คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อกันในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 ใช้ชื่อเรื่องตามชื่ออุปมาที่เราจะเรียนกัน คือ “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องอุปมาสอนของพระเยซู ซึ่งผมได้พูดไปแล้วว่าคำสอนของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นอุปมา … อุปมา คือข้อความ หรือเรื่องราวที่ยกมาเปรียบเทียบ อุปมาของพระเยซู ก็คือนำเอาสิ่งที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน มาเปรียบกับไปสวรรค์อย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? จะอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร? วิญญาณเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? เข้าไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้อย่างไร? นึกวนเวียนอยู่ตรงนี้

อุปมาในพระคัมภีร์ทั้งหมด พระเยซูพูดเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนอุปมาของพระเยซู 2 เรื่อง คือ …

  1. การเปรียบเทียบ “ผ้าทอเก่ากับเสื้อใหม่” ที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีผู้ใด เอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก เสียหายมากขึ้นด้วยซ้ำ เป็นอุปมาเปรียบเทียบเรื่องการที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ หรือการที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้นั่นเอง มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีลักษณะสภาพเข้ากันได้ พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ หรือมนุษย์ไปอยู่กับพระเจ้าได้เท่านั้น ถ้าอยู่คนละขั้ว มนุษย์ตาย ความบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับความสกปรก ความบาปของมนุษย์ เข้ากันไม่ได้

เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบให้เห็นว่าผ้าเก่ากับผ้าใหม่จะต้องเข้ากันได้ มนุษย์จะต้องถูกชำระล้าง จะต้องบังเกิดใหม่ให้สะอาดหมดจด จึงเข้ากับพระเจ้าได้นั่นเอง

อุปมาตรงนี้ ที่พระเยซูกำลังอธิบายว่าผ้าเก่า คือพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าใช้มาตั้งแต่อดีต เพื่อเล็งถึงว่าวันหนึ่งพระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป และกลับไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้   เรียกกฎตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขนว่าผ้าใหม่ คือพันธสัญญาใหม่ เข้ากันไม่ได้ จะเอาอะไรก็เอาอย่างหนึ่ง พระเยซูกำลังบอกว่าเชื่อพระเยซู ก็ไม่ต้องไปทำพันธสัญญาเก่า เพราะมันจบไปแล้ว ถ้าไม่เชื่อพระเยซู ยังคงดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาเก่า ก็ช่วยไม่ได้  … ไม่ได้ไปสวรรค์

นี่คืออุปมาเกี่ยวกับผ้าเก่ากับผ้าใหม่ เรื่องของพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ อยู่คนละพื้นฐานกัน พันธสัญญาเดิม อยู่บนพื้นฐานของตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำเอง ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ  สำหรับผ้าใหม่ คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการกระทำของเราเลย แต่บนพื้นฐานของการกระทำของพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนให้กับเรา ทำแทนเราเลย เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เรามีแต่รับเอาลูกเดียว เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ

กฎเก่าในพระคัมภีร์เดิม เรียกว่า “กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

กฎใหม่ในพระสัญญาใหม่ เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ” ในกฎแห่งพระคุณนี้ ไม่มีกฎของความบาปและความตาย ไม่มีกฎแห่งการกระทำของตนเอง การกระทำของเรานั้น เป็นศูนย์ไปเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเข้าไปอยู่ในกฎใหม่แล้ว

  1. และอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราเรียนสัปดาห์ที่แล้ว คือ “ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว และถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ด้วยกันดีไปเลย”

ฟังแล้ว ท่านรู้แล้ว เล็งถึงพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่เชื่อพระเยซู หรือยังไม่เกิดในทางวิญญาณ ก็เหมือนถุงหนังเก่า ก็คือวิญญาณมนุษย์เก่า เข้ากันไม่ได้ พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนเหล้าใหม่ จะมาใส่วิญญาณเก่าของเราไม่ได้ เพราะวิญญาณเก่าเราสกปรก มีตำหนิ มีมลทิน เป็นบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ ขืนเข้ามา เราก็ตาย ต้องเปลี่ยนถุงเก่าให้เป็นใหม่เสียก่อน ก็คือพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พอวิญญาณใหม่ปุ๊บ มันใหม่เอี่ยมเลย

ถามว่าเกิดเมื่อไร? เกิดเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตอนนั้น มนุษย์สามารถเกิดใหม่แล้ว ใครเชื่อ ก็ได้เกิดใหม่ที่ในวิญญาณ เป็นถุงหนังใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เหล้าใหม่สามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไปสถิตอยู่กับมนุษย์ที่มีวิญญาณเก่าๆ ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ไม่ได้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ไม่ได้ มันคนละทางกัน

ครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าแรงสูง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณทำดีหรือไม่ดี มันเป็นกฎธรรมชาติเป็นอย่างนั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมาอยู่กับมนุษย์ที่เป็นถุงหนังใหม่เท่านั้น ก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น ทางทิศตะวันออก และฉายแสงมาทั่วโลก ไม่ว่าคนนี้จะทำเลวหรือไม่เลว ดีหรือไม่ดี พอดวงอาทิตย์ฉายแสงมา เขาก็ร้อน ถ้าเขาอยู่ในที่มืดๆ เขาก็สว่าง แสงสว่างมาเขาก็เห็น แม้ว่าเขาจะเป็นคนเลวก็ตาม เขาก็เห็น คนนี้เป็นคนดีมากๆ เลย แสงอาทิตย์ส่องมา เขาก็เห็น เหมือนกัน เขาไม่ได้อะไรพิเศษกว่ากันเลย เพราะนี่เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ เป็นกฎธรรมชาติ

กฎ คือสิ่งที่เขียนจากพระคำของพระเจ้า จากถ้อยคำพระเจ้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มันต้องเป็นไปตามนั้น แล้วใครเป็นคนดูแลให้เป็นไปตามนั้น  ผู้พิพากษาใหญ่ของมหาจักรวาลเป็นผู้ดูแล ผู้พิพากษานั้น มีชื่อว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดน็น

ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้เลย ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ผู้เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ผู้นี้แหละ เป็นผู้ดูแลอยู่ทั้งหมด ให้เป็นไปตามกฎ”

ที่อาทิตย์ที่แล้วผมบอกว่าพอเดินออกไปจากที่สูง ถ้าไม่มีฐานรองรับ มันก็ถูกดูดลงมา เช่น เดินไปดาดฟ้าชั้น 10 เดินก้าวออกไปจากดาดฟ้า มันก็ถูกดูดตกลงไปที่พื้น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีอย่างไร? เป็นคนยอดเยี่ยมอย่างไร? เป็นคนมีใจเมตตาอย่างไร? เดินออกไป ก็ตก คนนี้จะเลวอย่างไร? เป็นคนอกตัญญู แย่ในสายตามนุษย์เยอะแยะไปหมด ก้าวออกไป ก็ตก ปรากฏว่าไอแซค นิวตันเขาก็เจอกฎเหล่านี้ มันต้องดูดลงไป

เลยมาอีกสักพักหนึ่ง ก็มีพี่น้องตระกูลไรท์ ที่เป็นผู้ริเริ่มเกี่ยวกับกฎที่ทำให้มีเครื่องบินขึ้น มาถึงปัจจุบันนี้ พี่น้องตระกูลไรท์เขาก็เหมือนอย่างนี้ ไปนั่งดูๆ มันต้องมีกฎอะไรบางอย่าง ที่ทำให้แอปเปิ้ลไม่หล่นลงมา ทำให้ของที่มีน้ำหนัก ที่ดูดลงมา สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เขาก็พยายามคิดค้นหา จนเจอกฎเรียกว่า “กฎแห่งการยกขึ้น”

“กฎของการยกขึ้น” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Aero Dynamic” แปลว่ากลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอากาศและก๊าซ

คิดบวกลบคูณหาร จนสามารถเอาชนะกฎของแรงดึงดูดของโลกได้ เขาก็คำนวณน้ำหนักเท่านี้ ฉะนั้น ปีกต้องเท่านี้ ต้องเบาอย่างนี้ ต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ เร็วขนาดและสมดุลกับสิ่งต่างๆ ที่บอกมา Aero Dynamic ก็จะทำให้วัตถุที่จะถูกดูดลงมา มันลอยในอากาศได้  เขาก็เป็นผู้ริเริ่มทำเครื่องบินขึ้นมา

เครื่องบิน คือวัตถุหนักๆ ซึ่งสมควรที่จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมา แต่มันไม่ดูดลงมา มันลอยอยู่ได้ ก็เพราะว่ามันมีกฎอีกกฎหนึ่งอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลก

ยังมีความเร็วบวกกับน้ำหนักของวัตถุ และความเบาของวัตถุ รูปร่างของวัตถุที่ตัดอากาศอะไรต่างๆ ผสมผสานกันแล้วเรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ขณะที่บินอยู่ มีชัยชนะอยู่เหนือแรงดึงดูด

ตอนที่เครื่องบินบินอยู่ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเครื่องบินลำนั้น ใช้กฎแรงยกขึ้น แต่ถ้าน้ำมันหมดปุ๊บ กฎแห่งการยกขึ้นเสียไป หายไป กฎแรงดึงดูดโลกก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผมจะบอกให้คุณฟังว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นกฎ เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ทำให้เกิดความตายในวิญญาณของมนุษย์ ก็คือมนุษย์ทำบาปปุ๊บ ตาย คือชดใช้เวรกรรม หนี้สินที่ทำผิดไปเมื่อตะกี้ เรียกว่ากฎของความบาป ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือคนเลวก็ตาม คุณทำบาปปุ๊บ คุณรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ คือต้องชดใช้บาป ชดใช้เวรกรรม ต้องตาย … ตาย คืออยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าบาปนั้นจะเป็นบาปใหญ่ หรือบาปเล็ก บาปเผลอหรือบาปไม่เผลอ ก็ตาม เหมือนตอนที่คุณเดินออกไป ที่ชั้น 10 ของดาดฟ้า แล้วคุณบอกว่าคุณไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย คุณเป็นคนดีมาก พอคุณเดินออกไปชั้น 10 คุณก็ตก คุณบอกว่าคุณไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เป็นคนดีมาก รักษาศีล รักษาธรรมทุกอย่าง เป็นคนเรียบร้อย กตัญญูด้วย แต่เมื่อวันนั้นคุณทนไม่ไหวจริงๆ กำลังอารมณ์เสียพอดีเลย ข้าวก็ไม่ได้กิน รถตัดหน้า น้ำกระเด็นใส่หน้า ทนไม่ไหว ด่าทันทีเลย

“ไอ้บ้าเอ้ย”

พระเยซูบอกว่าด่าเขาว่าไอ้บ้า มีค่าเท่ากับฆ่าเขาตาย ต้องใช้หนี้ ทำดีมาตลอดเลย ก็ต้องใช้บาปเวรกรรมนี่แหละ และมีใครล่ะ ที่จะสามารถรักษาตรงนั้นได้ จนกระทั่งวันตาย แค่คิดก็เท่ากับทำแล้ว

ยกตัวอย่างให้อีกอันหนึ่งก็ได้ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก เวลาท่านลงไปอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม ก็มีน้ำหนัก แรงดึงดูดโลก ก็ดูดท่านลงไปใต้น้ำ ถูกไหม? แต่มีอีกกฎหนึ่ง เขาเรียกว่าถ้าท่านมีลมพอ เอาง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือเรือยาง เราสูบลมเข้าไป มันก็พองขึ้น พอเรือยางพองขึ้นมา เราก็ไปนั่งอยู่ในเรือยาง ทั้งๆ ที่อยู่บนทะเล มันไม่ดูดลงไป เพราะเราทำดี ไม่ใช่ เพราะเรารู้จักอีกกฎหนึ่ง ในขณะนั้นว่ามันมีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูด คือถ้าผมอยู่ในน้ำ ผมก็หาอากาศมาให้มันมากพอที่จะพยุงผม ไม่ให้ถูกดูดลงไป

หรือผมจะใช้อีกวิธีหนึ่ง ใช้แรงตัวเองชนะมันได้เหมือนกัน แต่ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมโดดลงไปในน้ำ กับอีกคนหนึ่งโดด ผมพอว่ายน้ำเป็น ผมใช้กำลังของตัวเองกับกฎที่มีอยู่ คือถ้าผมมีความเร็วพอ มันดูดผมไม่ได้ ผมก็เอาแรงผมว่ายไป คนว่ายน้ำไม่เป็น โดดลงไปปุ๊บ ดูดทันทีเลย ผมทำดีกว่าเขาเหรอ ไม่ใช่ เพราะผมรู้จักกฎอะไรบางอย่างว่ามันใช่ ผมว่ายไปไม่นาน ผมก็หมดแรง สู้อีกคนหนึ่งไม่ได้ ซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองของโลก เขาโดดลงไป เขาอยู่นานกว่าผมตั้งเยอะ   ท่านคิดว่าได้อีกนานเท่าไร? คนนี้ว่ายเก่งมาก ว่าย 24 ชั่วโมงเลย เป็นไปได้ ถามว่าเขาว่ายได้ถึงปีหนึ่งไหม? หยุดไม่ได้นะ เพราะหยุดเมื่อไร จม

กลับมาคนสุดท้าย ที่ผมบอก ก็คือคนต้นที่ผมยกตัวอย่าง ลอยอยู่ในห่วงยาง แรงก็ไม่ต้องออก แล้วก็ผิวปากไป ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าไป เอเมน ฮาเลลูยา ถามว่าเขาเอาเปรียบเหรอ ไม่ใช่ เพราะเขารู้ความจริงแห่งโลกวิญญาณว่ามีกฎตรงนี้อยู่ เขากำลังอยู่ในกฎพิเศษอีกอันหนึ่ง ที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระเจ้าสอนให้

ยกตัวอย่างทั้งหมดมา เพื่อให้เห็นว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ มีจริงๆ ซึ่งมีอายุยืนยาว 2,000 ปีแล้ว มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย … “กฎของความบาปและความตาย” มีอยู่ว่าท่านทำบาป ท่านต้องชดใช้หนี้บาปของท่าน และหนี้นั้นคือความตาย  แต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้น เรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์” ทำให้ท่านมีอิสรภาพ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย คือต่อให้ท่านทำบาป ท่านก็ไม่ต้องตาย เพราะท่านอยู่ในกฎใหม่ คือกฎของพระเยซูคริสต์ เอเมน

“ประชากรของเราถูกทำลาย เพราะขาดความรู้” พระเจ้าตรัส

มนุษย์ทั้งหลาย ถูกทำลาย เพราะเขาขาดความรู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ เขาถูกเชียร์ให้ใช้กำลังของตัวเอง แล้วมันไปไม่รอด เนื้อหนังก็อ่อนแอ มนุษย์ก็อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ยังไงก็ช่วยไม่ได้ มาพึ่งกฎใหม่ที่พระเจ้าวางไว้สิ แล้วอย่าเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองแน่

ครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึงสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเราที่เกิดใหม่เหมือนกับถุงหนังใหม่ คือวิญญาณของมนุษย์ที่ใหม่เอี่ยม ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น คนที่จะเชื่อในเรื่องนี้ได้ เขาต้องเชื่อว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ถ้าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ จบไปเลย ขนาดเราเป็นคริสเตียน เรารู้ เราเชื่อว่าเราเป็นวิญญาณ หลายครั้งเรายังต้องเปลี่ยนความคิดจิตใจว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณจริงๆ”

เพราะพออยู่ๆ ไป เผลอๆ ท่านก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ “ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอยู่ในร่างกายนี้

พอบอก … “เราบังเกิดใหม่”

บางคน … “เกิดใหม่ได้อย่างไร? เธอก็อยู่เหมือนเดิม”

“ไม่ใช่ที่เธอเห็นฉันเหมือนเดิมนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน”

คือเป็นร่างกาย แต่ความคิดจิตใจ วิญญาณท่านมองไม่เห็น ที่ท่านจะเห็นผมมีบุคลิกอย่างนี้ เป็นคนสนุกๆ นี่คือบุคลิก แต่วิญญาณผมท่านไม่เห็นแน่นอน แต่ในพระคัมภีร์บอกขณะที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดจากกฎของความบาปและความตายนั้น พระองค์ช่วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์แล้ว เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เกิดใหม่ เมื่อเราเชื่อ ว่ากันตามตรงแล้ว การเกิดใหม่ มันเกิดตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น ท่านอยู่กับพระองค์ในนั้นแล้ว ท่านอยู่ในร่างกายของพระองค์ ท่านถูกตรึงไปด้วยกันแล้ว เพียงแต่ท่านเกิดมาตอนหลัง ในยุค 2,000 ปีต่อมา ท่านรับรู้เรื่องนี้ ท่านบอก …

“เชื่อๆ ฉันเชื่อว่าวันนั้น ฉันอยู่ที่นั่น ฉันอยู่ในร่างกายของพระเยซู พระองค์เอาชีวิตฉันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว และฉันตายไปแล้วต่อบาป และได้เป็นขึ้นมาใหม่”

อาจจะฟังดูยาก ต้องใช้ความเชื่อเอา ไม่ต้องเข้าใจมาก เสร็จแล้ววิญญาณฉันได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าเวลาบอก “บังเกิดใหม่” เกิดใหม่ที่วิญญาณของท่าน ร่างกายยังเห็นอยู่เหมือนเดิม ความคิดจิตใจยังก้ำๆ กึ่งๆ คือมันเคยชินกับความเป็นเดิมๆ อยู่ แต่มันถูกเปลี่ยนด้วยกัน เพราะว่าความคิดจิตใจส่วนลึกนั้น มันติดอยู่กับวิญญาณ มันอาจจะมีอุปนิสัยใจคออะไรต่างๆ คล้ายๆ เดิม เคยชินกับเรื่องเดิมๆ นี่ร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันเดิมหมดแหละ แม้แต่สิวยังเม็ดเดิม ผมขาวก็ยังเส้นเดิม แต่วิญญาณมันใหม่เอี่ยมเลย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ก็จะค่อยๆ ผ่านทางความคิดจิตใจ หรือเรียกว่า soul หรือเรียกว่า mind จิตใต้สำนึกก็ตาม พระเจ้าเสริมสร้างตรงนี้แหละ เขาเรียกว่ากองบัญชาการของพระเจ้าในชีวิตของเรา ก็คือเป็นตัวที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังดี หรือจะมาทางพระเจ้าดี เป็นผู้ตัดสินใจ

ตรงนี้ เรากำลังจะพูดถึงเรื่องวิญญาณ วิญญาณมันต้องเกิดใหม่ ไม่มีการเกิด แล้วก็ไปตายอีก ไม่มี เกิดแล้วเกิดเลย ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ และความเชื่อนั้นไหลลงไปในจิตวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เหมือนในพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้ ยอมรับด้วยปาก สารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 แค่นั้นเอง สิ่งเหล่านี้ ความเชื่อหล่นเข้าไปในใจ และเกิดสิ่งเหล่านี้ ทันทีทันใด คนนั้นได้บังเกิดใหม่ ยอมรับสารภาพว่าพระเจ้าพูดถูก พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ รวมถึงฉันด้วย ฉันเชื่อ เขาเรียกว่ายอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าพูดอย่างนั้น เราก็เชื่ออย่างนั้น สารภาพด้วยปากไปเรื่อยๆ นานๆ ขึ้น ไม่รู้วันไหน? คำสารภาพนั้น จะไหลเข้าสู่วิญญาณ เขาเรียกว่าไหลไปสู่ความคิดจิตใจ แล้วจะค่อยๆ ไหลลงมาลึกๆ จนวิญญาณนั้นบังเกิดใหม่

เปรี้ยง พอวิญญาณเกิดใหม่ พูดทันทีเลย ยอมรับว่า …

“พระเยซูคริสต์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า มาเกิด เพื่อไถ่ฉันให้รอดจากบาป แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

คำพูดนี้ เขาเรียกว่า “เรม่า” เป็นฤทธิ์เดช เป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าแบบโลโค่ ก็คือแบบถ้อยคำพระเจ้าที่เรามาอ่านกัน เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่มันเกิดฤทธิ์เดชขึ้นมาจากใจเลย เหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัส คำแรกเมื่อตอนสร้างโลกว่า …

“จงเกิดดวงสว่างขึ้น” อันนั่นแหละ แล้วดวงสว่างก็เกิดขึ้น

อันนี้เหมือนกัน “พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน”

มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ตัวนี่แหละ คือตัวที่จะอยู่กับพระเจ้า นิรันดร์ ไม่ใช่ …

“รอว่าเชื่อพระเยซู ทำตามน้ำพระทัยนะ พยายามทำดี ตามที่เขาสอนมา เพื่อว่าตายไปแล้ว ทิ้งร่างกายนี้ จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จะได้วิญญาณใหม่เอี่ยมจากพระเจ้า”

พระคัมภีร์บอก “เดี๋ยวนี้เลย” ท่านเชื่อเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ ถึงแม้ท่านไม่เชื่อ ท่านก็ยังได้เลย เพียงแต่ท่านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ของท่านเอง ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อยๆ ว่าเงิน 600 บาท สำหรับคนที่เกษียนแล้ว ไปรับหรือเปล่า? ทุกเดือนท่านได้ 600 บาท รัฐบาลประกาศแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ไปรับ แล้วเงินเขาอยู่ไหน?  ก็อยู่ที่ธนาคารนั่นแหละ ไม่ใช่เขาไม่ได้นะ เขาได้ แต่เขาไม่ไปรับ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด คนที่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้ เขาก็ไม่เอา

ถ้าท่านเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ท่านจะเห็นภาพ มันเป็นกติกา เป็นระเบียบ เป็นกฎธรรมชาติ มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ในการที่จะเข้าใจ แต่มันต้องใช้ความถ่อมใจ ถึงจะรู้ได้ ถ่อมใจถึงจะได้ผล ถ่อมใจ ถึงจะได้รับประโยชน์ แต่ถ้าอยากจะรู้มาก อาจจะไม่ได้อะไรเลย คิดใหญ่เลย

“เป็นไปได้อย่างไร ฉันไม่เคยไปช่วยรัฐบาลอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้สมควรเป็นคนอย่างนั้น ฉันอาจจะเป็นคนกินเหล้าเมายา ไม่เอางานเอาการเลย รัฐบาลจะมาช่วยฉันทำไม”

“เขาช่วยเธอจริงๆ ใครๆ ก็ได้ ไปรับเลย 600 บาทต่อเดือน”

“เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลถังแตกอย่างนี้ เขาจะเอาอะไรมาให้ฉัน”

เถียงอยู่นั่นแหละ ในที่สุด วันแล้ววันเล่า ก็ไม่ได้ไปรับสิทธิของตัวเองสักที จนตาย เงินก็กองอยู่ตรงนั้น  ก็ไม่มีใครมาเอาของเขาไปได้ ความรอดก็เหมือนกัน นาย ก. ความรอดก็เป็นของเขา ไม่มีใครเอาไปได้ แต่เขายังเถียงอยู่ ยังเย่อหยิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่เอาไป ตายไป ความรอดก็ยังอยู่ตรงนั้นแหละ เขาไม่ได้รับเท่านั้นเอง

เรามาต่อวันนี้ เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 3 ชื่อตอน “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” มัทธิว 5:14-16 นี่ก็เป็นอีกอันหนึ่งในอุปมาที่น่าเรียนรู้ คิดตามไปว่าเป็นอย่างไร? เรื่องหมายถึงอะไร?

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”

 

คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูบอกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” … “ท่านทั้งหลาย”  ก็คือผู้ที่เชื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ ที่มาเกิดบนโลกนี้ เพื่อเราทั้งหลาย และมาตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3

“ท่านทั้งหลาย” คือผู้ที่เป็นถุงหนังใหม่ คือวิญญาณบังเกิดใหม่แล้ว เป็นแสงสว่างแล้ว ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก ไม่ใช่ท่านทั้งหลายมีแสงสว่าง เป็นกับมี คนละเรื่องกันนะ พระเยซูกำลังพูดกับเราว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง และเมื่อพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มาเป็นลูกของพระเจ้า เราก็จะมีสภาพเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู คือเป็นแสงสว่างด้วย นี่พระองค์ทรงพูดเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกับการเกิดมาเป็นผู้หญิง เกิดมาเป็นผู้ชาย ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเกิดมาเป็น หรือบางคนมีความสามารถเยอะแยะ เกิดมาก็ร้องเพลงเก่งเลย มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น แต่การทำอะไรเพิ่ม เป็นการฝึกฝนเท่านั้นเอง เกิดมาเป็นเลย เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ ซึ่งบางคนก็ชอบพูดกันเล่นๆ ว่า …

“เธอเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางได้อย่างนี้”

“ทำอย่างไรฉันถึงจะร้องเหมือนนักร้องดีๆ นะ”

เพื่อนบอก “อย่างนี้ เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่มีทางเป็น”

เพราะเขารู้ว่าคนที่ร้องเก่งๆ เหล่านั้น เกิดมาเป็นอย่างนั้นเลย ปลาเกิดมา มันต้องฝึกว่ายน้ำไหม? ไม่ต้อง เกิดมาเป็นเลย

พระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่าง เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเจ้าของเรา ผู้ให้บังเกิดใหม่กับเรา  เกิดมา เราก็เป็นแสงสว่าง  เกิดเมื่อไร? เมื่อตอนที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ของเรา และทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณาเราได้บังเกิดใหม่ ฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่าง เกิดเป็นบิ๊กแบ็ง ที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลกสมัยปฐมกาล มันได้บังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา คนนั้นคนเดียวก่อน ตอนนั้น ณ วินาทีนั้น เราไม่รู้เมื่อไร ตอนไหนบิ๊กแบ็งมันเกิดขึ้น ที่วิญญาณของเรา ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีเสียงสั่งมาบอกว่า …

“จงเกิดใหม่”

เราเกิดใหม่ โดยกฎที่เราเข้าไปรับเอาผลประโยชน์ จากกฎของพระเยซูที่ทำไว้ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อ เรายกมือ เราจะไม่อยู่ที่กฎเดิมอีกต่อไปแล้ว กฎของความบาปและความตาย เราอยากจะมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องการ เราเชื่อพระองค์ทุกอย่าง พอความเชื่อนั้นถึงขั้น เต็มที่ตามกฎแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาทันที วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ถูกเนรมิตขึ้นมา เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอก …

“เธอเป็นลูกแล้ว เธอก็เป็นเหมือนกับเรา (เราในที่นี้ หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์) เราทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งสามเป็นความสว่าง หรือเป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ท่านเป็นความสว่าง”

ที่ผมบอกท่านแล้วว่าอุปมาทั้งหมดของพระเยซู จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับทางไปสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? การบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? และการบังเกิดใหม่กับการไปสวรรค์ของพระเจ้า จะต้องเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียว บัพติศมา จุ่มลงไปร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ วิญญาณเราต้องบัพติศมาเข้าไปในวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าบังเกิดใหม่ เราต้องพร้อมที่จะเข้าไปเป็นหนึ่ง ก็คือเชื่อในพระเยซู และได้รับการชำระบาป

เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเกิดมา เราต้องทำอะไรให้เป็นแสงสว่างไหม? ท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นแสงสว่าง ท่านมีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นแสงสว่างไหม? ไม่มีเลย ไม่ต้องแล้ว เพราะมันเป็น อย่างที่ผมบอกพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านต้องพยายามทำให้มันเป็นผู้ชายไหม? ไม่ต้อง แต่บางครั้งท่านอาจจะอยากใส่กระโปรงบ้าง ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง บางครั้งท่านอาจจะทำตัวเป็นผู้ชาย แต่ท่านก็เป็นผู้หญิง ใครเป็นคนกำหนด? ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็เป็นผู้หญิง ท่านไม่มีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นมากขึ้นกว่านั้น  มันเป็นแล้ว เพียงแต่เมื่อรู้แล้วว่าเราเป็นผู้ชาย เราก็พยายามทำตัว เปลี่ยนความคิดจิตใจให้เป็นผู้ชายหน่อย ให้แมนๆ หน่อย ปกป้องดูแลผู้หญิงให้หน่อย ทำให้สมกับเป็นผู้ชาย แต่ไม่ต้องทำให้เป็นผู้ชาย  เพราะเป็นอยู่แล้ว

ทำอะไรก็ตามให้มันเป็นกุลสตรีหน่อย เคยได้ยินหรือเปล่า? มีมารยาทหน่อย เขารู้ว่าเราเป็นผู้หญิงแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้หญิงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าเรายังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูกำลังบอกว่าแสงสว่าง ไม่มีใครเอาฝาครอบไว้ ใครจะจุดตะเกียง แล้วเอาฝาครอบไว้ แล้วจะไปจุดทำไม เปลืองไฟเปล่าๆ ผมจุดเทียน เพราะต้องการให้แถวนั้นสว่าง คนเดินไปเดินมาจะได้เห็นทาง ถูกไหม? ถามว่าผมจุดตะเกียง จุดเทียนเสร็จ ผมเดินออกมาปุ๊บ เทียนต้องทำอย่างนี้ไหม?

“ฉันต้องสว่างๆ ต้องสว่างขึ้นๆ”

ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่เฉยๆ พระเจ้าให้เราบังเกิดเป็นแสงสว่างแล้ว ปล่อยให้เขาสว่างไปเมื่อคนจุดตะเกียงแล้ว ย่อมไม่มีใครเอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้านและคนเดินไปเดินมา ในทำนองเดียวกัน

“จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้ง” จงให้ ภาษาเดิมใช้คำว่า let แปลว่าปล่อย จงปล่อยให้มันสว่างไป  มันสว่างเอง

“เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์” เพราะมันจะออกมาจากข้างใน พระเยซูยกตัวอย่าง บอกว่า …

“มาใกล้ๆ สิ ฉันสว่างแล้วนะ”

มีเทียนมาบอกอย่างนี้ไหม? จุดเทียนเสร็จ คนเดินผ่านไปผ่านมา

“ไม่เห็นขอบคุณเลย อุตส่าห์ให้ความสว่างไปแล้ว”

เทียน ไม่ต้องพูดเลย มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แล้วแต่คนจุดจะเอามันไปปักไว้ที่ไหน?  มันก็สว่างตรงนั้น เขาจะได้สรรเสริญพระบิดา เขาไม่ได้สรรเสริญเทียน เขาไม่ได้สรรเสริญตะเกียง เจ้าของตะเกียง คือพระบิดา ท่านพอเห็นภาพไหม?

ในทำนองเดียวกัน เราไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ยอมรับพระเยซู เปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในใจของเรา เพื่อเราจะได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดแล้วบังเกิดเลย

ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นปลา น้ำขึ้นท่วม เราออกมาเล่นน้ำ น้ำลง เราลงไม่ทัน ไปอยู่บนบก ดิ้นใหญ่เลย ถามว่าเราชอบไหม? ไม่ชอบ เพราะเราเป็นปลา เหมือนกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นแสงสว่างแล้ว บางครั้งมีความสุขเกินเหตุไปหน่อย ออกมาทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นลูก ของพระเจ้าเลย เป็นไปได้ไหม?  และถามว่าเราดิ้นไหม? ดิ้น เพราะเราไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของเราเป็นความดี ความเมตตา ความรัก ความรอดนี้

และคนที่จะรับได้ ง่ายนิดเดียว พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิทธินี้ไปรับเอาง่ายๆ ก็คือยอมรับสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่กี่พันปีมาแล้วไม่รู้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยมนุษย์ให้รอด จากกฎของความบาปและความตาย และพระเยซูก็มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป ให้มนุษย์สะอาดหมดจดไร้ตำหนิ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพียงแต่ยอมรับว่านี่เป็นจริง พระคัมภีร์พูดจริงๆ พระเจ้าพูดจริง แค่นั้นเอง และก็ปล่อยเลยว่าวันหนึ่งความจริงที่เราพูดไปเรื่อยๆ มันจะเกิดเป็นผลขึ้นมา ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราจะบังเกิดมา กลายเป็นความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3

“พระเยซูเกิดใหม่ในวันที่ 3 และฉันก็เกิดพร้อมพระองค์ด้วย เกิดวันเดียวกันเลย และตอนนี้ ฉันรับสิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์”

ก็เกิดความเชื่อ และเราก็ได้บังเกิดใหม่ตรงนั้นจริงๆ เริ่มต้นด้วยการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เชื่อแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร? ไม่เข้าใจอย่างไร? ลดความเย่อหยิ่งลง ถ่อมใจลงแล้วเชื่อ และรักษาตรงนี้ไว้ จนวันหนึ่งมันไล่ลงไปในใจ มันปิ๊งขึ้นมา เป็นการบังเกิดใหม่ แค่นั้นเอง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 2 “เก่ากับใหม่เข้ากันไม่ได้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  สิงหาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 2 “เก่ากับใหม่เข้ากันไม่ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นตอนที่ 2 ของซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” มีชื่อตอนว่า “เก่ากับใหม่เข้ากันไม่ได้” ครั้งที่แล้ว เราได้เริ่มต้นที่หนังสือมัทธิว 7:21 เราจะทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง

มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้า”

 

ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ คือกุญแจสำคัญที่บอกเราว่าเราจำเป็นต้องเรียนรู้คำสอนของพระเยซู เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไร?

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้าในสวรรค์ได้”

เราต้องฟังเลย เพราะเราก็อยากจะไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนอยากไปสวรรค์ทั้งนั้นแหละ … อย่างที่ผมอธิบายครั้งที่แล้วว่าไม่ใช่ทุกคนที่ติดตามพระเยซู คนที่มาเรียกพระเยซูว่า …

“อาจารย์ เจ้านาย ยอดเยี่ยมเลย  เก่งมาก ปรมาจารย์”

เพราะได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ เพราะอยากได้หลายสิ่งหลายอย่างที่ตนเองคิดว่าพระเยซูจะสามารถให้ได้ ไม่ใช่คนที่เรียกพระเยซู หรือยกย่องพระเยซูอย่างนั้น ถึงจะสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ ถ้าเป็นในยุคนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แล้วจะไปสวรรค์กันได้ทุกคน นี่ยิ่งสะดุ้งใหญ่นะ คนที่เชื่อพระเยซู ก็เรียกว่าคริสเตียนทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าในใจเขาเชื่อพระเยซูอย่างไร? เรียกอาจารย์ เรียกพระเยซู ก็เป็นการยกย่องแล้ว แต่เขาเรียกพระเยซูเนื่องจากอะไรในใจเขา เขาทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือเปล่า? พระเยซูบอกใช่ไหม? ทำตามพระประสงค์ ถึงจะได้รับความรอด เขาทำหรือไม่?

หรือแม้กระทั่งบัพติศมาในน้ำ เชื่อพระเยซู ไม่ใช่ว่าจะได้รับความรอด ตามพันธสัญญาของพระเจ้านะ แต่คนนั้น ทำอย่างนั้นได้ด้วย แต่ขณะเดียวกัน ในใจเขาต้องทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้น ถึงจะได้เข้าสวรรค์ มีเพียงกลุ่มเดียวที่เข้าในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ คือคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น

อย่างที่ผมเกริ่นครั้งที่แล้วใช่ไหมว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ก็คือตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ใน

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

 

นี่แหละคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกของพระคัมภีร์เดิม คือปฐมกาล จนถึงวิวรณ์สุดท้าย เป็นเรื่องนี้เรื่องเดียว

พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระบุตร ที่พระองค์ประทานให้ เพื่อที่มนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก และสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์กับพระองค์ได้ นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า และช่วงที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนสาวกของพระองค์ ในสมัยที่เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น ตลอดระยะเวลา ประมาณ 3 ปี ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

ทุกเรื่องที่พระองค์ทรงสอน หมายถึงเรื่องอุปมาต่างๆ ก็ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  พระเยซูบอก …

“พระบิดาทรงใช้เรามา เพื่อให้ประกาศเรื่องอาณาจักรของสวรรค์ … อาณาจักรสวรรค์ ก็คือเรื่องของการหลุดพ้นจากบาป พระเยซูบอกว่าพระเจ้า พระบิดาให้เรามาประกาศปีแห่งความโปรดปรานให้กับมนุษยชาติ ปีแห่งการนิรโทษกรรม ก็คือช่วงเวลาแห่งพระคุณที่จะให้กับมนุษย์ ที่เราอ่านกัน

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก รักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ  จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

นี่คือเริ่มต้นน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วก็ว่าไปว่าจะสำเร็จได้อย่างไร? เราก็รู้ดีแล้วว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าแผนการของพระเจ้าตรงนี้จะได้สำเร็จ

พระเยซูบอกว่าหน้าที่ของพระองค์ ก็คือมาประกาศข่าวดี เรื่องความรอดในพระบุตร จะพูดแต่เรื่องนี้ เรื่องเดียวเลย เพราะว่าเป็นหน้าที่หลัก หน้าที่เดียวที่พระองค์ถูกส่งมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครจะถามเรื่องอะไรก็ตาม พระเยซูจะตอบ ไม่ขึ้นต้น ก็ลงท้าย รวมความ ในที่สุด ตอบไปทางนี้ทางเดียว เรื่องนี้เรื่องเดียว คนก็จะงง เพราะว่าพระเยซูไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนให้มนุษย์ทำความดี ไม่ได้มาสอนจริยธรรม เพราะมีคนสอนเยอะแยะอยู่แล้ว มนุษย์ทั้งโลกนี้ รู้อยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรคือศีล อะไรคือธรรม รู้หมดแล้ว ทำได้หรือไม่ได้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พระเยซูถูกส่งมาให้ประกาศ เรื่องข่าวดีของพระเจ้าว่าคืออะไร? พระเจ้าทรงรักโลกอย่างไร? จนประทานพระบุตรของพระองค์? พระบุตรของพระองค์คือใคร? เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ไม่พินาศอย่างไร? ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาทำอยู่บนโลกใบนี้ พูด สอน ประกาศ แล้วก็ทำเลย ก็คือตายที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ในอีก 3 ปีต่อมา นี่คือเรื่องจริง ฟังแล้วตกใจนะ

ตอนนี้ ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่าน รื้อฟื้นถ้อยคำของพระเจ้า หรือของพระเยซูที่ท่านเคยได้ยิน หรือได้ฟังมา ที่มันตกค้างอยู่ในใจ ในความคิดของท่าน ถ้ารื้อฟื้นถ้อยคำไหนได้ ท่านลองนึกดูก็ได้ ถ้อยคำนั้น  มันก็เรื่องนี้ทั้งนั้น ตอนนั้น ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ ท่านอาจจะรู้แล้ว ใช่ ท่าน คือแสงสว่าง ก็เรื่องนี้เรื่องนั้น เดี๋ยวซีรี่ส์นี้ เราจะไล่เรียนกันไปจนหมดว่าพระเยซูพูดอะไรบ้าง? ช่วง 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์โยงไปเรื่องนี้ทั้งหมด ใครมาถามอะไร? พระองค์โยงไปที่เรื่องนี้ เรื่องพระบุตร คือพระเยซูจะถูกจับ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ วนเวียนอยู่เรื่องนี้ เรื่องเดียว เพื่อทำให้มนุษย์บริสุทธิ์สะอาด หมดจด ไร้ตำหนิ ไร้มลทิน เพื่อพระเจ้าจะได้สามารถคืนดีกับมนุษย์ได้ มาสถิตกับมนุษย์ได้ น้ำพระทัยพระเจ้าจะได้สำเร็จ นี่คือหน้าที่ของพระเยซู ใครถามอะไรมา ตอบตรงนี้หมด แล้วพระองค์สามารถดึงคำถามนั้น มาตอบได้หมดเลย ท่านจึงงงใช่ไหม? บางครั้งคนถาม ทำไมพระเยซูไปตอบอีกเรื่องหนึ่ง แต่คำอุปมา ดึงมาเรื่องนี้ทั้งนั้น เพราะเป็นหน้าที่ของพระองค์ เพราะพระองค์เห็นสำคัญที่สุด เหมือนที่เปาโล อัครสาวกบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ทำความดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือข่าวดี … ข่าวดีมาก่อน แล้วถึงความดีทีหลัง ถ้าท่านตั้งใจแต่ทำความดี ท่านไม่รู้จักข่าวดี เดี๋ยวเรียนเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ท่านจะเห็นชัดว่ามันเป็นผลร้ายอย่างไรบ้าง? นี่พระเยซูสอนนะ เดี๋ยวผมจะนำพาท่านไปเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่ามันแตกต่างกันอย่างไร?

นี่คือเหตุผลที่บอกว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้คำสอนของพระเยซู ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง และสามารถปฏิบัติตามได้ทุกอย่าง อย่างถูกต้อง ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ภาษาอังกฤษบอกว่า The will of God เราทุกคนอยากทำมากเลย ทำน้ำพระทัยพระเจ้าให้สำเร็จ เราก็คิดต่างๆ นานา อยากจะทำโน่น อยากจะทำนี่ อ้างน้ำพระทัย เราลืมคิดว่าน้ำพระทัยพระเจ้ามีอันเดียว ถ้าทำตรงนี้ได้ ที่เหลือถูกหมดแล้ว เพราะตรงนี้สำคัญที่สุด  ยอห์น 3:16

อุปมาของพระเยซู ก็คือการเปรียบเทียบกับวิธีเข้าสู่สวรรค์ วิธีจะบังเกิดใหม่ วิธีที่จะไปหาพระบิดา วนเวียนอยู่แค่นี้ตลอดเวลา ท่านจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าการพูดอุปมาของพระเยซูนั้น พระองค์กำลังพุ่งเป้าไปไหน? กำลังจะสอนเรื่องอะไร? ก็มีสอนเรื่องเดียวทั้งหมด  เรื่องสวรรค์ วิธีไปสวรรค์ ไปอย่างไร? เรื่องการไถ่บาป เรื่องพระองค์คือใคร? เรื่องพระเจ้าประทานพระบุตรลงมา เพื่อตายที่ไม้กางเขน ตายอย่างไร? เพื่อไถ่บาปมนุษย์อย่างไร? มนุษย์จะได้รับความรอด จากบาปได้อย่างไร? ทั้งนั้นเลย มนุษย์จะเกิดใหม่ได้อย่างไร? มนุษย์จะกลายเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? ความชอบธรรมในลักษณะที่พระเจ้าพอใจ หรือตามสายตาพระเจ้า บริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าตั้งใจไว้เป็นอย่างไร? มันแตกต่างจากความชอบธรรมของมนุษย์อย่างไร? นี่พระเยซูจะอุปมาพูดเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ตามทางต่างๆ ที่พระองค์ดำเนินไป  ใครมาถาม เจออะไร ก็จะมาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้หมด เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกครั้งที่เราอ่านเจอในพระคัมภีร์ เมื่อบอกว่าเป็นอุปมาของพระเยซู เราก็จะรู้ทันทีว่าพระองค์กำลังเปรียบเทียบกับเรื่องราวในสวรรค์

และในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้อ่านในพระคัมภีร์ที่พวกสาวกถามว่าทำไมพระเยซูต้องสอนแบบอุปมาด้วย แล้วพระเยซูตอบไว้ ในมัทธิว 13:10-11 มาทวนนิดหนึ่ง

มัทธิว 13:10-11 “10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์ และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา” 11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้

 

“พวกท่าน” คือทุกคนที่เชื่อในพระเยซู เพราะเราถ่อมใจ เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้เรื่อง แต่เราอยากได้ เรารู้ว่าเราทำเองไม่ได้อยู่แล้ว ไม่เข้าใจหรอก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าบอกอย่างนั้น เชื่อแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ท่านเข้าใจเหรอ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต มีแต่เลือดทั้งนั้นเลย แล้วท่านได้รับความรอด หาเหตุและผลไม่เจอเลย  ใครเชื่อเขาเรียกว่าโง่ ในพระคัมภีร์บอกนะ ผมไม่ได้พูดเอง

เปาโลบอกว่าเรื่องที่เราเชื่อนั้น เรื่องข่าวดีในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นเรื่องโง่ๆ แต่ต่อจากนั้น บันทึกว่าแต่เป็นฤทธิ์เดช เป็นเรื่องโง่ๆ สำหรับปัญญามนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่ทำให้มนุษย์คนนั้น รอด

“พวกเขา” คือพวกที่เย่อหยิ่งจองหอง นึกว่าตัวเองแน่ คนนี้เป็นใคร? ครั้งที่แล้วก็บอกแล้วนะ …

“คนที่เป็นช่างไม้ ชื่อเยซู เป็นใคร? ไม่เชื่อฟัง ฉันเรียนศาสนายิวมาตั้งเยอะ ฉันรู้เรื่องพระคัมภีร์เก่าตั้งมากมาย อย่าไปฟังเลยไร้สาระ”

นี่คือไม่ฟังเลย ดื้อด้าน เย่อหยิ่ง พระเยซูทราบดี ก็เลยพูดเป็นอุปมา คนถ่อมใจเท่านั้น จึงจะตั้งใจฟัง … ฟังแล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เริ่มต้นเชื่อ รับเอา แล้วก็ติดตามพระองค์ไปโน่นไปนี่ ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็ตาม เชื่อว่าต้องมีอะไรบางอย่าง ที่พระองค์ทรงพูดนั้น จนลงมาในใจ ลงมาในวิญญาณ บังเกิดใหม่

นี่คือเรื่องของข่าวดี ว่าทำไมพระเยซูต้องพูดเป็นอุปมา พระเยซูพูดใช่ไหมว่าคนไหนที่เย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี เขาก็จะไม่ได้ คนไหนที่ถ่อมตน ถ่อมใจรับฟัง เขาก็จะได้ แล้วพระเยซูพูดเปรียบเทียบบอกว่าคนไหนที่มีอยู่แล้ว จะได้มากขึ้นอีก คนไหนที่ไม่มี ที่มีอยู่แล้ว ยังจะถูกเอาออกไปอีก

ถามว่า “มี” คือมีอะไร?  คนไหนที่มีความเย่อหยิ่ง ที่มีอยู่แล้ว คือมีความรู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ในที่สุด ไม่เหลือเลย เป็นศูนย์ คนที่ไม่มีความรู้มาก แต่มีความถ่อมใจ เขาได้เพิ่มอีก เอาไปอีก คนที่มีอยู่แล้ว จะได้เพิ่มขึ้นอีก คนที่ไม่มีความถ่อมใจ ยิ่งมีเท่าไร? ยิ่งเอาออกมาให้หมดเลย มันเรื่องจริงๆ เลย ชัดๆ เราเอง พอแปลมาอย่างนี้ เราเห็น ใช่ ยิ่งหยิ่งเท่าไร? ยิ่งไม่ได้ เอามาใช้กับปัจจุบันได้เลย ไม่ต้องเรื่องพระเยซูก็ได้ เรื่องชีวิตประจำวัน ถ้าท่านทำอาชีพอะไรก็ตาม สมมติเป็นชาวสวน หรือแม่ค้าก็ได้ มีคนมาบอกท่าน มาสอนท่าน วิธีต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ ปลูกต้นไม้ต้องเป็นอย่างนี้

“ฉันทำมาตั้งนานแล้ว เป็นชาวสวนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ฉันรู้ดี ไม่ต้องมาพูดหรอก”

แทนที่จะได้เทคโนโลยีใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ ไม่ได้ แล้วเขาก็พูดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หยิ่งไปเรื่อยๆ ที่มีอยู่แล้ว เมื่อสมัย 20 ปีก่อน ที่เคยทำได้ผล เป็นศูนย์ ทุกวันนี้ ตัวเชื้อรา หรือวัชพืช ศัตรูพืชมันแข็งแรงขึ้น มันไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ที่เขามีความรู้อยู่แล้ว กลายเป็นถูกเอาออกไปหมด คนที่ถ่อมใจ ทางกระทรวงเกษตรเขาส่งคนมาสอน ก็ไปเข้าสัมมนา เมื่อ 10 ปีเขาทำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เขาทำอย่างนี้ เราต้องทำอย่างนี้เหรอ ที่เขาเคยมีอยู่แล้ว 20 กว่าปี ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ เดี๋ยวนี้ผ่านมา 40 ปี เขาฉลาดกว่าสมัยก่อนนั่นอีก พอเห็นภาพไหม?

นี่ก็มาจากการเปรียบเทียบของพระเยซูทั้งสิ้น เพื่อจะให้ท่านเห็นชัดว่าเรื่องพระเยซู ท่านฟังแล้ว สามารถเอาใช้ในปัจจุบันได้ด้วย แต่ไม่เน้นหรอก พระเยซูทรงเน้นเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น ว่าถ้าคนหยิ่งอยู่แล้ว ไม่มีวันเจอหรอก ดังนั้น ต้องจำไว้เลยนะ หยิ่งแล้ว ไม่มีวันที่จะเจอพระเยซู ถ่อมใจเท่านั้นถึงเจอ พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว พระเจ้าทรงเป็นศัตรูกับผู้ที่ยกตัวเองขึ้น หรือเย่อหยิ่งจองหอง แต่พระองค์ทรงมีเมตตา ยกคนที่ถ่อมใจให้สูงขึ้น แล้วท่านจะเอาอย่างไร? เอาขึ้นสูง แล้วให้พระองค์กดให้ต่ำๆ หรือท่านจะต่ำๆ แล้วให้พระองค์ยกขึ้นมา ท่านก็เลือกได้

เรามาเริ่มต้นที่อุปมาคำสอนของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว นี่คืออุปมาหนึ่ง เราจะเริ่มเรียนครั้งแรก มัทธิว 9:14-17 ครั้งที่แล้วเราพูดไปนิดหนึ่งตอนต้น จริงๆ มันรวมทั้งบท … บทนี้ต้องจบอย่างนี้  ตั้งแต่ 14-17

มัทธิว 9:14-17 “14 ฝ่ายสาวกของยอห์นมาทูลถามพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์กับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ ไม่ถืออดอาหาร” 15 พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร 16 ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17 และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่  ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่าง ก็อยู่ดีด้วยกันได้”

 

“สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา” ท่านลองนึกภาพนะว่าถ้าท่านเป็นหนึ่งในสาวกที่นั่งอยู่กับพระเยซูในวันนั้น แล้วก็มีสาวกของยอห์น บัพติศโต ที่เป็นคนให้บัพติศมาในน้ำ พวกนี้เขาก็เคร่งนะ ถึงเทศกาลอดอาหาร เขาก็อด ระเบียบเป๊ะ ศาสนกิจเป๊ะๆ หมด เขาเรียกว่าประเพณีนิยมอะไรต่างๆ เหล่านั้นเป๊ะหมด พิธีกรรมเป๊ะ เขาก็อยู่ในนั้น แล้วก็เดินมาถามพระเยซู ถ้าท่านเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูที่นั่งอยู่ในนั้น เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พอมีคนถามว่า …

“อาจารย์ๆ (หมายถึงพระเยซู) พวกฟาริสีถืออดอาหาร ตามธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนายิว แล้วทำไมสาวกของอาจารย์  ไม่ยอมถืออดอาหาร”

เรื่องนี้ เรื่องใหญ่นะ เพราะเรื่องการอดอาหาร ถือว่าเป็นพิธีดังมาก คือทุกคนที่เคร่งศาสนา อยากจะรักพระเจ้า อยากจะแสวงหาอาณาจักรสวรรค์ เรื่องโลกวิญญาณ เขาต้องทำกันทั้งนั้น

“สาวกอาจารย์ไม่ยอมถืออดอาหารด้วย”

ทุกคนก็ต้องเงี่ยหู ฟังเลยนะ พระเยซูจะพูดว่าอย่างไร? แล้วพระเยซู ก็ตอบอุปมาเรื่อง 3 เรื่อง  พอสาวกได้ยิน ทุกคนมองหน้ากัน แล้วมันแปลว่าอะไร? ไม่มีทางรู้เลย แต่อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ตอนต้น อุปมาทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ การบังเกิดใหม่ การรอดจากบาป เกี่ยวกับน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน เพื่อมนุษย์ จะรอด และมีชีวิตนิรันดร์ รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สมัยนั้น สาวกทั้งเก่าทั้งใหม่ ไม่รู้ ทั้งฟาริสี ทั้งคนที่ตั้งใจฟัง มองหน้ากัน งง เปโตรคงมองหน้ากันกับยอห์น แปลว่าอะไร? ไม่รู้เรื่องเลย

ถ้อยคำตรงนี้ ที่เราอ่าน มีทั้งหมด 3 อุปมา ทั้ง 3 อุปมานี้ พระเยซูกำลังเปรียบเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ทั้งนั้น อย่างที่เรารู้กัน การบังเกิดใหม่ การรับการชำระให้หลุดพ้นจากความบาป เราจะมาค่อยๆ แกะด้วยความถ่อมใจ จะได้เข้าใจ ถ้าเราเข้าไปแงะด้วยความเย่อหยิ่ง เราก็จะไม่ค่อยรู้เรื่อง

สาวกถามว่าทำไมคนของพระองค์ (พระเยซูคริสต์) ไม่อดอาหาร ซึ่งการอดอาหาร ในสมัยนั้น  เขาเป็นการแสดงออกถึงความโศกเศร้า เนื่องจากบาป มนุษย์เป็นคนบาป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์สำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเขาเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยให้รอดจากพระเจ้า ต้องการพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ฉะนั้น การอดอาหาร ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการโอดครวญความทุกข์ใจ

พระเยซูตอบว่า “ก็เจ้าบ่าวยังอยู่ แล้วจะโศกเศร้ากันไปทำไม?”

คนก็งง แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร? พระเยซูพูดเปรียบเทียบสาวกของพระองค์ ที่ไม่อดอาหารว่าเพราะว่าพระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวยังอยู่ตรงนี้เลย ตอนนี้ ยังไม่ต้องเศร้า รอให้ถึงเวลาก่อน เพราะจะมีช่วงเวลาที่เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป ตอนนั้นแหละ ค่อยโศกเศร้า พระองค์รู้แล้ว ตอนนี้เลี้ยงกันไปก่อน กินให้เต็มที่เลย ก็คือแค่นั้น ตะกี้ผมถึงให้ท่านอ่าน “จะถูกนำตัวไป” แม้แต่คำนี้ พระองค์ยังพูดเลยว่าไม่ใช่ไปเองนะ ถูกนำตัวไป คือถูกจับตัวที่สวนเกเสมนี เมื่อวันพฤหัสฯ

พระเยซูกำลังจะบอกว่ามันมีช่วงเวลาที่พวกสาวกตกใจ  “แล้วก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพระเยซูจากไป? ทำไมพระเยซูสิ้นพระชนม์ แล้วพระเยซูหายไปไหน? เราติดตามผิดคนหรือเปล่า? ตอนนั้นเราก็เชื่อว่าพระเจ้าแน่ๆ สอนก็ดี อัศจรรย์ก็ทำเยอะแยะ พูดถูกต้องหมดเลย ในใจเราก็มั่นใจว่าใช่แน่ๆ เลย แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถูกเขาจับตัวไป แล้วไม่สู้เลย แถมไม่พอ รุ่งขึ้น ถูกตรึงไม้กางเขน เราไปดูด้วยตาตัวเอง ตายตอนนั้นต่อหน้าต่อตาเราเอง”

บางคนในนั้นบอก “เราเป็นคนแบกพระศพลงมาเอง ไปฝัง ไม่มีลมหายใจเลย”

ตอนนั้นโศกเศร้าได้ยัง? คิดดูสิ พระเยซูกำลังพูดถึงอนาคตที่จะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  ที่พระองค์จะต้องตายที่ไม้กางเขน  พวกเขาจะต้องตกใจและโศกเศร้า คิดดูสิ ไม่พอ วันที่สามเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกคนดีใจ

“นี่ใช่แน่ พระเยซู ดีใจมากเลย”

ดีใจอยู่กับพระเยซู เดิน หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย เดินอยู่กับสาวกอีก 40 วัน อาจจะ 3 วันหลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย สาวกยังตกใจอยู่เลย ใช่พระเยซูหรือเปล่า? ขนาดโธมัสยังไม่เชื่อเลย ต้องมาให้แยงนิ้วกับที่รูถึงจะยอมเชื่อว่าเป็นขึ้นมาจากความตาย คือมันสุดๆ มันเสียใจโศกเศร้ามาก ตกใจมาก พอเริ่มเชื่อว่าใช่แน่ๆ พระเยซูมา อ้าว! ไปซะแล้ว แล้วไปเที่ยวนี้ ไม่ได้บอกด้วยว่าจะกลับเมื่อไร? บอกแต่ว่าให้รอก่อน เดี๋ยวจะกลับมาใหม่ รอกี่วัน? ไม่รู้ พวกเขาก็ตกใจ ตอนนั้น อดอาหารเต็มที่เลย เพราะไม่รู้เมื่อไร? อาจจะสิบปีก็ได้ มันน่ากลัวมาก แต่ในที่สุด เขาอดอาหารไปเพียงแค่ 10 วัน พระเยซูกลับมาใหม่ พร้อมทั้งอัศจรรย์ที่บอกไว้ ในอุปมาทั้งหมดแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ที่พระเยซูยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงาน ทำไมพูดถึงเรื่องงานแต่งงาน เกี่ยวอะไรกับการไปสวรรค์ ฟังให้ดีๆ นะ และพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นเจ้าบ่าวที่ยังอยู่ด้วย  ก็เพื่อจะโยงต่อไปให้ถึงความจริงที่ว่าพระองค์คือเจ้าบ่าวที่จะเป็นผู้เลือกเจ้าสาว ที่กางเขน ที่พระองค์จะต้องตาย และหลั่งพระโลหิตมาชำระเขาให้สะอาดหมดจด เพื่อเขาจะได้เป็นเจ้าสาวของเราที่บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ไร้ที่ติ ไร้ตำหนิ

ท่านเห็นภาพไหมว่าอุปมาเล็กนิดเดียว ขยายไปเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ขนาดไหน? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการชำระมนุษย์ให้สะอาดหมดจด เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของเจ้าบ่าว  คือพระเมสโปดก คือลูกแกะที่ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเจ้าสาวของตนเอง ก็คือพระเยซูคริสต์ เจ้าสาวของพระเยซูคริสต์จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ตำหนิ เหมือนกับพระองค์ ก็คือเหมือนพระเจ้า มิฉะนั้น จะไม่สามารถแต่งงาน ติดสนิทเป็นเนื้อเดียวกันในทางวิญญาณได้เลย  เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์คนนั้น หรือวิญญาณนั้น ที่จะเป็นเจ้าสาวกับพระองค์ ต้องสะอาดหมดจดเหมือนพระองค์เลย  ซึ่งเล็งไปถึงการที่เจ้าบ่าวต้องสละชีวิตของตนเอง เพื่อคนรัก คือเจ้าสาว คือที่พระองค์ยอมให้ถูกไปตรึงที่ไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์ เพื่อแบกรับเอาความบาป ความสกปรกทางวิญญาณ และคำสาปแช่งของมนุษย์ออกไป เพื่อให้เจ้าสาวของพระคริสต์ขาวสะอาดบริสุทธิ์ เป็นที่อาศัย เป็นที่สถิตของพระเจ้าได้ เจ้าสาวในที่นี้ ก็คือคริสตจักร

คริสตจักร คือมนุษย์ ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ และยอมให้ตัวเองเป็นที่อาศัยของพระเจ้า คือเชื่อและให้พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย  เป็นสถานที่ของพระเจ้า ก็เลยเรียกว่าคริสตจักร สถานที่สถิตของพระเจ้า  ต้องเป็นผู้เชื่อที่ข้างในวิญญาณบังเกิดใหม่ … การบังเกิดใหม่ คือสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซู พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น

อุปมาเรื่องการแต่งงานตรงนี้ พระเยซูกำลังหมายความว่าเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถสถิตอยู่กับความบาปของมนุษย์ ความสกปรกของมนุษย์ได้ พระเยซูจึงต้องเสียสละพระองค์เอง เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เจ้าสาว หรือมนุษย์ของพระองค์นั้น กลับมาบริสุทธิ์ดั่งเดิม พร้อมที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ พอนึกออกไหม?

แล้วพระเยซูก็พูดอุปมาเรื่องต่อไปว่า “ไม่มีผู้ใด เอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น เมื่อหด จะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก”

พระเยซูยกตัวอย่างอุปมานี้ เปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เรื่องเดิมๆ อีกแล้ว ทำอย่างไรถึงสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้  ทำอย่างไร พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ ทำอย่างไรถึงเข้ากันได้ ท่านเริ่มเห็นชัดแล้วใช่ไหมว่ามันเริ่มใช่แล้วนะ ผ้าเก่า ผ้าใหม่ ในนี้บอกเข้ากันไม่ได้ ตอนนี้เล็งให้เห็นถึงทั้งหมด เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณของพระเจ้า ที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์

พระเยซูพูดอุปมาเรื่องผ้าใหม่ และเสื้อเก่า ความหมายคือในสมัยก่อน  เสื้อผ้าที่สวมใส่ จะเป็นลักษณะของผ้าทอ ซึ่งก่อนที่จะนำมาตัดเย็บ เขาจะเอาไปแช่น้ำ ให้มันยืด หด ให้เรียบร้อย แล้วจึงเอามาตัด สมมติผ้าที่ใช้แล้ว แล้วเกิดมันขาดเป็นรู ใครก็ตามที่ไปเอาผ้าใหม่ ที่ยังไม่ได้แช่น้ำ มาปะในรูเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว พอลงน้ำปุ๊บ ผ้าใหม่ก็หดตัว ดึงเอาผ้าเก่า คือเสื้อผ้าขาดไปด้วย ทำให้เกิดความเสียหาย เสื้อตัวนั้น ก็เลยเสียไปเลย

ความหมายของอุปมาตรงนี้ พระเยซูกำลังอธิบายว่าของเก่ากับของใหม่ มันเข้ากันไม่ได้ พระเยซูกำลังหมายความถึงพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ที่พระเยซูมาเดินอยู่ตรงนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ที่จะเริ่มต้นขึ้นที่ไม้กางเขน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  ใครก็ตามที่จะเชื่อของเก่า แล้วพอพระเยซูมา ไม่ทิ้งของเก่า แต่จะเอาพระเยซูด้วย เอามาผสมกัน ทำไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างเดียว

พันธสัญญาเก่าบอกว่าต้องทำตามกฎ ทำตามธรรมบัญญัติเท่านั้น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฝ่าฝืนกฎ ต้องได้รับโทษ คือความตาย  ซึ่งมนุษย์ทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็เจอความตายตลอดเวลา นี่คือเหตุที่พระเยซูต้องมาเกิด

ส่วนพันธสัญญาใหม่ เป็นเรื่องของพระคุณ เป็นเรื่องของข่าวดี ข่าวประเสริฐ เป็นเรื่องของความเชื่อ ให้ฟรีๆ ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการกระทำของมนุษย์ ตรงกันข้ามกันเลย ไม่มีกฎ ไม่มีข้อบังคับ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยความเชื่อล้วนๆ ในพระเยซูคริสต์ นี่คือกฎใหม่

เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังบอกว่าสองอันนี้ มันรวมกันไม่ได้ ไม่สามารถนำมาผสมกันได้ ต้องเลือกเอากฎอย่างเดียว หรือพระคุณอย่างเดียว เพราะคนสมัยนั้น พระเยซูรู้ล่วงหน้าแล้วว่าชาวยิวที่อยู่ตอนนั้น เขานึกว่าเขาอยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามาก เขารู้พระคัมภีร์เดิมเยอะแยะเลย  เพราะฉะนั้น เขาเคร่งในการรักษาธรรมบัญญัติมาก อดอาหาร พิธีกรรมต่างๆ เป๊ะๆ หมดเลย อย่างที่บอก นี่กำลังพูดถึงเรื่องอดอาหาร เขาทำไปแล้ว เขาก็นึกว่าที่เขาทำมันยอดเยี่ยมแล้ว มันดีแล้ว แล้วเขาทำ เพื่อความหวังที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะช่วยเขาไปสวรรค์ โดยให้พระมาซีฮาห์มาหาเขา เขาก็รอ แต่พอพระมาซีฮาห์มายืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้แล้ว เขากลับไม่เชื่อ เพราะในปัญญาของเขาไม่คิดเลยว่าพระมาซีฮาห์จะหน้าตาเป็นอย่างนี้ เขาคิดว่าพระมาซีฮาห์จะขนาด อย่างน้อย ต้องใหญ่กว่าตอนที่โมเสสแยกทะเลแดง เขาคิดของเขาอย่างนั้น เขาไม่คิดว่าพระมาซีฮาห์ของเรา จะมาตายที่ไม้กางเขน

ท่านลองคิดดูสิ แล้วเข้าใจเขาด้วยว่าพระเยซูก็รู้ เอามารวมกันไม่ได้แล้วนะ เชื่อต้องเชื่ออย่างเดียว เพราะว่าพระเยซูจะไม่มีฤทธิ์เดชให้ดู มีตายที่ไม้กางเขนอย่างเดียว ฤทธิ์เดชของพระองค์ คือวิญญาณเราจะได้บังเกิดใหม่ มันต้องใช้ความเชื่อนี้ คือความถ่อมใจ เพราะเชื่อแบบไม่มีเหตุผล ใครมาเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ต้องถ่อมใจอย่างเดียว แต่ถ้าใครมาเชื่อแบบพระคัมภีร์เดิม ไม่ต้องถ่อมใจเลย ก็เห็นพระเจ้าเปิดทะเลแดง เห็นพระเจ้าอัศจรรย์ใหญ่โต เห็นพระเยซูเรียกคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่

พระเยซูถึงบอกว่าคนที่เรียกพระองค์ว่าอาจารย์ๆ อาจจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระเจ้า คือมนุษย์รอด โดยพระคุณทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย ถ้าเขายังกระทำด้วยตัวเอง ด้วยบัญญัติ เขาจะไม่มีทางรอด ท่านเห็นชัดไหมว่าพระเยซูกำลังสอนเรื่องเกี่ยวกับอะไร?

สองอย่างนี้รวมกันไม่ได้ มนุษย์ต้องเลือกเอาว่าจะทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยตัวเอง ตามแบบฉบับของกฎทางโมเสสที่พระเจ้าให้ไว้เป็นตัวอย่าง ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งทำไม่สำเร็จอยู่แล้ว หรือเลือกเอาว่าจะเชื่อพระเยซูว่าพระเยซูทำบนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง ตะโกนก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

บอกทั้งโลก ก็คุณทำมาตลอด ไม่รู้กี่พันปี ไม่มีใครทำสำเร็จสักคน โมเสสก็ทำไม่สำเร็จ อิสยาห์ก็ไม่สำเร็จ แต่พระองค์บอก สำเร็จแล้ว แต่คนจะเชื่อ ต้องถ่อมใจ

เพราะฉะนั้น จะเอา 2 อย่างมาผสมกันไม่ได้ ถ้าเชื่อพระเยซู เขาก็เลิกกิจกรรมต่างๆ พิธีกรรมที่เขาเคยทำ เพราะเขาเชื่อพระเยซู เขาได้รับความรอด จะเอา 2 อย่างผสมกัน แสดงว่าเชื่อพระเจ้าไม่จริง ถ้าไม่จริง ต่อให้เรียกพระองค์ว่าเจ้านาย ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะใจจริงของคุณไม่ได้เชื่อ ถ้าคุณเชื่อ คุณจะต้องเลิกทำพิธีกรรมที่คุณเคยทำในอดีต ตั้งแต่สมัยโมเสส ถ้าไม่เลิก ชีวิตก็ไม่ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ถ้าไม่เลิกของเก่า ชีวิตก็เสียหาย เหมือนผ้าเก่าผ้าใหม่ที่บอก ขาดเป็นรูโหว่เลย

อุปมาอีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูพูด ก็คือ “ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่าง ก็อยู่ดีด้วยกันได้”

พระองค์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ไม่รู้แหละ ฉันรู้แต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ มันถูกหมด แล้วค่อยมาอธิบายทีหลัง

จริงๆ แล้วเรื่องเหล้าองุ่นกับถุงหนัง ถ้าเป็นสมัยโบราณ จะเห็นภาพได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เขาใช้กันเป็นประจำ สมัยก่อนยังไม่มีขวดเหมือนในยุคปัจจุบันนี้ เวลาที่เขาทำเหล้าองุ่นกัน เขาก็จะเก็บไว้ในถุงที่ทำมาจากหนังสัตว์ เวลาที่ถุงหนังมันเก่าแล้ว ก็จะแห้ง หรืออาจจะมีรอยปริ รอยแตก นึกถึงภาพหนังเหี่ยวๆ แห้งๆ แล้วถ้าเราเอาเหล้าองุ่นไปใส่ในถุงหนังเก่า ที่มันเริ่มเหี่ยวแห้งแล้ว มันปริออก เหล้าองุ่น ซึ่งเป็นของเหลว และมีแอลกอฮอล์ลด้วย จะทำให้ถุงหนังนั้น ขาดเร็ว ขาดง่าย น้ำองุ่นจะรั่วเสียหายหมด ถุงหนังก็แตกเร็วขึ้น เข้าใจหรือยัง? ฟังให้ดีนะ ปกติตอนนั้น ถ้าถุงหนังเริ่มเก่า เขาก็จะเอามาใส่ของแห้งแทน ทำให้ไม่เสียของ พอใช้ได้

อุปมาของพระเยซูบอกว่าเขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่าง ก็อยู่ดีด้วยกันได้ เหล้าองุ่นใหม่ เล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เหล้าองุ่นเล็งถึงที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ในทางวิญญาณ มนุษย์ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ พระเยซูยังไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน ตอนพูดอยู่นี้ มนุษย์ยังไม่ได้รับการชำระบาป วิญญาณมนุษย์ยังเปรียบเหมือนถุงหนังเก่า แต่พระเจ้าเป็นเหล้าใหม่ พระเยซูบอกว่าถ้าเกิดเทลงไปนะเละ เพราะฉะนั้น มันต้องเปลี่ยนถุงให้เป็นถุงใหม่ วิญญาณมนุษย์ต้องใหม่ พระเจ้าสัญญาว่า …

“เราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่ใส่ลงไปในใจเจ้า เราจะเอาใจหินออกไป เอาใจเนื้อใส่เข้าไปแทนที่ แล้วเราจะเข้าไปอยู่กับเจ้า จะไม่ต้องมีใครมาสอนเจ้าเรื่องพระเจ้าอีกต่อไป เพราะเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะสอนเจ้าเอง เราจะเข้าไปอยู่ในตัวเจ้า”

นี่คือหนึ่งในการเผยพระวจนะของพระเจ้า  ท่านพอเห็นภาพเหล้าองุ่นแล้วใช่ไหมว่าเหล้าองุ่นใหม่ ถ้าใส่ลงไปในถุงหนังเก่า ถุงหนังก็จะรั่ว น้ำองุ่นก็ไหลออกหมดเลย ฉันใดก็ฉันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถ้าไปสถิตอยู่กับมนุษย์ที่มีวิญญาณเก่า วิญญาณบาป วิญญาณสกปรก วิญญาณมืด ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะความบริสุทธิ์จะไปอยู่กับความสกปรก ความบาป มันเข้ากันไม่ได้ มนุษย์ตายแน่นอน ก็คือถุงหนังเก่านั้นแตก เห็นภาพนะ

คนในสมัยนั้น เขาพอจะเข้าใจ แต่สมัยนี้มันไม่ได้ใช้อย่างนั้น ถุงหนังใหม่ ก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อ คือรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นพระเมสโปดกผู้รับบาปแทนมนุษยชาติ ซึ่งพระเจ้าได้สัญญา และเตรียมไว้ เพื่อมาปลดปล่อยมนุษย์ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เอเมน

เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ เรื่องพลังงานของไฟฟ้า ที่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่มีอยู่จริง และเป็นกฎธรรมชาติ ซึ่งถ้าใครไม่รู้ ก็เสียประโยชน์ไป ถ้าใครรู้ ก็ได้ประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือชั่ว จริงหรือไม่จริง? ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ นะ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือชั่ว ขอให้เขารู้ว่าความจริงคืออะไรก่อน ถูกไหม? พระเยซูจึงบอกว่าความจริง ทำให้ท่านเป็นไท พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าจึงบอกว่าประชากรของเราถูกทำลาย เพราะขาดความรู้ คือเขาไม่รู้

ใครที่ไม่รู้กฎเรื่องพลังงานไฟฟ้า แล้วไปแตะต้อง ก็ถูกดูดตาย ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ไฟก็ดูดเหมือนกันทั้งนั้น  แต่คนที่รู้ ก็สามารถนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ได้อย่างปลอดภัย เช่นการนำชนวนมาป้องกันการดูดของไฟฟ้า ก็สามารถเข้าไปแตะต้องจับไฟฟ้า แล้วเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะดีหรือชั่ว ผมอยากจะเน้นตรงนี้ เพื่อให้ท่านได้เห็นชัดๆ

พลังงาน แรงดึงดูดของโลก ก็เหมือนกัน ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ก็มีอยู่จริงเหมือนกัน ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่ว ถ้าออกไปอยู่ในที่สูง เช่น เดินขึ้นไปบนดาดฟ้า แล้วเดินออกไป ไม่มีฐานรองรับ ในที่สุด ก็ต้องหล่นตุ๊บลงมา เดินต่อไป ก็ถูกดูดลงไปข้างล่าง ตกตึก เดินออกไปชั้นสิบ ก็ถูกดูด 10 ชั้น เดินออกไปชั้น 5 ก็ถูกดูด 5 ชั้น มันเป็นกฎที่มีอยู่ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้น แล้วคุณบอกว่าคุณทำดีมาก ฉันทำดีมาก ทำไมเดินออกไป แล้วมันหล่นลงไปล่ะ ฟ้องพระเจ้า พระเจ้าไม่ยุติธรรม คนนี้เป็นคนดีมาก แต่ทำไมเขาถูกดูดลงไป พระเจ้าจะตอบท่านว่าอย่างไร? ท่านก็เข้าใจตอนนี้แล้วว่าพระเจ้าจะตอบว่าอย่างไร? ท่านสามารถเอาเรื่องนี้ไปใช้ได้เยอะ ทั้งชีวิตเลย ใครจะถามท่านว่า …

“พระเจ้าไม่ยุติธรรม”

แล้วอะไรบ้างล่ะที่ยุติธรรม พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ยุติธรรมที่สุดในโลก ในมหาจักรวาล แล้วท่านจะไปเถียงพระเจ้าเหรอ

แต่เมื่อมนุษย์ค้นพบกฎ อีกกฎหนึ่ง ที่สามารถเอาชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกได้ ก็จะสามารถชนะแรงดึงดูดโลก สามารถลอยตัว ไม่ตกลงไป เมื่อออกไปในที่ที่ไม่มีที่รองรับ สมมติออกไปที่ 10 ชั้น ไม่ตกได้ ถ้าคนนั้นพบความจริงว่ามีกฎอีกกฎหนึ่งที่อยู่เหนือกฎแรงดึงดูด เขาเรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ทำให้เครื่องบินแทนที่จะตก มันลอยบนอากาศได้ 10 ชั้น แทนที่จะถูกแรงดึงดูด ดูดเข้ามา ผมไปพบอีกกฎหนึ่ง กฎแห่งการยกขึ้น เดี๋ยวนี้เขามีจริงๆ นะ ใส่ถังแก๊ส 2 ข้าง เหมือนจรวด แล้วมีมือจับ พอผมก้าวออกจากชั้น 10 ไปปุ๊บ ผมกดปุ่ม มีพลังดึงขึ้น มีจริงๆ แล้วตอนนี้ ทำไมผมไม่ตก เพราะผมเป็นคนดีมากหรือ? ถูกหรือเปล่า? ผมอยากจะเน้นให้ท่านเห็นตรงนี้  ท่านจะได้เอาไปใช้อย่างอื่นได้ ทำไมไม่ตก เพราะว่าผมเป็นคนดีมากหรืออย่างไร? ไม่ใช่ ถามว่าผมชนะแรงดึงดูดโลก เพราะอะไร? เพราะผมไปรู้ความจริงว่ามีกฎการยกขึ้น ไม่ใช่ว่าผมดีหรือชั่ว แต่เพราะว่าผมรู้ความจริง และผมยอมถ่อมใจว่าอันนี้ต้องมีกฎ หาจนเจอกฎนี้ แล้วผมก็สามารถเดินหรือขึ้นเครื่องบินได้ โดยที่ไม่ถูกดูดหรือตกลงมา นี่คือกฎ

ฉันใดก็ฉันนั้น กฎของความบาป และความตาย ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ก็มีอยู่จริงๆ แม้ว่าตาจะมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน กฎแห่งความบาปและความตาย  ก็มีอยู่จริง ใครทำตามความบาป หรือใครทำบาป ตามกิเลสตัณหา ใครฝ่าฝืนกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าบอกไว้ แม้แต่นิดเดียว ก็ต้องได้รับโทษ คือความตาย คือบึงไฟนรกแน่นอน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี เขาทำบาป เขาต้องตาย นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แค่คิดว่าคนนี้เป็นคนบ้า เท่ากับไปฆ่าเขาแล้ว กฎว่าไว้อย่างนี้  และใครบ้างที่ทำได้ ไม่คิดโกรธใครเลยสักครั้งหนึ่ง ให้อภัยเขาหมดเลย ทุกครั้งเลย สะอาดหมดจด ทุกเวลา ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น คนนั้นก็อยู่ในบึงไฟนรก เพราะตามกฎว่าไว้อย่างนั้น จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

จำเรื่องที่อ่านในพระคัมภีร์ครั้งที่แล้วได้ไหมครับ? เรื่องกษัตริย์ดาวิดที่ผมยกขึ้นมาว่ากษัตริย์ดาวิดนำกองทัพ ทั้งทหาร ทั้งผู้รับใช้ต่างๆ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อัญเชิญหีบพันธสัญญากลับมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจะสร้างสถานนมัสการอย่างสวยงามให้อยู่เลย จะถวายเกียรติ คิดดีเลย ไปเป็นหมื่นคน ระหว่างเดินทาง เกวียนที่วางหีบพันธสัญญา จริงๆ จัดอย่างละเอียดเรียบร้อยดีทั้งหมด วางหีบพันธสัญญา … หีบพันธสัญญา เล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า พอเคลื่อนไปได้นิดหนึ่ง เกวียนไปตกหลุมเสียหลัก หีบพันธสัญญาก็ไหลเคลื่อนมา อุสซาห์ที่ยืนอยู่ เอามือไปพยุงไว้ กลัวหีบตก ตายเลย แต่พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว กฎก็คือกฎ พระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ อย่าไปแตะๆ พระเจ้าบอกแล้วบอกเล่า ก็ไปแตะ เขาตาย  ไม่เกี่ยวกับอุสซาห์ดีหรือเลว อุสซาส์ไปช่วยยึดหีบไว้ ซึ่งจริงๆ ถือว่าเป็นคนดี

แล้วถ้าคิดตามหลักเหตุผล ทุกคนก็โวยวายกันหมดแหละ พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? ถ้าท่านคิดอย่างนั้นเมื่อไร? ท่านต้องไปคิดอย่างที่ผมบอกคนตกตึกมา ไม่ยุติธรรมเลย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? คนที่จับไฟฟ้าแรงสูงดูดตาย ไม่ยุติธรรมเลย คนนี้เป็นคนดีจะตาย หรือบางครั้ง สมควรแล้ว คนนี้ไม่ดี ถูกดูดตาย ดีแล้ว มันไม่ใช่ มันเป็นกฎ ดูดหมดแหละ

นี่คือตัวอย่างของกฎของความบาปและความตาย คือใครทำบาป ใครทำผิดกฎ ก็ต้องรับโทษ คือความตาย แต่ในพระคัมภีร์เขียนเหมือนกันว่ามีกฎหนึ่งที่สามารถเอาชนะกฎแห่งความบาปและความตายได้ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มีเขียนไว้ในโรม 8:1  กฎแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเกี่ยวกับที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนนั้น ซึ่งทำให้เราเป็นถุงหนังใหม่ วิญญาณบังเกิดใหม่ โดยการตายของพระเยซูคริสต์ ที่สามารถเป็นที่รองรับเหล้าองุ่น คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ และด้วยกฎแห่งชีวิตนี้ เราได้กลายเป็นคนที่สะอาดหมดจด ปราศจากที่ติ และพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ ด้วยความเชื่อ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ฟังดูแล้วเหมือนโง่ๆ เลย เบาปัญญามากเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มันเป็นจริง ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง ท่านต้องเลือกเอาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ? มันไม่มีทางอื่นเลย ต้องเชื่ออย่างเดียว ถ้าเชื่อปุ๊บ กฎนี้ เป็นกฎที่ทำให้เรารอดจากความบาปและความตาย รอดจากการกระทำที่เรียกว่าบาป ทุกวัน อย่างที่ผมบอก ไม่มีใครทำได้สักคน ไม่มีใครบริสุทธิ์สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย

เพราะฉะนั้น จึงต้องพึ่งพระเยซูทุกคน จำเป็น และวิธีพึ่ง ก็ง่ายนิดเดียว รับฟรีๆ ยอมรับ ถ่อมใจ พูดตามพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ และเชื่อด้วยใจว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็พูดง่ายๆ ว่าได้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ แค่นี้ เขาก็จะได้รับความรอด ได้ไปสวรรค์ ได้เป็นถุงหนังใหม่ ที่สามารถรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า รับเหล้าใหม่ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ได้ อยู่ด้วยกันได้ เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนเราทั้งหลายที่เชื่อไปแล้ว ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  สิงหาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เริ่มต้นซีรี่ส์ใหม่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เกริ่นไว้สักนิดหนึ่งว่าเราต้องตั้งใจฟังให้ดีนะ มันเป็นความลึกซึ้งของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งมาจากพระเจ้าเองเลย ไม่ใช่มาจากตัวแทน เราจะเริ่มต้นบรรยายซีรี่ส์ใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า “อุปมาคำสอนของพระเยซู” เราจะเริ่มที่ถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์มัทธิว 7:21

มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้า”

 

“แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา” ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”

นี่พระเยซูพูดเอง พระเยซูกำลังบอกว่าบรรดาเหล่าสาวก หรือผู้ติดตามพระเยซู หรือบรรดาผู้ที่เคยเห็นการกระทำ อัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยนั้น ที่พระองค์เดินอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้เขาเหล่านั้นจะยกย่อง นับถือพระองค์ ถึงแม้ปากจะพูดว่า …

“พระองค์เจ้าข้า อาจารย์เจ้าข้า อาจารย์ๆ”

แต่พระองค์บอกว่าก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เพราะคนที่จะสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ พระองค์บอกว่าคนนั้น จะต้องทำตามพระประสงค์ของพระบิดา คือของพระเจ้าเท่านั้น

แล้วทุกคนก็ถามว่า “แล้วพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า คืออะไร?”

พระประสงค์ของพระเจ้ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตามหนังสือพระคัมภีร์ที่ผมเคยบอกท่าน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย คือน้ำพระทัยพระเจ้า วางแผนทั้งหมด เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น พระประสงค์ของพระเจ้ารวมกัน ก็คือยอห์น 3:16

          ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

นี่คือหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ให้มาตายที่ไม้กางเขน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ผู้นั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระองค์ เป็นผู้เดียวเท่านั้น ให้มายอมตาย สละชีวิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก รอดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่ทรงประทานมาให้ เพื่อเขาจะได้รับการอภัยจากการลงโทษ เนื่องจากความบาป เขาจะได้กลับมาหาพระเจ้า กลับมาสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในพระบุตร คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้ชื่อว่ากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เหมือนที่เรานั่งอยู่ที่นี่  ที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ อย่างที่พระเยซูบอก

สังเกตให้ดีๆ ที่พระเยซูบอกว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าอาจารย์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จอมเจ้านายเจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”

คนที่ติดตามพระเยซู และเรียกพระเยซูว่า “เจ้านาย อาจารย์ พระองค์เจ้าข้า” ก็คืออาจารย์นั่นแหละ เพราะเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ คิดว่าเขาเชื่อพระเยซูไหม? คิดว่าเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ คงไม่ติดตามพระเยซูไป แล้วไม่เรียกพระเยซูว่าอาจารย์ ซึ่งบางคนอาจจะเชื่อ เพราะเพิ่งได้เห็นการอัศจรรย์ พระเยซูรักษาคนตาบอดให้หาย จึงเรียกพระเยซูว่าอาจารย์ นี่ใช่แน่เลย พระเจ้าส่งคนนี้มาช่วยแน่ บางคนอาจจะเชื่อแบบ อย่างน้อยเชื่อเขาไว้ดีกว่า เพราะว่าเขาพูดมีสิทธิอำนาจมากกว่าคนอื่น แล้วเขาทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น เพราะฉะนั้น เชื่อเผื่อเลือกไว้ดีกว่า เผื่อว่าอันที่เราเชื่ออยู่นั้น มันไม่จริง มาเชื่อพระเยซูอีกคน เพิ่มเติม เขาเชื่อศาสนายิว เขาก็บวกพระเยซูไปอีก

ซึ่งตรงนี้ พระเยซูกำลังแยกแยะให้เราเห็นว่าไม่ใช่ว่าความเชื่อของทุกคน จะเป็นความเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อตามน้ำพระทัยพระเจ้า ถูกไหม? ความเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำให้มนุษย์ได้รับความรอด และเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ได้ คือรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ตามหนังสือโรม 10:9-10 บันทึกเอาไว้ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานมาให้มนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูที่พระเจ้าประทานให้ เป็นขึ้นจากความตาย คนนั้นถึงจะได้รับความรอด เห็นไหม? พระองค์แยกแยะ ซึ่งจริงๆ แล้วในหนังสือโรม 10:9-10 ได้บ่งบอกให้เราได้เห็นชัดเจน ซึ่งเราเคยฟังกันอยู่บ่อยๆ ได้อ่านกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมว่าใครก็ตามที่จะได้รับความรอด ต้องยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ

ยอมรับด้วยปาก .. ยอมรับมาจากภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า Confess แปลภาษาไทยตรงๆ ว่าสารภาพ แต่คำว่าสารภาพนี้ เราไปนึกถึงว่าเพราะคนนั้นนึกว่าตัวเองทำบาป แล้วขอสารภาพ …

“พระเจ้ายกโทษ เมื่อตะกี้ลูกไปโกรธเขา ยกโทษให้ลูกด้วย”

คนนั้นถึงจะได้รับความรอดจากบาป ไม่ใช่ คำว่า “สารภาพ” ตรงนี้ ภาษาเดิม ภาษากรีก แปลว่ายอมรับในสิงที่พระเจ้าพูด เห็นด้วยกับพระเจ้า พูดตามที่พระเจ้าบอก พระเจ้าบอกว่า …

“เราประทานพระเยซู ซึ่งเป็นบุตรของเรา เราให้มาช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป”

เราสารภาพ แปลว่าเรายอมรับ เราก็พูดตามพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป อย่างนี้ เรียกว่าสารภาพของจริง ของแท้ ไม่ใช่คำว่า “สารภาพ” คือเมื่อวานนี้ไปตีหัวชาวบ้าน เมื่อวานนี้โลภ เมื่อวานนี้ไปคิดสกปรกกับเขา เพราะฉะนั้น วันนี้ คืนนี้ มาสารภาพกับพระเจ้า เพื่อจะได้รับความรอด ไม่ใช่ คนละอันกัน ท่านจะเห็นภาพชัดเจน พระเยซูกำลังสอนเรา เห็นไหม? ความล้ำลึก สารภาพออกจากปาก สารภาพตามที่พระเจ้าบอก พระเจ้าบอกพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็สารภาพว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในนี้บอกและเขาเชื่อด้วยใจ คือสารภาพไปเรื่อยๆ แล้วมันก็หล่นลงไปๆ ดิ่งลงไปในวิญญาณ พอดิ่งลงไปในวิญญาณ พูดตามพระเจ้าไปเรื่อยๆ พระเจ้าบอกว่า …

“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

คำว่า “พูดตาม” ไม่ใช่วันทั้งวัน พูดตาม แต่หมายถึงว่าสารภาพ ใช่เป็นอย่างนั้น มาโบสถ์เป็นประจำ ใช่ๆ จนกระทั่งวันไหนไม่รู้ ถ้อยคำที่เราสารภาพกับพระเจ้า เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกนั้น เชื่อตามนั้นจริง มันค่อยๆ ไหลลงไป ไหลลงไปในความคิดจิตใจของเรา ลงไปลึกที่วิญญาณของเรา  มันก็ระเบิดเปรี้ยงออกมาเป็นบิ๊กแบ็ง ที่วิทยาศาสตร์เขาบอก เป็นระเบิดอัศจรรย์ เรียกว่าเนรมิตขึ้นมาเลย เกิดระเบิดใหญ่ขึ้นมาในวิญญาณของเรา เปรี้ยง วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ จึงเกิดความเชื่อด้วยใจแล้วคราวนี้ เชื่อด้วยวิญญาณแล้วว่าคำพูดตะกี้ทั้งหมด มันเชื่อด้วยใจ มันก็ตรงกับพระคัมภีร์บอกไว้ คราวนี้พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ทั้งสองอันครบถ้วนบริบูรณ์ บังเกิดใหม่ รับความรอดนิรันดร์ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เอเมน

ท่านจะได้เข้าใจลึกซึ้งว่าความรอดมันคืออะไร? แล้วมันอยู่กับเราอย่างไร? จะอยู่ไปนานไหม?  ผู้ที่สอนเรา คือพระเยซู

คำว่า “เชื่อในพระบุตร” หรือ “เชื่อในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ความเชื่อได้หยั่งรากลึกในวิญญาณของเขาแล้ว เชื่อแบบไม่หันกลับอีกเลย เพราะมันเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ซึ่งพระเยซูได้เปรียบความเชื่อแบบการสร้างบ้านไว้บนศิลา ในมัทธิว 7:24-29

มัทธิว 7:24-29 “24 “ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และนำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือน คนฉลาด ที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น บ้านก็พังทลายลง” 28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว  ฝูงชนก็พากันเลื่อมใส ในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา”

 

ฝูงชนได้ยิน เลื่อมใส ตื่นเต้นในคำสอนของพระเยซู ในข้อ 29 บอกว่า “เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ” ทำไมเขามีความรู้สึกอย่างนั้น  เขามองดู ไม่เหมือนธรรมาจารย์คนก่อนๆ ที่เคยสอนเรื่องพระเจ้า คนนี้เป็นใคร? เป็นช่างไม้ ชื่อเยซู แล้วทำไมเขาสอน สายตาที่เขาแสดงออก เสียงที่เขาพูดออกมา ทำไมความเชื่อมันล้นไปหมดเลย มันใช่เลย  ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่รู้ว่าคนนี้มีอะไรบางอย่าง มีสิทธิอำนาจ แปลว่าอย่างนั้น ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมแตกต่างจากธรรมาจารย์เหล่านั้น ต่างกันอย่างไร? ง่ายนิดเดียว

นี่ไม่ได้เลียนแบบ นี่เป็นตัวจริง เสียงจริง ธรรมาจารย์ฟาริสีแต่ก่อนนั้น เป็นเหมือนตัวแทนของพระเจ้า มาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง ตอนนี้พระเยซูเป็นพระเจ้า … พระเจ้ามาพูดเอง เป็นตัวฉันเอง

เพราะฉะนั้น ท่านแน่ใจเลยนะคำพูดต้องเน้น ย้ำ มันชัด เพราะเป็นตัวเขาเองเป็นคนพูด เพราะฉะนั้นคนฟังก็จะรับได้ พูดเรื่องพระเจ้าแปลกกว่าคนอื่นมากเลย ก็พระองค์พูดเอง นี่แหละคือสิ่งหนึ่ง สามารถสังเกตได้ การสร้างบ้านบนศิลา ก็คือการวางรากฐานของความเชื่อไว้ที่ศิลา ก็คือพระเยซู ซึ่งบอกมาตั้งแต่ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมแล้ว พระเยซู คือ The rock พระเยซูคือศิลา

การวางรากฐานของความเชื่อไว้ที่ศิลา ก็คือไว้ที่พระเยซูคริสต์ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ได้รับความรอดนิรันดร์ ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา ลมพัดกระหน่ำ แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากที่แข็งแกร่งอยู่บนศิลา คือชีวิตของคนๆ นั้น อยู่แข็งแกร่งได้ เมื่อวันที่มีการทดสอบความเชื่อ วันที่ฝนตก พายุกระหน่ำอย่างแรง เป็นการทดสอบว่าบ้านนั้น แข็งแรงจริงไหม? ในชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ฝนกระหน่ำ พายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง มารมาฟ้องเราทุกวัน มารมีหน้าที่ฟ้องมนุษย์  ฟ้องคนนั้นแหละ

“เธอทำบาป เธอเป็นคนบาป เธอเป็นคนไม่ดี เธอตกนรกแน่ เธออย่างโน้น เธออย่างนี้”

แล้วความเชื่อเรามั่นคงไหม? ที่จะตอบว่า …

“ไม่ ฉันได้รีบความรอดนิรันดร์แล้ว ฉันเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ฉันได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์แล้ว ตรงนี้หมายถึงสร้างชีวิตเราบนความเชื่อ บนศิลา มันแปลว่าอย่างนั้น แต่ถ้ามารบอก …

“แกเป็นคนบาป แย่แล้ว ตกนรกแน่”

เราบอก “ไม่หรอก ฉันทำดีตั้งเยอะ ฉันไม่เป็นหรอก”

นั่นแหละ วันหนึ่ง เมื่อมีพายุเข้ามา แรงขึ้นๆ ท่านจะอยู่ไม่ได้ ท่านก็จะ …

“ไม่ได้รับความรอดแน่ ฉันทำไม่พอ ฉันต้องทำเพิ่มอีก ฉันต้องทำความดีเพิ่มอีกๆ”

ซึ่งมันไม่มีวันพอหรอก มันไม่มีวันหมด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างไป เมื่อวันพิพากษามาถึง ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย ถ้าเรามีรากฐานแห่งความเชื่ออยู่ที่พระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับความรอดนิรันดร์ เมื่อถึงวันพิพากษา พระเยซูบอกว่ามนุษย์ทุกคน ทุกวิญญาณจะต้องมายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะถามง่ายๆ ว่า …

“ใครบาป ใครไม่บาป”

แน่นอนทีเดียว พวกเราที่เชื่อในพระเยซูแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราพูดโดยธรรมชาติเราเอง เราไม่ได้เสแสร้ง พูดเร็วมากเลย  ถามปุ๊บ ตอบปั๊บเลย

“บาปหรือเปล่า?”

“ไม่บาป”

“ไปสวรรค์หรือเปล่า?”

“ไปสวรรค์”

“สะอาดหมดจดหรือยัง?”

“สะอาดหมดจดแล้ว”

เพราะอะไร? เพราะเราเชื่อในพระเยซูแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณเราใหม่เอี่ยมไปแล้ว บาปคืออะไร? ไม่รู้เรื่องเลย  แต่อีกฝั่งหนึ่งจะแกล้งพูดได้ไหม?

“เชื่อพระเยซู” มันไม่มีทาง เพราะว่าวิญญาณมันดำมืด สกปรก

นี่แหละคือที่พระเยซูสอน อุปมาเพียงนิดเดียว แต่ความหมายลึกซึ้งมาก ผมถึงบอกว่าให้ใช้เวลาสักนิดหนึ่ง ในเรื่องของซีรี่ส์นี้ อุปมาคำสอนของพระเยซู ซึ่งมีเยอะแยะจะค่อยๆ ทยอยเอามาเรียนรู้ มาเจาะทะลุความหมายอันลึกซึ้งนี้ด้วยกัน แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ ขอไปเรื่อยๆ แสวงหาไปเรื่อยๆ แล้วท่านก็จะรู้ลึกซึ้งไปด้วยกัน แต่ถ้าเราวางรากฐานอยู่บนความเชื่ออื่น วางรากฐานอยู่บนการกระทำของตัวเอง พึ่งในตัวเอง เย่อหยิ่ง ดื้อ ไม่ฟังพระเจ้า  เราจะต้องกระทำดีด้วยตนเองสิ ขณะที่พูดอย่างนี้ คือกำลังเย่อหยิ่ง กำลังดื้อกับพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าบอกเชื่อในพระเยซู

“แกทำด้วยตัวเองไม่ได้ แกไม่รอดหรอก แกอ่อนแอ”

เราบอก “ไม่ ฉันจะทำด้วยตัวเอง”

พระเจ้าบอก “เชื่อในพระเยซู พระเยซูมาช่วย”

“ไม่เอา ฉันไม่เอาพระเยซู ฉันจะช่วยตัวเอง”

ตรงนี้แหละคือความเย่อหยิ่ง ตรงนี้แหละความดื้อด้าน ก็จะเป็นเหมือนในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ที่เราอ่าน พระเยซูบอกก็จะเป็นเหมือนกับคนโง่ที่สร้างบ้านบนทราย เมื่อฝนตก น้ำท่วม บ้านก็พังทลายลง เมื่อถึงวันพิพากษา ก็ต้องอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับสวรรค์นั่นเอง

พระเยซูกำลังเน้นย้ำให้เราเห็นภาพและเข้าใจว่าความเชื่อที่แท้จริง ที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร?  ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าไม่ใช่ว่าทุกคนพูดว่าเชื่อพระองค์ จะได้รับความรอดหมด  ไม่ใช่ทุกคนพูดง่ายๆ ว่า …

“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันได้รับความรอดแน่นอน”

No  ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในจิตใจของเขานั้น  มันเป็นอย่างไร? ไม่ใช่อยู่ที่ปากพูด พูดๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามีใครรู้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่รู้ กับพวกเรา รวมทั้งตัวเราเอง และคนข้างเคียง ถ้าเผื่อเข้าใจและสนิทกับคนๆ นั้น สามารถจะเห็นรางๆ แต่ไม่แน่ใจ ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นรางๆ ได้ว่าอย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านเห็นบ่อยๆ ว่าสามารถตรวจสอบตัวเองได้นิดหนึ่งว่าเราได้รับความรอดจริง ถ้าเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์จริงๆ เราจะไม่ไปปฏิบัติ พิธีอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับกิจการที่เกิดขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิญญาณเด็ดขาด อย่างเช่นไปทำบุญทำทาน เพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เราจะไม่ทำเลย เพราะเรารู้ว่าเราได้ดี เพราะเราเชื่อในพระเยซู ไม่ใช่ตัวเราเอง ไม่ใช่ผมพูด เพื่อจะมาต่อต้านกับการกระทำดี ไม่ใช่นะ คนละเรื่องกัน การกระทำดี ต้องทำอยู่แล้ว และดีอยู่แล้วด้วย พระเจ้าเป็นความดี และเราเป็นลูกพระเจ้า เราเป็นลูกแห่งความดี และเป็นความดีที่อยู่ในตัวเอง เราทำดี เพราะธรรมชาติของเราอยู่แล้ว เราเป็นปลาที่อยู่ในน้ำ เราว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว ไม่ได้มาพูดให้เรามาอยู่บนบก ไม่ใช่ แต่กำลังจะบอกท่านว่าเราสามารถเช็คตัวเองได้ว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงไหม? เมื่อถึงวันพายุพัด มารมาฟ้องเรา เราตอบมารได้ชัดเจน หรือทันทีไหม? หรือเราคิด ก็ไม่แน่ใจ รับความรอดจริงหรือ?

“รับความรอดได้อย่างไร เมื่อวานนี้ ยังไปทะเลาะกับเขาอยู่เลย” เออ! จริง

เอาอีกหลายอัน วันก่อน ก็ทะเลาะกัน ลืมสารภาพบาปกับพระเจ้า เราคิดอย่างนี้ไหม? หรือเราสบายมากเลย หลับ หรือตอนไหนก็ตาม หรือแม้แต่ตะกี้นี้ ขับรถมา รถตัดหน้า ด่าเขาเสียๆ หายๆ มันหงุดหงิด โกรธมากเลย ขับรถไม่มีมารยาท มาละเมิดสิทธิ์เราอะไรแบบนี้ เสร็จแล้วเราก็ลืมไปแล้ว เราก็ยังคงอยู่ที่ความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนเดิมหรือเปล่า? หรือเรากลุ้มใจตลอดมา เราตกนรกไปตั้งนานแล้ว เดี๋ยวต้องรอให้เงียบๆ ให้นิ่งๆ ก่อน แล้วสารภาพบาป จะได้ฉลองใหม่อีกทีหนึ่ง อย่างนั้นหรือ?  ท่านลองไปคิดเอง ก็แล้วกัน อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวท่านกับพระเจ้าว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ท่านลองไปเช็คดู

คำสอนของพระเยซูส่วนใหญ่ พระองค์จะสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบทั้งสิ้น เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมต้องสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบ ทำไมไม่สอนง่ายๆ ตรงๆ สาวกสมัยนั้น ต้องไปถามพระเยซูอีกทีว่า …

“พระองค์เมื่อตะกี้นี้พูดแปลว่าอะไร?”

พระองค์ต้องมาอธิบายอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่รู้หรอก แต่วันหนึ่ง เมื่อวันที่เขาบังเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณเข้ามาอยู่ในตัวเขา เขาจะเริ่ม อ๋อ! เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะดึงเอาถ้อยคำเก่าๆ ที่พระเยซูเคยพูดออกมา

“วันนั้น พระเยซูพูดเรื่องนี้”

อ๋อ! ใหญ่เลย มาจากข้างใน มันเป็นอย่างนี้ เราได้ง่ายกว่าเขา เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราฟังนิดหน่อย  ก็เข้าใจ  ชี้ให้ท่านนิดหนึ่ง ท่านก็อ๋อตลอดทางแล้ว เพราะฉะนั้น คนสมัยก่อนก็ถามพระเยซูอย่างนี้แหละ มัทธิว 13:10-17

มัทธิว 13:10-17 “10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์ และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา” 11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ 12 ผู้ใดมีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้น จนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ซึ่งเขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา 13 ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคำอุปมา คือ “แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจ 14 เป็นจริงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์ 15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู เข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย 16 แต่ตาของท่านเป็นสุข เพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุข เพราะได้ยิน 17 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมาย ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น   ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน”

 

ที่พระเยซูสอน เป็นอุปมาเหล่านี้ เรื่องอาณาจักรสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? มนุษย์จะไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสวรรค์คืออะไร? พระเยซูบอกว่าความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ให้พวกเขารู้

“พวกท่าน” คือพวกสาวกที่ยอมจำนน คือถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง ฟังพระเยซู ทั้งๆ ที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ตามตลอด เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจคงไม่เข้ามาถาม เพราะเขาอยากรู้ คนเหล่านี้ คือคนที่จะได้รับรู้ความลับของพระเจ้า เกี่ยวกับสวรรค์ ถ้าท่านอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต้องทำตัวอย่างนี้ ไม่รู้ก็เคาะต่อไป ไม่รู้ ก็หาต่อไป ไม่รู้ แล้วทำอย่างไรต่อ

“เปิดตาลูกทีๆ” เดี๋ยวก็จะค่อยๆ รู้ขึ้นมาเอง

ต่อไปว่า “แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้” พวกเขา คือพวกที่ไม่ถ่อม ไม่ยอมรับ แต่ดื้อ เย่อหยิ่งจองหอง จะไปรู้ได้อย่างไร? นี่เรื่องธรรมดา ไม่มีวันที่จะรู้เรื่องอะไรเลย ฟัง

“นี่เป็นใคร เป็นช่างไม้ เราก็รู้ตั้งเยอะแล้ว เราเป็นใคร? เราเรียนพระคัมภีร์เดิมตั้งเยอะแยะ เราจำได้หมดแล้ว”

เปาโลก็เป็นหนึ่งคนในสมัยนั้น “เราลูกศิษย์กามาลีเอล เราเรียนตั้งเยอะแยะ แล้วนี่เป็นใคร?  แค่เด็กๆ อายุ 30 ปีเศษๆ อาจจะ 31 มาสอนเรื่องพระเจ้า ทำเป็นแน่ จับมาสอบสวนหน่อย”

นี่แหละคือคนเหล่านั้น ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นความจริงอะไรเลย เพราะเขาดื้อ เย่อหยิ่งจองหอง ในข้อ 15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหู เปิดตา คือตาและหูทางวิญญาณ ไม่รับ มันก็ไม่มีทาง ถ้าเขาหันกลับมา ถ้าเขายอมที่จะเปิดหูฝ่ายวิญญาณ และตายฝ่ายวิญญาณ ฟังที่เราพูด …

“เราจะรักษาพวกเขาให้หาย”

ในพระคัมภีร์เขียนไว้ ถามว่าหายจากอะไร? หายจากบาป เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ พวกนั้นก็คิดในใจ แน่จริงทำไมไม่รักษาคนนี้ให้หาย เพราะรักษาให้หายแล้ว รักษาให้หายหมด พระเยซูไปโรงพยาบาลเลยสิ เขาก็คิดอย่างนี้ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องวิญญาณเลย ความเย่อหยิ่ง ทำให้คนเราปิดความจริงทั้งหมด อันนี้เอามาใช้ได้ในวิชาอื่นๆ ด้วย ในชีวิต ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง อวดดี เราจะไม่ได้รับอะไรเลย แต่ถ้าเรายอมถ่อมใจ ตั้งใจ น้อมใจฟังบ้าง มันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพระเจ้ามาก ถึงมากที่สุด

ในนี้บอกว่า “ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน”

หมายถึงในอดีต อย่างที่ตะกี้นี้ผมพูดผู้เผยพระวจนะ ก็คือตัวแทนพระเจ้าในอดีต ผู้ที่ศึกษาพระเจ้าในอดีต เขาศึกษาในพระคัมภีร์เดิม เขาอยากจะเห็นพระเจ้ามาก เขาอยากจะรู้ว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของเขา ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่หน้าแรกของปฐมกาล อยากได้ยินเสียงของคนนั้นเลยว่าเป็นใคร? เขาอยากจะเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้เห็น แต่พวกท่านเห็น พวกท่านได้ยินเลย พระมาซีฮาห์พูดเอง พระเจ้าพูดเอง เห็นไหม? ต้องถ่อมใจขนาดไหน ถึงจะรับเรื่องนี้ได้ว่าไม่ได้มาฟังคนบ้าพูดเรื่องสวรรค์ มันต้องอยู่ที่ใจเขาจริงๆ วิญญาณเขาจริงๆ

พระเยซูกำลังอธิบายว่าพระเจ้าทรงทราบดีว่าท่ามกลางชนชาติยิวนั้น มีคนเย่อหยิ่งอยู่มากมาย  เพราะเขานึกว่าเขาเป็นชนชั้นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เพราะเป็นคนที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า มีเส้นใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่มีเส้นเลย เขาคิดอย่างนี้ เขาเลยเย่อหยิ่งไง แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น พระเจ้าเลือกชาวอิสราเอลมา เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ทั้งหมดนั่นเอง ไม่ใช่เลือกมาเพื่อให้เป็นชนชั้นพิเศษ รักมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เท่ากัน แต่เลือกมาเป็นชนกลุ่มแรก เพื่อจะมาใช้งาน พูดง่ายๆ เป็นตัวแทน เพื่อให้พระเยซูคริสต์มาเกิด เพื่อให้แผนการของพระองค์ ในการช่วยมนุษย์ทั้งหมด  ทั้งโลกให้ได้รับความรอดจากบาป มันสำเร็จ แต่เขากลับนึกว่าเราชนชาติพิเศษ ก็เลยเกิดความเย่อหยิ่ง ทำให้เกิดจิตใจที่ดื้อด้าน ไม่เปิดหู เปิดตา พระมาซีฮาห์มาแล้ว พระเมสโปดกมาแล้ว พระผู้ช่วยให้รอดมายืนต่อหน้า พูดให้เขาฟังแล้ว ไม่เชื่อไม่พอ ยังจับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขนอีก

การที่มาเปิดใจยอมรับพระเยซู และเข้าใจในคำสอนของพระองค์ ต้องอาศัยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือถ่อมใจ  ที่เรามาถึงความรอดทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเราถ่อมใจ และจากนี้ต่อไป ถ้าเราอยากเจริญเติบโตในวิญญาณต่อไป รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราต้องถ่อมใจ อยากได้พระพรมากขึ้น ต้องถ่อมใจ สวรรค์เป็นของเราแล้ว แต่การดำเนินชีวิต เราต้องถ่อมใจ เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ถ่อมใจ คำว่า “ถ่อมใจ”หมายถึงการยอมรับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ เพราะเราเป็นมนุษย์  แต่เราเชื่อฟัง  พระเจ้าสอนเราในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? แล้วเราใช้ความเชื่อเอา ตรงนี้แหละเขาเรียกว่าถ่อมใจ ตั้งใจฟังและปฏิบัติตาม

ปฏิบัติตาม หมายถึงพระเจ้าบอกให้เชื่อพระเยซู เราเชื่อ พระเจ้าบอกพระเยซูเอาบาปออกไปหมดแล้ว เชื่อ มันหมายถึงอย่างนั้น  พระเจ้าบอกเราช่วยตัวเองไม่ได้เลย ไม่มีทางพึ่งตัวเองได้เลย ต้องเชื่อพระเยซู 100% เชื่อตามนั้น นั่นคือปฏิบัติตาม ไม่ใช่ปฏิบัติตาม คือไปอดอาหารเหมือนพระเยซู ไม่ใช่อย่างนั้น คนละอันกัน แต่คนที่เย่อหยิ่งมักจะตรงกันข้ามกับพระเจ้า คือพึ่งตัวเอง ไม่เปิดใจรับฟัง ก็จะยิ่งห่างจากความจริง ในถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คือไม่ยอมรับฟัง ไม่เปิดใจรับฟัง แถมเถียงพระเจ้าอีก พระเจ้าบอกมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ เราต้องพึ่งพระเยซูอย่างเดียว เราไม่มีทางทำดี แล้วจะได้รับความรอด อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ พูดอย่างนั้นอีก มันเหมือนพูดแล้ว จะทำให้เข้าใจแบบมนุษย์ มันไม่มีทางเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย สำหรับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้า มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ และก็เป็นคนบาป ไม่มีทางที่จะไปเทียบพระเจ้าได้ แล้วความคิด วิถีทางของพระเจ้า ก็ไม่ใช่ทางของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเทียบกันได้เลย เราต้องถ่อมใจอย่างเดียว  และใช้ความเชื่ออย่างเดียว

ทำไมเราถึงมาเรียนเรื่องคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้นทางเดียว คือทางที่จะไปหาพระบิดา ทางที่จะไปสวรรค์ ทางที่จะรอดจากนรก ทางที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้าได้นั่นเอง พระองค์เป็นทางเดียว เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้ถ้อยคำที่พระเยซูคริสต์สอน ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำตรงไหนก็ตามที่เป็นคำอุปมา อาจจะไม่ค่อยเข้าใจตอนนี้ แต่เดี๋ยวเราจะเข้าใจมากขึ้น เพราะคำอุปมานั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ทางที่จะไปหาพระเจ้าทั้งสิ้น

และการจะฟังเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ให้มากที่สุด จะต้องถ่อมใจ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ฟังซีรี่ส์นี้ ก็จะต้องถ่อมใจ เปิดใจรับฟัง และต้องพยายามตั้งใจด้วย  ตั้งใจไม่สำคัญเท่ากับถ่อมใจ ตั้งใจไม่ใช่พูดไปตามประสาของครูที่สอนบอก ตั้งใจฟังนะ มนุษย์เราอ่อนแอ ตั้งใจที่สุด ทำอย่างไร? ก็มันง่วงอีกแล้ว ตั้งใจที่สุดทำอย่างไร? ก็นั่งมาตั้งแต่ 10 โมงแล้ว บางคนมา 10.30 ปวดฉี่แล้ว ออกไปฉี่ กำลังฟังสนุกๆ นี่แหละคือความอ่อนแอของมนุษย์ เดี๋ยวต้องฉี่ เดี๋ยวปวดท้อง เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวกินข้าว เดี๋ยวง่วงนอน จริงๆ ตั้งใจไหม? ตั้งใจ แต่มันได้แค่นี้ แต่ถ่อมใจทำได้ไหม? ถ่อมใจมีอุปสรรคไหม? ไม่มีเลย หลับไป ก็หลับด้วยความถ่อมใจ อยากตั้งใจฟัง แต่ร่างกายมันทนไม่ไหว หลับ

พระเยซูอยู่ที่สวนเกเสมนี มาเจอสาวกบอก …

“สาวกเดี๋ยวอธิษฐานกับเราหน่อย”

สาวกบอก “แน่นอนๆ อาจารย์ เราอยู่ เราไม่ทิ้งท่านอยู่แล้วล่ะ อธิษฐาน”

พอไปแป๊บหนึ่ง กลับมาถึง สาวกหลับสบาย พระเยซูพูดว่าอย่างไร? …

“จิตวิญญาณมันพร้อม แต่ร่างกายมันอ่อนแอ”

แล้วทำอย่างไร? พระเยซูปลุกเขาขึ้นมาไหม? ไม่ปลุก

คำสอนของพระเยซูเป็นอุปมาหมดเลย ในพระคัมภีร์ ซึ่งอย่างที่บอกว่าจะเป็นเรื่องของสวรรค์และการบังเกิดใหม่ของมนุษย์ (บังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ชาวอิสราเอลในสมัยนั้น ชื่อนิโคเดมัส เป็นอาจารย์ระดับสูง แอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน

“อาจารย์ ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ มันแปลว่าอะไร? มนุษย์ต้องมุดเข้าไปในมดลูกของผู้หญิงอีกครั้งหนึ่งเหรอ”

ท่านลองคิดดูสิ แสดงว่าเขาเชื่อจริงๆ เขากล้ามาถามอย่างนี้ ตกลงบังเกิดใหม่ในวิญญาณ คืออะไร? ไม่รู้ แต่วันนี้จะเริ่มรู้แล้ว พระเยซูจะเริ่มสอน เราจะมาเริ่มอุปมาคำสอนของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว 9:14-15

มัทธิว 9:14-15 “14 ฝ่ายสาวกของยอห์นมาทูลถามพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์กับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ ไม่ถืออดอาหาร” 15 พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร”

 

เอเมน เพราะเราเชื่อว่าพระเจ้าพูดอย่างนี้ เราถ่อมใจ เราก็เอเมนไว้ก่อน แต่รู้เรื่องไหม? ไม่รู้ สาวกของยอห์นมาทูลถามพระเยซูว่า …

“พวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ไม่ถืออดอาหาร”

ความหมายตรงนี้ ต้องอธิบายที่มาก่อนว่าประเพณีของศาสนายิวในสมัยนั้น เขาถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ทางศาสนา ที่จะมีช่วงกำหนดเวลาที่ชาวยิวทุกคนจะถืออดอาหาร แต่ละปี แต่ละช่วง เพื่อเป็นการสำนึกบาปของตนเอง เขาเรียกว่าสารภาพบาป คนละอันกับที่ผมอธิบายไปตอนต้น เพื่อสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป พระเจ้าสั่งไว้ รวมทั้งเป็นการอธิษฐานอ้อนวอน ทูลขอพระเมตตา จากพระเจ้าในเรื่องอื่นๆ ด้วย คือเน้นเรื่องใหญ่ อดอาหาร เพื่อให้รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป นี่พระเจ้ายอดเยี่ยมขนาดไหน? วางแผนการตั้งแต่โน้นเลย เตือนมนุษย์ตลอด

“เธอเป็นคนบาปนะ”

เพราะฉะนั้น เมื่อพวกชาวยิวกับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่สาวกของพระเยซูไม่ได้ทำ สาวกยอห์นก็เลยเข้ามาถามว่าทำไมสาวกของพระเยซู ไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติศาสนายิว ขณะนั้น แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไรครับ?

“จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร? สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร”  เอเมน

เข้าใจไหม? รู้เรื่องไหม? ไม่รู้ จะไปรู้ได้อย่างไร? ตอบอย่างนี้ คือตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวแล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเทศกาลถืออดอาหาร ตอนนั้นนะ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่าถ้าหากมีการเฉลิมฉลองอะไรตอนนั้น ก็สามารถหยุดพักการอดอาหารไว้ก่อนได้ เช่น ถ้าใครมีงานแต่งงานตอนนั้น พิธีอดอาหาร ก็สามารถที่จะยกเว้นไม่ทำได้ พระเยซูจึงตอบไปว่า …

“ทำไมจะต้องอดอาหาร ก็ในเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่เลย”

ทุกคนก็คิด “งานอะไร?”

การฉลองงานแต่งงานยังไม่เลิกเลย  จะให้แขกมาอดอาหาร ทำตัวเศร้าโศกต่อหน้าเจ้าบ่าวได้อย่างไร? พระคัมภีร์จะเปรียบพระเยซูเป็นเหมือนเจ้าบ่าว และมนุษย์ทุกคน คริสตจักรเป็นเจ้าสาว ที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต พระเยซูกำลังบอกว่า …

“ฉันเป็นเจ้าบ่าวยังอยู่เลย กำลังจะฉลองงานแต่งงานแล้ว จะไปอดอาหารทำไม?”

ดูสิ พระเยซูกำลังพาเราไปไหน? “สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป จากเขา”

“เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป” เจ้าบ่าว คือพระเยซู สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วเขาจะอดอาหาร พอนึกออกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าผู้ที่ติดตามพระองค์ ยังไม่ต้องโศกเศร้าตอนนี้ ยังไม่ต้องอดอาหารตอนนี้ เพราะพระองค์ยังอยู่ด้วย  เดินอยู่กับเขาตอนนี้ แต่จะมีเวลาที่พระองค์จะไม่อยู่ด้วย คือถูกเขานำตัวไป เมื่อถึงเวลานั้น คนที่ติดตามพระองค์ คือพวกสาวกทั้งหลาย ก็จะเศร้าโศกเสียใจ ถึงตอนนั้น พวกเขา สาวกเหล่านี้จะอดอาหารเอง เห็นหรือยังพระเยซูกำลังพูดถึงอะไร?

ในพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงการปฏิบัติศาสนกิจของฟาริสี บางพวกว่าเป็นเพียงการกระทำ เพื่อโอ้อวด คือไปยืนตามศาลา ให้คนทั่วไปมองเห็น แล้วเขาทำตัวโทรมๆ ทำตัวสกปรก เพื่อให้คนมองว่าตนเองเคร่งศาสนา ไม่ได้เป็นการถ่อมใจอย่างแท้จริง แต่พระเยซูบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า สาวกของพระองค์จะอดอาหารอย่างจริงๆ เป็นการอดอาหารด้วยความทุกข์โศก อย่างแท้จริงเลย ไม่ใช่เป็นการทำ เพื่อโอ้อวด แบบฟาริสี ตรงนี้พระเยซูกำลังหมายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ที่สวนเกทเสมนี แล้วถูกจับไปในคืนวันนั้น ถูกนำตัวไปจากเขา คือสาวกที่เดินกับพระองค์ พระเยซูถูกจับไป แค่นั้นไม่พอ รุ่งขึ้นถูกตรึง ทุกคนตกใจ วิ่งหนีกันไปบ้าง? เศร้าโศกหนักเลย

“อาจารย์อยู่ไหน? พระเยซูที่เราเชื่อ ตกลงเป็นพระเจ้าจริงหรือ? แล้วทำไมถึงแพ้เขาล่ะ”

แล้วท่านลองคิดดู ตายไป เห็นต่อหน้าต่อตา 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ แต่ไม่ใช่เห็นเป็นขึ้นมาใหม่ทุกคน อยู่กับสาวก 40 วัน ไปอีกแล้ว ไปหาพระบิดา บอกว่า …

“พวกเธอไปไม่ได้หรอก ฉันไปคนเดียว”

ตกใจเหมือนกัน อดอาหารอธิษฐาน แล้วพระองค์บอกว่า “เดี๋ยวจะกลับมาใหม่” เดี๋ยวของพระองค์เมื่อไร? ไม่ได้บอก อาจจะอีก 10 ปี 20 ปี อีก 100 ปีหรือเปล่า? ฉันตายไป จะกลับมาหรือเปล่าไม่รู้เลย พวกเขาต้องถ่อมใจเชื่อฟัง และใช้ความเชื่อในคำสั่ง ไปรออยู่ชั้นบน อดอาหารอธิษฐาน ไม่ได้บอกว่ากี่วัน? แต่สุดท้ายเขาเขียนว่าเขาอดอาหารอธิษฐานอยู่ 10 วัน วันที่ 10 พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วยกับเขา ตกใจเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ลงมาคราวนี้มาติดสนิทอยู่กับเขาเลย มาเป็นพระเจ้าของเขา มาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับมนุษย์เลย นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนเห็นไหม?

คนสมัยนั้น เขาจะเข้าใจมากกว่าเรา เพราะเขารู้จักประเพณี ซึ่งเป็นประเพณีล้วนๆ ของชาวยิว และศาสนายิว คือศาสนายูดาโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น พอพระเยซูพูดสิ่งเหล่านี้  เขาจะรู้หมดเลย แต่พวกเราต้องไปศึกษาเบื้องหลัง เราจึงจะเข้าใจว่าพระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? พระองค์กำลังพูดถึงเรื่องว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ ในขณะที่พระเยซูกำลังพูดอยู่กับเหล่าสาวกนั้น พระองค์ได้เล็งไปถึงการถูกตรึงบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเตรียมมนุษย์ทุกคนที่สกปรก เนื่องจากบาป มนุษย์ทุกคนที่ยังอยู่ในอำนาจของความบาปและความตาย เตรียมให้พวกเขาเหล่านั้นมาสู่ความบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ โดยการไถ่เขาที่ไม้กางเขน ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะได้สามารถมาสถิตอยู่ในตัวของมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นมาไม่ได้ เพราะพระเจ้าพระบิดาเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ได้ถูกชำระให้สะอาดหมดจด พระเจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเยซูไปเตรียมทางนี่แหละ คือทางนั้น ทางที่พระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับมนุษย์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่มนุษย์จะต้องถูกชำระให้หลุดออกจากอำนาจของความบาป ต้องไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เพราะคนบาปเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาต้องเป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระเยซูจึงต้องมาตายที่ไม้กางเขน

เห็นไหม? เรื่องเดียวกัน อุปมานิดเดียว หมายถึงเรื่องนี้แหละ ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับความยุติธรรม หรือความเมตตา หรือความโหดร้ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องของกฎ ที่บอกว่าความสะอาดบริสุทธิ์เข้ากับความบาปและความสกปรกไม่ได้ มันไม่ได้เกี่ยวกัน มันเป็นกฎ เป็นธรรมชาติว่าบาป แปลว่าศัตรู แปลว่าอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เข้ากัน เสียหาย

เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างว่าไฟฟ้าแรงสูง เข้ากับสิ่งมีชีวิตไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ถ้าสิ่งมีชีวิตเข้าไปแตะต้องโดนไฟฟ้าแรงสูง ทั้งคนหรือสัตว์นั้น จะตาย มนุษย์จับไฟฟ้าแรงสูง ตาย แสดงว่าไฟฟ้าแรงสูง โหดร้ายมากนะ แล้วคนที่ไปจับนั้น เป็นคนดีด้วย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ

ในพระคัมภีร์เดิม ก็มีเงาของตัวอย่างอย่างนี้ ซึ่งผมเคยอ่านเจอ และเอามายกตัวอย่าง ในหนังสือ 2 ซามูเอล  นี่คือตัวอย่างของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับความบาปของมนุษย์ได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังบาปอยู่ พระเจ้าต้องอยู่ห่างๆ หรือไม่มนุษย์ก็ต้องอยู่ห่างๆ ถ้าแตะเมื่อไร? มนุษย์ตาย เสียหายใหญ่โต

2 ซามูเอล 6:1-7 ก่อนที่จะอ่าน ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องหีบพันธสัญญาของพระเจ้า สมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าให้สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมา เพื่อจะได้เห็น ได้ว่านี่คือการทรงสถิตของพระเจ้า

เวลาพูดถึงการทรงสถิตของพระเจ้าเฉยๆ คนอิสราเอล มนุษย์ทุกคนก็ยังงง อยู่ตรงไหน? หาไม่เจอ พระเจ้าเลยเอาง่ายๆ สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมา หีบพันธสัญญานี้ แปลว่าการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นี่ ทุกคนก็โอเค พระเจ้าอยู่ที่นี่นะ อยู่ที่พลับพลาที่พระเจ้าให้ทรงสร้าง และมนุษย์ไปแตะต้องไม่ได้ เพราะว่าเหมือนไฟฟ้าแรงสูง เพราะบริสุทธิ์สะอาด มนุษย์สกปรก แตะเมื่อไร? ตายทันที เข้าไปใกล้นิดหนึ่ง ยังตายเลย เพราะฉะนั้น ต้องระวังให้ดี เหมือนกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า บอกช่างไฟฟ้าว่า …

“ระวังให้ดีนะ สายไฟฟ้าแรงสูง มันอันตรายมาก”

คล้ายๆ อย่างนั้น ท่านจะได้เห็นภาพ พระคัมภีร์เดิมก็พูดไว้อย่างนั้น นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้ามีเมตตา หรือไม่มีเมตตา ไม่เกี่ยว แต่เป็นฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันกับความสกปรก หรือความบาปได้ ต้องกระเด้งออกไปเลย พูดง่ายๆ

2 ซามูเอล 6:1-7 เป็นช่วงที่ดาวิดกับอิสราเอลทำสงครามชนะ พระเจ้าอวยพรมาก ก็เลยคิดว่าจะไปอัญเชิญหีบพันธสัญญา ซึ่งหมายถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งอยู่ที่ฟิลิสเตีย จะเอากลับมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะตอนนี้ รวมประเทศอย่างเป็นปึกแผ่นดีแล้ว ก็เลยนึกถึงว่าไปเอามา  เราไปดูนะว่าจะไปเชิญหีบพันธสัญญา เขาทำอย่างไร? เตรียมตัวมากมายเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น

2 ซามูเอล 6:1-7 “1 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้วสามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์แห่งยูดาห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ประทับระหว่างเครูบ บนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโย บุตรอาบีนาดับ เป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้า และอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอล เฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรี ด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขา ที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า”

 

พระพิโรธของพระองค์ ก็พลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ แล้วก็ประหารเขา เข้าใจแล้ว พระพิโรธของพระเจ้า ก็เหมือนไฟฟ้าแรงสูง ช่างไฟฟ้าไปแตะไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้าแรงสูงพิโรธมากเลย ฆ่าช่างไฟฟ้า ซึ่งเป็นคนดี นี่ไม่เกี่ยวกันแล้วนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องคนดีหรือไม่ดีถูกไหม? ความรู้ ความพลาด และธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ จะเห็นว่าอุสซาห์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ในสายตาของมนุษย์ ตั้งใจดีด้วยซ้ำ ที่จะไปช่วยพยุงหรือค้ำ เพราะจะล้ม เหมือนหวังดี แต่กฎก็คือกฎ เหมือนเสาไฟฟ้าแรงสูง ฝนตกมา พายุพัดมา เสาไฟฟ้าเริ่มหักโค่น คนนี้ดีมากเลย รถไปไม่ได้ อุตส่าห์จอดรถ ลงรถมา เพื่อที่จะไปยกเอาเสาไฟฟ้าออกไป คนอื่นจะได้ไปมาได้ ปรารถนาดีไหม? ดี เป็นคนดีมาก เห็นแก่ส่วนรวมด้วย คนอื่นเห็นแก่ตัว มาก็ไป ไม่มีใครยุ่งเลย นี่ดีมาก ก็ไปยก มือไปแตะถูกเสาไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้าแรงสูงฆ่าตายเลย

ก็คล้ายๆ กัน เสาไฟฟ้าแรงสูงฆ่าชายคนนี้

หลายครั้ง ผมพูดเรื่องนี้ไม่ได้มีโอกาสอธิบายละเอียดอีก เพื่อให้ท่านเห็นภาพว่าหลายคนชอบคิดว่า …

“พระเจ้าของเธอโหดร้าย”

“No คุณไม่เข้าใจ คุณเย่อหยิ่งไปหน่อยไหม?  ที่จะพูดอย่างนั้น คุณแน่ใจแล้วเหรอ ในเมื่อพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความสงสาร ไม่เห็นมีตรงไหนบอกเลยว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความโหดร้าย ไม่มี ถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณลองศึกษาดีไหม? อย่าคิดว่าตัวเองแน่”

อย่างนี้ตามภาษามนุษย์ ต้องบอกว่าแน่นอน ไม่ดีแน่ อย่างนี้ พระเจ้าของเธอทำได้อย่างไร? อุสซาห์เขาเป็นคนดีจะตาย อุตส่าห์มาช่วยพยุง ไปฆ่าเขา พระเจ้าไม่ช่วยเขา นี่แหละเขาเรียกว่าความคิดด้านของมนุษย์ มีแต่ความเย่อหยิ่ง ไม่ฟังพระเจ้าพูดว่าอะไร? และไม่เสาะหาว่ามันแปลว่าหรือคืออะไร? เราคงไม่บอกว่า …

“ไฟฟ้าแรงสูงไม่ยุติธรรม ไฟฟ้าแรงสูงโหดร้าย”

ไม่เห็นมีใครพูดเลย ทุกคนยอมรับความจริง เพราะธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น

สรุปว่าพระเจ้าไม่สามารถอยู่กับศัตรู อยู่กับความบาป อยู่กับผู้ที่ต่อต้านพระเจ้าได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด บริสุทธิ์ สะอาดที่สุด ความสกปรก แม้แต่นิดเดียว ก็อยู่กับพระองค์ไม่ได้เลย เพราะมันจะทำลายความสกปรกนั้นออกไป จบเลย มันต้องตาย พูดง่ายๆ มนุษย์แตะพระเจ้าไม่ได้ เพราะมนุษย์สกปรก ถ้ามนุษย์มีบาปแม้แต่นิดเดียว ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่คิดโกรธเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่คิดเกลียดเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่ว่าไอ้บ้า ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นี่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แค่คิดว่าจะไม่ให้อภัยเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  อยู่ในสวรรค์ไม่ได้แล้ว  นี่มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย มันเป็นธรรมชาติของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น มนุษย์จะอยู่กับพระเจ้าได้ มนุษย์ต้องสะอาด 100% เลย ไม่มีจุด แม้แต่นิดเดียว  ไม่เคยคิดสกปรกเลย ทำได้ไหม? ไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตาย ที่ไม้กางเขน  เพื่อขจัดความบาป ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เอาออกไป จากวิญญาณมนุษย์หมดเกลี้ยง หนังสือฮีบรูบอกเพียงครั้งเดียว ที่พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเอาพระโลหิตของพระองค์ไปที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของพระเจ้าในสวรรค์ ชำระบาปมนุษย์เพียงครั้งเดียวพอ หมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือ ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ติ ไร้ตำหนิใดๆ ไม่มีมลทินเลย เอเมน

ถ้าท่านเชื่อ ก็จะได้อย่างนี้ มนุษย์จึงสามารถผ่านทางพระเยซูสะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ เพื่อจะไปจับมือกับพระเยซูได้ จับมือกับพระเจ้าได้ จับมือกับพระวิญญาณได้ เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พระเจ้าจึงเสด็จมาอยู่กับมนุษย์ได้ อยู่ที่วิญญาณของเขา มนุษย์กับพระเจ้าจึงสามารถเข้ากันได้ เพราะพระเยซูมาช่วยนั่นเอง แล้วพระเยซูก็ยกอุปมาที่เขียนลึกซึ้งเยอะแยะมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 5 “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  สิงหาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 5 “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ เรามาเริ่มรับประทานอาหารทางฝ่ายวิญญาณกันเลย เพราะเราคงหิวกระหาย สัปดาห์หนึ่ง มีอยู่ครั้งเดียวเอง ความจริงควรจะไปฟังทบทวนบ่อยๆ ในยูทูป มีทุกสัปดาห์เลย ทุกช่วงด้วย

เริ่มต้น มาซีรี่ย์เดิม “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 5 ชื่อตอนว่า “ความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์”

ในการบรรยายเรื่องนี้ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราอ้างอิงถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือฮีบรูมา 4 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 ซึ่งเป็นจดหมายฝากชาวฮีบรู หรือชาวยิว ที่เขียนโดยอัครสาวกของพระเยซูท่านหนึ่ง มีตำราเขาบอกว่าอาจจะเป็นเปาโล อาจจะเป็นคนนั้น คนนี้ แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่รู้ว่าเป็นอัครทูต เพราะว่ามีความรู้จริงทั้งสองด้าน คือทั้งพระคัมภีร์ใหม่และพระคัมภีร์เก่าด้วย เอามาเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน

จดหมายฝากถึงชาวฮีบรู หรือชาวยิวนี้ เขียนในช่วงเวลาประมาณ 30 ปี หลังจากพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งผู้เชื่อชาวยิว หรือชาวฮีบรูในสมัยนั้น  ก็จะมีการแตกแยกในเรื่องของความเชื่อกันอย่างมาก หลายคนยังติดยึดในพิธีกรรมศาสนาเดิม ศาสนายิว ติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ แล้วก็เที่ยวไปสอนคนอื่นแบบผิดๆ หรือไปจ้องจับผิดคนอื่น ก็มี เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือฮีบรู หรือหนังสือสำหรับชาวยิวนี้ จึงเป็นการเขียนมาเพื่อเตือนสติชาวยิว ชาวอิสราเอลให้กลับมาสู่แก่นแท้ของข่าวประเสริฐว่าข่าวประเสริฐ คืออะไร? เมื่อเทียบกับประเพณีเดิม และการเป็นอยู่เดิมๆ ของคนยิว (เท่านั้น) ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย นี่คือพื้นฐาน

ผู้เขียนเขากำลังบอกชาวยิว ว่าให้รู้แก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์คืออะไร? ความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นพระคุณ ไม่ใช่มาจากการกระทำของตัวท่านเอง หรือตัวเราเอง หรือคนยิวเอง เป็นความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลย ในพระเยซูคริสต์ ในหนังสือฮีบรู มีแค่นี้เอง

ชาวฮีบรู หรือชาวยิว ที่หนังสือฮีบรูเขียนไปถึง ก็เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของคนบนโลกนี้ ทุกยุคทุกสมัย ที่ตอบสนองต่อข่าวดีอย่างไร? ทุกยุคทุกสมัยก็จะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ยิว แต่ในหนังสือฮีบรูพูดถึงชาวยิว อย่างเดียว  ซึ่งมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ในพระคัมภีร์นะ มีความแตกต่างกันในการฟังถ้อยคำข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และตอบสนองไม่เหมือนกัน เราเรียนไปแล้วตรงนี้

กลุ่มที่ 1 คือผู้ที่ได้รับข่าวดีของพระเยซูแล้ว แต่ไม่เชื่อเลย คือปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูกันไปเลย เลิกกันไปเลย ซึ่งภาพ เหมือนคนที่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน คนที่จับไป ก็คือคนยิว ไม่เชื่อเลย เป็นช่างไม้เห็นๆ อยู่ แล้วมาบอกว่าเป็นลูกของพระเจ้า อย่างไรก็ไม่เชื่อ

กลุ่มที่ 2 คือผู้ที่ได้รับฟังข่าวดี เรื่องพระเยซูแล้ว เริ่มรับเชื่อ ตื่นเต้น เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เริ่มเชื่อและอยู่ในระหว่างเก็บรักษาความเชื่อ รอวันให้ความเชื่อนั้นดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดออกมาเป็นปากพูดด้วยความเชื่อ จิตใจพูดด้วยความเชื่อ หลุดออกมาจากข้างใน เหมือนหนังสือโรม บทที่ 10 บอกไว้

กลุ่มที่ 3 คือชาวยิวที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซู บางคน เริ่มฟังปุ๊บ …

“ใช่เหรอ ไม่ใช่มั้ง”

แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ยังแอบๆ มองๆ อยู่ แอบๆ ศึกษา เดินตาม แต่ยังไม่แน่ใจ บางคนดีใจเลย …

“ใช่แน่ๆ”

แล้วรักษาต่อไปๆ ไม่ว่าจะถูกอะไรข่มเหง ก็รักษาต่อไป จนกระทั่งข่าวดีหล่นลงไปในวิญญาณ บังเกิดใหม่ เกิดในวิญญาณ ไม่ใช่มุดเข้าไปในครรภ์ของมารดาใหม่ แต่เกิดในวิญญาณ จากข่าวประเสริฐนั้น หล่นลงไปในวิญญาณ เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นอิสระจากความบาป ได้รับความรอดนิรันดร์ รอดแล้วรอดเลย ในพระเยซูคริสต์ นี่คือพวกที่ 3

ถ้ามาเปรียบเทียบกับเรา แล้วเราอยู่ในพวกไหน? และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้จากคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ที่ผมนำมาเปรียบเทียบ ในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูได้สอน บรรดาเหล่าสาวก ได้เปรียบเทียบผู้คนประเภทต่างๆ ที่ตอบสนองต่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ โดยเปรียบเทียบข่าวดีนั้น เป็นเมล็ดพืช ลองอ่านทบทวนดูนะ มัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการหว่านเมล็ดพืชกับการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็จะสามารถสรุปได้อย่างนี้ว่า …

ประเภทที่ 1 เมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดผลอะไรเลย ก็เปรียบได้กับคนที่ได้ยินการประกาศแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ  แล้วยังเย่อหยิ่งอีกต่างหาก ยังไม่เกิดความเชื่อออกมาเลย ก็เปรียบเทียบว่ามาร เปรียบเหมือนนกมาฉกฉวยกินเมล็ดนั้นไปหมดเลย ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีโอกาส ไม่รู้เรื่องเลย พวกนี้เขาเรียกว่าพวกศัตรูของพระเจ้า  หรือเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า คือไม่เชื่อพระเจ้าเลย

ประเภทที่ 2 เมล็ดที่ตกตามกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นอย่างเร็ว แต่อยู่ได้ไม่นาน เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับผู้คนที่ได้ยินพระวจนะ ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่มันไม่ลึกพอ ไม่อดทนพอ คือความเชื่อยังไม่ดิ่งลงไปในใจเลย เลิกเชื่อแล้ว ไม่พยายามที่จะรักษาถ้อยคำข่าวประเสริฐนั้นไว้ จึงอยู่ได้แค่ชั่วคราว มีการข่มเหงรังแกเกิดขึ้น  เกิดการต่อต้าน  เกิดความทุกข์ลำบากบ้าง? ปัญหาบ้าง? จากความเชื่อนั้น ก็เลิกเชื่ออย่างรวดเร็ว คือเลิกเชื่อข่าวดีนี้เลย

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีแต่หนามปกคลุมไม่สามารถเกิดผลได้เลย ก็เปรียบผู้ที่ได้ยินพระวจนะ มีดินอยู่นะ ไม่ใช่ริมทาง ไม่ใช่หิน แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็ไม่ผ่านการทดสอบ การล่อลวงของโลก ระบบของโลกนี้นั่นเอง ลาภ ยศ สรรเสริญพูดง่ายๆ และการล่อลวงนี้ ทำให้เกิดความพะวักพะวน เอาอย่างไรดี จะเอาโลกนี้ หรือเอาพระเยซูดี สรุปสุดท้าย ก็เอาลาภ ยศ สรรเสริญไป เอาโลกนี้ไป ก็คือไม่เกิดผล ความเชื่อ เมล็ดข่าวดีนั้น ก็ไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ไม่เกิดออกเป็นการบังเกิดใหม่ ก็มีค่าเท่ากับไม่เชื่อ

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าแล้ว เกิดความเข้าใจมากหรือน้อยก็ตาม นิดหนึ่งก็ตาม ก็เก็บรักษาตรงนั้นไว้อย่างดีเลย แม้ว่าความเชื่อนิดเดียว เท่าเมล็ดมัสตาร์ด แต่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีเลย ไม่ทิ้งไป ไม่เข้าใจหมด ก็ค่อยๆ รักษาไป ค่อยๆ ติดตามไป ไม่เย่อหยิ่ง จนกระทั่งเมล็ดนั้น ค่อยๆ ลึกลงไป ค่อยๆ งอก จนกระทั่งบังเกิดใหม่ ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเกิดเป็นผล 100 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง 30 เท่าบ้างของที่หว่านออกไป เป็นความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ แล้วแบ่งความรอดนี้ไปให้คนอื่น บางคนก็แบ่งไปได้ 30 บางคนก็แบ่งไปได้ 60 เท่า บางคนแบ่งให้คนอื่นได้ 100 เท่า แล้วแต่พระเจ้าจะนำเขาไปใช้อย่างไร? บางคนก็เป็นต้นไม้ใหญ่ นกกามาอยู่ได้ 100 ตัว บางคนเป็นต้นไม้ใหญ่ นกกามาอยู่ได้ 20 ตัว บางคนนกกาก็มาอาศัยอยู่ได้ 50 ตัว แล้วแต่พระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่เขาหรอก พอเห็นไหม? บางคนเป็นนักประกาศใหญ่เลย ประกาศมีคนมาเชื่อ บังเกิดใหม่เยอะแยะ ก็แล้วแต่เขา ผู้ที่ทำให้เกิดผล คือพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่คนนั้น พยายามก็ไม่ได้นะ

เพราะฉะนั้น จะพยายามเป็นนักเทศน์ก็ไม่ได้ จะพยายามเป็นนักนำนมัสการ นักร้องยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะมันพิสูจน์ง่าย เพราะร้องไป มันเพี้ยนๆ แล้วจะนำนมัสการอย่างไร? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นไปตามของประทานของพระองค์ สร้างเรามาอย่างไร? ก็ไปตามนั้นแหละ เป็นแม่บ้าน ก็ประกาศแบบแม่บ้าน ถ้าไม่ได้เป็นแม่บ้าน ก็อย่าพยายามไปทำอาหาร มันก็กินไม่ได้ มันไม่อร่อย อะไรประมาณนี้นะ

กลับมาที่ชาวฮีบรู ตามหนังสือฮีบรูที่เราได้เรียนกัน ที่บอกว่าชาวฮีบรูมีอยู่ 3 กลุ่ม เหมือนกันไหม?

กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่ปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่เอาเลย เป็นศัตรูเลย

กลุ่มที่ 2 คือกำลังลังเลใจจะเอาอย่างไรดี? ชักเข้าชักออก ชักออกชักเข้า

กลุ่มที่ 3 คือตัดสินใจแล้ว  เก็บรักษาความเชื่อ เชื่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบังเกิดใหม่

กลุ่มแรก คือกลุ่มที่ปฏิเสธ ก็เปรียบเหมือนการหว่านที่เมล็ดตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่กำลังลังเล ก็เปรียบได้กับเมล็ดที่ตกบนกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อยู่ได้ไม่นาน และพวกที่อาจเป็นเมล็ดที่ตกกลางพงหนาม มีหนามเยอะ ดินน้อย ไม่สามารถเกิดได้

กลุ่มที่สาม ก็คือกลุ่มที่ตัดสินใจเชื่อและเก็บรักษาไว้ เชื่อแล้วเชื่อเลย ก็คือเมล็ดที่ตกบนดินดี เกิดผล 100 เท่า 60 เท่า หรือ 30 เท่าของที่หว่านไป

นี่คือเปรียบเทียบกับชาวยิวแล้ว  กลับมาที่หนังสือฮีบรูแล้ว ท่านจะเห็นภาพ อย่างที่ผมบอกแล้วว่าพระเจ้าติดต่อกับชาวยิว ตั้งแต่สมัยโบราณ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกว่าถ้าจะมาอยู่กับพระเจ้า อยากได้พรจากพระเจ้า  จนกระทั่งถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ต้องทำแบบนี้ พูดอะไรต้องเชื่อตามนั้น ไม่ใช่ใช้ความคิดเหตุผลมนุษย์ คิดแล้วคิดอีก คิดๆๆ พระเจ้าพูดอย่างไร? เป็นไปตามนั้น ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเข้าใจ ต้องเชื่อพระองค์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวถูกหลอก

“ฉะนั้น เชื่อฉันอย่างเดียวแล้วกัน ไม่ต้องหันหน้าหันตาไปไหน ไม่ต้องแว๊บไปไหน? มองตรงมาเลย แล้วเดินไป อย่าซ้าย อย่าขวา ทั้งซ้าย ทั้งขวามันมีคนล่อลวง มารล่อลวงอะไรเยอะแยะ อย่ามองๆ มองที่เราโดยตรงเลย”

เหมือนจูงคนตาบอด เรานั่นแหละตาบอด พระเจ้าจูงเราไป

และบทสรุปของกลุ่มผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ หรือเมล็ดที่ตกลงดินประเภทต่างๆ ตรงนี้ คือหนังสือฮีบรู 6:8-9 ที่เราได้สรุปกันไป อ่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะย้ำ

ฮีบรู 6:8-9 “8 ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตราย จากการถูกสาปแช่ง  ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง 9 แต่ … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด”

 

“ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตราย จากการถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง”

“ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กใหญ่” ก็คือเมล็ดที่ตกบนดิน ทั้ง 3 ประเภทแรก คือตกตามทาง ตกตามกรวดหิน ตกบนพงหนาม ทั้ง 3 ชนิดนี้ ล้วนไม่เกิดผลทั้งสิ้น ไร้ค่าทั้งสิ้น ต้องเอาไปเผาทั้งสิ้น

ดิน 3 ประเภทนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับชาวยิวสมัยนั้น ก็คือกลุ่มแรกปฏิเสธข่าวประเสริฐ กลุ่มที่ 2 ลังเล ไม่ได้รับความรอดหมดเลย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าตกอยู่ในอันตราย และถูกสาปแช่ง ในที่สุด ก็ถูกเผาทิ้ง ไม่ว่าจะลังเล ในที่สุด ก็ไม่เชื่อ หรือไม่เชื่อตั้งแต่แรก มีค่าเท่ากัน ก็คือไม่รอดนั่นเอง

มาถึงข้อที่ 9 ที่บอกว่า “แต่พี่น้อง แม้เราจะพูดเช่นนี้ แต่ในกรณีของท่าน ยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่พร้อมกับความรอด (ความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ รอดแล้วรอดเลย) นี่เขากำลังพูดตรงนี้ เพราะเราเป็นประเภทสุดท้าย ประเภทที่ได้รับความรอดแล้ว

“แต่พี่น้องที่รัก” พี่น้องในพระเยซู ผู้ที่ได้ตัดสินใจ เชื่อในข่าวดี และเก็บรักษา จนบังเกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ซึ่งเหมือนกับพวกเราที่นั่งที่นี่ บังเกิดใหม่แล้ว เหมือนกับเขา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่า …

“ในกรณีของท่าน ยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลย ในพระเยซูคริสต์”

เอามาใช้กับพวกเราได้ ขณะนี้ เราเชื่อพระเจ้าจนกระทั่งบังเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่ดีกว่าอยู่ในตัวเราหมดเลย ก็คือได้รับความรอด รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ ถามว่ามีอะไรบ้างครับ สิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด ที่สามารถมั่นใจได้ว่าท่านได้รับแล้วแน่นอน ทุกวันนี้ได้รับแล้วด้วย ท่านปิ๊งขึ้นมาเมื่อไร รอดในพระเยซูคริสต์เมื่อไร ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณท่าน ท่านได้สิ่งเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ที่เราเรียกว่าความรอด

รอดนิรันดร์ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ชำระวิญญาณของท่าน จากคนบาป ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ บริสุทธิ์เท่าพระเจ้า เพราะเป็นลูกของพระเจ้า  และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ ไม่มีบาปเหลืออยู่ แม้แต่นิดหนึ่ง ใสกริ๊งเลย พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้ตลอด ตะกี้นี้บอกว่ารอดแล้ว รอดเลย จากนี้ต่อไปเราไม่ป่วยเลย เอเมน ต่อไปนี้รวยอย่างเดียว ซื้อล๊อตเตอร์รี่อะไรก็ถูกหมด เอเมน เราทุกคนต้องมีรถใหม่หมด เอเมน พอบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด พ้นมลทินต่างๆ พ้นบาปเวรกรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่เอเมนเลย นิสัยของมนุษย์ภายนอกเป็นอย่างนี้  แต่ในวิญญาณกำลังตะโกนลั่นเลย  ใช่แล้ว ถูกต้อง แต่มันไม่ออกมาเท่านั้นเอง เหมือนกับหลายครั้ง ที่เรารักคนนี้มาก แต่มันอดไม่ได้ที่จะขอด่าหน่อย พอด่าไปแล้วเราก็ …

“ขอพระเจ้าอภัยให้ลูกด้วยเถิด”

เหมือนลูกเรา เราก็ว่าแรงๆ แต่จริงๆ เรารักเขา ข้างนอกอาจจะโมโห แต่ข้างในร้องไห้อยู่ อย่างนี้ วิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า และสะอาดหมดจด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ พระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ เราก็มีหน้าที่ที่จะเชื่อเอา ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจ สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร? เมื่อตะกี้ยังไปว่าเขามาเลย เมื่อวานยังคิดโลภอยู่เลย ถ้าอย่างนั้น เขาเรียกไม่เชื่อแล้ว

ในพระคัมภีร์ที่เราอ่าน ยังมีสิ่งดีกว่า หรือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด ก็คือรอดจากการพิพากษาของพระเจ้า พิพากษาว่าอะไร? …

“คุณเป็นคนบาป ต้องลงนรก”

เขากลัวตรงนี้ แต่เขาไม่รู้ว่ามีสิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับความรอดนั้น ก็คือนอกจากพระเจ้าจะไม่พิพากษาท่านแล้ว ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ตาม ยกให้ท่าน วิญญาณท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว แค่นั้นไม่พอ แต่รับมาเป็นลูก วิญญาณสะอาดหมดจด เหมือนพระองค์เลย อยู่ในพระคริสต์ และจะร่วมครองราชย์กับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ เป็นทายาทที่มีมรดกด้วย นี่คือสิ่งที่ดีกว่า ที่ชาวยิวคิดไม่ถึง แค่ได้รับการอภัยโทษ เขาก็ดีใจแล้ว

ชาวยิวกับคำว่า “รอด” ตั้งแต่อดีตแล้ว มีแค่นี้เอง รอดจากการพิพากษา

ถามทุกคนมาเรียนถึงตรงนี้แล้ว มั่นใจไหมว่าเราได้รับความรอดแล้ว รอดแล้วรอดเลยหรือเปล่า?  รอดนิรันดร์ไหม? ใครที่บอกว่ามั่นใจ 100% ผมให้อ่านข้อความนี้ แล้วดูว่าจะตกใจไหม? ผมเชื่อว่าทุกคนมั่นใจแล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกตรงหมดเลย ชัดหมดเลย ยึดอย่างไร ก็ใช่หมดเลยว่าเราได้รับ รอดแล้ว รอดเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สะอาด หมดจดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม ทุกคนยอมรับตรงนี้หมด 100% แต่ว่าพอผมอ่านฮีบรู หนังสือเดียวกันนี้ เรื่องเดียวกันนี้  ทุกคนก็ตกใจ ที่เราได้ยินมา ทำไมมันเป็นอย่างนี้

ลองอ่านดูในฮีบรู เหมือนกัน จากบทที่ 6 เมื่อกี้นี้ ผู้เขียนเขาก็บรรยายเปรียบเทียบระหว่างพระเยซูคริสต์กับโมเสส … โมเสสพระเจ้าใช้ในเรื่องพิธีกรรม ให้ผู้คนได้ปกคลุมบาปของตัวเอง ปีต่อปี เพื่อเล็งให้เห็นพระเยซูคริสต์จะมา แค่นั้น พอบทที่ 10 เขาก็กลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีก ฮีบรู 10:26-27

ฮีบรู 10:26-27 “26 หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก ก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ 27 มีแต่รอคอยด้วยความหวาดกลัว ถึงการพิพากษา และไฟร้อนแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูของพระเจ้า”

 

ข้อที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ ที่บอกว่า … หลังจากรู้ความจริงแล้ว คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ แปลว่าถึงแม้ว่าเราจะเชื่อแล้ว เชื่อแบบดิ่งลึกลงไปเลย จนกระทั่งบังเกิดใหม่ แล้วเราเกิดเผลอไปทำบาปอีก เราจะสูญเสียความรอดอีกนะสิ ใช่ไหม?

พระเจ้าบอกว่า “ความรอดนิรันดร์ เมื่อเจ้ามาอยู่ในมือเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกจากมือเราไปได้ เราให้ใจใหม่กับเจ้า ให้วิญญาณใหม่กับเจ้าไปแล้ว เราจะอยู่กับเจ้า … เจ้าเป็นของเรา เจ้าเป็นประชากรของเรา”

พระคัมภีร์บอกว่าบาปเล็ก บาปใหญ่ มันก็บาป เราไปคิดกันเองว่าอันนี้บาปเล็ก อันนี้บาปใหญ่ ฟาริสีบอกบาปอย่างนี้ บาปใหญ่ คือการผิดประเวณี พระเยซูบอกแค่มองด้วยตา แค่คิดเท่านั้น ก็บาปหมดเลย ฟาริสีงง ฟาริสีบอก “อย่าฆ่าคน” พระเยซูบอก “แค่โกรธ ไม่ให้อภัย ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว” นี่คือกฎ นี่คือจริง แล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านต้องรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านไปอ่านพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอน ท่านจะนั่งหัวเราะ ขำ

เราไปคิดเอง คิดแบบมนุษย์ ใส่ตรรกะแบบมนุษย์ว่าอย่างนี้บาปเล็ก อย่างนี้บาปใหญ่ อย่างนั้น อย่างนี้ ในที่สุด เราเชื่อพระเจ้าแบบใช้เหตุและผลของมนุษย์ ก็กลายเป็นฟาริสีในที่สุด มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น

และสมมติว่าถ้าเราต้องสูญเสียความรอดในวิญญาณของเรา ในทุกครั้งที่เราไปทำบาป ซึ่งทำแน่นอน ท่านคิดว่าในวันหนึ่งเราจะสูญเสียความรอดสักกี่ครั้ง และถ้าเกิดความรอดนั้น ที่ทำบาปนั้น ลืมขอโทษพระเจ้า ลืมขออภัยจากพระเจ้า  แล้วทำอย่างไร? ท่านจะจดไว้ไหมว่าลืมไปกี่ครั้ง ถึงวันที่ท่านหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง สมมติว่าพรุ่งนี้มีอุกาบาตรลงมาชนโลก หรือว่ารถสิบล้อวิ่งชนเข้ามาในบ้าน  ท่านมีโอกาส …

“พระเจ้าขอยกโทษได้ไหม?” อย่างนั้นเหรอ

ท่านจะรู้ว่ามันไม่ใช่ มันตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ใหม่ ที่บอกถึงความรอดของข่าวประเสริฐนี้ แสดงว่าไม่มีใครเลยสิ ที่ได้รับความรอด ถ้าเป็นอย่างนี้ เพราะว่าความรอดนี้ เป็นความรอดทางวิญญาณใช่ไหม? วิญญาณรอด แต่เนื้อหนังยังอันเก่าอยู่ ความคิดเก่าๆ ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของบาปอยู่เหมือนเดิม ในที่สุด ร่างกายนี้ ก็ทำบาปแน่นอน ถูกไหม?  ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีทางรอดสิ เดี๋ยวก็ต้องลงนรกอยู่แล้ว เชื่อพระเจ้ามีประโยชน์อะไร? กลายเป็นอย่างนั้นไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ยืนยันกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แบบปราศจากบาปถาวรนิรันดร์ ครั้งเดียวพอ หมายถึงพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ครั้งเดียวพอ ไม่รู้จะพูดสักกี่ครั้งว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ในฮีบรูก็มี พระองค์เข้าไปในอภิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียว โลหิตของพระองค์เข้าไป แล้วพระองค์ได้ไถ่บาปครั้งเดียวพอให้กับมวลมนุษย์ แต่โมเสสเข้าไปปีละครั้ง เอาเลือดโค เลือดแพะ เลือดแกะ เลือดสัตว์เข้าไป แต่ฮีบรูเปรียบเทียบให้เราฟังอย่างนี้  ในพระคัมภีร์บอกเราได้รับการไถ่แบบถาวรนิรันดร์ เราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าอะไรทำได้? อะไรทำไม่ได้? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ทำให้เราสูญเสียความรอดไปได้เลย ตามหลักพระคัมภีร์ อย่าใช้ความคิดของตัวเอง พอท่านเชื่อในพระเจ้าเป๊ะๆ ท่านจะรู้ว่าแสงสว่างจะชัดขึ้นว่ามันเพราะอะไร? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ยังคงมีฤทธิ์ตลอดเวลา ในวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ในอดีต ปัจจุบันและตลอดกาล พระโลหิตของพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์ เป็นตัวยืนยันว่านี่คือพันธสัญญาใหม่ ผู้ใดเชื่อจะเป็นอย่างนี้  เอเมน

แล้วถ้าอย่างนั้นในฮีบรู 10:27 ที่ตะกี้นี้ที่เราอ่านกันไป มันหมายความว่าอย่างไร? ที่ทำให้เราสะดุ้ง …

“หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทำบาป โดยเจตนาต่อไปอีก ก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบบาปใดๆ แต่รอคอยด้วยความหวาดกลัว ถึงการพิพากษา และไฟร้อนแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรูปฏิปักษ์ของพระเจ้า”

คำว่า “บาป” ในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ว่าจะในหนังสือมัทธิว เอเฟซัส หรือโครินธ์ ก็จะหมายถึงการกระทำบาป ตามที่เราเข้าใจกัน ซึ่งเป็นการบาป ที่ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ไปแล้ว ได้รับการอภัยไปแล้ว ได้รับการชำระล้างไปแล้ว โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์

ยกตัวอย่างเช่นการอิจฉาริษยา  การโกรธ  การเกลียดกัน  การควบคุมตัวเองไม่ได้  ความโลภ แล้วแต่เยอะแยะไปหมด ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ บาปเหล่านี้ มันถูกยกโทษหมดเรียบร้อยแล้วในการกระทำ ไม่ว่าจะทำอะไรบนโลกใบนี้

แต่คำว่า “บาป” ในหนังสือฮีบรูที่เราอ่านมา และบาปที่พูดกันอยู่ในชาวยิว ไม่ใช่เป็นบาปอย่างนี้  บาปตัวนี้  พระคัมภีร์กำลังพูดถึงบาปชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอภัยให้ได้  คือบาปแห่งการไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูคริสต์ เป็นศัตรูกับพระเจ้านั่นเอง พอเราแปลความหมายผิดไปคำเดียว เละตุ้มเป๊ะเลย พอท่านแปลถูกปุ๊บ ใช่ ทุกอย่างเริ่มเห็นภาพชัดขึ้น เวลาชาวยิวเดิมๆ เขาพูดถึงบาป เขากำลังหมายถึงบาปที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู คือตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว ไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอก “อย่าไหว้รูปเคารพ” แล้วเขาไปไหว้รูปเคารพในสมัยโมเสส สมัยเดิม พระเจ้าบอกอย่าทำ ก็ทำ นี่เรียกว่าบาป อยู่คนละข้างกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระเจ้าบอก “ฆ่าให้หมด” เขาไม่ฆ่า นี่แหละบาป

พระเจ้าบอก “ไปรบเขาชนะ ก็ไม่ต้องเอาของเขามา” ไปแอบเอาของเขามา อย่างนี้เขาเรียกว่าบาป

เวลาพูดถึง “บาป” ตัวนี้ในฮีบรู ในชาวยิว หมายถึงตรงนี้ คนยิวเวลาอ่านตรงนี้ เขาจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร? ถ้าท่านได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านยังขืนไม่เชื่อพระเจ้าอีกพระเจ้าบอก …

“เราส่งบุตรของเราลงมาแล้ว ที่แล้วๆ มา เราส่งใครก็ตาม เป็นคนงาน ส่งโมเสสมา ส่งอาโรนมา ส่งดาวิดมา ส่งซาโลมอนมา อะไรต่างๆ ตอนนี้เราส่งลูกของเรามาเองเลย จบแล้ว สุดท้ายแล้ว ยังไม่เชื่อเราอีกเหรอ”

ถ้าไม่เชื่อ ก็คือเป็นศัตรู ก็คือเป็นบาป

ท่านจะเห็นภาพแล้วตรงนี้ พอเป็นบาปแล้ว ท่านปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด เพียงผู้เดียว เหลือผู้เดียวแล้ว จากนี้ต่อไป ไม่มีผู้อื่นที่มาตามหลังพระเยซู ไม่มีพระมาซีฮาห์อื่นอีกแล้ว ท่านยังปฏิเสธเขาอยู่ ท่านก็ถูกพิพากษาอย่างแน่นอน 100% ถูกเผา 100% เข้าใจใช่ไหมครับ? นี่เป็นการพูดให้กับชาวยิว ในสมัยอดีตได้รู้ ถ้าไม่ใช่ชาวยิว พูดอย่างไร? คำเดียวกันเลย ลักษณะเดียวกัน ความหมายเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ชาวยิว จะอยู่ในพระคัมภีร์ยอห์น 3:16-19 ซึ่งเราฮิตกันอยู่ดี ยอห์น 3:16 ทุกคนท่องได้ว่า …

“พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูองค์เดียวลงมา เพื่อทุกคนจะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ และรอดตลอดไป”

แต่คนที่ไม่รับ เขาจะพินาศ พระเยซูไม่ได้มาตัดสินเขา แต่เขาอยู่ในความพินาศของเขาอยู่แล้ว เพราะเขาปฏิเสธ คนที่มาช่วยเขา อันเดียวกัน แต่อันนั้นพูดให้กับคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว แต่อันนี้พูดให้กับคนยิวรู้ว่าคุณกำลังทำบาปอันยิ่งใหญ่แล้ว คือคุณไม่เชื่อฟังพระเจ้า เที่ยวนี้เป็นการไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างใหญ่หลวง คุณไม่เชื่อโมเสส คุณไม่เชื่ออาโรน โทษยังไม่แรงเท่านี้ อันนี้ใหญ่สุดแล้ว คุณไม่เชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าส่งพระเยซูมา คุณไม่เชื่อ เพราะพระเยซูเป็นคนสุดท้ายแล้ว ถ้าคุณไม่เชื่ออาโรน ยังมีพระเยซูอยู่ ถูกไหม? ถ้าคุณไม่เชื่อมาลาคี คุณยังมีพระเยซูอยู่ ถูกไหม? ถ้าคุณไม่เชื่อยอห์นบัพติศโต คุณยังมีพระเยซูอยู่ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อพระเยซู ก็คือถูกพิพากษา คืออยู่ที่เดิม

นี่คือหนังสือที่เขาเขียนไปให้คนยิว พอเรารู้ภูมิหลัง เราจะได้เข้าใจ ไม่หลงประเด็น ฮีบรู 10:28-29

ฮีบรู 10:28-29 “28 คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส หากมีพยานสองหรือสามคน ยังต้องตาย โดยปราศจากความเมตตา 29 ท่านคิดว่าผู้ที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ทำราวกับว่าพระโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้น ไม่ศักดิ์สิทธิ์ และลบหลู่พระวิญญาณ แห่งพระคุณ สมควรจะรับโทษ หนักมากกว่านั้นสักเพียงใด”

 

นึกภาพนะ ตอนนี้กำลังพูดถึงยิวทั้งหมดเลย ที่มี 3 ประเภทใหญ่ๆ เมื่อฟังถ้อยคำตรงนี้แล้ว การเตือนตรงนี้แล้ว เขาคิดอย่างไร? ฟังดูเผินๆ เราอาจจะคิดว่าหมายถึงคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ลองคิดให้ดี ท่านคิดว่ามีไหมครับคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ยังรู้สึกฟ้องผิดทุกครั้งที่เผลอไปทำผิดบาป มีไหม? ผมหมายถึงฟ้องผิด เรื่องความบาปทางวิญญาณ มีไหม? เช่นพอไปด่าใครเข้า ชักไม่แน่ใจว่าสูญเสียความรอดไหม? ยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ไหม? ต้องหาทางชำระบาปให้ตัวเอง มีไหม? ไม่มี คนที่เกิดใหม่จริงๆ จะไม่มีอย่างนี้เลย ถ้ามี ก็คือยังไม่เกิดใหม่ แต่เราอาจจะพะวักพะวงในเรื่องความประพฤติ

“ความจริงเราน่าอภัยให้เขานะ เราเป็นคริสเตียน เราน่าจะทำให้เป็นไปตามการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา”

แต่รับรองวิญญาณของเราจะไม่ “เราตกนรกหรือเปล่า?” ถ้าเมื่อไรเราคิดอย่างนั้น เราต้องทบทวน เราต้องไปรักษาความเชื่อไว้ ขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ จนกว่าข่าวดีของพระเจ้าจริงๆ จะไหลลงไป จนกระทั่ง บังเกิดใหม่จริงๆ นั่นเอง

อาการอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายของความเชื่อไม่เชื่อในพระเจ้า ก็คือพระคัมภีร์บอกเพราะฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไถ่บาปเรา มันอยู่ตลอดนิรันดร์ แต่หลายครั้งเราบอกอยู่เหรอ ถ้าอยู่ แล้วทำไมตอนนี้ เรารู้สึกไม่สบายใจ การกระทำสิ่งนี้ เราผิดอีกแล้ว เราบาปอีกแล้ว อันนี้ผมพูดถึงวิญญาณตัวข้างในของเรานะ อาการอย่างนี้เข้าข่ายการไม่เชื่อในฤทธิ์เดชของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ ฮีบรู 10:28-29 เพราะชาวฮีบรูเขาบอก เพราะข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ชำระบาปท่านหมดเลย เที่ยวเดียวเกลี้ยงเลย  ชาวฮีบรูบอก …

“เหรอ! เดี๋ยวสิ้นปีนี้ฉันก็ต้องไปทำพิธี เข้าไปวิหาร เอาสัตว์ไปชำระอีกทีหนึ่ง”

นี่แหละลบลู่พระบุตรของพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้  คำว่าลบหลู่ ไม่ได้หมายถึงไปว่าอะไร?  แต่หมายถึงกำลังบอกว่าพระเยซูคริสต์พูดไม่จริง ถ้าจริง เราก็ไม่ต้องไปทำพิธีในวิหาร เหมือนเดิมสิ แต่ทำไมเรายังทำล่ะ ทำเพราะเราก็ไม่แน่ใจว่าได้รอดไหมจริงๆ ถ้าวิญญาณได้รับความรอดจริงๆ แล้ว มันจะไม่ทำเอง เหมือนที่ผมเคยถามท่านว่าในยุคปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ในขณะนี้ มีใครในที่นี้ไหมที่ไปทำพิธีทางวิญญาณ  อะไรก็ตามทางวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ เพื่อจะไถ่บาปให้มันน้อยลงในแต่ละปี ยกตัวอย่างวันเกิด ท่านไปทำอะไรไหม ช่วยพระเยซูทำให้บาปมันน้อยลง มีไหม? ถ้าบังเกิดใหม่ ไม่มีแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เลย

ตัวนี้ เป็นตัวพิสูจน์ว่าชัวร์จริงไหมในวิญญาณ ถ้าชัวร์จริง เขาจะไม่ทำแล้ว อดีต อาจจะเคยทำมาตลอดทุกปี วันเกิด พิธีทางวิญญาณ ที่ให้เกิดผลทางวิญญาณ ยกตัวอย่างเช่น ให้ลดบาปตัวเองน้อยลงไป ให้มีพรมากขึ้น ให้เจริญรุ่งเรืองอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะไม่ทำอีกต่อไปเลย ถ้าเผื่อเราเชื่อจริงๆ และบังเกิดใหม่จริงๆ นั่นแหละคือความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง นี้เรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณโดยเฉพาะ แต่แน่นอนทางโลกวัตถุ เราทำอะไรผิด เราก็อยากจะไปขอโทษคนโน้นคนนี้ คนละเรื่องกัน ฮีบรู 10:35-39 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่ตอนจบเลยนะ

ฮีบรู 10:35-39 “35 ฉะนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ 36 ท่านทั้งหลายต้องอดทนบากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ 37 เพราะ “เพียงครู่เดียว พระองค์ผู้กำลังเสด็จมาจะเสด็จมา และจะไม่ทรงล่าช้า 38 แต่ผู้ชอบธรรมของเรา จะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ และหากเขาเสื่อมถอย  เราจะไม่พอใจเขา” 39 ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอย และถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด”

 

อย่างที่ผมบอก ต้องเรียนรู้ ต้องนึกภาพให้ออกว่าตอนนี้ยิวนั่งอยู่ตรงนี้หมด 3 กลุ่ม ในวิญญาณ

กลุ่มนี้ปฏิเสธเลย คือกลุ่มปฏิเสธเด็ดขาดต่อต้านพระเยซู จับพระเยซูไปตรึงเลย

กลุ่มนี้รับได้บ้าง แล้วกำลังเรียนรู้อยู่

กลุ่มสุดท้าย เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว

นี่เขาเขียนบอกว่า “คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส” พวกนี้รู้จักโมเสสหมด “หาพยาน 2 – 3 คนมา โดนลงโทษ ปราศจากความเมตตา เพราะพระเจ้าตรงไปตรงมา ตรงตามกฎหมายทุกอย่าง ฆ่าคนก็โดนฆ่าด้วย”

แล้วก็บอกว่านี่คือพระเจ้าที่เราเชื่อใช่ไหม? ท่านลองคิดดู แล้วถ้าท่านเหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ทำราวกับว่าโลหิตของพระเยซู ตามพระสัญญาที่พระเจ้าส่งมาให้ ไม่บริสุทธิ์เพียงพอ ไม่ศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ พระวิญญาณ คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ จะเข้ามาในวิญญาณเรา ให้เราบังเกิดใหม่ ไม่เอา ไม่ใช่ เรียกว่าพระวิญญาณแห่งพระคุณ ก็คือท่านไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าให้ด้วยความเชื่ออย่างเดียว ไม่เอาง่ายไป ผมกำลังจะถามท่านว่าท่านสมควรจะรับโทษหนักมากกว่านั้นสักเท่าใด? ขนาดสมัยโมเสสยังรับโทษขนาดนั้น แต่นี่พระบุตรของพระองค์มา แล้วท่านไม่เชื่อ แรงขนาดไหน? นี่กำลังพูดกับ 3 กลุ่มนี้

เพราะฉะนั้น  กลุ่มที่สะดุ้ง ก็คือ 2 กลุ่มแรก กลุ่มสุดท้ายสะดุ้งน้อยหน่อย ก็เพียงแต่ลากความเชื่อต่อไป กลับไปถูกเมียว่า เพราะเมียไม่เชื่อ เมียพยายามฝืน ครอบครัวกำลังจะยกทรัพย์สมบัติให้ จะไม่ยกให้แล้ว เพราะมาเชื่อพระเยซู เริ่มฮึดสู้ เอา ยืนหยัดต่อไป ไม่เอาสมบัติ ก็ไม่เอา จะยืนหยัดเชื่อในพระเยซูต่อไป นี่พูดถึงชาวยิวสมัยนั้นนะ คนที่เชื่อแล้ว ก็หายเหนื่อย ถูกรังแกมาตั้งเยอะ ถูกเอาเปรียบ จากคนในสังคมชาวยิว ในสมัยนั้น

เพราะฉะนั้น ในข้อ 35 บอกว่าฉะนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะทำให้ท่านได้รับบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ ท่านทั้งหลายต้องทน อดทน บากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว พระประสงค์นี้คืออะไร? เชื่อพระเยซู น้ำพระทัยพระเจ้า มีสิ่งเดียว คือเชื่อพระเยซู ก็จบแล้ว ที่เหลือจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อะไรก็ว่าไป  แต่สิ่งสำคัญที่สุด ท่านต้องเชื่อพระเยซู เชื่อพระเยซูท่านได้หมดแล้ว นี่คือเคล็ดลับ แค่นี้เอง ไปแปลอะไรก็ไม่รู้ วุ่นวาย เหนื่อยเลย

เพราะฉะนั้น พี่น้อง ท่านจงอดทน รักษาความเชื่อนี้ไว้ ที่ท่านเชื่อไปแล้ว มันถูกแล้ว เมื่อท่านได้ทำตาม เมื่อท่านได้เชื่อพระเยซูแล้ว ทำตามพระประสงค์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ก็จะทำตามที่พระองค์สัญญาไว้ จำได้ไหมพระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นพระเจ้า ผู้ทรงรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาตลอดหนึ่งพันชั่วอายุคน ชาวยิวรู้หมดเลย พระองค์ผู้กำลังจะเสด็จมา และจะไม่ล่าช้า ก็คือพระเยซูบอกแล้วใช่ไหม? ตามข่าวดีนั้น บอกว่าพระองค์จะกลับมาอีกทีนะ แต่จะกลับมาในสถานะของพระเดช เอารางวัลมาให้กับผู้เชื่อแล้วนะ

แล้วต่อไป ข้อ 38 บอกว่า “แต่ผู้ชอบธรรมของเราจะดำรงชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ เพราะฉะนั้น ผู้ชอบธรรมกลุ่มนี้นะ จำไว้นะ ต่อไปนี้ ท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่ใช่ความคิด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าบอก มันไม่ใช่ทั้งสิ้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อ” มันหมายถึงอย่างนี้

“และหากเขาเสื่อมถอย ในความเชื่อเขาไป เราจะไม่พอใจเลย”

พระเจ้าไม่ต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งไปสู่คำพิพากษา ไปสู่นรกเลย พระเจ้าต้องการให้ทุกคนมาตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือมาเชื่อในพระเยซู ได้รับความรอดกันทุกคน นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไรก็ตาม นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เอเมน

“ส่วนพวกเรา ไม่ใช่ผู้เสื่อมถอย”

คนพูดกำลังบอก “แต่พวกเราไม่ใช่ 2 ประเภทนี้นะ  เราประเภทที่ไม่ได้เสื่อมถอยอยู่แล้ว อดทนอยู่แล้ว ถูกเขารังแก เขาบอกว่าพวกนี้โง่ มาเชื่อข่าวประเสริฐอะไรบ้าๆ บอๆ เราอดทนอยู่แล้ว เขาบอกว่าไม่เห็นมีเหตุผลเลย ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น ได้รับความรอด คนทำดีแทบตาย ไม่ได้รอด เป็นไปไม่ได้ เราก็ไม่รู้ เราก็ไม่ฟัง เราก็เชื่อในข่าวดีพระเจ้า”

หมายถึงอย่างนั้น ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอย และถูกทำลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด รอดนิรันดร์ รอดแล้ว รอดเลยในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามีแค่นี้ ท่านต้องเชื่อ โดยหลับหูหลับตาเชื่อ เชื่อโดยไม่เข้าใจ เชื่อด้วยไร้เหตุผล เชื่อโดยไร้สติ มันเป็นจริงตามนั้นจริงๆ เวลาเขาว่าท่านเป็นคริสเตียน ไร้สติ ไร้เหตุผล นี่หมายถึงตามวิญญาณนะ ไร้สติ ไร้เหตุผล มันจริงตามนั้น ไม่มีอะไรที่จะมาใช้เหตุผลอธิบายว่าเหตุอะไรท่านถึงจะได้รับความรอด ไปสวรรค์ได้ ในเมื่อท่านทำตัวธรรมดาอย่างนี้ เขาอุทิศตัวมากกว่านี้ตั้งเยอะ แต่เขาไม่เชื่อในพระเยซู ท่านไม่เห็นอุทิศตัวอะไรเลย เชื่อพระเยซู บอกท่านไปสวรรค์ แล้วท่านยังยืดอกต่อไปไหม? หรือว่าท่านก็ไม่ค่อยแน่ใจ ยืดอกต่อไป เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ฉันก็เป็นอย่างนั้น

แล้วก็มาจบที่เดิม โรม 8:31-39 นี่แหละผู้ที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า แบบไร้สติ ไม่ใช่ด้วยปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ด้วยการคิดค้นต่างๆ แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าพูดอย่างไร? ฉันเชื่อตามนั้น คนเหล่านั้นจะอยู่อย่างนี้แหละ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กรกฎาคม  2018

 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ถึงเวลารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของชีวิตของมนุษย์ อาหารร่างกายเลี้ยงดูร่างกายอย่างไร? วันหนึ่งร่างกายก็ต้องตาย แต่วิญญาณสำคัญกว่า เพราะจะต้องอยู่นิรันดร์ หมายถึงจะอยู่ตลอดไป  แต่จะอยู่ที่ไหนตลอดไป อยู่ในแสงสว่างตลอดไป หรืออยู่ในความมืดตลอดไป อยู่ในสวรรค์ตลอดไป หรืออยู่ในบึงไฟนรกตลอดไป อันนี้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำแห่งความรู้ เรื่องราว หรือข่าวที่มาถึงเรา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวดี เราเข้าใจข่าวดีนั้นไหม? เราน้อมรับข่าวดีนั้น ด้วยความถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งไหม? พระเยซูบอกข่าวดี ความจริงนั้น ก็จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพจากการถูกกดขี่ จากการที่ต้องไปอยู่ในที่มืด จากการที่เป็นทาสอยู่ในที่มืด ตลอดชีวิตของเรา แม้กระทั่งในวิญญาณตลอดไปนิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้า จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ในเรื่องของคริสเตียน เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของพระเยซูคริสต์

พระเยซูให้ความสำคัญกับเรื่องถ้อยคำของพระองค์มาก ถึงขนาดพระคัมภีร์ให้ชื่อพระเยซู ว่าถ้อยคำ เมื่อพูดถึงถ้อยคำพระเจ้าเมื่อไร ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์ไทยให้เกียรติยกย่องพระเยซู ก็เลยเรียกถ้อยคำว่าพระวาทะ … วาทะ แปลว่าถ้อยคำ เวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เหมือนเรากำลังกินในวิญญาณ มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงของพระองค์ตลอดเวลา และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอาหารให้เราเจริญเติบโต  พอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น ถ้าหยุดแค่นั้น ผมว่าพระเจ้าคงจะนำเรากลับไปบ้านแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์สบายกว่าเยอะ ถามว่ายังอยู่ในร่างกายนี้อีกทำไม? ในเมื่อร่างกายนี้ ต้องประสบปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีก ก็เพื่อวิญญาณจะได้โตขึ้นๆ  และในพระคัมภีร์บอก จะได้เป็นที่อยู่อาศัยของนกกา ตัวเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปในอนาคต มันมีประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าต้นไม้ต้นนี้มันไม่โตสักที ออกมาเป็นผักชี มันก็ยังเป็นผักชี วันยังค่ำ จนสุดท้ายก็ยังเป็นผักชี ไม่ได้ พระเจ้าเรากำเนิดแล้ว ต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะโตได้อย่างไร? ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มาถึงเราแบบถูกต้อง ก็จะทำให้เราเจริญเติบโต

เวลาท่านมาคริสตจักร หลายคนเข้าใจผิด ให้ความสำคัญ 1, 2, 3 ผิดไป ในตอนที่ท่านมาคริสตจักร ตั้งแต่ สมมติ 9 โมงเช้า … 9 โมงเช้าก็มีเรียนถ้อยคำแล้ว มีชั้นเรียน 10 โมงก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการ ร้องเพลงกัน  … ร้องเพลงเสร็จปุ๊บ ก็เป็นช่วงให้โอกาส เราได้ฝึกฝนการให้ออกไป เขาเรียกว่าถวายทรัพย์ เสร็จแล้วจากนั้น ก็มีช่วงเวลาแห่งการบรรยายถ้อยคำพระเจ้า ก็คือมาเรียนรู้อีก เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ก็เหมือนช่วงแรกๆ 9 โมงเช้า มาเรียนรู้จนกระทั่งถึงเที่ยง ก็มีอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงรับประทานอาหารร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทานไป คุยไป อะไรต่างๆ เหล่านี้ หลังจากนั้นอาจจะมีชั้นเรียน หรือกลุ่มต่างๆ ซึ่งเข้ากลุ่มกัน ปรึกษาหารือชีวิตบ้าง เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ไม่หนักแล้ว ไม่เพียวๆ แล้ว แต่อาจจะเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น คนนี้เป็นอย่างไร? ถามทุกข์สุขกันอะไรอย่างนี่

ถามว่าทั้งหมด 5 ช่วงนี้ ช่วงไหนที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุด ท่านชอบช่วงไหนที่สุด? หลายคนก็บอกชอบช่วงนั้น ช่วงนี้ แต่ผมจะบอกเคล็ดลับให้ท่านฟัง ช่วงที่ดีที่สุด ในชีวิตของเรา  อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกในร่างกาย ยังชอบในช่วงนี้ แต่สำหรับวิญญาณ ชอบช่วง 9 โมงเช้ากับช่วง 11 โมงนั้นมากที่สุด วิญญาณชอบมาก ถึงแม้ร่างกายอาจจะเบื่อหน่าย ผมจะบอกให้ท่านว่าวิญญาณเขาชอบมาก นี่คือการเจริญเติบโต ส่วนช่วงเที่ยงนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายชอบมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเหมือนกัน โตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกินอาหารร่วมกัน แล้วช่วงรองลงไป ผมไม่ได้พูดว่าอะไรมันสำคัญกว่าอะไรนะ กำลังบอกท่านว่าท่านควรให้ความสนใจกับอะไร? เป็นพิเศษ ช่วงตอนบ่าย หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตอนเข้ามาในกลุ่ม ได้มีถ้อยคำพระเจ้าและประสบการณ์ เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลยทีเดียว แต่เราฟัง ได้ช่วยเหลือพี่น้อง ได้หนุนใจกันไปกันมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญกว่ามาเรียนถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นของจริงในพระคัมภีร์ แต่เวลาเราคุยกัน เราแบ่งปันกัน บางทีพูดผิดพูดถูก บางคนก็บอกอย่างนี้ พูดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจน คือเอาพระคัมภีร์มา แล้วมีผู้คนแบ่งปันในถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละ ตรงนี้สำคัญ

เลยอยากจะฝากบอกท่านว่าชีวิตคริสเตียนอยู่ได้ด้วยตรงนี้  และมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีได้ ด้วยตรงนี้ เจริญเติบโตจากคนๆ เดียว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อพระเยซู เชื่อว่าพระองค์เอง คือใคร? จากประกาศเรื่องพระองค์เองคนเดียวบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว แล้วจากนั้น ก็ไล่ต่อมาจนถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มีผู้คนนับพันๆ ล้านๆ  คน มาเชื่อในข่าวดีนี้  ก็เพราะมันเจริญเติบโต เพราะถ้อยคำแห่งความจริงนี้ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ มิได้พูด เพื่อจะบอกว่าร้องเพลงไม่สำคัญ อธิษฐานไม่สำคัญ เปล่า กินข้าวไม่สำคัญ หรือกินข้าวสำคัญ สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรียนอะไรงงไปหมดแล้ว ถ้าไม่ได้กิน แต่สำคัญน้อยกว่า การนมัสการพระเจ้าก็สำคัญน้อยกว่า เพราะการนมัสการพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ขึ้นบนเวที ที่ท่านอ่าน ร้องเพลงไป บางคนร้องเหมือนอ่านนะ แต่ก็ยังโอเค ยังอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า นี่พูดความจริงนะ บางคนร้องเหมือนอ่านเลย เขาก็มีความสุข ของใครของเขา นี่ไม่ใช่เอามาประจานกัน แต่กำลังจะเล่าให้ท่านฟังว่าอะไรมันสำคัญ อะไรควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด

ฉะนั้น ถึงเวลาเรียน ตั้งใจจริงๆ เท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งเวลาที่เราหลับไป แต่ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เดี๋ยวเราตื่นขึ้นมา เรากลับบ้าน พระวิญญาณคงจะเตือนเรา ตะกี้เราฟังตอนนอน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ดี แต่ถ้าเป็น ก็ช่วยไม่ได้ มันเพลีย หลับก็หลับไป ไม่ต้องพยายาม ให้เป็นอิสระ ดังนั้น คนที่ตะโกนมาตะกี้นี้ ชอบตอนนี้ที่สุด เพราะว่าชอบหลับ ก็โอเค ก็ทำไป ก็ยังดีกว่าไม่อยู่ที่นี่เลย เอเมนไหม? มาแล้วก็ตั้งใจ อย่างน้อย ได้เพลงสุดท้าย ก็ยังดี “สรรเสริญพระเจ้า ผู้อำนวยพร” ก็ยังได้สรรเสริญพระเจ้าว่าชีวิตเรา ความจริง ก็คือพระเจ้าสำคัญที่สุด พระองค์มี 3 พระภาค คือพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อยได้ตรงนี้ กลับบ้าน ก็ยังดี แล้วตลอดชั่วโมง ก็ดองอยู่ในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงแม้จะหลับไป ก็ดองอยู่ในนี้  กลับไป ก็ชื่นใจ

พอท่านให้ความสำคัญถูก พอท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหน? ท่านก็จะให้ความสำคัญถูก ไม่ใช่วันทั้งวัน นั่งแต่ร้องเพลง อธิษฐานๆ ไม่ศึกษา ไม่ดูถ้อยคำเลย อย่างนี้มันก็ไม่สมดุล … ไม่สมดุลไม่พอ สิ่งสำคัญมันหายไป เหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เข้าใจไหม? ถ้อยคำต้องสำคัญ จริงๆ มันก็คือความสมดุล ไม่ร้องเพลงเลยได้ไหม? ไม่ได้ ก็ควรจะร้องบ้าง?  แต่อะไรสำคัญกว่า  ถ้อยคำ อ่านบ้าง? ฟังบ้าง? เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องไม้เครื่องมือที่พระเจ้าให้เยอะแยะ เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นสมัยก่อนมี CD มีเทป มีมือถือบันทึกได้ เปิดยูทูปได้ เปิดเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าบอกไม่ได้ฟัง มันเสียดายมาก เดี๋ยวนี้มีถึงขนาดอ่านให้เราฟังก็ได้ แค่นี้เราก็ยังขี้เกียจ ไม่ได้ว่าท่านนะ เพราะเนื้อหนังร่างกาย มันจะขี้เกียจอย่างนี้  สิ่งใดที่มันดีสำหรับเรา มันไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเนื้อหนังอยู่ข้างนอก เป็นร่างกายที่ตาเรามองเห็น มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก ที่เรียกว่าเนื้อหนัง ก้อนนั้นมันอาจสกปรกบ้าง กระทบกระทั่งเราบ้าง ก็ต้องอภัยกัน เพราะมันเป็นก้อนเนื้อหนัง ไม่ใช่มองเขาอย่างเดียว เรามองตัวเราเองก็เห็น มันคือก้อนเนื้อหนัง ก้อนสกปรก ก้อนโสโครก ก้อนที่เป็นทาสของความบาป ก้อนที่เรียกว่าวิสัยของบาปอาศัยอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างหนึ่ง นิดหนึ่ง ก็ไม่มี แต่ทะลุลงไปในก้อนนี้ เป็นวิหารของพระเจ้า พระเมตตาคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนนี้ ขอบคุณพระเจ้า เข้าใจใช่ไหม เมื่อเราเห็นอย่างนี้ได้ เราจึงเน้นที่วิญญาณของเราว่าเราต้องจำเริญเติบโตทางวิญญาณให้ได้ สำคัญที่สุดตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ออก มันก็จะปะปนกันยุ่งไปหมด อะไรที่เนื้อหนังทำ เราต้องยอมรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง เพื่อเราจะอภัยให้คนอื่นได้ด้วยว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังเหมือนกัน ต้องอภัยกัน และมองทะลุสิ่งเหล่านี้ไปสู่โลกวิญญาณ

ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมบอก จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะเอาใจใส่ ถือโอกาสวันนี้มาพูดตรงนี้ เป็นพิเศษ ยังไม่เข้าเรื่องบรรยายนะ ผมรู้ทุกคนอยากจะฟังแล้ว พอพูดอย่างนี้ตื่นเต้น อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้สัปดาห์หนึ่ง ทุกคนจะตื่นเต้นเรื่องเกี่ยวกับกลับไปแล้ว ไปกินถ้อยคำพระเจ้า ไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า ไปฟังถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อเลย ได้แค่อีก 7 วัน หลังจากนั้น ก็กลับมาเหมือนเดิม จริงหรือไม่จริง? ต้องยอมรับความจริง เพราะก้อนเนื้อหนัง มันไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง อะไรที่เป็นของพระเจ้ามันเบื่อ ผมจะพาให้ท่านไปเห็นว่าก้อนเนื้อหนัง ทำให้เราน่าสมเพช ทำให้เราน่าสงสารขนาดไหน? นี่ขนาดเปาโลนะ เปาโล คือผู้เชื่อที่ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ ตอนที่เป็นๆ อยู่นี้ ตอนที่เป็นมนุษย์ กลับมาทำงานต่อเลยนะ เห็นสวรรค์มาแล้ว ท่านลองคิดดู เปาโลคนนี้ รู้เรื่องหมดเยอะแยะขนาดนี้ พูดถึงก้อนเนื้อหนังของตัวเองว่าอย่างไร?  ในโรม 7:21-25 ท่านอยากรู้ไหม? เราต้องมีความหิวกระหายในถ้อยคำพระเจ้า จำไว้เลย คิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเราหิวตลอดเวลา เรื่องถ้อยคำพระเจ้า อย่างที่ผมเคยบอก ท่านคิดถึง …

“เอ๊ะ! ตรงนี้มันคืออะไร? ตรงนี้มันไม่เข้าใจเลย”

ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้น อธิษฐานสิ

“พระเจ้าตรงนั้น ลูกไม่เข้าใจ ลูกอยากรู้จักมากขึ้น ลูกไม่เข้าใจตรงนี้เลย ตรงนี้  คืออะไร? ลูกอยากรู้จักมากขึ้น”

นี่คืออธิษฐานอย่างนี้ แทนที่จะอธิษฐานขอความจำเป็นในชีวิตเยอะแยะ การกิน การอยู่ ปัญหาโน่นนี่ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ แต่พระเยซูบอกไม่จำเป็นต้องอธิษฐานมากมาย เหมือนชาวบ้านที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอก พูดไปมากๆ พระเจ้าจะได้ยิน มาตื้อๆ แล้วจะให้ ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่อธิษฐาน ก็รู้แล้ว อยากได้อะไร? ซื้อล๊อตเตอรี่ก็อยากให้มันถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าให้ถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าหิวข้าว ตอนนี้ขาดเงิน ไม่ต้องอธิษฐาน ก็รู้ อธิษฐานก็ไม่ต้องมากความ แล้วเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ใช้เวลาที่เหลือคิดถึงถ้อยคำพระเจ้า คิดถึงเรื่องสวรรค์มันคืออะไร? เคาะมันไม่หยุดเลย เรื่องสวรรค์ แสวงหาสวรรค์ ไม่หยุดเลย ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวย ไม่หยุด ไม่ใช่แสวงหาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรื่องปัญหาบนโลกใบนี้ไม่หยุดหย่อน พระองค์รู้แล้ว อยู่บนโลกนี้ มันต้องประสบปัญหาธรรมดา แต่สิ่งที่พระเยซูให้เราเคาะตลอดเวลา ขอตลอดเวลา แสวงหาตลอดเวลา มันหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ แล้วรู้ได้อย่างไร? มาทางถ้อยคำพระเจ้า มาทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็อธิษฐาน พระเจ้าก็จะสอนเราจากประสบการณ์ในชีวิต อันนี้ตรงกับถ้อยคำนั้น  อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราฟังเทศน์ อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราเปิดยูทูปฟัง อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เปิดอ่านบทความนี้ มันก็จะไปเรื่อยๆ อย่างนี้  วันแล้ววันเล่า หลับๆ ตื่นๆ แล้วมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นประโยชน์ สำหรับบรรดาผู้คนรอบข้าง เอเมน

เราอยู่ในหัวข้อเรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” วันนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อว่า “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2

ทบทวนนิดหนึ่ง ครั้งที่แล้ว เราสรุปว่าหนังสือฮีบรูที่ถูกเขียนไป เพื่อไปเตือน ชาวฮีบรูมี 3 กลุ่ม คือ …

กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเลย ปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูเลย

กลุ่ม 2 คือกลุ่มลักปิดลักเปิด แต่สรุปแล้ว ในใจลึกๆ ไม่เชื่อ แต่ข้าง

นอกดูเหมือนเชื่อ  ถูกอิทธิพลของโลกดึงดูด   จนกระทั่งในที่สุด   ก็คือไม่เชื่อ

นั่นแหละ

กลุ่ม 3 ก็คือกลุ่มคนที่เชื่อจริงๆ  เชื่อตั้งแต่ข่าวประเสริฐมาวันแรก  ก็เริ่มเชื่อๆ รับไป

เรื่อยๆ  กินไปๆ จนกระทั่งมัน หล่นตุ๊บลงไปที่วิญญาณ เกิดปิ๊งขึ้นมา กลายเป็น

บิ๊กแบงก์ กลายเป็นระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในวิญญาณ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูก

พระเจ้า

ฮีบรู 6:9-12 มาอ่านอีกทีนะ

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

เวลาอ่านถ้อยคำพระเจ้า ต้องรู้ภูมิหลังว่าเขาเขียนถึงใคร จะได้จำได้ศัพท์ จับได้ความว่าของจริงมันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดถึงกลุ่มแรก ปฏิเสธ พูดถึงกลุ่ม 2 ปฏิเสธแบบไปๆ มาๆ สรุปแล้ว คือปฏิเสธ แรกๆ ดูท่าทางรับ แต่จริงๆ คือไม่ได้รับจริง ยังกลัวอยู่ ในที่สุด ก็ปฏิเสธ กลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ก็เลยใช้คำว่า “พวกพี่น้อง” ที่ตะกี้ผมบอกให้เติมข้างหน้า มีคำว่า “But”

“แต่ว่าเราไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มนั้น  พวกเรากลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ เลย”

พูดถึงยิว ไม่ใช่เรานะ นำมาใช้ในชีวิตของเราปัจจุบัน เอามาเทียบใช้ แต่จริงๆ ที่อ่านอยู่นี้ เขากำลังพูดถึงพวกยิว กลุ่มสุดท้ายบอกว่า …

“แต่พวกเราไม่เหมือน 2 พวกนั้นนะ เราไม่ปฏิเสธ เรารับเชื่อ และตอนนี้ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว เพราะเราเกิดใหม่ในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นพี่น้องของพระเยซู เหมือนกันเลย  เพราะฉะนั้น เราพี่น้องกัน แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกลุ่มแรก คิดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ที่พระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูพูดถึงอาณาจักรสวรรค์ คนที่จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? มัทธิว 13:3-9 มาทบทวนกัน …

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

เพราะฉะนั้น ข่าวดีที่ประกาศออกไป ทั้งโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม มันจะมีอยู่ 3 กลุ่ม แต่เป็นดิน 4 ประเภท ตามที่พระเยซูยกตัวอย่าง และพระเยซูก็อธิบายให้ฟังเลยว่าที่พูดเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงอะไร? ในมัทธิว 13:18-23

มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ  มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป  นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

 

เรากำลังเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ผ่านทางหนังสือฮีบรู เรื่องความรอดของพระเยซู มาเปรียบเทียบให้ฟังกับชีวิตของคริสเตียนในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง  เรื่องอุปมาว่ามันตรงกันอย่างไร? เวลาข่าวดีไปถึงใครก็ตาม มันเกิดอะไรขึ้น จะรอดได้อย่างไร? แล้วมันเกิดปฏิกิริยาอะไร เมื่อเจอกับคนบนโลกใบนี้ เมื่อฟังข่าวดี ซึ่งเราก็สามารถสรุปให้เห็นชัดๆ คือไม่ว่าที่ใดก็ตาม เมื่อข่าวดีประกาศออกไป จะมีบุคคลอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งในหนังสือฮีบรู หมายถึงกลุ่มคนเฉพาะชาวยิว แต่จริงๆ เราเอามาใช้ได้ทั้งหมด  ทั้งโลกก็มี 3 กลุ่มเหมือนกัน คือ …

กลุ่มที่ 1 คือเย่อหยิ่ง ไม่ฟัง ไม่สนใจเรื่องพระเยซู ไม่สนใจเรื่องความรอด จบกันไปเลย เขาก็ต้องอยู่ในคำพิพากษา ลงโทษจากพระเจ้า เหมือนเดิม ไม่ใช่พระเยซูตั้งใจมาพิพากษาเขา แต่เขาถูกพิพากษา เพราะเขาปฏิเสธคนที่จะมาช่วย เขาบอกว่า …

“ไม่ต้องช่วยฉัน ฉันก็อยู่ที่เดิม” ก็คืออยู่ที่ถูกพิพากษา

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้ยินข่าวดี แล้วก็รับเชื่อ แต่พอไปเจอปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็เริ่มเขว ก็ทิ้งข่าวดีนี้ไป หรือพยายามที่จะเอาข่าวดีพระเยซู มาผสมกับพิธีกรรมอื่นๆ อะไรต่างๆ ที่จะช่วยตัวเองให้รอดด้วย  นอกจากจะเชื่อพระเยซู แล้วยังจะเชื่อว่าตัวเอง ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงได้รับความรอด ก็คือไม่เชื่อพระเยซูเต็มร้อย ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความรอด ก็ต้องได้รับการพิพากษา สรุปแล้ว ก็คือปฏิเสธพระเยซูในที่สุด

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่เกิดผล คือรักษาข่าวดีนั้น จนกระทั่งเกิดเป็นผลขึ้นมา เป็นวิญญาณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูเลย

ซึ่งพระเยซูก็เอามาสอนให้เราฟังแล้วว่า 3 กลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทชนิดของดิน ก็คือ …

ประเภทที่ 1 พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมว่าเมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดอะไรเลย ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ยังไม่เกิดความเชื่อ และมารก็มาฉกฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขาออกไป เหมือนนกที่มากินเมล็ดไปหมดเลย ยังไม่แตะดินเลย มันไปทันที เผลอๆ ลงดิน ยังไม่รู้ ก็คือไม่เอาเลย หยิ่งมาก ไม่สนใจเลย ไม่ฟัง ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย

ประเภทที่ 2 ก็คือเมล็ดพืชที่ตกลงในกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นเร็ว ดินมันมีอยู่นิดเดียวเอง เร็วเลย  แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็เหี่ยว เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับ ผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความเชื่อที่ตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึกลงไปข้างล่าง คือความเชื่อยังไม่ได้ดิ่งลงไปในใจ และไม่ได้พยายามเก็บรักษาความเชื่อนั้นไว้ จึงคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหา เกิดการข่มเหง ก็เลิกราไปรวดเร็ว ก็คือเลิกเชื่อ

ประเภทนี้ ก็คือรับรู้ข่าวดี ฟัง พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา พระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีต เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนเราในการตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของเราไป เพื่อให้เราได้รับอิสรภาพ ดีใจ อย่างนั้น เราก็ได้รับความรอด รับเชื่อด้วยปาก มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดิ่ง ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือพอกลับไปบ้าน ไปเจอกับปัญหา เจอกับการข่มเหง อาจจะญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูก ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเราลึกซึ้ง ที่เราเคารพนับถืออยู่ แล้วมาบอกเราว่า …

“แกไปเชื่อได้อย่างไร? แกจะทิ้งศาสนาเดิมเหรอ แกมองข้ามฉันไปเหรอ”

มันเจ็บ นี่คือการข่มเหง … การข่มเหง ไม่ใช่เอาไม้มาข่มขู่ หรือเอาปืนมาจ่อเรา ไม่ใช่ แค่นี้ก็ข่มเหงแย่แล้ว ลำบากใจแล้ว

หรือกลับไปที่ทำงาน ไปเจอคนมองเราเหยียดหยามมาก เป็นคนขายศาสนาตัวเอง ประมาณนี้ จริงๆ มันไม่ใช่เลย แต่เวลาเขาพูดมา ปรากฏว่าถ้าเราไม่ผ่านการข่มเหงนี้ เรากลัว ในที่สุด เราก็ทิ้งข่าวประเสริฐที่เราได้รับมา ก็มีค่าเท่ากับกลุ่มคนกลุ่มแรก คือไม่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เมื่อไม่เชื่อ ก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการถูกพิพากษาอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีหนามปกคลุม ไม่สามารถเกิดผลได้ ก็สามารถเปรียบได้กับผู้ที่รับรู้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีมาแล้ว ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวงในชีวิตนี้ และความหลอกลวงในทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็คือถูกโลกนี้ ล่อลวงเรา คือเชื่อเสร็จปุ๊บ รับรู้ ข่าวประเสริฐ ดีๆ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พอกลับไป เจออะไรนิดหนึ่ง ในนี้บอกพะวักพะวงในชีวิต กลับไป สมมตินะ มาตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งตอนนั้นพอดี

ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญมาก ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งพอดี รักเขาสุดหัวใจ พะวักพะวง ปรากฏว่าฝ่ายผู้หญิง ทั้งบ้าน ไม่ยอมให้แต่ง ถ้าคุณยังเชื่อพระเจ้าอยู่ ไม่ต้องมาแต่งเลย  แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร? คุณจะทิ้งพระเจ้าไปไหม? ผมไม่ตอบนะ ผมให้เป็นคำถาม นี่แหละคือพะวักพะวง และยังมีอีกหลายเรื่อง

กลับไปถึงที่ทำงาน แล้วก็เจอหลายๆ ปัญหา ต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับพระเยซู ในที่สุด เอาเลื่อนตำแหน่งดีกว่า ไม่เอาพระเยซู นี่แหละ คือพะวักพะวง จะเอาอย่างไรกันแน่ ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะ แต่ให้ท่านรู้มันหมายถึงอย่างนี้แหละ

ยังมีที่ถูกการล่อลวงของโลกใบนี้ ก็คือความโลภในลาภยศ ในทรัพย์สมบัติ สมมติว่าพอท่านเชื่อ ท่านกลับไป พ่อบอกไม่ให้มรดกนะ มรดกพ่อมีแค่ประมาณหมื่นล้านบาท ไม่ให้เลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้ายังเชื่อพระเยซูอยู่ ไม่ต้องมาเอาเลย จะเอาอย่างไรดี? เอาเงินหรือเอาพระเยซูดี เอาเงินดีกว่า ตอนนั้นนะ พูดตอนนี้ มันพูดได้ ถึงจริงๆ จะรอดไหม? เราไม่รู้หรอก อย่านึกว่าตัวเองแน่ เคยได้ยินตรงนี้ไหม? เวลาคนเขาคอรัปชั่น เราอย่าไปพูดมาก

“ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เอาหรอก ขายชาติ อย่างนี้ ไม่ถูกต้องเลย”

อย่าพูดๆ เพราะว่าถึงเราเองจริงๆ เราอาจจะทำหนักกว่านั้น ก็ได้ สมมติเขาโกงไปพันล้าน ไปว่าเขาต่างๆ  อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ

“เป็นฉัน ฉันไม่หรอก”

เป็นท่าน เขาเอามาให้ร้อยล้าน ท่านอาจจะบอกว่า …

“ไม่มีทาง ฉันยึดความถูกต้อง”

“เอาไปสองแล้วกัน”

“ไม่มีทาง”

“เอาไปห้า”

“โอเค หยวนน่า”

ห้าร้อยล้าน ท่านก็ไปแล้ว นี่เขาตั้งพันล้าน เขาดีกว่าท่านตั้งเยอะ อย่าพูดว่าเราไม่ทำ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อตกไปในการล่อลวงแล้ว มันเป็นไปได้ทุกคนแหละ รวมทั้งเราด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้

อย่างที่บอกรับรู้ข่าวประเสริฐมา แล้วไปเจอการล่อลวง โธ่! เอ๋ย เรื่องแค่นี้ ทิ้งพระเยซูไปแล้ว เอาไว้เจอกับคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเลือกข้าง มันไม่ใช่เล่นๆ จริงไหม? พี่น้อง ต้องผ่านการเลือกมาแล้วทั้งนั้น ที่เลือกถูก ก็เพราะว่าข้างในมันเกิดใหม่แล้วจริงๆ สุดท้ายนั้น  มันต้องผ่านกระบวนการ การทดสอบอย่างนี้ จนกระทั่งมัน ไม่เอา เอาพระเยซู ท่านรู้ไหมว่าท่านบอกไม่เอา ทรัพย์สมบัติไม่เอา อะไรไม่เอา แล้วมาเอาพระเยซู บางครั้งที่พูดไปอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปอย่างนั้น มันยังไม่ไหลลงไปในวิญญาณท่าน ท่านยังไม่บังเกิดใหม่เลยนะ ท่านเพียงแต่เริ่มต้นแค่รับรู้เมล็ดนี้เท่านั้นเองนะ แต่เมื่อมันผ่านไปวันแล้ววันเล่า พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเชื่อจริงๆ มันไหลลงไปเรื่อยๆ จากการข่มเหงอันนี้ ท่านผ่าน มันก็ไหลลงไป จากการทดสอบ ล่อลวงของโลกใบนี้ เรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียงต่างๆ ท่านก็ผ่าน ก็ไหลลงไปอีก ท่านยังเลือกพระเยซูอยู่ อาจจะไปอีก 20 ครั้ง ครั้งที่ 20 มันปิ๊ง ก็คือมันไหลลงไป ที่วิญญาณท่านเกิดบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นในวิญญาณของท่าน เกิดการเนรมิตขึ้นมาถึงวิญญาณของท่าน บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาล่อลวงท่านได้แล้ว เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริง เอเมน และตรงนั้น คือดินประเภทที่ 4 ที่เรากำลังจะพูดถึง

เพราะฉะนั้น ดินประเภทที่ 2 กับ 3 รวมแล้ว ก็คือกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มคนที่ 2 ที่ไม่เชื่อ ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระเยซูนั่นเอง

ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และมีความเข้าใจ รับรู้ เก็บรักษาความเชื่อไว้อย่างดี จนกระทั่งความเชื่อนั้นหยั่งรากลึกลงไปในใจ ไปเรื่อยๆ ที่พระคัมภีร์บอกมันจะเกิดผลเป็น 100 เท่า 30 เท่า เกิดผลแน่นอนกี่เท่าก็แล้วแต่พระวิญญาณ เกิดใหม่แล้ว นั่นคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เอเมน ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถรู้ตัวท่านเองอยู่ในสถานะอะไร? ท่านอยู่ในกลุ่มไหนตอนนี้ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 แล้วถ้าท่านอยู่ในกลุ่ม 2 ท่านอยู่ในประเภทตอนไหน? ตอนนี้ กลุ่ม 2 ประเภทที่โดนอะไรข่มเหง หรือมีพะวักพะวงในชีวิต อะไรบางอย่าง กำลังเลือกทางอยู่ หรือกำลังไม่แน่ใจ แต่ท่านอยู่ในระหว่างรักษาข่าวดีนี้ไว้ตลอดเวลาไหม? เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ใครก็ตามที่ดิ่งลึกลงไปในใจ วิญญาณปิ๊งขึ้นมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างที่ผมบอกตอนแรก ท่านจะรู้ว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่าทำอย่างนี้ ตกนรกไหม? ทำอันนี้ เป็นอย่างนั้นไหม? เพราะข้างในบอกท่านเองทั้งหมดเลยว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เอเมน รักษาตรงนี้ไว้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง

เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย คือคนที่บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระหัตถ์แล้ว ไม่มีหลุดรอดไปไหนแล้ว พระคุณของพระเจ้า ช่วยคนชั่วอย่างฉันเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่มีการย้อนกลับมาอีกแล้ว ซึ่งเราได้ย้ำกัน ด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ สรุปจบในเรื่องนี้มาหลายครั้ง เที่ยวนี้ก็จะใช้ข้อนี้อีก โรม 8:31-39 อ่านให้ชัดๆ ว่าเราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย กลุ่มที่รักษาข่าวประเสริฐ รักษาข่าวดี เมล็ดของข่าวดีนี้ไว้ จนกระทั่งมันไหลลงไปในวิญญาณ เกิดเป็นบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดฤทธิ์อำนาจ เกิดการระเบิดใหญ่เข้าไปในวิญญาณ เรียกว่านิวครีเอชั่น เรียกว่าถูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ Power of Holy Spirit ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ได้บังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า พอเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างที่โรม 8:31-39 อ่านดู นี่คือตัวฉันเอง ตัวฉันที่เป็นวิญญาณจริงๆ นะ

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”

ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์  โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เรามาต่อในซีรี่ส์ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 3 “ความรอดนิรันดร์ โดยเชื่อในพระเยซูเท่านั้น”

ทบทวนกันสั้นๆ ประเด็นหลักๆ ที่เราเรียนรู้กันที่ผ่านมา

(1) ความหมายของคำว่า “เราเป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดนิรันดร์ (ในทางวิญญาณแล้วจริงๆ) ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้วจริงๆ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าทำอะไรได้บ้าง? ทำอะไรไม่ได้บ้าง? เพราะไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เราสูญเสียความรอดนิรันดร์ได้อีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเชื่อในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ

(2) ผู้ที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นไทแล้วจริงๆ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าเฉยๆ แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความประพฤติเลย  เป็นพระคุณพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว

(3) ผู้ที่จะได้รับการบังเกิดใหม่จะต้องผ่าน 2 ขั้นตอนนี้เสมอ ตามพระคัมภีร์ คือ …

3.1 คนนั้นจะต้องได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูก่อน เรียกว่าได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น มีคนมาประกาศ แจกใบปลิว หรืออะไรก็ตาม ฟังจากวิทยุ โทรทัศน์ มีเพื่อนมาพูด คนนั้นจะต้องได้ยินก่อน

3.2 เริ่มต้นเชื่อ คือเริ่มต้นรับเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ ที่ตัวเองได้รับมานั้น แล้วก็ได้เก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ ไม่ปฏิเสธ รับไว้ เริ่มต้นเชื่อว่ามันจริง เหมือนเพลงที่เราร้องกันสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดนิรันดร์ในทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในทางพระเจ้า การรับบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เขาเรียกว่าพิธี เขาก็บอกให้เราร้องเพลงเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเพลงหนึ่งที่เราร้องกันในนั้น ก็คือ …

“ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

แม้ว่ากลับไปบ้าน กลับไปสู่ชีวิตเดิม ออกจากพิธีไปเรียบร้อยแล้ว เจออะไรก็ตาม ก็คือจะรักษาความเชื่อนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่รู้เวลาไหน? วันเวลาใด เจ้าความเชื่อนั่น มันดิ่งในวิญญาณของเขา การบังเกิดใหม่ ลึกลงไปในใจ มันบังเกิดมาปุ๊บ เป็นการระเบิดเปรี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ เหมือนตอนพระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ด้วยความซุปเปอร์แบงค์ ระเบิดเปรี้ยงออกมา เขาบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที เริ่มต้นเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ และไม่มีใครเอาเขาออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว

เราก็ได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งเป็นจดหมายฝาก ซึ่งชาวฮีบรู ผู้เชี่ยวชาญ ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เดิม ประเพณี การปฏิบัติ ในบัญญัติสมัยโมเสส ที่พระเจ้าสั่งไว้เยอะแยะมากมาย ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขารู้ทั้งสองอย่าง เขาก็เลยเขียนจดหมายมาแนะนำ มาสอน มาเตือน ให้บรรดาพี่น้องได้รู้เรื่องนี้  พี่น้อง ก็คือชาวยิวทั้งหลาย ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่ไม่ใช่ยิว เพราะฉะนั้น อ่านหนังสือจดหมายฝากฮีบรู จงนึกไว้ว่าเขาเขียน ถึงคนที่เป็นยิว คนที่ไม่ใช่ยิว ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เพียงแต่บางอันประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้บ้าง

หนังสือฮีบรู เขียนสมัยตอนพระเยซูพึ่งจะเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานใหม่ๆ ช่วงประมาณ 30 ปีนั่น ไม่รู้เขียนตอนไหน? ซึ่งเนื้อหาในพระคัมภีร์ฮีบรูจะเน้นในเรื่องแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซู คือผู้ที่จะมาทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าได้ทำการบอกล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งแต่ในสมัยอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเรา ที่เรียกว่าพระคัมภีร์เดิมจดบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูจะมาเกิดอย่างนี้ แล้วก็ให้โมเสสและชาวยิวเป็นตัวแทน ทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง สมัยพระคัมภีร์เดิม โมเสส ที่หนังสือฮีบรูเรียกว่าเป็นเงาของพระเยซูที่จะมาทำให้สำเร็จในอนาคต ซึ่งตอนที่เขียนจดหมาย ฉบับฮีบรูนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว

นี่คือรายละเอียดต่างๆ ซึ่งพูดย่อๆ ในเรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของหนังสือฮีบรู เวลาจะศึกษาพระคัมภีร์ ต้องศึกษาให้ละเอียดว่าเขาเขียนถึงใคร? ลักษณะอย่างไร? ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา เอาประโยคเดียวมาใช้ มันก็ผิดๆ ถูกๆ

เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ หลายครั้งเราเอาแค่ประโยคเดียวมา แล้วก็บอกว่าอันนี้เป็นอย่างนี้แหละ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ เรากำลังทำการฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดหรือเปล่า? อาจจะจริงก็ได้ อาจจะใช่ก็ได้ แต่ว่าอันตราย วันนี้เรามาต่อ บทที่ 6

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

ผู้ที่เขียนนี้  ก็เดินอยู่ท่ามกลางเขาเหล่านั้น บางคนก็เป็นเพื่อนกันกับชาวยิวด้วยกัน ผู้เขียนกำลังบอกว่าในบรรดาชาวยิว หลายคนก็เดินอยู่กับพระเยซู เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ ได้เห็นพระเยซูเรียกคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เห็นลาซารัสเดิน เห็นคนตาบอดมองเห็นอย่างอัศจรรย์ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเยซูผิดกว่ามนุษย์คนอื่นมากมาย เป็นการพิสูจน์ว่าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มันจริงนะ มีอยู่ผู้เดียวที่ทำอย่างนี้ได้ ตั้งแต่โลกนี้มีมา แล้วก็ได้ฟังพระเยซูพูดเลย  บางคนไม่ได้เห็นพระเยซู แต่เห็นอัครสาวกรุ่นแรกๆ อย่างเปโตร ยากอบ ยอห์น ทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้เห็นกับตา ได้ฟังข่าวประเสริฐ และได้เห็นอะไรมากมายต่างๆ เหล่านั้น

คนเขียนก็บอกว่าคนเหล่านี้ได้รับรู้แจ่มแจ้งด้วยตาตัวเอง  ถึงแม้จะได้เห็น ได้เป็นพยานในการอัศจรรย์เหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็น จะเชื่อเหมือนกันหมด ใช่พระเจ้าแน่ เห็นแล้ว บางคนก็เชื่อจริงๆ รักษาความเชื่อไว้ จนกระทั่งบังเกิดใหม่จริงๆ อย่างเช่น เปโตร หรือมาระโก หรือแม้กระทั่งเปาโล … เปาโลแรกๆ ก็ไม่เชื่อ จนในที่สุด ก็ต้องยอมเชื่อ ด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์เหมือนกัน บังเกิดใหม่เหมือนกัน แต่คนที่มองๆ ดูแล้ว เห็นกับตาไม่เชื่อ นี่แหละกำลังพูดถึงคนเหล่านั้น  ที่ตัวเองก็เคยลิ้มรสแล้ว เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ไม่เชื่อ แล้วยังมีบางพวกที่หนักกว่านั้น ก็คือไม่เชื่อว่าเป็นอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้า หาว่าพระเยซูเป็นพวกผี เพราะว่าเจ้านายเป็นผี เป็นพวกซาตาน พระเยซูบอกว่าอย่างนี้ เป็นพวกหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นพระเยซู หรือเห็นอัศจรรย์ หรือเห็นการงาน ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของแท้จริงๆ แล้วจะเชื่อพระเจ้านะ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น   เพราะฉะนั้น ปรับมาประยุกต์ใช้กับพวกเราในปัจจุบัน บางคนคิดว่าถ้าวันนี้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่อีกทีหนึ่ง หรือไม่พระเยซูปรากฏเดินอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งโลกคงจะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูหมดเลย เหมือนกับเรา ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี  อันนี้เป็นสัจจะธรรม เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ ทำอะไรต่างๆ ให้เห็นกับตาว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ โดยการพิสูจน์แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะได้รับผล ตามที่มนุษย์คิด มันไม่ใช่วิธีนั้น มันเกิดใหม่ในวิญญาณ มันไม่ใช่เกิดใหม่ทางด้านตามองเห็น ต่อให้เรียกคนมาตอนนี้ แล้วมีใครบางคนมีความเชื่อตรงนี้ แล้วก็เรียกเขาขึ้นจากความตาย ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทั้งประเทศจะมารู้จักพระเจ้า อย่าว่าทั้งประเทศเลย เอาแค่ห้องนี้ ห้องเดียว สมมติถ้ามีคนไม่เชื่อสัก 10 คน ผมเชื่อว่าทั้ง 10 คนนั้น อาจจะเชื่อสัก 2 คนจริงๆ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะเริ่มต้นเชื่อ แล้วรักษาความเชื่อต่อไป เห็นวันนี้ คนนี้เป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ เชื่อๆ กลับไปบ้านเจอตอ เจอการข่มเหงรังแก เดี๋ยวอีก 3 วันก็ลืมไปแล้ว ลืมวันที่เห็นคนนี้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ มีผู้เชื่อ อธิษฐานในนามพระเยซู เขาเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ ยังเดินอยู่เลย  แต่ตัวเขาเอง เขาไม่เชื่อแล้ว ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหวังสิ่งเหล่านั้น

และท่านเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหมครับ เวลาที่ไปต่างประเทศ สมมติคนที่ชอบไปทัวร์  พอแวะเมืองแรก เจอของที่อยากได้ กะจะซื้อมาเก็บหรือซื้อมาฝากก็แล้วแต่ แจ๋วเลย  ไปดูๆ จับๆ ใช่เลย ดีแล้ว แต่ไม่ซื้อหรอก หวังว่าไปเมืองต่อไป รัฐต่อไป อาจจะถูกกว่านี้  อันนี้ยังไม่ดีพอ จริงๆ มันดี แต่ยังๆ ขอเลือกต่อ ยังมีอีกหลายแห่งที่ต้องไป ปรากฏว่าวันพรุ่งขึ้น ไปอีกแห่งหนึ่ง มันถูกกว่าจริง แต่ไม่ใช่ของแท้ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้ก็ดี แต่มันยังไม่ใช่ ในสิ่งที่ต้องการ ไปอีกเมืองหนึ่ง อันนี้เขาบอกแน่นอน แพงระเบิดเลย ไม่มีเงินพอ ในที่สุด นึกขึ้นมาได้ อันแรกที่เจอวันแรก มันของแท้และถูกมากเลย เกือบจะฟรีเลย ก็เลยพูดคำนี้ …

“รู้อย่างนี้”

แปลว่ามันพลาดไปแล้ว “รู้อย่างนี้” ปรากฏที่รู้อย่างนี้ พูดตอนไหน? พูดตอนยืนอยู่ที่สนามบิน กำลังเดินทางกลับเมืองไทย หมดโอกาส จะกลับไปร้านเดิมได้ไหม? รู้อย่างนี้ สั้นๆ ก็คือเหมือนคนที่หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่างแล้ว พึ่งจะรู้ว่า …

“รู้อย่างนี้ ฟังข่าวประเสริฐวันนั้น ฉันเชื่อก็ดี มันเป็นจริงๆ พระคัมภีร์พูดไว้จริงๆ เพื่อนฉันพูดข่าวดีกับฉันนั้น เป็นเรื่องจริงว่าให้เชื่อพระเยซูไว้ พระเยซูเป็นทางเดียวที่นำไปสู่ความรอด รู้อย่างนี้ มันก็สายไปแล้ว”

เปรียบเหมือนคนที่ได้รับฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีแล้ว ได้จับ ได้ชิม ได้ลองดูแล้ว นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ตัดสินใจ เพราะคิดว่าอาจจะมีสิ่งอื่นรออยู่ที่ดีกว่า อาจจะมีข่าวที่ดีกว่านี้

ถ้าพูดย้อนกลับไปถึงชาวยิวในสมัยนั้น เขาคิดอย่างนี้จริงๆ มีคนยิวหลายคนในสมัยนั้น ก็คิดอย่างนี้จริงๆ เขาเห็นกับตาว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์อย่างไร? ผู้ที่เชื่อพระเยซู อัครสาวกที่ประกาศข่าวดีกับการอัศจรรย์อย่างไร? และมาฟังถ้อยคำพระเจ้า มันตรงเป๊ะว่า …

“นี่ตรงเป๊ะกับที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมที่เขาเคยอ่านมา เขาได้เรียนมาตั้งนาน ตั้งเยอะแยะ ในพระคัมภีร์เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูจะเป็นอย่างไร? จะมาเกิดอย่างไร?  จะตายที่ไม้กางเขนอย่างไร? และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์อย่างไร?”

แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะคิดว่าอาจจะมีพระมาสิยาห์ องค์ต่อไป ที่เก่งกว่านี้อีก รอก่อนแล้วกัน ซึ่งเขาก็รอกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังรออยู่ก็มี

“พระมาซีฮาห์” หมายถึงผู้ที่ถูกเลือกสรร ผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ผู้ที่ถูกพระเจ้าใช้ให้เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษยชาติ ได้มาเกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อเขาไม่เชื่อ เขาก็รอไง

ในข้อ 5 กับข้อ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า “ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

สมมติว่าผมพาคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า แล้วรับเชื่อพระเจ้าแล้วต่อหน้าผม แล้วก็ทิ้งพระเจ้าไป ผมเสียหน้าไหม? ผมบอกว่า …

“โดยฤทธิ์เดช แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ และการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อพระเยซู ท่านจะได้รับความรอด เพราะพระเยซู ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จงรับเชื่อพระเยซูเถิด”

ปรากฏว่าเขารับข่าวดีนี้ไป เขาเชื่อในพระเยซูว่าเขาได้รับความรอด เขาเชื่อในถ้อยคำข่าวประเสริฐ วันหนึ่งเขาทิ้งพระเจ้าไป เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ได้ทำสำเร็จแล้ว เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่บุตรพระเจ้า เขากำลังบอกว่าพระเยซูไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  ไม่ใช่พระมาซีฮาห์ เขากำลังจะบอกว่าพระเยซูโกหก และคุณนครก็ไปเชื่อพระเยซู แล้วคุณนครก็เลยโกหกตาม โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไร? เขาแค่ทิ้งไปแค่นั้น มันหมายความว่าอย่างนั้น

ปรับมาใช้กับยุคปัจจุบัน หลายครั้ง เราอาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้  ถ้าเรายังไม่ได้เกิดใหม่จริงๆ ทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล หมายถึงในหมู่ชาวยิว อย่างที่บอกเขียนไปหาชาวยิว คนนี้ที่เริ่มต้นเชื่อ อาจจะเป็นปุโรหิตเก่า หรือเป็นปุโรหิตตอนนั้น เชื่อแล้วยังไม่แน่ใจ เอาอย่างไรดี? ในที่สุดทิ้งความเชื่อไป คนในสังคมชุนนุมชนยิวเขาจึงบอกว่า …

“เห็นไหม? ถ้าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์จริง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริง นายคนนี้มาเชื่อ แล้วออกไปทำไม? นี่เป็นพยานให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูไม่จริง ถ้าจริง คนที่เชื่อคนนี้ ก็ต้องเชื่อต่อไปสิ”

พูดง่ายๆ เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยการปฏิเสธข่าวดี ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ตัวจริง ปฏิเสธพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านพอเห็นภาพนะ เขากำลังบอกว่าถ้าพระเยซูทำสำเร็จตามที่พระองค์พูดบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ไม่ต้องรักษาบัญญัติต่างๆ ต่อไปแล้ว แต่คนนี้ พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็กลับไปทำพิธีล้างบาปให้ตัวเอง ยังกลับไปถวายสัตว์ ยังกลับไปทำพิธีอีกอย่างอื่น เขาไม่ต้องพูด แต่การกระทำของเขา กำลังบอกว่าพระเยซูพูดไม่จริง เป็นการปฏิเสธพระเยซู การลบหลู่พระเยซู ลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระวิญญาณเท่านั้น ที่เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงที่มาบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระเจ้าตัวจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระบิดา ให้กับมนุษย์ทั้งหลายได้รับรู้ แต่คนที่บอกว่า …

“ฉันก็เชื่อนะ ฉันเห็นสาวกหลายๆ คน เพื่อนฉันเอง เปโตรเปลี่ยนไปเยอะเลย ฉันเชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยฉันได้ ฉันได้รับความรอด แต่สิ่งที่ฉันเคยทำตั้งแต่อดีตมา จนกระทั่ง ถึงอายุ 70 กว่าแล้วเนี้ย ในวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสั่งให้ทำ ตั้งแต่บรรพบุรุษมา ฉันเลิกไม่ได้ ฉันต้องทำต่อไป เพราะว่าฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันเอาชัวร์ๆ ดีกว่าว่าถ้าเกิดเปโตรพูดผิด ข่าวประเสริฐผิด ฉันยังช่วยตัวเองได้ เอามาชำระบาปด้วยตัวเอง ทำพิธีเหล่านี้ ท่านว่ามีคนเป็นแบบนี้ไหม? มี แล้วถามว่ามีคนแบบนี้แล้ว เรียกว่าได้รับความรอดไหม? ได้รับการบังเกิดใหม่ไหม? มีโอกาสบังเกิดใหม่ไหม? เป็นไปไม่ได้ ลองปรับมาเข้ากับปัจจุบัน ใครที่มั่นใจว่าท่านเชื่อในพระเยซูจริงๆ ท่านบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ท่านมั่นใจมากว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเชื่อไหมว่าท่านสามารถกลับไปทำอย่างเดิมได้ อย่างพิธีที่เคยทำอย่างเดิม ความเชื่อเดิม สมัยก่อน เอาข้อเดียวพอ ท่านจะทำสักครั้งหนึ่งได้ไหม? วันเกิดท่านครั้งต่อไป ไปสะเดาะเคราะห์ ท่านจะทำไหม? ไม่ทำ นี่แหละ อันเดียวกันกับที่บอกว่าท่านจะเห็นชาวยิว หนังสือฮีบรูที่เขียนไปหาเขา มันเป็นอย่างไร? การสะเดาะเคราะห์กับการที่เขาเอาสัตว์ไปถวายบูชาให้กับพระเจ้า เป็นประเพณีเดิมของชาวยิว มันก็อันเดียวกัน เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องการชำระบาป ถ้าเชื่อพระเยซู จนสนิทใจ จนบังเกิดใหม่แล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะมันสะอาดแล้ว แต่ถ้าเชื่อไม่สนิทใจ มันยังคั่งค้างอยู่ มันอยากจะทำ มันไม่สะอาดสักที มันก็สะเดาะเคราห์ ในวันเกิดของเรา ในปีนี้ เพราะปีต่อไป เราก็ต้องสะเดาะห์ต่อ สะเดาะห์ไปเรื่อยๆ

คำว่า “เกิดใหม่” ไม่ใช่รอให้ตายไป แล้วเกิด เกิดใหม่ เกิดเดี๋ยวนี้ ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ต้องเกิดใหม่ วิญญาณเขาต้องเป็นใหม่แล้ว ตอนที่อยู่ในร่างกายนี้  ถ้ารอให้ออกจากร่างกาย มันสายไปแล้ว

ท่านไม่สามารถเอาพระเยซูเป็นตัวสำรองได้ และท่านก็ไม่สามารถเชื่อพระเยซูเป็นตัวเอก และเอาอันอื่นเป็นตัวสำรอง ก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านรับพระเยซูเป็นตัวเอก ท่านจะไม่เอาตัวสำรอง เพราะท่านรู้ว่าท่านพึ่งและวางใจ และหวังใจในความสามารถของตัวเองนี้ได้  ท่านจะไม่มีสำรองอีกต่อไป

ข่าวประเสริฐมีมาไว้ สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ได้มีไว้ สำหรับวิญญาณ ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับประกาศไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น วิญญาณไม่เกี่ยว เมื่อมนุษย์ตายไป  หยุดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ก็จบการเป็นมนุษย์ เมื่อจบการเป็นมนุษย์ ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ก็ไม่มีผลอะไรกับเขาอีกต่อไป  ดูในฮีบรู 6:7-8

ฮีบรู 6:7-8 “7 ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ำเสมอ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้น ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่า และตกอยู่ในอันตรายจากการถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง”

 

ถ้อยคำตรงนี้ เปรียบให้เห็นถึงผืนแผ่นดิน 2 แห่ง 2 ลักษณะ หรือกลุ่มผู้เชื่อ 2 พวก กลุ่มคน 2 พวกที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อข่าวประเสริฐ

พวกหนึ่ง คือแผ่นดินที่ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ และให้พืชผลอันเป็นประโยชน์ ก็คือพวกที่ผ่านขั้นตอน 3 พวกที่ผมพูดไว้ คือได้รับฟังข่าวดี  เชื่อในข่าวดีนั้น  และเก็บรักษาข่าวดีนั้นไว้ จนกระทั่งความเชื่อในถ้อยคำนั้น ค่อยๆ ดิ่งลึกๆ ลง จนเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณขึ้นมา ที่เขาเรียกว่าบิ๊กแบงค์ เกิดการเนรมิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในวิญญาณ ในร่างกายของคนๆ นั้น เรียกว่าบังเกิดใหม่ นิวคีเอชั่น ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม สะอาดหมดจด ในข้อนี้บอกว่า …

“เป็นแผ่นดินที่ให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูก และได้รับพรจากพระเจ้า”

ฝน ก็คือน้ำ  น้ำฝน ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผืนแผ่นดิน ก็คือคน มนุษย์บนโลกใบนี้  เมื่อได้ข่าวดี น้ำฝนมานะ จะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? มันจะมีผลออกมาอย่างไร?

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือในข้อที่ 8 ที่บอกว่าเป็นผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็ก หนามใหญ่ เป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ค่า ก็คือพวกที่ได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เอา พวกนี้ ก็จะตกอยู่ในอันตราย  จากการถูกสาปแช่ง เพราะว่าในพระคัมภีร์ตะกี้บอก ในที่สุด ก็จะถูกเผาทิ้ง ความหมาย ก็คือเมื่อปฏิเสธข่าวดี ไม่มีปฏิกิริยาต่อน้ำฝน คือข่าวดีที่เข้ามา ไม่เกิดผลเลย  แห้งแล้งอยู่เหมือนเดิม  ก็คือปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้า  ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ก็ไม่มีทางอื่นใดเลย  ที่จะได้รับความรอดอีกแล้ว สุดท้ายก็จะได้รับโทษของความบาปและความตาย ซึ่งโทษนั้น ตามพระคัมภีร์บอกไว้ ก็คือบึงไฟนรกเผาผลาญนั่นเอง และข่าวดีสำหรับผู้ที่รับเชื่อแล้ว ผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูจริงๆ และเก็บรักษาความเชื่อนี้ไว้อย่างนี้ จนกระทั่งความเชื่อนั้น ได้ดิ่งลึกลงไปในใจ จนกระทั่งบังเกิดใหม่ สิ่งที่จะได้รับนั้น  ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ในฮีบรู 6:9-12 ได้บันทึกตรงนี้ไว้

ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”

 

กำลังจะบอก “แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงแม้จะถูกข่มเหงรังแก เราก็อดทน รักษาความเชื่อไว้ เพราะวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้วนะ เราเป็นลูกพระเจ้า  รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอดนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว แปลว่ามันไม่ได้สุขสบาย ในนี้บอกว่าต้องอดทนนะ อาศัยความเชื่อและความอดทน

ในคำอุปมา ที่พระเยซูสอนบรรดาสาวกตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์เคยสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลักษณะอย่างนี้ เกี่ยวกับสวรรค์แบบนี้ แผ่นดินสวรรค์อาณาจักรเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็พูดเป็นคำอุปมา เปรียบเทียบ ผู้ที่เชื่อประเภทต่างๆ

พระเยซูบอกว่าผลที่เราจะได้กับการหว่านเมล็ดพืช  … เมล็ดพืช ก็คือข่าวดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมล็ดที่เราหว่านออกไปนั่น มันไปตกอยู่ที่ดินประเภทใด ดินที่กินน้ำได้ดีไหม? หรือไม่ดี ไม่ยอมกินน้ำเลย เราหว่านด้วยวิธีการเดียวกันหมด แต่ผลที่ได้รับไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราหว่านลงไปอยู่ที่ไหนต่างหาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหว่าน แต่ขึ้นอยู่กับการรับเมล็ดที่หว่าน มัทธิว 13:3-9 ดูสิ พระเยซูสอนว่าอย่างไร?

มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป  เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี  ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”

 

“ใครมีหู จงฟังเถิด” แสดงว่าบางคนไม่มีหูเหรอ? ตอนที่พระเยซูเดินอยู่ บางคนหูด้วนเหรอ? หูขาด ก็ยังได้ยินอยู่นะ ไม่มี กำลังบอกถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณ ให้ฟัง พระเยซูบอกว่า …

“แกะของเรา เขาก็จำเสียงได้เรา ถ้าไม่ใช่แกะของเรา เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง”

ยกตัวอย่างในฮีบรู มี 3 ประเภท ดังนี้ …

ประเภทที่หนึ่ง คือเชื่อในข่าวดี รักษาไว้ จนกระทั่งมันดิ่งในวิญญาณ และบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เดินอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะเข้าไปอยู่กับเขา เขาจะเป็นลูกของเรา เขาจะเป็นประชากรของเรา จะไม่มีใครสอนเขา เรื่องเราอีกต่อไป เราจะสอนเขา โดยส่วนตัว เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้เลย อยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ขณะนี้เลย แล้วเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วเขาสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังด่าคนนั้นอยู่เลย เมื่อตะกี้ขับรถมา ยังด่าคนนั้นอยู่เลย ยังหงุดหงิด ทนไม่ไหว แต่เขารู้ภายในใจว่าเขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาไม่ได้สะอาดหมดจด เพราะการกระทำของเขา แต่เขาสะอาดหมดจด เพราะว่าเขาเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมเอาไว้ แต่งตั้งเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเขา จนสะอาดหมดจด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีตำหนิใดๆ เลย  พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว  สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น เขาเชื่อ เขามั่นใจตรงนี้ เขาจึงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างนั้นตลอดไป เอเมน ใครเป็นอย่างนี้ …

“เมื่อเช้าก็ไปด่าเขา ตกนรกแน่เลย เดี๋ยวไปบ้าน จดไว้นิดหนึ่ง กลับบ้านไป ขอพระเจ้ายกโทษที เอ๊ะ แล้วอันไหนที่ยังจำไม่ได้ เราจะตกนรกไหมเนี้ย อันอื่นจำไม่ได้ ไม่แน่ใจวันก่อนนี้ ทำท่าอยากจะซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่รู้ว่ามันบาปหรือเปล่า? เพราะว่าถ้าซื้อล๊อตเตอรี่เห็นเขาบอกว่าบาป เราอยากซื้อ แต่ไม่ซื้อมันบาปไหม? เขาบอกว่าไม่บาปนะ ถ้าอยากเฉยๆ ไม่ซื้อไม่บาป แต่พระเยซูบอกว่าแค่เห็นหญิง มีความกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว อันนี้เท่ากับที่เราจะซื้อล๊อต เตอรี่แล้วเราไม่ซื้อ แต่เราอยากซื้อ เท่ากับเราร่วมการซื้อไปแล้วหรือไม่? คิดไม่ตก สรุปว่าเราไปนรกหรือเปล่า ไม่แน่ใจ นอนไปกลัวไป

“ขอปรึกษาอาจารย์ คือเมื่อวานนี้ จะขึ้นรถเมล์ มันไม่จอด ไม่จอดไม่พอ มันวิ่งลงน้ำ กระเด็นขึ้นมาเลอะหมดเลย ปกติ ดิฉันก็เป็นคนอภัยให้เขาเสมอ วันนั้นมันทนไม่ไหวจริงๆ ด่าตามหลังไปเลย ด่าเสียๆ หายๆ เศร้ามาถึงวันนี้ 7 วันแล้ว ยังไม่หายเลย รู้สึกจะตกนรก อาจารย์อย่างนี้ตกนรกหรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าถ้าเราไม่อภัยคนอื่น พระเยซูก็ไม่อภัยให้เราด้วย”

เก่งนะ ข้อพระคัมภีร์จำแม่นเลย ให้เราอภัยให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะได้อภัยให้เรา

“ยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ชุดแต่งมาอย่างดี กะจะไปโบสถ์ โบสถ์ก็ไม่ได้ไป เลอะไปหมดเลย  ไปไม่ทัน ยังโมโหไม่หายเลย อาจารย์อย่างนี้ตกนรกไหมเนี้ย?”

แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? ไม่ตกเหรอ แต่รถมันตกหลุม น้ำกระเด็นขึ้นมา ไม่ตกเหรอ? แต่มันทนไม่ไหว อภัยให้เขาไม่ได้เลยนะ แล้วอย่างนี้พระบิดาจะอภัยให้เราเหรอ นอนไม่หลับมา 7 วันแล้ว ช่วยทีเถอะ  ผมก็จะบอกว่ามาฟังครั้งหน้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว  เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถึงช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คือรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในมหาจักรวาล เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลยนะ

วันนี้เราก็จะต่อจากครั้งที่แล้ว คือเรื่องเพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ ตอน 2 “เป็นไทแล้วจริงๆ” คือเราได้รับความรอดจากบาป ได้รับการชำระจากโทษแห่งความบาปและความตาย ทางฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือเราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หรือข้อบังคับใดๆ อีกต่อไป (หมายถึงทางโลกฝ่ายวิญญาณ) เราไม่ต้องคอยกังวลว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? นี่หมายถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่าเผลอไปทำผิด หรือบาปอะไร แล้วทำให้เราสูญเสียความรอดนี้ไป เพราะพระคัมภีร์บอกว่าไม่มีอีกแล้ว ถ้าเราได้รับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จากการเชื่อจริงๆ เรื่องข่าวดีของพระเยซู เราได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ พระเจ้าดูแลเรา ปกปักษ์คุ้มครองเรา อยู่ในความรอดนั้นตลอดไป

จากบทบัญญัติตามพันธสัญญาเดิม ที่เป็นกฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกคนต้องทำตาม ใครไม่ทำตามต้องถูกลงโทษ หรือเรียกว่าถูกสาปแช่ง พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Telelestai ทำให้สำเร็จแล้ว ยุคแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็กลายมาเป็นยุคพระคุณ ที่ให้เปล่าๆ ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีคำว่า “ต้องทำ” หรือ “ห้ามทำ” แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยพื้นฐานของความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ซึ่งพื้นฐานนี้ ก็เต็มไปด้วยความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน ทำตามคำสอน ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูสอนว่าบทบัญญัตินี้ สำหรับคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู “ห้าม” กับ “ต้อง” เปลี่ยนมาเป็น “ควรทำ” “ไม่ควรทำ” “จงระวัง” เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว

ประเด็นที่เราย้ำกันในครั้งที่แล้ว ก็คือเราเป็นอิสระ เสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ ตามใจชอบ ที่พระคัมภีร์บอกไว้ วิญญาณข้างในของเรา  ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู เกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นในวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ใส สะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิใดๆ เต็มไปด้วยความรัก ไม่มีความเกลียดอยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย

เพราะฉะนั้น ก็เลย สมควรทำตัวให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ที่เปลี่ยนจากลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งการเกลียดชัง มาเป็นวิญญาณความรักแล้ว เปลี่ยนจากวิญญาณแห่งความบาป มาเป็นวิญญาณแห่งความชอบธรรม สะอาดหมดจด ปราศจากบาปแล้ว ก็สมควรเปลี่ยนอุปนิสัยข้างนอกบ้างสิ พระคัมภีร์จะพูดถึงลักษณะอย่างนี้ ผมพยายามรวมมาแปลให้ท่านฟังง่ายๆ คือให้กระทำทุกอย่าง ออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณแห่งความรัก จากนี้ต่อไป

ใครเขาถามเราว่า … “คุณมีความรักไหม?”

ตอบเขาเลย … “ไม่มี แต่ฉันเป็นความรัก”

หนักกว่ามีอีก มีมันยังหมดได้ แต่เป็น ไม่มีเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่มีผู้ชายอยู่ คุณเป็นผู้หญิง คุณไม่ใช่มีผู้หญิง เพราะฉะนั้น ตอนนี้ คุณเป็นความรัก เพราะเราพูดถึงวิญญาณของเรา ที่เป็นตัวตนของเราตลอดไป  ไม่ใช่ร่างกายข้างนอกนี้ ซึ่งวันหนึ่งจะต้องลงหลุมไป กลายเป็นดินไป แต่วิญญาณเราอยู่นิรันดร์ และวิญญาณที่อยู่นิรันดร์นั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นพระบิดาของเรา ใครถามท่าน ท่านทำอย่างนี้ เพราะอะไร?

“เพราะฉันเป็นความรัก” เอเมนไหม?

“อ้าว! ทำไมตะกี้นี้ ขับรถมาไปตวาดว่าเขา”

“ก็ฉันว่าไปด้วยความรักที่อยู่ข้างใน ข้างนอกมันเผลอไป โทษที”

จากนี้ต่อไป วิญญาณเป็นความรัก ขับรถ อดทนหน่อย มีอิสระแล้ว ทำให้มันเหมือนข้างในหน่อย ไม่ใช่มีอิสระแล้ว จะด่าใคร ก็ด่าเลย  รอดแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ข้างในมันเปลี่ยนแล้ว คนที่เต็มไปด้วยความรักเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก ฉันก็ต้องควบคุมเนื้อหนังบ้างสิ? ค่อยๆ ว่ากันไปทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ดีขึ้นๆ แต่ทุกอย่าง ทำมาจากพื้นฐานทางวิญญาณ คือวิญญาณแห่งความรัก ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดแจ๋วเลยนะว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

ทบทวนข้อพระคัมภีร์ในกาลาเทีย 5:13-15 บอกว่าเราควรมีอิสรภาพในท่าทีอย่างไร?

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

พี่น้องทั้งหลาย คือผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ผู้นั้นแหละ รวมเรียกกันว่าพี่น้องทั้งหมด ถ้าในปัจจุบัน เราพูดกันง่ายๆ คือคริสเตียน เมื่อไรที่ท่านเห็นคำว่า “พี่น้อง” นั่นแหละ กำลังพูดถึงกลุ่มคนพวกหนึ่ง ที่เชื่อข่าวประเสริฐแล้ววิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่าพี่น้อง

ความเชื่อต้องดิ่งลงไปในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ซึ่งคนเหล่านั้นต้องเชื่อจริงๆ ถึงเกิดใหม่ ดูกันข้างนอก บางครั้งมองไม่เห็น แต่สิ่งที่พอจะเดาได้ เดาตัวเองนะว่าเราบังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่? ผมบอกเคล็ดลับนิดเดียว ท่านรู้ทันทีเลย ถ้าใครบังเกิดใหม่ หนึ่งอย่างที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือเขาจะหยุดแสวงหา หรือทำสิ่งต่างๆ ให้พ้นจากบาปเวรกรรม ถูกหรือไม่ถูก?  อะไรก็ตามที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าสิ่งนี้ ที่เราเคยทำ แล้วมันจะชดใช้บาป เวรกรรมของตนเอง เราไม่ทำแล้ว และไม่แสวงหาที่จะทำด้วย เอเมน ตรงนั้นแหละ คนนี้เกิดใหม่แน่นอน 100% นี่คือสิ่งที่สามารถวัดตัวเราเองได้ แค่อันเดียวเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติ ทำอย่างอื่น อย่างอื่นเยอะแยะ ดูไม่ออกหรอกว่าโลภหรือไม่โลภ วุ่นวายไปหมด แต่อย่างนี้ชัด ถ้าบอกว่าบังเกิดใหม่แล้ว

“ฉันยังไปหา ทำอะไรบางอย่าง ที่รู้สึกว่าทำแล้ว ฉันจะได้ลด ชดใช้บาป เวรกรรม ในอดีต” ถ้าทำอย่างนี้อยู่แปลว่าไม่ใช่

เพราะฉะนั้น คนนั้น ต้องพบทางรอดแล้ว และรู้ว่าตัวเองรอด ด้วยโลหิตพระเยซู  พระเยซูทำให้เรารอดแล้ว สบายแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว นั่นแหละ คือบุคลิกของคนที่มีวิญญาณที่รอดแล้ว แต่หลายครั้ง ประกาศข่าวดี ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็มีการบิดเบือนไปจากความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็ถูกนำมาสอนกันต่อๆ แบบผิดๆ นี่ผมกำลังพูดถึงบิดเบือนแบบบริสุทธิ์ใจ วันนี้ไม่ได้พูดรวมไปถึงบิดเบือนแบบตั้งใจ เอาไปทำมาหากิน พระคัมภีร์บอก มีคนเอาข่าวประเสริฐไปทำมาหากินนะ เพื่อปากท้องของตนเอง มีจริงๆ เพราะฉะนั้น นี่พูดถึงผิดแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ตั้งใจเอาไปทำมาหากิน ไม่ได้ตั้งใจจะบิดเบือน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่มีการตีความหมายตามพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง หรือได้รับการสอนแบบผิดๆ ก็ฟังผิดๆ ไป

นี่เป็นประสบการณ์ หัวข้อเรื่องเขาเรียกว่าประสบการณ์ที่มิรู้ลืมเลือน จากการไปประเทศญี่ปุ่น

… ซึ้งจัง เธอเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่สวยงาม งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ไม่ว่าจะมองมุมไหน? ก็สวยไปหมด ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ก็ต้องพูดแบบผมแน่นอน …

ท่านคิดว่าเรื่องราวนี้น่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

… การได้มานั่งดื่มกาแฟที่นี่ ทำให้อารมณ์และจิตใจของผมสดชื่อ อย่างบอกไม่ถูกกับความสวยงาม แบบธรรมชาติ จนมิอาจลืมได้ ตราตรึงในหัวใจ เฝ้าคิดคำนึงตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น …

อ่านแค่นี้ ท่านคิดถึงว่าผู้ชายคนนี้คงจะไปเที่ยว แล้วไปเจอผู้หญิงญี่ปุ่นที่ชื่อ “ซึ้งจัง” เธอคงน่ารักมาก ลืมไม่ได้เลย นอนละเมอถึงเลย เกิดผู้ชายคนนี้มีภรรยา ได้อ่านแค่นี้ สามีคงมีสิทธิ์หัวร้างข้างแตกได้

“เธอไปทำอะไรอย่างนั้นมา”

“เดี๋ยวก่อนสิ ฟังให้จบก่อน”

“ไม่ฟัง ฉันจะเอาแค่นี้”

ก็มีสิทธิ์ที่จะไปคิดอีกอย่างหนึ่งได้ อ่านต่อไป

… เพราะการออกแบบสถานที่ ที่ดูโล่งโปร่งตา สถานที่ที่มีสีเขียวมากมาย รายล้อม รอบบริเวณเมืองนี้ รับรอง คุณจะไม่สามารถหาร้านกาแฟที่สวยขนาดนี้ได้อีกแล้ว คุณซึ้งจัง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน เธอเล่าให้ฟังว่าเธอออกแบบและดูแลต้นไม้ทั้งหมดนี้ ด้วยตนเอง …

พออ่านถึงตรงนี้ ตกลงพูดถึงใคร? ร้านกาแฟ พอเราแปลผิดปุ๊บ กลายเป็นพูดถึงซึ้งจัง ผู้หญิง คนละความหมายเลย  นี่ยกตัวอย่างให้ง่ายๆ เล่นๆ เท่านั้นเอง ท่านพอเห็นไหมครับว่าเวลาเราจะตีความหมายในพระคัมภีร์ เราต้องนึกถึงภูมิหลังว่าเขาเขียนไปหาใคร? จดหมายนี้เป็นอย่างไร? อ่านให้มากๆ ไม่ใช่อ่านไม่หมด แล้วก็หยิบมาเล่า เอามาบรรทัดสองบรรทัด แล้วก็ตีความทั้งหมด หลังจากฟัง 2 บรรทัดแล้ว สิ่งที่ท่านคิดในใจ กับฟังจนจบ มันเหมือนกันไหม?  ไม่เหมือนเลยนะ เขาว่าอย่างไร? จากหัวเป็นหางเลย

นี่เป็นตัวอย่างให้ท่าน พอที่ท่านนึกออกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซู หลายครั้งก็ถูกบิดเบือนด้วยเหตุผลเดียวกันกับเรื่องราวของร้านกาแฟซึ้งจังนี่แหละ คือบางคนอ่านพระคัมภีร์แค่บางช่วง บางตอน แล้วก็ตีความตามใจของตนเอง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไปเลยว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่ เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอก ภรรยาได้อ่านมา 2 บรรทัด ตีความอย่างนี้ แล้วจากตีความเสร็จ ตีหัวต่อเลย   ซ้ำร้าย ที่หนักกว่า คือบางคนตีความใส่เนื้อหาที่ตัวเองต้องการเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ตามกิเลสของตัวเองที่อยากได้ เช่น …

พระคัมภีร์บอกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ทำให้เราหายป่วย”

ก็เนื้อหนังเรา ความอยากเรา เราอยากหายป่วยไง ก็เลยตีความว่าพระเยซูแบกรับเอาความเจ็บป่วยของเราไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น พอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องไม่ป่วย ถ้าใครป่วย ก็แปลว่า … คิดเอาเองแล้วกัน คุ้นๆ นะ ถ้าใครป่วย ก็แสดงว่าไม่เชื่อ เอ๊า! ยุ่งกันใหญ่เลย และหนึ่งในจำนวนของถ้อยคำพระคัมภีร์ไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คือเรื่องความรอด ที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ ที่เรากำลังเรียนกันอยู่วันนี้ ขนาดพระคัมภีร์เขียนแบบชัดๆ เป็นตรรกะ เป็นเหตุเป็นผล ชัดเจน แบบไม่ต้องตีความเลย พระคัมภีร์มีหลายแห่งเลย ที่บอกว่า …

“เมื่อท่านรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านก็ได้รับความรอด ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดที่สุด และไม่มีใครสามารถปรับโทษท่านได้อีก ก็คือไม่มีการกลับไปกลับมาอีกแล้ว ไม่สามารถกลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เอเมน”

นี่คือเรื่องจริงในข้อพระคัมภีร์ แต่ก็จะมีคนสอนกันต่อๆ มาว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ห้ามทำบาปอีกต่อไป เพราะถ้าทำบาป พระเจ้าจะลงโทษ และยังไม่เชื่อ ยังขืนทำต่อไปอีก พระเจ้าจะทิ้งเลย แล้วเราก็ต้องกลับไปเป็นคนบาป ก็ได้รับโทษ ตกนรกอีก คุ้นไหม? แล้วเราเอาอย่างไร? ตกลงสรุปแล้วคืออะไร? หาไม่เจอ

เพราะฉะนั้น คนที่ยังหาไม่เจอกลับไปหาให้เจอให้ได้ว่ามันคืออะไร?  ตัดสินใจให้ถูก พอเริ่มต้นเป็นแบบนี้ ก็เหมือนที่ผมพูดตลอดว่าเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด พอมันเริ่มผิดแล้ว เริ่มตีความว่าห้ามทำบาปอีกต่อไป ถ้าทำบาปแล้ว จะสูญเสียความรอด ทีนี้ทำอย่างไร? ไม่ทำบาปอีกเลย คิดต่อไปสิ แล้วเป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เอาแล้วสิ ยุ่งเลย

เมื่อเป็นไปไม่ได้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าจะบาปเล็ก บาปน้อย บาปใหญ่ มันก็บาปทั้งหมดแหละ มันก็ต้องรับโทษทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะตีกันเองแล้วนะ  แล้วทำอย่างไร? ก็ค่อยๆ เริ่มบิดนิดหนึ่ง ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป  บวกกับเนื้อหนัง กิเลสของตัวเองเข้าไป ความโลภเติมเข้าไปอีกนิดหนึ่ง แล้วสร้างเป็นกฎเกณฑ์ เป็นข้อบังคับขึ้นมา พอนานๆ เข้าก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ กลายเป็นนิกายต่างๆ นิกายแบบนี้ ความเชื่อแบบนี้ ตรงกับที่ผมพยายามอธิบาย ความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันถูกบิดเบือนด้วยเหตุประการฉะนี้แหละ นี่บริสุทธิ์ใจทั้งนั้นนะ

พระคัมภีร์ในหนังสือฮีบรู เป็นบทสรุปที่เน้นย้ำในเรื่องนี้ว่าหลักการพื้นฐานของความเชื่อ คือความรอดที่เราได้รับนั้น เป็นความรอดนิรันดร์ มันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการกระทำใดๆ ที่ทำให้เรากลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ทั้งบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บาปที่เราได้ทำไว้ในอดีต ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ บาปที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ รวมทั้งบาปที่เราอาจจะทำ หรือทำแน่นอนเลย ในอนาคต พรุ่งนี้ มะรืนนี้ อะไรต่างๆ บาปทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ได้ถูกชะล้างจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการอภัยแล้ว จากสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน

ในหนังสือฮีบรู ผู้เขียน คือชาวยิวที่มีความรู้มาก ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าทำกับอิสราเอล สมัยโมเสส ความรู้เรื่องวิญญาณ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ รู้ทั้งสองเรื่องเลย นอกจากนั้นยังมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของศาสนายิวดั้งเดิม คือศาสนายูดาย ยิวนับถือศาสนายูดายก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากนั้น ก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้  บางท่านก็บอกว่าผู้เขียนน่าจะเป็นเปาโล บางคนก็บอกว่าน่าจะเป็นอปอลโล แต่อย่างไรก็ตามเป็นชาวยิวแน่นอน แล้วก็มีคุณสมบัติ มีความรู้คิดคล้ายๆ อาจารย์เปาโล

จดหมายฝากถึงชาวฮีบรูนี้ เขียนขึ้น ในช่วงเวลาหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ประมาณ 30 กว่าปี

วัตถุประสงค์ของหนังสือฮีบรู เพื่อสอนถึงแก่นแท้ของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวที่กลับใจเท่านั้น ซึ่งในขณะนั้น กำลังถูกล่อลวงอย่างหนัก คือคนที่เชื่อข่าวประเสริฐในยิว วุ่นวายมาก เพราะว่าเป็นแหล่งกำเนิดของพระเยซูคริสต์ เป็นต้นกำเนิดข่าวประเสริฐ เป็นแหล่งกำเนิดการปฏิเสธพระเยซูอย่างรุนแรง ถึงขนาดตรึงพระเยซู ที่ไม้กางเขน จากความเชื่อและวัฒนธรรมรอบด้าน ทำให้มันยากที่จะต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ คนที่เป็นยิว มาเชื่อพระเยซูแล้ว เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะกลับไปนับถือศาสนาเดิม เหมือนแต่ก่อน ทำพิธีเหมือนแต่ก่อน หรือจะเดินหน้า เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูต่อไป มีการข่มเหงด้วย  และสังคมด้วย แล้วตัวเองอีกต่างหาก มันไม่ง่ายเลย

นอกจากนี้ ก็ยังมีบางพวกที่เรียกว่าเป็นลูกผสม คือกลับใจมาเชื่อพระเยซูแล้ว แต่ข้างในยังอยากจะทำอะไรอยู่เหมือนเดิม ยังไม่แน่ใจ ขอเติมนิดหนึ่งได้ไหม?  เอา 2 อย่างได้ไหม? ซึ่งพระคัมภีร์บอกเสมอไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเชื่อพระเยซูด้วย แล้วจะทำด้วยตัวเองด้วย ไม่ได้ จะพึ่งพระเยซูกับพึ่งตัวเองด้วย ไม่ได้ ต้องทำอันใดอันหนึ่งเท่านั้น  ที่ตะกี้นี้บอกว่าอุปนิสัย เกิดใหม่ ข้างในมันต้องมั่นใจ 100% ว่า …

“ฉันไม่ต้องขวนขวายหาอะไรอีกแล้ว ที่จะไถ่บาปให้ตัวเอง”

นั่นแหละ คือบังเกิดใหม่ คนเหล่านี้ยังไม่เกิดใหม่ แต่ไม่ได้ปฏิเสธถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีพระเยซู ต้อนรับ แต่ยังไม่มั่นใจ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น มันก็อยากจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นการชำระบาปให้ตนเอง เหมือนเดิม อยากไปปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีเดิม พูดง่ายๆ ก็คือยังทำใจไม่ได้กับความรอด ที่พระเยซูให้มาแบบง่ายเหลือเกิน ไม่ต้องทำอะไรเลย สมัยก่อนนี้ คนยิวกว่าจะได้รับความรอด ไม่ใช่รอดเลยนะ แค่จะได้รับพรจากพระเจ้าบ้าง ชำระบาปปีต่อปี กว่าจะได้ยากมากเลย ต้องทำเยอะแยะ แล้วยังมาบอกว่าเชื่อพระเยซูเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้รับความรอดแล้ว รับไม่ได้จริงๆ  ก็เลยคาไว้แค่นั้น  ก็เลยคิดว่าจะหันกลับไป  ทำดีไหม?

และกลุ่มที่อยู่ตรงกลางแบบลูกผสมนี้ แน่ๆ ก็คือพวกปุโรหิตชาวยิว ซึ่งนับถือศาสนายูดายเดิม เชี่ยวชาญในงานรับใช้ ในวิหารแบบเดิมๆ ซึ่งปุโรหิตเหล่านี้ ถึงแม้จะกลับใจมารับเชื่อแล้ว แต่ยังคุ้นเคยกับประเพณีเดิมๆ ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ คือไม่ทำแบบเดิมอีกต่อไป ยังไม่แน่ใจในการเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริงในพระเยซู นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย เพราะว่าไม่ใช่ยิวธรรมดา แต่เป็นยิวที่เป็นผู้รับใช้ในวิหาร เชื่อเยอะแยะเลย  คำว่า “เชื่อ” หมายถึงเชื่อ แบบยังไม่เป็นลูกพระเจ้า ยังไม่เกิดใหม่ แค่เริ่มต้น ใช่ ข่าวดีของพระเยซู เห็นกับตา โอเค เชื่อด้วย แต่ตัวเองต้องเข้าสู่วิหาร ไปทำหน้าที่ประจำวัน มันก็ฝืนใจ มันยังไม่ดิ่งลงไป ทำใจลำบาก

และที่สำคัญก็ยังมีปุโรหิตบางกลุ่ม ที่มีอิทธิพลมาก ดูดีมีฐานะ แต่ปฏิเสธเด็ดขาดไม่ยอมเชื่อพระเยซู ต่อต้านเด็ดขาด ก็คือกลุ่มคนที่เอาพระเยซูไปตรึงไม้กางเขน ผู้คนเหล่านี้ มีอิทธิพล ดูดีในสังคม มีหน้ามีตา เพราะว่าหลักการของยิว ในอดีตนั้น ปกครองด้วยระบบศาสนานำ ปุโรหิตใหญ่กว่ากษัตริย์ คนเหล่านี้มีอิทธิพลอยู่ คอยข่มขู่ ต่อต้านคนที่เชื่อ ข่มเหงรังแกคนที่เชื่อ ทำให้ผู้เชื่อใหม่เกรงกลัวอำนาจ จำเป็นต้องปฏิบัติภารกิจตามประเพณีเดิม เพื่อไม่ให้มีเรื่อง จะด้วยเต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ก็ไม่รู้แล้ว อันนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น จะมีผู้ที่ยอมทำตามเขา โดยไม่เต็มใจ ผมเชื่อว่ามี ก็คือเชื่อแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่ไม่รู้จะทำไง ทำไปต่อหน้าทำเฉยๆ แล้วก็อธิษฐานในใจ ด้วยความทุกข์ทรมาน ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสรภาพ พาเขาออกจากหน้าที่เดิม พาเขาไปไหนก็ได้ ย้ายที่ไปไหนก็ได้ ย้ายประเทศไปไหนก็ได้  เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่อยากทำอย่างนี้แล้ว แต่ตอนนี้ทำไปก่อน เพราะความจำเป็นอะไรก็ว่าไป  เพราะเขาทำด้วยความรัก เขาไม่ได้กลัว และพระวิญญาณนำเขาไป ผมเชื่อว่ามันต้องมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน ท่านจะได้มองภาพชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในสังคมของชาวยิว ขณะนั้น ทำไมต้องเขียนหนังสือฮีบรูไปหาเขา

          เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือหนังสือฮีบรู เขียนไปเพื่อ …

(1) ให้กำลังใจกับคนที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก แล้วถูกข่มเหงรังแก ได้รับความทุกข์ยากลำบาก จากประเพณีเดิม จากคนที่ปฏิเสธพระเยซู จากคนที่ต่อต้านพระเยซู หนังสือนี้เขียนไปหนุนใจคนเหล่านั้น ให้อดทน รอการนำจากพระเจ้า พระเจ้าจะนำไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ หรือพระเจ้านำอย่างไรก็ตาม วิญญาณเราเป็นอิสระแล้ว วิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว  มองที่วิญญาณ พระเจ้าเตรียมสิ่งที่ดีไว้ให้กับเรา เรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์ ดังนั้นต้องรักษาตรงนี้ไว้ อดทนต่อไป

(2) เตือนคนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐแล้ว ให้อดทน เลือกพระเยซู ถูกแล้ว พระเยซูคือตัวกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องให้ฟังว่าพระคัมภีร์เดิมที่โมเสสทำไว้ เป็นแค่เงา ที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ

(3) เตือนแบบค่อนข้างรุนแรง สำหรับพวกปุโรหิตที่ต่อต้านพระเยซูว่าถ้าท่านทำอย่างนี้ต่อไป ท่านหลงหาย ท่านตกนรก พูดง่ายๆ ท่านไปไม่รอดแน่ เรื่องนี้เรื่องจริง ท่านกำลังโดนของจริงแล้วนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พระเยซูยังไม่มาเกิด ตอนนี้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้ว ท่านต่อต้านอีก หมดแล้วนะ ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว ตายลูกเดียว อย่าเล่นกับพระเจ้า  อะไรประมาณนั้น  เรามาดูในฮีบรู 6:1-3

ฮีบรู 6:1-3 “1 เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น  เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า 2 คำสอนเรื่องบัพติศมา เรื่องการวางมือ เรื่องการเป็นขึ้นจากตาย และเรื่องการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ 3 และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป”

 

“เพราะฉะนั้น ให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้น เกี่ยวกับพระคริสต์ และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราวางพื้นฐานซ้ำอีก ในเรื่องการกลับใจจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า”

ท่านพอมองเห็นคร่าวๆ จากการที่ได้ฟังภูมิหลังที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่าจดหมายนี้เขียนไปทำไม? เขียนไปหาใคร?  ถ้อยคำตรงนี้  ฟังดูเหมือนผู้เขียน เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาพูดเรื่องซ้ำๆ ซากๆ เป็นถ้อยคำไปถึงชาวฮีบรู ขณะนั้น ซึ่งมีทั้งผู้ที่เชื่อแล้ว พวกที่หลงหายไป รวมทั้งพวกที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลิกเชื่อ หรือเชื่อต่อ ผู้เขียนกำลังบอกว่าเราคุยเรื่องนี้มาเยอะแล้วนะ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ หลักคำสอนเบื้องต้นพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์

พื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปง่ายๆ ก็คือ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปของเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือหลักการต้นๆ ในนี้บอกว่าเบื่อเหลือเกิน ต้องมาพูดอย่างนี้อีกแล้ว ก็คือเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสำเร็จแล้ว โดยการกระทำของพระเยซูที่ไม้กางเขน พูดกันมาตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ไม่ไปไหนเลย ทำไมเรายังต้องกลับมาคุยเรื่องนี้กัน ซ้ำๆ ซากๆ อีก เราควรจะเข้าใจกันได้แล้ว ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ และเดินหน้ากันต่อไปได้แล้ว ทำไมยังต้องมาพูดถึงเรื่องเดิมๆ นี้อีก

เรื่องเดิมๆ คือเรื่องพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในยุคพระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาเดิม เช่นการที่มหาปุโรหิต ต้องนำสัตว์ไปถวาย เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป พิธีกรรมการวางมือบนสัตว์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดความบาป  จากมนุษย์ไปสู่สัตว์ เป็นเครื่องสัตวบูชา ให้พระเจ้า ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้ มันถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วทำไมยังต้องมาถกเถียงกันเรื่องนี้ว่าทำได้ไหม? ยังต้องทำต่อไปอีกทำไม? เราควรจะผ่านเรื่องนี้กันไปได้สักทีแล้ว เป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ

สรุปรวมๆ เป็นลักษณะอย่างนี้  คือชาวฮีบรูในสมัยนั้น ยังคงเถียงกันในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่บางคนยังยึดติดอยู่กับการติดพิธีเดิมๆ ซึ่งผู้เขียนพยายามที่จะบอกว่า 2 เรื่องนี้ มันอยู่ในเรื่องเดียวกันไม่ได้ มันจะเอามาผสมกันไม่ได้ ถ้าเราเชื่อในความรอดที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูทำให้เราแล้ว เราก็ต้องหยุดในเรื่องของการกระทำพิธีกรรมด้วยตัวของเราเอง ถ้าเรายังทำเพื่อตัวของเราเอง ชำระบาปให้ตัวเอง เราก็ยังบอกว่าเราไม่เชื่อพระเยซู มันไปด้วยกันไม่ได้

“การกระทำอันนำไปสู่ความตาย” แปลตรงตัว คือการกระทำที่ไม่มีประโยชน์ คือการกระทำพิธีกรรมในวิหาร ซึ่งในอดีตนั้น เคยเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติให้ทำ เพื่อเล็งถึง เป็นเงาถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาทำภายหลัง ซึ่งมาถึงตอนนี้ ไม่ต้องทำพิธีกรรมเหล่านั้นแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์มาแล้ว ทำสำเร็จแล้ว เพราะพิธีกรรมเหล่านั้น ถ้ายังทำอยู่ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิตเลย  แม้กระทั่งในอดีตที่ทำไป มันก็ไม่ได้ให้ชีวิต เพราะมันเป็นแค่เงา ที่เล็งถึงพระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  เป็นสิ่งที่ให้ชีวิตจริงๆ คือใครที่เชื่อฟังพระเยซู จะได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่จริงๆ แต่ใครที่เชื่อโมเสสสมัยอดีตนั้น พันธสัญญาเดิมนั้น และทำตามพิธีกรรมต่างๆ เอาสัตว์ไปถวาย ไม่ได้ชีวิตใหม่ ได้แค่ปกคลุมความบาป ปีต่อปีเท่านั้น ต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะมา มันเป็นอย่างนั้น เขาจึงเรียกว่าพิธีกรรมที่นำไปสู่ความตาย มันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย มันสำหรับคนที่ตายแล้ว เขาทำกัน แต่ถ้าเชื่อพระเยซู เป็นสิ่งที่พระเยซูสามารถให้ชีวิตใหม่ได้ มีประโยชน์ เอาพระเยซูเป็นแพะ มีประโยชน์กว่าเอาสัตว์เป็นแพะ พูดง่ายๆ เมื่อเอาพระเยซูเป็นแพะ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และก็แค่เชื่อเท่านั้นว่า …

“พระเยซูเป็นแพะของฉัน รับบาปของฉันไปแล้ว”

ความเชื่อตรงนี้ ทำให้เราได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ แต่ถ้าเรายังไม่เชื่อ เรายังเอาสัตว์กลับไปถวายอยู่ การถวายนั้น เราไม่ได้รับชีวิต แต่เราได้รับความตาย  คือตายเหมือนเดิม ตายอยู่ที่เดิม พอเข้าใจใช่ไหม? ท่านพอมองเห็นภาพชัดไหม?

นี่คือสิ่งที่คนเขียนจดหมายไปบอกชาวฮีบรู พยายามตั้งใจที่จะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ ในฮีบรู 6:2 เราควรจะเลิก ไม่ควรมาคุยเรื่องนี้แล้ว คำสอนเรื่องบัพติศมา ก็เพราะว่าเมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ สอนไปแล้วไง พวกนี้ก็ยังมานั่งคุยกันเรื่องว่า …

“บัพติศมา ก็ต้องบัพติศมาในน้ำ แบบยอห์นบัพติศโตทำ ต้องทำอีกไหม?” อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือเรื่องการวางมือ ท่านรู้ไหมว่าการวางมือ ไม่ได้หมายถึงการวางมือรักษาโรค การวางมือ คือการที่ปุโรหิตในวิหาร จะทำพิธีในวิหาร คือเอาสัตว์ที่ผู้คน เอามาถวายให้พระเจ้า แล้วปุโรหิตเป็นตัวแทนพระเจ้า เอามือเขาวางบนสัตว์ตัวนั้น  เพื่อเป็นการแสดงว่าเอาบาปของคนที่ถวายสัตว์ มาใส่ไว้ที่สัตว์ตัวนี้ สัตว์ตัวนี้มาแบกบาปเขาไป  สมมติเป็นแพะ ก็เป็นแพะรับบาปของเขาไปปีต่อปี ครั้งต่อครั้งว่ากันไป ต้องให้อธิบายเรื่องการวางมืออีกเหรอ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังอุตส่าห์เอาแพะให้ปุโรหิตวางมืออีกเหรอ แล้วคุณมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นปุโรหิต คุณจะวางมือให้กับประชาชนอีกเหรอ พูดตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่รู้ตัวอีกเหรอ อะไรประมาณนั้น นี่ใส่อารมณ์เอง ในฐานะที่ถ้าเป็นคนสอน ถ้าเป็นนิสัยเปาโล … เปาโล เป็นคนขี้ฉุนเฉียว แบบหงุดหงิดมากเลย อะไรที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย  อาจารย์เปาโลจะโมโหมากเลย ไม่ใช่คนใจร้ายนะ เป็นคนที่ปกป้องข่าวประเสริฐอย่างดีมาก อย่ามาแตะต้องข่าวประเสริฐนะ โวยวายทันทีเลย

ต่อไปเรื่องอะไร? เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะว่ายังมีปุโรหิตและคนที่เป็นผู้นำทางศาสนา ที่เรียนเรื่องศาสนาเยอะๆ สูงๆ อย่างน้อย 2 พวก คือพวกฟาริสีที่เรารู้จักกันดี และพวกสะดูสี พวกสะดูสีเขาไม่เชื่อเรื่องเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย นี่เป็นส่วนหนึ่งของข่าวดีของพระเยซู ก็คือพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ถ้าเราเชื่อในพระเยซู เราก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย รับไม่ได้ ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย  ยังเถียงกันอยู่เลย  แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องเริ่มต้นในการสอนแล้ว อยู่ในส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในพื้นฐาน ยังต้องมาสอนกันเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ

เรื่องการพิพากษาลงโทษ ก็เหมือนกัน พระเจ้าจะทรงอนุญาต เราก็จะเดินหน้าต่อไป หมายถึงการพิพากษาลงโทษ ก็คือไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ แค่นั้นเอง ไม่ต้องเถียงอะไรมากเลย ถ้าไม่เชื่อพระเยซูถูกลงโทษ จบ เพราะพระเจ้าประทานความชอบธรรม คือเป็นคนถูกต้อง โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรที่พระองค์ทรงประทานให้เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรมาก็ตาม ไม่มีประโยชน์เลย

ในนี้สุดท้าย บอกว่า “และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะดำเนินต่อไป” หมายถึงตามน้ำพระทัยพระเจ้าว่าถ้าเผื่อเราหยุด เลิกมานั่งเถียงกันเรื่องเก่าๆ จบไปสักทีหนึ่ง และถ้าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะได้เจริญเติบโตไปด้วยกัน เรียนเรื่องมาเชื่อพระเจ้า แล้วเป็นลูกพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร? สวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมให้ว่าเป็นอย่างไร? เรามีอิสรภาพในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? พระเจ้าประทานอะไรให้บ้างในวิญญาณ ของประทานในวิญญาณพระเจ้ามีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย  พระเจ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา บริสุทธิ์ สะอาดเป็นอย่างไร? มันโตขึ้นไป เจริญเติบโตในโลกนี้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า เตรียมไว้ให้กับเราอย่างไรบ้าง? เราควรทำอะไรบ้างบนโลกใบนี้ เราควรมองไปที่สวรรค์อย่างไร? สวรรค์เตรียมอะไรไว้บ้าง? ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ก็มี เปาโลบอก สิ่งเหล่านี้ ควรจะมาเรียน โตแล้ว มานั่งวนเวียนอยู่ตรงนั้น พื้นฐานของความเชื่อ ท่านพอเข้าใจไหม?  นี่แหละ ทั้งหมดที่อ่านมาตะกี้นี้ คือความหมายของบทที่ 6 ข้อ 1-3 เรามาอ่านต่อ

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง ไข่มุกเม็ดงาม เจอไข่มุกเม็ดงาม อยากได้ไหม? อยากได้ ต้องกลับไป ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่าง  แล้วก็มาซื้อไข่มุกเม็ดงามนี้ ท่านพอมองเห็นภาพว่าเราอ่านดู เราเข้าใจเขาเหล่านั้น  มันยากมากสำหรับคนที่มีตำแหน่งเยอะๆ พระเยซูถึงบอกว่าคนที่เข้าแผ่นดินสวรรค์ยาก ไม่ใช่เข้าไม่ได้นะ เข้ายาก เหมือนเอาอูฐรอดรูเข็ม ไม่ได้หมายถึงรูเข็มจริงๆ นะ เอาเข้าไม่ได้อยู่แล้ว รูเข็ม หมายถึงประตูของเมือง เราดูในหนัง มันจะมีประตูใหญ่ๆ ปกติเขาปิด เขาไม่ได้เปิดไว้ ไม่มีใครเข้า ถ้าคนเข้าออกธรรมดา ก็เปิดประตูเล็ก คราวนี้คนค้าขายสมัยก่อนมา ก็เอารถเบนซ์ ซึ่งสมัยก่อนก็คืออูฐ แทนที่จะเอาลามา เอาอูฐมา มันเข้าไม่ได้ เพราะมันมีโหนกสูง เวลาจะเอามาแบกของข้างหลัง มันต้องช่วยกัน ทำให้อูฐมันย่อขา กดมันลงไป  หัวมันสูงกว่าตัวมัน พยายามกด ช่วยกัน เข้าได้ไหม? เข้าได้ แต่มันยากกว่าตัวอื่นๆ ทั่วไป

ดังนั้น คนเหล่านี้ เข้ายากกว่า เขามีตำแหน่ง เขาเป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงอยู่ มีทรัพย์สมบัติอยู่ เข้ายากไง มีปุโรหิตหลายคนที่ชนะสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ยอมทิ้งเหล่านั้น แล้วก็มาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้  ยกตัวอย่างเช่นเปาโล เป็นต้น แล้วยังมีปุโรหิตอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ผมจะพาท่านไปดู เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ว่าคนเหล่านั้น ต้องมาเชื่อพระเยซูด้วยวิธีใด? อย่างไร? และสิ่งเหล่านี้ เอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราปัจจุบันได้ว่าถ้าเราจะเชื่อพระเยซู มันต้องหัวเด็ดตีนขาด คือเหมือนเพลงที่เราร้องกันเล่นๆ แต่ว่ามันเป็นจริงตามนั้น ที่ว่าร้องเล่นๆ เพราะเราไม่ได้ให้ความลึกซึ้งกับมัน เช่นเวลารับบัพติศมาในน้ำ แล้วเราร้องเพลงว่าอะไรนะ?

“ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ฉันตัดสินใจแล้ว    จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย        ไม่หันกลับเลย”

เราร้องไป เหมือนเราร้องไปปากเปล่าๆ ท่านตัดสินใจ หมายถึงอะไรรู้หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่หันกลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเดินต่อไป และถ้าคนทำอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ในอนาคต ไม่หันกลับเลย แต่หลายคนไปยังไม่ทันเกิดใหม่เลย กลับ เพราะกลับไปบ้าน เจอการข่มเหงรังแก กลับไปในสังคมแบบเดิม กลับไปที่ที่ทำงานเดิม ที่ทำงานก็รับเราไม่ได้ หรือเรารับเขาไม่ได้ ในที่สุด เราต้องเลือก จะเอาสังคม ชื่อเสียง เพื่อนฝูง ในอดีต หรือจะเอาไข่มุกเม็ดงาม คือพระเยซูคริสต์ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง นี่แหละเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สรุปตรงนี้สั้นๆ ว่าพระคุณพระเจ้าให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ โดยข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระเราให้พ้นจากความบาป บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มันเกิดขึ้นทันทีทันใด เมื่อข่าวดีมันไหลลงไปในวิญญาณของคนใดคนหนึ่ง และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ ปิ๊ง ออกมาในขณะนั้น ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เขาได้เป็นอย่างนั้นทันที เป็นลูกพระเจ้าที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ทันทีที่พระคัมภีร์เรียกว่าท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน วิธีที่ให้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ก็เพียงแค่รักษาข่าวประเสริฐนี้ไว้ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะไหลทิ้ง หรือลึกลงไปเมื่อไร? ตอนไหน? ไม่ต้องสนใจ สนใจแค่ …

“ฉันจะรักษาไว้ รักษาไปเรื่อยๆ ฉันจะไม่ทอดทิ้งเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะต่อต้าน ฉันจะรักษาไว้”นล็น

มันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร?

หลับๆ ตื่นๆ แล้วเมล็ดนั้น มันก็ออกมาเป็นต้นไม้ เขาเรียกว่าต้นแห่งความรอด

นี่เขาเรียกว่าพระคุณ ไม่ได้ทำอะไรเลย ขอพระเจ้าอย่างเดียว แล้วเฉยๆ รับข่าวประเสริฐไว้ แล้วรอ แค่นั้นเอง เมื่อเชื่อแล้ว เกิดใหม่แล้วยิ่งง่ายเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย พระคัมภีร์บอกอะไร? คนที่รักษาข่าวประเสริฐ จนกระทั่งได้เกิดใหม่ในวิญญาณ จนกระทั่งได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เป็นอย่างไร? ท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้แล้ว ท่านจะตื่นเต้นมาก

“ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเยซูบอกแล้วจริงๆ”

ในนี้พูดถึง “เรา” คือพูดถึงท่าน และผม และใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู รับข่าวดีพระเยซู จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในวิญญาณ และบังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในโรม 8:31-39

โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2018 เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มิถุนายน  2018

เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถึงช่วงที่สำคัญที่สุด คือช่วงแบ่งปันถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณของเรา พระเยซูบอกว่าความจริงทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านมีสุข ไม่ถูกหลอกลวง และความจริงมาจากพระเยซู มาจากถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง

วันนี้ ก็จะเป็นตอนของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลก และได้กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม จะพุ่งไปประเด็นสำคัญตรงนี้ คือในพันธสัญญาเดิม ตรงที่ว่าข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่สร้างโลก แต่ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะค่อยๆ เปิดเผยออกมา ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ หรือ “Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะให้อะไรเกิดขึ้นในอนาคต รอจนกระทั่ง พระเยซูมาทำให้สำเร็จนั่นเอง

“Prophet” คือผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้เป็นผู้ที่จะพูดข่าวสารที่พระองค์จะบอกกับมนุษย์ ให้คนนั้นพูดออกมา เรียกว่าเผยพระวจนะ พูดอนาคตว่าพระเจ้าจะทำอะไรบ้าง?  พระเยซูคริสต์จะมาเป็นอย่างไร? มาช่วยอย่างไร?  บอกเป็นแผนการลับ อยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด

พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ก็จะมาเน้นว่าข่าวดีที่ได้มีการบอกล่วงหน้า มีการเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา บัดนี้ เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว และถูกกระทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน โดยพระเยซูคริสต์

ความจริงก็คือพระคัมภีร์เล่มนี้ทั้งหมดเป็นความจริง ความจริงทำให้เป็นไท เพราะความจริงจะทำให้ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงไถ่ถอนมนุษย์อย่างไร? วางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างไร?  และทั้งหมดนี้ ก็คือข่าวดีที่สำเร็จ ข่าวดีที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนแล้ว พระเยซูเป็นผู้พูดเอง ประกาศว่าเราทำสำเร็จแล้ว ตามนั้นทุกประการ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งก็จะไม่ลบเลือนหายไป  มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ จงเชื่อเถิด ถ้าใครเชื่อความจริงนี้ จะทำให้คนนั้นเป็นอิสระ

สมมุติว่าคนนี้เป็นหนี้ธนาคารอยู่ ก็ยังเป็นหนี้ธนาคารเหมือนเดิม แต่วิญญาณเป็นอิสรภาพแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็จะนำพาไปลดหนี้ธนาคารทีหลัง บางคนก็บอกว่า …

“มาเชื่อพระเจ้าจะได้เป็นอิสรภาพ เป็นไทสักที ติดหนี้เขา จะได้หมดสักที”

อันนี้คนละเรื่องกัน ค่อยมารับพระพรทีหลัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงข่าวดีของพระเจ้า

ถึงแม้เราจะได้เรียนรู้หัวใจสำคัญของพระคัมภีร์ไปแล้ว พูดซ้ำๆ ขนาดนี้ ย้ำขนาดนี้ ไปแล้ว แต่ด้วยเนื้อหนังของเรา ร่างกาย ความคิด จิตใจเก่าๆ ของเรา ความเชื่อเก่าๆ ของเรา  และด้วยความมีจิตใต้สำนึกที่เป็นคนบาปอยู่ ยังหยั่งรากลึกในความรู้สึก ที่ไม่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกเป็นคนไม่สะอาด ไม่เหมือนในพระคัมภีร์บอกเลย พระเยซูบอกว่าไถ่ จนกระทั่งวิญญาณสะอาดหมด เรารู้สึกมันไม่สะอาดเลย ความรู้สึกในจิตใต้สำนึกนี้ มันลึกๆ ยังอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้วก็ตาม  มันก็เลยทำให้คนเชื่อในถ้อยคำพระเจ้ายาก เราที่เป็นลูกพระเจ้า หลายอย่าง เรายังยาก แล้วคนที่ไม่รู้เลย ไม่ได้เรียนข่าวประเสริฐเลย ยิ่งเชื่อในข่าวดีนี้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจเกิดขึ้น ทางโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างเช่นว่าเชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เชื่อจริงๆ นะ จะได้เกิดใหม่ทางวิญญาณ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว แล้วเชื่ออย่างไร? เกิดอย่างไร? ขนาดนิโคเดมัสยังบอกว่าเกิดอย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งเหรอ ตามพระเยซู มันยาก แต่ไม่ยาก สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้สำแดงความจริงนี้ เข้ามาในวิญญาณของเรา ให้เรารู้ ถ้าคนนั้นสนใจจริงๆ แสวงหาพระเจ้า แสวงหาความจริง คนนั้นจะพบพระองค์ แสวงหา ก็จะพบ เคาะ ก็จะถูกเปิดให้กับเขา ขอแล้วเขาจะได้ ทั้งหมดนี้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ที่จะทะลุไปถึงความจริงแห่งพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซู เพื่อเขาเป็นไท เคาะบ่อยๆ เคาะตลอดเวลา ก็จะถูกเปิดให้เขา ใครที่ขอและขอตลอดเวลา ก็จะถูกประทานให้ตลอดเวลา

ใครที่แสวงหาตลอดเวลา แสวงหาไม่หยุด หาต่อเนื่อง เขาก็จะได้พบอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ นี่พูดถึงภาษาเดิม ในมัทธิว บทที่ 7 ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ ถ้าทำอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้เรื่อยๆ ตอนนี้เรากำลังทำอยู่เรื่อยๆ เราก็พูดแต่เรื่องนี้เรื่อยๆ พอถึงวันอาทิตย์ทีหนึ่ง เราก็มาพูดถึง บรรยายถึงถ้อยคำพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็ฟังแต่เรื่องข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทำอะไรบ้าง? ฟังมาเป็นเวลา 30, 40 ปี บางคน 50 ปี ฟังมาแล้ว 5 ปี กลับบ้านก็ยังไปฟังอีก อ่านอีก ก็ฟังแต่เรื่องนี้ เรื่องเดียว ท่านกำลังหาและหาต่อเนื่อง ท่านกำลังเคาะ และเคาะต่อเนื่อง ท่านกำลังขอ และขอต่อเนื่อง ขอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความจริงในสวรรค์สถาน ท่านก็จะได้รับจากพระเจ้า ต่อเนื่องเรื่อยๆ ก็เจริญเติบโตขึ้น เข้าไปในความจริง ก็จะทำให้ท่านเป็นไทมากขึ้น  เอเมน

บางทีก่อนนอน ผมก็คิดตรงนี้ พระเจ้าอยากรู้จริงๆ นานเท่าไรก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็รู้เรื่องนี้ขึ้นมา  ไม่เคยหยุดอ่านพระคัมภีร์ ไม่เคยหยุดอธิษฐานขอ ไม่เคยหยุดที่จะคิดว่าอาณาจักรสวรรค์มันเป็นอย่างไร? ขนาดเดินเที่ยว เดินซื้อของ เดินไปไหน? พอเห็นป้าย เห็นอะไรต่างๆ ก็จะคิดไปแต่เรื่องสวรรค์ นี่แหละ เขาเรียกว่าไม่ยอมหยุด ที่จะแสวงหา ที่จะเคาะ ที่จะขอ เราต้องมีอุปนิสัยอย่างนี้  เราจะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พอคนมีพื้นเพของความเป็นคนบาป ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป แม้ว่าจะเชื่อพระเจ้าก็จริง ก็รู้สึกตัวเองสกปรก ก็เลยมีหลายคน เมื่อมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่คงพยายามที่จะขวนขวาย ทำอะไรต่อมิอะไร ด้วยตัวเอง เพิ่มเติม เพื่อให้ตัวเองรอดพ้น จากบาป เวรกรรมอีก ก็คือพระเยซูทำให้บนไม้กางเขน พระองค์บอกสำเร็จหมด เรียบร้อยแล้ว เรายังไม่พอ ขอทำอีก ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันยังไม่พอ พระองค์บอกว่าปลดปล่อยเราออกจากกฎต่างๆ เรากลับไปเพิ่มกฎอีกนิดหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าทำตามกฎ แล้วรู้สึกสบายดี รู้สึกว่าตัวเองสะอาดขึ้น

ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูมายกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างแล้ว ทรงฉีกกรมธรรม์ ที่ผูกมัดเอาไว้ เอาไปตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว แต่เราก็ยังไม่วายที่จะมีคนเอากฎเกณฑ์เหล่านี้ กลับมาให้กับเราอีก หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง เอากลับมาใช้อีก เอามาตั้งเป็นข้อบัญญัติของตัวเอง เป็นข้อห้ามของตัวเอง แล้วก็สอนต่อๆ กันไปจนกระทั่งวุ่นวายกันไปหมด

ยังจำได้ไหมครับว่าที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้วว่าถ้าลองไปค้นหา ในอินเตอร์เนต โดยเฉพาะในพันธุ์ทิพ กระทู้เกี่ยวกับคริสเตียนจะมีคนถามเยอะแยะไปหมดว่าคริสเตียนทำนี่ได้ไหม? ทำอย่างโน้นผิดไหม? ทำอย่างนั้นบาปไหม? แต่ก่อนยังไม่คิดมากขนาดนี้ แต่พอเป็นคริสเตียนยุ่งไปหมดเลย

อย่างเช่น ไปร่วมงานบวชได้ไหม? ไปร่วมงานศพได้ไหม? ทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม? ไม่ออกไปประกาศกับเขาได้ไหม? ไม่ถวายสิบลด ผิดไหม? ต้องกลายเป็นคริสเตียนที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อีกครั้งหนึ่ง และมากกว่าเก่าด้วย แทนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว จะหายเหนื่อยและเป็นสุขตามที่พระเจ้าบอก ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ ก็เลยกลายเป็นมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะยังต้องแบกภาระหนักต่อไป และหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

หัวข้อบรรยายวันนี้ คือ “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกเป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพ รอดพ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว วิญญาณเราเป็นไทอย่างแท้จริง  นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับโลกนี้ ที่เรายังไม่เป็นไท อย่างเช่น เป็นหนี้ธนาคารอยู่ หรือถูกจองจำอยู่ เพราะเราทำผิดกฎหมาย คนละเรื่องกัน

เราเป็นไทแล้วในฝ่ายวิญญาณจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังสามารถทำให้ร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพและเป็นไทได้ด้วยจริงๆ แต่เวลาดำเนินชีวิต เราไม่เห็นดำเนินตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราพูดเลย เราไม่อิสระ ทำอันนี้ เราก็กลัว เราทำอันนั้น เรายังกลัวอยู่เลย นั่นแหละ เราเป็นคนเลือกว่าเราจะเป็นอิสระตามถ้อยคำพระเจ้า หรือเราจะไม่เป็นอิสระ เราจะยังอยู่ในบทบัญญัติ กฎหมาย หรือว่าอยู่ในที่จองจำต่อไป มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เรามีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตัวเราเอง อย่างเช่นคอยหวาดระแวง เป็นกังวลว่าอันโน้นทำได้ไหม? อันนี้ทำได้ไหม? กลัวจะสูญเสียความรอดไป พอมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ ได้รับความรอด จากนั้นอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นวิตกกังวลหนักกว่าเก่าอีก เพราะกลัวจะเสียความรอด

ก่อนมาเชื่อพระเยซู ทุกข์แค่ว่าเวรกรรมเมื่อไรจะใช้หมด ตอนนี้ทุกข์ 2 แห่ง ก็คือเชื่อพระเยซูแล้ว เชื่อว่าบาปเวรกรรมตัวเองก็ยังไม่หมด ต้องทำด้วยตัวเองไม่พอ ความรอดที่พระเยซูเคยให้มา ที่เชื่อว่าพระเยซูให้แล้ว ทำอันนี้ เดี๋ยวมันจะหายไปไหม? ยิ่งกลัวดับเบิ้ลกลัว นี่คือความกังวลซ้อนกังวล ที่อยู่ในจิตใจของลูกพระเจ้า ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียน  ที่ยังไม่รู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่รู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอย่างลึกๆ ว่ามันคืออะไร? กังวลว่าจะสูญเสียความรอดไป มีบางท่านมาปรึกษาผม เครียดมากเลย

“ช่วยอธิษฐานให้หนูหน่อย”

“เป็นอะไร?”

“หนูกังวลมากเลย นอนไม่หลับทุกคืน  อธิษฐาน ดึกดื่น”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“คือหนูกลัวว่าหนูจะตกนรก”

“แล้วหนูไปทำอะไรมา”

“ไม่ได้ทำอะไร? หนูรู้สึกว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปทำอะไร? ที่จะทำให้หนูผิดสัญญากับพระเยซู กลัวตกนรก หนูเลยเครียด ทำให้นอนไม่หลับ”

“แล้วไปทำอะไรหรือยัง?”

“ยัง แต่กลัวจะไปทำ”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงอยากจะเล่าให้ฟังว่าเวลาเราไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร แต่คนเป็น มันเครียดจริงๆ นอนไม่หลับเลย ไม่ใช่คนเดียว หลายคนเหมือนกัน เราจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรื่องนี้

ทุกเรื่องในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พระเจ้าแนะนำ สอน เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ถูกในทุกพื้นที่ชีวิตว่าอะไรควรทำ? อะไรไม่ควรทำอย่างมีอิสรภาพ เราจะไม่ต้องไปวุ่นวายมากมาย เพราะเรามีฐานมั่นคง หลักการจากพระเจ้านำเรา

ยกตัวอย่างเช่น จะทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทำได้ไหม? ผมต้องใส่คำนี้ว่า “จะทำพิธีอะไรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ” ก็คือทำอะไรที่เล็งไปถึงโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ก็คือ …

การไปดูหมอดู ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ

การถือโหราศาสตร์ ก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

การไปเข้าเจ้าเข้าทรงก็เกี่ยวกับโลกวิญญาณ

ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าทำอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ทำได้ไหม? เกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่บ้านยังมีการไหว้ตามเทศกาลต่างๆ จะร่วมทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพได้ไหม?

ไปร่วมงานศพได้ไหม? แค่เรื่องงานศพนะ กระทู้ที่มีคนตั้งคำถามว่าคริสเตียนไปร่วมงานศพ ที่วัดได้ไหม? ปรากฎว่ามีคนช่วยกันตอบเยอะแยะมากมาย มีตั้งแต่บอกอย่างนี้ว่าไปไม่ได้ อีกคนหนึ่งมาตอบว่าไปได้ แต่ไม่เข้าร่วมพิธี อีกคนบอก แค่ไปให้เจ้าภาพเห็นหน้าเฉยๆ ก็พอ ไปร่วมได้ แต่ห้ามกราบศพ … กราบศพ ก็ได้ แต่ห้ามจุดธูป จุดธูป ก็ได้ แต่อย่าเกิน 2 ดอก นี่มันถูกจองจำชัดๆ หนักกว่าเดิม

ซื้อล๊อตเตอร์รี่ได้ไหม?  บางคนก็บอกซื้อไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระเยซูตรัสว่า …

“จงระวังเว้นเสียจากความโลภทุกชนิด ระวังห่างจากความโลภทุกชนิด”

เพราะฉะนั้น สรุปซื้อล๊อตเตอร์รี่ไม่ได้ ซึ่งเอาว่ากันตามจริงๆ ไม่ต้องซื้อล๊อตเตอร์รี่หรอก ก็สามารถโลภได้เหมือนกัน ถวายเงินให้โบสถ์ โลภได้ไหม? ได้ ไม่ว่าจะซื้อล๊อตเตอร์รี่หรือถวายทรัพย์ ก็โลภได้เท่ากัน ถ้าจะโลภ ไม่ได้อยู่ที่ล๊อตเตอร์รี่ ไม่ได้อยู่ที่ถวายทรัพย์

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจในพื้นฐานของคำสอน ความจริงในพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง เราก็จะสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้หมด

พื้นฐานของคำตอบที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ มีบันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 10:23 ที่ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันนิดหนึ่ง เรามาดู …

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ในสมัยพันธสัญญาเดิม เป็นบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฎิบัติตาม ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืน ถูกลงโทษ ที่เรียกว่ากฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือตอนที่พระเยซูยังทำไม่สำเร็จ พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังที่พระเยซูได้ Tetelestai ได้ทำสำเร็จ การงานของพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว คือทำให้พันธสัญญาของพระเจ้าสำเร็จ ตามที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนหน้าโน้น กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ถูกลบล้างไปแล้ว กลายมาเป็นยุคกฎแห่งพระคุณ คือให้เปล่าๆ นี่คือหลักการ ซึ่งในยุคแห่งพระคุณนี้ เราไม่ได้อยู่ใต้กฎเกณฑ์ ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติอีกต่อไปแล้ว ไม่มีคำว่า “ต้องทำ”  ไม่มีคำว่า “ห้ามทำ” มิฉะนั้น จะถูกลงโทษ ไม่อีกแล้ว แต่เราจะทำทุกอย่างด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่บอกสำเร็จแล้วเท่านั้น ทำด้วยความรัก ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว และด้วยความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ นี่คือหลักการ อิสรภาพอยู่ตรงนี้

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีทุกคน หรือเรียกว่าคริสเตียนทุกคน สามารถทำอะไรก็ได้ แต่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นผู้ช่วยให้รอด และกระทำทุกสิ่งด้วยความรักแท้จริง จากวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ข้างใน ด้วยความเชื่อ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ ตามพระคัมภีร์บอก เป็นวิญญาณของความรักแท้ของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา ที่เสียสละเหมือนพระเยซูนั่นแหละ ถ้าทำจากตรงนั้น มันถูกหมด ได้หมด เอเมน

นี่คือความหมายที่บอกว่าเมื่อพระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เราก็ได้รับอิสรภาพ และเป็นไทแล้วจริงๆ ตรงวิญญาณข้างในเรา เรารู้ว่าเราเป็นใคร รู้ว่าเรากำลังทำด้วยความรักแท้จริง  ไม่เห็นแก่ตัว คำตอบที่ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่? เราไม่ได้ตอบจากกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับใดๆ เรารู้จากข้างในวิญญาณเรา ขณะที่ทำ เพราะฉะนั้น อะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แต่วิญญาณข้างในมันไม่เปลี่ยน เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ต่างกันเยอะ จากนี้ต่อไปอีกพันปีก็ต่างกันเยอะ แต่พื้นฐานพระเยซูทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพ โดยวิญญาณ ที่ไม้กางเขนนั้น มันไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะฉะนั้น ใช้ฐานนี้ สามารถใช้ได้ทุกเรื่องทุกราว ถูกหมด เอเมน

มีข้อหนึ่งที่จะให้ท่านเห็นว่ากฎเกณฑ์ ฐานที่ท่านควรจะเอาไปเทียบกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การมีอิสรภาพทางวิญญาณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? คือในหนังสือกาลาเทีย 5:13-15

กาลาเทีย 5:13-15 “13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 บทบัญญัติทั้งหมด สรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดี จะย่อยยับไปตามๆ กัน

 

ท่านต้องเอาฐาน 2 ข้อนี้ไปดูบ่อยๆ ว่ามันคืออะไร? ฐานนี้จะทำให้ท่านไปไหนก็ได้ ไม่ต้องถามใครแล้วว่าตรงนี้ทำได้ไหม? เป็นงานศพได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? ไปอะไรได้ไหม?  ท่านจะรู้จากข้างในว่าอยู่ในเกณฑ์นี้ไหม? อยู่ในเกณฑ์อิสรภาพแบบนี้ไหม? ท่านมีอิสรภาพ อิสรภาพท่านอยู่ในเกณฑ์แบบผู้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นอิสรภาพจริงๆ จากกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางวิญญาณ ในวิญญาณของเราที่มันเปลี่ยนไป หลุดพ้นด้วยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น เราจึงมีอิสรภาพ ไม่ใช่ด้วยวิธีอะไรอื่นๆ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ หรือวิธีไปพยายามว่ามันถูกไหม? มันได้ไหม? อย่างนี้มันทำได้ไหม? ไม่ใช่ แต่ด้วยอิสรภาพทางวิญญาณ ท่านรู้จริงๆ ทางโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? ในพระคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ท่านเป็นอิสรภาพแล้ว ก่อนจะเชื่อพระเยซู วิญญาณเราอยู่ในที่จองจำ พระคัมภีร์บอกว่าเหมือนอยู่ในคุก พอเราเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ มันจะเกิดการบังเกิดใหม่ มีฤทธิ์ขึ้นใหม่ในวิญญาณของเรา คือพระเจ้าทำให้วิญญาณที่เราตายไปแล้วนั้น มันเกิดใหม่ หลุดออกมาจากคุก กลายเป็นอิสรภาพ มีเสรีภาพ เหมือนคนที่ติดคุกอยู่ แล้วออกจากคุกมา อย่างนั้นเลยในโลกวิญญาณ ท่านต้องเห็นภาพนั้นให้ได้ว่าในวิญญาณท่านเป็นอะไรตอนนี้

ความรอดจากบาป การออกจากที่จองจำในโลกวิญญาณ มันจะเกิดขึ้นได้ทางเดียวเท่านั้น คือโดยทางความเชื่อในพระเยซู และได้บังเกิดใหม่เท่านั้น มันถึงจะเป็นอิสระได้ เชื่อในข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ขั้นตอนที่ 1 คนนั้น เริ่มได้ยินข่าวดี มีคนมาพูดถึงข่าวดี ไม่ว่าจะเป็นทางไหน? จะอ่านเอาเอง จะฟัง จะมีคนมาบอก ฟังจากวิทยุ ฟังจากทีวี อ่านหนังสือด้วยตัวเอง อ่านหนังสือพิมพ์ มันมีข้อมูลข่าวสาร ข่าวดีของพระเยซูเข้ามาหาคนนั้น

ขั้นตอนที่ 2 คนนั้น ไม่ปฏิเสธข่าวดีนี้ เริ่มต้นด้วยการรับรู้ เริ่มต้นเชื่อ และเก็บรักษาความเชื่อ ข่าวดีไว้ในใจ

ขั้นตอนที่ 3 คนนั้น เก็บเอาไว้ จนกระทั่งความเชื่อที่เขาเก็บเอาไว้ และเริ่มต้นได้รับมา มันดิ่งลงไปในวิญญาณ ดิ่งลงไปในใจลึกๆ สำแดงออกมาเป็นการเนรมิต เรียกว่าครีเอชั่น เรียกว่าเหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างโลก คล้ายๆ อย่างนั้น คือเกิดการบังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ กลายเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งตามพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้อย่างนั้น

โรม 10:9-10 “9 ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

เมื่อท่านเริ่มรับเชื่อ รักษามันไว้ให้ดีๆ เก็บเมล็ดพันธุ์นั้น ที่มีคนหว่านมาทางวิญญาณ แล้วก็บ่มมันไว้ ไม่ทิ้งไปไหนเลย ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากอะไร ก็จะเก็บไว้ ไม่เข้าใจ มีคนว่าก็จะเก็บไว้ มีคนบอกไอ้โง่ ก็จะเก็บไว้ ยังไม่ได้ตามที่อยากได้ ก็เก็บอยู่ ไม่ทิ้ง วันหนึ่งมันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ข่าวดีมาจากพระเจ้าแน่นอน ถ้าท่านไม่ทิ้งมัน เกิดผลแน่นอน มันก็จะเกิดเป็นการเกิดใหม่ในวิญญาณ เรารู้ว่าเริ่มต้นรับรู้เมื่อไร? พอจะจำได้บ้าง? แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ วันที่เมล็ดนี้งอกทางวิญญาณ เปรี้ยงขึ้นมา เป็นต้นไม้นี้  วันที่ใบเล็กๆ มันโผล่มา ไม่รู้ว่ามันเป็นเมื่อไร? แต่นี่มันชัดเจน

และเมื่อบังเกิด 3 ขั้นตอนนี้  เกิดขึ้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ท่านก็จะมีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป  ไม่มีเปลี่ยนกลับไปกลับมาอีกแล้ว ตามพระคัมภีร์เลย

ตัวอย่าง โต๋เป็นลูกผม เพราะเกิดมาเป็นลูก ไม่ใช่เพราะเขาไปทำอะไรมา ถึงมาเป็นลูกเรา เราเตือนเขาว่าอย่าไปเล่นตรงกองไม้ กำลังซ่อมแซมบ้าน มีตะปูระวัง เดี๋ยวมันจะทิ่มเท้า เราบอกอย่าไปนะ แล้วเขาก็ไม่เชื่อฟัง เขาก็ไปเหยียบตะปู เลือดไหล ทันทีทันใด เรากลับมา เลยบอกว่าเลิก ไม่ต้องเป็นลูกแล้ว เป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เขาก็เจ็บปวดไป แต่เขาก็ยังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรตัดเขาออกจากการเป็นลูกของเราได้เลย ต่อให้เขาทำมากกว่านั้น เขาก็ยังเป็นลูกเรา

ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ที่เขาไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวมากขึ้น  ลำบากมากขึ้นในชีวิตของเขานั่นเอง

พระคุณ คือการให้เปล่าๆ ให้ด้วยความรักแท้จริง เราได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  เกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยการกระทำของเราหรือ? ไม่ใช่ ด้วยพระคุณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยการกระทำสิ่งใดๆ เลย เราได้มาเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่เป็นคนดี มาตลอดชีวิตเรา พระเจ้าจึง เรียกเรามาเป็นลูกพระองค์ เปล่าเลย พระเยซูตายตั้งแต่เรายังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย เราก็สกปรกเท่ากับคนอื่นเขาทั่วๆ ไป พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีบาปน้อย บาปมาก ทุกคนเป็นคนบาปเท่ากันหมด พระเยซูตายเพื่อคนบาป ตายเพื่อเรา ฉันใดฉันนั้น การกระทำสิ่งใดๆ ก็ไม่สามารถให้เราขาดจากการเป็นลูกของพระเจ้า แม้แต่นิดเดียว มันจึงไม่มีการกลับไปกลับมา ถ้าเกิดใหม่ ท่านก็เกิดใหม่ ไม่เกิดใหม่ ก็คือไม่เกิดใหม่ พระเจ้าเองได้ตรัสเสมอว่า …

“พระคุณ ความรักของพระองค์ใหญ่หลวง และไม่มีวันสิ้นสุด อยู่นิรันดร์เลย” เอเมน ฮาเลลูยา

พูดทั้งเล่มเลย ตั้งแต่พระคัมภีร์เก่า บอกล่วงหน้า พระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นคนบาปนั้น อยู่นิรันดร์กาล ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อพระคุณไม่มีวันสิ้นสุด การเป็นลูกของพระเจ้า ก็ไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าบาปอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? จะแดงเหมือนเลือดนกขนาดไหน ก็ตาม? ที่พูดนี้มาจากพระคัมภีร์ทั้งนั้น  พระคุณของพระเจ้า ที่สำแดงผ่านทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ก็สามารถชำระล้างได้ ให้ขาวเหมือนหิมะ

นี่คือพื้นฐาน พระคัมภีร์บอกว่าบาปทั้งปวง ทั้งหมดของมนุษยชาติ อภัยให้หมดแล้วที่ไม้กางเขน ทำสำเร็จแล้ว มนุษย์เป็นอิสรภาพจากบาปแล้ว แต่ว่ามีบาปอีกชนิดหนึ่ง เป็นชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถได้รับการอภัย บาปที่ร้ายแรงที่สุด อันตรายที่สุด นั่นก็คือบาปแห่งการไม่เชื่อข่าวดี ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ความหมาย ก็คือไม่เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง ไม่เชื่อในพระคุณของพระเจ้า นี่คือบาปอันเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าอันนี้ ทำให้ตาย ร้ายแรงที่สุด คือปฏิเสธพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเยซู

ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ฮีบรู 6:4-6  ก่อนอ่านเรื่องนี้ เล่าให้ฟังถึงภูมิหลังของจดหมายที่ได้เขียนถึงชาวยิวเหล่านี้ มันเป็นลักษณะอย่างไร?  คือฮีบรู เป็นหนังสือสอนข่าวประเสริฐให้กับชาวยิว  ชาวยิวคุ้นเคยกับพระเจ้ามากเลย จดหมายนี้เขียนไปถึงชาวยิว 3 ประเภท

ประเภทที่ 1 ยิวที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ถึงขั้นตอนที่ 3 แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว คำว่าเป็นคริสเตียน ผมหมายถึงเป็นจริงๆ เชื่อ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกพระเจ้าตลอดไปเลย

ประเภทที่ 2 ยิวที่กำลังเริ่มต้นรับรู้ความจริงเรื่องพระเยซู กำลังเสาะแสวงหาพระเยซู กำลังเรียนรู้พระเยซู ยอมรับในข่าวดีของพระเยซู แต่มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ยังไม่ถึงเวลานั้น กำลังดูๆ อยู่ เอาอย่างไรดี ถูกเขาว่ามาอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องกลับไปทำพิธีถวายสัตว์ ถ้าไม่ทำ พ่อแม่ก็ไม่ยอม ไม่ถวาย เอาเลือดไปที่วิหาร ฟาริสีที่รู้จักกัน ปุโรหิตที่รู้จักกัน ก็มาดุว่าหลุดจากพันธสัญญาเก่าไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็กลัวๆ กล้าๆ แต่ขณะเดียวกัน ข่าวประเสริฐก็ถูกดี เพื่อนเรายังเชื่อเลย  แล้วเราเห็นพระเยซูเดินต่อหน้า พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ เราเห็นพระเยซูทำอัศจรรย์ เรียกคนตายให้ฟื้น พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วที่ทำในอดีตเล็งถึงพระองค์ น่าเชื่อถือ กลับมาถึงบ้านปุ๊บ มาเจอพ่อแม่หัวเก่า บอกว่า …

“ทำอย่างนี้เธอตกนรกแน่ เธอต้องไปขอขมาต่อพระเจ้า ทำไม่ได้”

มันยุ่งไปหมดเลย ก็เลยกล้ำๆ กลึ่งๆ จะไปทางไหนดี ไปนั้นดี ไปนี้ดี ก็เลยยังไม่ดิ่งลงไป แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ทิ้งวันสะบาโต บางคนก็ไม่ต้องแอบ บางคนต้องแอบมานะ เดี๋ยวญาติพี่น้อง ฟาริสีที่รู้จักกัน หรือคนที่ต่อต้านพระเยซู เขาจะข่มเหง เขาจะว่ากล่าว ดุอะไรต่างๆ ก็ว่าไป ต้องแอบเข้ามาสู่ที่ชุมนุม … “ที่ชุมนุม” คืออะไร? มันไม่ใช่โบสถ์นะ มันคือที่ประชุมของคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ และจะมีคนที่เชื่อในข่าวดีนี้  มาสอน แบบในหนังสือฮีบรู คล้ายๆ กับมีเปาโลมาสอนให้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ว่าพระเยซู คือใคร? พระองค์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนอย่างไร? โมเสสเล็งให้เห็นถึงพระเยซูทั้งสิ้น การกระทำในอดีต ในบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าสั่งไว้นั้น  ทำให้เล็งเห็นถึงว่าพระเยซูจะเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และทำให้สำเร็จ เมื่อพระเยซูทำสำเร็จแล้ว เราก็ไม่กลับไปทำอย่างนั้น อีกต่อไป พวกนี้ก็ต้องแอบไปฟัง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า

พอฟังเสร็จ ก็ต้องกลับมาอยู่ท่ามกลางบรรดายิวทั้งหลาย ที่ยังปฏิเสธพระเยซูอยู่ ท่านพอเห็นไหม? หลายคนก็ยังไม่ตัดสินใจแน่นอน ยังรอวันที่เมล็ดพันธุ์ข่าวประเสริฐ จะเป็นผลขึ้นมา คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็เป็นพวกที่สอง

ประเภทที่ 3 คือพวกที่เป็นยิว และยังปฏิเสธพระเยซู เป็นยิวกลุ่มเดียวกับที่ใส่ร้ายพระเยซู ให้จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน เพราะหาว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าพระเยซู อ้างตัวเองว่าเป็นลูกพระเจ้า ปฏิเสธเด็ดขาด 100% ไม่สนใจข่าวประเสริฐด้วย

เพราะฉะนั้น จดหมายนี้เขียนไปถึง 3 พวกนี้ ที่เป็นยิวทั้งหมด ใต้พื้นฐานเดียวกัน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ศาสนายิวเก่าทั้งสิ้น พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? ดูสิว่าในนี้ คนที่เขียนไป เขาเตือนไว้ว่าอย่างไร? ฮีบรู 6:4-6 …

ฮีบรู 6:4-6 “4 สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว  ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์  ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า และอานุภาพของยุคหน้า 6 หากยังเตลิดไป  ก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขา ได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้ง และทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล”

 

อันนี้เขียนไปถึงพวกที่ 2 พวกที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ยอมรับข่าวประเสริฐ แต่ยังไม่ตัดสินใจจริงๆ ยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ จนบังเกิดใหม่ บางคนในนี้อาจจะเห็นพระเยซูเดิน และเดินกับพระเยซู วันที่พระเยซูทำการอัศจรรย์ จริงๆ เลย เห็นกับตา เห็นเปโตรเรียกคนง่อยลุกขึ้นยืน ที่หน้าวิหาร เห็นพระวิญญาณลงมาในวันเพ็นเตคอส สาวกพูดภาษาต่างประเทศได้ โดยที่ไม่ได้เรียนมา พูดภาษาตุรกี ภาษาฮีบรู ทั้งที่ไม่ใช่คนฮีบรู พูดภาษากรีก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนกรีก พูดคล่องเลย อัศจรรย์ทั้งนั้น คนเหล่านี้เห็นหมด ผู้ที่เคยลิ้มรสเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้า  และอนุภาพของยุคหน้า คือรู้เรื่องต่างๆ ที่พระเยซูอาจจะเป็นผู้พูดเองเลยก็ตาม ผมจะพูดให้ท่านฟังว่ายังอยู่ในสมัยของบางคนที่อายุยืน ยังอยู่ตรงนั้น เขาอาจจะได้ยิน หรือได้ยินจากอัครสาวกรุ่นแรกๆ หรือเขาอาจจะได้เห็นก็ตาม แต่เนื่องจาก อย่างที่บอก กลับมาที่บ้าน กลับมาที่สังคมเดิม หลายสิ่งหลายอย่างมันสู้กันจนกระทั่งเขาตัดสินใจยังไม่ถูก ไม่ใช่ไม่เอา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี? ในนี้เตือน หากยังเตลิดไป ทำในสิ่งที่พระเยซูบอกเป็นอิสระแล้ว ก็เท่ากับไม่เชื่อพระเยซู กลับไปที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องนำสัตว์ ไปให้ปุโรหิต และฆ่าถวายพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับตัวเอง ที่ทำประจำมา แต่ก่อนนี้ตั้งนานแล้ว หลายปีแล้ว ปีนี้ก็ต้องทำนะ ในใจก็บอก …

“เอ๊! เราก็ได้ยินว่าพระเยซูชำระเราพ้นบาปให้เรียบร้อยแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว” เข้าใจใช่ไหม? แต่ในความคิด เขาบอกว่า …

“มันจะจริงเหรอ!”

สรุปแล้ว ก็คืออาจจะไม่จริงก็ได้  เราต้องช่วยเหลือตัวเราเองสิ ก็คนข้างๆ พ่อแม่เราเอ่ย หรือปุโรหิต ก็บอกเราว่าเราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง เราต้องเชื่อและรักษาบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ก็เลยทำ ทำด้วยจิตใต้สำนึกที่ต้องการ เพื่อชำระบาปตัวเอง

ฟังให้ดีๆ ทำเพื่อต้องการชำระบาปของตนเอง ให้มันหมด ทั้งๆ ที่ข่าวประเสริฐบอกว่าพระเยซูชำระให้หมดแล้ว เหมือนเอาพระเยซูไปตรึงอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พระเยซูได้รับความอับอาย เมื่อพระเยซูบอกว่าเราได้ไถ่บาปเจ้าหมดแล้ว เรากำลังบอกว่าไม่จริงหรอก ยังไม่หมดหรอก เพราะฉะนั้น เราต้องไปทำเอง เขาเรียกตบหน้าพระเยซูอย่างแรง คือพระเยซูพูดโกหก ไม่ได้เป็นพวกพระเยซู เป็นศัตรูต่อพระเยซู เป็นศัตรูต่อข่าวประเสริฐ

ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นชัดเองว่าสิ่งเหล่านี้ มันจึงเกิดขึ้นได้จากคนที่มารับข่าวประเสริฐแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดี อาจจะถูกทางโลกผลักดัน จนกระทั่งในที่สุดทิ้งข่าวประเสริฐ เตลิดไป ก็จะไม่มีอะไรช่วยเขาได้แล้ว เป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุด คุณปฏิเสธพระเยซู ปฏิเสธพระคุณ ก็จะไม่มีใครมาช่วยแล้ว

มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับโฮลี่ เมื่อหลายปีก่อน คนที่อยู่ที่นี่หลายคน ก็เป็นคนที่รักษาเมล็ดพันธุ์นี้ไว้ จนกระทั่งเกิดผล เป็นลูกพระเจ้า จนมาถึงทุกวันนี้ แต่ละคนที่เห็นอัศจรรย์พระเจ้า เห็นการวางมืออธิษฐาน การหายป่วยอย่างอัศจรรย์ ได้รับอัศจรรย์อย่างเยอะแยะ แล้วก็เตลิดไปในที่สุด ไปเจอสังคมทางโลก ข้อบังคับทางโลก ในที่สุดทิ้งพระเยซูไป ก็เยอะ ทั้งที่รับข่าว และก็เห็นกับตาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอะไร? เมื่อหลายปี หลายคนที่นี่ ก็ได้รับอัศจรรย์อย่างนั้น และยังอยู่จนเกิดใหม่ หลายคนที่ได้รับแล้ว ไปเลย ก็มี หลายคนมาไม่รับ แล้วก็ไปเลย ก็มี คน 3 ประเภทเหมือนกันเลย

พระคัมภีร์จึงคอยย้ำเตือนให้เรามั่นคง ยืนอยู่ข้างพระเยซู ไม่เป็นศัตรูกับพระองค์ ถึงแม้ว่าความรู้สึก หรือตามที่ตามองเห็น จะไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเรา แต่ก็จำเป็นที่ต้องยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ อยู่ในข่าวดีที่พระเยซูได้ตรัส สำเร็จแล้วให้ได้ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ เราเชื่อตามนั้น  ไม่ว่าคิดออกหรือไม่ออก ไม่ว่าจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะแย้งกับสถานการณ์อย่างไร?  หรือไม่ว่าคนจะพูดอย่างไรใส่หู ก็ตาม ที่มันแย้ง เราต้องยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าทั้งนั้น

อยากจะฝากข่าวสารนี้ไปถึง 3 ประเภทนี้ ก็คือ …

สำหรับพวกที่หนึ่ง ผู้ที่ปฎิเสธ ไม่ยอมรับข่าวเลย ซึ่งในพระคัมภีร์บอกอยู่ในการถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่ฟังเลย  ก็อยากขอร้องให้ท่านกลับไปคิดให้ดีๆ ให้เวลากับเรื่องนี้สักหน่อย อย่าเพิ่งทิ้งไป

สำหรับพวกที่สอง ที่ยังไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เริ่มต้นเชื่อ เริ่มต้นยอมรับ อยู่ในระหว่างการรับรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูอย่างต่อเนื่อง ก็อยากจะบอกท่านว่าอย่าทิ้งความเชื่อในข่าวดีนี้ ที่ท่านได้รับมา อาจจะหลายวันก่อน หลายเดือนก่อน หลายปีก่อนก็ตาม มันได้เริ่มต้นไปแล้ว อย่าทิ้ง รักษาไว้ จนมันดิ่งลงไปในใจของท่าน ให้มันเกิดใหม่ จนเกิดเป็นการพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ นำไปสู่ความรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และท่านได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ท่านจะได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทุกวันนี้ ท่านอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ

และในที่สุด สำหรับผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รู้แล้วว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านไม่ไปไหนแล้ว ท่านก็อยู่ที่นี่ตลอดไป  แต่เนื่องจากเรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง มีเชื้อบาปอยู่ ก็อยากเตือนให้ท่านดำเนินชีวิต ด้วยความรัก ที่อยู่ในตัวเราที่เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ด้วยอิสรภาพและเสรีภาพจริงๆ ในวิญญาณ อย่าตกเป็นทาสอะไรอีกต่อไป ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีสันติสุข มีความสงบสุข รอคอยวันข้างหน้า ด้วยความหวังเต็มล้น ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดนิรันดร์ในสวรรค์สถาน คนที่เป็นลูกพระเจ้า จะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำความดีให้ที่สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ ภายใต้พระคุณ และการถ่อมใจ … ถ่อมใจว่าที่ได้รับความรอดนี้ ไม่ใช่เพราะทำดี แต่เป็นเพราะพระคุณ ยิ่งทำดีมากเท่าไร? ต้องยิ่งถ่อมใจ เพราะทำดีไปเรื่อยๆ กลายเป็นหยิ่งยโส นึกว่ารอด เพราะว่าฉันเป็นคนดี อันนี้เสร็จอีกแล้ว กลับไป มันไม่ได้กลับไปที่เดิมนะ แต่มันทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ไม่ได้พระพรเต็มที่ โดยเฉพาะคนที่กำลังศึกษา ยังไม่ได้เกิดเป็นลูกพระเจ้า ก็อาจกลายเป็นหลุดไปเลย ไปสู่ความเชื่ออีกแบบหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ ให้เชื่อและมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น ไม่พึ่งพาในการกระทำดีของเราเอง เราทำดี เพราะเราเป็นลูกแล้ว ไม่ใช่ทำดี เพราะเราอยากเป็นลูก เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************