหญ่เท่าไรไป ก็ชน  ถ้าเลี่ยงไม่ได้ มองไม่เห็น ไปชนเอา ก็เรือแตก

พระเยซูกำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าที่เขาเห็นกัน ภายนอก ดูกันภายนอกเหล่านั้น มันเป็นแค่ภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ แต่เรากำลังจะมาชี้ให้เห็น ถึงใต้น้ำ มันใหญ่กว่าอีกตั้งเท่าไร?  นี่คือภาพรวมของคำเทศนาบนภูเขา ที่ท่านต้องจำ เป็นพื้นฐานไว้  เพื่อว่าเดี๋ยวเราเรียนกันต่อไป แล้วท่านจะได้รู้ว่าในโลกวิญญาณข้างล่าง มันเป็นอย่างไร? ความลึกของถ้อยคำของพระองค์ในเรื่องโลกวิญญาณ  มันลึกลงไป ที่มนุษย์มองไม่เห็น มันเป็นอยู่จริง ยังไม่เข้าใจตอนนี้หรอก แต่วันหนึ่งเมื่อท่านบังเกิดใหม่ ท่านจะเข้าใจว่ามันลึกขนาดไหน? นั่นคือความจริงในโลกวิญญาณที่พระองค์มาเปิดเผยให้ทราบ ในคำเทศนาบนภูเขานั่นเอง แล้วก็เอามาชี้ให้เห็นว่าท่านจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? ที่เรากำลังมาประกาศว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ จงกลับใจเสียใหม่ๆ จงมาเข้าสวรรค์โดยทางใหม่ เข้าอย่างไร? วิธีใด เริ่มต้นวันนี้เลย มัทธิว 5:1-2 คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ …

มัทธิว 5:1-2 “1 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนมากมาย ก็เสด็จขึ้นเนินเขา และประทับนั่ง 2 เหล่าสาวกของพระองค์พากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนพวกเขาว่า …”

 

“พระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนพวกเขา” เราก็จะมาดูว่าพวกเขาคือใคร? เรารู้ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว พวกเขา ก็คือชาวยิว พุ่งตรงไปที่ชาวยิว แล้วนึกถึงภาพว่าพระองค์นั่งลง มีฝูงชน เข้ามา แล้วกลุ่มแรกที่สนิทกับพระองค์ที่สุด คือสาวกใกล้ชิด ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ชาวยิวเท่านั้น ก็อาจจะมีต่างชาตินิดหนึ่ง ต้องการมาดูอัศจรรย์ ต้องการมาดูเขาล่ำลือถึงเรื่องคนๆ นี้ ก็มาแจมๆ แซมๆ ไปบ้าง แต่ทั้งหมดนั้น เป็นยิว และพระองค์ตั้งใจพูด พุ่งไปที่ยิวโดยเฉพาะ และเฉพาะชาวยิวนั้น ยังมีแบ่งแยกออกเป็นชาวยิวที่เป็นดิน 4 ประเภท จำได้ใช่ไหม? พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสวรรค์มาตั้งอยู่  คือข่าวดี เป็นเมล็ดพันธุ์  ประกาศข่าวดีไป จะมีดิน 4 ประเภท ที่ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ

ประเภทแรก ก็คือประเภทที่เป็นดินดี หว่านลงไปปุ๊บ มันเกิดผลเลย แล้วสุดท้าย ประเภทที่ 4 คือเป็นดินที่เป็นหิน กระด้าง หว่านไปแล้วแห้งแกน แล้วก็ยังมีชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3 ที่อาจจะเป็นไปได้ ที่จะรับบ้าง ถอยบ้าง จะเกิดผลบ้าง ไม่เกิดผลบ้าง นึกถึงภาพ เวลาฟังพระเยซูพูด แล้วลองจินตนาการตัวเองไปนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วลองจินตนาการว่าตรงนี้กำลังพูดถึงกลุ่มไหน? กลุ่มที่เป็นดินดี หรือกลุ่มที่เป็นดินดื้อ ดินแข็งกระด้าง เมล็ดพันธุ์ลงไปทำอะไรไม่ได้เลย หรือเป็นดินที่ไม่กระด้างเท่าไร? พอได้ อะไรประมาณนั้น จะได้เห็นชัด เอาล่ะ  เรารู้แล้วเป็นดิน 4 ประเภท  เดี๋ยวท่านจะรู้เองว่านี่ประเภทไหน? มัทธิว 5:3-5 ต่อมา …

มัทธิว 5:3-5 “3 ความสุขมีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 4 ความสุขมีแก่ผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลม 5 ความสุขมีแก่ผู้ที่ถ่อมสุภาพ เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”

 

“ความสุข” แปลจริงๆ แล้ว แปลว่า “พรทางฝ่ายวิญญาณ”

พระพรทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือการได้เข้าสวรรค์ สวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ตั้งเมื่อไร? คนที่มีลักษณะท่าทีในใจอย่างนี้แหละ จะเป็นผู้ที่ได้พระพรฝ่ายวิญญาณนี้  ก็คือได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั่นเอง

เขาจะได้พรฝ่ายวิญญาณ  คือใคร? ลักษณะเขาเป็นอย่างไร? ลักษณะดินดี คนๆ นี้ ประเภทนี้เป็นอย่างไร? ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายวิญญาณ ก็คือตนเองป่วยทางวิญญาณ พระเยซูบอกว่าคนป่วยต้องการหมอ เรามาหาคนป่วย คนป่วยทางวิญญาณ คนที่คิดว่าแข็งแรงดีนั้น ไม่ต้องการหมอ ชัดเจนเลย คนที่ขัดสนทางวิญญาณ รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์ เป็นของเขาแล้ว

ข้อ 4 บอก “พระพรเป็นของผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลมใจ” โศกเศร้าเพราะอะไร? เขาได้รับการปลอบประโลมเพราะอะไร?  โศกเศร้า นึกถึงภาพเปโตรกับสาวก 12 คนจะเห็นชัด  พวกเขาโศกเศร้ามากเลย  เพราะเขาไม่สามารถจะรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมอันดีงามได้เท่าเทียมกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่พร่ำพูดตลอดเวลาว่า …

“พวกท่านเป็นคนบาป รักษาสะบาโตก็ไม่รักษา บัญญัติก็ไม่ทำตาม พวกท่านเป็นคนบาป”

แล้วชีวิตเขาก่อนที่พระเยซูจะมาประกาศ เขาเศร้าสร้อยไหม? เศร้าสร้อย สวรรค์ก็จะเป็นของเขาแล้ว คนเหล่านี้ เขาต้องการความช่วยเหลือนั่นเอง

ข้อ 5 บอกว่า “ความสุข คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ  สวรรค์ เป็นของผู้ที่ถ่อมใจ”

ผู้ที่ถ่อมใจ คือยอมรับว่าตัวเอง ทำตามกฎบัญญัติ ศีลธรรมให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าให้ไว้ไม่ได้ ยอมรับความจริงว่าทำไม่ได้ ถ่อมใจ  ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ต้องการความช่วยเหลือจากใครก็ได้ช่วยทีๆ พระเยซูก็บอกว่าสวรรค์เป็นของคนเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ถ่อมใจ ก็เรียกว่าคนที่เย่อหยิ่งนั่นเอง  …

“ฉันทำได้ ฉันทำได้มากกว่าคนอื่น ฉันทำได้มากกว่าเธอ เพราะฉะนั้น ฉันสมควรไปสวรรค์”

นี่แหละ คือความเย่อหยิ่งที่ตรงกันข้ามกับความถ่อมใจ  ต่อไป มัทธิว 5:6-12 …

มัทธิว 5:6-12  “6 ความสุขมีแก่ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์ 7 ความสุขมีแก่ผู้ที่เมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน 8 ความสุขมีแก่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า 9 ความสุขมีแก่ผู้ที่สร้างสันติ เพราะเขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า 10 ความสุขมีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหง เพราะความชอบธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 11 “ความสุขมีแก่ท่าน  เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ข่มเหง และใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา 12 จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหง บรรดาผู้เผยพระวจนะ ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”

 

จริงๆ ตรงนี้ “ความสุขมีแก่” มันน่าจะเติมนิดหนึ่งว่า “ความสุขในวิญญาณ” ไม่อย่างนั้น คนจะเข้าใจผิด เอาไปใช้ในเรื่องโลกวัตถุว่าพอมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่ สวรรค์เป็นของเราแล้ว  จะต้องมีความสุขบนโลกใบนี้ จะต้องมีกิน มีใช้พอเพียง  ไม่ขัดสน จะต้องแข็งแรงดี สุขสบายบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่ มันหมายถึงโลกวิญญาณ ที่ผมบอกแล้ว พระองค์พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น พระพรทางฝ่ายวิญาณ เป็นของผู้ที่สร้างสันติ

โอเค เรามาวิเคราะห์ข้อ 6 กัน “พระพรฝ่ายวิญญาณ ความสุขในวิญญาณ การได้เข้าสวรรค์ เป็นของผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์” ผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะรู้ว่าตนเองทำไม่ได้ จึงหาผู้ช่วย ไม่สร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการทำตามกฎบัญญัติ แต่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้  ไม่มีทางทำได้เลย จึงแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า ตรงไหม? แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน ก็จะเจอแหละ นี่คือท่าที ลักษณะของผู้ที่จะมาเชื่อวางใจในพระองค์  และได้บังเกิดใหม่ในไม่ช้า เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่

ข้อ 7 “พระพรทางฝ่ายวิญญาณ ความสุขในวิญญาณมีแก่ผู้ที่มีเมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน” ก็คือคนๆ นั้นเขาเป็นคนเห็นอก เห็นใจมนุษย์ที่เป็นคนบาปด้วยกัน ต่างคนต่างเป็นคนบาป เขาไม่ไปชี้คนอื่นว่า …

“คุณแย่มาก แย่กว่าผม”

“คุณกับผมต่างคนต่างแย่เท่ากัน  คุณก็บาป ผมก็บาปพอกัน”

แต่คนที่เย่อหยิ่งจะชี้คนอื่น … “คุณทำบาป ผมทำดีกว่าตั้งเยอะ  ผมสมควรไปสวรรค์”

แต่ทั้งคนชี้และคนทำ ต่างคนต่างอยู่ในต้นไม้เดียวกัน ก็คือต้นอาดัม ต้นของความบาป คือเน่าเฟะเท่ากัน ต้องการความช่วยเหลือเท่ากันนั่นแหละ  แต่กลับเย่อหยิ่ง บอกว่า …

“ฉันเป็นกิ่งของต้นไม้เน่านี้ แต่กิ่งของฉันดีกว่าเธอ เธอก็แย่มาก ทำบาป”

“เธอและฉันก็เป็นกิ่งที่อยู่ในต้นไม้เดียวกัน ก็คือบาปทั้งคู่”

ดังนั้น คนที่มีจิตใจอย่างนี้ จึงมีโอกาสได้เข้าสวรรค์ก่อนเพื่อนเลย

ข้อ 8 “ความสุขในวิญญาณ มีแก่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่”

ถ้ามีลักษณะอาการอย่างนั้นมา เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่ เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่  มีวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ตาฝ่ายวิญญาณจะถูกเปิดออก ก็จะรู้จัก เห็นพระเจ้าในวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนั้น

ข้อ 9 “ความสุขในวิญญาณมีแก่ผู้สร้างสันติ เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”

และเมื่อเขาได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเต็มล้นไปด้วยพระคุณและสันติสุขในใจ และจะดำเนินชีวิตเป็นคนที่สร้างสันติ ไปที่ไหน ก็ทำให้เขาสงบ  ไม่ใช่ไป แล้วก็ทะเลาะกับชาวบ้านเขา สร้างความสงบ ก็คือแม้จะถูกข่มเหงรังแก  ก็นิ่งอยู่ ไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้ปืน ไม่ใช้มีดไปสู้กับเขา สร้างสันติ ไปที่ไหนก็มีแต่ความสงบเกิดขึ้น มีแต่สันติภาพเกิดขึ้น

ข้อ 10 ความสุขในวิญญาณมีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหง เพราะความชอบธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

เมื่อเขาเข้าสู่สวรรค์  ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าแล้ว  เขาก็จะเป็นศัตรูกับโลกนี้ทันทีในโลกวิญญาณ  เพราะโลกนี้ พินาศ อยู่ในนรก  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในนั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในวงจรอุบาทว์ของความบาปและความตาย แต่เขาได้ถูกย้ายออกมา เป็นผู้ชอบธรรมในสวรรค์แล้ว  เขากับโลกเข้ากันไม่ได้อีกต่อไป โลกจะเกลียดชังท่าน พระเยซูบอก

ข้อ 11 “ความสุขในวิญญาณมีแก่ท่าน เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา”

เพราะผู้ที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น  ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์แล้ว  พอเข้าสวรรค์ก็ได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกัน พระเยซูบอก เขาข่มเหงเราอย่างไร เขาก็จะข่มเหงท่านอย่างนั้นเหมือนกัน  เพราะท่านกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อท่านเข้าสู่สวรรค์ มันหมายถึงอย่างนี้

ข้อ 12 “จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหง บรรดาผู้เผยพระวจนะ ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”

จงดีใจเถิด เฮ! เลยในสวรรค์ เพราะนี่แหละ มันเป็นความจริงมาตั้งนานแล้ว  แบ่งออกเป็น 2 โลก โลกหนึ่ง คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า อีกโลกหนึ่ง คือฝ่ายโลก ที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง

คราวนี้มาถึงข้อ 13-16 นึกถึงภาพนะ  ตอนนี้พูดถึงคนที่มีโอกาสเข้าสวรรค์ และจะได้เข้าสวรรค์ และเข้าสวรรค์จะเป็นเช่นไร? มาถึงความหมายของข้อความที่ดังมาก ก็คือเรื่องเกลือและแสงสว่าง ในมัทธิว 5:13-16 …

มัทธิว 5:13-16 “13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็มแล้วจะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป มีแต่จะถูกสาดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ 14 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน (ความเค็มของเกลือ) จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

 

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในวิญญาณของผู้ที่มีใจถ่อม ของผู้ที่รู้ตัวเองว่าขัดสนทางวิญญาณ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการการช่วยเหลือ ก็มาหาพระเยซู รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ ต้องการรับการรักษาให้หาย จากอาการป่วย อาการป่วย ก็คือความบาปนั่นเอง รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็จะได้เข้าสู่สวรรค์ โดยการได้รับการบังเกิดใหม่  ในขณะที่พูดนั้น พวกเขาไม่รู้เรื่องหรอก  อย่างที่ตะกี้นี้บอก พวกเขาไม่รู้เรื่อง พวกเขายังไม่ได้เกิดใหม่ เขาตายอยู่ แต่พระองค์จะพูดให้เขาฟังไว้ล่วงหน้า เมื่อวันหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาสถิตอยู่กับพวกเขา  พระวิญญาณก็จะนำถ้อยคำเหล่านี้ สอนเขา บอกเขาว่ามันหมายความว่าอย่างไร? เหมือนกับพระวิญญาณกำลังสอนเราตอนนี้ ที่เป็นผู้เชื่อในยุคนี้ เรารู้ เราถึงเข้าใจไง  พวกเขายังไม่รู้เรื่อง พวกเขายังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสอนให้กับมนุษย์เรื่องความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ

พระเยซูพูดกับใคร? ชาวยิว มีหลายระดับของจิตใจและท่าทีข้างใน นึกในใจอย่างนี้ พระเยซูพูดกับชาวยิว พูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่กำลังมาตั้งอยู่ จะเข้าไปได้อย่างไร? ต้องมีท่าทีอย่างไร? และเมื่อเข้าสวรรค์แล้ว จะเป็นลักษณะอย่างไร? โดนอะไรบ้าง? ใช่ไหม?

ดังนั้น พระองค์พูดอุปมา หรือยกตัวอย่าง หรืออธิบายอะไรบางอย่าง ก็จะเปรียบเทียบให้กับชาวยิวได้รู้ โดยผ่านทางขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมทางศาสนา  ทางการเป็นอยู่ในสังคมของชาวยิวในสมัยนั้น เวลายกตัวอย่างจะได้รู้ว่าในสมัยนั้น เขาเป็นอย่างนี้แหละ เขาจะเข้าใจ บางทีเราไม่เข้าใจหรอก เพราะเราไม่รู้ เราไม่ได้อยู่ในประเพณี อยู่ในขนบธรรมเนียมชีวิตเหมือนกับชาวยิว เราไม่เข้าใจ

ข้อ 13 บอกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก” หมายถึงคนที่เข้าสวรรค์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเชื่อและตามนั้น ไล่มาตะกี้ถึงข้อ 12 พอมาถึงข้อ 13 ท่านก็จะเป็นเกลือของแผ่นดินโลก เกลือของแผ่นดินโลกคืออะไร?

เกลือ คือรักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ ความบาปนั่นเอง โดยยกคำว่าเกลือขึ้นมา พอพูดคำว่าเกลือขึ้นมา เราอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้ง  แต่คนฟังตอนนั้นที่เป็นชาวยิวจะรู้ลึกซึ้ง หมายถึงพระเยซูกำลังยกตัวอย่างอะไร? เกลือที่ปุโรหิตในวิหารของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าสั่ง คือเอาไปทาเนื้อที่จะถวายแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชา  พระเจ้าบอกให้เอาเกลือทา เพื่อให้มันบริสุทธิ์ อยู่ในหนังสือเลวีนิติ ทาให้มันบริสุทธิ์ซะ  เพื่อถวายแด่พระเจ้า

เกลือ ก็คือมีหน้าที่ที่จะชำระสิ่งต่างๆ ที่จะเน่า ไม่ให้มันเน่า พอบอกเกลือปุ๊บ เขาจะรู้ทันที

และถ้าเกลือนั้น หมดความเค็ม ความเค็มนี้ หมายถึงไม่ใช่หมดไป สูญเสียความเค็มไป เขาเรียกว่าหมดคุณภาพไป มันยังคงเป็นเกลืออยู่ แต่มันไม่ใช่เกลือที่มีความเค็ม 100% แล้ว มันเสียหายไปแล้ว ความเค็มมันลดลง เพราะว่าตอนนั้น ในชาวยิว นอกจากเกลือ ที่จะเอาไปใช้ในวิหารแล้ว เกลือตามบ้าน ก็เอามาใช้ ทำเป็นลักษณะเดียวกันอย่างนี้ แล้วก็เอามารับประทาน เป็นของที่มีค่ามากด้วย แต่เนื่องจากเกลือในสมัยนั้น เป็นเกลือชนิดพิเศษ ไม่เหมือนเกลือในยุคปัจจุบัน  เกลือสมัยนั้น มันมีโอกาสที่จะเสียได้ ผมก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันมันเสียได้หรือเปล่านะ หรือว่าเขาใส่สารจนกระทั่งมันไม่เสีย คือคำว่า “เสีย” หมายถึงมันหมดอายุ เก็บไว้ในที่ไม่ดี หรือเยอะเกินไป  ทับถมกันเกินไป เกิดความชื้นขึ้นมา เกลือมันหมดคุณลักษณะของมัน เขาจะใช้ความเค็มของเกลือเป็นประโยชน์ แต่ปรากฏว่าความเค็มของมันสูญเสียไปแล้ว เขาก็เลยจำเป็นต้องเอาไปทิ้ง

คราวนี้เวลาเอาไปทิ้ง จะเอาไปทิ้งที่ไหน? มันเหมือนสารเคมี ไปทิ้งในไร่ที่นาของคนอื่นเขาได้หรือเปล่า? ไม่ได้ ดินก็เสีย เขาก็ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น เขาก็ไม่ให้ทิ้งสิ แล้วถามว่าเอาไปทิ้งที่ไหน? ก็เอามาถมถนน ทิ้งลงบนพื้นถนน ให้คนเขาเหยียบย่ำ ไม่เฉอะแฉะ เอาเกลือเทลงไป นี่คือลักษณะของประโยชน์ของเกลือในสมัยนั้น

ถ้าท่านเป็นเกลือแล้ว  เป็นคริสเตียนแล้ว มาบังเกิดใหม่แล้ว ท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อยสิ เมื่อท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ผู้คนก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจน  ท่านก็จะมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ แต่ท่านเป็นคริสเตียน แล้วท่านทำตัวไม่สมกับการเป็นคริสเตียนเลย ไม่สำแดงคริสเตียนออกมาในชีวิตเลย การสำแดงนี้ ไม่ใช่หมายถึงต้องทำ ท่านไม่สำแดงชีวิต คริสเตียนออกมาเลย ตรงนั้นแหละ คือหมดรสเค็ม สูญเสียรสเค็มไป เจ้าของเกลือเขาก็จะเอาไปถม ยังใช้เกลืออยู่ไหม? ใช้ แต่ใช้ไปถมถนน กับอีกอันหนึ่ง ใช้เอาไปกิน เอาไปทำเนื้อที่จะถวายบูชาแด่พระเจ้า ความสูงส่งมันต่างกันเยอะเลย ท่านเป็นเกลืออย่างนั้นแหละ เดี๋ยวจะพาท่านไปดูข้อ 14

ข้อ 14 บอกว่าท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้

ข้อ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้ว ย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน

ท่านเป็นแสงสว่างแล้ว ท่านมาเข้าสวรรค์แล้ว มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านจะเป็นแสงสว่างและแสงสว่างนั้น ที่พระเจ้าจุดท่าน โดยผ่านทางความเชื่อในเรา พระเจ้าจะไม่ครอบไว้ คือพระเจ้าจะให้แสงสว่างนั้น ฉายแสงในชีวิตของท่าน มันฉายแสงเอง ท่านไม่ต้องจุดความสว่างด้วยตัวเอง พระเจ้าจุดให้ แล้วท่านมีหน้าที่เดินไปสิ  แสงสว่างมีอยู่แล้ว ให้มันผ่านออกมาจากในตัวของท่าน

วิธีให้ ก็คือยอมให้แสงสว่างนี้ มันออกมา ท่านเป็นแสงสว่างอยู่หรือเปล่า? เป็น แต่ท่านไม่ยอมได้ไหม? ได้ โรม 12:1-2 จึงบอกว่าจงถวาย หมายถึงคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว จงถวายอวัยวะของท่านทุกส่วน ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองของท่าน  ให้เป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์ สะอาด จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  เพื่อพระเจ้าจะใช้ได้ ด้วยวิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่าอะไรเป็นที่ชอบพอพระทัยพระเจ้า ท่านควรจะยอมถวายตัวให้กับพระเจ้า ยอมให้แสงสว่างนี้ มันออกมา  ไม่ใช่ท่านทำแสงสว่าง แต่ท่านแค่ยอม มันอยู่ในตัวท่านแล้ว

ข้อ 16 ยิ่งชัดใหญ่เลย ในทำนองเดียวกัน  ถามว่าในทำนองเดียวกันกับอะไรกับเกลือ ความเค็มของเกลือกับแสงสว่างนี้ มาลักษณะเดียวกัน จงให้ความเค็มของเกลือ  ลักษณะของเกลือนั้น มันออกมาจากชีวิตของท่าน ถ้ามันไม่ออกมา พระเจ้าจะใช้ท่านได้แค่เอาไปถมที่ ให้คนเหยียบย่ำ  แต่ก็ยังคงเป็นเกลืออยู่เหมือนเดิม ลักษณะเดียวกัน

“จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ในสวรรค์”

เพื่อเขาจะได้เห็นการดีในการยอมให้ความเค็มของเกลือมันทำงาน ยอมให้แสงสว่างที่พระเจ้าจุดอยู่ในใจของท่านในวิญญาณของท่านทำงาน เพื่อเขาจะได้เห็นการดี พระเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? การดีที่มันอยู่ในวิญญาณของท่าน การดีที่ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นต้นไม้ดีแล้ว เพื่อว่าคนทั้งหลายรอบข้างจะได้เห็นการดีนั้น  การดีนั้น มาจากการบังเกิดใหม่ มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ข้างในท่าน  การดีนั้น ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้ง 9 อย่างออกมาจากชีวิตของท่าน

สรุปรวม ก็คือให้ความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้า ความรักแบบอากาเป้ ที่เหมือนพระเจ้าแล้ว ที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณของท่าน มันออกมา โดยวิธีพยายามทำหรือ? ไม่ใช่  พยายามสร้างหรือ? ไม่ใช่ โดยวิธียอม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Let” ที่แปลว่า “จงยอม”  ไม่ใช่ “จงทำ” จงยอม ไม่ยอมได้ไหม? แล้วยังเป็นแสงสว่างไหม? เป็นเหมือนเดิม ไม่ยอมได้ไหม? ได้ แล้วยังเป็นเกลือไหม? เป็น ท่านก็จะเป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง รักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ โดยการสำแดงความจริงของพระเจ้า คือความรักของพระองค์ออกมาจากชีวิตของท่านที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น รักษาและนำทางแก่ผู้คนรอบข้างในโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป และเราก็เป็นอย่างนั้นหรือไม่? เป็นจริงๆ ใช่ไหม? รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อเป็นคริสเตียน เมื่อบังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะนำไปฉายแสงสว่าง เราไม่รู้ตัวเลย บางทีเราเข้าไปในที่ไม่นึกไม่ฝัน เข้าไปในตลาด ปรากฏว่าไปพบกับคนลำบากลำบน แล้วเราก็ฉายแสงแห่งความรัก ความห่วงใยให้เขา เขาก็มาเชื่อในพระเจ้า เขาก็กลับใจใหม่

มันเป็นอย่างนี้  พระวิญญาณจะนำเราไปเอง ความสว่างจะอยู่ในใจของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา ความเค็ม ไม่ใช่ขี้เหนียวนะ  ความเค็ม คือคุณลักษณะของการที่จะเป็นผู้ที่เยียวยารักษาโลกใบนี้ ยังอยู่ในวิญญาณของเรา ไปที่ไหน ก็รักษาเขาไปทั่ว แต่มีข้อแม้ว่าเราต้องยอม เพราะพระเจ้าไม่มีทางบังคับใครเลยแม้แต่คนเดียว บังคับไม่ได้เลย ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลาย  ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์ทรงสร้างและบังคับให้มันหรือเขาทำตามพระองค์ ไม่มีเลย เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองว่าเขาจะเชื่อฟัง นมัสการพระเจ้าหรือไม่ หรือจะดื้อดึงต่อพระองค์ เหมือนอย่างลูซีเฟอร์ที่ตัดสินใจ ที่จะดื้อต่อพระองค์ ที่จะไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ เหมือนกับอาดัมและเอวาที่ตัดสินใจเองว่าจะไม่เชื่อในพระองค์ จะต่อต้านพระองค์เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าที่บังเกิดใหม่แล้ว  สะอาดบริสุทธิ์แล้ว  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราภายในแล้วก็ตาม  แต่เราก็ยังมีสิทธิ์ ที่พระเจ้าให้ไว้ ที่จะทำตามพระองค์หรือไม่ก็ตาม วิญญาณทำตามอยู่แล้วแน่นอน แต่ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในการล่อลวงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อาจจะถูกล่อลวงให้ตัดสินใจผิดไปก็ได้  มันเป็นไปได้เสมอ อย่างนี้เป็นต้น

คราวหน้าเราจะมาดูกันต่อว่าพระเยซูพูดกับคนที่มีใจแตกต่างกับ 16 ข้อที่ผ่านมานี้อย่างไร?

16 ข้อที่ผ่านมาวันนี้ พูดถึงชาวยิวที่พร้อมแล้ว เล็งมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ได้นะ พูดกับชาวยิว แต่ก็สามารถเอามาใช้กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าในทุกวันนี้ได้ เป็นคนต่างชาติก็ได้ว่าผู้ที่จะมาแสวงหาพระเจ้า ที่จะมาพบกับความรอดในพระเยซูคริสต์ พบกับการได้บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์เลย ณ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เข้าสวรรค์เลย ต้องมีท่าทีที่ต้องรู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ ต้องการการช่วยเหลือ และไม่เย่อหยิ่งที่จะทำด้วยตนเอง แต่หาตัวช่วย หาคนช่วย เรารู้แล้วว่าเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้น หลังจากบทที่ 5 ข้อ 16 ไปแล้ว เริ่มตั้งแต่ข้อ 17 พระองค์ก็จะพูดเน้นไปที่ดินประเภทที่ 4 คือดินที่แข็งกระด้าง ดินที่รับเมล็ดพันธุ์ไม่ได้  เมล็ดข่าวประเสริฐไม่ได้  ดินที่มีใจแข็งกระด้าง มนุษย์ที่มีใจแข็งกระด้าง เย่อหยิ่ง ดูสิว่าพระเยซูพูดกับคนที่เย่อหยิ่งอย่างไรในครั้งต่อไป  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

1 โครินธ์ 3:12 -13 TH1971 …

ข้อ 12 “บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง”

 

การงานแบบไหนกัน ที่จะตีค่าเป็นทองคำ เงิน เพชรพลอย? และการงานไหนที่ตีค่าเป็น ไม้ หญ้าแห้ง ฟาง? ในตอนที่แล้ว ได้ถามว่าผู้รับใช้สานงานต่อจากอัครทูตเปาโลอย่างไร?

ก. ก่อขึ้นบนสติปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์

หรือ …

ข. ก่อขึ้น บนข่าวประเสริฐในพระคริสต์

 

เรามองแล้วก็ พอจะเดาออกใช่ไหมว่าการงานที่ก่อขึ้น บนข่าวประเสริฐในพระคริสต์ คือทองคำ เงิน เพชรพลอย  และการงานที่ก่อขึ้น บนสติปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์  คือ ไม้ หญ้าแห้ง ฟาง

 

ต่อมาในข้อ 13 ได้กล่าวว่า … “การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น   เพราะวันเวลาจะพิสูจน์ตัดสินให้เห็นได้ชัดเจนเหมือนไฟ”

 

ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร?  สิ่งที่ทำนั้น ดูผลลัพธ์ตอนแรกๆ ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร แรกๆ การงานทุกอย่างทั้ง แบบ ก.และแบบ ข. อาจดูเกิดผลคล้ายๆ กัน แต่เวลาและไฟ จะเป็นตัวพิสูจน์ความคงทนอยู่ของการงาน ที่ผู้รับใช้หว่านลงไปในชีวิตของผู้เชื่อ

“เวลา”   คือระยะเวลาเห็นผลแตกต่างกันออกไป  แล้วแต่บุคคล  เพราะแต่ละบุคคลก็จะผ่านสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป กำหนดเวลาที่จะเห็นผลก็จะต่างระยะกันไป

“ไฟ”   คือการถูกข่มเหง ต่อต้าน ข่าวประเสริฐ สถานการณ์ ความทุกข์ยาก ความลำบาก ความเจ็บไข้ได้ป่วย ว่าความเชื่อที่มีต่อข่าวประเสริฐในพระคริสต์ นั้นแท้จริง หรือไม่จริง

 

ในบริบทนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นบึงไฟในวันพิพากษา  หากพิจารณาดีๆ เราจะพบสิ่งที่เปาโลพยายามจะสื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าไฟนั้น คือเหตุการณ์และสถานการณ์  ในชีวิตของผู้เข้ามาเชื่อในพระเจ้านั่นเอง  หากผู้เชื่อได้ถูกปลูกฝังวางรากความเชื่อในข่าวประเสริฐแท้ของพระคริสต์ลงไปในชีวิต  พวกเขาจะบังเกิดใหม่  ทนอยู่ได้และยังเชื่อไป  จนลมหายใจออกจากร่าง  เพราะพวกเขาได้พบชีวิตที่แท้จริงแล้ว บนรากฐานของพระคริสต์

หากผู้เชื่อได้ถูกปลูกฝังวางรากความเชื่อในสติปัญญาอันชาญฉลาดของมนุษย์   พวกเขาจะทนอยู่ไม่ได้   จะสับสน  จะสงสัย  พวกเขาจะกังวลและหวั่นไหว แทนที่จะมีสันติสุขและความหวังเต็มเปี่ยมในพระเยซูคริสต์ ผู้สอน ผู้เลี้ยงดูที่ได้ลงแรงลงกาย เสียเวลาไปเลี้ยงดู ก็จะขาดทุนเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ แต่เขาจะได้รับความรอด ถ้าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1377

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  สิงหาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 1

“จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายวันนี้ ผมใช้ชื่อเรื่องว่า “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ทำไมเราต้องมีการมาคุยกันเรื่องนี้  ก็เพราะว่าจนทุกวันนี้ คริสเตียนที่มีหลักข้อเชื่อเหมือนกัน  ซึ่งน่าจะพูดว่าควรจะเหมือนกัน  อ่านพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน แต่การตีความหมาย และความเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้าหลายๆ แห่ง  ยังไม่ตรงกัน แตกต่างกัน  ซึ่งหลายเรื่องก็เป็นความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ตรงกับข่าวดีของความจริงของพระเยซูคริสต์เลย แต่เป็นเรื่องของการทำตามธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา  หรือตามความเชื่อที่สอนต่อๆ กันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งเราก็ได้เรียนกันมาเยอะแยะแล้วว่าหลายเรื่องไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้าในนั้นเลย ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้สังเกต เราก็ปล่อยมันไป เชื่อตามๆ กันมา เขาว่าอย่างนั้น ก็ว่าอย่างนั้นไป ถามจริงๆ แล้วว่าใช่ไหม? ทำไมมันไม่ใช่  ไม่แน่ใจ อย่างที่ผมพูดย้ำมาตลอดว่าการตีความถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ประเด็นที่สำคัญที่สุด คืออะไร?

อย่างแรกเลย เราต้องทราบก่อนว่าถ้อยคำตรงนั้น วลีนั้น กำลังพูดหรือเขียนถึงใคร?  และในบริบทนี้ กำลังพูดเรื่องอะไร? อย่าลืมว่าเราอ่านพระคัมภีร์เท่ากับว่าเรากำลังไปอ่านจดหมายของคนอื่นเขา ไปแอบอ่านของคนอื่นเขา  ไม่ได้แอบหรอก แต่จริงๆ ไปอ่านของคนอื่นเขา  ต้องรู้สิว่าเขาเขียนถึงใคร? เรื่องอะไร? ไม่ใช่จู่ๆ ไปเอานิดหนึ่งมา แล้วก็มาตีความเอง  ไม่ใช่หยิบเอาแค่ประโยคเดียว วลีเดียว แล้วก็พยายามตีความหมาย โดยการเพิ่มความคิดของตัวเองเข้าไป  ความเข้าใจของตัวเองเข้าไป สติปัญญาของมนุษย์เข้าไป  และความต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นของตัวเองเข้าไป  ตีความตามความต้องการของตัวเอง  เขาเรียกว่าคอนซับชั่น อุปทาน นึกเอาเองว่า …

“ฉันอยากได้อย่างนี้”

ก็เอาถ้อยคำนี้มาใส่

“ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูยากจน ทำให้ฉันร่ำรวย  ฉันอยากรวย ฉันก็เลยบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้ฉันรวยแล้วๆ”

ซึ่งมันไม่ใช่ มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณต่างหาก อย่างนี้เป็นต้น เราเรียนรู้กันมาบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็ต้องระวังในการอ่าน  ทำความเข้าใจในบริบท  “บริบท” คือเรื่องราวทั้งเรื่องว่าเขาพูดถึงใคร? พูดอะไร?  พูดหมายความว่าอะไร?  อย่าหลงประเด็น เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ เหมือนที่เราพูดกันอยู่เสมอว่าต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้มันถูกก่อน  เพราะถ้ากระดุมเม็ดแรกผิดไป ต่อมาทั้งหมด มันก็จะผิดหมด มันจะยุ่งและแก้กันไม่ออกเลยคราวนี้ และเพราะมีการตีความหมายกันผิดๆ แบบนี้  มีการเข้าใจไม่ถูกต้องอย่างนี้  แล้วก็สอนกันต่อๆ มาอย่างนี้ มันจึงมีคำถามเกิดขึ้นตลอดเวลาว่าทำไมถ้อยคำในพระคัมภีร์ตรงนี้ มันขัดแย้งกับถ้อยคำตรงโน้น  บางข้อหาคำตอบมาอธิบายไม่ได้  ก็พยายามยัดเยียดเหตุผลทางโลกเข้าไป  ยัดเยียดความคิดของมนุษย์เข้าไป เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นใช่หรือไม่? คิดในใจนะ

แต่ถ้ากระดุมเม็ดแรกถูก พื้นฐานความเชื่อในหัวใจของข่าวประเสริฐถูกต้องเป๊ะ พื้นฐานถูกปุ๊บ  ถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  จะไม่มีตรงไหนขัดแย้งกันเลย แม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งจบวิวรณ์ มันจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด เรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องข่าวดีของพระเจ้า  เรื่องการมาช่วยกู้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เรื่องความดีงามของพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมนไหม? มันต้องเป็นอย่างนี้ ถูกไหม?

วันนี้ก็เลยอยากมาย้ำยืนยันอีกครั้งให้กับสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีสมาชิกบางท่านยังมีคำถามอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อ แต่ว่าเขาได้ยินของเก่ามา ยังจำของเก่าอยู่ ยังสังเกตว่าเอ๊ะ! ของเก่า อย่าว่าแต่ว่าเขาได้ยินจากที่อื่น  แม้เราเอง ผมเอง และศิษยาภิบาลที่สอนบนนี้เอง ก็ยังเคยสอนแบบผิดๆ มาก่อน แต่พอเรารู้ เราก็แก้ไข พอแก้ไข สมาชิกได้ยินของเก่าไป ยังจำของเก่าได้  ยังไม่ได้แก้ ยังมาถามว่า …

“มันแย้งกับตอนที่แต่ก่อนนี้ อาจารย์สอนว่าอย่างนี้ไง”

ต้อง “ขอโทษครับ อันนั้นมันผิดไปแล้ว ยังไม่รู้ ขอบคุณพระเจ้า”

ตอนนี้รู้แล้ว ก็เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ ก็เลยมาตอบคำถามให้กับสมาชิกที่ยังสงสัย ยังอยากจะเรียนรู้ ไม่ใช่สงสัย เพราะว่าต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ สงสัยเพราะอยากจะเรียนรู้ต่อเนื่อง อย่างนี้ดีนะ

และท่านใดที่ยังสงสัยตรงไหน? ได้ยินตรงไหน? อ่านตรงไหนไม่เข้าใจ  แล้วรู้สึกมันแย้งกัน  ทำไมไม่เหมือนกับที่เราได้เรียนรู้มา ไม่ว่าจะที่นี่ หรือที่ไหนก็ตามที่เราได้ยินมา มันไม่ตรงกัน แล้วมันแปลว่าอะไรจริงๆ หรือแม้กระทั่งอ่านดูแล้ว บางเรื่องไม่เข้าใจ อยากจะเรียนรู้เพิ่มขึ้น ก็สามารถถามเข้ามาได้ ผมและคณะศิษยาภิบาลก็จะเอามาย่อยให้ เอามาเปิดเผยให้  เอามาเรียนรู้กัน  มานั่งวิเคราะห์ เอามาคุยกัน  ถือว่าเป็นการมาคุยกันดีกว่าว่าอย่างนี้มันใช่ไหม? ตามเหตุและตามผลเลยนะ  เพราะฉะนั้น อย่าได้รู้สึกเกรงใจ  หรือพอมีอะไรแย้งแล้ว ไม่กล้าถาม  อยากให้ถาม อยากให้แย้ง และอยากให้ฟังจริงๆ เลย เพราะเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามหลักของการอยู่ร่วมกันในคริสตจักรของพระเจ้า  คือต่างฝ่ายต่างเป็นร่างกายของพระคริสต์  เสริมสร้างซึ่งกันและกัน ตรงนี้คนนี้พลาด ตรงนี้คนนี้ไม่เข้าใจ คนนี้มาเสริม คนนี้พลาด  คนนี้มาเสริม เสริมซึ่งกันและกัน ตรงไหนขัดแย้งกัน อย่าลืมนะ ท่านสามารถส่งคำถามมาได้เลย เขียนจดหมายมาก็ได้

มาถึงคำถามจากผู้เชื่อ ที่จะมาอธิบายในวันนี้ ดูสิว่าตรงกับของใครที่ตั้งใจไว้ ที่ส่งคำถามเข้ามา แล้ววันนี้มีการนำขึ้นมาวิเคราะห์กัน ก็คือในหนังสือมัทธิว 6:33 อันนี้ดังมาก อ่านปุ๊บ ทุกคนจะได้ยินมา จะได้รู้ว่าที่ได้ยินมา และได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เอาไปใช้แล้ว มันตรงกับบริบทนี้ไหม?  ที่บอกว่า …

มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

เอเมนไหม? เอเมน

คำถาม คือฟังนะ ตรงนี้ใครๆ ก็ได้ยิน ใครๆ ก็จำได้ คริสเตียนจะจำได้มากเลย ผู้เชื่อถามว่า …

“เขาจะต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์มากเท่าไรในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ถึงเรียกว่าแสวงหาก่อน”

ชักจะไม่ค่อยเอเมนแล้วนะ

“เขาจะต้องให้ความสำคัญกับการอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ การไปโบสถ์วันอาทิตย์ การถวาย การรับใช้พระเจ้าในงานประกาศมากสักเท่าไร ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”

มีคำว่าก่อน ก็แปลว่าต้องมีเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น  ต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอะไรล่ะ?  ก่อนการทำมาหากิน ก่อนการทำกิจกรรม หรือก่อนงานอดิเรกอย่างนั้นหรือ? คิดแล้วใช่ไหม? คิดตามแล้ว

คำถาม ก็คือ … “แล้วจะเปรียบเทียบกันอย่างไรล่ะ  เพราะการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เราก็ยังต้องทำมาหากิน ยังมีหน้าที่การงาน ยังต้องดูแลครอบครัว ยังมีงานอดิเรก มีกิจกรรมต่างๆ มีความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ปฏิสัมพันธ์กันต่างๆ  เช่นนี้แล้ว เรายังต้องแสวงหาอาณาจักรของสวรรค์ และความชอบธรรมของพระเจ้ามากขนาดไหน? ถึงจะตรงตามเงื่อนไขก่อนกิจกรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด”

นี่เขาคิดดีนะ  เขาถามดีนะ ซึ่งจริงๆ อยู่ในใจพวกเราทุกคนอยู่แล้ว  แต่เราไม่มีโอกาสถาม

ผู้เชื่อที่มีงานอดิเรกที่ชอบทำเป็นประจำ … งานอดิเรกของท่าน คืออะไร? คริสเตียน ทำกับข้าว ออกกำลังกาย  เดินชมสวน เดินช้อปปิ้ง ตีกอล์ฟ แล้วมีอะไรอีกเยอะแยะ เตะฟุตบอล ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเครื่องดนตรี  ผู้เชื่อที่มีงานอดิเรก ที่ชอบทำเป็นประจำบ่อยๆ จนเป็นงานอดิเรก ซึ่งทำให้ชีวิตเขา ครบถ้วนบริบูรณ์ สนุกสนาน  มีชีวิตชีวา มีความสุขในพระคริสต์ เพราะเขาเป็นคริสเตียน

ผู้เชื่อที่ปากกัด ตีนถีบ เต็มไปด้วยความเครียด  และมีความวิตกกังวลในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หาเช้ากินค่ำ มีไหม? มี เยอะไหม? เยอะ คนเหล่านี้เขาต้องแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าเท่าไร? ต้องเอาเวลาไปหาเท่าไร?  นี่เขาหาแค่นี้ ก็แทบไม่มีเวลาทำมาหากินแล้ว เคยคิดไหม?

และผู้เชื่อที่มีสถานะเป็นพ่อแม่ ที่ต้องเฝ้าดูแลลูกตลอดเวลา เลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่ดี หาเช้ากินค่ำ ลูกจะเปิดเทอมอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ต้องหาเงินเพิ่มเติมอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ต้องใช้ เขาจะต้องเจียดเวลามาแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อนการไปหาเงินเหล่านั้น การทำหน้าที่เหล่านั้น มากสักเท่าไร? ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจว่าเขาทำถูกต้องแล้ว ผู้เชื่อเหล่านี้  ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่คือชีวิตจริงๆ ของเรา ใช่หรือไม่? วันทั้งวันก็มีงานมีการทำ ยุ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน

ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างนี้ ที่เราพยักหน้า ใช่ มันก็เป็นชีวิตของคริสเตียน ในทุกยุคทุกสมัยก็จะเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนไม่แตกต่างกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียนเลย  และดำเนินชีวิตอย่างนี้ในฐานะคริสเตียน  ก็มีคนมาหาคุณ คนที่มีความหวังดี แต่โลกไม่ต้องการ  มาถึงบอกว่า …

“คุณรู้ไหม? คุณใช้เวลากับงานอดิเรกมากเกินไป คุณควรแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระพรถึงจะตามมา”

แล้วคุณจะมีความรู้สึกอย่างไร?  คุณต้องสละเวลา มาโบสถ์วันอาทิตย์ มาร่วมสัมนา ศึกษาพระคัมภีร์ เรียนรู้ หรือเข้าห้องรวีตอนเช้า ซึ่งสำคัญมาก  อธิษฐานโต้รุ่งเยอะๆ แสวงหาพระเจ้าก่อนสิ แล้วพระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งที่คุณขาดอยู่นั้นให้  สิ่งที่คุณกำลังหาอยู่ สิ่งที่คุณหาเช้ากินค่ำอยู่ พระองค์จะเติมให้ แล้วคุณจะคิดอย่างไร?  คุณจะมีความสุขกับความหวังดีที่เขาแนะนำคุณอย่างนั้นหรือไม่?  แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าขึ้นมาพูด …

“พระเยซูบอกให้คุณหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

สะดุ้งเลย พอบอกถ้อยคำของพระเจ้า แล้วแถมพระเยซูพูดเอง ยิ่งสะดุ้งใหญ่เลย

“คุณมีกิจกรรมอื่นๆ ทำเยอะแยะ ทางโลก เยอะเกินไปไหม? มากกว่าทางโลกฝ่ายวิญญาณไหม?  ถ้ามากกว่าทางโลกฝ่ายวิญญาณ ก็แปลว่าคุณไม่แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

อะไรประมาณนี้  ยังมีอีกเยอะแยะ นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจคริสเตียนทั้งหลายทั้งหมด ถึงข้อพระคัมภีร์นี้นั่นเอง  เพียงแต่พูดหรือไม่พูด? สนใจหรือไม่สนใจ? เก็บเอาไว้อยู่ในใจ และเก็บเอาไว้ด้วยความทุกข์ ไม่ใช่ไม่ทุกข์ แต่เป็นทุกข์ที่มองไม่เห็น มันคาใจอยู่ข้างใน ทำอะไรก็ไม่มีอิสระ

“ไหนพระเยซูบอกว่ามาหาพระองค์ แล้วเราจะเป็นอิสระ พระวิญญาณสถิตอยู่ที่ไหน? ที่นั่นมีอิสระ”

นี่อิสระที่ไหน? มันทุกข์ทรมานมาก ทำอะไรก็ฟ้องผิด  ไม่มาคริสตจักร ก็ฟ้องผิด ไม่อธิษฐาน ก็ฟ้องผิด  ไม่อ่านพระคัมภีร์ ก็ฟ้องผิดว่าแสวงหาน้อยไป เพราะฉะนั้น คงจะทำอะไร ก็ไม่เจริญมั้ง  วันนี้มีมาตอบแล้ว

วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กัน  เมื่อมีการวิเคราะห์ ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเอาข้อความนี้ข้อความเดียว แล้วมาตีความว่านี่มันหมายความว่าอย่างนี้  โดยไม่มีเหตุมีผลว่ามันมาจากไหน? มาจากผมคิดเองหรือ?  ไม่ใช่ ถ้ามาจากผมคิดเอง ผมก็ตอบเลยว่าคำตอบคืออย่างนี้ๆ แต่วันนี้วิเคราะห์ คือมาดูเหตุผลกันว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่? มัทธิว 6:33 อ่านอีกครั้งหนึ่ง …

มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

ก็อย่าลืมนะ ทุกครั้งที่เราศึกษาพระคัมภีร์ ต้องเข้าใจในบริบทก่อนว่าถ้อยคำตรงนี้ เขียนถึงใคร?  และกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?  ถ้อยคำนี้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า “แต่” ก็แปลว่าต้องมีเรื่องราวก่อนหน้านี้  ที่ต้องย้อนกลับไปดูก่อนว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? แล้วค่อยมาถึงคำว่า “แต่” ถูกไหม?  บางทีมันคำเดียวเองนะ สำคัญมาก  ในพระคัมภีร์ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าไปนึกว่าเป็นวลีใหญ่ๆ คำเยอะๆ แล้วถึงจะสำคัญ

จริงๆ คำว่า “แต่”  คำว่า “ดังนั้น “ คำว่า “เพราะฉะนั้น” คำว่า “เหตุฉะนั้น” คำว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า” สิ่งเหล่านี้ คำเดียวเอง  ประโยคเดียวเอง นิดเดียวเอง แต่มีความหมายมากมายเลย “เพราะฉะนั้น” อย่างนี้ ต้องไปดูแล้วว่าเพราะฉะนั้น คืออะไร? ก่อนหน้านี้ จะมีอะไรมา ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

ตอนนี้เราจะย้อนกลับไปดูที่มัทธิว บทที่ 4 ดูสิว่า “แต่” มันมาจากไหน?  ดูมัทธิว บทที่ 4 ก่อนหน้านั้น มีบันทึกไว้ว่าพระเยซูได้เริ่มต้นภารกิจของพระองค์ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ตั้งแต่ตอนอายุ 30 ปี  ได้บันทึกไว้ในบทที่ 4 พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เราทราบดี มาจากแมรี่ หญิงพรหมจารี ตั้งแต่ขวบแรกจนถึงอายุ 30 ปี ไม่ได้ทำเรื่องประกาศเลย  ดำเนินชีวิต  เป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า 1 คนเท่านั้นเอง

เริ่มต้นอายุ 30 จึงเริ่มประกาศ จึงเริ่มการงานของพระองค์ เริ่มต้นจากการเข้าบัพติศมา โดยยอห์นบัพติศโต หลังจากบัพติศมาปุ๊บ ก็เข้าไปสู่การเตรียมพร้อม  โดยการอดอาหาร แล้วมารก็มาทดลองในถิ่นทุรกันดาร 40 วัน พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ หลังจากนั้นแหละ เริ่มต้นภารกิจ 3 ปีของพระองค์ ตรงนี้แหละ คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ดูสิว่าพระองค์มาทำอะไร? ตั้งแต่อายุ 30 ปี มัทธิว 4:17 …

มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่าจงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”

 

“ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า “จงกลับใจใหม่

กลับใจใหม่เพราะอะไร? เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว พระเยซูกำลังพูดกับคนยิว  เดี๋ยวจะเห็นชัดเจน ผมจะพาท่านไปดุ  กำลังพูดกับชาวยิว  ให้ชาวยิวกลับใจใหม่ แสดงว่ากลับใจจากการไม่เชื่อฟังในพระเจ้า  เพราะว่าสวรรค์มาใกล้แล้ว สวรรค์ คือพระเมสิยาห์ ที่ชาวยิวรู้จัก ได้ยินมาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปี บรรพบุรุษบอกให้ฟังแล้ว พระเจ้าสัญญาแล้วว่าพระมาซียาห์จะมา พระองค์จะมาเป็นผู้เริ่มต้นสวรรค์ที่นี่  พระองค์จะนำเอาอะไรต่างๆ ที่เผยพระวจนะในอดีตมา  แล้วชาวยิวเหล่านี้ ลืมไปแล้ว เพราะว่าผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตั้งแต่สมัยมาลาคี มาถึงตอนนี้หลายร้อยปีแล้ว ไม่มีการเผยพระวจนะอีกเลย ชาวยิวส่วนใหญ่จึงลืมเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญา พระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์มา คือพระมาซีฮาห์จะมาช่วยเหลือมนุษย์

ชาวยิวคือใคร? คือตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวงนั่นเอง เริ่มต้นจากชาวยิวนี่แหละ  ชาวยิว ก็คือชาวอิสราเอล ซึ่งพระเจ้าดูแลเป็นพิเศษ นำพามาตั้งแต่ต้น หลายพันปีแล้ว  พระองค์จึงมาบอกกับชาวยิวว่ากลับใจใหม่เสีย มาถึงแล้ว ที่สัญญาไว้ตั้งนาน รอแล้วไม่มาๆ ก็เลยลืมไปเลย ลืมแล้วไปอยู่ในหนทางของตนเอง ชื่นชมยินดีกับบัญญัติ 10 ประการ บัญญัติ 613 ข้อ ที่โมเสสเขียนขึ้นมา ที่พระเจ้าให้ทำตาม ชื่นชมยินดีว่ารักษาบัญญัติ  ทำตามบัญญัตินั้น ก็พอแล้ว

ลืมไปว่าธรรมบัญญัตินั้น พระเจ้าบอกให้บัญญัติชั่วคราวเท่านั้นเอง  แล้ววันหนึ่งเราจะส่งพระบุตรมา  ส่งพระมาซีฮาห์มา ลืมข้างหลังไป  พอใจแต่รักษาบัญญัติ มั่นใจในการรักษาบัญญัติ ก็คือมั่นใจในการกระทำตามบทบัญญัติ  เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ตามบัญญัติเดิมนั่นเอง  ซึ่งพระเจ้าบอกไม่ใช่ นั่นเป็นเงา  จริงๆ แล้ว จะเล็งถึงพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ คือพระมาซีฮาห์ที่จะมาเกิด และตอนนี้พระองค์มาเกิด ยืนอยู่ที่นี่แล้ว พระองค์มาประกาศว่าจงกลับใจใหม่ เพราะผู้ที่ท่านรอคอย พระมาซีฮาห์ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว  มาประกาศเอง คือสวรรค์มาแล้ว กำลังพูดอยู่นี่ นั่นหมายถึงอย่างนั้น

เราลองมาดูข้อ 23 บทเดียวกัน  อันนี้ชัดเจนเลยว่าชาวยิวแน่นอน …

มัทธิว 4:23 “พระเยซูเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงในหมู่ประชาชน”

 

ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา  “ธรรมศาลา” มีที่เดียว ก็คือในพวกชาวยิว ธรรมศาลา คือที่ๆ ชาวยิวมารวมกันเรียนพระคัมภีร์เดิมสมัยก่อน  “พวกเขา” ก็คือพวกชาวยิว ทำอะไร? ประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องอาณาจักรของพระเจ้า  (ที่พวกเขาลืมไปหมดแล้ว)

ข่าวดีที่เผยพระวจนะมาในอดีต เป็นพันๆ ปีว่าสวรรค์จะมาแน่นอน พระมาซีฮาห์จะมาแน่นอน  อาณาจักรของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่แน่นอน  ตามที่เขารอคอยกันมาตั้งนาน  ตอนนี้มาแล้วนั่นเอง

นี่คือภารกิจของพระเยซู ที่มาประกาศ ผมใช้คำนี้ว่าประกาศ  ผมจึงไม่อยากใช้คำว่าสอน  เพราะว่าสอน ทำให้คนเข้าใจผิด  โดยเฉพาะคนไทย พอบอกว่าสอน  ก็นึกถึงการกระทำ เพื่อเราจะทำอะไรบางอย่าง  แต่นี่ไม่ใช่ นี่เป็นการมาประกาศบอกว่าสิ่งที่สัญญาไว้ มาแล้ว มาจริงๆ แล้ว แล้วเรา คือผู้นั้น  แล้วก็เริ่มต้น มุ่งตรงไปประเด็นนี้ตลอดเลย  โดยการทำหมายสำคัญ อัศจรรย์ เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงของประชาชนให้หาย เริ่มทำอัศจรรย์ต่างๆ เพราะว่าไม่มีใครทำได้เลย ชุบคนตาย ก็ไม่มี มีพระองค์ทำได้ผู้เดียว  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นผู้นั้นจริงๆ อันนี้เติมให้ฟัง

แล้วพูดถึงข่าวดี ข่าวประเสริฐ เรื่องพระเจ้า คืออะไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือพระองค์มาแล้ว แล้วใครที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระองค์ วางใจในพระองค์ที่พระเจ้าส่งมานั้น  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่และเข้าสวรรค์ได้ พระองค์บอกว่าถ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้หรอก  นี่คือการประกาศ บอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่ ท่านจะมาใช้การพึ่งพาตนเอง  ทำให้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเองเป็นไปไม่ได้แล้ว ต้องมาบังเกิดใหม่เท่านั้น  และต้องผ่านทางพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แล้วท่านถึงจะได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับความรอด  ได้รับชีวิตนิรันดร์  พระองค์กำลังมาประกาศเรื่องนี้  ทั้งหมดเลย นี่พูดเติมให้มากกว่าข้อพระคัมภีร์ในวันนี้  ที่สงสัย

อุปมาต่างๆ ก็จะพูดถึงเรื่องนี้ว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เป็นอย่างไร?  ต้อนรับพระองค์ คืออะไร?  คือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน เป็นกิ่งที่เข้าไปต่อกับพระองค์ เป็นหินที่เข้าไปต่อกับพระองค์ พระองค์เป็นศิลามุมเอก เราเป็นศิลาเล็กๆ ที่เข้าไปต่อ  ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรา เขาจะเกิดผล  มีชีวิตนิรันดร์ อะไรประมาณนั้น  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ กำลังประกาศข่าวดีเรื่องสวรรค์ จะได้ไม่ลืมเรื่องวิเคราะห์เมื่อตะกี้นี้อยู่

ตรงนี้ คือที่บอกว่าเป็นกระดุมเม็ดแรกนั่นเอง ทุกครั้งที่อ่าน หรือศึกษาพระคัมภีร์ ต้องยึดความจริงตรงนี้เป็นหลักก่อนเลย ทุกครั้งที่อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่านเรื่องราวการประกาศของพระเยซูคริสต์ ในตลอด 3 ปี ในหนังสือพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม ทุกครั้งที่อ่าน จะศึกษานั้น ต้องยึดความจริงตรงนี้ให้เป็นหลักเลยว่าพระองค์กำลังมาทำอะไร?  เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ต้องกลัดให้ถูกต้องก่อน ก็คือพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น การบังเกิดใหม่ การต้อนรับพระเยซูคริสต์ การเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือโลกวิญญาณ การกินเนื้อพระองค์ กินเลือดพระองค์ ก็คือโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่มก็เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ท่านต้องรู้

ตลอดระยะเวลา 3 ปี พระเยซูคริสต์ตระเวนประกาศ พระองค์ประกาศแต่เรื่องอาณาจักรของสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า  ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติ

มาสอนเรื่องที่ว่าวิธีจะเข้าสวรรค์เขาเข้ากันอย่างไร?  ก็คือวางใจในพระมาซีฮาห์ แล้วก็ได้รับความรอด จบ ถ้าบอกว่าจะสอน พระองค์สอนอยู่แค่นี้  สอนว่าวางใจในพระองค์ วางใจในพระมาซีฮาห์ และท่านจะรอด  ท่านจะได้บังเกิดใหม่ จบ  นี่คือกระดุมเม็ดแรก

กระดุมเม็ดแรกมีอะไรอีก มีทางเดียวเท่านั้น ที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  และต้องผ่านทางพระองค์เท่านั้น  และมีทางเดียวเท่านั้น  ที่จะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ก็คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่พระเจ้าส่งมาให้นั่นเอง  นี่คือพื้นฐาน กระดุมเม็ดแรกของการอ่านพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และไม่มีการกระทำใดๆ บนโลกนี้ ที่สามารถนำไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เลย  ไม่ว่าการกระทำนั้น จะดีขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้เป็นผู้ชอบธรรมครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อม  ที่จะเข้าสวรรค์ได้เลย แม้แต่นิดเดียว

นี่คือกระดุมเม็ดแรกพื้นฐาน  ที่ท่านต้องเรียนรู้ก่อน ที่จะอ่านพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม เอาตรงนี้เป็นพื้นฐาน ท่านจะได้ไม่หลง

เราย้อนกลับไปดูว่าบริบทก่อนที่จะมาถึงข้อ 33 ที่วันนี้เราวิเคราะห์กัน ที่บอกว่าจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ก่อนหน้านั้น กล่าวถึงอะไร? อยากให้อ่านมัทธิว 6:19-20 ก่อน

มัทธิว 6:19-20 “19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้”

 

เห็นไหมครับ สะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ก็คือการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอด      ได้รับชีวิตนิรันดร์   ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์   ได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ในสวรรคสถานนิรันดร์ ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศเอาไว้นั่นเอง

การแสวงหาทรัพย์สิ่งของบนโลก ก็คือดำเนินชีวิตเหมือนปุถุชนคนธรรมดานั่นแหละ ทำมาหากิน เอาแต่สะสมทรัพย์ ซึ่งมันเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น อย่างนี้เป็นต้น

มัทธิว 6:25-31 จำเมื่อสักครู่นี้ด้วย อ่านข้อ 20 อีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวเราจะย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ …

มัทธิว 6:19-20 “19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลก ที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้

 

สะสมทรัพย์ตรงนี้ ไม่ใช่หมายถึงสะสมทรัพย์ทีละบาทๆ ไม่ใช่นะ  คือการเก็บรักษา คือให้พุ่งตรงไปที่การมีทรัพย์สมบัติ  เก็บเอาไว้อยู่ในสวรรค์ ตอนดำเนินชีวิตบนโลกนี้อยู่  มีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์แล้ว  มันแปลว่าอย่างนั้นนะ  ไม่ใช่มานั่งเก็บทีละนิดๆ ตรงนี้ความหมายเดิม แปลว่าการมี การเก็บไว้  จำตรงนี้ไว้นะ เดี๋ยวกลับมาอีกที มัทธิว บทที่ 6 ต่อมาข้อ 25-31 เข้าใกล้ข้อความที่วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันในมัทธิว 6:33 ตอนนี้มาถึงมัทธิว 6:25-31 …

มัทธิว 6:25-31 “25 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม ไม่ใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่า เท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ 31 ฉะนั้น อย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม’”

 

พระเยซูกำลังบอกว่าการทำมาหากิน การสะสมทรัพย์ การหาทรัพย์ หากินบนโลกใบนี้  ไม่ใช่ไม่สำคัญนะ สำคัญ  แต่มันน้อยกว่าสิ่งที่พระองค์กำลังจะพูดถึงนี้ มันน้อยกว่ามาก  แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้าซะ  ขนาดพระเจ้ายังดูแลนกในอากาศ ต้นไม้ ดอกหญ้าขนาดนั้น  ดูแลชีวิตท่านมากกว่านั้นอีก  ท่านไม่ต้องเครียดมากนักสำหรับเรื่องนี้  แต่มาเครียดเรื่องนี้ดีกว่า เรื่องอะไร? “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน”

ในบริบทตรงนี้ พระเยซูกำลังแยกให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างทรัพย์สินบนโลกใบนี้  ซึ่งเป็นทรัพย์สินชั่วคราว  จะกิน จะอยู่ จะมีชื่อเสียงโด่งดัง  จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญเท่าไร? ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่ตั้งหน้าตั้งตาหาตรงนี้กันทั้งนั้น 100%

มนุษย์แสวงหาสิ่งเหล่านี้ ด้วยความเครียด กังวล วิตก พระองค์กำลังเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เรากำลังวิตก กำลังหาเหล่านี้ มันอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง มันจำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใช่  แต่มันแค่ชั่วคราวเอง  พระเจ้าดูแลได้ เทียบกับทรัพย์สินตามพันธสัญญาของพระเจ้า ที่เป็นนิรันดร์ในพระคัมภีร์ในชีวิตนิรันดร์นั้น มันเทียบกันไม่ติดเลย  ก็คืออาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ ตรงนี้มันสำคัญกว่ามาก

ในข้อ 25 ที่บอกว่าอย่าวิตกกังวลกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม หรือพะวงกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ก็คืออย่าวิตกกับการพยายามสะสมทรัพย์ชั่วคราวนั้น การทำมาหากินนั้น อย่าวิตกกังวลบนโลกใบนี้ เพราะมันไม่สามารถช่วยอะไรเราได้ หลังจากที่เราตายจากโลกนี้ไปแล้ว สมบัติอะไรต่างๆ ที่เราหาได้บนโลกใบนี้ ที่เรากังวลและพยายามทำมาหากินเยอะแยะ ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่มันช่วยท่านไปอยู่สวรรค์ไม่ได้ มันไม่สามารถที่จะติดตัวท่านตอนตายไปได้นั่นเอง

ทรัพย์สินบนโลกเป็นของชั่วคราว ที่มีตั้งแต่ทรัพย์สินเงินทอง มีทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง คำสรรเสริญ รวมทั้งการสะสมบารมี ความดี โดยหวังว่าจะช่วยให้เราไปสวรรค์หลังความตายได้ มันช่วยไม่ได้ พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังจะบอกอย่างนี้  สิ่งที่มนุษย์แสวงหา มันช่วยไม่ได้

ในข้อนี้บอกว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ? ชีวิต คือตัวตนจริงๆ ของเรา ข้างใน ที่มันจะอยู่ตลอดไป ซึ่งมันกำลังตายอยู่ตอนนี้  มันตาย มันพินาศอยู่นี้ ตัวนี้สำคัญกว่า ชีวิตสำคัญกว่าอาหาร ชีวิตสำคัญกว่าที่ตามองเห็น สำคัญกว่าสิ่งที่โลกมองเห็นนั้นเยอะแยะ ชีวิตตรงนี้ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์หลังความตายทางร่างกายนั่นเอง  ที่เราจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตรงนี้แหละ คือคำว่าชีวิต เป็นทรัพย์สมบัติอันถาวรนิรันดร์ มีค่ามากมาย มากสูงสุด และสำคัญกว่าอาหาร ชื่อเสียงอะไรบนโลกใบนี้ต่างๆ ที่ท่านสะสมอยู่ ที่ท่านหาเช้ากินค่ำ ที่ท่านพยายามหากันอยู่นั่นแหละ นี่พระองค์กำลังแยกแยะให้เห็น 2 ฝั่ง

ข้อ 31 จึงสรุปว่า “ฉะนั้น อย่ากังวลว่าเราจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม  หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม” ความหมาย คืออย่าวิตกกังวลกับการแสวงหา การทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม  เป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตาว่ามีลาภ ยศ สรรเสริญ ประสบผลสำเร็จ แล้วก็อยู่สุขสบายบนโลกใบนี้ โดยไม่สนใจชีวิตหลังความตายในโลกวิญญาณเลย ไม่ใช่ไม่ดี การแสวงหาอย่างนั้น แต่ให้มาตรงนี้ก่อน เพราะตรงนี้สำคัญ มันเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายในชีวิตของท่าน ที่ท่านหาบนโลกใบนี้ มันก็โอเคดีอยู่หรอก แต่มันไม่ได้ช่วยท่าน  มันแค่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น นี่กำลังพูดอย่างนี้

ผมก็พยายามอธิบายละเอียดมากๆ ให้ท่านพยายามที่จะตามมาติดๆ เพื่อให้เราดูว่าสิ่งที่เราวิเคราะห์กันนี้ มันมีเหตุผลมากเพียงพอไหม? ที่จะตีความว่าอย่างนี้  มัทธิว 6:32 …

มัทธิว 6:32 “เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า (คนต่างชาติ ไม่ใช่ชาวยิว) ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้”

 

ในที่สุด ก็มาสรุปในข้อนี้ว่าทั้งหลายทั้งปวง ที่พูดมาตั้งแต่ต้น เรื่องการสะสมทรัพย์สินบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินชั่วคราวนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่มีพระเจ้าเขาทำกัน ชาวยิวจะไม่ทำอย่างนี้ (ชาวยิวในอดีต) ชาวอิสราเอลในอดีต เขาจะไม่ทำอย่างนี้  แต่มาหลงทางตอนนี้ ตอนที่พระเยซูมาเกิด แล้วกำลังพูดอยู่นี้ ชาวยิวเริ่มหลงทาง แล้วออกไปจากความเชื่อเดิม ไม่วางใจในพระเจ้าเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว แล้วก็วางใจในการประพฤติดีของตนเอง การดูแลตัวเองด้วยตัวเอง ทำความชอบธรรมด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติ แล้วก็นึกว่า …

“ฉันดีแล้ว พระเจ้าพอใจแล้ว ฉันทำได้ดี ฉันทำได้เยอะกว่าท่าน ท่านทำน้อย เพราะฉะนั้น ฉันสมควรที่จะเป็นผู้ชอบธรรม”

ซึ่งพระเยซูบอกว่าไม่ใช่เลย นั่นคือสิ่งที่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เขาก็แสวงหาทรัพย์สิ่งของบนโลกใบนี้ แบบนี้ทั้งนั้น เห็นชัดเลยว่าพูดกับคนยิว คนที่ไม่มีพระเจ้าตรงนี้ หมายถึงคนต่างชาติ คนยิวเขามีพระเจ้าตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่มีพระเยซู พระเจ้าสัญญาว่าพระเยซู คือพระมาซีฮาห์ จะเสด็จมาภายหลัง และขณะที่เสด็จมา ยืนอยู่ พูดนั้น พวกเขาลืมพระองค์ไปแล้ว เขาจึงมีแต่พระเจ้าที่เขาเชื่อ แต่เขาไม่เชื่อพระเยซู นี่มันเป็นอย่างนั้น พระเยซูจึงต้องมาประกาศให้เขาก่อนเลย  เพราะเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับคนอิสราเอล ก็คือคนยิวนั่นเอง

เพราะฉะนั้น แทนที่จะขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ ก็คือทรัพย์สินบนโลกใบนี้ ความชอบธรรมบนโลกใบนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่มีค่า คือไม่ถาวรนิรันดร์ แต่จงหันกลับมากลับใจใหม่ พูดกับชาวยิว ที่เริ่มลืมไปแล้ว ลืมพระมาซีฮาห์ ลืมพันธสัญญาไป  พระองค์กำลังจะบอกว่าเพราะฉะนั้น อย่าไปแสวงหาทรัพย์สิน สิ่งของ หรือความชอบธรรมด้วยตนเอง ซึ่งไม่มีค่าถาวรนั้น แต่จงกลับใจใหม่ แสวงหาสิ่งที่สำคัญกว่า  และมีค่ามากกว่าที่ท่านแสวงหาความชอบธรรมด้วยตัวเอง  ด้วยการรักษาบทบัญญัติ  หาชื่อเสียง หาความเด่นดังในหมู่ชาวยิวด้วยกัน ท่านมาหาตรงนี้ดีกว่า มันถึงเวลาแล้ว ท่านจงกลับใจใหม่ซะ มาเก็บทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ไว้ในที่ๆ ถาวร ไม่มีมด  ปลวก อะไรมาทำลายได้ ดีกว่าไหม? คำตอบก็จะมาอยู่ที่มัทธิว 6:33 …

มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

 

หาคำตอบเจอหรือยัง เจอแล้ว ตะกี้นี้ เราบอกแล้วว่าเราจะมาวิเคราะห์ว่าตรงนี้มันแปลว่าอะไร? แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ชัดเจนเลย โดยตรง ตอนนี้กำลังพูดกับชาวยิว แต่ชาวยิวสามารถเล็งไปถึงบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้  เพราะชาวยิว คือตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง เห็นชัดไหม?

ท่านจงกลับใจใหม่ มาแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า เพราะอาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว อาณาจักรสวรรค์ ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ คือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าสัญญาไว้ มาแล้วตอนนี้ จงกลับใจใหม่มาตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เถิดชาวยิวเอ๋ย

สรุปว่าบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ ลืมไปแล้ว อันดับแรกเลย และสามารถเอาไปใช้ เล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่ไม่ใช่ยิว ก็ได้ ที่ไม่เชื่อพระองค์ ซึ่งจริงๆ แล้วพระองค์จะประกาศหลังจากนั้น ประกาศกับชาวยิวให้เรียบร้อยก่อน  แล้วค่อยมาประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง  เรียกว่าข่าวดี เผยแพร่ออกไปถึงบรรดาชนต่างชาติ  โดยผู้นำ ก็คืออาจารย์เปาโล

เพราะฉะนั้น บริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวที่ยังไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์

สรุปว่าพระองค์พูดเรื่องเกี่ยวกับการประกาศแผ่นดินสวรรค์กับผู้ที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง พูดกับชาวยิวว่าพระองค์ คือสวรรค์ที่มาตั้งอยู่แล้ว  พระเยซู ก็คือพระมาซีฮาห์ พระมาซีฮาห์ ก็คือสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ลงมาตั้งอยู่แล้ว ให้มนุษย์ทั้งหลายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ได้แล้ว อยู่สวรรค์เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

“จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” ก่อนที่จะแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ และก่อนตายด้วย หาทางเข้าสวรรค์ หาความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่ความชอบธรรมของตัวท่านเอง  “ท่าน” คือชาวยิวที่เคร่งครัดในการรรักษาบทบัญญัติของโมเสส มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วนึกว่าการรักษาบทบัญญัตินั้น ทำให้เขาได้รับความรอด พระเจ้าอภัยให้ ซึ่งไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว  เขาได้รับความรอด เพราะว่าโลหิตของสัตว์ ซึ่งเขาถวายเป็นประจำทุกๆ ปีต่างหาก ไม่ใช่บทบัญญัติที่เขารักษาไว้เลย แต่เป็นเพราะว่าพระเมตตาของพระเจ้ามากกว่า พระเยซูกำลังบอกว่าความชอบธรรมที่เขาสร้างด้วยตนเองนั้น มันไปไม่รอด ตอนนี้พระมาซีฮาห์มาแล้ว บทบัญญัติใหม่มาถึงแล้ว ก็คือเชื่อในพระมาซีฮาห์  พระโลหิตของพระมาซีฮาห์เท่านั้น ที่ทำให้เขารอด ปลอดภัย ครั้งเดียวเป็นพอ ตลอดรอดฝั่ง ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ เป็นความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรด้วยตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าให้ฟรีๆ เลย ผ่านทางพระเยซูคริสต์มาเชื่อในพระองค์เท่านั้น  นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพยายามอธิบาย และประกาศให้กับชาวยิวได้รู้

อาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระเจ้า คือสวรรค์ในโลกวิญญาณมาตั้งอยู่ พอเชื่อในพระมาซีฮาห์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เหมือนเปิดประตูเข้าสู่สวรรค์เลย  พอเข้าสู่สวรรค์ปุ๊บ มันจะเข้าไปได้อย่างไร? ก็ต้องเป็นคนที่ไม่บาป คนไม่บาป เรียกว่าเป็นคนชอบธรรม  พระเจ้าชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และได้นำพาผู้เชื่อคนนั้น ผ่าตัดทางวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมเลย นี่แหละ คือที่เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้า

แสวงหา เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย ตอนที่เป็นอยู่บนโลกใบนี้  และเป็นผู้ชอบธรรมเลย ตรงนี้ก่อนอย่างอื่น แล้วสิ่งทั้งปวงที่ท่านอยากได้  มาถึงทรัพย์สมบัติแล้วนะ  สิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้ สิ่งทั้งปวงที่ท่านอยากได้  และแสวงหาบนโลกใบนี้ คือทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขภาพแข็งแรง ความปลอดภัย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง  มีสันติสุข ไม่ทะเลาะกัน  เต็มล้นด้วยความรัก เต็มล้นด้วยความสุขกาย สุขใจ สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ จะถูกมอบให้กับท่านทันที เมื่อท่านพบกับอาณาจักรสวรรค์ คือเข้าอาณาจักรสวรรค์ และพบกับความชอบธรรมของพระองค์ คือได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ก็คือได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์

สวรรค์จะมีความสุขอย่างนี้  ตรงนี้ คือสิ่งที่เพิ่มพูนให้กับท่าน ท่านจะได้ในโลกวิญญาณ ทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณจะเป็นของท่านทันที ท่านสะสมไว้ ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอท่านรับเชื่อปุ๊บ ในสวรรค์เกิดเครดิตให้กับท่าน ท่านได้รับทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ พระเยซูยอมยากจน เพื่อให้ท่านมั่งมี เดินบนโลกใบนี้ มั่งมีทันทีเลย  มั่งมีในโลกวิญญาณ คือ

“ฉันได้นั่งอยู่กับพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว และดีพร้อม เป็นเหมือนพระเจ้าพระบิดาเลย  เพราะเป็นลูกของพระองค์ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า ครอบครองมรดกทุกอย่าง ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที นี่คือการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์นั่นเอง เมื่อท่านพบกับอาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน จะพบได้อย่างไร? ผ่านทางพระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์

เห็นไหม พระเยซูกำลังเปรียบเทียบทรัพย์ในโลก เป็นภาพลวงตา อยู่ชั่วคราวกับทรัพย์ในสวรรค์ ซึ่งเป็นถาวรนิรันดร์ เห็นหรือยัง? ทรัพย์ในโลกที่จับต้องมองเห็นได้ เห็นจริงๆ  แต่เป็นภาพลวงตา เพราะมันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จบไปแล้ว  ตายไป ก็เอาไปไม่ได้  กับทรัพย์ในสวรรค์ ที่ตะกี้นี้พูด มันเป็นถาวรนิรันดร์ อยู่ไปตลอดกาลเลย ที่สวรรคสถาน  คือการได้เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นลูกของพรเจ้าเรียบร้อยแล้ว แล้วยังได้ทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญที่ดีกว่า คือเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีค่ามากมายมหาศาล มีค่านิรันดร์ มากกว่าทรัพย์สมบัติที่มองข้ามไป สละข้ามไป ไม่ให้ความสำคัญมากนัก ตอนอยู่บนโลกนั่นเอง เห็นหรือยัง? คือสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ไม่สะสมทรัพย์ไว้บนโลก

จำพระเยซูพูดได้ไหม? พระเยซูพูดว่าผู้ที่มองข้าม หรือสละ ตรงนี้ภาษาเดิมเรียกว่ามองข้าม ผู้ที่มองข้ามทรัพย์สมบัติ หรือเรียกว่าสละทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ บนโลกใบนี้ ไม่เห็นแก่โลกใบนี้ แต่เห็นแก่พระองค์ พระเยซู จะได้รับกลับคืน 100 เท่า หมายถึงได้รับกลับคืนมากมายมหาศาล บริบูรณ์ หมายถึงตรงนี้ เพราะฉะนั้น ขายทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ให้หมดเลย ทิ้งให้หมดเลย แล้วมาซื้อไข่มุกเม็ดงาม คือพระเยซูคริสต์ ก็จะได้สิ่งที่ตัวเองขายไปทั้งหมด

“ขาย” ตัวนี้ ไม่ได้ขายสิ่งของ หมายถึงละไปก่อน สละไปก่อน เห็นความสำคัญน้อยกว่าพระเยซู เลือกพระเยซูไว้ สำคัญกว่า ได้พระเยซูได้มากกว่าสิ่งที่เราละไปตั้งเยอะแยะมากมาย เพราะว่าสิ่งที่ละทิ้งไปทั้งหมดนั้น กลับคืนให้กับเราเป็นของแถม เพราะสิ่งที่เราได้รับ เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ส่วนสง่าราศี ที่จะได้รับทรัพย์สมบัติ ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นั้น เป็นเหมือนของแถมเลย

เพราะว่าของแถมนี้ กลับกลายเป็นมีทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ที่เป็นของจริงตลอดชั่วนิรันดร์กาลเลย  ทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ จะรวยขนาดไหน? จะมั่งมีขนาดไหน?  เทียบไม่ได้ จะมีชื่อเสียงขนาดไหน? ลาภ ยศ สรรเสริญมากขนาดไหน? เทียบกับทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญตรงนี้ไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น เชื่อวางใจในพระเยซู กลายเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ ร่วมรับเกียรติกับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ จึงเป็นรางวัลที่เราลงทุนไปในโลกใบนี้ ลงทุน คือเราเห็นแก่พระเยซู มากกว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ การแสวงหาทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ก็ทำไปตามหน้าที่ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญก่อน มันหมายถึงอย่างนั้น

ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเป้าหมายของการประกาศทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ และเป็นเป้าหมายของความหมายของข้อพระคัมภีร์ที่เรามาวิเคราะห์ในวันนี้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น  คำตอบของคำถามข้างบน ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงจะประทานให้กับท่านใช่ไหม? ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ถ้อยคำตรงนี้ไม่สามารถใช้กับผู้เชื่อในพระเจ้าแล้วได้ โดยเฉพาะคนยิวในตอนนั้นที่พูด ไม่มีใครเชื่อสักคน เพราะยังไม่ถึงเวลา พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังไม่เป็นขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีผู้เชื่อสักคนหนึ่ง พูดกับชาวยิวที่ไม่เชื่ออย่างแน่นอน 100% อยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถมาใช้กับคนที่เชื่อแล้วได้เลย ไม่สามารถเอามาพูดกับคนที่เป็นคริสเตียนได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะพูดไป มันจะเสียหาย มันไม่ถูกต้องตามบริบท เพราะคนที่เป็นคริสเตียน เขาได้เชื่อในพระเยซูแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้หาจนพบอาณาจักรสวรรค์แล้ว  ได้พบความชอบธรรมของพระองค์แล้ว

พบหรือยังคริสเตียน? พบแล้ว แล้วจะไปหาอะไรอีกล่ะ เจอแล้วก็เจอเลย ไม่ว่าคริสเตียนที่เป็นยิว หรือคริสเตียนต่างชาติ เขาไม่ต้องมาแสวงหาอีกแล้ว  เพราะว่าเขาได้พบแล้ว  เจอแล้ว ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พบความชอบธรรมของพระองค์แล้ว แล้วยังได้รับเกียรติสิริพร้อมทรัพย์สมบัติในสวรรค สถานทั้งสิ้นร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้วในขณะนี้ ทันทีเมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จริงหรือไม่

เพราะฉะนั้น จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  จึงควรเป็นของผู้ที่ยังไม่เชื่อ  ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ชาวยิว เป็นคนต่างชาติก็ตาม ข้อพระคัมภีร์นี้  คำพูดของพระเยซูคริสต์นี้ ยังคงใช้ได้สำหรับเขาเหล่านั้นทั้งหมด คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงเหล่านั้น ทรัพย์สมบัติและสวรรค์จะประทานให้กับท่าน ในทันที พร้อมๆ กันเลย

ถ้าเอามาใช้กับผู้ที่ไม่เชื่อ มันตรงเป๊ะเลย คือพระเยซูกำลังจะบอกว่าจงแสวงหาสวรรค์ของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน ที่ช่วยให้ท่านรอด และมีชีวิตอยู่นิรันดร์ได้ เพราะในขณะนี้ ท่านอยู่ในความพินาศ  วิญญาณของท่าน เป็นเหมือนวิญญาณที่เป็นมะเร็ง  รอคอยความตายอย่างเดียว วันใดที่วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านอยู่ในความตาย  ท่านเป็นมะเร็งอยู่ ท่านจะไปแสวงหาทรัพย์สมบัติเพื่ออะไร?  ในเมื่อท่านต้องตายอยู่แล้ว สิ่งที่ท่านควรจะทำ คือท่านควรจะไปหาหมอรักษามะเร็งก่อน  แล้วค่อยไปทำมาหากินทีหลัง  ถูกหรือไม่ คิดให้ดีๆ พูดกับมนุษย์คนไหนก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น คนนี้ป่วย หมอบอกจะตายภายใน 2 เดือนนี้ แล้วยังไปทำมาหากิน เพื่อจะสะสมทรัพย์อะไรต่างๆ คงไม่มีใครทำอย่างนั้น พระเยซูกำลังพูดอย่างนี้แหละ เพียงแต่คนนั้นจะรู้ไหมว่าเขาป่วยถึงขนาดตาย สิ่งที่ต้องทำก่อน คือต้องรักษาตรงนี้ให้หาย แล้วค่อยไปหากิน ชีวิตต้องรักษาไว้ก่อน เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณนี้หนักกว่านั้นอีก พระคัมภีร์บอกว่าในวิญญาณนั้น มนุษย์อยู่ในความพินาศ อยู่ในความตาย  และเมื่อร่างกายสิ้นสุดลง วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ในความตายนั้น  เพราะฉะนั้น ก่อนที่ร่างกายจะสิ้นสุดลง รีบหาทางแสวงหาสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้อยู่ในความพินาศอีกต่อไปก่อน แล้วทรัพย์สมบัติในสวรรค์ คือสง่าราศี การร่วมครองราชย์กับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์นั้น ก็จะเป็นของท่านด้วย

อยากจะฝากพี่น้องที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้ฟัง อันนี้เป็นของท่านแน่นอน จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงที่ท่านอยากได้นั้น จะถูกประทานให้กับท่าน ไม่ว่าจะเป็นสง่าราศี  ลาภ ยศ สรรเสริญ ความแข็งแรง  ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ มันจะเป็นของท่านทั้งหมดเลย เป็นแพ็คเกจเดียว ได้ทีเดียว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์  คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นของท่านทุกคน ไม่ว่าท่านจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ชาวยิวก็ตาม  ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับตรงนี้  เป็นข่าวสารที่มาถึงท่าน ในนามพระเยซู เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เมื่อพูดถึงความรักของแม่ ท่านนึกถึงใคร? … นึกถึงพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักของพระองค์ให้กับแม่  แล้วมีเพศเดียว   สถานะเดียวในโลกนี้   ที่มีความรักที่ลึกซึ้ง   ที่เหมือนพระเจ้ามีต่อมนุษย์ เพราะเป็นเพศเดียวที่ให้กำเนิดลูก  นึกออกใช่ไหม?  คือพ่อให้กำเนิดจริง แต่พ่อไม่เห็นชัดๆ ต่างจากแม่ต้องตั้งท้องตั้ง 8-9 เดือน เขาเรียกว่าจากเนื้อของเนื้อ   จากเลือดของเลือด   จากกระดูกของกระดูก   คือแม่จะใกล้ชิดมาก  เพราะฉะนั้น จะเห็นความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ชัดมาก ในความรักที่อยู่ในเพศแม่

 

เพลง “ใครหนอ”  … จะเอาโลกมาทำปากกา และเอานภามาแทนกระดาษ  เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ

นี่คือความรักที่แม่มีให้กับลูก  จนผู้คนเห็น  ซึ่งตรงนี้  ผมนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นพ่อก็ตาม  คนเป็นลูกก็ตาม  เป็นแม่เองก็ตาม  จะรู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านี้ มันใช่จริงๆ

ครูน้อย  สุรพล โทณะวณิก  ท่านแต่งเพลง (สนิทกันมาก)  ท่านบอกว่าแต่งเพลงนี้  จากการเห็นทุกอย่าง   เห็นชีวิต  เอาชีวิตประจำวัน  เอาความรักที่แม่ห่วงใยลูกมากขนาดไหน?  เขาเรียกว่าลูกในไส้  พ่อไม่สามารถบอกลูกในไส้ได้  แต่แม่พูดลูกในไส้  ลูกในท้อง  ท่านบอกว่าเอาคำต่างๆ เอามาจากอิริยาบท  หรือว่าชีวิตประจำวันของแม่  ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทั้งหลาย  โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อน  ตอนแต่งเพลงนี้ตั้งแต่ 2507

ท่านได้บอกว่านึกถึงภาพอย่างนี้  จริงๆ ทั้งเพลง  ผมเอาเฉพาะท่อนนี้มาให้ท่านเห็นว่า … “จะเอาโลกมาทำปากกา” … นึกถึงว่าแม่รักลูกขนาดไหน?  … “ประกาศพระคุณไม่พอ” … แม่มีการกางมุ้งนอน  ให้ดูหนัง 4 จอ  ที่เราคุยกัน  ตอนนั้นคือความเป็นจริง  แม่เป็นผู้กางมุ้ง  แล้วพาลูกไปนอน  สมัยก่อนไม่มีมุ้งลวดเหมือนปัจจุบัน  นอนต้องกางมุ้งกันยุง  แล้วก็ให้ลูกนอน  ดูแลยุงไม่ไต่  ไรไม่ให้ตอมอะไรประมาณนั้น

 

ทำไมผมเอาเพลงนี้มาให้ท่านได้เห็น  เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความรักของพระเจ้าถึงบรรดามนุษย์ทั้งปวง  โดยที่ผ่านทางความรักของแม่ที่เราเห็นในปัจจุบัน  ที่ครูน้อย  สุรพลเห็น  แล้วเอามาแต่งเป็นเพลง  เขาเรียกว่าเป็นธรรมชาติของความรักที่พระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่เป็นแม่ทุกคน เป็นอย่างนี้หมดเลย

 

และในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร?  ผมเลยไปค้นพระคัมภีร์ที่เทียบความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษย์ทั้งปวง โดยผ่านทางเพศแม่

อพยพ 19:4 บันทึกไว้อย่างนี้ … “พวกเจ้าเองได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแก่ชาวอียิปต์แล้ว  และเห็นวิธีที่เราพาเจ้ามาเหมือนลูกนกอินทรีบนปีกแม่ของมัน  และนำเจ้ามาถึงเรา”

นี่พระเจ้ากำลังบอกถึงว่าพระองค์ทรงนำพาประชากรของพระองค์อย่างไร? เหมือนลูกนกอินทรีบินบนปีกแม่ของมัน  คือแม่กางปีกออก  แล้วลูกแปะไว้ข้างหลัง  บนปีก  แล้วไปเลย  ท่านกลัวอะไร?  พระเจ้ากำลังถามท่านว่าท่านกลัวอะไร? ตอนนี้ ท่านอยู่บนปีกของพระเจ้า ท่านกลัวอะไร?

มีอีกอันหนึ่ง   อันนี้สะใจมากเลย   อ่านแทบร้องไห้เลยนะ  โฮเซยา 13:8 ดูสิ พระเจ้าตรัสไว้อย่างนี้เลยนะ พระเจ้าตรัสว่า … “เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป   เราจะเข้าโจมตีและฉีกพวกเขาออก   เราจะเป็นดั่งราชสีห์ที่กลืนกินพวกเขา   สัตว์ป่าจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ”

นี่หมายถึงศัตรูของลูกของพระเจ้า  พระเจ้าจะปกป้องลูกของพระองค์  จากศัตรูที่มาทำร้ายลูก  เป็นเหมือนแม่หมีที่รักลูกมาก แล้วลูกถูกขโมยไป  คุณเคยดูสารคดี หมีกริซลี  เขาบอกหมีกริซลีดุมาก  เวลาไปถ่ายรูป ต้องระวังมากๆ แต่ถ้าบอกว่าถ้ามันตกลูก ขณะที่มันเลี้ยงลูกอยู่นะ ต้องไปไกลๆ เลย มันจะโกรธ มันจะเกรี้ยวกราดมากๆ มันจะหวงและห่วงลูกของมันมาก มันจะทำร้าย แบบไม่เลือกหน้า

เหมือนแม่หมีที่ถูกขโมยลูกไป เราจะโจมตี และฉีกพวกเขาออก ฉีกศัตรูของลูกออกไป เรากลัวอะไร ตอนนี้เราประสบปัญหาอะไรบ้าง เรากลัวอะไรไหม? ความจนจะมาฉีกเราเหรอ สุขภาพร่างกายจะทำร้ายเราใช่ไหม? นรกจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า? มารซาตานจะทำร้ายเราหรือ?

พระเจ้าบอก …

“เราจะปกปักษ์พวกเจ้า เหมือนแม่หมีที่ปกปักษ์ลูก เราจะฉีกศัตรูของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”

พระเยซูมาช่วยลูกๆ ทุกคน คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดจากบาป ไม่ต้องลงนรกใช่ไหม? แล้วเขาไม่เข้าใจ บรรพบุรุษของเราสมัยนั้น คือสมัยอิสราเอล 2,000 ปีก่อนนั้น เขาไม่เข้าใจ พระเยซูจึงระบายอารมณ์ออกมาว่า …

“โอ … เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างบรรดาผู้ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามา เหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย เราต้องการเข้ามาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งลูกหลานของเจ้าเยอะแยะมากมาย ให้ได้รับความรอด แต่เจ้าไม่ยอมเลย”

และพระองค์พูดถึงเราทั้งหลาย  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ใช้อะไรแทนลูกๆ ที่เราจะรวบรวมมาเหมือนแม่ไก่ที่จะมาปกไว้ด้วยปีกของมัน ให้เราเข้ามาซุกอยู่กับพระองค์ นี่คือความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เหมือนไหม? เหมือนเด๊ะ แล้วธรรมชาติ ความรักชนิดนี้ พออ่านปุ๊บ เรารู้ทันที เพราะว่าเป็นธรรมชาติของความรักที่อยู่ในเพศแม่ นั่นเอง

เปิดลิ้งค์เพลงนี้ ฟังด้วยกันนะครับ  https://www.youtube.com/watch?v=rU6NQNHGRkY

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1376

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 16

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:19 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าว แปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับคนต่างชาติ เรื่องของข่าวประเสริฐของพระเจ้าในแผนการที่พระเจ้าวางไว้ว่าจะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป  ไม่เพียงเฉพาะคนยิวเท่านั้น  แต่พระองค์ทรงเลือกคนต่างชาติด้วย  ตามถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าปรารถนาที่จะให้ความรอดนี้ ไปถึงมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้  พระเจ้าไม่ได้บังคับ แต่ให้ทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจ  สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ คือทำเรียบร้อยไปแล้ว  ให้กับมนุษย์ทุกคน  แต่มนุษย์ทุกคนต้องเข้ามารับเอา ตัดสินใจ เต็มใจที่จะเข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าจะไม่บีบบังคับใครว่าต้องมารับความช่วยเหลือจากพระองค์ ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าตกลงจะเลือกทางไหน? เลือกการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วก็รับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  หรือยังคงเลือก ที่จะพึ่งพาการกระทำของตัวเอง  ทำดีเยอะๆ  ด้วยกำลังของตัวเราเอง ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือจุดเปลี่ยนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

สำหรับเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้าที่จุดเปลี่ยนเรา ได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว  เมื่อวันที่เราตัดสินใจว่าเราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราเหนื่อยมาก เราไม่ไหวแล้ว เราทำดีเยอะขนาดไหน? ข้างในวิญญาณ เรายังไม่รู้สึกรับการปลดปล่อย

เราก็บอกพระเจ้า … “ตอนนี้ลูกไม่ไหวแล้ว ขอพึ่งพระองค์ดีกว่า”

พอพึ่งพระองค์ดีกว่า ปุ๊บ หมายความว่าเราเปิดประตูใจ  เรายอมรับการเชื้อเชิญจากพระเจ้าว่าเข้ามาหาพระองค์ พระเจ้าก็กระทำการงานเลย คือถ้าเราไม่ยินยอม พระเจ้าก็ไม่ทำอะไร เพราะพระเจ้าสุภาพ  ต้องรอให้เรายินยอม  พอเรายินยอมปุ๊บ พระเจ้าก็เข้ามาทำขบวนการที่เราคุยกันว่าบัพติศมาในวิญญาณให้กับเราเลย  ก็คือวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาป  ได้ถูกฆ่าให้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้วิญญาณใหม่เอี่ยม ให้กับพวกเราเลย  แล้วก็ให้ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับพวกเรา เปลี่ยนใหม่เลย

นี่คือเรื่องราวความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเป็นเรื่องในโลกวิญญาณด้วย ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจด้วยเหตุผลของเรา แต่ว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ความรู้ในเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในเรา  จะเปิดให้เราเห็น  ให้เรารับรู้ ให้เราสามารถเชื่อได้

ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังหนุนใจคนต่างชาติ  คือเมื่อก่อนคนต่างชาติ  รู้สึกตัวเองด้อยค่า ตรงที่ว่าไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า  ไม่ได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า  อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากๆ แล้วไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองจะมีโอกาสเข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า  เป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่คิดไม่ฝัน  แต่วันหนึ่ง เมื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าถูกประกาศออกไป ผ่านทางอาจารย์เปาโล ที่พระเจ้าใช้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ  เรารู้กันแล้ว โลกใบนี้มีสองชนชาติ คือชาวยิวกับชาวต่างชาติ  ชาวต่างชาติ คือใครก็ตาม ประเทศไหนก็ตามที่ไม่ใช่คนยิว แล้วความรอดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำไว้ สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนไหนจะมารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือไม่รับก็ตาม ของขวัญนี้ก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว รอเจ้าของแต่ละคนที่จะเดินเข้ามารับเท่านั้นเอง  แต่ถ้าใครไม่เข้ามารับ ก็เท่ากับไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาเป็นคนของพระเจ้า เรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า  ก็เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้าไม่บังคับ

ฉะนั้น พอคนต่างชาติได้ยินการประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ มีส่วนหนึ่งที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่ออาจารย์เปาโลประกาศปุ๊บ เขาติดตาม เขาจดจ่อ เขาอยากได้ อยากจะชิมในข่าวประเสริฐนี้ แล้วเขาก็เปิดใจต้อนรับพระองค์ พอเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็บอกเขาว่า …

“ณ เวลานี้ เธอกับคนยิวมีสถานะเดียวกันแล้วนะ เธอเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อย่ากลัว”

คนต่างชาติเมื่อก่อนอยู่คนละสถานะกับคนยิว แล้วตอนนี้บอกว่าเรามาเป็นพี่น้องกัน  เรามีสถานะเทียบเท่า เท่ากันเลย ยังเกร็งๆ อยู่ เหมือนกับบารมีของคนยิวมีเยอะ ตั้งแต่สมัยนั้น ที่ตัวเขาเองเป็นคนบาป อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามาก ส่วนคนยิวเขาเป็นคนของพระเจ้านะ เขารักษาบทบัญญัติ เขาใกล้ชิดพระเจ้ามาก เราอยู่กันคนละชั้น แต่อาจารย์เปาโลกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้กับคนต่างชาติได้รับรู้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ว่าเราจะเป็นชนชาติใดก็ตาม เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันในพระเยซูคริสต์ เราทุกคนถูกจับมาอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน  เป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมด้วยกัน ฉะนั้น ให้กล้าๆ หน่อย นึกออกไหม? กล้าๆ หน่อยที่เข้ามารับพระคุณของพระเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วพระคุณพระเจ้าให้เขา เรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาเชื่อวางใจในพระเจ้า

ดังนั้น บอกความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าเขาจะได้มีใจกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้าอย่างภาคภูมิใจว่า …

“ฉันก็เป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า สถานะของฉัน จากคนต่างชาติ  ที่ไม่เคยรู้จักพระเจ้า  แต่ตอนนี้ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ฉันได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว โดยมีพระเจ้าพระบิดา เป็นพ่อของฉัน มีพระเยซูคริสต์เป็นพี่ชายคนโตของฉัน และฉันก็เป็นลูกๆๆๆๆๆ ของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เท่าไร? ก็ตาม แต่ฉันเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า”

นี่คือความจริง ดังนั้น คนต่างชาติพอเขารับรู้ความจริงนี้ ก็มีกำลังใจ …

“ตอนนี้สถานะเราอยู่อันเดียวกันกับคนยิวเลย เราไม่ต้องไปเหมือนก้มหน้าก้มตา งกๆ  ไม่แน่ใจว่าตัวเองตอนนี้ อยู่ในสถานะแบบไหน?”

อาจารย์เปาโลพยายามย้ำให้เขารู้ว่าตอนนี้เธอกับคนยิว อยู่ในที่เดียวกัน  ในโลกวิญญาณ คนยิวต้องเป็นคนยิวที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วยนะ ถ้าคนยิวทั่วไป ที่ยังถือกฎบัญญัติเก่าที่พระเจ้าตั้งไว้  พึ่งพาการกระทำของตนเอง เขาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ คนบาปที่พยายามประพฤติตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้  ฉะนั้น สถานะมันจะต่างกันมากเลย แล้วอาจารย์เปาโลก็พยายามอธิบายให้คนต่างชาติเหล่านี้ ได้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณของเขาเรียบร้อยแล้ว วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว วิญญาณใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย ใหม่เอี่ยมอ่องเลย วิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไป  เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

แล้วพระพรตรงนี้ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์มากมายว่าคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้รับการเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณ วิญญาณเขา ณ เวลานี้ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ  เราจำเป็นต้องรับรู้ตรงนี้  เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก  ขณะนี้ เวลานี้ กายเนื้อของเราอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณของเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หมายความว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ ถูกสถาปนาลงไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าต่อแต่นี้ไป ผู้เชื่อคนนั้นจะไปทำอะไรก็ตาม  ก็ไม่สามารถมีผลกับวิญญาณใหม่ที่เขาได้เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ลักษณะเหมือนกับพอเราคลอดออกมา เป็นลูกของบ้านนี้แล้ว  ต่อให้อนาคตข้างหน้า เมื่อเราโตขึ้นๆ เราจะดื้อกับพ่อแม่ หรือบางทีพ่อแม่พูดซ้าย เราไปขวา บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง หนังสือก็ไม่ยอมเรียน เอาแต่เล่นอย่างเดียว แต่คนๆ นั้น ก็ยังอยู่ในสถานะลูกของครอบครัวนี้อยู่ แค่ว่าเมื่อเขาประพฤติตัวเองไม่ดี  พ่อแม่ตัดขาดเขาไม่ได้  แต่พ่อแม่เสียใจ …

“ลูกเอ๋ย เมื่อไร ลูกจะเปลี่ยนแปลงสักทีหนึ่ง”

รอ รอเวลาให้ลูกเราเปลี่ยนแปลง นี่คือความจริงตามธรรมชาติที่พระเจ้าให้เราเห็น  แล้วความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น  ฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ขณะนี้ พวกเราผู้ที่เป็นคนต่างชาติ ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ เราเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในเรา

ที่เราคุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือเราต้องเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ก่อน โดยวิธีการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า บัพติศมาในวิญญาณ วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ปุ๊บ เราได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้น พอวิญญาณเราสะอาดปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็เลยเข้ามาอยู่ในเรา ได้ถ้าเราไม่สะอาด พระเยซูเข้ามาไม่ได้นะ

แล้วทุกครั้งที่เราพูดถึงพระเยซูคริสต์ หรือพูดถึงพระวิญญาณ ให้พี่น้องรับรู้เลย คือ 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา บัดนี้ ผู้เชื่อ ร่างกายของเราได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  พอที่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ถ้าร่างกายเราไม่บริสุทธิ์ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้  เราตายนะ ถ้าพระเจ้าเข้ามาในขณะที่เรายังบาปอยู่ เราตายลูกเดียว

ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ พระเจ้าก็ชำระร่างกายเราให้สะอาดบริสุทธิ์ พร้อมที่จะเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระวิหารของพระเจ้า

เอเฟซัส 2:20 “ท่านได้รับการสร้างขึ้น บนฐานรากของเหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะ โดยมีพระเยซูคริสต์เองเป็นศิลามุมเอก”

 

ในพระคัมภีร์จะเปรียบเทียบผู้เชื่อเป็นเหมือนตึกของพระเจ้า เป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้า  โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก  ก็คือเป็นฐานรากที่มั่นคง จากตรงนี้ จะพูดถึงในสมัยก่อน ที่เขาจะสร้างบ้าน เขาจะต้องมีศิลาหัวมุม ที่ตั้งไว้เป็นอันแรก จากนั้น เขาก็จะวัดจากศิลานี้ แล้วก็ค่อยๆ เอาอิฐแต่ละก้อนก่อขึ้นมา ฉะนั้น ศิลาก้อนแรกสำคัญมาก  ถ้าวางเบี้ยว ตึกนี้จะเบี้ยวหมดเลย แล้วก็พังในที่สุด

ฉะนั้น ศิลาก้อนแรก เป็นศิลาที่สำคัญ ที่ช่างเขาจะตั้งไว้ตรงหัวมุม  เป็นองศาที่ดีที่สุด จากนั้น เมื่อเอาอิฐก้อนไหนมาต่อๆ ขึ้นมา มันจะเป็นมุม แล้วบ้านหลังนี้จะตั้งมั่นคง  นี่เป็นการเปรียบเทียบ

ในพระคัมภีร์เปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก แล้วพวกเราทั้งหลายถูกก่อขึ้นมาเป็นอิฐ แต่ละก้อน ตรงนี้บอกว่าบนฐานรากของเหล่าอัครทูต

จริงๆ แล้วหลายคนคิดว่าอัครทูตน่าจะใหญ่กว่าเรา มีตำแหน่งไง มีตำแหน่งสูงกว่าเรา  รับใช้ก็เยอะกว่าเรา  แต่ในสายตาของพระเจ้า ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอัครทูต เป็นอาจารย์ เป็นครู เป็นศิษยาภิบาล หรือเป็นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง ในสายตาของพระเจ้า ทุกคนเท่าเทียมกันหมดเลย  เราเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าแต่ละคนถูกเรียกใช้ในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แล้วเมื่อพระเจ้าเรียกใช้ใครคนหนึ่งคนใด ทำอะไรก็ตาม พระเจ้าจะเป็นผู้ให้ความสามารถให้กับคนๆ นั้น สามารถที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้เกิดผลสำเร็จ เราแค่มีหน้าที่ร่วมมือกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำภายในร่างกายของเรา ภายในจิตใจของเรา ภายในความคิดของเรา  เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราจะไม่ต้องไปนั่งคิดว่า  …

“โอ้โห! ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยืนเทศน์อยู่บนนี้ ต้องได้รางวัลเยอะกว่าเราแน่ๆ เลย รับใช้ตั้งเยอะ หรือผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ไปประกาศ  เอาคนมารับเชื่อเยอะแยะมากมาย ต้องมีรางวัลเยอะกว่าเราแน่ๆ เลย เราเป็นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง บางทีบางวันก็ลืมอ่านพระคัมภีร์อีก บางวันลืมอธิษฐานอีก ไม่เคยไปเยี่ยมเยือน ไม่เคยไปประกาศข่าวประเสริฐ  แล้วตกลงเราจะอยู่ตรงไหน?”

พระเจ้าบอกอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ เพราะพระเจ้าให้ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรียกใช้แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือเราเป็นลูกของพระเจ้า ผลเกิดจาก ไม่ใช่เราทำดี  ไม่ได้เกิดจากเรารับใช้พระเจ้าเยอะ หรือไม่ได้เกิดจากเรารับใช้พระเจ้า แล้วเกิดผลมากมาย  ไม่ได้เกิดจากตรงนั้นเลย  แต่เกิดจากเราเปิดใจต้อนรับ เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระองค์กระทำ โดยความเชื่อนี้ ทำให้เราได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้า  อันนี้แหละ คือสำคัญ  เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้แต่ละคนอะไร? อย่างไร?

พอพูดถึงบำเหน็จ สมัยก่อนดิฉันสอนแบบนั้นว่าถ้าเรารับใช้บนโลกใบนี้เยอะๆ  พอขึ้นไปบนสวรรค์ เราจะได้บำเหน็จเยอะกว่าคนอื่น คือเราจะได้บ้านหลังโตกว่าคนอื่น คนที่ไม่รับใช้พระเจ้า หรือเกเร วันๆ ทำไมถึงนิสัยแบบนี้  ไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้าเลย คนนั้นน่าจะได้กระท่อมแบบขาดๆ วิ่นๆ ประมาณนั้น เป็นความเชื่อสมัยก่อน ที่เราเชื่อกันอย่างนั้น แต่ปัจจุบัน เราขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าเปิดให้เราเห็นว่าความรอดเราทุกคนได้เท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่ากัน ความรอดตรงนี้ พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ แล้วเป็นผู้ให้กับเรา บำเหน็จรางวัลที่พระเยซูคริสต์ให้ ก็คือมรดกที่พระเจ้าให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มรดกเหล่านี้ คือชีวิตนิรันดร์ การเป็นบุตรของพระเจ้า การเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ย้ายเราจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างของพระเจ้า นี่คือมรดกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว

ฉะนั้น คำว่า “มรดก” คือคนที่รับมรดกไม่ต้องทำอะไร? มรดกถูกเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว  โดยบรรพบุรุษของเรา หรือคุณพ่อคุณแม่เขามีมรดกเยอะ ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านก็เขียนมรดกไว้เลยว่าลูกคนนี้จะให้อะไร? เท่าไร? อย่างไร?  แล้วพอคุณพ่อคุณแม่เราจากไปปุ๊บ  เขาก็มาเปิดพินัยกรรมว่าลูกคนไหนได้อะไร? อย่างไร? แต่ว่าพินัยกรรมของพระเยซูคริสต์ มรดกทุกคนได้เท่ากัน คือได้ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย ดังนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ตาย มรดกมันก็เกิดเป็นผล พินัยกรรมนี้ก็เกิดเป็นผล ก็คือใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ คนนั้นได้มรดกเลย ได้ทุกอย่างที่พินัยกรรมได้ระบุเอาไว้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เขาได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้เลย ทันที ไม่ต้องรอให้เราตายนะพี่น้อง ก็คือตอนนี้ในโลกวิญญาณ เราได้เป็นอย่างนั้นแล้ว

พอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ รับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็ค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนา จริงๆ ความรอด หลายคนเข้าใจว่าเราต้องพยายามทำ เพื่อความรอดเราจะได้เพิ่มพูนขึ้น  แต่ความเป็นจริง คือไม่ใช่ ความรอดเราได้แล้วได้เลย การมาเชื่อวางใจในพระเยซูปุ๊บ เราเป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ต้องฝึกฝนการเป็นลูก ไม่ต้อง คือเป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  แต่ฝึกฝนเพื่อให้ลักษณะ หรือบุคลิกที่เป็นเหมือนพระเจ้า ได้พัฒนาขึ้น

เหมือนเด็กคนหนึ่ง ถ้าคลอดเข้ามาในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง  เขาไม่ต้องพยายามทำตัวเองหรือฝึกตัวเองให้เป็นลูกของบ้านนี้ ไม่ต้องแล้วนะ คือเขาเป็นแล้ว เป็นลูกแล้ว เป็นคนแล้ว แต่เขาจะค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาการว่าเมื่อเกิดเป็นคนแล้ว ธรรมชาติของคนเป็นอย่างไร? เด็กโดยอัตโนมัติ สักพักหนึ่ง เขาจะเริ่มทำท่าจะพลิกตัว ไม่มีพ่อแม่ไปสั่งให้เขาพลิกตัวนะ คือธรรมชาติความเป็นคนของเขา จะสำแดงออกว่าพอเด็กอายุถึง 2-3 เดือน เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะพลิก พอเรียนรู้พลิกตัว พ่อแม่แค่ช่วยดันๆ นิดหนึ่ง  แต่ไม่ได้ไปทำอะไรเยอะกว่านั้น  แล้วพอพลิกตัว เขาก็จะเริ่มพัฒนาเป็นนั่ง จากนั้นพัฒนาเป็นคลาน พัฒนาเป็นตั้งไข่ เป็นยืน เป็นเดิน เป็นวิ่ง ความเป็นคน เขาเป็นอยู่แล้ว แต่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

เหมือนกัน การเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนา  เพื่อเราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ แต่การพัฒนา ฝึกฝน เรียนรู้ถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าพ่อของเรามีลักษณะเป็นแบบไหน?  แล้วเราก็เรียนรู้จักพระลักษณะของพระเจ้าที่ ณ เวลานี้ เราเป็นเหมือนเลย  แต่ค่อยๆ ฝึกฝนให้ธรรมชาติหรือบุคลิกลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้านั้น ได้ถูกสำแดงออกไป มันจะต่างกันมากเลยนะ ถ้าคริสเตียนพยายามที่จะฝึกฝนตัวเอง เพื่อเราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า  อันนั้นผิด  เราเป็นอยู่แล้ว  ต่อให้เราไม่ฝึกฝน เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ แค่พัฒนาการช้านิดหนึ่ง  ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องราวความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า  เราก็พัฒนาการช้า แค่นั้นเอง  ไม่ได้มีผลอะไรเลยนะ เราจะเห็นเด็กบางคนพัฒนาการช้า บางคนพัฒนาการเร็ว คือเราเรียนรู้ เข้าใจความจริงว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์มากเท่าไร? ผลตรงนั้น มันจะสำแดงออกผ่านทางชีวิตของเราได้มากเท่านั้น แค่นั้นเอง

แต่ว่าไม่ว่าเราจะออกผลมาเป็นแบบไหนก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณของผู้เชื่อเลย เพราะวิญญาณของผู้เชื่อ ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง นี่คือความจริงที่เราต้องยึดไว้

ฉะนั้น พอพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกปุ๊บ เราก็ถูกก่อขึ้น ค่อยๆ ก่อขึ้น จากถ้อยคำแห่งความจริงในเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นใคร? พระเจ้าได้ทำอะไร เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว? นั่นคือความจริง

เอเฟซัส 2:21-22 “21 ในพระองค์ ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิท และประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” 22 “และในพระองค์ ท่านก็เช่นกัน กำลังรับการทรงสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าในวิญญาณ”

 

อันนี้อธิบายไปแล้วนะ  ไม่ใช่ค่อยๆ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นแล้ว แต่เราค่อยๆ ถูกพัฒนามากขึ้นในเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ทำให้การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ได้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น ก็คือจะว่ากันตามตรง ฝึกฝนตัวเองให้ทำตัวสมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อย แค่นั้นเอง  ก็คือ เราเป็นอยู่แล้ว  เป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว

1 โครินธ์ 3:10-11 บอกว่า “10 โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น ทว่าแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร? 11 เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่าท่านได้วางรากฐานเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือนำผู้คนเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เขาอยู่ในพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตกับเขาเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นก็จะมีคนมาก่อขึ้น เมื่อวางราก คลอดออกมาแล้ว มีพี่เลี้ยง พ่อแม่ดูแลลูกคนนี้ แล้วดูว่าพ่อแม่สอนลูกคนนี้อย่างไร?  แค่นั้นเอง

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าใครจะมาวางรากอื่นไม่ได้แล้ว คือเขาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย เกิดแล้วเกิดเลย แต่ต่อจากนั้น ขึ้นอยู่กับคนที่สอน มาสอนเรื่องราวของพระเจ้า เรื่องราวความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อคนนั้นว่าเขาจะสอนอย่างไร?

ใน 1 โครินธ์ 3:12 “ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง ก่อขึ้นบนรากฐานนั้น”

 

อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบวัสดุอยู่ 6 อย่าง ก็คือทองคำ  เงิน  เพชรพลอย  เหล่านี้เป็นของมีค่า  ซึ่งถูกหลอมแล้ว มันก็ยังคงเหมือนเดิม  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผิดกับไม้  หญ้าแห้ง  หรือฟาง  ถ้าไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางเอามาก่อสร้างบ้าน วันหนึ่ง ถ้าพายุพัดมา บ้านหลังนี้ก็จะพังทลายลง

อย่างที่พระเยซูทรงยกตัวอย่างขึ้นมา แต่ตรงที่พระเยซูยกตัวอย่างมานั้น มันคนละเรื่องกับตรงนี้นะ แค่นึกถึงเท่านั้นเอง ที่พระเยซูยกตัวอย่าง คือใครที่สร้างบ้านบนศิลา ก็คือวางรากฐานอยู่ที่พระเยซูคริสต์ บ้านหลังนั้น จะมั่นคง แต่ใครที่สร้างอยู่บนดินทราย ก็คือไม่เอาพระเจ้า ไม่เชื่อวางใจในพระเจ้า ยังเชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง เมื่อเกิดพายุหนัก บ้านหลังนั้นจะพังทลายลง นั่นคือสิ่งที่พระเยซูยกตัวอย่าง

แต่ตรงนี้มันไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้เกี่ยวกับว่าคนๆ นั้น เป็นผู้เชื่อแล้ว  วางใจในพระเจ้าแล้ว ย้ายจากต้นของอาดัม มาที่ต้นของพระเยซูคริสต์แล้ว ย้ายจากการพึ่งการกระทำของตัวเอง มาพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ก็คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  แต่ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เขายังต้องรับการเลี้ยงดู การปลูกฝัง ฉะนั้น จะมีพี่เลี้ยง ผู้รับใช้ของพระเจ้า มาดูแลคนๆ นั้น

แล้วอาจารย์เปาโลก็ยกตัวอย่างว่าพี่เลี้ยงคนนั้นจะเอาอะไรมาใส่ให้กับผู้เชื่อ ถ้าเขาใส่มาเป็นทองคำ เป็นเงิน เป็นเพชรพลอย ก็คือใส่ความจริงของเรื่องราวของข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ลงมาที่ผู้เชื่อคนนั้น ผู้เชื่อคนนั้นก็จะเจริญเติบโตมั่นคง ไม่ถูกซัดไปซัดมา หันไปเหมาด้วยลมปากของใครไม่รู้ แต่ว่ามั่นคงในความจริงในเรื่องราวของพระเจ้า รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขามีธรรมชาติใหม่เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเขารับรู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เขาก็สามารถสำแดงความจริงตรงนี้ ออกมา ผ่านทางชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น

ถ้าพี่เลี้ยงหรือผู้รับใช้สอนเขาแบบนี้ วางรากดีๆ แล้วก็ก่อขึ้นดีๆ ผู้เชื่อคนนั้นจะมั่นคงในพระเจ้า จะสามารถสำแดงความจริงของพระเจ้าออกมาได้มากเท่าที่ความรู้ที่เขาได้รับมา ความรู้ในเรื่องความจริง

ส่วนคนที่ก่อขึ้นมาด้วยหญ้า  ด้วยฟาง  ด้วยไม้  ก็คือผู้รับใช้พระเจ้าหรือพี่เลี้ยง ไม่ได้เอาความจริงในเรื่องราวข่าวประเสริฐในโลกวิญญาณมาใส่เข้าไป มาปลูกฝังเข้าไป มาสอนเข้าไป  สอนแต่เรื่องของโลกวัตถุ ถ้าสอนว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เราต้องรวย ต้องรวยอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเสียชื่อพระเจ้าแน่นอน หรือเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องแข็งแรง  เราต้องไม่ป่วยสิ ถ้าป่วยต้องเสียชื่อพระเจ้าอีก พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ  เราจะป่วยได้อย่างไร?  หรือสอนอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นเรื่องของโลกใบนี้ ซึ่งเวลาเราฟังใหม่ๆ มันดีนะ ได้รับการหนุนใจมากเลย ผู้รับใช้คนนี้เขาสอนดี เขาบอกเรา ให้กำลังใจเราเลย พระเจ้าอยู่ในเรา พระเจ้าจะอวยพรเราให้ร่ำรวย พระเจ้าจะอวยพรเราให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ถามว่าความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นไหม? ไม่ใช่ ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะประทานให้เรา  ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา

พันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อ คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้ารับเราเป็นลูก วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย นี่คือสัญญาที่เป็นจริงเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญา คือพระเจ้าจะสถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค แล้วพระองค์จะนำเรา เดินไปด้วยกันในโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเจออะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทิ้งเรา  ความทุกข์ ความสุขเจอแน่นอน  อยู่บนโลกใบนี้ อย่าคาดหวังตามที่ใครมาหลอกเราว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วต้องรวยอย่างเดียว แล้วคริสเตียนที่ไม่รวย เขาไม่รักพระเจ้าหรืออย่างไร? มันไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกันเลย หรือคริสเตียนที่เจ็บป่วย เขาไม่รักพระเจ้าหรือ?  ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เขารักพระเจ้า

แต่ด้วยโลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว แล้วร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เสียหายนี้อยู่ ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นกับเราแน่นอน มันมีผลกระทบ อย่างที่บอกเวลาเป็นโรคโควิด ถ้าเราไม่ระวังตัว เราก็ติด ต่อให้เราเป็นผู้เชื่อ  แล้วเราคิดว่าเราเชื่อมากๆ ด้วย ความเชื่อเราสุดโต่งเลย ความเชื่อเราสุดยอด  ในนามพระเยซู โควิดมาทำอะไรฉันไม่ได้ แล้วฉันก็เดินออกไปเลย ไปอยู่ในชุมชน เปิดหน้ากากด้วย ไปนั่งกินข้าว สวนเสเฮฮา สนุกสนาน ติดนะ ถ้าบังเอิญกลุ่มที่เราไปอยู่ด้วย มีคนเป็นโควิด  นั่นคือความจริงในโลกนี้กับความจริงในโลกวิญญาณ  ที่เราจำเป็นจะต้องแยกให้ชัดเจน  ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ชัดเจน  เราก็จะงง  แล้วเราก็จะเริ่มสงสัย …

“พระเจ้า พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคริสเตียน ทำไมลูกยังลำบากอยู่เลย”

ถามจริง ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเป็นแบบนี้ คริสเตียนก็โดนกระทบ มีคริสเตียนที่ลำบากเยอะแยะในปัจจุบัน แล้วคริสเตียนที่ลำบากในอดีตก็มี พระคัมภีร์ก็เขียนไว้ มีเยอะแยะมากมาย  พระเจ้าไม่ช่วยเขาเหรือ? พระเจ้าช่วย  คือช่วยประคับประคองเขาให้สามารถอยู่ได้ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้  แล้วให้เราสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า  นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับผู้เชื่อ แล้วพระเจ้าก็จะรักษาวิญญาณจิตของพวกเรา ที่เราเชื่อแล้วไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง  เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า คืออยู่ที่เดิมนั่นแหละ ปัจจุบันเราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่แล้ว เปลี่ยนมิติ เราก็ไปนั่งอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์

นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ  เพื่อว่าถ้าสมมติผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยงก่อผิดท่า ผิดที่ ผู้เชื่อคนนั้นจะไม่โต กระท่อนกระแท่น ที่บอกว่าการงานที่ทำสูญเปล่า  ก็คือไม่ได้เห็นความเจริญเติบโตในโลกวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้น นึกภาพออกไหมคะ?

ถ้าหว่านแค่ว่าเขาจะเจริญรุ่งเรือง วันหนึ่งที่เขาไม่เจริญรุ่งเรือง เขาก็คอตกแล้ว คอพับแล้ว ตกลงที่พระเจ้าสัญญามันจริงไหม? ตกลงมันคืออะไร? เกิดความสงสัยในพระเจ้าขึ้นมา  หรือเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา สงสัยพระเจ้า ไหนพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ พี่เลี้ยงเราสอนมา เราเป็นคริสเตียน เราต้องแข็งแรง อ้าว! ตอนนี้ไม่แข็งแรง มันหมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้วหรือ?

ความเป็นจริง คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา ไม่เคยทอดทิ้งเรา ไม่ว่าเราเจ็บป่วยอยู่  หรือไม่ว่าเราทุกข์ เราสุข  เรายากจน เรามั่งมี พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่ในเรา นี่คือความจริง

1 โครินธ์ 3:13-16 “13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นจะถูกทำให้สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น 16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตภายในท่าน”

 

ตรงนี้ หลายคนจะเข้าใจผิด คิดว่า “การงาน” ตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง หมายถึงการงานที่ผู้เชื่อจะไปรับหลังความตาย  ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่  การงานนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ ปัจจุบัน ในโลกใบนี้  อย่างที่เมื่อกี้บอก ถ้าผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยงสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อ หยั่งรากให้มั่นคง ผู้เชื่อคนนั้น จะเป็นเหมือนบุคคลในอดีต  ผู้เชื่อในอดีต ไม่ว่าเขาจะเจอความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เขายังสามารถมีสันติสุข และความชื่นชมยินดีในใจได้ เพราะเขารู้ว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ เขารู้ว่าชีวิตของเขาถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เขารู้ว่าวิญญาณของเขาอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ความทุกข์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย แม้แต่นิดเดียว ความทุกข์ เขาก็มีกำลังที่จะสามารถผ่านไปได้  แล้วเมื่อผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ผู้เชื่อคนนั้นจะเจริญเติบโตขึ้น เพราะเขาเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา  เขาเห็นการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ในเขา พระเจ้าช่วยเขา ให้เขาสามารถมีกำลังที่จะผ่านความทุกข์นั้นไปได้ นั่นคือพอพี่เลี้ยงหรือผู้รับใช้ได้เห็นความเจริญเติบโตของผู้เชื่อเหล่านี้ มีความสุข อันนั้นแหละ คือบำเหน็จของเรา

บำเหน็จของผู้รับใช้ ก็คือเห็นสมาชิกเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เชื่อ วางใจในพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าคนนั้นจะผ่านความทุกข์ยากมากขนาดไหน?  เขายังสามารถชื่นชมยินดีอยู่ นั่นคือบำเหน็จของผู้รับใช้  บำเหน็จผู้รับใช้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเห็นสมาชิกเจริญเติบโต ด้วยความร่ำรวย มั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง อันนั้น ใครๆ เขาก็อยากได้  นึกออกไหม? ไม่ต้องไปหาจากที่ไหนหรอก ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างดีหมด ใครๆ ก็ชื่นชมยินดี  แต่ในความเป็นจริง คือมันมีขึ้นกับมีลง บางคนพระเจ้าเลือกเขา คือให้เขาดีหมด โอเค ขอบคุณพระเจ้า เขาเป็นภาชนะที่พระเจ้าใช้เขาแบบนั้น เพื่อเขาจะเป็นพรให้กับคนอื่น แต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น การเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่ความร่ำรวย ความเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่สุขภาพร่างกายคนนั้นแข็งแรง ความเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่ครอบครัวนี้อยู่ดีมีสุข  แต่ความเจริญเติบโตวัดที่ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับปัญหา อุปสรรคใดๆ  ก็ตาม เขายังสามารถชื่นชมยินดีในพระเจ้า  นั่นแหละ คือบำเหน็จของผู้รับใช้ แล้วเราได้รับบนโลกใบนี้ด้วย ไม่ต้องรอเราตาย เห็นสมาชิกเจริญเติบโต เรามีความสุข

กับความสูญเสีย คือเมื่อผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยง หว่านในสิ่งที่ไม่ได้เป็นทองแท้ของพระเจ้า อย่างที่บอก พยายามลุ้น พยายามโน้มน้าวจิตใจ  พยายามที่จะสร้างความหวังที่เป็นลมๆ แล้งๆ ให้กับสมาชิกว่าเขาจะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เขาจะแข็งแรง  มาเชื่อพระเจ้าต้องอย่างนี้ๆ  ต้องทำอย่างนี้ๆ แล้วในที่สุด สมาชิกคนนั้น ก็ทนไม่ไหว เพราะว่ามันไม่ได้เป็นความจริง  ไม่ได้เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ แล้วสมาชิกคนนั้น ก็จะไม่เจริญเติบโต เพราะว่าเขาก็หันไปหันมา …

“ตกลงเป็นอย่างไร? ตกลงฉันยังอยู่ในพระเจ้าอยู่ไหม?” อะไรอย่างนี้

แต่ว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอก ก็คือเขาจะรอด  แต่รอด เหมือนรอดจากไฟ ก็คือมันไม่มีอะไรให้ชื่นชมยินดี  เขารอดไหม? เขารอดแน่นอน เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อย่างที่เราบอกเกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย  เป็นลูกของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้  แต่ว่าชีวิตของเขาที่อยู่บนโลกใบนี้ ขาดสันติสุขในพระเจ้า แล้วไม่สามารถสำแดงธรรมชาติที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเขาในพระเจ้าออกไปให้ผู้อื่นได้เห็น

แล้วในข้อที่ 16 อาจารย์เปาโลย้ำอีกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

“ท่านไม่รู้หรือ?” แปลว่าควรจะรู้นะ ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคนควรจะรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าข้างในเราเป็นที่สถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา  ดำเนินชีวิตร่วมกับเรา คอยให้กำลังใจกับเรา ให้สติปัญญาเรา คอยโน้มนำจิตใจเราให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ขึ้นอยู่ตรงที่ว่าอย่างที่บอกเราเป็นตัวกลาง ที่พระเจ้าไม่เคยบังคับเรา แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว แม้พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เองแล้ว เราสมควรที่จะทำตามที่พระเจ้าบอกทุกประการ แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับเราอีก หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ตัดสินใจว่าเราจะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเรา หรือเรายังคงจะทำตามใจตัวเราเอง  หรือทำตามโลกนี้  ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาหลอกล่อเรา

ถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราก็จะสำแดง ส่งผลของความเป็นธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าออกมา ก็คือความดีงาม ความสว่าง ความรักของพระเจ้าออกมา  แต่ถ้าวันไหน เราเกิดอารมณ์ไหนก็ไม่รู้

“พระองค์เจ้าข้า ไม่เอาวันนี้ไม่ทำตามพระองค์แล้ว ขอแหกคอกนิดหนึ่งทำตามใจตัวเอง”

ก็สำแดงความเกลียดชังออกมา  หรือสำแดงอะไรที่มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในตัวตนจริงๆ ของเรา ในขณะที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  แค่นี้เอง มันจะออกมาทุกวันทุกเวลา  เราเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าเราจะสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่เปลี่ยนใหม่แล้วออกมา  ส่องกระจกเข้ามาในความคิดจิตใจใหม่ของเรา แล้วให้กระจกนี้สะท้อนออกไป หรือเราจะส่องกระจกออกไปข้างนอก ที่โลกใบนี้  ที่ส่งเข้ามาในโปรแกรมเดิมๆ  ที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เป็นระบบที่พยายามที่จะต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า  ถ้าเราส่องออกไปข้างนอก  กระจกนี้ก็จะสะท้อนออกไปเหมือนกัน ก็คือแม้เราเป็นคริสเตียน เราเป็นผู้ทำ เราก็จะสำแดงความเกลียดชังออกไป สำแดงอะไรที่เป็นของโลกนี้ออกไป  เราจะเห็นว่าคริสเตียนเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังนิสัยแบบนี้อีก นั่นแหละ คือความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ความจริง เราก็จะเป็นไท เป็นอิสระ เราก็จะระวังตัว ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก  ถ้าเมื่อไรมันมีความเกลียดชังออกมาจากชีวิตของเรา แปลว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว เราใส่เสื้อผิดตัว หรือเราใส่เสื้อขาวๆ ออกไปเจอโคลน เจอโคลนทำอย่างไร? กลับบ้าน เอาเสื้อไปซัก แล้วก็ใส่ใหม่  เพราะเสื้อใหม่ของเรา คือเหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 4:17-18 “17 ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์ 18  ไม่มีความกลัวในความรัก  (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา)  คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

 

ข้อ 17 อาจารย์ยอห์นบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่  บัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า   พระเจ้าพระบิดา   พระเจ้าพระบุตร  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา   ความรักอากาเป้ แบบพระเจ้าก็อยู่ในเราด้วยอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  เมื่อเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สะอาด  บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เราจึงมั่นใจได้ว่าเมื่อเราจากโลกนี้  เราไม่ต้องถูกพิพากษาอีกแล้ว ที่เรามั่นใจ เพราะชีวิตจิตวิญญาณของเราเป็นเหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

 

ข้อ 18 เมื่อเราถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  วิญญาณของเราเป็นความรักแล้ว  เหมือนพระเยซูเลย  วิญญาณของเราก็ไม่มีความกลัวอีกแล้ว  ข้างนอกเราอาจจะถูกหลอกให้กลัวได้  แต่วิญญาณข้างในจริงๆ ของเราไม่มีความกลัวแล้ว   เมื่อเราเป็นความรักแล้ว เราจึงมั่นใจว่า …

  1. เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว
  2. เรามั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา

ธรรมชาติวิญญาณของมนุษย์ทุกคน  เป็นทาสของความกลัวความตาย  กลัวว่าจะต้องถูกพิพากษา  อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าในความรักไม่มีความกลัว ส่วนสำหรับผู้ที่ยังมีความกลัวอยู่   ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั่นเอง  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1375

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 15

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:17 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:17-18 “17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

สองพวกที่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มีสันติสุข  ก็คืออยู่ด้วยกันอย่างสันติ โดยที่ไม่ทะเลาะกัน 2 พวกนี้ที่พูดถึง ก็คือชาวยิวกับชาวต่างชาติ  ซึ่งเป็นแผนการล้ำลึกที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าก็เตรียมพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่จะมาเกิดในหญิงพรหมจารี แผนการนี้ได้วางไว้เรียบร้อยแล้วว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ พระเยซูคริสต์จะเป็นเผ่าพันธุ์ หรือเป็นพงศ์พันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย เมื่อก่อนจะเป็นยิวเฉยๆ ที่พระเจ้าบอกว่าเลือกยิวเอาไว้  แต่วันที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จปุ๊บ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะถูกประกาศออกไปทั่วโลกนี้เลย ก็คือไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวต่างชาติ เป็นคนอเมริกา เป็นคนอังกฤษ คนไทย คนเขมร คนอะไรทั้งหมด มีสิทธิ์ ที่จะมารับเอาของขวัญนี้ ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราสำเร็จแล้ว

ดังนั้น การที่ทั้งสองพวกมาคืนดีกับพระเจ้า แล้วเกิดสันติสุข  เกิดการเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่วิญญาณข้างในไม่เป็นศัตรูกัน เมื่อวิญญาณข้างในไม่เป็นศัตรูกันปุ๊บ ก็ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ และการที่เราจะสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ ก็ไม่ใช่ด้วยการประพฤติของเรา ไม่ใช่เราพยายามที่จะทำความดี ประพฤติตามกฎบัญญัติ  เพื่อเราจะได้สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้  แต่ว่าแผนการนี้  พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำเองทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบ  พระเจ้าเป็นผู้กระทำ มนุษย์ทำแค่อย่างเดียว คือได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า  ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์มาทำอะไรเพื่อเรา เมื่อได้ยิน เก็บข้อมูล พินิจ พิจารณา ใคร่ครวญ แล้วมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีนะ เราทำมาเหนื่อยมาก เราพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของเราเอง แต่ข้างในวิญญาณ เราไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นอิสระเลย เรายังรู้สึกว่าเราต้องชดใช้เวรกรรมอยู่ร่ำไป ความรู้สึกข้างใน มันจะไม่รู้สึกถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เมื่อเราใคร่ครวญเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ จนเสร็จบวกลบคูณหารแล้ว ชั่งน้ำหนักแล้วว่าอันไหนดีกว่ากัน  เรามาเชื่อพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์ทำ หรือว่าเรายังคงจะเชื่อตัวเอง  ทำเอง พอชั่งน้ำหนักเสร็จ ฝั่งของพระเยซูมีน้ำหนักมากกว่า เราไปทำทำไมให้เหนื่อย  ทำไปข้างในก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราถูกปลดปล่อย  หรือข้างในไม่ได้รู้สึกว่าเราหมดเวรหมดกรรมเลย เราก็ตัดสินใจ

พอตัดสินใจ เปิดใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ก็คือเราต้องเปิดใจ  เพราะพระเจ้าไม่บังคับมนุษย์คนหนึ่งคนใด ธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา หรือสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้มา  เพื่อให้เขามีอิสระในการตัดสินใจ  พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาเป็นหุ่นยนต์ กดรีโมท แล้วก็ทำตามพระเจ้าทุกอย่าง แต่พระเจ้าสร้างมนุษย์มาตามพระฉายของพระเจ้า ก็คือมีสิทธิ์ที่จะเลือก ตัดสินใจว่าจะเอาอะไร? จะทำอะไร? จะเชื่อใคร? จะวางความเชื่อวางใจลงไปที่ไหน? วางใจความเชื่อของตัวเองลงไปที่การกระทำของตัวเอง ที่การประพฤติดีทุกอย่าง หรือวางความเชื่อของตัวเอง ความไว้วางใจของตัวเองไปที่พระเยซูคริสต์ว่าเราทำเองไม่ไหว เราขอเชื่อพระเยซูคริสต์ดีกว่า พอเราตัดสินใจปุ๊บ วางความเชื่อวางใจของเราลงไปที่พระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการการบังเกิดใหม่เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ ซึ่งตรงนี้เราคุยกันบ่อยๆ  เพื่อเราจะได้รับรู้ขบวนการจริงๆ ว่า ณ เวลานี้ ที่พวกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง?

วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรา ก็คือมาฆ่าเราให้ตาย ฆ่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาป เป็นคำสาปแช่ง วิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า วิญญาณที่เดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้า  ไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้เลย ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะทำความดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถทำให้ได้มาตรฐานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เลยเอาวิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่ทะเลาะกับพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน ก็คือรับกันไม่ได้ พระเจ้าก็รับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป  เราก็รับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าบริสุทธิ์เกินไป  จนเราแตะไม่ถึง พอถึงวันที่เราตัดสินใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทำขบวนการเอาวิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่เราได้ยินมาตลอดช่วงเวลานี้ คำว่า “บัพติศมา” ในโลกวิญญาณ ก็คือไปตรึงตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ไปฝังพร้อมกับพระเยซูที่อุโมงค์ แล้ววิญญาณเก่านี้ตายไปเลย แล้ววิญญาณใหม่ที่เป็นใหม่เลย ที่พระเจ้าเปลี่ยนใหม่ให้เราเลย ได้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่มันเกิดขึ้น ขบวนการนี้มันเกิดขึ้น แบบยิ่งใหญ่มหาศาลมาก ดังนั้น การบังเกิดใหม่ของมนุษยชาติ  ไม่สามารถทำด้วยกำลังของตัวเอง  แต่ว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ เราทำแค่ครั้งเดียว  คือตัดสินใจยอม ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการงานในวิญญาณของเรา แค่นั้นเอง  แล้วต่อจากนั้น พระเจ้าก็จะทำขบวนการของพระองค์จนเสร็จ วิญญาณที่ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อเป็นอยู่ ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ตามคำสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะให้วิญญาณใหม่กับเรา

ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะได้เห็นคำว่า  “จะ” ตลอด  …

–  พระองค์จะเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา

–  พระองค์จะเปลี่ยนจิตใจใหม่ให้กับเรา

–  พระองค์จะยกโทษความผิดบาปให้กับเรา

– พระองค์จะเรียกเราว่าเป็นประชากรของพระองค์ ซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้เป็น เป็นไม่ได้ด้วย

จะหมดเลย ก็คือพระเจ้าเผยพระวจนะเอาไว้ บอกล่วงหน้าไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทำให้สำเร็จ แล้ววันที่ทำสำเร็จ คือวันที่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน

ตอนที่พระเยซูมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี คำว่า “จะ” ยังอยู่ แผนการของพระองค์ ยังไม่สำเร็จ ก็คือยัง “จะ” อยู่ แต่วันที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน แล้วพระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” คำว่า “จะ” ไม่มีแล้ว คือไม่จะแล้ว ตอนนี้ คือสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  พระเจ้าทำให้มนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว การไถ่บาป ได้ถูกทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  การอภัยโทษบาปได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว การทำให้มนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า สามารถมาคืนดีกับพระเจ้าได้ทำเรียบร้อยแล้ว การทำให้มนุษย์ที่ระเห็ดออกจากครอบครัวของพระเจ้า ก็คือเมื่อวันที่มนุษย์ตัดสินใจจะพึ่งพาในตัวเอง อาดัมกับเอวาตัดสินใจปุ๊บ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ต้องออกจากครอบครัวสวรรค์ของพระเจ้า วันนั้นแหละ เริ่มต้นที่มนุษย์ไม่มีพระเจ้า ไม่มีชีวิต  แล้ววันที่พระเจ้าทำสำเร็จ  คือคำว่าจะ ไม่มีอีกแล้ว  ตอนนี้มนุษย์ทุกคนอยู่ในพระคุณของพระเจ้า  มีชีวิตอยู่ในพระคุณของพระเจ้า  คือพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนไหนจะมาเชื่อพระเจ้าหรือยังไม่เชื่อก็ตาม ขบวนการนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์เข้ามารับ ถ้าเขาไม่มารับ ก็เท่ากับเขาทิ้งของขวัญนี้ไปเฉยๆ ของขวัญนี้ยังอยู่  เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว

ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือประกาศความจริง เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้คนอีกมากมาย ที่เขายังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ หรืออีกหลายๆ คนที่เขามีความรู้สึกว่ามาเชื่อพระเจ้ายากจัง เราต้องทำอะไรบ้าง? ต้องๆ  เยอะแยะมากมาย  แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าไม่ต้องทำอะไร? ทำแค่อย่างเดียว คือยอม ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำงานในใจของเรา แค่นั้นเอง เมื่อเรายอมปุ๊บ  พระเจ้าทำให้เราหมดทุกอย่าง  หลังจากที่เราได้รับการบังเกิดใหม่  ด้วยชีวิตที่เป็นนิรันดร์แบบพระเจ้าปุ๊บ ในโลกวิญญาณ มันเป็นแล้วเป็นเลย คือคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาได้เป็นชีวิตนิรันดร์เลย อย่างที่อาจารย์นครพูดมา 2-3 อาทิตย์แล้ว …

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์”

เราจะอยู่ในพระคริสต์ได้อย่างไร? เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ได้อย่างไร? มีอยู่หนทางเดียว ก็คือยอมให้พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา แค่นั้นเอง วิธีอื่นไม่มี จะพยายามทำดี  ประพฤติดี ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ได้

ดังนั้น การเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นขบวนการที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้กับมนุษยชาติ แค่มนุษย์คนนั้นยอมเท่านั้นเอง พอมนุษย์คนไหนที่ยอมจำนน ยอมเชื่อ  ยอมวางใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการผ่าตัดวิญญาณปุ๊บ ทันทีที่ขบวนการผ่าตัดวิญญาณเกิดขึ้น พระเจ้าประทานของประทานอันหนึ่งให้กับมนุษย์ ก็คือของประทานแห่งความเชื่อ

ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า  เชื่อไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกันไง พูดอย่างไร เราก็เชื่อไม่ได้  เราจำเมื่อก่อนได้ไหม?  ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า คนมาประกาศบอกว่า…

“พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้านะ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ถ้าใครเชื่อ ก็จะได้ชีวิตนิรันดร์”

ทำอย่างไรเราก็เชื่อไม่ได้  โดยสติปัญญา โดยสมองของมนุษย์ที่ใช้ความคิดของเราเอง คิดให้สมองแตก เราก็เชื่อไม่ได้ จนวันหนึ่ง เมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ค่อยๆ ทำงานในวิญญาณของเรา  จนวันหนึ่ง เรามีความรู้สึกว่าเราอยากมาติดตามพระองค์ เราอยากรู้ เราอยากชิมว่าที่เขาว่ากันว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อพระเจ้า เราจะได้รับการยกโทษความผิดบาป มันเป็นอย่างไร? เราอยากจะรู้ เราเลยเข้ามาชิม  วันที่เราบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์ ลูกอยากได้”

ก็คือเราอยากชิม เหมือนคนเอาขนมชิ้นหนึ่งที่น่าทานมาก เอามาอวดเรา  แล้วบรรยายสรรพคุณอย่างดีเลยว่าขนมชิ้นนี้ สุดยอดเลยนะ มันอร่อยมาก ร้านนี้เป็นร้านที่คนต้องต่อคิวยาวเป็นวาเลย กว่าเราจะได้ซื้อขนมชิ้นนี้มา ใช้เวลาตั้ง 5-6 ชั่วโมงทีเดียวเชียว เราฟังเฉยๆ เขาว่าอร่อย เราก็โอเค อร่อยก็อร่อย  แต่เราไม่เคยยอมไปซื้อขนมชิ้นนี้ มาชิม เราก็จะไม่รู้รสชาติว่ามันอร่อย สมคำล่ำลือที่เขาคุย เม้าส์กันทั้งประเทศว่าขนมเจ้านี้อร่อย ร้านนี้ต้องไปเรียงคิว ถึงจะได้ซื้อ

จนวันหนึ่งเรา … “อะไรจะขนาดนั้น ทำไมถึงคิวยาวขนาดนั้น  แล้วคิวยาวมาเป็นร้อยปี พันปี หลายพันปี คิวยังมีอยู่เลย  สงสัยเราต้องไปลอง”

นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นที่เราไปลองขนมชิ้นนี้ ไปยอมเรียงคิว ไปยอมเสียเวลา  ที่จะต่อคิว จนถึงคิวของเรา  แล้วเราก็ไปซื้อขนมชิ้นนี้มา  แล้วเราก็ชิมขนมชิ้นนี้ โอ้โห! มันสุดยอดเลย อร่อยอะไรขนาดนั้น ถ้าเราไม่ชิม เสียดายแย่เลย อะไรประมาณนั้น

เรื่องของพระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าให้ผู้คนมาประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ประกาศทุกวันๆ ประกาศมาตั้งแต่โน้นปฐมกาล ที่พระเจ้าได้ให้ผู้เผยพระวจนะ เผยมาตลอดว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับมนุษยชาติมาตายแทนเขา  มาช่วยเขาให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พูดนานมาก เผยพระวจนะมาตลอด จนเราได้ยิน  แต่เราก็ไม่ได้คิดอยากจะลอง จนวันหนึ่งได้ยินหนาหูขึ้น  ขอลองสักหน่อยดีไหม? ก็เริ่มสนใจ เริ่มเข้ามาฟัง ตอนที่เราฟัง เรายังไม่เชื่อ  ไม่สามารถเชื่อหรอกนะ เราก็ฟังไปเรื่อยๆ ฟังไป ฟังมา  เราเชื่อดีกว่า

พระเจ้าให้ลูกชายดิฉันมาประกาศเรื่องของพระเยซูให้ดิฉันฟัง พระเจ้ามีวิธีที่จะนำเรามาเชื่อพระเจ้า  พระองค์รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเราอยู่ตรงไหน?  แล้วพระเจ้าก็ใช้ตรงนั้นแหละ ที่จะเปิดประตูใจของเรา ให้เราสามารถที่จะเข้ามารับรู้เรื่องราวความจริงของพระเจ้า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พูดได้คำเดียวว่าพระเจ้าดี  แล้วจากวันนั้น เราเริ่มรับรู้เรื่องราวของพระเจ้า เรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งอย่างทุกวันนี้หรอก เราแค่รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า เรารอด  เราไม่ต้องตกนรก ตายไป เราได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน แต่เรายังไม่รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ จริงๆ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราในหนังสือเอเฟซัสว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา เราได้รับแล้ว ในโลกวิญญาณ  ณ เวลานี้ วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องรอเราตาย

เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าต้องรอเราตาย เราถึงสามารถขึ้นไปนั่งกับพระเยซูคริสต์ได้ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณบอกเราว่าไม่ต้องรอ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เราสามารถที่จะไปนั่งกับพระเจ้าที่สวรรคสถานทันที แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนความคิดจิตใจเราใหม่เลย ไม่ใช่ซ่อม ไม่ใช่แก้ แต่เปลี่ยนใหม่เลย ความคิดจิตใจเดิม ที่เราเคยชินกับการดำเนินชีวิต  โดยการพึ่งพาตัวเอง  พระเจ้าเอาไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีความคิดจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ทำบาปไม่เป็น โกรธใครไม่เป็น รักอย่างเดียว  มันเป็นลักษณะของชีวิตใหม่ ชีวิตนิรันดร์  ที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น

ทำไมพระเยซูคริสต์ถึงบอกว่าให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จดจ่อว่าพระคริสต์ได้ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา  ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เรากลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีเลย  แล้วเราก็เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าอาศัยอยู่ พระเจ้าย้ายเราจากกิ่งที่ปักอยู่ที่ต้นของอาดัม มาปักไว้ที่ต้นของพระเยซูคริสต์  พอเรามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่ ร่างกายเราถูกชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เลย  จนทำให้พระคริสต์สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้

นี่คือขบวนการ ถ้าเราไม่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้ เพราะว่าเรายังสกปรกอยู่ แต่เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ  เราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เราสะอาดบริสุทธิ์  สะอาดทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย  จนทำให้พระเยซูคริสต์สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้  เราเคยคิดตรงนี้ไหม?

นั่นแหละ คือขบวนการที่พระเจ้าทำ แล้วทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือเริ่มจากแค่จุดนิดเดียว  ก็คือเริ่มจากที่เราเปิดใจยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการงานในวิญญาณของเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา

นี่คือสิ่งที่ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราไว้ ฉะนั้น ขบวนการตรงนี้ ได้สำเร็จเสร็จสิ้น เรียบร้อยไปแล้ว ในผู้เชื่อทุกคน เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราไม่ได้ต้องการที่จะทำบาปอีกเลย เพราะว่าธรรมชาติใหม่ของเราทำบาปไม่เป็น

จะมีคำถามอีกว่า … “แล้วทุกวันนี้ ที่เราทำบาป มันคืออะไร?”

พอเราเรียนรู้ความจริง เราจะอ๋อๆๆๆ อย่างนี้ และทุกวันนี้ ที่เราทำบาป เพราะ … ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้วใช่ไหม? แต่ว่าเรายังมีโปรแกรมเดิม ที่แอบอยู่ตรงส่วนในร่างกายของเรา เป็นความเคยชินเดิมๆ ที่ยังอยู่ สามารถรับสื่อของข้างนอก สื่อจากระบบของโลกใบนี้ที่พยายามส่งเข้ามา ในตัวเรา แล้วถ้าเรารับสื่อจากตรงนี้ปุ๊บ เรามีโอกาสที่จะทำตามมัน ก็คือประพฤติเหมือนความเคยชินเดิม ตอนนี้เราไม่มีธรรมชาติเดิมแล้วนะ เราเป็นธรรมชาติใหม่ เป็นเลยนะ ฉะนั้น โอกาสมันมี

ถามว่าอันที่เราทำ ใช่ตัวตนจริงๆ ของเราทำไหม? ไม่ใช่แน่นอน ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว เราไม่ทำแน่นอน แต่ที่เราทำไป เพราะเราถูกหลอก โปรแกรมเดิม มันแอบแฝงอยู่ในตัวเรา

บางคนมีพยาธิอยู่ในตัว  เวลาคนกินเก่งๆ กินแล้วทำไมไม่อ้วน  เขาก็แซวกัน นี่พยาธิเต็มท้องแน่เลย กินแล้วพยาธิกินหมด อะไรแบบนี้

โปรแกรมเดิมหรือความเคยชินเดิม  แอบมาอยู่ข้างในเรา เหมือนเป็นพยาธิหรือเป็นไวรัส หรือเป็นอะไรก็ตามที่มันสามารถทำให้ร่างกายเรา ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ สามารถทำได้

ฉะนั้น เวลาที่ผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นอยู่ ตัวจริงๆ เราไม่ได้ทำ  แต่ตัวพยาธิมันส่งผล ทำให้เราเกิดอาการ ฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะไม่ถูกหลอกว่าเราเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าจะรับเราได้ไหม? ให้เรารับรู้ความจริงเลยว่าไม่ว่าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องขนาดไหน? ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณข้างในเรา ไม่ได้เป็นผู้ทำ แต่ร่างกายเรายังคงสามารถ ถ้าเราปฏิเสธว่าร่างกายเราไม่ทำ เราก็โกหก คือร่างกายเราทำ เพราะเราต้านไม่ไหว เราต้านการยุยง หรือการส่งพลังอะไรต่างๆ เข้ามา จนเราต้านไม่ไหว  เราก็ทำออกไป

ตรงนี้แหละ คือจุดสำคัญ  สำหรับผู้เชื่อ   ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ตรงนี้  ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก มารก็จะมาหลอกเรา …

“เห็นไหมเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเจ้า ทำไมยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  แน่ๆ เลย พระเจ้าไม่รักเธอ เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอรีบไปสารภาพบาปเลย” อะไรประมาณนั้น

แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในโลกวิญญาณบอกเราว่า ณ เวลานี้ ตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณข้างในเรา ไม่มีบาปเลย เราไม่ต้องไปสารภาพบาปอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว  … ขออ่านพระคัมภีร์โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13  “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

 

คือพระเจ้าได้ย้ายเราแล้ว  ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด  คืออาณาจักรของความบาปและความตาย อาณาจักรในอาดัม ย้ายเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรใหม่  เข้ามาอยู่ในครอบครัวใหม่ คือครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราไม่สะอาดบริสุทธิ์  เราเข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าไม่ได้ ความสกปรกในตัวเดิมของเราเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เข้ามาเมื่อไร ตายเมื่อนั้น แต่ด้วยเหตุที่พระเจ้า เป็นผู้กระทำขบวนการ ทำให้เราบังเกิดใหม่ โดยการผ่าตัดวิญญาณ ที่เมื่อก่อนวิญญาณเราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เอาไปตายพร้อมกับพระเยซู ก็คือถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู พอฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ฤทธิ์เดชเดียวกันนี้ ได้ทำให้เราได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ย้ายจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ คือเปลี่ยนวิญญาณเรา พอย้ายเรามาปุ๊บ  ในข้อ 14 …

โคโลสี 1:4  “ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

 

เราต้องได้รับการไถ่บาปจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิต แล้วในพระธรรมฮีบรูบอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงหลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือหลั่งครั้งเดียว ชำระหมดเลย  ไม่ว่าผู้เชื่อทำบาปเมื่อไร พระโลหิตของพระเยซูล้างทันที  ทำบาปปุ๊บ ล้างทันที เหมือนเราไปก่อหนี้ปุ๊บ พระเจ้าจ่ายหนี้ให้ทันที พระเจ้ามีทุนสำรองไว้ในธนาคาร ให้กับพวกเราทุกคน  แล้วพระเจ้าก็บอกว่าถ้าลูกของฉันคนนี้ไปติดหนี้สินใคร ธนาคารชำระให้เลยนะ ไม่ต้องรอให้เขามาขอ ไม่ต้องรอให้เขามาแจ้ง ก็คือให้ธนาคารจัดการทันที

ภาพเดียวกัน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งออกมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  พระเยซูบอกว่าหลั่งครั้งเดียว พระโลหิตจะชำระมนุษยชาติทั้งหมด  ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม พระเยซูคริสต์ได้ชำระเรียบร้อยไปแล้ว  ครั้งเดียวเป็นพอ  ไม่ว่าเขาจะทำผิดก่อนหน้านั้น  พระโลหิตชำระแล้ว  เขาจะทำผิด ณ ปัจจุบัน พระโลหิตก็ชำระให้  และเขาจะทำบาปในอนาคต  พระโลหิตก็ชำระให้เขาอีก ก็คือทำไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ผู้เชื่อ เรามีวิญญาณใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  จะมีบาปได้อย่างไร?  ถ้าเราเชื่อว่าเราได้รับวิญญาณใหม่ เราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราจะมีบาปได้อย่างไร? ไม่มี เป็นไปไม่ได้  แล้วทำบาป ก็ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเราทำ  คือตัวพยาธิ ตัวปรสิต ตัวล่อลวงหลอกให้เราทำ แล้วร่างกายเราอ่อนแอ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  เผลอได้ แต่เผลอเมื่อไร พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ทรงชำระเรา คือชำระ จบ ไม่ต้องขอ ถ้าเราขอ แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราหมดแล้ว จริงไหม? ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าให้เราอยู่แล้ว  เราไม่ต้องขอ ของมีอยู่ในคลัง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราขอ แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีให้เรา  เรายังต้องไปขออยู่

ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกเราชัดเจน  ก็คือทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับผู้เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราเชื่ออย่างนั้น เราได้รับเลย  แต่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว  แค่วันหนึ่งข้างหน้า ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ที่เขาตัดสินใจ ไม่เอาแล้ว  ทำเองเหนื่อย มาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าดีกว่า เปิดใจปุ๊บ เขาก็ได้รับเหมือนเราเลย ทันที  เขาได้เข้ามาสู่ครอบครัวของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในเขา เหมือนทุกวันนี้ ไม่ว่าเราทำอะไร? ไม่ว่าเราเดินไปไหน? เราระลึกอยู่เสมอว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ

เป็นความหวังอะไร? หวัง ทำไมคริสเตียนยังต้องหวัง ในเมื่อพระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการ พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าแล้ว เรายังหวังอะไรอีก คริสเตียนหวังอย่างเดียว คือหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความหวังที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แล้ว แค่รอเราทิ้งร่างกายนี้เท่านั้นเอง

คริสเตียนไม่ได้หวังว่าอยู่บนโลกใบนี้  เดี๋ยวพระเจ้าจะทำให้เรารวย ไม่ใช่ หรือไม่ได้หวังว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะทำให้ครอบครัวเราอยู่ดีมีสุข ไม่ใช่ อันนั้น  ไม่ใช่ความหวังที่แท้จริง  เป็นความหวังที่เป็นอยู่ในโลกใบนี้  ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าพระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา  แต่ว่าแล้วแต่บุคคลว่าพระเจ้าจะอวยพรหรือประทานอะไรให้กับแต่ละคน ซึ่งเราไม่ต้องไปวัดด้วยว่า …

“ทำไมคนนี้พระเจ้าอวยพรเยอะ ทำไมฉันพระเจ้าอวยพรน้อย” ไม่ต้องวัด

แต่สิ่งที่เรารับรู้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยืนยันในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ พระพรนานัปการในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ความหวังที่เรารอคอย ณ เวลานี้ ผู้เชื่อจึงรอคอยแค่นี้แหละ  อยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากลำบาก  พระเจ้าบอกเราว่าแป๊บเดียวเองลูก กระพริบตา 2 พริบ ก็จบแล้วโลกนี้

ฉะนั้น ความหวังเราอยู่ตรงนี้  พอความหวังเราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนปุ๊บ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เราก็สามารถผ่านมันไปได้ เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก ความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ บนโลกใบนี้  ถ้าจะเปรียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับพวกเรา มันเปรียบไม่ได้เลย มันขี้ผง นิดเดียวเอง แค่หายใจเข้าหายใจออก เราก็จากโลกนี้ไปแล้ว ฉะนั้น เรามีกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า คริสเตียนทุกคนพระเจ้าสัญญากับเราว่าพระองค์สถิตอยู่ในเรา  พระองค์จะทรงนำพาเรา จูงมือเราเดิน พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา นี่คือคำสัญญา ในระหว่างที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าสัญญาอย่างนั้น แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าพระองค์จะอวยพรให้เราสุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต พระสัญญาตรงนี้ไม่มีนะ อย่าให้ใครหลอก  หรือสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรให้คริสเตียนร่ำรวยๆ ก็อย่าไปให้ใครหลอก  พระเจ้าอวยพรให้เรารวยได้ไหม? แน่นอน พระเจ้าทำได้ ถ้าเป็นน้ำพระทัย แต่ถ้ารวยแล้ว เดี๋ยวลำบากนะ พระเจ้าบอกอย่ารวยเลย อยู่อย่างนี้ดีแล้ว พอมีพอกินไปทุกวัน พอแล้ว อะไรอย่างนี้

ฉะนั้น เรื่องพวกนี้ อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า … “มาเป็นคริสเตียนทำไมไม่รวยสักทีล่ะ แล้วพระเจ้าของเธออยู่ไหน?”

บอกเขาไปเลยว่า … “พระเจ้าของฉันอยู่ในนี้ พระเจ้าสถิตอยู่ในใจ พระเจ้าเป็นกำลังให้กับฉัน ไม่ว่าฉันจะเจออะไร? ฉันก็สามารถผ่านได้ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า”

นี่คือความจริง ที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก ดังนั้น ทุกวันนี้ โลกนี้พยายามหลอกผู้เชื่อ ให้ไปหลง จมปลักอยู่กับสิ่งที่โลกยื่นให้ แต่พระเจ้าบอกว่าอย่าไปรักโลก อย่าไปจมปลักกับการหลอกล่อทุกรูปแบบ ที่ส่งเข้ามา เพื่อให้เราหลงทาง

ถ้าคริสเตียนไปจดจ่อกับความร่ำรวยในทรัพย์สมบัติ เรามีสิทธิ์หลงทาง แล้วชีวิตเราก็ไม่สามารถสำแดงความจริงในตัวตนจริงๆ ของเรา ที่เราอยู่ในพระคริสต์ออกมาได้ ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเรา

ข้อ 14 ในพระคัมภีร์บอกว่าเราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ ก็คือเราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่มีเวร ไม่มีกรรมอีกต่อไป เวรกรรมจะไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณใหม่ของเราเลย เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของเวรกรรมอีกต่อไป  แต่เราผู้เชื่ออยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา

หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤดี หรือการอธิษฐานสารภาพ อันนี้บางคนคิดว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องทำดีนะ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเราหลุดจากพระเจ้า ถ้าเราทำผิด เราไม่สารภาพ เดี๋ยวหลุดนะ เมื่อก่อนดิฉันก็สอนแบบนี้  ถ้าเราทำผิด ให้สารภาพนะ  ถ้าเราไม่สารภาพ ดินพอกหางหมูนะ ยาวมากเลย จำโน่นไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นไปอยู่บนสวรรค์พระเจ้าบอก …

“เธอยังผิดอยู่เลย เธอขึ้นมาสวรรค์ไม่ได้”

เมื่อก่อนเราเข้าใจแบบนั้นจริงๆ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดให้เห็นว่าคำที่พระเยซูพูดถึงในมัทธิว บทที่ 6 ที่พระเยซูสอนเรื่องคำอธิษฐานให้เราสารภาพบาป จำได้ไหม? ถ้าเรายกโทษให้ผู้อื่น พระเยซูคริสต์จะยกโทษให้เรา จำคำอธิษฐานนี้ได้ใช่ไหม? คำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังบอกชาวยิว ชาวอิสราเอล ที่เคร่งครัดในบทบัญญัติ กฎหมายที่พระเจ้าให้ว่าต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำ เธอไม่รอดแน่  พระเยซูพูดจนเสร็จ

พระเยซูบอกว่าพวกเธอทำไม่ได้หรอก ถ้าคนตบแก้มซ้ายของท่าน ให้หันแก้มขวาไปให้เขาตบด้วย ความเป็นจริง ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ พอเขาตบมา เราก็ตบกลับเลย นึกออกไหม? คิดดูดีๆ  ความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ที่พระเยซูพูด ก็คือ ณ เวลานั้น พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูยังทำการงานของพระองค์ไม่สำเร็จ มนุษย์ก็ต้องพึ่งพากฎ แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกคนยิวว่า …

“กฎทั้งหลาย ที่เธอพยายามทำ แล้วข้างในวิญญาณเธอรับรู้เองว่าทำอย่างไรก็ไม่ได้”

กฎบอกว่าอย่าล่วงประเวณี พระเยซูคริสต์บอกหนักกว่านั้นอีก แค่เธอมองผู้หญิง แล้วข้างในคิดไม่ดี บาปแล้ว  แค่มองนะ ข้างในมีจินตนาการปุ๊บ บาปเลย แล้วใครจะรอด อย่าว่าแต่ผู้ชายมอง บางทีเราเป็นผู้หญิง เห็นคนสวยๆ เราก็มอง เราชอบของสวยของงามเหมือนกัน เราเห็นคนสวยๆ เดินมา แต่งตัวดีๆ เราก็มอง บางทีมองแบบหันหลังตามเลย อะไรอย่างนี้

ฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูพูดให้คนยิวและพวกเรา ผู้ที่ไม่ใช่ยิวในยุคปัจจุบันรับรู้ว่ากฎทั้งหมด ที่พระเจ้าตั้งมา 600 กว่าข้อ  ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์เลย ถ้าจะทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คือ 100% จุดและขีด ผิดพลาดไม่ได้ทุกเวลาด้วย ไม่มีใครทำได้

ฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่า … “พวกเธอทำไม่ได้ ในเมื่อพวกเธอทำไม่ได้ ฉันจึงมาไง พระเจ้าพระบิดา จึงส่งฉันมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์  มาช่วยทำให้กฎระเบียบต่างๆ นี้ ครบถ้วนสมบูรณ์”

นี่คือข่าวดี ข่าวดีสำหรับมนุษยชาติ ข่าวดีนี้ พระเยซูบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ทำแค่นั้น หลังจากนั้น พระเจ้าทำเองหมดทุกอย่าง  เราไม่ต้องทำอะไร  แล้วการประพฤติหลังจากนั้น ไม่มีผลอะไรกับความรอดของเราเลย ซึ่งมนุษย์รับไม่ได้ รับไม่ได้ตรงที่เรา ถูกสอนมาตลอด  เราต้องทำดีสิ เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็จะสอนว่าเธอต้องอย่างนี้ เธอต้องอย่างนั้น ต้องๆ  ต้องจนเสร็จ เราก็ปวดหัว มันต้องตั้งนานแล้ว เชื่อมา 30 กว่าปี ก็ไม่สำเร็จเลย  เพราะทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ถ้าเรายังต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อได้รับความรอด พระเยซูไม่ต้องมาตายแทนเรา ที่พระเยซูมาตายแทนเรา เพราะเราทำไม่ไหว แล้วถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังถูกสอนว่าต้องๆ แล้วเราเชื่อเพื่ออะไร? พระเยซูมาตายเพื่อเราไป มีประโยชน์อะไร?  ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้น พระเยซูตายแทนเราปุ๊บ  เพื่อให้เราหลุดจากกฎต่างๆ เหล่านี้  แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าพูดอย่างนี้ พวกคริสเตียนทำชั่วได้สบาย ไม่ใช่ วิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่ เป็นวิญญาณแห่งความดีงาม เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณชอบธรรม เป็นวิญญาณที่ดีเลิศ  แล้ววิญญาณนี้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา แล้วพอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ คริสเตียนจะสำแดงความจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราออกมาเอง โดยธรรมชาติ เมื่อเราเจริญเติบโตมากเท่าไร? คือรับรู้ความจริงมากเท่าไร? โตเท่าไร? การสำแดงก็จะออกมามากเท่านั้น

อย่าพยายามไปบีบคริสเตียนผู้เชื่อใหม่ให้เขาต้องๆ แล้วก็ต้อง ไม่ใช่ คริสเตียนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เปิดใจใหม่ คือเขาเหมือนทารก พึ่งแรกเกิด เราดูภาพทารกจริงๆ นะ  ถ้าลูกหลานเราเพิ่งคลอดออกมา เราจะไปบีบบังคับเด็กทารก เขายังอุแว๊ๆ เดินๆ รีบเดิน คลานๆ รีบคลาน เขาทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ทุกอย่างมีเวลา เมื่อเขาโตขึ้นระดับหนึ่ง เราเรียนรู้ที่จะทำ เด็กเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นนั่ง เด็กเรียนรู้ที่จะพลิกตัว เมื่อถึงเวลา เด็กเรียนรู้ที่จะคลาน เมื่อถึงเวลา เด็กเรียนรู้ที่จะตั้งไข่ หรือยืน หรือเดิน หรือวิ่ง  เมื่อถึงเวลา เพราะเขาดูจากคุณพ่อคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่จะบอกเขา … “ลูก ลูกเป็นคนนะ พอโตสักพักหนึ่ง เห็นไหม ลูกจะตั้งไข่”

แล้วเราเห็นเด็ก ลูกของเราตั้งไข่  เราดีใจมากเลย เราก็จะคอยช่วย เอามือให้เขาเกาะ แล้วเขาก็จะดุ๊กดิ๊กๆ เดินเผลอ ก็หัวทิ่ม นั่นแหละคือพัฒนาการ

ในโลกวิญญาณเหมือนกัน   ผู้เชื่อจะค่อยๆ   พัฒนาเรียนรู้ว่าตอนนี้  เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นอย่างไร? เขาเป็นอย่างนั้น คุณสมบัติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ผู้เชื่อทุกคนเป็นอย่างนั้น    พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร?    เราเป็นอย่างนั้น   เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของพระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 5

 

1 โครินธ์ 3:10, 11 TH1971 “10 โดยพระคุณของพระเจ้า  ซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้ว  เหมือนนายช่างผู้ชำนาญ  และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว  นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”

 

เปาโล ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเมืองโครินธ์   ซึ่งเป็นเมืองที่เปาโลได้วางรากข่าวประเสริฐในพระคริสต์ไว้ในผู้คน  จนเกิดคริสตจักรขึ้นที่นั่น (เปาโลใช้เวลาอยู่ที่นี่ปีครึ่ง  ในการปลูกฝังพระวจนะของพระเจ้าลงในชีวิตผู้เชื่อ) เปาโลวางฐานที่มั่นคงไว้แล้ว  จึงเดินทางต่อไปเมืองอื่น ข้อ 11 เปาโล กล่าวเตือนเหล่าบรรดาอาจารย์   ศิษยาภิบาล   ผู้เผยพระวจนะที่มาทีหลังว่าให้ระวังสิ่งที่จะสานต่อจากสิ่งที่เปาโลได้วางรากไว้ รากฐานนั้นคือเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์

 

ตามที่เปาโลกล่าวไว้ใน 1 โครินธ์ 2:2 ดังนี้ว่า … “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย  เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์  และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน”

นั่นหมายความว่าเปาโลเน้นสอนเรื่องเดียว  คือข่าวประเสริฐแท้ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  พระคริสต์ใช้ท่านมาในการนี้โดยเฉพาะ

ตามที่เขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 1:17  ว่า … “เพราะว่าพระคริสต์มิได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไป เพื่อให้เขารับบัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ และมิใช่ด้วยชั้นเชิงอันฉลาดในการพูด เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช”

ข่าวประเสริฐเป็นความล้ำลึก  ซึ่งปัญญาของมนุษย์ทั่วไปเข้าใจไม่ได้  คนทั่วไปจึงถือว่าเรื่องของพระคริสต์เป็นเรื่องโง่ๆ  ความจริงแล้วข่าวประเสริฐเป็นความล้ำลึก  ที่ปิดบังซ่อนจากคนที่มีใจแข็งกระด้าง  ข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช ในการกระชากคน  จากความมืดมาสู่ความสว่าง   จากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์   ย้ายจากความตายนิรันดร์ไปสู่ชีวิตนิรันดร์  นำพาผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เกินกว่ามนุษย์อย่างเราๆ จะเข้าถึงได้และสัมผัสได้   แล้วยังทำให้ร่างอันเป็นที่ต้องตายของเรา  กลายมาเป็นวิหารที่สถิตอยู่ของพระองค์   เรื่องราวแห่งข่าวประเสริฐนี้  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  และผู้มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ภายในเท่านั้น  จึงจะเข้าใจได้

 

อ่านเพิ่มเติม  คำอธิบายถึงความสำคัญในการสอนเน้นเรื่องข่าวประเสริฐได้จาก 1 โครินธ์ 1:18-31 … ดังนั้น คนที่มาสานต่องานของเปาโลในคริสตจักรของพระเจ้านั้น ไม่ควรเอาข่าวประเสริฐไปผสมปนเปกับเรื่องอื่น หรือเน้นย้ำเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญเกินกว่าข่าวประเสริฐในพระคริสต์  เพราะทุกคำสอนของผู้รับใช้จะมีผลต่อชีวิตของผู้เชื่อ  และนั้นเป็นสิ่งที่ผู้รับใช้ต้องรับผิดชอบผลของคำสั่งสอน  และกินผลแห่งคำสอนของตนทุกคน​  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1374

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้ว่าผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ มีความอดทนน้อยลงในการรับรู้ หรือจดจำอะไรใหม่ๆ เข้าข่ายสมาธิสั้นกันหมดแล้ว ฟังได้ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนเรื่องแล้ว แล้วก็ลืมไปแล้ว เพราะฉะนั้น พยายามจะสื่ออะไรก็ตาม ต้องให้สั้นและกระชับ ทำซ้ำๆ บ่อยๆ เพื่อให้จำได้ เหมือนครั้งที่แล้วยกตัวอย่างแบบคลิปติ๊กต่อก ถ้าดูบ่อยๆ ก็จะจำได้

ครั้งที่แล้วเลยเป็นบรรยายติ๊กต่อก Episode หรือ EP.1 เคล็ดลับสำหรับคริสเตียน การอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความชื่นชมยินดี  และมีสันติสุขที่แท้จริง ท่ามกลางทุกสถานการณ์ ด้วยเคล็ดลับสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” เคล็ดลับสั้นๆ จากถ้อยคำพระเจ้า ที่สามารถทำให้เรามีสันติสุข ในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เผชิญกับความกลัว ความวิตกกังวล  ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ด้วยหนทางแห่งความมืดมน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? นั่นแหละ เคล็ดลับสั้นๆ ช่วยเราได้

จากที่เราได้เรียนกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว  พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เคล็ดลับตรงนี้เป็นแผนการอันลี้ลับของพระเจ้า ที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น จากความบาปและความตาย  ก็คือความพินาศในนรกนั่นเอง คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งนานแล้ว  แล้วปิดซ่อนเอาไว้ มาเปิดเผยอีกทีตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ ถูกเปิดเผยแล้ว

ความหมายคืออะไร? พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ ผมย่อให้ท่านสั้นๆ เพื่อท่านจะได้จำได้ อย่างที่บอก เหมือนกับติ๊กต่อก “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ” เกียรติสิริ ก็คือการที่เราจะได้รับเกียรติและสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ความหวังของเรา ก็คือเกียรติสิริ คือวิญญาณออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตายเลย เต็มไปด้วยเกียรติสิริ หรือจะบอกว่าเต็มไปด้วยพระเกียรติ พระสิริของพระเยซูคริสต์  ที่ทรงมอบให้กับเราทั้งหลาย ตอนเราบังเกิดใหม่นั่นแหละ และร่างกายใหม่ ก็จะเป็นเหมือนพระองค์ เต็มด้วยเกียรติ พออยู่ในร่างกายสวรรค์ปุ๊บ ตาฝ่ายสวรรค์ก็เปิดออกชัดขึ้น ก็เห็นพระเจ้าตามความเป็นจริง คือเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า และเห็นตัวเราเอง เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริของพระเยซูคริสต์ตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน  และจากนั้น กอดพระเยซูคริสต์ทีหนึ่งก่อน กอดร่างกายใหม่  กอด แล้วก็บอกพระเยซูว่าขอบคุณ และพระเยซูก็บอกว่าเรามาร่วมครอบครองมรดกที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเรา ก็คือการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใหม่นะ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์และเราแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น แล้วเราก็จะอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ สรรพสิ่งใหม่เอี่ยมทุกอย่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความลำบาก ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความยากจน ไม่มีความบาป มาล่อลวงให้เราทำสิ่งที่ชั่วร้ายอีก ไม่มีความชั่วใดๆ ไม่มีความกลัว ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีน้ำตา ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะมาเช็ดน้ำตาทุกหยด และเราจะอยู่ในสวรรค์ด้วยความสุขนิรันดร์อย่างนั้นตลอดไปกับพระเจ้านิรันดร์กาล

นั่นคือความหมายสั้นๆ ของคำว่า “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ” มันแปลว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จำได้แล้วนะ  พอเราจำได้ว่าพระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ แปลว่าอะไรปุ๊บ ออกมาเป็นพรวนเลยเยอะแยะ แล้วท่านวิเคราะห์ต่อไปเรื่อยๆ คือใคร่ครวญเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ จำได้เรื่อยๆ ทุกวันๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเพิ่มเติมความรู้ เขาเรียกว่าสำแดงความรู้เพิ่มเติมในวิญญาณมากขึ้นว่าคำว่า “ความหวังแห่งเกียรติและสิริ” หรือ “ความหวังแห่งพระเกียรติและพระสิริ” ที่เราร่วมกับพระเยซูคริสต์คืออะไร? จะบอกท่านมากขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านอยากรู้ ท่านก็ต้องใคร่ครวญ EP.1 ตรงนี้ Episode 0ne ตรงนี้ คือเคล็ดลับตรงนี้ ข้อความ วลี ที่ผมทำมาให้สั้นๆ ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ”

“พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ไปรับเกียรติและสิริ เพราะระหว่างที่ฉันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกายนี้อยู่นั้น ฉันไม่รู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นไร? ฉันต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก แต่พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน นำพาฉันผ่านชีวิตที่สั้นๆ ชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ ที่อยู่อีกแป๊บเดียว แต่พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ และนำพาฉันไปรับอะไร? ไปร่วมรับสง่าราศี พระเกียรติ พระสิริของพระองค์ เมื่อวันที่จากโลกนี้ไปแล้ว ฉันจึงไม่ต้องกลัว ไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย  ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจได้อยู่เสมอ เพราะฉันมีพระคริสต์สถิตอยู่ในฉันตลอดเวลา ไม่เคยทอดทิ้งฉัน และไม่เคยจากไปไหนเลย ฉันจึงร้องเพลงอยู่เสมอว่า …

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน  ในใจของฉัน ในใจของฉัน

ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน”

แล้วท่านจะมีความสุขอย่างนี้ได้ ท่านต้องจำเคล็ดลับตรงนี้ให้ได้ วลีสั้นๆ ว่า “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

แต่ว่าความเป็นจริงนั้น วันนี้มาเพิ่มเติมให้ ก่อนที่พระคริสต์จะสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน อยู่ในเราได้ ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง คือฉันต้องอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือฉันต้องอยู่ในพระคริสต์ก่อน และเมื่อฉันอยู่ในพระคริสต์ได้แล้ว พระคริสต์จึงจะสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉันได้ นี่คือเงื่อนไข

เพราะฉะนั้น ติ๊กต่อก Episode 2 วันนี้ จึงขอนำเสนอวลีสั้นๆ แต่มีกำลังมหาศาล เพื่อจะผนวกกับ Episode 1 กับวลีสั้นๆ อันก่อนนี้ คืออันที่ 1 อันนี้อันที่ 2 มีพลังมหาศาลเช่นกัน ก็คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์”

คือก่อนที่พระคริสต์จะสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้ ฉันต้องทำให้ตัวฉันเอง คือวิญญาณของฉันสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมก่อน จึงจะสามารถย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ แล้วจากนั้น พระคริสต์จึงสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ฉันต้องทำตรงนี้ก่อน ซึ่งการทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมในวิญญาณนั้น ทำได้ไหม? ไม่มีใครสามารถทำได้เลย มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเลย แม้แต่นิดเดียว เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องทำอะไร? ถ้าภาษาไทย เขาบอกว่าทำไม่ได้ ให้ไปทำอะไร? ไปตาย เจ็บมากเลย บอกทำไม่ได้ให้ไปทำอะไร? เขาบอกให้ไปตาย อันนั้นมันเป็นทางลบ พูดไม่รักกัน ถ้ารักกันบอกอย่างไร? ถ้าทำไม่ได้ ให้ทำอย่างไร? ไปเกิดใหม่ซะ ที่เราพูดกันเล่นๆ มันเป็นจริงนะ

เพราะฉะนั้น ต้องเกิดใหม่เท่านั้น ซึ่งเกิดใหม่ ก็โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกแล้วว่าผ่านทางพระองค์ จึงสามารถเกิดใหม่ได้ พระเยซูบอกอย่างนั้น เชื่อไหมล่ะ ฟังไหม? อยากจะเกิดใหม่ไหม? ถ้าอยากเกิดใหม่ไปหาพระเยซู ผ่านพระองค์ได้เกิดใหม่ ตามนั้น

ในโคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกเอาไว้ถึงเรื่องราวนี้ว่าเกิดใหม่อย่างไร? เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? จะเข้าไปอยู่ในเคล็ดลับอันที่ 2 สั้นๆ นี้ได้อย่างไรว่า “ฉันอยู่ในพระคริสต์” จะอยู่ในนั้นได้อย่างไร? ฉันจะได้กลายเป็นชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร? โคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

 

“ในพระบุตร” ก็คือ “ในพระคริสต์” นั่นเอง

“การบังเกิดใหม่” คือการย้ายจากที่อยู่เดิม ในอาณาจักรแห่งความมืด มาอยู่บ้านใหม่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์ที่พระเจ้าสถาปนาแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย

พระเจ้าย้ายวิญญาณเราโดยวิธีใด? การผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ  ก็คือย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่ยอมให้พระเยซูคริสต์เข้ามาทำการผ่าตัดนั่นเอง

การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือการเปิดใจ บอกพระเจ้าว่า … “โอเค จะย้ายแล้ว” พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดเราในวิญญาณเราออกจากที่เดิม คืออยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในสวรรค์ ออกจากความตาย มาอยู่ในชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ออกจากการเป็นทาสบาป มาเป็นลูกของพระเจ้า มันมีการย้ายที่อยู่จริงๆ ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น  แต่มันเป็นอยู่อย่างนี้จริงๆ พระเจ้าบอกเรา นั่นคือข้อ 13

ในข้อ 14 บอกว่าในพระคริสต์ หรือในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่บาป เมื่อเราย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พอย้ายวิญญาณเรามาอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ เราได้รับการไถ่บาป คือได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ตะกี้นี้ จำได้ใช่ไหม? ถ้าเราจะให้พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา เราต้องทำตัวเองให้สะอาด นี่แหละ วิญญาณเราสะอาด โดยที่พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณเรา ย้ายเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ และในพระเยซูคริสต์เราจึงสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เสร็จแล้ว ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณเราสะอาดหมดจด และได้อีกอันหนึ่ง ก็คือและได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ  มี 2 อัน ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ …

อันที่ 1 ก็คือเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า

อันที่ 2 ก็คือไม่ว่าบาปอะไรที่เราทำจากในอดีต หรือปัจจุบัน หรือแม้ในอนาคต ก็ตาม มันถูกยกโทษ หมดสิ้นไปแล้ว ครั้งเดียวพอ ย้ายเรามาครั้งเดียว บาปถูกยกโทษหมดเลย

การได้รับการไถ่ ก็คือหมดเวร หมดกรรม ตอบตามข้อพระคัมภีร์นี้ ก็คือเพราะว่าเราได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น โดยที่เราได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตามพระคัมภีร์ตรงนี้ ไม่ใช่เราได้รับการอภัยโทษ จากความประพฤติดีของเรา หรือจากการวิงวอน ขอสารภาพบาปต่อพระเจ้าเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้รับการยกโทษบาปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องสารภาพบาปอะไรก็ถูกยกไปแล้ว พอเข้าใจนะ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เรามองดูข้างนอก มนุษย์เรามองดูตามสายตา เหมือนกับเป็นคนที่มีชีวิต เหมือนๆ กัน แต่พระเจ้าบอกว่าวิญญาณที่เรามองไม่เห็นข้างใน ตัวตนจริงๆ มนุษย์ทั้งโลกเลย ถ้าเผื่อพระองค์ไม่ทรงช่วย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทั้งโลก ในวิญญาณ ตายอยู่ วิญญาณที่เรามองไม่เห็นตายอยู่ แต่ตามตาที่เรามองเห็น ก็มีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ พอลืมตา กินข้าว กินปลาได้ พูดคุยได้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่พระเจ้าบอกว่านั่นแหละ ตายอยู่ เพียงแต่รอเวลาปรากฏผลความตายนั่นเอง

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ผมเคยปลูกต้นราชพฤกษ์ สวยงาม ต้นใหญ่มาก ไปล้อมมา เขาบอกว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็ออกดอกแล้ว เขาว่านะ ก็เอามาปลูก มองทุกวัน เมื่อไรมันจะออกดอก เพราะว่าใบมันเขียวชอุ่มเลย ปรากฏว่ารอไป 5-6 เดือน มันไม่ออกดอกสักที พอเดือนที่ 7 มันเริ่มเฉาๆ คือยังเขียวอยู่นะ มันชักเริ่มเหี่ยว พอมาอีกสักอาทิตย์หนึ่ง ใบเริ่มเหลือง มันเกิดอะไรขึ้น ตกใจ ในที่สุด มาอีกเดือนหนึ่ง เกือบครบปี ร่วงหมดเลย เกลี้ยงเลย ไม่เห็นดอกเลย แล้วเขียวๆ มันหลอกเราหรืออย่างไร? ไปให้หมอต้นไม้มาดู หมอต้นไม้จริงๆ นะ มาตรวจ ปรากฏว่าที่เราเห็น มันงาม สวยสด กำลังจะออกดอกแล้ว ต้นใหญ่มาก ราคาแพงเลย แต่รากมันเน่า มันเน่ามาตั้งนานแล้ว แล้วมันเพิ่งจะส่งผล ถ้าเผื่อรู้ตั้งแต่แรกว่ารากเน่า ก็เพียงแต่ไปตัดกิ่งที่มันสดอยู่ ที่อนาคตมันจะเหลือง ก่อนมันจะเหลือง มันยังเขียวอยู่ ไปตัดกิ่ง เอาไปเสียบกับต้นราชพฤกษ์อื่นๆ ที่แข็งแรงๆ กิ่งนั้น มันก็เป็นขึ้นมาได้ แล้วมันให้ดอกด้วย นี่เขาอธิบายให้ฟังนะ

คราวนี้เรากลับมานึกเรื่องโลกวิญญาณ  พระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร? ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณข้างใน ร่างกายข้างนอก ไม่ช้าไม่เร็ว ก็ต้องมีวันที่จะเสื่อมสลาย เน่าลงไปแน่นอน  แต่ตัววิญญาณอยู่ข้างใน มันมองไม่เห็น วิญญาณข้างในเหมือนกับตัวตนแท้จริงของเรา ร่างกายข้างนอกเหมือนเสื้อผ้าของเรา เสื้อผ้าไม่ใช่ตัวเราถูกไหม? เพราะฉะนั้น วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของเรา ข้างนอกที่เรามองเห็น เป็นแค่เสื้อผ้า

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ให้พระเจ้าย้ายเขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับการผ่าตัดทางวิญญาณ ก็ยังมีชีวิตอยู่ในต้นไม้เดิม ที่ในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าต้นไม้อาดัม

มนุษย์ทุกคนอยู่ในต้นไม้อาดัม เป็นกิ่งก้านหนึ่งของต้นอาดัม ที่บนต้นอาจดูเขียวอยู่ ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ตรงรากที่มันเน่า มองไม่เห็น ก็คือวิญญาณข้างในมันเน่าอยู่ กิ่งไม้ทั้งหลายบนต้นอาดัม ถึงแม้ยังเขียวอยู่  ดูยังมีชีวิตอยู่ แต่มันแค่รอวันทยอยเขียวน้อยลง ค่อยๆ เหี่ยว เหมือนที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่าในที่สุดมันก็เหลือง แล้วร่วง แล้วก็เอาไปเผาไฟ เฉาตาย เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นเรียกว่าวิญญาณ คือรากที่เรามองไม่เห็น มันเน่า ทางวิญญาณ ก็คือบาป  พินาศนั่นเอง เพราะฉะนั้นวิธีเดียวที่จะช่วยกิ่งไม้เหล่านี้ ให้กลับมีชีวิตอยู่ได้ ช่วยได้ไหม? ได้ อย่างที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้ แต่ต้องรีบ ก่อนที่มันจะเหี่ยวเฉา ตัดเอาไปเผาไฟ เป็นฟืน ก่อนมันจะเหี่ยวมันยังพอจะเขียวๆ อยู่ รีบตัดแล้วก็ย้ายมาต่อเข้ากับต้นไม้ต้นใหม่ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้กิ่งไม้เหล่านั้นกลับมามีชีวิตต่อไปไม่ตาย ก็คือต้องตัดออกจากต้นไม้อาดัม แล้วย้ายไปต่อกิ่ง และติดเข้าไปอาศัยอยู่ในต้นไม้แห่งพระเยซูคริสต์ หรือต้นแห่งพระคริสต์ ย้ายจากต้นอาดัมมาเสียบเข้าต้นพระคริสต์ ต้นพระคริสต์ คุ้นแล้วใช่ไหม? พระองค์ทรงยกตัวอย่าง พระเยซูพูดอุปมาเรื่องเถาองุ่น บอกว่าพระองค์เป็นลำต้น

“ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ท่านต้องมาอาศัยอยู่ในเรา ต้องมาต่อติดอยู่กับเรา สนิทอยู่กับเรา เชื่อมกันไปเลย ท่านจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่งั้นเขาจะเอาท่านไปเผาไฟ ไปทิ้งซะ ถ้าท่านไม่ย้ายมา”

เพราะฉะนั้น ถามมนุษย์ทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำในวันนี้  พระเจ้าถามท่านว่าในโลกวิญญาณขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไม้ไหน? ต้นอาดัมหรือต้นพระคริสต์ ท่านบอก …

“ไม่เชื่อหรอก ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันไม่ได้อยู่ในต้นอะไรทั้งสิ้น” … ได้ไหม?

พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงรู้ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร? พระองค์บอกแล้วว่าท่านกำลังอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันก็มีอยู่จริงๆ ท่านไม่เชื่อว่ามีแรงดึงดูดของโลก แรงดึงดูดของโลก มันก็มีอยู่จริงๆ ท่านขึ้นไปข้างบน โดยไม่มีเซฟตี้ มันก็ตกลงมาตาย ท่านว่ายน้ำอยู่ โดยไม่มีเครื่องพยุง ในที่สุด ท่านก็หมดแรง ถูกดูดลงไป จมน้ำตาย ท่านจะปฏิเสธอย่างไร กฎมันก็ยังมีอยู่ มันก็ยังทำงานตามกฎของมันอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม มันมีอยู่ และมันทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นกฎของธรรมชาติ ก็คือกฎของพระเจ้าที่วางไว้ มันเป็นเช่นนั้น

และสิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ พระเจ้าบอกว่าทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ในอาดัมหรือในพระคริสต์ ท่านถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว อยู่ในชีวิตนิรันดร์เป็นชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ในขณะนี้ เราได้รับสิ่งนี้เพียงแค่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งก็เท่ากับว่าเราเชิญ เรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่ายินยอมรับการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คือยอมให้พระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา คือผ่าตัดวิญญาณ จุ่มเราเข้าไปอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

เราก็จะได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ตามที่เราตั้งใจ เคล็ดลับที่ 2 ก็คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร” เป็นการเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ในการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ พร้อมพระองค์ เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  เกิดขึ้นทันทีเดี๋ยวนี้ และก็ยังอยู่ที่นั่น คืออยู่ที่สวรรค์สถาน ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  คือเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นึกถึงภาพต้นองุ่นกับกิ่งองุ่นเมื่อสักครู่นี้นะ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้นพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? มีอะไร? เราก็ร่วมเป็นอย่างนั้น และมีอย่างนั้นเหมือนกับพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าต้นองุ่นจะได้รับน้ำ รับปุ๋ย หรืออะไรต่างๆ ดีอย่างไร? เราเป็นกิ่ง เราก็ได้รับไปด้วยทั้งหมด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะว่าเราได้เข้าไปเชื่อมต่อ ได้เข้าไปอาศัยอยู่ ได้เข้าไปบัพติศมาอยู่ ได้เข้าไปร่วมอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เพราะว่าฉันได้อยู่ในพระคริสต์

ตอนนี้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านจะรู้แล้ว รวบรวมเป็นเคล็ดลับสั้นๆ คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์” สิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดเมื่อตะกี้ เพราะว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ และใครทำให้ฉันอยู่ในพระคริสต์ได้ พระเจ้าเท่านั้น และฉันร่วมมือได้ด้วยวิธีใด? ยอม … ยอมรับสิ่งที่ดีๆ มันพูดแล้วมนุษย์เข้าใจลำบากนะ  เพราะยอมส่วนใหญ่ จะเป็นสิ่งที่ไม่ดี อันนี้ ยอมมาเป็นลูกพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าทำ ยอมรับรางวัลของขวัญที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านอย่างมากมาย ยอมรับเถอะ พระเจ้ารักเรามากขนาดไหน? คิดดู สิ ขอร้องเราให้ยอมนะ  ยอมให้พ่อเข้าไปช่วย  ยอมให้พ่อให้ของขวัญ ยอมให้พ่อเป็นพระเจ้า จะช่วยเจ้าให้บังเกิดใหม่นะ

โคโลสี 1:15-20 ได้บอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ … พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระสิริของพระคริสต์ที่เราเข้าร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเกียรติ พระสิริ ความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ที่เราได้เข้าไปร่วมกับพระองค์นั้น มันใหญ่ขนาดไหน? ท่านอ่านตรงนี้ แล้วท่านจะรู้ว่าถ้าเผื่อเคล็ดลับตรงนี้ ถ้อยคำวลีตรงนี้ ฝังอยู่ในใจว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ แล้วฉันรู้ว่าพระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เราคงแบบตะกี้นี้บอก มีสุข สุข สุข สุข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม โคโลสี 1:15-20 …

โคโลสี 1:15-20 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง 19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่งทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต”

 

“และฉันอยู่ในพระคริสต์นี้แล้ว” พูดได้เฉพาะคนที่ยอมให้พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณ ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์

ข้อ 15 บอกว่าพระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า พระบุตร ก็คือพระคริสต์ … พระคริสต์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ก็คือพระคริสต์ก็เป็นพระเจ้า ที่เรามองไม่เห็น แต่เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่ทรงสร้าง ก็คือเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  เป็นก่อนทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ หรือในโลกวิญญาณก็ตาม ถูกสร้างโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์มีมาก่อนตั้งแต่เริ่มต้น นี่กำลังพูดไปนี้ ให้นึกในใจว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ฉันบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ฉันเป็นกิ่งก้านที่มาต่อกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นด้วย ไม่ได้อ่านว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครอย่างเดียว แต่อ่านดูในขณะที่ก่อนหน้าที่เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อ 16 โดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ “เทพ” นี่คือวิญญาณนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น เป็นวิญญาณที่มีสิทธิอำนาจครองบัลลังก์ วิญญาณที่ทรงเดชานุภาพ วิญญาณที่เป็นผู้ครอบครอง หรือวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ เพื่อพระองค์ สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน? เป็นวิญญาณทูตสวรรค์แบบดีหรือแบบเลวก็ตาม ทั้งหมดใครเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา? พระเยซูคริสต์ พระคริสต์เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา เพราะฉะนั้น พระองค์ผู้สร้างยิ่งใหญ่กว่าเยอะเลย  และเราอยู่ในพระคริสต์ ใหญ่พอไหม? ไม่พอ ฟังต่ออีก

ข้อ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน อยู่ก่อนทุกอย่างเลย แล้วทุกอย่างถูกสร้าง โดยพระองค์ และโดยพระองค์เป็นผู้ให้ชีวิต ให้กำลังกับสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ยกเว้นทูตสวรรค์ที่ดื้อ กบฏ ก็หลุดออกจากพระคริสต์ไปอยู่ในความพินาศ อยู่ในความสูญสิ้นนั่นเอง ทูตสวรรค์ที่ดีๆ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ที่ดีๆ เขาอยู่ในการควบคุมของพระคริสต์ทั้งสิ้น พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ฉันก็ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉันอยู่ในพระองค์

ข้อ 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ก็หมายถึงพระองค์เป็นพี่ชายคนโต พระองค์เป็นหัวหน้าครอบครัวของพระเจ้า ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิด เป็นหัวหน้าของเรา ที่เรียกว่าเป็นศีรษะ แล้วเราเป็นกาย นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์พันธุ์ใหม่ของการเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายทั่วๆ ไป เมื่อมาต่อติดกับพระองค์ มาอาศัยอยู่ในพระองค์ ก็จะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน พระองค์ทรงเป็นผู้แรกของมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ได้รับพระเกียรติสิริจากพระเจ้า มนุษย์ต่อๆ ไปที่วางใจ แล้วเข้ามาอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มาต่อติดกับพระองค์ ก็ตามพระองค์ไปด้วย ก็เกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ 2, คนที่ 3, คนที่ 4, คนที่ 5 เราจะเป็นคนที่กี่พันล้านก็ไม่รู้

การเป็นขึ้นจากความตายนี้ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง พอเป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้าประทานพระสิริ พระเกียรติ ฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย มอบให้กับพระเยซูทั้งสิ้นเลย พระเยซูได้รับไปทันทีเลย แล้วใครรับไปด้วย เราอยู่ในพระองค์ เราก็รับไปด้วย ใหญ่พอไหม?

ไม่พอ เพิ่มเติมอีก ข้อ 19 พระเจ้าคงถามว่าพอไหม?  เปาโลคงบอกว่าไม่พอ พระเจ้าเพิ่มอีก ในข้อ 19 เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ อยู่ในพระบุตร เพราะว่าพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระบิดานั้น ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น พระองค์พอใจที่จะให้สิทธิอำนาจทั้งหมดเลยที่มีอยู่ ไม่ว่าในโลกนี้ หรือในโลกหน้า มองเห็นหรือไม่เห็นนั้น มอบให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้สำเร็จราชการทุกอย่าง เอาทุกอย่างไปเลย เป็นผู้ตัดสินคดี เป็นผู้ดูแล เป็นผู้พิพากษา เป็นหมดทุกอย่างเลย แล้วเท่ากับมอบให้พระเยซูแล้ว มอบให้ใครด้วย? มอบให้กับน้องๆ ผู้ที่เข้าไปต่อติดกับพระเยซูด้วย เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เลยได้รับไปด้วย ผมจึงตั้งชื่อว่า “เมื่อฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์” เป็น ไม่ใช่มี … มีมันอาจจะหายได้ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงเป็นชีวิตนิรันดร์ คือวิญญาณฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ คือเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย และฉันก็เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะชีวิตของพระเจ้านั่นเอง

พอหรือยัง? แถมอีกข้อหนึ่ง ข้อ 20  “และให้ทุกสิ่ง ทั้งบนแผ่นดินโลก และในสวรรค์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต” กลายเป็นเรามีสิทธิอำนาจ เราได้ เป็นทูตของพระเจ้าที่จะนำพาผู้คนทั้งหลายที่ไม่รู้จักความจริงนั้น ได้สามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระองค์ได้นั่นเอง พอไหม?  ถ้าไม่พอ เติมนี่ให้ โคโลสี 2:9  บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:9 “ด้วยว่าความเป็นพระเจ้าโดยบริบูรณ์ ดำรงอยู่ในพระคริสต์ ในรูปลักษณ์ที่เป็นร่างกายมนุษย์”

 

เผื่อว่าคนที่ใช้ตามองเห็น อาจไม่เข้าใจ และยังไม่ยอมเปิดใจให้พระเจ้าเข้าไปผ่าตัด ตาฝ่ายวิญญาณยังไม่เปิดออก เขายังไม่เข้าใจ พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์อย่างนี้ แล้วจะไปเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าเลยพูดไว้ในหนังสือโคโลสี 2:9 ว่า “ด้วยว่าความเป็นพระเจ้าโดยบริบูรณ์ เป็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีแม้แต่นิดเดียวว่า 99% เป็นพระเจ้าจริงๆ ดำรงอยู่ในพระคริสต์

แม้ว่าอยู่ในรูปลักษณะที่เป็นร่างกายมนุษย์ก็ตาม เดินอยู่บนโลกใบนี้  33 ปี เป็นขึ้นจากความตาย ก็ยังเป็นร่างกายมนุษย์อยู่อีก  ปรากฏให้เห็นอยู่ 40 วัน แล้วลอยขึ้นไปในขณะที่ยังเป็นร่างกายของมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว เป็นมนุษย์ที่เดินทะลุกำแพงเข้ามา  ไม่ต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว ไม่ต้องใช้บอลลูนแล้ว ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ได้ เรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์หรือเปล่า? เป็นมนุษย์ แต่พระเจ้ากำลังจะบอกว่าที่เห็นนั้น คือพระเจ้าที่อยู่ในรูปลักษณะของมนุษย์ (พันธุ์ใหม่) คล้ายๆ กับพวกเรา  ต้องบอกว่าคล้ายๆ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่อยู่ในร่างกายเดิม  สวมเสื้อผ้าเดิมอยู่ เราจึงมีความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือวันที่ร่างกายหรือเสื้อผ้าเก่านี้ มันฉีกขาด มันทิ้งแล้ว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง พอออกจากร่างปุ๊บ โน้นเสื้อผ้าใหม่เตรียมไว้เรียบร้อย คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติที่เรารออยู่ หวังอยู่ และสวมนั้นเข้าไป  เราก็เลยกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ 100% นี่มนุษย์พันธุ์ใหม่มันแปลว่าอย่างนี้ โคโลสี 2:10 ต่อมาอีกนิดหนึ่ง …

โคโลสี 2:10  “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวหาเรา) เหนือพวกผู้ครอบครอง (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตีกล่าวหาเรา) และเหนือพวกทูตสวรรค์ ที่มีฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นในจักรวาล”

 

“ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน เหมือนพระคริสต์” หมายถึงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนที่ท่านเปิดใจยอมรับให้พระเจ้าเข้ามา ผ่าตัดวิญญาณ พอวิญญาณท่านย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย 1 ยอห์น 4:17 บอกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นเหมือนแล้ว เหมือนอย่างไร? พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น พระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระเยซูคริสต์ดีพร้อมไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย เราก็ดีพร้อมไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และพระเกียรติของพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูคริสต์ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั่นแหละ และเพียงแต่รอให้เสื้อผ้าเก่าที่สวมอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ รอให้มันสิ้นสุด มันขาดยุ่ยก่อน แล้วเราก็ไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้

พอเราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์มันเกิดอะไรขึ้น นอกจากที่เราจะอยู่ในความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความดีพร้อม ไร้ตำหนิ เป็นผู้ชอบธรรมในวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราแล้ว  เราก็ดำเนินชีวิตอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ในพระเยซูคริสต์ เคยได้ยินใช่ไหม? โรม บทที่ 8 ในพระเยซูคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดีทำชั่วอะไรต่างๆ ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ปรับโทษเราไม่ได้อีกแล้ว เดี๋ยวมันก็ตายไปพร้อมกับร่างกายนี้ แต่วิญญาณและความคิดจิตใจเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ รออย่างเดียว รอร่างกายใหม่ เอเฟซัส 2:4-6 จะบันทึกอย่างนี้ไว้ว่า …

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ  6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“ทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เป็นแล้วในพระคริสต์”

ข้อ 4 บอกว่าแต่เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาอันอุดม จึงทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต บังเกิดใหม่นั่นเอง อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป ตายแล้วอยู่ในอาดัม อยู่ในต้นไม้เดิมนั่นแหละ คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากการลงโทษ  จากคำสาปแช่ง  จากความพินาศในต้นไม้เดิม โดยการกระทำของพระเจ้า คือโดยพระคุณ คือท่านไม่ได้ทำเองเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านอยู่เฉยๆ ท่านเพียงแต่ยอมเท่านั้นเอง พระเจ้าทำหมด เรียกว่าพระคุณ

พระองค์ได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา ก็คือบังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ ก็คือในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ตรงไหน? เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เป็นการเปรียบเทียบ  หมายถึงนั่งอยู่ที่ผู้สำเร็จราชการ สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดีได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์บอกว่าเรามาร่วมครอบครองด้วยกัน เอเมน

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอยู่ตลอดไป ในวิญญาณ เป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้วบังเกิดใหม่แล้วจะถูกหลอกว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้อยู่แล้วจริงๆ

เหมือนพ่อให้เงินมา 100 บาท อยู่ในกระเป๋าไปโรงเรียนแล้ว ไม่รู้ว่ามีเงิน 100 บาท ไปโรงเรียน เห็นเขากินข้าวเที่ยง ก็ทำตาปริบๆ

พ่อบอก … “เงินร้อยบาทก็เอาไปซื้อสิ” … ไม่เชื่อว่าพ่อให้ร้อยบาท อะไรประมาณนั้น

โคโลสี 3:1-4 จึงแนะนำเราว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปในวิญญาณ ในพระคริสต์แล้วจริงๆ เราควรจะดำเนินชีวิตด้วยวิธีอย่างไร? …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เห็นไหมมันเหมือนกันเลย  อยู่ในพระคริสต์หรือพระคริสต์อยู่ในเรา ลักษณะการดำเนินชีวิตเป็นพลังจากพระเจ้ามาเหมือนกันไม่มีผิดเลย คือให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณ แล้วรอคอย อีกแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ที่เราจะได้ร่วมรับพระเกียรติพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานหลังความตาย

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน คือความคิดจิตใจของท่านนั้น จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน”

เบื้องบน คือในโลกวิญญาณที่พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด นั่งอยู่ที่เบื้องขวา

ที่เราได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น วิญญาณเรานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ประเทศไทย เดินอยู่ในอเมริกา เดินอยู่ในแอฟาริกา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เรานั่งอยู่ที่เดียวกันกับพวกเขา

เรานั่งอยู่ที่เดียวกัน ก็คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือตำแหน่งในโลกฝ่ายวิญญาณ เวลาเราปักหมุด นี่คือการปักหมุดในโลกฝ่ายวิญญาณ เปิดมือถือมาปุ๊บ ปักหมุดในโลกฝ่ายวิญญาณปุ๊บ มองเห็นเลย บ้านเราอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรคสถานที่เบื้องขวาของพระเจ้า เรียกว่าให้จดจ่อไปตรงนี้ตลอดเวลา มองอะไรต่างๆ สถานการณ์อะไรบนโลกใบนี้ ก็ให้จดจ่อตรงโลกวิญญาณ มองในโลกวัตถุ มันเกิดเหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามเหตุการณ์ ตามเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น แต่ให้รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แล้วในโลกวิญญาณนั้น เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เบื้องบน คือที่พระเยซูคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

ข้อ 2 บอกว่าจงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบนนี้ ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่กับสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ไม่ใช่กับความรู้สึกของเราบนโลกใบนี้ ความรู้สึกเราไม่เกี่ยวข้องเลย ความรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่กับเรา ความรู้สึกว่าเราโดดเดี่ยว  แต่ในความเป็นจริง คือในโลกวิญญาณ เราก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ พระเจ้าก็โอบกอดเราอยู่ เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน แต่ในความรู้สึกของเรา มันรู้สึกเกิดขึ้น จากวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ สิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจมันตรงนั้น  สนใจในโลกวิญญาณว่าพระองค์บอกว่าเราเป็นอย่างไร? แล้วก็บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเอเมน  เรียกว่าสรรเสริญพระเจ้า เรียกว่าขอบคุณพระเจ้า  เรียกว่านมัสการพระองค์ ด้วยความเชื่อ ด้วยความไว้วางใจ

ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านที่พระเจ้าได้ย้ายมาบังเกิดใหม่ ในพระคริสต์แล้วนั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านถูกย้ายมาแล้ว ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วนั้น  ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า นี่คือเคล็ดลับ นี่คือสิ่งลึกลับ ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า แล้วใครจะมาทำอันตรายเราได้ล่ะ มีใครที่ไหนจะมาทำอะไรเราได้ เราเองยังทำอะไรตัวเราเองไม่ได้เลย เพราะว่าตอนนี้เราอยู่ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ปกคลุมผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในนั้น อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ โรม บทที่ 8 จึงบอกว่าไม่มีใครที่ไหน? อำนาจใหญ่โตขนาดไหน ทูตสวรรค์หรืออะไรจากนี้ จะมาเอาเราออกไปจากตรงนี้ได้

ตรงนี้ คือความรักของพระเจ้าในพระคริสต์ ไม่สามารถเอาเราออกไปจากในพระคริสต์ได้เลย เราอยู่ในนี้แล้ว เราไม่ไปไหนแล้ว ต่อให้เราไม่เชื่อ ต่อให้เรารู้สึกท้อแท้ใจ ต่อให้เรารู้สึกล้มลงในความเชื่อ ถ้าเราอยู่ในนี้แล้ว เราก็ยังอยู่ในนี้ตลอดไป แม้เราล้มลง พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่เคยล้มเหลว เราล้มเหลวได้ แต่พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว

เพราะฉะนั้น ให้เรารู้ว่าเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหนตอนนี้ พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ ชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงดำเนินชีวิตด้วยการรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว และสวรรค์ ก็คือพระคริสต์ที่อยู่ในเรานั่นเอง

สวรรค์ คือพระคริสต์ที่อยู่ในเรา คือเคล็ดลับครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

เราอยู่ในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่จากเชื้อที่เป็นอมตะนิรันดร์ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น ก็คือจากพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวันตาย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว เกิดแล้วเกิดเลย นึกภาพนะ จงรับรู้เลยว่าการอยู่ในพระคริสต์ของเรา  ก็คือการบังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ ก็เกิดจากพระเจ้า  มันจึงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  และพระคริสต์ที่อยู่ในเราแล้ว  พระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งให้เราอยู่ลำพัง

นึกภาพนะ ใน Episode ครั้งที่แล้ว ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและพระสิริ พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ยืนยันด้วยถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราจะไม่ละเจ้า   เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้าเสมอตลอดไป เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ เราจะอยู่ดูแลเจ้าตลอดเวลา ถูกไหม? นี่คือคำยืนยัน 1 อันที่ในพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ

วันนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ อะไรยืนยันถ้อยคำ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้บังเกิดใหม่ บังเกิดด้วยหน่อเชื้อ หรือเชื้อที่เป็นของพระเจ้า ที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการตาย เพราะฉะนั้น ฉันก็จะอยู่ในพระคริสต์ บังเกิดใหม่  อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ทั้งสองอันไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่า “ฉันอยู่ในพระคริสต์” หรือ “พระคริสต์อยู่ในฉัน” ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดชั่วนิรันดร์

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพียงแต่เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง นอกนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในเราได้เลย มันถูกผนึกตราอ๊อกเหล็กกล้า 40-50 ชั้น ไม่มีวันที่จะทะลวงไปถึงข้างในได้ เราถูกปกป้องไว้อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่เท่านั้น ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าอีกชั่วขณะเดียวเอง อีกแป๊บเดียวเท่านั้นเอง เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ เติมเต็มในชีวิตบริบูรณ์ได้ แล้วเราก็จะปรากฏออกมา ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ของท่านปรากฏ ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏ ก็คือพูดง่ายๆ ว่าพระเยซูคริสต์ปรากฏ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้น เราที่ถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ถูกซ่อนอยู่ เพราะเราไม่มีร่างกายใหม่ ไม่มีร่างกายสวรรค์ที่จะเข้าสวรรค์ได้ แต่เมื่อเวลาเราออกจากร่างนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ทันทีทันใดนั้น ร่างกายสวรรค์นั้น ก็คือสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ เราที่ถูกซ่อนอยู่ ก็ออกมาปรากฏด้วย เป็นรูปเป็นร่าง เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นพันธุ์ใหม่ แต่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะขาดร่างกายที่จะเข้าสวรรค์ได้ เปาโลบอกว่าร่างกายเรือนดินนี้ ร่างกายอันต่ำต้อย ภาชนะดินนี้ไม่สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ ต้องรอให้หมดร่างกายนี้ก่อน แล้วพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ไว้ให้

ร่างกายสวรรค์ก็มี ร่างกายดินก็มี ร่างกายดินต้องตายไป สูญสิ้นไป ร่างกายสวรรค์ ก็เพื่อให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรโลกวิญญาณได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือความเป็นจริง หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรดี หรือทำอะไรไม่ดีจากนี้ต่อไป  สมมตินะ ตรงนี้ในโลกวิญญาณไม่มีเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เราได้เรียนรู้ไปเยอะแยะแล้วว่าเมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว มีแต่ความคิดที่ดี มีแต่การกระทำที่ดี มีแต่หลั่งไหลความดีงามของพระเจ้า ที่อยู่ในตัวเราออกมา ไม่มีใครอยากจะไปทำบาปแล้ว เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่แพ้ความบาป  ทำบาปปุ๊บ เกิดผื่นขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย เราไม่ได้ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเราจะท้อแท้ใจหรืออย่างไร? หรือกลัวอย่างไร? หรือตกหล่นในความเชื่ออย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะมาเปลี่ยนแปลงความจริงตรงนี้ได้ เพราะว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในเรา ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน จำไว้แค่นี้

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ ที่จะร่วมรับกับพระเยซู เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของพระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 4

 

1โครินธ์ 3:9 (NTV.)  “เพราะ​เรา​เป็น​ผู้​ร่วม​งาน​ของ​พระ​เจ้า  ท่าน​เป็น​ไร่​นา​และ​เป็น​เรือน​ของ​พระ​เจ้า”

 

ตามที่เห็นในบริบทนี้  ผู้คนในคริสตจักรของพระเจ้า มีสองกลุ่ม …

กลุ่มที่ 1 …

“เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้รับใช้ที่มีของประทาน ในการเสริมสร้างคริสตจักร ตามหนังสือเอเฟซัส 4:11-16 ได้กล่าวไว้ว่าของประทานของพระองค์ ก็คือให้ …

บางคนเป็นอัครทูต

บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ

บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ

บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์

เพื่อเตรียมธรรมิกชน (ผู้เชื่อ)ให้เป็นคนที่จะรับใช้  เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมา  และหันไปเหมา  ด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง  และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์  ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง  แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก   เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ  คือพระคริสต์ คือเนื่องจากพระองค์นั้น   ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ  ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก  เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”

กลุ่มที่ 2 …

“ท่าน”  ในที่นี้ หมายถึงผู้เชื่อในคริสตจักรของพระเจ้า

และหนังสือ เอเฟซัส 2:20-22 ได้กล่าวว่า “ท่าน (ผู้เชื่อชาวยิว) ได้ถูกประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูต  และพวกผู้เผยพระวจนะ   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก  ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท  และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในพระองค์นั้น และท่านด้วย (ผู้เชื่อชาวต่างชาติ) ก็กำลังจะถูกก่อขึ้น ให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย”

 

ไม่ว่าจะกลุ่มไหน   ต่างก็มีค่ามีความหมายกับพระเจ้าเท่ากัน   แค่มีหน้าที่   ที่ต้องทำในสังคมโลกที่แตกต่างกัน  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกๆ  คนต่างมีหน้าที่ของตน

ในฐานะตำแหน่งหน้าที่ การงานที่ได้รับมาจากพระเจ้าในโลกนี้   เช่นบทบาทในครอบครัวในที่ทำงานในสังคมเป็นต้น  ผู้รับใช้  (เป็นทั้งผู้เชื่อและเป็นทั้งผู้รับใช้) ก็มีหน้าที่

ในฐานะตำแหน่งที่เราได้รับของประทาน   มาจากพระเจ้าเพื่อเสริมสร้างพระกายพระคริสต์  (ผู้เชื่อทุกๆ คน) ในโลกนี้

และในฐานะตำแหน่งบทบาทในครอบครัวในสังคม  แต่ละหน้าที่ ต่างก็ต้องมีพระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญ  ทุกคนที่ทำหน้าที จะได้กินผลแห่งน้ำมือของตนในโลกนี้   รางวัลที่ได้รับ ก็รับในโลกนี้ ตามผลของการกระทำ  ไม่เกี่ยวกับโลกหน้าหลังความตาย   เราทุกคนต่างเป็นอวัยวะในร่างกายของพระคริสต์   พระคริสต์สถิตอยู่ภายในเราเหมือนกันทุกคน  เราอยู่ในพระคริสต์ และเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์   ไม่ว่าจะเป็นผู้รับใช้ หรือผู้เชื่อในคริสตจักรของพระเจ้า  เราควรรัก เมตตา อดทน ช่วยเหลือ ปกป้อง หนุนใจ ฟังกันและกัน ถ่อมใจเข้าหากัน ให้เกียรติกันและกัน ภายใต้ความรักที่พระเจ้าได้รักเรา มาแล้วนั้น

พระเจ้าอวยพรค่ะ