คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

เรายังเกาะติดสถานการณ์ หลังการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระเยซูได้ปรากฏพระองค์ 40 วัน หลังจาก 40 วัน พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ไปประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น จากอีสเตอร์ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ 36 แล้ว วันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้ ก็ครบ 40 วันพอดี เป็นวันที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า นี่พูดถึง 2,000 ปีที่ผ่านมา

พระเยซูต้องทนทุกข์ทรมาน และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป เพื่อรับบาปของมนุษย์ไว้ เพื่อเป็นแพะรับบาป  และพระเจ้าให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงพูดไว้  เป็นความจริง  และที่สำคัญ  ก็คือให้เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู  มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูด้วย ตรงนี้สำคัญที่สุด

 

พระเยซูต้องปรากฏพระองค์เอง เดินอยู่กับมนุษย์ 40 วันเท่านั้นเอง เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ มากินข้าวกินปลา พูดคุย จับมือ ถือแขนกับพวกสาวกมากมาย เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ ที่เคยประกาศก่อนจะสิ้นพระชนม์ และเพื่อส่งสาวกของพระองค์ออกไปเป็นพยานว่าพระองค์ เป็นอยู่ ทรงพระชนม์อยู่ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว

“จริงๆ ฉันเห็นมากับตา ฉันจับมากับมือจริงๆ”

ตัวนี้สำคัญ ทุกเหตุการณ์มีที่มาที่ไป มีเหตุผล ซึ่งพระคัมภีร์มีบันทึกไว้ทั้งหมด

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษา ก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

ที่พระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปอยู่ในสวรรค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่เสด็จลงมา พระเยซูจึงบอกว่าการที่พระองค์จะจากพวกเราไป เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานนั้น ก็เพื่อผลดีของพวกเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ลงมาสถิตอยู่ในตัวเราเลย เพื่อมาช่วยเราในระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

ถ้าพระเยซูเดินอยู่กับเราตลอดอย่างนี้   ก็แค่อยู่ข้างนอกตัวเรา   แต่ถ้าพระเยซูเสด็จไป พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา พระวิญญาณจะอยู่ในใจของเรา ในวิญญาณของเรา ต่างกันเยอะ เห็นหรือยังว่าพระเจ้าวางแผนอะไรไว้ พระเจ้าสามารถมาสถิตกับเราได้ อยู่กับมนุษย์ได้

ในยอห์น 14:26-27 พระองค์พูดถึงเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สัญญาว่าจะให้มาช่วยเรา

ยอห์น 14:26-27  “26  องค์ที่ปรึกษา  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมา ในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน  และอย่ากลัวเลย” เอเมน

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณ    ทั้ง 3 พระองค์นี้    ในพระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกันเราอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องสภาพของวิญญาณ แต่พระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็คือพระเจ้าพระบิดาอยู่ในเราด้วย พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราด้วย

“อ้าว! แล้วพระเยซู ในพระคัมภีร์บอกสถิตอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์”

ใช่พระองค์ สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ ในขณะเดียวกัน เราเป็นมนุษย์ เราคิดไม่ถึง เหมือนเราไปบอกมดว่า …

“เดี๋ยวเราจะเดินไปหน้าโบสถ์ ใช้เวลา 1 นาที”

มดมันบอกว่า “จะบ้าหรือ! ทำไปได้อย่างไร ใช้เวลา 1 นาที เขาต้องเดินกันเป็นเดือนๆ”

สมมติให้ฟัง มดมองไปไม่มีภูเขา มองทางราบอย่างเดียว แต่เรามองไป โอ้โห! มีเก้าอี้ขวางอยู่ ประตูสูง  เขาบอกเขามองราบอย่างเดียว ไม่เห็นมีอะไรเลย เข้าใจใช่ไหมครับว่าสายตาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน นี่คือใจความสำคัญที่บอกว่าพระวิญญาณมาอยู่กับเราดีกว่าอย่างไร?  ก็คือพระเจ้าพระเยซูสถิตอยู่ข้างในตัวเราเลย

หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ 10 วัน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงลงมา 10 วัน   บวกกับอีก  40  วันหลังวันอีสเตอร์ ก็คือ 50 วัน วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์นั่นเอง

วันที่ 50 ภาษาฮีบรูเขาเรียกว่า เพ็นต้า … เพ็นต้า ก็คือ 5 … เพนเทคอสต์เดย์ วันที่ 50 นับจากวันอีสเตอร์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าวันเพนเทคอสต์ และปีนี้ตรงกับวันที่ 15 เดือนนี้

แล้วเมื่อถึงวันเพนเทคอสต์ ทุกคนก็รู้ โดยเฉพาะที่นี่ ต้องรู้เลย เพราะเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง  คริสตจักรแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้น ในวันเพนเทคอสต์ เมื่อ 23 ปีที่แล้ว

วันศุกร์ประเสริฐ คือวันที่พระเจ้าไถ่บาปให้กับเรา

วันอีสเตอร์ คือวันที่พระเจ้าเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

และวันเพนเทคอสต์ คือวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับเรา

 

ครั้งที่แล้ว เราได้สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มีความมั่นใจอยู่ 2 สิ่ง คือ …

(1) มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ และมั่นใจในร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา แทนร่างกายที่เราเห็นทุกวันนี้ ก็คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์นั่นเอง  พระเยซูไถ่เราที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

(2) มั่นใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่กับเราด้วยทุกหนทุกแห่ง ก็คือผลจากวันเพนเทคอสต์นั่นเอง

ครั้งที่แล้ว เราได้ยกตัวอย่างชีวิตของโยเซฟ บุตรชายคนโปรดของยาโคบ ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกพวกพี่ชายกลั่นแกล้งและขายให้ไปเป็นทาสที่เมืองอียิปต์ ถูกใส่ร้ายจนติดคุก จนกระทั่งได้มีโอกาสทำนายฝันให้กับกษัตริย์ฟาโรห์ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มีอำนาจใหญ่โตในอียิปต์

จนวันหนึ่ง เกิดกันดารอาหาร  และพวกพี่ชายของโยเซฟ   ต้องพากันมา ขอซื้อข้าวที่อียิปต์ และได้พบกับโยเซฟ ซึ่งตอนนั้น โยเซฟได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการไปแล้ว แทนที่โยเซฟจะโกรธพวกพี่ชายที่ได้เคยจะฆ่าตัวเอง โยเซฟกลับบอกพวกพี่ชายว่า …

“เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพราะพวกพี่คิดเองหรอก แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นต่างหาก”

ให้อภัยหมดเลย  เกินกว่าคำว่าให้อภัยอีก เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไร? คิดว่าเป็นพระเจ้าผู้เดียวที่เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เหมือนพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟ ไม่มีต่างกันเลย  แต่ชีวิตของโยเซฟก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราทั้งหลาย ก็เหมือนกัน โยเซฟยังต้องเจออุปสรรคปัญหา และเจอความทุกข์ยากลำบากมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับโยเซฟ เห็นไหม?

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากจะได้อะไร? ก็ได้ตามใจ ไม่ใช่เป็นคนพิเศษ แต่มันหมายถึงพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป จะใช้เรา … เราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในภาพใหญ่ๆ แผนงานใหญ่ของพระเจ้า เราเป็นแค่จิ๊กซอเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ

วันนี้มาดูกันต่อว่าโยเซฟ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย มีคุณลักษณะอย่างไร? และเขารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าโยเซฟมีชีวิตที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา ในทุกสถานการณ์ของชีวิต และการกระทำของโยเซฟ ก็ทำให้คนรอบข้างเห็นถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตของเขา นี่คือแบบอย่างที่ดี ที่เราควรเรียนรู้

ตอนที่คนอิชมาเอลซื้อโยเซฟมาจากพวกพี่ชาย ไปเป็นทาส แล้วเขาก็ขายต่อให้กับโปทิฟาร์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ สังเกตดูว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟอย่างไร? ดูปฐมกาล 39:2-6

ปฐมกาล 39:2-6 “2 องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และทรงอวยพรให้เขาเจริญรุ่งเรืองขึ้น  ในบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์ 3 เมื่อนายเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้า  ประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ 4 โยเซฟจึงเป็นที่โปรดปราน และกลายเป็นคนสนิทของนาย  โปทิฟาร์จึงตั้งให้โยเซฟดูแลครัวเรือนของเขา และมอบทุกสิ่งที่เขามีอยู่ ไว้ในมือของโยเซฟ 5 ตั้งแต่นายมอบหมายให้ โยเซฟดูแลทุกสิ่งในครัวเรือน และทุกสิ่งที่เขามี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรครอบครัวของคนอียิปต์นั้น เพราะเห็นแก่โยเซฟ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกสิ่งของโปทิฟาร์  ทั้งในบ้านและในทุ่งนา 6 ดังนั้น โปทิฟาร์จึงไว้ใจให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งที่เขามี เมื่อมีโยเซฟเป็นผู้ดูแล  เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องใดเลย เว้นแต่อาหารที่จะรับประทาน”

 

คิดดูสิจากการเป็นทาส เขาทำ จนกระทั่งเจ้านาย เจ้าของบ้าน ยกให้เป็นเหมือนบ้านของเขาเลย แค่ถามว่าวันนี้มีอะไรกิน?  องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสำเร็จในทุกสิ่ง ที่เขาทำ เห็นชัดไหม?

นี่หมายถึงคนอื่นเห็นนะ ไม่ใช่เราพูด นี่คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย โยเซฟก็เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา … เขาจึงมีความมั่นใจมาก เขารู้เลยว่าเขาไปเป็นทาส เดินเข้าไป ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่เขารู้ว่าเขาไปเป็นพระพร สำหรับบ้านหลังนี้ เขาจะทำให้ดีที่สุด

จำได้ไหมที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านทราบ ถึงเรื่องที่เราไปสมัครงาน เวลาไปสมัครงาน เราไม่ได้ไปของานเขาทำ แต่เรากำลังจะไปดูว่าพระเจ้าจะพาเราไปอวยพรบริษัทนี้ไหม?   ถ้าสัมภาษณ์เสร็จแล้ว    เขาไม่เอา    แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อวยพรบริษัทนี้ ต้องมั่นใจอย่างนี้ ถึงเดินไปอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่เดินไปจ๋องๆ ไปของานเขาทำ พอเขาไม่ให้งาน เสียใจมากเลย ไม่ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

นี่คือคุณสมบัติพิเศษของผู้เชื่อว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันจริงๆ”

จะเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนจากลูกเศรษฐี กลายมาเป็นทาสรับใช้ในเรือนเจ้านาย แทนที่โยเซฟจะตีโพยตีพาย ร้อง ถามหา …

“พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมทิ้งเราเป็นอย่างนี้? ทำไมกลายเป็นตกต่ำอย่างนี้? ทำไมเสียฟอร์มอย่างนี้? ทำไมแย่อย่างนี้?”

หลายคนไม่เข้าใจ …

“พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วให้เป็นทาสทำไม? ไหนพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อวยพรให้เธอเป็นคริสเตียน  ทำไมจนอย่างนี้”

เคยได้ยินคนพูดไหม? เคย ไม่ต้องแคร์เขา ถ้าพระเจ้าให้ท่านอยู่อย่างนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เอเมน

และเมื่อตอนที่โยเซฟถูกภรรยาของเจ้านายใส่ร้าย กล่าวหาว่าโยเซฟเข้าไปลวนลาม จนกระทั่งโยเซฟถูกจับไปขังคุก มาดูว่าโยเซฟตอบสนองต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร? ปฐมกาล 39:20-23

ปฐมกาล 39:20-23 “20 และเจ้านายนำโยเซฟมาขังไว้ในคุกหลวง 21 แต่ขณะที่โยเซฟถูกขังอยู่ในคุกนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา และทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัศดี  22 ดังนั้น พัศดีจึงตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลนักโทษทุกคน และให้เขารับผิดชอบงานทุกอย่างในคุก 23 พัศดีผู้นั้น ไม่ต้องใส่ใจต่อสิ่งใดๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ” เอเมน

 

ดีใจที่เขาอยู่ในคุกหรือ? ไม่ใช่ … ดีใจ เพราะเขาสำแดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาอีกแล้ว จนกระทั่งหัวหน้าดูแลคุก คือพัศดีได้เห็น ทั้งๆ ที่ตอนเข้าไปเขากลุ้มใจ เขาวิตกกังวล เดินคอตกเข้าไปในคุก เดินเข้าไปในการทดลอง แน่นอน ใครอยาก ก็เป็นมนุษย์  อยากสบายๆ ไปเจออย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจ แต่ขณะตกใจกลัว เขามีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย  ในนี้บันทึกไว้ …

“องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา ทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัสดีคนดูแล”

คนไม่รู้เรื่อง เขาจะถามว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่อยู่ในคุก ไม่ดีกว่าเหรอ”

ถูกหรือเปล่า?  นี่คือความคิดของมนุษย์อีกแล้ว

มาถึงตอนที่โยเซฟ มีโอกาสทำนายฝัน ให้กับคนเชิญจอกเหล้าองุ่นของกษัตริย์ฟาโรห์ หลังจากที่ทำนายฝันให้แล้ว พูดอะไร? ปฐมกาล 40:14-15

ปฐมกาล 40:14-15 “14 เมื่อท่านได้ดีแล้ว โปรดระลึกถึงข้าและเมตตาสงสารข้าด้วย โปรดช่วยทูลฟาโรห์ เรื่องของข้า และช่วยข้าออกจากคุกนี้ 15 เพราะข้าถูกลากตัวมาจากดินแดนของชาวฮีบรู และบัดนี้ ต้องมาอยู่ในคุก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร”

 

เมื่อตอนต้นบอกว่าแม้จะอยู่ในคุก พระเจ้าก็ยังสถิตอยู่ด้วย และโยเซฟ ก็รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย และพระเจ้าอนุญาตให้เขาเข้ามาอยู่ในคุก รู้อย่างนี้แล้ว ทำไมยังต้องดิ้นรนหาทางออกจากคุกด้วย ทำไมมันแย้งกัน ฟังคำพูดเมื่อตะกี้ทรมานไหม? ทรมาน เขาอยากอยู่ในคุกไหม? ไม่อยาก เขาวิงวอนไหม? วิงวอน

แค่คำพูดว่า “ขอเมตตาสงสารข้าด้วยเถิด ข้าถูกใส่ร้าย”

แสดงว่าเขามีความคิดอย่างนี้ตลอดเวลา ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่ในคุกนั้น ถูกไหม?  เขาไม่ได้มานั่งคิดตอนนี้ แต่เขาคงคิดตลอด  ขณะที่เขาคิดอย่างนี้ตลอดเวลา แต่การดำเนินชีวิตเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นคงแข็งแรง ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้าตลอดเวลา จนผู้คนรอบข้างเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาจริงๆ แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียว ขณะที่เขาอธิษฐาน เขาอาจจะบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้าไม่ไหวแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว”

แต่พอเขาเดินออกไปทำงาน  เขาก็ทำอย่างดีที่สุด  คริสเตียนเราเป็นอย่างนี้ ผู้คนมองเข้ามาเข้มแข็ง พอถึงวิญญาณ เราก็อ่อนแอ เราก็ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอความเมตตาจากพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่ซาดิสต์ อยากทุกข์ทรมานมากๆ เขาก็อยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ ทุกข์กาย เพราะกายนี้ มันเป็นกายเก่าที่มีเชื้อบาปอยู่ มันมีเจ็บปวด อ่อนแอมาก  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราก็อยากที่จะสบาย  พูดง่ายๆ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้ดีงามทั้งหมด ไม่มีทุกข์ทรมานอย่างนี้ นี่มันมาจากบาป แต่ต้องอดทน เพราะการไถ่นั้นสำเร็จแล้ว แต่รอขบวนการครบถ้วนบริบูรณ์ก่อน ที่โยเซฟเป็นอย่างนี้ เพราะโยเซฟก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเนื้อหนัง ไม่ใช่คนวิเศษ แตกต่างอะไรกับเราเลย ยังมีความกลัว มีความวิตกกังวล เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่เคยมีใครในโลกนี้ที่ชอบนะครับ แม้จะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

“แต่ถ้าเลือกได้  ก็ขอให้ความทุกข์นี้ ออกไปจากข้าพระองค์เถิด”

ถูกไหม?  มันเป็นความคิดปกติของมนุษย์ทั้งหลายทั่วไป  แม้กระทั่งพระเยซู ก็เป็นเช่นเดียวกัน  จนมาถึงตอนที่โยเซฟมีโอกาสทำนายฝันให้กับฟาโรห์ โยเซฟก็แสดงออกถึงคุณลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา นั่นก็คือเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัว ที่จะพูดในสิ่งที่มั่นใจว่าพระเจ้าอนุญาตให้เขาพูด พระเจ้าบอกเขาอย่างนั้นจริงๆ

ตอนที่คนเชิญจอกออกจากคุกแล้ว ก็ลืมโยเซฟไป 2 ปี แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระเจ้าประทานความฝันให้กับฟาโรห์ ไม่สามารถมีใครมาทำนายฝันได้ คนเชิญจอกคนนี้ นึกขึ้นได้ ยังมีคนรู้จักคนหนึ่ง ชื่อโยเซฟ พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ฟาโรห์ก็บอกให้เรียกมา โยเซฟก็ได้มีโอกาสมาพบฟาโรห์ โยเซฟได้ทำนายฝันให้ฟาโรห์ว่าจะมีการเก็บเกี่ยวผลอย่างมากมาย 7 ปี หลังจากนั้นอีก 7 ปีจะเกิดการกันดารอาหาร และฝันที่ฟาโรห์เห็นนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้เกิดขึ้น

โยเซฟได้แสดงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่จะพูดออกไป เมื่อเขามีความมั่นใจว่านี่พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น   แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ    ถ้าเกิดขึ้นไม่จริงโยเซฟก็คอขาดพอดี  กล้าหาญขนาดไหน? นอกจากมีความกล้าหาญแล้ว ในความมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่  ทำให้เขาได้แสดงออกถึงความมีเมตตาและอภัยด้วย  จากเหตุการณ์การกันดารอาหาร ทำให้พวกพี่ชายมาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟแทนที่จะโกรธพี่ชาย  เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา พระเจ้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ชีวิตเขาอย่างเดียว ทุกคนทุกชีวิต มั่นใจมากเลย

ปฐมกาล 45:5-8 “5 บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเอง ที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะมีการกันดารอาหารในแผ่นดิน สองปีแล้ว ยังอีกห้าปี จะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง 8 ฉะนั้น  มิใช่พี่ เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา”

 

ถ้าเราจะทำเหมือนกับโยเซฟ วันนี้เราจะต้องคิดให้ดีๆ เราอาจจะต้องไปขอบคุณผู้คนที่ครั้งหนึ่ง เคยทำไม่ดีกับเรา  ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่ามันไม่ดี แต่เพราะเหตุการณ์นั้น  มันทำให้เรามาเชื่อพระเจ้าได้ทุกวันนี้ … วันนี้เราต้องคิดใหม่ ไม่ใช่ไม่โกรธเขาไม่พอนะ ต้องหาทางเอากระเช้าดอกไม้ไปขอบคุณเขา  …  เขาคงงง ทำอะไร?

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เรามองไปทุกอย่างสบายๆ แล้ว คือคำว่า “สบายๆ” ก็ต้องผ่านเนื้อหนังอีก ถึงต้องมาสอนกัน เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นมนุษย์ต้องทำอย่างนั้น แต่ให้รู้ว่าข้างในเรา จะทำอย่างไร?  และถ้าเราทำได้ เราเองนั่นแหละ จะได้พรคนแรกเลย คือหายเหนื่อยและเป็นสุข  เอเมน

“ขอบคุณพระเจ้ามากๆ วันนั้นโกงผมไป ผมเลยมีงานใหม่ที่ดีกว่า ถ้าไม่โกง ผมไม่เจ๊ง ผมไม่มีทางมาทำงานนี้หรอก งานนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว ข้อสำคัญที่สุด      คือผมไม่มีทางมาหาพระเจ้าหรอก     ผมเย่อหยิ่งมาตั้งนานแล้ว    แต่เนื่องจากเจอวันนั้น ไปไหนไม่รอด ผมจึงเชื่อ ได้รู้จักพระเจ้าจริงๆวันนี้ ชีวิตของผมเปลี่ยนไปหมดเลย  ทุกอย่างก็ดีกลับมาหมดเลย ขอบคุณมากๆ”

นี่คือความจริง มนุษย์รับยาก แต่เราต้องเรียนรู้กันไป

เรื่องราวของโยเซฟที่เราได้เรียนรู้กันมา ก็คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  ซึ่งจะต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ รอบข้างแบบนี้ และเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเชื่อในการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่กับเราตลอดเวลา ควรเอาเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิต

 

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้อะไร? ก็ได้ทุกอย่าง ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ตรงนี้เป็นหัวใจเลย

พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป เรียกว่ารับใช้

ตอนนั้น อียิปต์ เป็นเหมือนกับประเทศมหาอำนาจ ร่ำรวยมาก โยเซฟเหมือนนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการ ใหญ่มาก เป็นคนฮีบรู เป็นยิว คนยิวก็แห่กันมา ย้ายจากที่ลำบากลำบนมาที่นี่  เส้นใหญ่ครับ เพราะผู้สำเร็จราชการเป็นชาวยิว ก็เลยเอื้ออำนวยให้คนยิวอยู่ดี กินดี เป็นเวลาหลายร้อยปี ผู้คนเหล่านั้น คือพี่น้องของโยเซฟ เป็นชาวยิวทั้งนั้น มีลูกมีเต้าเยอะแยะ ลูกก็แข็งแรง เพราะกินดีอยู่ดี  ฟาโรห์คนเก่า ที่รู้จักโยเซฟตายไป รุ่นของโยเซฟหมดไป ฟาโรห์คนใหม่ไม่รู้จักโยเซฟ มองไป คนยิวน่ากลัว เพราะแข็งแรง คนเยอะแยะมากมาย เกิดคิดกบฏขึ้นมาแย่เลย เพราะฉะนั้นต้องจัดการให้มันน้อยลง ก็กลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนกระทั่งโมเสสก็เกิดในช่วงที่ถูกฟาโรห์คนใหม่ข่มเหง โมเสสเกิดที่นี่ได้อย่างไร? ก็เพราะว่าโยเซฟได้รับพระพร ทำให้ชาวยิวมาที่นี่ ครอบครัวของโมเสสก็อยู่ที่นี่ โมเสสก็คลอดออกมา แล้วเกิดอะไรต่างๆ ที่ไม่ดี  พระเจ้าก็อนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อเป็นไปตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น โยเซฟก็เป็นแค่จิ๊กซอตัวหนึ่งที่ทำให้โมเสสมาเกิด แล้วโมเสสกระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้พวกเราทั้งหลาย นั่งอยู่ที่นี่ได้ รู้จักพระเจ้าได้ การไถ่ถอนของพระเจ้าสำเร็จ เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ ก็เพราะส่วนหนึ่ง ก็คือโยเซฟที่ตกลงไปในบ่อน้ำ

ถ้าคิดมาย้อนปัจจุบัน ผมนึกถึงปู่ผม  … ปู่ผมมีครอบครัวที่ดีมากอยู่ที่ประเทศจีน ในสมัยนั้น เกิดสงครามกลางเมือง จำเป็นต้องอพยพออกมา เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว ก็อธิษฐานกับพระเจ้า …  พระเจ้าก็นำพาโดยอัศจรรย์ มาเมืองไทย อยู่ที่นั่นเป็นครอบครัวที่มีฐานะที่ดี ไม่อย่างนั้นผมคงเกิดที่โน่น พระเจ้านำหมดเลย ตอนที่ปู่ผมตาย ผมยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย มาลำบากลำบนเปล่า?

ปู่ผมไปอยู่กับพระเจ้าไม่กี่ปีต่อมา   ผมมาเชื่อพระเจ้า    …    พระเจ้ามองหมดแล้ว มันจะต้องเกิดวันนี้ คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ มีอายุครบ 23 ปี ก็ต้องมีคนๆ หนึ่ง มาช่วยกันกับอีกหลายๆ คน ทุกคนถูกเตรียมไว้ทั้งหมดแล้ว ให้มาทำอะไร? มันต้องมีคริสตจักรที่นี่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรวันหนึ่งข้างหน้า ผมตายจากโลกนี้ไป ผมจะเห็นภาพอนาคตข้างหน้าว่าเพราะปู่ย้ายมาที่นี่ ผมมาเป็น คริสเตียน ผมมาร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ที่นี่  มาประกาศข่าวประเสริฐ คนนี้ก็เชื่อจากการประกาศของผมออกไป ไม่ใช่ผมดีนะ ผมกำลังจะเล่าให้ท่านฟัง ผมไปประกาศ คนนี้เชื่อ แล้วเขาก็ไปทำงานของเขาเกิดผล ท่านพอจะเข้าใจอะไรไหม?

ผมกำลังพยายามให้ท่านเห็นภาพว่าเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ของการงานของพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าใช้เราอย่างนี้ๆ เราไม่รู้เรื่อง เราก็ว่าของเราไปเรื่อยๆ ตายไป เรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราทำวันนี้  มันกระทบสู่ผลดีอะไร ภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า อีกมากมายขนาดไหนเราไม่รู้ แต่เรารู้แน่ๆ ว่ากระทบแน่นอน เพราะว่ามันเป็นแผนการใหญ่ของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าครอบครัวของพระเจ้า เอเมน

ชีวิตผมเหมือนกัน ถ้าไม่มีวันนั้นลำบากลำบน ผมก็ไม่มาเชื่อพระเจ้า ต้องกลับไปขอบคุณอีกหลายคน ที่ทำให้ผมลำบากลำบนวันนั้น แล้วได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะไม่ใช่เขา แต่เป็นพระเจ้าจัดเตรียมแผนการให้เราเล็ดลอด ค่อยๆ เข้ามาสู่ทางของพระองค์ได้ ชีวิตเราก็ควรจะเป็นแบบโยเซฟ ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ของแผนการของพระเจ้า และในทุกสิ่ง ให้เราคิดเหมือนกับที่โยเซฟคิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม จงเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพื่อผลดีเสมอ ในขณะที่เกิดขึ้น ยังไม่รู้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจ รู้แต่ว่าเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เดี๋ยวมันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน สำหรับเราและผู้คนเยอะแยะมากมาย   ที่จะกระทบเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต   และจงทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ให้ดีที่สุด และยึดมั่นไว้อย่างมั่นคงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอนหลับ หรือตื่นอยู่ พระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคุกหรืออยู่ในวัง จะมีกินหรืออดอยาก หรือจะเจ็บป่วย หรือจะแข็งแรง พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะถูกเขาดูถูกหรือถูกเขาสรรเสริญ พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ท่านก็ไปใส่ทุกอย่าง พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนี้ และเมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราเป็นแผนการส่วนหนึ่งเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็ให้เราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ก็จงดีใจ ไม่ใช่ดีใจ เพราะอยากมีชีวิตอยู่นะ

ตราบใด ท่านมีลมหายใจอยู่ ท่านมีคุณค่าที่จะมีชีวิตต่อไป ถ้าท่านรู้ว่าขณะที่ท่านมีลมหายใจ นั่นคือพระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ มันมีอะไรบางอย่างกระทบต่อไป ท่านอาจจะบอก …

“ก็นอนอยู่ในห้อง ICU ไม่ไปสักที”

พระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ ไม่ต้องคิดว่าใช้อย่างไร? แต่ถ้าหมดลมหายใจ ก็จบงาน พักผ่อนแล้ว ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ท่านรับใช้ได้ตลอด ไม่ว่าเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ท่านก็รับใช้ได้ตลอด คือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คุณค่าที่รู้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลา และนำพาชีวิตเรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือแผนการใหญ่ของพระองค์ที่ดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาดี ไม่ใช่สำหรับเราคนเดียว แต่ดีสำหรับภาพรวมทุกคน เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2016 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

สัปดาห์นี้ เราก็อยู่ในช่วงเวลา 40 วัน หลังวันอีสเตอร์นะครับ ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า

“ภายหลังการฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูได้ปรากฏพระองค์ และอยู่กับเหล่าสาวกเป็นเวลา 40 วัน ก่อนที่จะถูกรับไปบนสวรรค์ สถิตอยู่กับพระเจ้านิรันดร์”

นับจากอีสเตอร์ นับจาก 27 มีนาคม ถึงวันนี้ 24 เมษายน  รวมเป็น 28 วัน หลังวันอีสเตอร์ปีนี้ เพราะเหตุการณ์เป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนที่ไถ่บาปเรา  ทำให้พระเจ้าสามารถสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว หัวข้อเรื่องวันนี้จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย”

เรามาทบทวนพระคัมภีร์ที่เราได้อ่านกันไป เมื่อครั้งที่แล้ว ยอห์น 6:39-40

ยอห์น 6:39-40 “39 พระประสงค์ของพระบิดา ผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมา ในวันที่สุด 40 เพราะนี่แหละ เป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย”

 

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 ที่เราจบท้ายกัน ครั้งที่แล้ว

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 “9 เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเรา ให้มาถูกพระองค์ลงโทษ แต่ให้มารับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเรา 10 พระเยซูตายเพื่อพวกเรา ดังนั้น เมื่อพระองค์มา ไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์” เอเมน

 

สรุปกันอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์   เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐ   เชื่อในวันอีสเตอร์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราก็ควรจะมีความมั่นใจใน 2 สิ่งนี้ คือ …

(1) มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ และมั่นใจในร่างกายใหม่ ที่เราจะได้รับ

(2) มั่นใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่กับเราด้วย ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ คือเดินอยู่บนโลกใบนี้ หรือแม้วันที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่ หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระเยซู เอเมน นี่คือความหวังใจยอดเยี่ยม สูงสุดเลย

 

ผมเชื่อว่ามาถึงวันนี้ เรามั่นใจแล้วว่าเชื่อพระเยซู ตายไปได้รับชีวิตนิรันดร์ วิญญาณได้รับความรอด เชื่อไม่ยาก ว่า …

“ตาย แล้วเราได้รับชีวิตนิรันดร์ จะได้รับร่างกายใหม่ แล้วจะอยู่กับพระเยซูนิรันดร์”

นี่เป็นความเชื่อทั่วๆ ไป ที่ใครๆ ก็มีความหวังใจอย่างนั้น สำหรับคริสเตียน คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้  คือมั่นใจ 100% เลยว่าเมื่อถึงวันที่เราจากโลกนี้ไป วิญญาณเราจะไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เราไม่กลัวตายอีกต่อไปแล้ว

ประเด็นที่สอง เรามั่นใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยทุกหนทุกแห่ง อันนี้เป็นความมั่นใจ 100% ไหม? ถ้าเป็น ท่านต้องไม่กลัววิธีตายด้วย ถ้าเรามีความเชื่อ แล้วมั่นใจในถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้ รู้ตลอดเวลาว่าพระเยซูสถิตอยู่กับเรา เดี๋ยวนี้เลย ตลอดเวลา เหมือนกับที่จะสถิตอยู่กับเราในสวรรค์ เมื่อเราจากโลกนี้ไป  สวรรค์อยู่บนโลกใบนี้  ทันทีแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่อยู่ในสวรรค์ที่แคบหน่อย เพราะถูกบีบบังคับมาอยู่ในร่างกายอันเก่าเท่านั้นเอง  ถ้ารู้อย่างนี้ได้ มันก็เผชิญได้ทุกอย่าง แม้ความตาย หรือวิธีตายจากโลกนี้  

ในยามที่เรามีความสุข ชีวิตสะดวกสบาย รอบด้าน นั่งแอร์เย็นๆ ฟังคำเทศนาวันอาทิตย์ มีความสุข ฮาเลลูยา สดชื่นจริง มีข้าวฟรีตอนเที่ยงอีกต่างหาก พระเยซูสถิตอยู่ด้วย  แน่ๆ ถูกหรือเปล่า? ไม่ยากเลย ที่จะเชื่ออย่างนี้  เพราะเป็นชีวิตที่อยู่ในความสะดวกสบาย สนุก เขาเรียกว่าสุขสบายรอบด้าน ตะโกนร้องเพลงกัน ตะโกน เอเมนๆ เดินเข้ามาในโบสถ์ด้วยสุขภาพแข็งแรง กระฉับกระเฉงทุกคน ครอบครัวก็อบอุ่นดี เศรษฐกิจการเงินมั่งคั่ง ตื่นมาไม่มีใครทวงหนี้  อันนี้มันก็มั่นใจได้แน่นอนว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่กับเราในทุกหนทุกแห่ง

“อาจารย์นครจะพูดอะไร เอเมน ใช่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย ใช่เลย  ถูกต้อง เอเมน”

ตะโกนดังลั่น

“โอ้! พระเจ้าทรงอยู่ใกล้เหลือเกิน พระเยซูอยู่ใกล้เหลือเกิน”

ทุกครั้งที่เราเข้าไปหาพระเจ้า ในขณะนั้น เราสามารถสัมผัสถึงความรักของพระเจ้า พระเจ้าอยู่ข้างๆ ตลอด คอยอวยพรเรา ทุกพื้นที่ชีวิตเราได้รับพระพรจากพระองค์ ดูเหมือนว่าพระเจ้าเปิดประตูรอรับ รอการสวมกอดเราตลอดเวลาเลย

“โอ้โห! พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

มากกว่านี้อีกนะ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้นเอง

คราวนี้ ถามว่าแล้วในยามที่เราต้องอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ปัญหารุมล้อมรอบด้าน หนทางมืดมิด หันไปทางไหนก็เจอแต่อุปสรรคปัญหา เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา ใบทวงหนี้ ก็นอนอยู่ข้างๆ เตียง ก็ยังเหมือนเดิม แถมโทรศัพท์มาข่มขู่อีกว่าต้องให้วันนี้ ตะกี้นี้ อาจารย์นครบอก “เอเมน” ปากก็เงียบ ทั้งๆ ที่ก็เชื่อว่า “พระเจ้าอยู่ด้วย” แต่ …

“ทำไมฉันเป็นอย่างนี้” นี่นึกในใจ

ผมรู้หลายคนต้องคิดอย่างนี้ บางครั้งมันไม่รู้จะทำอย่างไร?  ถามว่าตอนนี้ ช่วงอย่างนี้ พระเจ้าอยู่ข้างๆ ไหม? ยังอยู่ด้วยไหม? ทำไมเบาล่ะ? นี่ขนาดพูดกันเล่นๆ ยังเบาลงเลย อยู่ไหม? อยู่ ต้องพูดดังๆ เหมือนตะกี้นี้ หัวเราะเหมือนตะกี้นี้ ขณะที่เขามาทวงหนี้นะ ขณะที่ตื่นขึ้นมา มาไม่ได้ เขาต้องหามมาโบสถ์นะ อาทิตย์ที่แล้วเดินมาได้ วันนี้เดินกระโผกกระเผลกมา ยังอยู่ไหม? อยู่ จริงอ่ะ จริง

ตอนที่เจ็บป่วย หมอบอกเป็นโรคร้าย รักษาไม่หาย พระเยซูอยู่ด้วย  ตอนที่หมอบอกข่าวดีของหมอ เพราะหมอจะได้ตังค์

“ตรวจมาแล้ว คุณ …..”

พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อยู่ แต่ไม่เห็นมีใครฮาเลลูยา ตอนนั้นเลย

“โอ! ฮาเลลูยา มะเร็งเหรอ”

ตอนที่การเงินฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้เป็นสินมากมาย ยังเชื่อไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? อยู่ ทำไมไฟฟ้ามันถูกตัดไปได้ แล้วตอนที่ครอบครัวแตกแยก ปัญหาลูกไม่เชื่อฟัง ลูกมีปัญหา เชื่อไหมว่าพระเยซูยังอยู่ด้วย ก็พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ผมไม่ได้แย้งกับท่านนะ ถ้าท่านบอกไม่อยู่ ผมก็บอกรอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวไปคุยกัน แต่ในนี้บอกอยู่ เพราะเรากำลังบรรยายถึงความเป็นจริงของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกเราว่าอยู่ตลอดเวลา

ผมเชื่อว่าหลายคนผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ หลายคนในขณะนี้ ก็ยังเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ ในยามสบายดี สัมผัสพระเจ้าได้ง่ายๆ เลย แล้วก็บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ทุกหนทุกแห่ง ฮาเลลูยา แต่ในยามที่ต้องการเจอพระเจ้ามากๆ ที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากๆ ในยามที่เจอปัญหาหนัก พระเจ้าช่วยที ทำไมหาพระเจ้าลำบากขนาดนี้ พระองค์อยู่ไหน? ยิ่งแสวงหายิ่งไม่พบมากเท่านั้น  เป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่แหละสิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ เมื่อเราเจอสภาวะแบบนี้ แน่นอนที่สุด เนื้อหนังของมนุษย์ทุกคนเป็นแบบนี้แหละ เราก็ต้องหวั่นไหวในความเชื่อของเรา เพราะเราเป็นมนุษย์ แล้วก็จะเริ่มตั้งคำถาม เป็นคำถามยอดฮิตของคริสเตียน คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคนว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน?”

“พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราจริงหรือไม่?”

“ถ้าพระเจ้าอยู่ด้วย ทำไมเกิดเรื่องนี้ขึ้น?”

พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา  ยังพูดคำนี้บนไม้กางเขนเลย

“พระเจ้าอยู่ไหน?”

เพราะตอนนั้น พระองค์ทรงรับบาปแทนพวกเรา เป็นคนบาปเหมือนเราเลย แยกออกจากพระเจ้าเหมือนกัน แต่นี่เรามีพระเจ้าอยู่ข้างในแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ แต่เนื่องจากร่างกายเรา เป็นร่างกายเก่าอยู่ มันจึงต่อสู้กัน ต่อต้านกัน เจอเหตุการณ์ไม่ดี มันก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ถามว่าขณะที่เราตะโกนว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน?ๆ”

ในใจลึกๆ เรารู้ เราเชื่อไหมว่าพระเจ้าอยู่กับเรา  อยู่นั่นแหละ 2 ความคิด 2 อารมณ์อยู่ในคนๆ เดียวกันตลอดเวลา ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  จริงๆ แล้วคำถามเหล่านี้ มีคำตอบชัดเจนอยู่ในพระคัมภีร์ ย้ำไปย้ำมาทั้งเล่มเลย บอกแล้วบอกอีกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา ก็ต้องแปลว่าทุกสถานการณ์ ทุกเหตุการณ์ ไม่ใช่เฉพาะยามสุขสบายเท่านั้น ที่อยู่ด้วย

เหตุที่ยังต้องเกิดคำถามขึ้นกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็เพราะร่างกายเป็นร่างกายเก่า สภาพแวดล้อมเก่าๆ อยู่ ทนทุกข์อะไร? มันเจ็บอะไรต่างๆ มันก็เจ็บ มันก็ปวด มันก็ทนไม่ไหว ก็ต้อง แสดงความต้องการอะไรออกมาบางอย่าง แต่ลึกๆ ก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ทั้งหมดเลย  นี่คือความเป็นธรรมชาติของบรรดามนุษย์บนโลกใบนี้

วันนี้ผมจะหยิบยกเรื่องราวตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ เพื่อมาหนุนใจท่าน เพื่อว่าท่านจะได้รู้ว่าท่านไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือแปลกกว่าคนอื่นเขาเลย พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านจริงๆ แม้เหตุการณ์ที่ท่านผ่านมา หรือกำลังผ่านอยู่ หรือกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้  จะเป็นอย่างนั้น ก็ตาม หรือว่าเมื่อเช้าท่านพูดกับพระเจ้าอย่างนี้ ก็ตาม

“พระเจ้าอยู่ไหน?  ไหนบอกว่ามีพระเจ้าอยู่ด้วย ไหนบอกจะอวยพร ทำไมเป็นอย่างนี้”

ไม่แปลกเลย  มันเป็นอย่างนี้ มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป  มันเป็นธรรมดา ท่านจะได้รู้ท่านไม่ได้แปลก และท่านจะได้มั่นใจว่าท่านมีความเชื่อ 100% เต็มๆ ว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับท่านจริงๆ  อยู่ในท่านจริงๆ

ผมจะนำเรื่องราวของบุคคลคนหนึ่ง ที่ชื่อว่าโยเซฟ มาเป็นตัวอย่าง โยเซฟเป็นบุตรชายของยาโคบ ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล ซึ่งเป็นตัวอย่างที่จะทำให้ท่านเห็นภาพชัดเจนที่สุดว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา

ส่วนใหญ่เขาจะยกเรื่องโยเซฟ สำหรับการอธิบาย หรือบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวการทรงสถิตของพระเจ้า คือเป็นหลักการที่ชัดเจนมาก ในหนังสือพระคัมภีร์

โยเซฟเกิดในครอบครัวของยาโคบ มีฐานะมั่นคงและมั่งคั่ง เป็นลูกโปรดของพ่อ เพราะเกิดจากภรรยาที่พ่อรักที่สุด ตั้งแต่เด็กๆ โยเซฟมีของประทานในการหยั่งรู้เรื่องอนาคต พระเจ้าบอกเรื่องต่างๆ เหล่านี้ คือเป็นเด็กช่างฝัน และมักทำนายฝันของตัวเอง แต่ปัญหาของโยเซฟ คือพอเขาฝันอะไร? เก็บเป็นความลับไม่ได้ เที่ยวไปบอกพี่ๆ หมด ไม่ว่าดีหรือเลว ก็เลยทำให้พี่ๆ ฟัง แล้วหมั่นไส้ ไม่พอใจบ้าง นี่คือปัญหาที่ทำให้เกิดขึ้นกับโยเซฟเอง อีกอย่างหนึ่ง โยเซฟเป็นลูกคนโปรดของพ่อ จึงทำให้บรรดาพวกพี่น้องทั้งหมด รวมกันเป็นเอกฉันท์ไม่ชอบโยเซฟ ซึ่งรวมทั้งนิสัยอื่นๆ ของโยเซฟอีก อย่างเช่น ไปอยู่กับพี่ๆ … พี่ๆ ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องบ้าง ก็เอามาฟ้องพ่อ พวกพี่ๆ รู้แล้ว ในที่สุด เลยอยากจะกำจัดโยเซฟซะ คือขายโยเซฟให้แก่คนอิชมาเอล ซึ่งต่อมา ก็ขายต่อ ไปเป็นทาสรับใช้ของโปติฟา ผู้บัญชาการทหารของอียิปต์

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโยเซฟนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และทรงนำชีวิตของโยเซฟตลอดเวลา และโยเซฟเอง ก็รู้ตัวว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย และเขาก็เชื่อฟังพระเจ้าตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ท่านลองคิดภาพดูนะครับ ขณะที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้นเลย  แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของเขา

โยเซฟผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนโปรดของพ่อ ที่มีฐานะร่ำรวย ถูกพวกพี่ชายอิจฉา ถึงขนาดถูกทำร้าย ผลักตกลงไปในบ่อ แล้วก็ถูกขายให้เป็นทาสของคนอิชมาเอล ถูกขายต่อไปเป็นทาสในเรือนของโปทิฟาห์ อุตส่าห์ทำงานอย่างดี ถูกใส่ร้ายว่าพยายามไล่ปล้ำนายหญิง เสร็จแล้วถูกเขาลงโทษไปจำคุก หนักกว่านั้นอีก ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย อยู่ในคุก ก็พยายามทำความดี แต่ถูกขังลืม

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้เลยว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับโยเซฟ และโยเซฟก็ทราบดีว่าพระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา โยเซฟตระหนักเสมอว่าพระเจ้าอยู่กับเขาด้วยตลอดเวลา แต่ทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนี้  ตอนอยู่ในคุกเขาสบายดีเหรอ? ไม่สบาย เขารู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่กับเขา? รู้ แต่เขาอยากออกจากคุกไหม? อยาก อ้าว! ถ้ารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็เป็นไปตามน้ำพระทัยก็ได้ ทำไมเขาอยากออกจากคุกล่ะ ก็มันไม่อยากอยู่ มันไม่สุข มันลำบาก เห็นอะไรบางอย่างไหม?

วันหนึ่งโยเซฟได้มีโอกาสทำนายฝันให้กับกษัตริย์ฟาโรห์ ทำให้ได้ออกจากคุก และได้มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับใช้และเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ฟาโรห์ จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะใหญ่โต มั่งคั่งในอียิปต์ บางคนบอก …

“โอ้โห! โยเซฟสบายไปเลยต่อไปนี้”

ไม่ได้สบายเลย ออกมามีชีวิตอยู่ที่ดีขึ้น ตามสายตาจริง แต่งานหนัก (หนักมหาศาลมากๆๆๆ เลย) เพราะคนเดียวต้องดูทั้งหมด บริหารงานทุกอย่าง พลาดก็ไม่ได้ พระเจ้าอยู่ด้วยไหม? อยู่ด้วย

ต่อมาเมื่อเกิดภาวะกันดารอาหาร ที่แคว้นคานาอัน  ที่ครอบครัวเดิมของยาโคบอยู่ พวกพี่ชายของโยเซฟ ต้องพากันมาขอซื้อข้าวจากอียิปต์ และได้พบกับโยเซฟ ซึ่งตอนนั้น โยเซฟกลายเป็นผู้สำเร็จราชการของอียิปต์ไปแล้ว

โยเซฟซึ่งถูกพวกพี่ๆ หมายจะเอาชีวิต ทำกับโยเซฟร้ายแรงถึงขนาดนั้น  แต่แทนที่โยเซฟจะโกรธกับสิ่งที่พี่ชายได้เคยทำให้กับตัวเอง ทำร้ายตัวเอง โยเซฟกลับบอกพวกพี่ชายของเขาว่า …

“เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เป็นเพราะพวกพี่ๆ คิดเอง ทำเองหรอก แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น”

โยเซฟตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย

ปฐมกาล 45:3-8 “3 โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า ‘เราคือโยเซฟ บิดาเรายังมีชีวิตอยู่หรือ’ ฝ่ายพวกพี่น้องไม่รู้ที่จะตอบประการใด เพราะตกใจกลัวที่เผชิญหน้ากับโยเซฟ 4 โยเซฟจึงบอกพี่ชายว่า ‘เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด’ เขาก็เข้ามาใกล้ แล้วโยเซฟว่า ‘เราคือโยเซฟ น้องที่พี่ขายมายังอียิปต์ 5 แต่บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เรา ให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะมีการกันดารอาหาร ในแผ่นดินสองปีแล้ว ยังอีกห้าปี จะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดิน ไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง 8 ฉะนั้น มิใช่พี่ เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา  พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนตัวบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด”

 

“แต่บัดนี้ อย่าเสียใจ อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เรา ให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต”

ถ้ามีใครตอนนี้ หักหลังเรา สมมติ เรามีอยู่ล้านหนึ่ง โกงเราไปสองล้านเลย เอาเงินสดไปหมดเลย แถมเรายังติดหนี้ชาวบ้านเขา  เป็นบุคคลล้มละลาย อีกหนี่งปีต่อมา มาเจอเขาอีกที เราจะพูดอย่างนี้ไหม?

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น ที่ท่านโกงผมไป ไม่ใช่ตัวท่านหรอก เป็นพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น ผมอภัยให้ท่านครับ ไม่มีอะไรกันนะ”

มันยากมากนะ ขนาดแค่สองล้าน นี่ทั้งชีวิตเลย

ถ้าย้อนกลับไปดูเมื่อวันที่โยเซฟถูกพวกพี่กลั่นแกล้ง และขายเขาให้กับพวกชาวอิชมาเอล ตอนนั้นโยเซฟมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ตอนที่ตกลงไปในบ่อ ในช่วงเวลานั้น เขาต้องคิดว่าเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่ต้องถูกขายและถูกพลัดพรากจากครอบครัวที่มั่งคั่ง ที่เขาอยู่อย่างสบายดี เขาคงตกใจ หวาดกลัวมาก พระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ ถึงตอนที่พวกพี่ชายคุยกันตอนนั้น พวกพี่ชายรู้ว่าโยเซฟรู้สึกอย่างไร? ทุกข์ใจขนาดไหน?  เพราะโยเซฟวิงวอนขอพี่ชายอย่าทำกับเขาอย่างนี้เลย โยเซฟสำแดงความกลัว วิตกกังวลออกมาอย่างมากมาย ซึ่งปฐมกาล บทที่ 42 บันทึกไว้ว่าพวกพี่ชายก็ได้ยินว่าเป็นอย่างนี้ ปฐมกาล 42:21

ปฐมกาล 42:21 “พวกพี่ชายจึงพูดกันว่า ‘ที่จริงเรามีความผิดเรื่องน้องเรา เพราะเราได้เห็นความทุกข์ใจของน้อง เมื่อเขาอ้อนวอนเรา แต่แล้วมิได้ฟัง เพราะฉะนั้น ความทุกข์ใจครั้งนี้ จึงบังเกิดแก่เรา”

 

ตอนที่โยเซฟถูกพี่ชายกลั่นแกล้งและกำลังจะถูกขายให้คนอิชมาเอล โยเซฟรู้ตัวไหมว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขารู้หรือไม่รู้? รู้ แล้วโยเซฟเป็นทุกข์ไหม? เป็น ที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ เป็นทุกข์มาก กลัวไหม? กลัว คุ้นๆ ไหม?  คุ้นเลยนะ ถามว่ารู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? รู้ แล้วทำไมต้องทุกข์ ทำไมต้องกลัว?

ถามว่าเมื่อเช้ายังทุกข์อยู่หรือเปล่า? เมื่อวานทุกข์ไหม? ทุกข์ แล้วรู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? รู้ แล้วทำไมอยู่ในคนๆ เดียวกันได้ ไม่รู้สึกแปลกเหรอ ให้ตอบพร้อมกันทุกคนเลย เพราะเรายังเป็นมนุษย์

โยเซฟก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ทูตสวรรค์ เราก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ทูตสวรรค์ เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เราเชื่อว่าพระเยซูสถิตอยู่กับเรา … เราเชื่อเต็มร้อย จับเราไปฆ่า เราก็เชื่อ ตายในวันพรุ่งนี้ วินาทีนี้  ทันทีทันใด เราก็เชื่อว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  แต่ถึงวินาทีนั้น  ความทุกข์ยากลำบากมา เราก็ต้องกลัว เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเป็นมนุษย์  … มนุษย์ก็ได้แค่คิดแบบมนุษย์ มนุษย์ก็เจ็บปวด แบบมนุษย์ มนุษย์อ่อนแอเหลือเกิน ช่วยตัวเองไม่ได้ พระเยซูจึงมาช่วยเราไง และถ้าไม่จำเป็นต้องใช้เราต่อไป พระองค์ก็พาเราไปพักผ่อนแล้ว แต่ที่ยังให้เราอยู่ในร่างกายนี้ เป็นมนุษย์อยู่เหมือนเดิมตอนนี้ ก็เพื่อจะใช้ฐานะที่เราเป็นมนุษย์นั้น ให้เกิดประโยชน์ในแผนการของพระเจ้า แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์ เรายังไม่สามารถรับรู้ถึงแผนการใหญ่ของพระเจ้าได้เลย วันหนึ่งที่เราออกจากร่างกายนี้ เราเป็นวิญญาณออกไปแล้ว เราจะเห็นภาพรวม แล้วเราจะ …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

แต่ ณ วันนี้ พระคัมภีร์บอก อาจารย์เปาโลบอก เราเห็นแค่รางๆ เข้าใจคำว่า “รางๆ” ไหม? ตอนนี้เรามองเห็นแผนการของพระเจ้าแค่รางๆ  ไม่ใช่ไม่ชัดนะ รางๆ มันเหมือนกับ …

เหมือนคนอายุมากๆ ตาไม่ค่อยดี ต้อไม่ได้ลอกอะไรแบบนี้

“เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่าเนี้ย?”

“กี่โมงแล้ว?”

คือไม่เห็น

“ตอนนี้ เลขอะไรเนี้ย ใกล้เที่ยงหรือยัง? ไม่รู้เลขอะไร?”

นั่นแหละ คำว่า “รางๆ” คือไม่เห็น เราไม่เห็นแผนการของพระเจ้าว่าพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร? ทำไมต้องทำอย่างนี้? ทำให้เราทุกข์ทรมานทำไม? เพราะอะไร?  เราไม่รู้ไง เพราะเรายังเป็นมนุษย์

ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ โยเซฟก็มองเห็นแค่ความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า ตามประสาของมนุษย์ทั่วๆ ไปว่าความทุกข์นี้ กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาอย่างไร? เช่น เขากำลังจะถูกขายเป็นทาส ไปอยู่ต่างถิ่นทรมาน ต้องเจอกับความทุกข์ทรมานในคุก เจอความยากลำบากขนาดไหนก็ไม่รู้? ก็ต้องกลัวอย่างนี้แหละ เหมือนเราทั้งหลาย  ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ เราไม่รู้จริงๆ หมอก็บอกรักษาไม่หาย เงินก็ไม่รู้จะไปหามาจากไหนให้เขา? แล้วทำไมต้องเป็นอย่างนี้? แล้วรู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? ก็รู้ ทิ้งพระเจ้าไหม? ไม่ทิ้ง อย่างไรก็ไม่ทิ้งแน่นอน แต่ทำไมเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราอย่างนี้ เราก็ดิ้นรนไปเรื่อยๆ เหมือนโยเซฟที่กำลังกลัว

จนกระทั่งเวลาผ่านไป นี่สำหรับโยเซฟนะ โยเซฟเริ่มเห็นคำตอบ เริ่มเข้าใจแผนการของพระเจ้า เหมือนที่โยเซฟได้พูดกับพี่ชายว่า …

“มิใช่พี่ ที่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้เรามา เพื่อที่ว่าเราจะสามารถช่วยครอบครัวและบ้านเมืองของเราได้ในวันนี้”

พูดง่ายๆ โยเซฟรู้ว่าพวกพี่ชายเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ที่พระเจ้าใช้ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ตามแผนการที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ทั้งสิ้น ถามว่าเชื่อเพราะอะไร? เพราะมันเกิดขึ้นแล้วไง มันอ๋อ! แล้วไง วันที่เราเกิดปัญหา เราคิดไม่ออกเลย เราก็คิดแต่พระเจ้าอยู่ไหน?ๆ แต่พอพระเจ้าทรงตอบ ทรงนำ พาไป แผนการค่อยๆ เปิดขึ้นเรื่อยๆ เราจะเห็น

“อ๋อ! เมื่อวานนี้ หรือเมื่อปีที่แล้ว หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่เขาโกงเราจนหมดตัว เพื่อเราจะได้เปลี่ยนอาชีพ และมาเป็นอาชีพนี้ แล้วมันดีกว่าเก่าเยอะแยะมากมายไปหมดเลย  ขอบคุณพระเจ้า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว”

เจ๊งไปหมดทุกอย่าง  แต่ตอน 2 ปีที่แล้ว เราทำไม?

“เชื่อพระเจ้า ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระเจ้าหมด ทำไมมันเป็นอย่างนี้”

สามปีผ่านไป ยี่สิบปีผ่านไป โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า ใน 20 ปีที่แล้ว ถ้าเผื่อไม่เป็นอย่างนั้น ป่านนี้ เราไม่เป็นอย่างนี้ ถูกหรือไม่ถูก? เหมือนไหม? เหมือน

เรื่องราวของโยเซฟ เป็นตัวอย่างให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการที่บอกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เหมือนกับที่พระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา และโยเซฟก็รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แต่ชีวิตของโยเซฟก็ไม่ได้ราบรื่น หรือโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราก็เหมือนกัน เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้อะไร? ก็ได้ตามที่เราชอบ บางคนคิดอย่างนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อยากได้อะไรก็สบายสิครับ อยากมาเป็นคริสเตียนจัง เข้าใจผิด แต่มันหมายถึงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตของเรา จากนี้ต่อไป เราเป็นเพียงแค่จิ๊กซอตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของภาพแผนงานใหญ่ของพระเจ้า ที่เราไม่เห็นเบ่อเริ่มเทิ่มนั่น แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งภาพที่มองนั้น  แตกต่างจากที่พระเจ้ามองอย่างสิ้นเชิง แผนการของเรา ความต้องการของเรา กับแผนการของพระเจ้า ความต้องการของพระเจ้า ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหมือนฟ้ากับเหว

หลายครั้งเราต้องการให้เป็นไปตามความต้องการของเราเอง เพราะเราคิดล่วงหน้า แค่ไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง อาจจะครึ่งชั่วโมงหน้า หรือไม่ก็พรุ่งนี้ หรือเดือนนี้  เพราะเราอยากจะสบายกว่านี้ เดี่ยวนี้ เร็วๆ เลย คิดสั้นๆ พูดง่ายๆ แต่แผนการพระเจ้าบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์มองไปถึงโน่น เป็นนิรันดร์ปี และไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนเดียว มันไปเกี่ยวพันกันหมดเลยทุกอย่าง ไม่ใช่โยเซฟทุกข์ทรมาน เพื่อจะช่วยเหลือครอบครัวเขาเท่านั้น แผนการของพระเจ้าเยอะแยะ

โยเซฟก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ทำให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในกรุงเยรูซาเล็ม มาตายที่กรุงเยรูซาเล็ม มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งโลก จนมาถึงทุกวันนี้ด้วย ก็คือหนึ่งในจำนวนแผนการของพระเจ้า ที่จะทำให้พระเยซูคริสต์มาเกิด เห็นภาพไหม?  โยเซฟไม่รู้เลยว่าถูกใช้ขนาดไหน? แค่โยเซฟรู้บ้างตอนท้ายๆ ว่ามาให้ทนทุกข์ตอนนั้น เพื่อที่จะมาวันนี้ เกิดกันดารอาหาร จะได้ช่วยคนอิสราเอลได้ ก็อาจจะคิดอยู่แค่นั้นเอง แต่พระเจ้ามองไปที่ภาพรวม แล้วเราอ่านเรื่องราวย้อนหลังกลับไปในประวัติศาสตร์ เราเห็น โอ้โห! นึกว่าช่วยแค่นั้น เปล่า เกี่ยวกับที่พระเยซูจะมาเกิดด้วย ภาพใหญ่มหาศาล

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายในสายตาเราก็ตาม จงระลึกไว้เสมอว่าแผนการของพระเจ้า จะเป็นแผนการที่ดีเสมอ เพื่อสวัสดิภาพ และสิ่งที่ดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์ และสำหรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นทั้งหมด ที่ทรงใช้เราขนาดนี้ มันเกี่ยวพันกันทั้งหมดเลย  มองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รอคอยวันแห่งการไถ่ถอน รอคอยวันแห่งการช่วยเหลือของพระเจ้าทั้งสิ้น มันก็ผ่านทางมนุษย์เรา ช่วยเรา บางทีเราอาจทนทุกข์อะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้คนเขาตัดต้นไม้ทำลายป่า เพื่ออะไรบางอย่าง เต็มไปหมด เข้าใจใช่ไหมครับว่าแผนการของพระเจ้าใหญ่ยิ่งขนาดไหน? บางทีเราคิดว่าเป็นผลดีสำหรับคนเดียว ไม่ใช่ เป็นผลดีสำหรับเราด้วย และในขณะเดียวกัน เป็นผลดีสำหรับแผนการของพระเจ้า เกี่ยวข้องกับส่วนรวมทุกอย่างบนโลกใบนี้ ในมหาจักรวาลนี้ทั้งหมด นี่แหละคือการรับใช้พระเจ้าที่แท้จริง ต้องคิดอย่างนี้

ถ้าคิดว่ามารับใช้พระเจ้า คือมาโบสถ์ มาทำงานโบสถ์ มาเทศนา ไปประกาศข่าวประเสริฐ มันไม่ใช่แค่นั้น นั่นมันส่วนเดียว นิดเดียว รับใช้พระเจ้า คือทุกลมหายใจ ที่คุณเข้าออกตอนนี้ กำลังใช้อยู่นั่นแหละ เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับคุณไง? เอเมน ถ้าพระเจ้าไม่สถิตอยู่กับคุณ ก็อีกเรื่องหนึ่ง พระเจ้าก็ยังทรงใช้อยู่  พระเจ้าใช้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

การรับใช้พระเจ้า ก็คือการเป็นจิ๊กซอตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่นิ่งๆ แล้วก็เชื่อฟังพระเจ้า นิ่งในตำแหน่งที่พระเจ้าวางไว้ แค่นั่นเอง ถ้าคุณไม่นิ่ง พระเจ้าก็ทำได้เหมือนเดิม แต่คุณเองนั่นแหละจะเหนื่อย และเจ็บเปล่าๆ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าถีบประตักมันเจ็บตัวเอง

เปาโลก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ทำตรงข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระเยซูบอกว่าอย่าถีบประตักเลย   เจ็บตัวเปล่าๆ ประตักก็เหมือนหอก  แหลมๆ ไปถีบมัน   เราก็เจ็บเอง   อย่าลืมว่าเราเป็นจิ๊กซอตัวเล็กตัวหนึ่ง ในภาพใหญ่ๆ ของมหาจักรวาลนี้ ที่พระเจ้าต้องการให้เป็น ที่พระเจ้าต้องการให้มาเกิดขึ้น หรือวาดแผนงานไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราทั้งหลายรวมเรียกกันว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า เอเมน

เวลาเราอธิษฐาน “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

จงจำไว้ว่ามันใหญ่เกินมากกว่าที่เราจะคิด ยกตัวอย่างว่าถ้าเราจะทำคริสตจักรนี้ ทำหอประชุมนี้ใหม่ อีกไม่กี่ปี? เราจะย้ายไปอยู่ที่ไหน? เราอธิษฐาน จบลงด้วยว่า …

“ที่นี่ก็ดี ที่นี่น่าไปอยู่มากเลย เราไปดูมาแล้ว สถานที่ดีมาก เหมาะทุกอย่าง ที่ดินเขาก็ให้เราฟรีด้วย ดีหมดเลย”

แต่สุดท้าย ก็คือมันใช่น้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็คือเป็นไปตามแผนการของพระองค์ เพราะว่าโบสถ์นี้ เป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เมื่อเข้าไปอยู่ในแผนการรวมของพระเจ้าทั้งหมด ในมหาจักรวาล เอเมนไหม? อย่างนี้มันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสใช่ไหมว่าเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ที่เหลือก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าก็แล้วกัน

ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเรามั่นคงในความเชื่อได้แบบนี้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน?  ยึดมั่นในถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือโรม 8:28 บอกไว้ชัดเจนมากเลย

โรม 8:28 “และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียก ตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

“บรรดาผู้ที่รักพระองค์” ไม่ได้หมายถึงคนนั้น  คนเดียว สมัยก่อนผมก็นึกว่าข้อนี้หมายถึงว่าพระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดี สำหรับผมคนเดียว ไม่ใช่ อย่าเข้าใจผิด พระองค์ไม่มีความลำเอียงถึงขนาดนั้นหรอก รักเราที่สุด และรักทุกคนที่สุดเหมือนกัน รักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ความสวยงามที่พระองค์ทรงสร้างมาที่สุดเหมือนกัน และพระองค์ทรงทำให้มันสวยงามอย่างนั้นได้แน่นอน เอเมน ถ้าเราไม่ให้พระองค์ใช้ พระองค์ก็ไม่ใช้เราหรอก แล้วคุณจะหนีไปไหน? หนีไปไหวเหรอ หนีไปได้ไหม?

ตรงนี้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ผ่านทางชีวิตของเรา ไม่ใช่ดีอย่างเดียว ดีสำหรับส่วนรวมทั้งหมดเลย เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระประสงค์ของพระองค์ ก็คือน้ำพระทัยของพระองค์ … น้ำพระทัยของพระองค์ คือเป็นไปตามแผนการใหญ่ของพระองค์ในจักรวาล ที่เราไม่รู้ ภาพนั้นใหญ่ขนาดไหน? วันหนึ่งเราจะเห็นด้วยตาฝ่ายวิญญาณของเรา

ถ้าเราสามารถเชื่อมั่น 2 สิ่งนี้ได้ คือ …

(1) พระเจ้าสถิตอยู่กับเราด้วย ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา

(2) ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดี สำหรับทุกๆ อย่าง อย่างแน่นอน ไม่ใช่ดีสำหรับเราอย่างเดียว แต่ดีสำหรับผู้คนรอบข้างด้วย

ถ้าเราเชื่อมั่นได้แบบนี้ ทั้ง 2 อย่างนี้ รับรองว่าเราจะผ่านเหตุการณ์ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ได้อย่างสบาย

คำว่า “สบาย” อย่างที่ผมบอก ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ ลุ่มๆ ดอนๆ  นี่แหละเขาเรียกว่ารับใช้ เกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เป็นไร? พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และพระองค์เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น และเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์ของพระองค์ ตามแผนการของพระองค์อย่างแน่นอน แล้วพระประสงค์ของพระองค์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราและทุกคน  ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น  เราจึงสามารถเอเมน ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี

เห็นไหม? มันมีเหตุผลของมัน ตามถ้อยคำพระเจ้า มีตัวอย่างของมันตามถ้อยคำพระเจ้า พอมีตัวอย่าง มีเหตุผลของพระเจ้ามายืนยันอย่างนี้  เราก็รู้สึกมาถูกทางแล้ว ทำให้ถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้อย่างนี้เสมอไปนะครับ พอความทุกข์เข้ามา ถ้อยคำที่เคยท่องได้อยู่ตลอดเวลา มันก็หายไป คำบรรยายที่ฟังวันนี้ มันก็หายออกไปจากสมอง กลายเป็นคำเดิมออกมา เหมือนเดิม ก็ไม่แปลก

จึงมีคำกล่าวว่า “ความทุกข์ยากลำบาก จะทำให้เกิดผลได้ 2 ทาง”

ทางที่ 1 คือบั่นทอนความเชื่อของเรา

ทางที่ 2 คือทำให้ความเชื่อของเรา มีจิตวิญญาณที่เติบโตเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เอเมน

ใครอยากได้อันที่หนึ่งบ้าง? ไม่อยาก เราอยากได้อันที่สอง พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าจะพาท่านไปอันที่สองแน่นอน ท่านจะมีความเชื่อมั่นคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่โยเซฟมี ขึ้นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสามารถคุยกับคนที่ทรยศคุณได้ว่า …

“วันนั้น เธอทำฉันอย่างนี้ 20 ปีผ่านมาแล้ว ฉันจำไม่ผิดเลยจนทุกวันนี้ ฉันอภัยให้เธอ”

พูดอย่างนี้เหรอ ไม่ใช่แล้ว

“ฉันจำได้นะวันนั้น แต่ไม่ใช่ท่านหรอก ท่านไม่ต้องมาขออภัยฉันเลย พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อสิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นในวันนี้”

เปลี่ยนไปไหม? แต่ต้องรอหน่อยนะ มันไม่ได้วันนี้หรอก มันต้องค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ให้จิตวิญญาณเราเข้มแข็งขึ้นด้วยการเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่สนุกสนาน พระเจ้าพาเราผ่านเข้าไปในนั้น โดยที่พระองค์ทรงอยู่กับเราด้วย พระเยซูพาเราขึ้นโรลคอสเตอร์ หรือรถไฟเหาะ ที่เด็กๆ เล่น ไม่ใช่เด็กแล้ว โตแล้ว ที่มันหมุนได้  เสียวน่าดู แต่พระเยซูนั่งอยู่กับเรา ไปไหม?  ไม่อยากไป ก็ต้องไป เพราะคนซื้อตั๋ว ไม่ใช่ท่าน พระองค์เป็นผู้ซื้อตั๋ว ท่านไม่ไป ท่านก็ต้องไปอยู่ดี มันเหมือนอย่างนั้นแหละ มันจะมีโค้งต่อไปไหม  ผมเคยขึ้นครั้งหนึ่ง ขนาดตอนนั้น ก็อายุน้อยกว่านี้ไม่เท่าไร? จะลงแล้ว ตอนขึ้นสบายยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกจัง สบาย พอกำลังลง เอาจริงเหรอ อ๊ากกกกก มีใครไม่ตะโกนบ้าง ผมว่าไม่มี กล้าอย่างไร? ก็ตะโกนเหมือนกันล่ะ

“พระเจ้าอยู่ไหน? ไหนบอกว่า … (แล้วก็ใส่ไปเอง อยากจะใส่อะไร ก็เชิญ)”

ส่วนจะไปทางไหน?  ขึ้นอยู่กับเราว่าเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างไร? แบบไหน? หรือ ตอบสนองเหตุการณ์ทุกข์ยากนั้นอย่างไรบ้าง? ตอบสนองให้ดีๆ มันก็ช่วยให้เรามีความเชื่อเพิ่มขึ้น ตอบสนองไม่ดี ก็ทำให้เราความเชื่อท้อแท้เหี่ยว จะเอาอย่างไร? อดทนหน่อย ให้มันขึ้นไปดีกว่า ถึงแม้ท่านเหี่ยวอย่างไร? เดี๋ยวพระเจ้าก็ต้องหนุนท่าน ในที่สุดท่านก็ขึ้นไปได้อยู่ดี

ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับคนนี้ สถิตอยู่กับดาวิด สถิตอยู่กับโยเซฟ พระเจ้าสถิตอยู่รอบๆ ตัวเขา อาจจะเป็นทูตสวรรค์มาเป็นบางครั้ง ผมก็ไม่รู้ แต่ก็สถิตอยู่ด้วย  แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แล้วให้พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเรานั้น แปลว่าสถิตอยู่ในเรา พระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเจ้าอยู่ในเราแล้ว ไม่ใช่อยู่ด้วยกับเรา แต่อยู่ในเราเลย ข้างในนี้เลย ยิ่งชัดใหญ่เลย เราพิเศษกว่าตั้งเยอะ ขอบคุณพระเจ้า พระคริสต์ พระองค์ทรงอยู่ในเรา

สมัยก่อนนี้ เขาแสวงหาคนพิเศษที่พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย โยเซฟพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ พอเชื่อพระเยซู เราเป็นคนพิเศษมากเลย ไม่ใช่สถิตอยู่ด้วยกับเรา แต่สถิตในเรา เข้ามาอยู่ในเราเลย นี่คือความพิเศษ

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย หลายครั้งเราก็อยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน  ที่โยเซฟต้องผ่าน แต่เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา อยู่ในเรา  ในพระเยซูคริสต์ แม้บางครั้ง  เราไม่อยากที่จะเผชิญกับสถานการณ์อย่างนั้นเลย ความทุกข์ยากลำบากอย่างนั้น เราอธิษฐานทูลขอพระเจ้าในสิ่งที่เราอยากได้ ในสิ่งที่เราต้องการให้เป็น มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด ทำไมอธิษฐานแบบนี้  จะเอาสบายเสมอ (ทุกคน) มันเป็นอย่างนี้แหละ มีใครอยู่ดีๆ อธิษฐานว่า …

“พระเจ้าอยากจะทุกข์มากกว่านี้อีกนิดหนึ่งได้ไหม? ขอความทุกข์หน่อยหนึ่ง ขอปัญหาเยอะขึ้นอีกนิดหนึ่ง”

ไม่มี ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ถ้ามนุษย์มันต้องอย่างนี้ทุกคน อยากให้มันจบๆ ปัญหา อยากให้มันหลุดปัญหาไป คือมันเจ็บปวดจริงๆ

“ขอเถอะ พระเจ้าช่วยด้วย”

แต่อย่างที่บอก เหมือนพระเยซูที่สอนเรา แต่สุดท้าย ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า นี่คือของแท้ ถ้าพระเจ้าอยู่ในตัวเขาจริงๆ จะเป็นอย่างนี้

พระเยซูเองก็เป็นตัวอย่าง ในการอธิษฐานเช่นนี้ เช่นเดียวกัน ในสวนเกทเสมเน ไม่อยากเลย ไม่อยากจะจากพระเจ้า แยกจากพระเจ้า ไม่อยากจะรับบาปของมนุษย์ ไม่ไหวแล้ว แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้วกัน วางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์สอนให้เราอธิษฐานตามอย่างพระองค์ ขออย่าได้เป็นตามความประสงค์ของลูก แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะเรารู้ว่าน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นการรวมทั้งหมดที่ยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงทำให้ดีทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนได้ดีหมด

นี่คือเหตุผลที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐานตรงนี้  ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงครอบครองทุกสิ่ง จัดเตรียมทุกอย่าง ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น วางไว้ให้พระองค์ มอบให้พระองค์ไปเลย เอเมน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2016 เรื่อง “การเป็นขึ้นมาใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันครบรอบหนึ่งสัปดาห์ของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรามาเริ่มต้นด้วยถ้อยคำในพระคัมภีร์  ที่จะตอกย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญของวันศุกร์ประเสริฐ  และวันอีสเตอร์ ที่เราได้รับพระพรจากพระเจ้าร่วมกัน ที่เราได้มาร่วมกันระลึกถึงสิ่งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และได้เฉลิมฉลองกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

และวันนี้จะใช้หัวข้อเรื่อง ชื่อว่า “การเป็นขึ้นมาใหม่” เรียนเพื่ออะไร?  เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ วันสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนและวันเป็นขึ้นมาใหม่นั้น มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเราอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราอย่างไร? เราในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี้  ที่รู้จักพระเยซูแล้ว ที่รู้ว่าข่าวดีนี้ เป็นอย่างไรแล้ว ไม่ใช่แค่นั้น  เราหมายถึงมนุษยชาติทั้งปวงด้วย

เราจะเริ่มต้นจากหนังสือโรมนะครับ เปิดไปที่หนังสือโรม 6:5-9

โรม 6:5-9 “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป”

 

ถ้อยคำตรงนี้ พูดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในวันศุกร์ประเสริฐและวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เกิดขึ้นแล้ว และมันเป็นผลมาถึงชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย มันได้เกิดขึ้นแล้วกับชีวิตของเราด้วย แต่ข้อพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ และแน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากการตายเหมือนพระองค์ด้วย พระองค์เป็นตัวแทนใช่ไหมครับ? เราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย ทั้งหมดนี้ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนให้กับพระองค์

คำแรก คือคำว่า “ถ้า” ถ้า ก็คือถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์ทรงพูดมาทั้งหมดนั้น เป็นความจริง พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เพื่อเป็นแพะรับบาป รับโทษแทนพวกเราทุกคน ถ้าท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านก็มีส่วนร่วม ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ และได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ด้วย เราตายและเราเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ บรรทัดสุดท้ายเขียนว่าอย่างไร?  เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ด้วย ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ การเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เราก็เป็นด้วย  และเรามีชีวิตร่วมอยู่กับพระองค์ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง

เชื่อในนี้ คืออะไร?  ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูบอกให้เราประกาศออกไป เรื่องพระเยซู ถ้าใครเชื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขา ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เกิด เพราะในนั้นเขียนว่า “ถ้า” พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ก็เป็นเรื่องของพระองค์ เราก็อยู่ส่วนเรา เพราะเราไม่เชื่อไง แค่นี้เอง และเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราเองก็ถูกตรึงและตายไปพร้อมกับพระองค์ด้วย และเมื่อวันอาทิตย์ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนกับพระองค์ด้วย นี่ตามพระคัมภีร์เป๊ะเลย หลายคนเริ่มงงว่าตายอย่างไร? เป็นขึ้นมาอย่างไร? อาทิตย์ที่แล้วก็นั่งอยู่ วันนี้ก็นั่งอยู่เหมือนเดิม ถูกไหม?

ตามที่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป คือความตาย ความตายตรงนี้ หมายถึงตายและตาย ตาย 2 อัน วันนี้เราจะมาขยายความตรงนี้นะครับ ให้ละเอียดเลย ให้ทุกคนเข้าใจว่าความหมายตามพระคัมภีร์ของการตายและตาย คืออะไร? การเป็นขึ้นจากความตายของเรา มีลักษณะเป็นอย่างไร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? วันนี้ท่านจะเห็นทะลุปุโปร่ง เรื่องข่าวประเสริฐตรงนี้

เรามาเริ่มต้นดูถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าแผนการของพระเจ้า ในเรื่องการตายและการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์นั้น จริงๆ แล้ว เป็นแผนการสำหรับเราทั้งหมดเลย ที่พระเยซูต้องตาย ก็เพราะเรา คือมวลมนุษยชาติได้ตายไปก่อนแล้ว และเพราะพระเจ้าต้องการให้เราได้เป็นขึ้นจากความตาย คือมวลมนุษยชาติเป็นขึ้นจากความตาย  จึงทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตายก่อน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ที่ต้องเกิดขึ้น ก็เพราะเรา ก็คือมวลมนุษยชาติ จึงจำเป็นต้องให้มีอย่างนี้เกิดขึ้น  1 โครินธ์ 15:15-20

1 โครินธ์ 15:15-20 “15 ความจริง คือถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา 16 เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน 17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป ในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง 20 แต่นี่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป”

 

พวกเรามักจะคุ้นเคยกับคำสอนที่บอกว่า …

“เหตุเพราะพระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย พวกเราจึงได้รับความรอดและเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย”

ฟังดูเหมือนกัน การตายของพระเยซูเป็นเหตุ และความรอดที่เราได้รับ เป็นผล ใช่ไหม?  มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ เพียงแต่วันนี้ผมจะพาท่านไปดูอีกมุมหนึ่ง ถ้อยคำที่เราอ่านไปเมื่อกี้นี้บอก นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้นะ

“ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตาย เป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา”

อ่านประโยคนี้แล้ว ท่านลองคิดตามดูว่าอันไหนเป็นเหตุ และอันไหนเป็นผล

“ถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา”

“คนตาย” ตรงนี้หมายถึงเรา มวลมนุษยชาตินั่นเอง เพราะผลของความบาป เพราะโทษของความบาป คือความตาย มนุษย์อยู่ในความตายทุกคน ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา พูดง่ายๆ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้มวลมนุษยชาติมีโอกาสเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา ก็แสดงว่าเหตุเพราะพระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนที่ตายไป เนื่องจากโทษของความบาป ได้เป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น ผล ก็คือพระคริสต์จึงต้องมาตาย ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สามไง

ถ้าตัดคำว่า “ไม่” ออกไปนะ ถ้อยคำตรงนี้ก็จะได้เป็นแบบนี้ว่า …

“เพราะพระเจ้าทรงต้องการให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์จึงทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา”

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ ก็คือพระองค์ต้องการให้เราเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูคริสต์จึงต้องเป็นขึ้นจากตาย เมื่อวันอีสเตอร์ สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

มาดูต่อกันข้อ 20 บอกว่า “แต่นี่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป”

คำว่า “บรรดาผู้ที่ล่วงลับไป” ตรงนี้จริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่เขาจะใช้คำว่า sleep ที่แปลว่า “นอนหลับ” พระคัมภีร์ภาษาไทยบางฉบับ ก็ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” ก็คือหลับ เหมือนกลางคืน เราหลับไปอย่างนั่นแหละ เมื่อพูดถึงคำว่าตาย พวกเราทุกคนก็นึกถึงโลงศพ คิดถึงสุสาน คิดถึงร่างกายที่หมดลมหายใจ คิดถึงงานศพ  คิดถึงงานไว้อาลัย คิดถึงความเน่าของร่างกายนี้ไป หยุดทำงาน

แต่จริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ที่เราใช้คำว่าตายตรงนี้ หมายถึงทางฝ่ายวิญญาณ อย่างเดียวเลย ถ้าพระเยซูพูดคำว่า “ตาย” ในพระคัมภีร์หมายถึงตายทางด้านวิญญาณ มิได้หมายถึงร่างกายหยุดลมหายใจ  ไม่ทำงานอีกต่อไป สมองไม่ทำงาน เน่า เฟะ อะไรอย่างนี้

ส่วนการสิ้นสุดชีวิต ทางร่างกาย การหยุดทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย  สมองไม่ทำงาน หัวใจหยุดเต้น นี่เห็นชัด เราเรียกกันว่าตาย  ถูกไหม? พระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ล่วงหลับ” ไม่ใช้คำว่า “ตาย” เพื่อให้มันแยกกัน มัทธิว 9:23-26

มัทธิว 9:23-26 “23 เมื่อพระเยซูมาถึงบ้านของหัวหน้าที่ประชุมชาวยิว ก็เห็นคนเป่าปี่ และคนมากมายกำลังร้องไห้กันอยู่ 24 พระองค์บอกว่า “ออกไปให้หมด เด็กคนนี้ยังไม่ตาย แต่กำลังหลับอยู่” พวกนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะพระองค์ 25 เมื่อคนพวกนั้น ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว พระเยซูเข้าไปในห้องของเด็ก จับมือเธอ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมา 26 เรื่องนี้ได้เลื่องลือกันไปทั่วแคว้นนั้น”

 

นี่คือหลักฐานชัดเจน  คนทั่วไปบอกว่าตาย ก็คือตายจริงๆ เด็กคนนี้หยุดลมหายใจแล้ว แต่พระเยซูบอกว่าหลับ

ดูอีกตอนหนึ่ง พระเยซูเสด็จไปรักษาลาซารัส คือลาซารัสกำลังป่วย และพระเยซูซึ่งขณะนั้นอยู่คนละเมือง ได้ข่าว แต่ทรงทราบแล้วว่าร่างกายของลาซารัสหยุดการทำงานไปแล้ว ภาษามนุษย์ก็คือตายไปแล้ว  และพระองค์จะไปทำการปลุกร่างกายนั้นให้เป็นขึ้นมาใหม่ คือพูดง่ายๆ ว่าจะไปชุบชีวิตลาซารัสที่ตายไปแล้ว อยู่ในหลุมฝังศพ มาดูว่าพระเยซูใช้คำว่าอะไร? ยอห์น 11:11-14

ยอห์น 11:11-14 “11 หลังจากที่พระองค์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็บอกพวกศิษย์ว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเรากำลังหลับอยู่ แต่เราจะไปที่นั่น เพื่อปลุกเขาขึ้นมา 12 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า หากเขาหลับ อาการก็คงจะดีขึ้น” 13 พระเยซูได้ตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าทรงหมายถึงการนอนหลับธรรมดา 14 ดังนั้น พระองค์จึงทรงบอกพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว”

 

พวกสาวกไม่รู้ เพราะเหตุการณ์อยู่คนละเมือง ไกลกัน แต่พระเยซูรู้แล้ว ตอนที่พูดนั้น ลาซารัสอยู่ในอุโมงค์ฝังศพแล้ว ภาษามนุษย์ก็คือตายนั่นเอง  แต่พระองค์ใช้คำว่า “หลับ”

อีกตัวอย่างหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ก็มีพูดถึงคนที่ตายทางฝ่ายร่างกาย ก็คือร่างกายหยุดทำงาน หยุดหายใจแล้ว สมองเริ่มไม่ทำงาน หายใจเฮือกสุดท้าย  หมดไปแล้ว  พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับไป” 1 พงศ์กษัตริย์ 2:10

1 พงศ์กษัตริย์ 2:10 “จากนั้น ดาวิดก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และถูกฝังไว้ในเมืองดาวิด”

 

หลับอะไรไปอยู่กับบรรพบุรุษ ตามมนุษย์เรียกว่าตาย แต่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “หลับ” เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมพระคัมภีร์ แยกให้เห็นชัดเจน เพื่อเล็งไปถึงเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในวันศุกร์ และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม อีสเตอร์

ถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในการทำพิธีไว้อาลัย ก็เรียกคนที่จากไปอยู่กับพระเจ้า ก็คือจากไปอยู่ก่อนแล้ว ก็คือเจ้าของงานศพ ก็คือคนที่มนุษย์เราเรียกว่าตายแล้ว  ดูสิว่าเปาโลใช้คำว่าอะไร?  1 เธสะโลนิกา 4:13

1 เธสะโลนิกา 4:13 “พวกเราอยากให้พี่น้องเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับคนที่ล่วงหลับไปแล้ว ท่านจะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง”

 

สมองหยุดทำงาน ร่างกายหยุดทำงานทั้งหมด นิ่งเลย ตัวเริ่มแข็ง เพราะว่าหัวใจก็ไม่เต้นแล้ว พระคัมภีร์ทั้งหมดใช้คำว่า “หลับ”

พระเยซูเก็บคำว่า “ตาย” ไว้ใช้กับสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นเยอะ ก็คือการตาย ทางวิญญาณ ที่ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง แยกกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เป็นคนละข้างกับพระเจ้า อย่างนี้แหละเรียกว่า หลับกับตายมันแตกต่างกันอย่างนี้แหละ

ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่จะหมดลมหายใจ พระองค์ได้ตะโกนร้องเสียงดังว่า

“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้ง ข้าพระองค์เสีย”

ก็คือไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ตาย … ตาย แปลว่าถูกทอดทิ้ง แยกออกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้วตอนนั้น  ตะโกนแบบนี้ ก็เพราะพระเยซูได้กลายเป็นคนบาปแล้ว เพราะได้แบกรับเอาบาปทั้งหลายของมนุษยชาติไว้ ที่ตัวของพระองค์ ที่บนไม้กางเขน และเมื่อเป็นคนบาป  ก็ต้องได้รับโทษของความบาป โทษความบาป คือความตาย

 

ตายตรงนี้ ก็คือตายทางวิญญาณ  ไม่ได้เกี่ยวกับการหลับอะไรเลย   ท่านเห็นชัดแล้วใช่ไหม?  คือวิญญาณของพระเยซูได้ตายไปแล้ว ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้แล้ว  เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่างหาก ตาบอด ไม่รู้จักพระเจ้าแล้ว  ตลอดชีวิตของพระเยซูที่เดินบนโลกใบนี้  ก็มีครั้งนี้แหละ ที่พระเยซูไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน  เพราะวิญญาณของพระเยซูได้ตายไปแล้ว

นี่คือตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นลมหายใจ วิญญาณตายก่อนแล้ว และถึงตายทางร่างกายทีหลัง ถ้าเราศึกษาในพระคัมภีร์จะพบว่าอันที่จริงแล้ว อาจจะพูดได้ว่าพระเยซูได้รับโทษของความบาป  ตั้งแต่ก่อนหน้าที่อยู่บนไม้กางเขนแล้ว พระเยซูติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง พระเจ้าออกห่างพระเยซูตั้งแต่คืนวันพฤหัสแล้ว วิญญาณของพระเยซูเริ่มตายไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขนเสียอีก เรารู้ได้ไง? ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าตั้งแต่คืนวันพฤหัส ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงไม้กางเขน ที่พระเยซูไปอธิฐานกับพระเจ้าที่สวนเกเสมเน พระองค์อธิษฐาน 3 ครั้ง ทำไมต้อง 3 ครั้ง ? เพราะพระเจ้าหายไปแล้ว ตลอด 33 ปี พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้วเดินบนโลกใบนี้ มาถึงเหตุการณ์ในสวนเกเสมเน พระเยซูคุยกับพระเจ้าตลอด พระเยซูทรงบอกเสมอว่า …

“สิ่งที่เราพูด เราพูดตามพระบิดาของเรา พระบิดาบอก เราก็พูด”

แต่ตอนนี้ทำไมต้องอธิฐาน 3 ครั้ง เพราะว่าพระองค์ถูกทอดทิ้งแล้ว พอมาถึงคืนวันพฤหัสก่อน วันศุกร์ประเสริฐ พอเริ่มแผนการชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติ โทษแห่งความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ก็ต้องมาตกอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จึงต้องรับโทษของความบาป คือความตายทางวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายบนโลกนี้ พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ พระคัมภีร์บอกค่าจ้างของความบาป คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ ร่างกายของพระองค์ยังเดินอยู่บนโลกนี้ แต่วิญญาณพระองค์ถูกทอดทิ้งแล้ว พระเจ้าละพระองค์แล้ว พระองค์เริ่มเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่คืนวันพฤหัสแล้ว และพอมาถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์ เป็นการเป็นขึ้นมาใหม่ ทั้งจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ และเป็นการเป็นขึ้นใหม่จากการตายแบบล่วงลับไป คือตายฝ่ายร่างกายด้วย หลับไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมาด้วย และวิญญาณที่ตายไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ยอห์น 6:39-40

ยอห์น 6:39-40 “39 พระประสงค์ของพระบิดา ผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมา ในวันที่สุด 40 เพราะนี่แหละ เป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตร ได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะ ให้ผู้นั้น ฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย” เอเมน

 

แผนการพระเจ้า ยิ่งเรียนรู้มากปีเท่าไร ไม่จบสิ้นเลย สนุกสนาน ลึกซึ้งเท่าไร เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ ความเหลือเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา คือเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระคัมภีร์พูดอย่างไร? นี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ใช้เรามา ก็หมายถึงพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคน

“ทุกคน” หมายถึงทุกคนที่เป็นมนุษย์ ที่เห็นพระบุตร ก็คือเชื่อในเรื่องพระเยซู ได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นคืนมาในวันสุดท้ายด้วย เอเมน 2 อย่างเลย พระประสงค์ของพระเจ้า คือผู้ที่เชื่อในพระบุตรจะได้มีชีวิตนิรันดร์ และฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย

สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระบุตร จะได้ 2 อย่าง

(1) คือจะได้มีชีวิตนิรันดร์ คือทางวิญญาณ ไม่มีการตายอีกต่อไป ซึ่งตายตรงนี้แปลว่าถูกทอดทิ้ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกแยกกับพระเจ้า ถูกสาป ลงโทษ กบฏต่อพระเจ้า พวกกบฏทั้งหลาย  นี่คือตำแหน่งของเรา  แต่ถ้าเราเชื่อพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ในวันที่สาม สิ่งนี้เป็นของเรา คือชีวิตนิรันดร์เป็นของเรา ต่อไปนี้ เราจะไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดกาล เราจะไม่ถูกแยกจากพระเจ้า จะไม่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งตลอดกาล เราจะไม่ถูกสาปแช่งตลอดกาล ยอห์น บทที่ 11 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ ยอห์น 11:25-26

ยอห์น 11:25-26 “25 ทุกคนที่ไว้วางใจเรา แม้จะตายไปแล้ว ก็จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไว้วางใจในเรา ก็จะไม่มีวันตาย” เอเมน

 

เอาใหม่ ไม่พอ อ่านไม่ค่อยได้อารมณ์เท่าไร? อ่านอีกทีหนึ่ง แหม! มันควรจะค่อยๆ

คำว่า “ไม่มีวัน” หมายถึงนิรันดร์ ไม่ได้หมายถึง 80 ปี 100 ปี 120 ปี ที่อยู่บนโลกใบนี้ ขอบคุณพระเจ้า

(2) สิ่งที่ผู้เชื่อในพระบุตรจะได้รับอย่างที่ 2 คือผู้นั้น เมื่อล่วงหลับไปแล้ว หมายถึงเมื่อร่างกายหยุดการทำงานทั้งปวง ลมหายใจสุดท้ายแล้ว ก็จะได้ฟื้นขึ้นมาใหม่ หรือเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันสุดท้าย คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ สะอาดหมดจด เมื่อถึงวันสุดท้ายของโลกนี้ เข้าสู่โลกหน้า โลกใหม่ เมื่อพระเยซูคริสต์ เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เอเมน ซึ่งในวิวรณ์บันทึกไว้ วิวรณ์ 11:3-4

วิวรณ์ 11:3-4 “3 บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา    เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเอง จะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

วิวรณ์ คือหนังสือที่บอกถึงเหตุการณ์อนาคต เมื่อโลกใหม่ของพระเจ้ามา เมื่อสิ้นสุดของโลกนี้แล้ว สมมติ เมื่อแกนของโลก มันเอียง แตกหมดแล้ว สมมติ เมื่อดวงอาทิตย์มันดับไปหมดแล้ว โลกไม่สามารถอยู่ได้  สมมติ เมื่อดวงหางวิ่งมาชนโลก หมดเลย สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อตะกี้ท่านอ่าน จะเกิดขึ้น

“เมื่อวันที่โลกมันแตกไปแล้ว บัดนี้ ที่ประทับพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์”

“บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับ … (ใส่ชื่อท่าน) แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกสมาชิกของคริสตจักรโฮลี่ที่เชื่อในพระเจ้าทั้งหมด รวมทั้งคนอื่นด้วย ตุ๊กจะเป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเบิร์ดและครอบครัว และเป็นพระเจ้าของนครและครอบครัว พระองค์ทรงซับน้ำตาทุกหยดของ … (ใส่ชื่อเอง ตอนที่คิดว่ามันทุกข์นะ) จะไม่มีความตายอีกต่อไป”

ไม่ต้องมาลุ้นแล้วว่า “ฉันจะอยู่กับพระเจ้าอีกนานเท่าไร?”

ไม่ต้องมาลุ้นว่า “ฉันจะมีนิสัยเป็นอย่างไร? แล้วพระเจ้าจะทอดทิ้งหรือไม่?”

ไม่ต้องมาลุ้น เพราะในนี้บอกว่า “จะไม่มีความตายอีกต่อไป”

เมื่อไม่มีความตายอีกต่อไป พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบันทึกว่าผลของการไม่มีความตาย คือผลของการไม่ถูกละทิ้งจากพระเจ้า ก็คืออยู่กับพระเจ้าตลอดกาล แล้วเกิดอะไรขึ้น  ผลของมัน ก็คือจะไม่มีการคร่ำครวญ การร่ำไห้ หรือการเจ็บรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าๆ คือบนโลกใบนี้ ที่เราอยู่กันมาตลอด  มันจบหมดแล้ว  เพราะระบบที่พระเยซูบอกว่าเมื่ออยู่บนโลกใบนี้ มันก็ต้องมีความทุกข์เป็นธรรมดา มีความลำบากเป็นธรรมดา มันจบไปแล้ว เอเมน นี่คือความหวังของความเชื่อ ในเรื่องพระเจ้า มันมีเหตุ มีผลอย่างชัดเจน พระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างละเอียดยิ๊บเลย

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 “9 เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเราให้มาถูกพระองค์ลงโทษ แต่ให้มารับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเรา 10 พระเยซูตายเพื่อพวกเรา ดังนั้น เมื่อพระองค์มา ไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่ หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์”

 

“ไม่ว่าพวกเราที่เชื่ออยู่ในขณะนี้จะตื่นอยู่ หรือหลับไป”

พวกเราที่เชื่อในพระเยซูจึงไม่กลัวตาย แต่อาจจะกลัววิธีตาย ตอนนี้วิธีตายก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมั่นใจขึ้น ตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะพระเยซูอยู่กับเราด้วย ขณะที่อยู่ในห้อง ICU เราอาจจะสงสารเขา ปรากฏว่าเขาอาจจะนั่งคุยกับพระเยซูทุกคืน ยิ้มอยู่ เพราะพระเยซูอยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะตื่นอยู่หรือหลับ

เพราะเรารู้ว่าการตาย ทางฝ่ายร่างกาย หรือการหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ เป็นเพียงแค่การหลับไปเท่านั้น หลังจากอวัยวะทุกส่วนในร่างกายนี้ ถึงเวลาหยุดการทำงานแล้ว แล้วเรา ก็ไปอยู่กับพระเยซูนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ของพ่อของเรา

นี่คือเหตุที่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้ว เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ยิ้มอยู่ข้างใน เขาไม่อยากจะอยู่หรอก แต่เขาก็ขอให้เป็นตามน้ำพระทัย เขาไม่รู้ว่าพระเยซูจะใช้อะไรเขาต่อไป ขณะที่เขายังมีลมหายใจ ก็คือขณะที่ร่างกายยังไม่เน่าเปื่อย ยังทำงานอยู่บ้าง พระเจ้าสามารถใช้ร่างกายนั้นให้เป็นประโยชน์ ในการประกาศข่าวดีได้ เพราะสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ก็คือประกาศข่าวดี

 

“แล้วประกาศได้อย่างไร? เขาหลับอยู่ แล้วก็ใส่สายยางเยอะแยะ”

พระเจ้าทำได้ หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าญาติผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พูดอะไรไม่ได้แล้ว อยู่ในห้อง ICU มา 2 ปีแล้ว ลูกมาเชื่อเอาไม่กี่วัน ก่อนที่พ่อจะจากโลกนี้ จะหยุดลมหายใจ ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ที่พระเจ้าทำงานในครอบครัวคนนั้น ลูกของเราได้เห็นอะไรบางอย่าง ที่พระเจ้าต้องการให้เขาเห็น ผ่านทางพ่อของเขาเอง ที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ท่านเห็นอะไรไหม? นั่นเป็นการประกาศข่าวดี ถ้าไม่ใช้ ท่านก็ไม่ต้องห่วงหรอก พระเยซูพาท่านไปพักผ่อน เขาถึงเรียกว่าไปพักไง การล่วงหลับไป ก็คือการไปพักผ่อนนิรันดร์ พอเห็นภาพหรือยัง? ต้องกลัวอีกไหม? นิดหนึ่ง ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป

คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราเชื่อในเรื่องนี้ มันมีแต่พระพรตลอดเวลา อยู่บนโลกใบนี้ พอมาเชื่อพระเจ้า ตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ตายแล้ว  แฮปปี้แล้ว แค่นี้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว

“ฉันไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ใครถามฉัน จากโลกนี้ไป ฉันไปอยู่ที่ในสวรรค์แน่นอน”

แค่นี้ก็หลับสบายแล้ว แค่นี้ไม่พอ  ขณะที่ยังไม่ตาย  ทางร่างกายนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา แล้วกลัวขัดสนไหม? กลัวไม่มีเงินไหม? จบไปแล้ว เรื่องนี้ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ขี้ประติ๋วเลย  พรุ่งนี้ทำงาน เขาไล่ออก กลัวไหม?  ไม่กลัว พระเยซูอยู่ด้วย เขาไม่ได้ไล่เราออก พระเยซูพาเราออกเอง ท่านกลัวอะไรอีกล่ะ พรุ่งนี้ไปหาหมอ … หมอบอกเป็นมะเร็ง

“ไม่ใช่ฉันเป็นคนเดียว”

“พระเยซูเป็นด้วย พระเยซูอยู่ในฉัน”

ถ้าเรารู้เรื่องนี้ โอกาสที่เราจะกลัวอะไรบนโลกใบนี้ มันหมดไป เพราะพระเยซูอยู่ด้วยเดี๋ยวนี้ และอยู่ด้วยนิรันดร์เลย กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้  เผชิญปัญหาอะไร? พระเยซูก็ไปกับเราด้วย ไม่ใช่พระเยซูจะพาเราไปแฮปปี้ เดินห้างตลอด ไม่ใช่ อาจให้เราเดินแดดร้อนอะไรต่างๆ มากมาย พระเยซูบอกสาวก

“เราไปก่อน ให้ไปทางนี้”

พระเยซูทราบแล้วว่าเดี๋ยวไปทางนี้ เจอพายุ แล้วใครเป็นคนบอกให้เขาไป พระเยซูสั่งให้เขาไปเจอพายุ แล้วพระเยซูมาสถิตอยู่ด้วย แล้วพาผ่านพายุนั้นไป พวกนั้นตื่นเต้นกันใหญ่

ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐพระเยซู ท่านไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไป พระเจ้า พระเยซูคริสต์อยู่กับท่าน แต่ไม่ต้องไปคิดว่าอยู่แล้ว ทำไมยังเกิดขึ้น แสดงว่าท่านไม่ได้เชื่อจริงๆ จังๆ ถ้าถามว่าง่ายๆ

“เชื่อ แล้วทำไมสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับฉัน”

“ไปถามพระเยซูเอง พระเยซูอยู่กับเธอจะมาถามฉันทำไมเหล่า ไปถามพระเยซูเอง”

พูดตรงๆ ถ้าท่านไปถามพระเยซู … พระเยซูตอบไหม? ตอบ แต่บางทีส่วนใหญ่เราไม่ได้ถามพระเยซู ถามคนโน้นคนนี้  ก็เลยลืมถามพระเยซู แต่พอเราถามพระเยซู เราก็จะไม่ถามคนอื่นแล้ว เราจะนิ่งๆ เดี๋ยวพระเยซูก็คุยกับเราเอง เราก็โอเค รับได้ กิจการจะเจ๊งสักหน่อย โอเค เขาไล่ออกจากงาน โอเค

นี่แหละการอยู่บนโลกนี้ ผมถึงบอกว่าผู้ที่ได้รับเลือก หรือผู้ที่เลือก เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันสบายกว่าทุกอย่างเลย ชีวิตได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ไม่ใช่รอตายแล้ว ถึงได้รับ

“ใครที่แบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เป็นสุขทั้งสองอย่าง ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องกระวนกระวายในเรื่องอื่นๆ ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว พระเจ้าอยู่ด้วย  ติดขัดตรงนี้  เดี๋ยวพระองค์ก็มาแก้ตรงนี้  เผชิญกันไป เดินไปกับพระเยซูตลอดเวลา ถ้าเรามีความเชื่อเต็มๆ อย่างนี้  ไม่ต้องรอไปสวรรค์ข้างหน้าแล้ว สวรรค์อยู่บนโลกใบนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี่สวรรค์อยู่ในเราแล้ว รอวันที่เรารับใช้พระเจ้า ให้เสร็จก่อน  เสร็จปุ๊บ เราก็ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ที่เดิม แล้วก็รอรับร่างกายใหม่
นี่คือความเชื่อและความหวังใจสุดๆ ของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย เราก็ตายร่วมกับพระองค์ … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พร้อมกับพระองค์ เพื่อว่าเราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ร่วมกับพระบิดาของเรา ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2016 เรื่อง “พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว … พระองค์ทรงอยู่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย ซึ่งเป็นวันที่ 3 นับจากวันศุกร์ ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน ถามว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ทำไมเราถึงดีใจ? ทำไมเราต้องมาฉลองกัน เกือบ 2,000 ปีแล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราเรียกว่าวันอีสเตอร์ คือวันฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์  กิจการ 13:32-33 จะบอกว่าทำไมมนุษย์ถึงดีใจมากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย

กิจการ 13:32-33 “32 “สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษของเรา 33 พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อพวกเรา ผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น โดยทรงให้พระเยซูเป็นขึ้น ตามที่เขียนไว้ในสดุดี บทที่สองว่า ‘เจ้าเป็นบุตรของเรา  วันนี้  เราได้เป็นบิดาของเจ้า’”

 

เอเมน เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่อาดัมและอีฟล้มลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า เมื่อกบฏต่อพระเจ้า ก็ได้รับการลงโทษ เรียกว่าการสาปแช่ง

กบฏ ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรู เรียกกันว่าบาป

บาป คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

โทษ ก็คือคำสาปแช่ง อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า เห็นไหมครับ? แต่สัญญานี้บอกว่าวันหนึ่ง เราจะกลับมาดีกันใหม่ วันหนึ่งเราจะอภัยในบาปเหล่านี้ให้ แล้ววันนั้น มาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

 

“ฮาเลลูยา”

ทั้งโลกร้องกันอย่างนี้ ร้องมาแล้ว 2,000 ปี เขาดีใจไง เพราะวันอีสเตอร์ เป็นวันที่เราทั้งหลายมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้สามารถกลับมาเป็นลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จ คือวันคริสตมาส วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ 3 วันนี้รวมกันเป็นข่าวประเสริฐ คือสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา บรรพบุรุษของเรา พระองค์ได้ทำให้สำเร็จแล้ว ในวันนี้ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว คือวันอีสเตอร์ คือวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย จบ … จบเลยนะครับ

เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นแผนการที่ได้ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า  ผ่านทางการเผยพระวจนะ คือพระคัมภีร์เดิมเขียนบอกไว้ก่อนล่วงหน้า เป็นเวลานับพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และพระเยซูเองก็ทรงทราบถึงเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง เพราะเขียนมาหมดแล้วเรียบร้อย ก่อนพระองค์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป แล้วถูกสาปแช่ง พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะช่วยมนุษย์อย่างไร? บรรทัดหนึ่งที่เขียนไว้บอกว่าพระเยซูจะมาเกิด และจะมาเหยียบหัวมาร บอกเสร็จเลย  คือบอกเลยว่าพระเยซูจะมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหยียบหัวมาร

ทำไมผมถึงบอกว่าพระเยซูทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างล่วงหน้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงบอกเอง ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า ‘บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสสหนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี ที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตาย ในวันที่สาม”

 

ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ หนังสือสดุดี พูดง่ายๆ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา (พระเยซู) คือแผนการลับของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ มันจะต้องสำเร็จตามที่พระเจ้าสั่งไว้ล่วงหน้าทุกประการ บันทึกไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พูดมาตลอด และการที่พระคัมภีร์เก่าหรือพระคัมภีร์เดิมบอกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เป็นการตอกย้ำว่าทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เรียบร้อยแล้ว ที่จะประทานความรอดจากบาปให้กับมนุษยชาติ พูดง่ายๆ เป็นแผนการที่พระเจ้าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษ ที่เขากระทำผิด ที่เขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อฟัง เขาหลงเชื่อมารไป ตอนนั้น เขาจำเป็นจะต้องได้รับคำพิพากษาลงโทษ แต่เนื่องจากเรารักเขา เขาเป็นลูกเรา เราจะช่วยเขา แต่ช่วยให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน จึงวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา (“เรา” นี่หมายถึงพระเยซู)

“ที่พูดถึงเรา ที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น  ก็จะต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามนั้นแน่นอน”

และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เขียนมาตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ซึ่งไม่รู้ว่ามันกี่ปี? เพราะตอนนั้นยังไม่ได้นับปี แต่ได้เขียนลงไปในนั้นแล้ว  แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เป็นไปตามที่เขียนทั้งหมด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจาก 2,000 ปีนั้น เราก็ได้ศึกษากันมาอยู่เรื่อยๆ แล้วมันก็เกิดขึ้น มากขึ้นกว่านั้นอีก ในสิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้

เรามาย้อนดูสักนิดว่าในพระคัมภีร์เดิมบันทึกไว้อย่างไร? ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในสดุดี 22:1-2 ได้บันทึกไว้ประมาณ 1,000 ปีก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นเหตุการณ์ที่บอกล่วงหน้าเป็นพันปี

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือ 1,000 ปีก่อนที่เกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า โดยให้กษัตริย์ดาวิด ได้เห็นภาพล่วงหน้าก่อนพันปีว่าพระเยซูจะมาเป็นอย่างไร?  และให้เขียนออกมา แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เขียนสิ่งนี้ขึ้นมา เห็นภาพเข้าไปในโลกวิญญาณ แล้วก็เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา สดุดี 22:19-21

สดุดี 22:19-21 “19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

สมมติวันนี้เป็นวันอีสเตอร์ของ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ คือวันศุกร์ พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น    พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง?    มองทุกวินาที   รู้ว่าช็อตต่อไปจะเป็นภาพอะไร?  พระองค์ทรงรู้ว่าตะปูนั้น มันยาวเท่าไร? และจะตอกลงไปที่มือและเท้าของพระองค์อย่างไร? พระองค์ทรงมองเห็นหอก รู้ว่าจะมาแทงที่สีข้างพระองค์ตอนไหน? พระองค์ทรงรู้ว่าเขาจะยกไม้กางเขนขึ้นตั้ง เป็นช่วงที่ทรมานมาก เพราะว่าน้ำหนักตัวจะห้อยลงมา พระองค์ทรงรู้หมดเลย ตั้งแต่ 3 โมงเช้า จนถึงบ่าย 3 โมง มันทรมานขนาดไหน? หายใจแต่ละครั้งเหนื่อยขนาดไหน? และพระองค์ทรงทราบดีว่าตอนที่พระองค์อยู่บนไม้กางเขน 6 ชั่วโมง พระองค์ต้องแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์เอง บาปทุกชนิด ไว้ที่ตัวพระองค์เอง รับแทนเขาไปหมดเลย  เอาง่ายๆ คนเป็นโรคเรื้อน หรือคนเป็นมะเร็งก็ตาม

ท่านรู้ไหมว่ามะเร็ง คืออะไร? มะเร็ง ก็คือโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเรื้อนก็เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเหล่านี้ มันมาได้อย่างไร? มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นโรค มนุษย์ถูกสร้างมาให้แข็งแรง พระเจ้าสร้างมนุษย์มา ไม่ให้มีการเจ็บป่วยเลย แต่เพราะมนุษย์ทำบาป เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับการลงโทษ มนุษย์ก็เลยต้องป่วย เพราะว่าอ่อนแอลง นี่คือบาปทั้งนั้น และบาปร้ายแรงที่สุด ก็คือเมื่อมนุษย์ถูกลงโทษ วิญญาณมนุษย์ที่สะอาดเหมือนพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์นั้น ได้กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป วิญญาณก็เรียกว่าวิญญาณบาป รับโทษของความบาป คือความตาย

“ความตาย” ในที่นี้ หมายถึงตายจากพระสิริของพระเจ้า ไม่ใช่ตายแบบสูญสิ้นไปเลย ไม่ใช่ ถ้าตายแบบสูญสิ้นไปเลย ก็ดีนะ แต่นี่มันไม่ได้สูญสิ้น เพราะวิญญาณเรามาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ อยู่อย่างไรนิรันดร์ อยู่แบบตายนิรันดร์ คือเหี่ยวเฉานิรันดร์ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้นิรันดร์ อยู่ในนรกนิรันดร์ เขาเรียกว่าอยู่ในความพินาศนิรันดร์ นั่นทารุณที่สุด

นี่คือผลของความบาป และพระเยซูอยู่บนนั้น รับเอาความบาปทั้งหมด ที่ผมพูดมา ยกตัวอย่างให้นิดหน่อย พระองค์ทรงแบกไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน  นอกจากความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกาย เพราะพระองค์เกิด โดยการอุ้มบุญของมารีย์ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทั้งร่างกายและเจ็บปวดทั้งวิญญาณ พระเจ้าจึงต้องเสด็จออกจากพระเยซูไป  พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์ทรงทอดทิ้ง

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ เฉพาะที่อ่านสดุดีนี้ 1,000 ปี ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ว่าพระองค์จะต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้  คือความรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า

นี่บันทึกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม คือหนังสือสดุดี แล้วมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันศุกร์ประเสริฐ พอเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มัทธิวก็ได้บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้ประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ดูว่ามันตรงกันขนาดไหน? มัทธิวได้บันทึกไว้ในมัทธิว 27:46

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ยกมาให้ท่านดู เป็นอันเดียวกัน พระองค์ทรงรู้แล้วว่ามันทรมานมาก พระองค์ต้องพูดคำนี้แน่นอน แล้วพระองค์ก็หลุดคำนี้ออกมาจริงๆ ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปีที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเลย เพราะช่วงเวลานั้น พระองค์บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปเลย  เพราะว่าเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่วิญญาณของพระองค์มาจากพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด แต่ตอนที่อยู่บนไม้กางเขนนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซู ที่พระองค์รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน

พระองค์เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่อยู่ในร่างกายที่เป็นแบบมนุษย์ พระองค์จึงบริสุทธิ์ ไม่มีบาป ไม่มีความด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด ทรงรับรู้การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆ คุยกับพระเจ้าตลอดเวลาเลย พระเยซูบอกว่า …

“สิ่งที่เราพูดกับท่านทั้งหลาย คือสิ่งที่เราได้ยินจากพระเจ้าพระบิดา เราจึงพูด”

จนกระทั่งมาถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติทั้งหมดไว้ที่พระองค์ ทั้งร่างกายและวิญญาณ จากที่เคยบริสุทธิ์ สามารถติดต่อกับพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นคนบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูบาป บาปกับบริสุทธิ์อยู่กันไม่ได้ ถึงอยากอยู่ ก็อยู่ไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องละทิ้งพระเยซูไป  จึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างเหลือเกิน กษัตริย์ดาวิดเห็นสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เห็นแต่ศุกร์ประเสริฐอย่างเดียว แต่เห็นทั้งวันอีสเตอร์ด้วย สดุดี 22:22-31

สดุดี 22:22-31 “22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์ แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์ ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ 24 พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์ ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ให้สำเร็จ ต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ 26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลาย มีชีวิตอยู่ตลอดกาล 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลก จะเลี้ยงฉลองและนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์ แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”

 

หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ด้วยความทุกข์ทรมานแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น คือคนยากไร้จะได้อิ่มหนำสำราญ คือยากไร้ในวิญญาณ เหี่ยวแห้งหัวโต ทรมานจริงๆ ชีวิตนี้ เมื่อไรจะพบกับสัจธรรมสักทีหนึ่ง หามาตั้งนาน

ก่อนมารู้จักพระเยซู ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองยากไร้ แต่เมื่อท่านมาพบพระเยซูท่านจะรู้ทันทีว่าจิตวิญญาณมันเหี่ยวแห้งเหลือเกินตอนนั้น หาอะไรก็ไม่เจอ ไม่มีอะไรอิ่มใจสักอย่าง เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่มาพบพระเยซูเหมือนหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ยากไร้อีกต่อไป เอเมน ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แล้วเป็นตามนี้เลยทั้งโลกมาหาพระองค์  นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้าไว้ 1,000 ปี

ทุกวันนี้ พระเจ้าจะฟังเสียงเขา เมื่อเขาร้องทูลพระองค์ สมัยก่อนพระองค์ฟังไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ฟังได้ เพราะเขาอธิษฐานผ่านพระเยซูคริสต์ เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ในนามพระเยซู”

ใส่นามพระเยซู หมายถึงเรากำลังประกาศว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ย้ำให้คนข้างๆ มีความมั่นใจ ย้ำให้มารซาตานได้รู้ว่าเราเชื่อจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า

ทำไม? ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตแบบคนละเรื่องขนาดนี้ จากการว้าเหว่ คร่ำครวญกับพระเจ้า ตัดพ้อ เปลี่ยนมาเป็นความชื่นชมยินดี โห่ร้องประกาศ สรรเสริญยกย่องพระเจ้า แบบล้นไปหมดเลย เพราะพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บัดนี้ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ในวันที่สามตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้จริงๆ ซึ่งถ้อยคำในสดุดี ก็ตรงกับที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ในฮีบรู 2:9-13

ฮีบรู 2:9-13 “9 แต่เราเห็นพระเยซู ผู้ทรงถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย บัดนี้ ได้ทรงมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติแล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์ เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสความตาย เพื่อทุกคน 10 ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่ เพื่อพระองค์ และโดยทางพระองค์  จะทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ 11 ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์ กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง 12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์จะประกาศพระนามพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะร้องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าที่ประชุม” 13 และตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะไว้วางใจในพระองค์” และพระองค์ตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่แล้ว”

 

ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ก็ฮาเลลูยา ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ ทั่วโลก เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็ค่อยๆ ลืม แล้วปีหน้าก็มาว่ากันใหม่ ธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ แต่นี่คือเหตุที่ทำไม เราจึงต้องมารวมกันอยู่ ณ สถานที่ที่เรียกว่าโบสถ์ในวันอาทิตย์ หรือทำไมเราจึงจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ เพราะว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่เขาทำหนังสือแล้ว เพิ่งจะมี 500 – 600 ปีนี่เอง ก่อนหน้านี้ไม่มี เขาเล่าสู่กันฟัง บอกกัน ต้องไปฟังที่โบสถ์อย่างเดียว ตอนนี้ยังมีให้อ่าน และมาล่าสุด ไม่ใช่อ่านอย่างเดียว แถมเปิดฟังได้อีก มีทั้งยูทูป เต็มไปหมด เราก็ยังไม่ฟังเหมือนเดิม นี่คือมนุษย์ แต่ไม่เป็นไร อย่างที่บอก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ฟัง ฟังแล้วมันก็ดีกับเรา ถ้าไม่ฟัง มันก็ทุกข์มากขึ้นหน่อยหนึ่ง มันใช้ความเชื่อ มันก็เชื่อน้อยบ้าง? มันก็หดหู่  แต่ถ้ามีความเชื่อมาก ก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เพราะตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ตราบใดที่วิญญาณเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่  ตราบนั้นพระเจ้ายังใช้เราอยู่บนโลกใบนี้  เราจำเป็นจะต้องใช้ความเชื่อ ซึ่งมันเหนื่อยเหมือนกัน นิดๆ แต่พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราติดสนิทอยู่กับถ้อยคำของพระองค์จริงๆ เอเมน อยากหายเหนื่อยไหม? อยาก อ่านพระคัมภีร์สิ ฟังเรื่องราวของพระคัมภีร์ ตอนนี้ไม่อยากบอกอ่านอย่างเดียว เพราะเทคโนโลยีไปไกลนะ อ่านพระคัมภีร์ ฟังพระคัมภีร์บ้าง สูดพระคัมภีร์บ้าง ผมไม่รู้นะ ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมา อาจจะมีเทคโนโลยีใช้เทกลิ่นของมัทธิวลงไปในโถนี้ แล้วดมกลิ่นมัน จะได้รู้เรื่องถ้อยคำหมด อาจจะเป็นไปได้นะ วันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้เป็นไปได้ไหม? วันนี้ เอาเทคโนโลยีแค่นี้  พยายามทำ เขาพยายามยกให้เราทั้งหมดเลย อยากจะทำข้ออะไร? กด เอาข้อนี้ข้อเดียว ออกมา ทั้งเล่มรู้หมดเลย  และความรู้ในนั้นเต็มไปหมดเลย ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งการค้นคว้าต่างๆ เยอะแยะมากมายตลอด 2,000 ปี อ่านบ้างหรือเปล่า?  ติดตามบ้างไหม? พูดแถมให้ พยายามว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ชีวิตเรามีความมั่นคง

ในฮีบรู 2:9-13 เป็นใครก็อยากอ่าน เพราะเป็นเรื่องราวของการสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แห่งการไถ่บาป เป็นเวลาแห่งชัยชนะ ไม่ใช่เวลาแห่งการทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน

ในนี้บอกว่าอย่างไร? “เพราะพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์”

ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐตอนบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมาก

ถามว่าตายเพื่ออะไร? เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสของความตาย เพื่อทุกคน

รู้ไหมว่า “ลิ้มรสของความตาย” แปลว่าอะไร? เพื่อจะได้เป็นผู้แรกที่รู้ว่าตายมันเป็นอย่างไร? และเป็นขึ้นมาใหม่ มันเป็นฉันท์ใด เพื่อจะได้รู้รส เพื่อว่าจะได้มาช่วยเราทั้งหลาย ผู้กลัวความตาย จะได้ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป และเพื่อว่าพระองค์จะมารับเรา เมื่อวันที่เราจะจากโลกนี้ไป เพราะรู้ว่าลึกๆ ของเรา แม้เราจะเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็ยังกลัวเหมือนเดิม แต่พระเยซูบอก …

“ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่าเราผ่านมาแล้ว เรารู้ว่าเธอกลัวเหมือนเราเลย เพราะฉะนั้น เราจะมารับเธอเอง”

ตอนที่ท่านนอนทุกข์ทรมาน เมื่อไรจะตายสักที ท่านก็นึกในใจ พระเยซูมาแล้ว พี่น้อง ญาติพี่น้องที่รักท่าน เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านพึ่งเขาไม่ได้หรอก เขามาให้กำลังใจท่าน  ท่านก็ได้แต่ยิ้ม เพราะว่าพอถึงเวลานั้น เวลาแห่งความตาย  ภาษาไทยเขาเรียกตัวใครตัวมัน รักเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เรารักเขาอย่างไร? เราก็ไปกับเขาไม่ได้ เขาอยากจะช่วยเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เราต้องไปคนเดียวแน่ๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูรู้ พระเยซูบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมารับเอง  เอเมน

 

นี่หมายถึงพร้อมไปนะ  เราคริสเตียน เราพร้อมไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พระเยซูจะมารับเราด้วยตัวเอง พระองค์ทรงลิ้มรสของความตาย พวกเราจะไม่ต้องลิ้มรส

ถามว่าพระองค์ทรงตาย เพราะอะไร? แล้วทุกข์ทรมาน เพราะอะไร? ในนี้บอกว่าในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้า ผู้ซึ่งสรรพสิ่ง มีอยู่เพื่อพระองค์ จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น  สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ก็หมายถึงสมควรแล้ว ที่พระเยซูทนทุกข์ทรมาน แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้เรียบร้อยแล้วนั้น  จะทำให้มนุษย์ทั้งหลาย มาเป็นบุตรมากมายของพระเจ้า เต็มไปหมดเลย มาถึงทุกวันนี้ ไม่รู้กี่ล้านคนแล้ว

สมควรแล้ว และต่อไปนี้ บอกไว้อย่างนี้ว่า “โดยทางพระองค์จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์”

คือการทุกข์ทรมานของพระองค์บนไม้กางเขน ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ

ใส่ชื่อท่าน “การทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนของพระเยซูทำให้ …. (ใส่ชื่อท่าน) บริสุทธิ์”

นั่นแหละ ทำให้ท่านเป็นสุข กับบรรดาผู้ได้ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น  เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่บริสุทธิ์อย่างเดียว นครไม่ได้บริสุทธิ์ เพราะความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์อย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเราทุกคน กับพระเยซูด้วย

พระเยซูไม่อายเลยที่จะเรียก … (ใส่ชื่อท่าน) ว่าพี่น้อง

ท่านคิดดูสิ นี่คือพระคุณขนาดไหน? เราเป็นใคร? พอพูดถึงพระเจ้า ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง แต่เรียกเราว่าพี่น้อง เพราะอยากจะอยู่กับเรา เป็นครอบครัว บรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

“ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพระเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

หมายถึงอยู่ในครอบครัวพระเจ้า  นึกถึงภาพตรงนี้ไหม? พระเยซูกำลังเข้าไปหาพระเจ้าในวันหนึ่ง และพระเยซูก็บอกว่า …

“พระบิดา ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระองค์ทรงประทานให้ ผ่านทางการตายของข้าพระองค์บนไม้กางเขนนั้นอยู่ที่นี่แล้ว กำลังสรรเสริญพระองค์อยู่”

ลองใส่ชื่อท่านสิ “ข้าพเจ้าและนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ที่พระองค์ทรงประทานให้ อยู่ที่นี่แล้ว”

บุตรทั้งหลาย ก็คือตัวท่านเอง นี่คือบทสรุปของแผนการ และความประสงค์ของพระเจ้า ที่ทรงให้มี วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ การตายบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามของพระเยซู เป็นการทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงบริสุทธิ์และได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ กับพระบิดา ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกใครก็ตาม ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ที่ไม้กางเขนว่าพี่น้อง เขาเหล่านั้น ก็คือทุกคนที่ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว รวมทั้งพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเราเชื่อไง? พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเราไม่เชื่อ มันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เราก็ยังสกปรกอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เราบริสุทธิ์แล้วเปล่าๆ แค่นี้เอง พระเยซูจึงบอกให้เราออกไปประกาศๆ ข่าวดีนี้ … ข่าวดีนี้ หมายถึงเขาสามารถบริสุทธิ์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แค่เชื่อพระเยซู

 

“เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตายเพื่อฉัน วันอีสเตอร์ เป็นขึ้นมาใหม่ ก็เพื่อฉัน ฉันนะ ไม่ใช่บ้านฉัน ครอบครัวฉัน ฉันคนเดียว คนนั้นก็จะได้รับสิทธินี้ไปทั้งหมด”

ไม่มีอะไรเลย ฟรี และฟรี และฟรี ฟรีหมด ง่ายมากเลย  พระองค์จึงบอกแค่นี้  ไม่ต้องให้เราทำอะไร? ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย พระองค์เคยสั่งไหม?  ไปสอนนะ สอนศีลธรรม ไม่มีเลย มีแต่ออกไปประกาศสิ ประกาศข่าวดี  ตรงนี้มันสำคัญที่สุด  พระเยซูเขาเรียกว่าไพโอเนีย หรือเป็นผู้นำที่ชนะความตายแล้ว เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วจากนั้น ก็จะมีคนจำนวนเยอะแยะมากมาย ที่เป็นขึ้นจากความตายด้วย ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกันกับพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าว่าเมื่อทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนให้กับเรา พูดง่ายๆ  เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับอย่างนั้น  เราก็จะเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน เหมือนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิตอยู่ ในหลุมของคริสเตียนทั้งหลาย ตั้งนานมาแล้ว จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ยอห์น 11:25 นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย” เอเมน

 

ไม่ใช่เขียนไว้ที่หลุมศพเฉยๆ เท่ห์ๆ มันเป็นความจริง เรารู้เพราะอะไร? “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราคริสเตียนจะไม่กลัวตายเลย เพราะว่าพระเยซูมารับเราด้วย ขอบคุณพระเจ้า

ผู้ที่ตายไป แต่เขายังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เป็นมนุษย์ ถึงเวลาก็ต้องตาย จากโลกนี้ไป  แต่เขาจะมีชีวิตอยู่นิรันดร์ในพระนิเวศของพระเจ้ากับเรา พูดง่ายๆ คือกำลังจะตาย เป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เรารู้ว่าผู้คนรอบข้างเรา ที่เราพึ่งพาบนโลกใบนี้ ไม่มีใครเลย ที่สามารถจะไปกับเราได้ เรากำลังไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? เราไม่รู้ ทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่มีพระเยซู เราก็จะไม่มีความหวัง เราจะว้าเหว่มากเลย เพราะในใจเราทุกคน จิตใต้สำนึกของเรา  เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ มนุษย์ทุกคนรู้ นิ่งๆ ก็รู้ทันที ก่อนตายจะนิ่งที่สุด และเวลาเรากำลังจะจากไป จิตใต้สำนึกของเรา จะต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาวที่แม้จะมีจุดดำเล็กๆ เพียงจุดเดียว มันก็จะเด่นชัดตรงจุดดำนั่นแหละ และถือว่าผ้านั้นมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ครบถ้วน มันมีรอย

มนุษย์ทุกคนเป็นบาป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และเราก็รู้ตัวเอง จริงๆ มนุษย์ส่วนใหญ่จะรู้ตัวเอง เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้เลย ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว และว้าเหว่ที่สุด พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้นว่ามันเป็นช่วงที่น่ากลัวมาก เหมือนที่พระเยซูเผชิญในวันศุกร์บนไม้กางเขน รับบาป เป็นคนบาปจริงๆ แล้วตายให้เราเห็นจริงๆ แล้วก็เขียนบันทึกให้เราเห็นว่าตอนตาย มันทรมานอย่างไร? เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่ และอะไรอยู่ล่ะ ความตายไง มารไง มารซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือความตาย มันรออยู่ มันมารับเรา รับพระเยซูไปด้วย พระเยซูต้องไป เพราะพระองค์แบกรับบาปของเราทั้งหลายไว้ ไม่ใช่บาปของพระองค์ แต่เราทั้งหลายสมควร เพราะเราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราไม่ดีพร้อมอะไร? มีใครบ้างที่ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำอะไรผิดเลย  ตั้งแต่เกิดมา  ตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป เราจะต้องคิดถึงอะไรบางอย่างที่เราทำ และตรงนั้นแหละ เป็นตัวยืนยันให้เราเห็นว่าเราว้าเหว่ พระเจ้าอยู่กับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป พระเจ้าอยากจะช่วยเหลือเราเต็มแก่เลย ช่วยไม่ได้ เหมือนพระเยซูเรียกพระเจ้า … พระเจ้าอยากจะลงมาช่วยพระเยซู ทุกข์ทรมานเหลือเกิน พระเจ้าก็ลงมาไม่ได้ เพราะพระเยซูเป็นคนบาปไปแล้วตอนนั้น เพราะรับเอาบาปแทนเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา แต่ตัวเราเป็นคนบาป และถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา เราก็ยังติดอยู่ที่บาปตรงนั้น แล้วพระเจ้าก็อยากจะลองเข้าไปช่วยเราในวินาทีสุดท้ายในความว้าเหว่นั้น ถ้าเรายังไม่มีพระเยซู ถ้าเรายังไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ใครมารับเราไป จะไปไหน? เราไม่รู้เราจะไปไหน?  แต่เรารู้ว่าใครมารับเราไป ไม่ใช่พระเจ้า สถานที่อยู่นั้น ก็ไม่ใช่สวรรค์แน่นอน ถ้าไม่ใช่พระเจ้า ก็ไม่ใช่สวรรค์ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ อันนี้ใครๆ ก็รู้

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็เลยฝากไว้ว่าแม้ขณะที่เราชื่นชมยินดี ก็จำไว้อย่างหนึ่งว่าเราขอบคุณพระเจ้า แต่สำหรับพี่น้องเราบางคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา ในวันศุกร์ประเสริฐบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย เอาชนะเหนือความตายมาให้กับเขา เขายังไม่ได้ใช้สิทธินี้ อธิษฐานให้กับเขา วิงวอนขอพระเจ้าให้กับเขา ขอพระเมตตาให้กับเขา ให้เขารู้และใช้สิทธิของเขาก่อนวันที่เขาจะหมดลม ด้วยความว้าเหว่บนโลกใบนี้ ส่วนเรานั้น เราขอบคุณพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราวางไว้ที่พระองค์ทั้งสิ้น ที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เราก็จะอยู่เหมือนกับพระองค์  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2016 เรื่อง “ศุกร์ประเสริฐ” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้วันสำคัญมาก ที่เราจำเป็นต้องมา ถึงไม่มาด้วยตัว ก็มาด้วยจิตวิญญาณ มาด้วยใจ มีใครมีความรู้สึกตื่นเต้นกับวันนี้ ตั้งแต่เช้าบ้าง? ผมมีทุกปี ผมมีมากกว่าวันคริสตมาสอีก บอกตรงๆ นะ พอถึงเทศกาลศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์ ผมซาบซึ้งทุกปีเลย แล้วแปลกมากทุกปี ศุกร์ประเสริฐกับอีสเตอร์ ผมรู้จักพระเจ้ามา 28 ปี ทุกอีสเตอร์ใน 28 ครั้ง เป็นวันศุกร์ประเสริฐ จะเป็นวันที่เมฆครึ้มตลอด แปลก ทั้งๆ ที่อากาศร้อน ผมสังเกตดู เพราะตั้งแต่เช้า ผมจะดูว่าอะไรเกิดขึ้น  ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ถูกลากไป ตอนใกล้ๆ จะ 9 โมงเช้า จนถึงโกละโกธา กำลังแบกกางเขนของตัวเอง ทุกข์ทรมานอย่างไร? การตอกไม้ที่กางเขนที่ตรึงพระองค์แล้ว ตั้งตรง ประมาณเวลา 9 โมงเช้า

ผมก็จะนึกถึงว่า 9 โมงเช้าเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระองค์เป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีเขียนในนั้น  วันนั้นมืดฟ้ามัวดิน  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกปี ปีนี้ก็เป็น แปลกดีนะ ขอบคุณพระเจ้า

สิ่งหนึ่งที่จะคิดอยู่เสมอว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นวันที่อยู่ในเทศกาลช่วงนี้ ซึ่งเป็นใกล้ๆ กับวันสงกรานต์บ้านเรา ตั้งแต่ปลายๆ มีนาคม จนถึงปลายๆ เมษายน จะเป็นช่วงของเทศกาลอีสเตอร์ สงกรานต์ก็เป็นวันครอบครัวของประเทศไทยใช่ไหม? นี่เทศกาลอีสเตอร์วันครอบครัวใหญ่ วันครอบครัวทั้งโลกเลย  พระเจ้าอยากจะมีครอบครัวที่กลับคืนมาใหม่ ครอบครัวที่แตกแยกกันไป ครอบครัวที่ไปไกล ไม่เจอกันตั้งนาน ต้องกลับมาเจอกัน พระเจ้าก็อยากให้พวกเราที่เป็นลูกๆ ได้มารวมกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เหมือนแต่ก่อนนี้ มีสันติสุขร่วมกัน มีพระสิริของพระเจ้าร่วมกัน มีความสุขนิรันดร์ร่วมกัน ในสวรรค์ของพระองค์

วันนี้เราก็จะมาร่วมระลึกถึงการเสียสละพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักให้กับมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้นั่นเอง คือความรักต้องประกอบด้วยการให้เสมอ พระองค์ทรงให้เป็นตัวอย่าง ให้สิ่งที่พระองค์ทรงรักที่สุดเลย ก็คือลูกชายเพียงผู้เดียวของพระองค์ มายอมตาย ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  ท่านเคยสงสัยไหมครับว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก จากการถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี และถูกตรึงบนไม้กางเขน  พระเยซูในขณะนั้น จะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

จริงๆ แล้วเหตุการณ์วันศุกร์ประเสริฐ เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันตลอดทั้งสัปดาห์มาแล้ว เรียกว่าสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Passion Week หรือ Easter Week ที่ยุโรป หลายๆ ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์มา เขาฉลองกันมาตลอด เขาถึงเรียกว่าสัปดาห์อีสเตอร์ ไม่ใช่อีสเตอร์แค่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์แค่นั้น ไม่ใช่

เริ่มจากเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งนับเป็นวันแรกของสัปดาห์ พระเยซูได้เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ในขณะนั้น พวกฟาริสีพยายามหาทางจับพระเยซูไปฆ่า พยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะจับพระเยซู บรรดาสาวกพยายามที่จะคัดค้าน

“พระองค์อย่าเข้าไปเลย อย่าเข้าไปเลย”

ก่อนหน้านี้ คือเดินตระเวนสอน อยู่รอบๆ กรุง ถามว่าพระเยซูรู้ตัวไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงทราบทุกอย่างว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าพระองค์เข้ากรุงเยรูซาเล็ม แต่เพราะรู้ว่านั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่จะให้พระองค์เสด็จเข้าเยรูซาเล็ม ในวันอาทิตย์ เพื่อนำไปสู่การถูกประหารชีวิต ในวันศุกร์ประเสริฐ หรือวันศุกร์นั่นเอง แล้ววันอีสเตอร์จะเป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงเชื่อฟังและทำตาม ในขณะที่ทุกคนโห่ร้องต้อนรับ ในขณะที่เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ที่ผ่าน

สมมติย้อนกลับไป 2,000 ปีก่อน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับสาวก และเหล่าผู้คนที่วางใจและเชื่อในพระองค์ ที่พระองค์รักษาโรคให้หายบ้าง ทำอัศจรรย์ต่างๆ ทุกคนก็ตามพระองค์เข้ามา ตัวพระเยซูเอง พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไป ใจของพระองค์เริ่มทุกข์แล้ว เริ่มลำบากใจ แต่คนไม่รู้ คนกำลังเฮใหญ่เลย ต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ยกให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนั้น แต่พูดไป ไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอก เชื่อเพราะเห็นการอัศจรรย์ แล้วนึกว่าพระเยซูจะมาปราบพวกกบฏ ปราบพวกโรมัน ปราบอะไรต่างๆ ที่มาข่มเหงชาวยิว พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ดาวิด คิดว่าคงจะรบเก่ง ทำอัศจรรย์ คราวนี้เสร็จแน่ เขาคิดกันอย่างนั้น แต่พระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้น พระเยซูรู้แล้วว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? อะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง? พระองค์รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามาเกิด เพื่อทำอะไร?

ลองนึกภาพ สมมติว่าเรามีการกำหนดที่จะเดินทางไปเมืองใด เมืองหนึ่ง โดยที่เรารู้ตัวว่าที่เมืองนั้น เต็มไปด้วยอันตราย มีความเสี่ยงสูงมาก ที่เราจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา ถ้าเลือกได้ เราก็คงไม่ไป ไม่อยากไป หรือจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็ต้องระมัดระวังตัวสุดขีดเลย พวกเราส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ความทุกข์ทรมานของพระเยซูในวันศุกร์ประเสริฐจริงๆ วันนี้ วันที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่จริงๆ แล้วอย่างที่ผมบอก ความทุกข์ทรมานในใจของพระเยซู เริ่มตั้งแต่วันเดินทางเข้าเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์นั้นแล้ว เพราะพระองค์ตัดใจแล้วว่าต้องเข้า เพราะพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าหมดแล้วว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ เพราะพระองค์กลัวนั่นเอง แปลกใจไหม?  พระองค์กลัว (กลัวมากด้วย) แต่พระองค์ก็ยอมที่จะเดินไปสู่เหตุการณ์นั้น  เพราะรู้ว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ทั้งๆ ที่กลัวมาก

ในคืนวันพฤหัสฯ เมื่อคืนวานนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นเทศกาลในช่วงเทศกาลปัสกา หรือเราเรียกกันว่าเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมของสมัยนั้นนะครับ ชาวยิวจะมีพิธีถวายแกะให้พระเจ้า เป็นเครื่องสัตวบูชาที่เรียกว่าแกะปัสกา ก็คือแพะรับบาป เอามาแทนบาปเรา แต่ว่าไม่ได้แทนเลย เอามาเพียงแต่ว่าพระเจ้าจะผ่านบาปเราไปชั่วคราว พระเยซูก็ได้สั่งให้มีการจัดเตรียมพิธีปัสกาขึ้น เพื่อจะรับประทานอาหารร่วมกับสาวก ตามพิธี แล้วทรงบอกว่าครั้งนี้จะเป็นการรับประทานปัสการ่วมกับสาวกเป็นครั้งสุดท้าย มีบันทึกไว้ในหนังสือลูกา 22:7-16

ลูกา 22:7-16 “7 เมื่อถึงวันเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ ซึ่งจะต้องถวายแกะปัสกา 8 พระเยซูทรงสั่งเปโตรกับยอห์นว่า “จงไปจัดเตรียม ปัสกาสำหรับพวกเรา” 9 พวกเขาทูลถามว่า   “พระองค์ทรงประสงค์ให้จัดเตรียมปัสกาถวายที่ไหน?” 10 พระองค์ตรัสตอบว่า “เมื่อท่านเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้น ไปในบ้านที่เขาเข้าไป 11 และกล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ตรัสถามว่าห้องรับรองแขก ที่เราจะรับประทานปัสกา ร่วมกับเหล่าสาวกของเราอยู่ที่ไหน? 12 เขาจะให้ดูห้องใหญ่ชั้นบน ซึ่งตกแต่งเตรียมไว้เรียบร้อย  จงเตรียมปัสกาที่นั่น” 13 ทั้งสองก็ไป และได้พบสิ่งต่างๆ ตามที่พระเยซูตรัสไว้ พวกเขาจึงเตรียมปัสกา 14 เมื่อถึงเวลา พระเยซูกับเหล่าอัครทูต ก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับประทานปัสกานี้ ร่วมกับพวกท่าน ก่อนที่เราจะทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า”

 

พระองค์บอกว่าก่อนที่เราจะทนทุกข์ พระองค์ทรงทราบแล้ว นี่พระองค์ทรงรู้ว่าเดี๋ยววันศุกร์ หนักกว่านี้อีก วันพฤหัสฯ ก็หนัก พระเยซูบอกว่า …

“เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้สำเร็จครบถ้วนในอาณาจักรสวรรค์”

ปัสกา ก็คือแพะรับบาป จนกว่าการเป็นแพะรับบาปของพระองค์จะเสร็จสิ้นบนไม้กางเขน ในสวรรค์ คือพระองค์เอาเลือดของพระองค์เข้าไปในสวรรค์เลย ไปถวายพระเจ้า ครั้งเดียวจบ นั่นหมายถึงตรงนี้

 

นี่คือเหตุการณ์อาหารมื้อสุดท้าย หรือเรียกว่า Last supper ในคืนวันพฤหัสฯ เมื่อคืนวานนี้ เราย้อนกลับไปนะ

ในคืนวานนี้ คืนวันพฤหัสฯ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงโศกเศร้าและหนักใจมาก เป็นทุกข์มาก ใจจริงแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเลี่ยง ไม่อยากจะเดินทางเข้าไปสู่ไม้กางเขน แม้ว่าจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มแล้วก็ตาม แม้รู้ว่าจะต้องเจออะไรก็ตาม ไม่ไหว นี่ย้อนถึงเมื่อคืนนี้นะ ทารุณมากเลย ไม่ไปได้ไหม? เพราะเนื้อหนังก็ยังกลัวความเจ็บปวด เพราะพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ด้วย กลัวความทรมานที่ต้องเผชิญ

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ เมื่อคืนวาน พระองค์ทุกข์ใจมากจนเจียนตาย กลัวจนตัวสั่น เหงื่อออกมาเป็นเลือด เครียดมาก จะเอาอย่างไรดี ไม่ไหวแล้ว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 ทรุดตัวลงไป ยืนไม่ไหว คือคนกลัวมาก เข่าอ่อน ลุกไม่ไหวเลย แล้วแทนที่ลุกไม่ไหว แล้วจะบอก ไม่ไปแล้ว แต่เปล่า ลุกไม่ไหว แล้วบอกว่า …

“ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า แล้วแต่พระองค์”

จากนั้น พระเจ้าก็เสริมกำลังให้กับพระองค์เข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นมา แล้วก็ทำตามน้ำพระทัย

 

พระคัมภีร์บันทึกหลักฐานว่าพระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? ทั้งหมดในชีวิตของพระองค์ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์จะต้องเจออะไรบ้าง?  ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดสดุดี กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาล ให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมาน และทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม”

 

บรรดาคำที่เขียนไว้ในนี้ทั้งหมด แปลตรงๆ คือเน้น พระคัมภีร์ทั้งหมด ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ที่กล่าวถึงพระเยซูนั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราต้องดีใจ ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะวันศุกร์อย่างเดียว ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนอย่างเดียว ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะความทุกข์ทรมานที่บนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐเท่านั้น แต่สำเร็จไปจนถึงวันอาทิตย์ เป็นขึ้นมาจากความตาย และสำเร็จไปถึงวิวรณ์เลย  ที่เราทั้งหลายจะไปอยู่ร่วมกันในครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เรียกว่าครอบครัวสวรรค์ นี่หมายถึงอย่างนั้น

คำเผยพระวจนะ มีบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นพันปี คำเผยพระวจนะแปลว่าคำบอกกล่าวล่วงหน้าที่พระเจ้าพูดไว้  ให้บันทึกไว้เลยว่า “เราพูดอย่างนี้” พูดแล้วมันต้องเป็นตามนั้น พระเจ้าบอกอย่างนั้น  เหมือนที่พระเจ้าสั่งดวงอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก มันก็ขึ้นอย่างนั้นแหละ

คำเผยพระวจนะนี้บอกว่าบันทึกไว้ล่วงหน้าเป็นพันปี ว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเยซูทรงทราบดีว่าคำเผยพระวจนะเหล่านี้ เล็งถึงตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงทราบหมดแล้ว

ตรงนี้คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เรามาระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย สมมติถ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ ไม่เคยทราบมาก่อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐ ที่ถูกตรึงนั้น เป็นเพราะพระองค์ไม่มีทางเลือก ไม่ได้เต็มใจจะทำหรอก พวกเราคงไม่ได้มองเห็น เป็นเรื่องใหญ่มากมายขนาดนี้ แต่พระองค์รู้หมด จะเปลี่ยนใจก็ได้ แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์รู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้รู้ล่วงหน้าว่าจะเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และต้องทรมานขนาดไหนด้วย เห็นชัดเลย แม้จะสามารถเลี่ยงได้ แม้จะสามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ได้ ไม่มีใครบังคับพระองค์นะ พระเยซูก็ยอมให้ทุกอย่างเกิดขึ้น

พระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์ทรงยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้บอกว่าพระองค์ทรงถูกส่งมาให้เป็นมนุษย์ ทรงยอมถ่อมพระองค์ จากการเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย พระองค์ยอมให้พวกทหารจับพระองค์ ไม่ใช่พระองค์ฝืนไม่ได้นะ พระองค์สู้ได้สบายมาก ยอมทนทุกข์ทรมาน ยอมถูกเขาโบยตี ไม่ใช่โซ่ที่รัดพระองค์ แล้วทำให้ทหารโบยตีพระองค์ได้ ถ้าพระองค์จะสลัดออก แป๊บเดียว มันก็ไปแล้ว แต่ที่รัดพระองค์ไว้ หนีไม่ได้ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราทั้งหลาย รัดพระองค์ไว้ ทำให้พระองค์ไปไหนไม่ได้  ต้องถูกเฆี่ยน ถูกทุบตี  ถูกเหยียบหยาม ถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกสวมมงกุฎหนาม จนกระทั่งถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะความรักอยากให้พวกเขาพ้นจากความบาป พ้นจากความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องไปอยู่ในนรก อยู่ในความพินาศ แต่ได้กลับมีชีวิตนิรันดร์ กลับไปอยู่กับพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ไปอยู่ในสวรรค์ บ้านของพระองค์ร่วมกัน

 

กษัตริย์ดาวิด พระเจ้าได้เปิดตาให้เห็น ทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อ 1,000 ปีก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขนอย่างไรบ้าง? ทุกข์ทรมานขนาดไหน? กษัตริย์ดาวิดเห็นหมด และเขียนบันทึกเป็นบทเพลง ภาษาเดิมเขาเรียกว่าบทเพลงของพระมาซีฮาห์ คือบทเพลงของพระเยซู โดยเฉพาะ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าสดุดี  ดูในสดุดี 22:1-2 ก่อน

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นพันปีก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติเป็นมนุษย์ และเป็นถ้อยคำที่ตรงกันเป๊ะกับคำพูดของพระเยซูบนไม้กางเขน ตอนที่ถูกตรึง เมื่อบ่ายนี้ บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว 7:46 นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบ แล้วพระองค์กำลังมองอยู่บนไม้กางเขน แล้วพระองค์บอกว่านี่กำลังเกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า เดี๋ยวจะตอกตะปู เดี๋ยวเขาจะยกพระองค์ขึ้นบนไม้กางเขน ซึ่งถ่วงน้ำหนักของพระองค์ลง พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และอีกสักครู่หนึ่ง เขาจะเอาหอกแทงสีข้าง พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าเลือดพระองค์จะไหลอย่างไร? กระดูกลั่นเปรี้ยงอย่างไรในร่างกาย เพราะน้ำหนักมันถ่วงลงมา

มัทธิว 27:46 นี่ของจริง บันทึกไว้ตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ตรัสถ้อยคำนี้ว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปี พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกห่างไกลจากพระเจ้าเลย ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาครั้งแรกในชีวิตของพระเยซูที่พระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้อยู่กับพระองค์แล้ว ตอนที่พระองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าก็อยู่ด้วย เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นบาป ไม่เคยเป็นบาป ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำสิ่งที่ผิดเลย พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ใช่เป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนไม่ได้ และตัวแทนภาษาพระคัมภีร์ พระเจ้าให้ใช้คำว่า “Priest” หรือปุโรหิต หรือพระ นั่นเอง พระคือใคร? ปุโรหิตคือใคร? Priest คือใคร? คือตัวแทนของมนุษย์ที่มีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้า  เหมือนอาโรน  เพราะฉะนั้น พระองค์จึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกัน พระองค์เป็นพระเจ้าด้วย  ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จะทำอะไรในช่วง 33 ปีตอนนั้น พระเจ้าควบคุมตลอด คุยกับพระเจ้าตลอด  ไม่เคยห่างกันเลย

ทำไมพระเยซูจึงรู้สึกเช่นนี้? เพราะตลอดชีวิตพระเยซูไม่เคยทำบาป  แม้แต่นิดหนึ่ง แม้พระองค์จะเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ 100% เพราะเป็นพระเจ้ามาบังเกิดในหญิงพรหมจารี ไม่มีบาป  ไม่ด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด  ทรงรับรู้การทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ คือวันศุกร์ประเสริฐ 2,000 ปีที่ผ่านมา วันที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติเลย คือวันที่พระเยซูทรงแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้เอง ทำให้พระองค์บาป และพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว เมื่อบาปเข้ามา พระเจ้าก็ต้องไป คือละจากไป เมื่อพระองค์แบกรับบาปของมวลมนุษยชาติไว้กับพระองค์ จากที่เคยบริสุทธิ์สะอาด สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เลยกลายเป็นคนบาป  ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เหมือนเราทั้งหลายที่เป็นคนบาป และถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่เราเคยชินแล้ว ถูกตัดจนชิน หาพระเจ้าไม่เจอ จนชิน แต่พระองค์ไม่เคยบาปเลยสักนิดเดียว อยู่ดีๆ รับบาปเราทั้งหลายเข้าไป แล้วพระเจ้าหายไปเลย โอ้โห! ช็อก

เหตุการณ์นี้จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซูตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ที่อยู่กับพระเจ้าพระบิดาตลอดมา รู้จักกันตลอดมา อยู่ติดกันตลอดมา ณ บ่าย 3 โมง ผมไม่รู้ช่วงเวลาไหนเป็นอันไหน? ถ้ามานึกตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 ที่พระองค์ทรงแบกรับบาปเราไว้ ไม่รู้ว่าช่วงวินาทีไหนที่พระเจ้าเสด็จไป ละพระองค์ไปแล้ว อาจจะเป็นช่วงเวลา 9 โมงเลยก็ได้ พอไม้กางเขนตั้งตรงปุ๊บ พระองค์ทรงแบกรับบาป พระเจ้าไปแล้ว ผมไม่รู้ แต่รู้ว่าช่วงที่ตรึงที่ไม้กางเขนนั่นแหละ คือช่วงที่พระเจ้าทอดทิ้งพระเยซู พระเยซูถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน เกิดมาในชีวิต ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก จนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เท่าไร? กี่ล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน บวกกับอีก 33 ปีบนโลกใบนี้ อยู่ด้วยกันมาตลอด อยู่ดีๆ พ่อทิ้งไปเลย  โอ้โห! มันทุกข์ทรมานมาก

นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบ่ายวันนี้ ท่านลองนึกภาพดูนะครับว่ารู้ทั้งรู้ว่าเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วท่านคิดว่าความรู้สึกของพระเยซูในขณะที่ถูกตรึงไม้กางเขน จะเป็นอย่างไร?  สดุดี 22:4-21

สดุดี 22:4-21 “4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์ เขาเหล่านั้น วางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา 5 พวกเขาร้องทูลพระองค์ และได้รับการช่วยกู้ พวกเขาวางใจในพระองค์ และไม่ผิดหวัง 6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน 7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ ก็เย้ยหยัน พวกเขาส่ายหน้า และพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า 8 เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ” 9 ถึงกระนั้น พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ ออกมาจากครรภ์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ 10 ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่ ตั้งแต่เกิด ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ 11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์ เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้ และไม่มีใครช่วยได้เลย 12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์ ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์ 13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์ ดั่งสิงโตคำราม และกัดฉีกเหยื่อ 14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไป ดั่งสายน้ำ กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง หลอมละลายภายในข้าพระองค์ 15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา ลิ้นของข้าพระองค์ เกาะติดเพดานปาก พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอนเกลือกธุลีแห่งความตาย 16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์ กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์ พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์ 17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์  ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ 18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

นี่คือสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อเช้าถึงบ่าย และทั้งหมดนี้อยู่ในความคิดของพระเยซูตลอดเวลา พระองค์ใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา ตั้งแต่ 9 โมงเช้าเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยความว้าเหว่ ทรงคร่ำครวญ ตัดพ้อ ร้องทูลขอการช่วยกู้จากพระเจ้า ไม่เคยทำอย่างนี้เลย ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย ในพระคัมภีร์ตะกี้เราอ่าน พระองค์คิดในนั้นตลอดเวลา เราอยู่กันมาตั้งนาน

ในนี้บอก “ข้าพระองค์อยู่ในครรภ์มารดา” ก็สอนแล้ว คือตั้งแต่เกิดมา ก็อยู่กับพระเจ้าตลอด ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจออะไรประมาณนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะกลัวขนาดไหน? จะว้าเหว่ขนาดไหน? จะทุกข์ทรมานขนาดไหน? และทรงรู้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่สุดท้าย พระเยซูก็ทรงยอมจำนนต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น บางคนก็บอกว่าเพราะทหารคุมอยู่ ไม่ใช่ พระองค์จะลงมาจากไม้กางเขนไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว แต่พระองค์ทรงลงมาไม่ได้ เพราะถูกความรักรัดเอาไว้ ความรักพวกเราทั้งหลาย เห็นพวกเรา … เขาบอกกันว่าเมื่อบ่ายวันนี้ ที่ไม้กางเขน พระเยซูทุกข์ทรมานอยู่บนนั้น  มีกำลังใจอยู่อันเดียว ที่ทำให้สามารถทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราอ่านไปในสดุดี บทที่ 22 คือพระองค์มองเห็นเขาจับฉลากก็จริง แต่มองผ่านทะลุไปในโลกวิญญาณ เห็นคนโน้นคนนี้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พวกเขาก็ตายหมด ลงนรกแน่ เข้าใจใช่ไหม?

นี่คือกำลังอันเดียวของพระองค์ที่สามารถทำตรงนี้ได้ ผ่านความทุกข์ยากลำบากตรงนี้ได้ เพราะความรักและห่วงใยพวกเราขนาดนี้ และเมื่อพระเยซูทรงตัดสินใจที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมให้แผนการของพระบิดาสำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็คือยอห์น 19:30 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย 3 โมง ยอห์น 19:30

ยอห์น 19:30 “เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

ตอนบ่าย 3 โมง เหตุการณ์วันศุกร์ประเสริฐ ก่อนสิ้นพระชนม์ พระเยซูได้กล่าวคำนี้ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ซึ่งในภาษากรีกใช้คำว่า “Tetelestai”

แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “It is finished”

หรือภาษาไทยว่า “สำเร็จแล้ว”

และก็มีการใช้คำว่า “Tetelestai” หรือคำภาษากรีกนี้ ในเอกสารทางการเงิน สมัยที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน สมัย 2,000 ปีก่อน เขาใช้เอกสารนี้ เวลาที่มีการชำระหนี้หมด ก็จะใช้ตราประทับ คำว่า “Tetelestai” แทนคำว่า  “Pay in full” หรือภาษาไทย แทนคำว่า “จ่ายครบแล้ว” นั่นเอง

ความหมายของคำว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “จ่ายครบถ้วนแล้ว” ที่พระเยซูตรัส ตรงนี้ ก็คือพระองค์กำลังประกาศว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ถูกบันทึกไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะทั้งหมด จนกระทั่งถึงถูกประหารของพระองค์นั้น ได้ทำสำเร็จแล้ว การได้ทำลายแผนการอันชั่วร้ายของมารซาตาน ก็สำเร็จแล้ว การชำระหนี้แห่งความบาปทั้งหมด ให้กับมวลมนุษยชาติ ก็สำเร็จแล้ว และสุดท้ายการนำมนุษย์ให้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ก็สำเร็จแล้ว สิ้นพระชนม์ได้แล้ว จบแล้ว สิ้นภาระแล้ว เสร็จสิ้นมิชชั่น เคยได้ยิน Mission Impossible  คล้ายอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนจบ พีคสุด ตื่นเต้น พระเอกเหมือนตกเหวเลย ขอบคุณพระเจ้าที่หนังไม่ได้จบอย่างนี้  ตกเหว แล้วพวกเราไม่ลืมตา ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขียนต่ออีก พระเยซูบอกว่าทุกอย่างที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ จะต้องเป็นอย่างนี้ทั้งหมด ถูกไหม? แต่ไม่ได้เขียนแค่บอกว่าตายที่ไม้กางเขน จ่ายบาปให้กับเรา แล้วก็จบอยู่แค่นั้น แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันที่ 3 พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน หนังสือเล่มเดียวกัน คนสั่งคนเดียวกัน พระเจ้าสั่งเหมือนกัน เขียนถึงพระองค์เหมือนกัน ก็ต้องเป็นไปตามนี้เหมือนกัน

พระองค์จึงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม คือวันอาทิตย์นั่นเอง พระองค์จึงเอาความหวังในชีวิตที่จะมีชัยชนะเหนือความตายมาให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ที่เชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อในการกระทำของพระองค์นี้ เชื่อในพระเยซูคริสต์นี้  เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐนี้  เชื่อในการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระองค์ เพื่อรับบาปของเราไปแล้ว เชื่อตรงนี้ ความหวังที่จะไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไป เพราะมนุษย์ทุกคนกลัวตายหมด ทุกวันนี้ ก็ยังกลัวอยู่ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้ากลัวความตายทั้งนั้น เพียงแต่จะบอกหรือไม่บอกเท่านั้นเอง

 

พระเยซูตรัสไว้ว่าในยอห์น 11:25 ว่า “ผู้ที่วางใจในเรา แม้เขาตายแล้ว เขาก็ยังมีชีวิตอยู่”

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย”

 

ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เรางง แต่ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความตายทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถามว่ากลัวเพราะอะไร? ลองคิดดู เรากำลังจะตาย พูดง่ายๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เพราะเรารู้ว่าคนที่อยู่รอบข้าง คนที่รักเรา คนที่ห่วงใยเรา คนรอบข้างเหล่านี้ ที่เราพึ่งพาบนโลกนี้ เราพึ่งพาเขาไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ ตัวใครตัวเขา เขาจะไปกับเรา ก็ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถไปกับเราได้เลย  ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรเราได้ เรากำลังเดินทางไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? ก็ไม่รู้ หรือมีใครรู้? ถ้าไม่เชื่อพระเจ้า และสิ่งสำคัญที่สุด คือถ้าเราไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่กับเรา สัญญาว่าอยู่กับเรา และเป็นความหวังของเราว่าจะมารับเรา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เราจะว้าเหว่มากถึงมากที่สุดเลย

อย่างที่ตะกี้นี้บอก  เพราะในใจทุกคน จิตใต้สำนึกของเราทุกคน รู้ตัวเองว่าเป็นคนบาปแน่นอน และเวลาที่เรากำลังจะจากไป จิตของเราต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาว แม้มีจุดดำเพียงเล็กๆ มันก็เด่นชัดออกมา และถือว่าผ้าขาวนั้นไม่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว มันมีจุดด่างพร้อย มันไม่มีคำว่าด่างน้อย ด่างมาก ด่างก็คือด่าง จุดก็คือจุด มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้ ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจะเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวและว้าเหว่ที่สุด เหมือนที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเผชิญบนไม้กางเขน เมื่อบ่ายวันนี้ ที่แบกรับเอาความบาปของเราทั้งหลายไว้ พระเจ้าก็ไม่อยู่ด้วย ตกลงไปในนรก เข้าไปอยู่ในความมืด

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาในวันที่ 3  และเป็นแบบอย่างให้กับคนไหนที่เชื่อในพระองค์ ก็จะเป็นขึ้นมาใหม่อย่างนั้น แต่ถ้าไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ เขาก็ต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมของเขาเอง ในความพินาศ อย่างที่พระเยซูเดินทางเข้าไปให้เราเห็นในบ่ายวันนี้ แต่ถ้าเราเชื่อในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอ จะไม่ทอดทิ้งเราเลย จะรับเราไปอยู่กับพระองค์ ไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ … ในสวรรค์มีที่มากมายเลย ถ้าไม่มีเราบอกท่านแล้ว แต่นี้มันมีเยอะแยะไปหมดเลย  มีสำหรับท่านทุกคนเลย ที่มาเชื่อในพระองค์ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะมารับเรา เมื่อลมหายใจสุดท้ายของเรา … มาเลย  เราก็จะเห็นพระเยซู ไปกับพระองค์

เพราะฉะนั้น นี่คือความหวังใจที่แท้จริง ที่ชัดเจนของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเราชนะความตายแล้ว เผลอๆ เราอาจจะบอก หรือหลายคนมีประสบการณ์นี้ว่าตอนเจ็บป่วยอยู่ ถึงเวลาแก่เฒ่าแล้ว เจ็บป่วยอยู่

“เมื่อไรจะได้ไปสักที ไปจะได้หายเจ็บ หายป่วยหมดแล้ว ไปจะได้มีความสุขกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน จะได้พักผ่อนสักทีหนึ่ง”

มันกลายเป็นความคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำ สันติสุข อย่างนี้เป็นต้น

นอกจากพระเยซูแล้ว ไม่เคยมีใครที่ไหนสัญญากับเราเลยว่าจะไปกับเรา ตอนเราตาย ในวันที่เรากำลังจะตายจากโลกใบนี้ไป ไม่มีใครสัญญากับเราเลยว่าจะไปกับเรา  มีแต่คนบอกว่า …

“เมื่อจะตาย กรรมที่เราทำไว้ สิ่งที่เราทำไว้ ไม่ว่าจะดีหรือเลวจะตามเราไป”

น่ากลัวไหม? บาปเพียงน้อยนิด ก็กลายเป็นคนบาปแล้ว ในสายพระเนตรพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เราทั้งหลายในนี้เชื่อในพระเยซูแล้ว ขอเมตตาพี่น้องใครก็ตามนะครับ ที่อยู่ที่นี่ ที่ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงไถ่บาป ไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบ่ายวันนี้ ตอน 2,000 ปีก่อนนะ ก็ให้ตัดสินใจใหม่ ยังมีเวลาให้กับท่าน รีบตัดสินใจเชื่อเสียเถิด แล้วถ้าเป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอก มีแต่คนบอกว่าตายไปแล้ว เราจะต้องดูแลตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง สิ่งที่ตามเราไป คือสิ่งที่เรากระทำ กรรมบนโลกใบนี้ ดีหรือเลวจะตามเราไป แล้วมันดีหรือเลวล่ะ ดีเราคงไม่จำเยอะหรอก แล้วมันมีเลวไหม?  แล้วเราจะใช้อย่างไรหมด แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราทำดีทั้งหมด ไม่มีแม้แต่นิด ตอนที่เรามีชีวิตอยู่

เพราะฉะนั้น มีทางเดียว มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย พึ่งพระเยซูเถิด ให้วันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน สำคัญที่สุด เมื่อบ่ายวันนี้  เริ่มต้นจาก 3 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง ให้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเราเลย จำวันนี้ให้ได้ จำคริสตมาสไม่ได้ ไม่เป็นไร จำวันนี้ให้ได้ วันสำคัญที่สุด ก็คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

นี่แหละ คือเหตุที่พอพูดถึงคริสเตียน ทำไมมีกางเขน  ไม่ใช่กางเขนไล่ผีหรอก กางเขน เพื่อให้ท่านรู้ว่าพระเยซูทำอะไรกับเรา

“นี่ คือสิทธิของฉัน ที่ฉันควรจะได้ พระเจ้า พระเยซูทำให้กับฉัน อย่าลืมสิ”

พูดกับตัวเอง มันชอบลืม สิทธิของเราอยู่ที่ตรงนั้น เชื่อสิ วางใจ มันเป็นของเรา

กางเขน จึงเป็นสัญลักษณ์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เสมอ สำหรับคริสเตียนทั้งหลาย เป็นเป้าหมายของเราทุกคนที่ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออกแล้ว หูฝ่ายวิญญาณได้ยินแล้ว จิตใจหยั่งรู้แล้วว่าเหตุการณ์ การทนทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ เกิดขึ้น เพื่ออะไร? เมื่อบ่ายวันนี้ 2,000 ปีก่อนหน้านั้น เกิดขึ้น เพื่ออะไร? พระเยซูทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น เพื่ออะไร? เพื่อใคร? การมองไปที่ไม้กางเขน เพื่อให้รู้ว่าเราก็ไม่ได้ใหญ่กว่าพระอาจารย์ คือพระเยซู เราก็ยังต้องทุกข์ของเรา ในระหว่างอยู่โลกนี้เหมือนกัน ก็ขอให้เป็นไปตามแผนการพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูอธิษฐาน แล้วก็วางใจในพระองค์ว่าถ้าพระเจ้า วางแผนไว้ในชีวิตของเรา เป็นเช่นไร อดทนนิดหนึ่ง ได้ไหม? ได้ นี่คือไม้กางเขน นอกจากไถ่บาปให้กับเรา เห็นคุณค่าการไถ่บาปแล้ว เป็นเป้าหมายที่เราจะทำเหมือนพระเยซู เราจะทนได้ ถ้าพระเจ้าให้ภาระกับเราอะไรบางอย่าง มันอาจจะทนทุกข์บ้าง? อดทน เราต่างคนต่างมีศุกร์ประเสริฐของตัวเอง ไปคิดกันเองว่าศุกร์ประเสริฐของเราเป็นอะไร?

ทุกครั้งที่เรามองไปที่ไม้กางเขน ให้เราได้รับรู้ถึงชัยชนะที่พระเยซูได้ทำให้กับเราแล้ว เป็นหลักชัยที่เราจะมองไปในชีวิต ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อที่จะวางภาระทั้งสิ้น ลงให้ได้ วางความกังวลทุกอย่างให้ได้ มองไปที่วันข้างหน้าที่วันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป วันนั้นแหละ คือวันแห่งชัยชนะนิรันดร์ ถ้าเราไม่เชื่อพระเยซู วันตาย คือวันทุกข์ทรมานที่สุด แต่สำหรับคริสเตียนที่รู้จักพระเยซูแล้ว วันตาย คือเริ่มต้นชีวิตอันสดใสใหม่ มันกลับกันหมดเลย หมดสิ้นกันเสียทีความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ หมดสิ้นกันที การต่อสู้ที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หมดสิ้นกันที สำหรับการยึดถือ ในการใช้ความเชื่อ เพราะว่าจากนี้ต่อไป เราจะไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว เพราะเราตายไปแล้ว เราจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไปอยู่กับพระเยซูเลย เห็นพระเยซู ไม่ต้องแล้ว เพราะเห็นแล้ว ทุกวันนี้เชื่อ เพราะว่าพระเยซูอยู่ด้วย แต่เรามองไม่เห็น เราอยู่ในเนื้อหนังนี้ เรามองไม่เห็น แต่เมื่อวันหนึ่งที่วิญญาณเราออกไปปุ๊บ เราเห็นแล้ว เราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป นี่คือชัยชนะ ให้ไม้กางเขนเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของเราบนโลกใบนี้ เอเมน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 7 “ฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัปดาห์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์พอดี หัวข้อการบรรยาย ก็คือ “สำแดงความรักของพระเจ้า” นี่คือหัวข้อของสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” คนที่ฟังคำบรรยายครั้งที่แล้ว ผมได้เสนอให้ท่านได้ทำการทดลอง มีใครไปทดลองอะไรบางอย่างกับใคร? หรือโดนใครทดลองบ้าง? มีไหมครับ? ทดลองพิสูจน์ความรักแท้ของท่านที่มีอยู่ หรือท่านไปทดสอบความรักแท้ของเพื่อนของท่าน หรือคนที่รู้จักท่านว่าความรักแท้ที่เขามีอยู่ต่อท่านนั้น มันรักแท้หรือไม่? ใครไปทดลองบ้าง? ใครไปส่งไลน์บ้างว่า …

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”  มีบ้างไหม?

“เมื่อไรจะเลิกส่งไลน์มาสักที” มีหรือเปล่า?”

หรือใครโดนทดลองเมื่อเช้านี้  เดินเข้ามา เขาไม่ทักเรา เคยทักทุกวัน วันนี้ไม่ทัก มีไหม? ไม่มีเหรอ? เอ๊า! ถ้าอย่างนั้น ทดลองตอนนี้เลย หันไปหาคนข้างๆ แล้วบอกว่า …

“ไปให้ไกลๆ เลย”

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน ทีอย่างนี้ยิ้มได้ ลองสัปดาห์หน้า 2 สัปดาห์ที่ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ลองให้เขาพูดเรื่องนี้ไปแล้ว ลองดูสิจะทนไหวไหม?  นึกถึงภาพอีกสักเดือนหนึ่งข้างหน้า เข้ามาถึง

“ทำไมคนข้างๆ กลิ่นตัวแรงๆ”

กล้าไหม? แล้วดูสิ ปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? นี่คือเรื่องจริงนะ มันสามารถพิสูจน์ได้ แล้วเราจะได้เรียนรู้ลึกซึ้งถึงเรื่องเหล่านี้ว่ามันเกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างไร? แม้ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันทำให้เราเห็นภาพใหญ่ว่าชีวิตของคนเรา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ พระเจ้าพาเราไปพบความจริงในชีวิต  แบบมันมองทะลุปรุโปร่งเลยนะ

เมื่อเรารู้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราจึงสามารถที่จะปฏิบัติ สำแดงความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักแท้ๆ ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า “แท้” เลย ความรัก ก็คือความรัก แต่เนื่องจากโลกนี้ เอาไปใช้เละเทะไปหมด ไปโกหกหลอกลวง แล้วใช้ความรักนี้ เอาไปแทนความรักแท้ของพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นรักปลอม เวลามาพูดถึงความรักของพระเจ้า จึงบอกว่ารักแท้ จริงๆ ไม่มี มีแต่ความรักกับความอะไร? เห็นแก่ตัว มี 2 อย่างเท่านั้นเอง รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รัก มันเป็นความเห็นแก่ตัวเฉยๆ แต่เอาไปใส่ หลอกเขาว่าเป็นความรัก

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันเยอะในเรื่องลักษณะของความรักของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ใช่ไหมครับ?  แล้วเราก็ย้ำกันว่าถ้าเราสามารถมั่นใจในตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและห่วงแหน และทรงภูมิใจที่สุดแล้ว และเมื่อเราได้รับรู้ มั่นใจอย่างนี้ ในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเราอย่างนี้ เราก็จะมีความพร้อมที่จะมอบความรักแท้อย่างนี้ ออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้

การดำเนินชีวิตของเราบนโลกนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะแบบความรักแท้ของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ก็คืออะไร? ก็คืออดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยให้ได้เสมอ เอเมน

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เป็นความภาคภูมิใจของพระเจ้าผู้สร้างเราได้ เหมือนเราทำตัวให้พ่อภูมิใจในตัวเราได้ ก็คือการซึมซับรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในตัวของเรา ซึมซับรักแท้ของพ่อของเรา เข้ามาอยู่ในใจของเรา แล้วก็แบ่งปันความรักแท้ที่ล้นออกมาจากใจของเรา จากชีวิตของเราไปสู่ผู้อื่น รับมาจากพระเจ้าอย่างไร ก็ล้นออกไปให้ผู้อื่นอย่างนั้นเหมือนกัน เอเมน อย่างที่ผมบอก ต้องมีทุนอยู่ เราจึงให้ออกไปได้ ถ้าเราไม่มีทุน เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร? เราไม่มีความรักอยู่ในตัว เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร? และความรักนี้มาจากพระเจ้า

และครั้งที่แล้ว เราก็สรุปทิ้งท้ายวันแห่งความรักกันว่าให้ทุกย่างก้าวในชีวิตของเราสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยการสำแดงความรักแท้ของพระเจ้านี้ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คนรอบข้างเรา เขาได้เห็น เขาเห็นความรักเรา เขาเห็นอาการเรา เขาเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิตของเรา เขาจึงเห็นพระเจ้าของเรา ไม่ใช่เขาเห็นอัศจรรย์ แล้วเห็นพระเจ้า อันนั้นไม่ใช่นะครับ

เป้าหมายของเรา ก็คือฝึกฝนที่จะรักผู้อื่นให้ได้ ตามแบบอย่างความรักของพระเจ้า เพราะฉะนั้นขั้นแรกเลย ก็คือเราต้องรู้จักและเข้าใจได้ว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และลึกซึ้งขนาดไหน? วันนี้เอาข้อความนี้มาให้ท่านดูว่าพระคัมภีร์ได้บอกถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา หนึ่งในจำนวนนั้น คือเอเฟซัส 3:17-19 ให้เราได้อ่านพร้อมกันนะครับ

เอเฟซัส 3:17-19 “17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว 18 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้ พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก 19 คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” เอเมน

 

ย้ำเน้นคำว่า “รับรู้ เข้าใจ และซาบซึ้ง” โอโห้! ชัดเลย เราจำเป็นที่จะต้องทำอะไรครับ? ไม่ใช่รู้ความรักพระเจ้าเฉยๆ ต้องรับรู้ เข้าใจ และซาบซึ้งในถ้อยคำที่บอกว่าพระเจ้าอยากให้เรารับรู้ถึงความรักของพระองค์ นี่คือความต้องการของพระเจ้า เพราะพระเจ้ารู้ว่านี่คือหัวใจในชีวิตของเรา คือพระเจ้าอยากให้เรารับรู้ถึงความรักของพระองค์ และเข้าใจในความรักของพระองค์อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่เราจะได้ดู ทำเป็นแบบอย่าง แบ่งปันความรักนั้น ความรักนี้ ให้กับใครๆ ก็ได้ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า …

“เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” เห็นไหมครับ?

เพราะโดยปกติแล้ว มนุษย์เรา … เราจะรู้จักรักใคร ก็ต้องเคยได้รับความรักมาก่อน ไม่อย่างนั้นไม่มีการพัฒนาในชีวิตของมนุษย์ นี่คือมนุษย์ทั่วๆ ไปนะครับ

เขาถึงบอกว่าครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกมากๆ ลูกจึงสามารถพัฒนาความรักนั้นให้กับบรรดาผู้คนรอบข้างได้ แต่ลูกที่เกิดมา พ่อแม่ทิ้ง ไม่มีใครให้ความรักเขาเลย เด็กคนนั้นอาจจะเกิดมา ทำสิ่งที่ไม่ดีมากมาย เพราะไม่รู้จักอะไรคือความรัก อะไรอย่างนี้  เป็นต้น

เราจำเป็นต้องมีทุน คือได้รับความรักนี้มาจากใครก่อน เราจึงจะสามารถให้ออกไปได้ ถึงจะได้รู้ ได้เข้าใจว่าการจะได้รับความรักนั้น มันมีความรู้สึกเป็นอย่างไร? จึงจะสามารถรักผู้อื่นได้ รู้ว่าความรักนี้ ช่วยเขาได้อย่างไร? ใครที่ยังไม่เคยได้รับความรักมาก่อนเลยทั้งชีวิต คงยากที่จะหัดรักคนอื่นเป็น แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า ในพระคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ แม้เราอาจจะอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความรักมาก่อนเลย ไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “ขอบคุณพระเจ้า”

เพราะในพระเยซูคริสต์พระเจ้าจึงได้ใส่ตรงนี้ ใส่ความรักตรงนี้ ใส่เข้ามาเลยนะครับ ให้กับพวกเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ทุกคน ให้เราทั้งหลายมีความความสามารถที่จะรักได้ และจากนี้ต่อไป เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราทั้งหลายจะมีต้นทุน คือพระเจ้าได้ใส่ความรักนี้ ให้เราสามารถที่จะรักได้ ก็เพราะเราทั้งหลายได้รับความรักนี้จากพระเจ้ามาก่อน ถ้าเราสัมผัสและเข้าใจในความรักที่พระเจ้าใส่ลงไปในหัวใจของเรา  เราจะรู้ว่านี่คือต้นทุนที่เราจะให้ออกไป ให้ออกไปอย่างไร? ให้เป็นลักษณะเดียวกับที่พระเจ้าให้กับเรา เห็นไหมครับ? ยอห์น 15:12-13 พระเจ้าจึงสั่งให้เราทำอย่างนี้

ยอห์น 15:12-13 “12 พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตน เพื่อมิตรสหายของตน”

 

ที่เราได้เรียนรู้กันไปในสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือหลักการในเรื่องของการสำแดงความรัก เรียกว่าเรียนรู้ภาคทฤษฎีก่อน แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันต่อในภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายวันนี้จึงมีชื่อตอนว่า “ฝึกฝนการสำแดงความรัก

พร้อมหรือยัง?  พร้อมที่จะฝึกฝนแล้วนะ ในภาคปฏิบัติของการสำแดงความรัก ผมเชื่อว่าทุกคนทราบ เรียนมาแล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด แล้วก็อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังพูดถึงการสำแดงความรักแบบชนิดที่เป็นของพระเจ้า คือชนิดความรักในหนังสือ 1 โครินธ์ 13 แค่ขึ้นต้นคำแรก ในลักษณะความรักของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ว่า …

“ความรักต้องอดทนนาน”

แค่คำเดียว ก็ทำไม? ยากกกก ยากพอแล้ว แล้วยังต่อด้วย อันที่สองว่า …

“ความรักไม่อิจฉา”

ยากไหม?  ต่อไป

“ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง”

เลิกปฏิบัติดีกว่า ไหวหรือเนี้ย? ทำไมมันถึงยากเย็นเข็ญใจอย่างนี้ สังเกตดูสิ ทำไมถึงยาก ก็ทั้งหมดในข้อนี้ ใน 1 โครินธ์ 13 ทั้งหมดนี้ ที่บรรยายมานี้ ถ้าตัดคำว่า “ไม่” ออกไป ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-7 ถ้าท่านตัดคำว่า “ไม่” ออกไป มันจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? ท่านจะเห็นภาพชัดเลยว่าทำไมมันถึงยาก สำหรับมนุษย์ที่จะปฏิบัติความรักของพระเจ้านี้ มันก็คือธรรมชาติลักษณะของมนุษย์ที่เป็นคนบาปนั่นเอง  ยกตัวอย่าง

“ไม่มีความอดทน”

“ความรักย่อมอดทนนาน” อันนี้ “ไม่มีความอดทน”

ความบาป คือไม่มีความอดทน โมโหร้าย  อิจฉา เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่ง จองหอง ชอบให้ร้ายผู้อื่น เอาดีใส่ตัว

“เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ไม่ต้องท่องเลย นี่พูดได้หมดเลย เห็นไหม? ธรรมชาติ ผมไม่ต้องให้พูดตามนั้น ทุกคนพูด สบาย “เอาดีใส่ตัว” จำแม่นเลย นี่มันเป็นธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเราเอง ศัตรูตัวร้าย ก็คือใคร? ตัวเราเอง

พูดเลย “ศัตรูตัวร้าย ก็คือฉันเองนั่นแหละ จำไว้” พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง

แล้วเราก็บอกว่าตอนนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าที่สร้างขึ้น  ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งนานแล้วด้วย จงภูมิใจและสำแดงความรักของพระเจ้า ด้วยการหยุดสิ่งเหล่านี้ให้หมดเลย หยุดบาปเหล่านี้ ง่ายไหมครับ? ถามว่าง่ายไหม? พฤติกรรมทั้งหมดที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่านกัน ที่เคยทำกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ที่จำได้เป็นออโต้เมติก ที่ตะกี้นี้เลย ให้เลิกหมดเลย เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไป ถามว่าทำได้ไหม? หมดเลยนะครับ แทบจะไม่มีกำลังใจ แล้วจะทำอย่างไร?

ผมก็พยายามคิดว่าต้องทำอย่างไร? มันต้องรักษา เหมือนที่เรารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็เหมือนเวลาที่เราป่วย หรือบาดเจ็บ แล้วก็ไปฉีดยาชา หรือกินยาแก้ปวด กินยาพาราฯ อาการปวดหายไหม? ถามว่าหายไหม? หาย แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอาการ สาเหตุมันคืออะไร? เดี๋ยวมันก็กลับมาปวดใหม่ แล้วเราก็ต้องกินยาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนในที่สุด ยาก็เอาไม่อยู่ แต่ถ้าเราหาสาเหตุให้เจอ แล้วรักษาที่ต้นเหตุให้หาย อาการมันก็จะไม่กลับมาเป็นอีก หลักการเดียวกันนี้

ตัวอย่างง่ายๆ พาท่านไปเห็น ค่อยๆ พาท่านไปดู ตัวอย่างง่ายๆ เราทานข้าวไม่เป็นเวลา ทานอาหารไม่เลือก แล้วก็มักมีอาการปวดท้องบ่อยๆ เราก็ไปหายาแก้ปวดมาทาน มันก็หาย แล้วเราก็ไม่นึกถึงพฤติกรรมที่เสียๆ หายๆ เหล่านั้นเลย เราก็มีพฤติกรรมเหมือนเดิมอีก มันก็ปวดอีก ก็ทานยาอีก ในที่สุด ทานยาก็ไม่หายแล้ว เพราะมันดื้อยาแล้ว แต่ถ้าเราหาต้นเหตุจนเจอ ค่อยๆ ปรับพฤติกรรม ทีละนิดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ความปวด มันก็หายไป เพราะว่าต้นเหตุมันได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ? อันนี้อาจมองเห็นตัวอย่างง่ายๆ

แต่หลายครั้ง หลายๆ โรค การรักษาที่ต้นเหตุจริงๆ มันต้องใช้เวลา ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย ยิ่งโดยเฉพาะคนที่มีอาการของโรคหลายๆ โรคพร้อมๆ กัน ยิ่งรักษายากขึ้นไปอีก ต้องใช้ความละเอียดอ่อน และใช้เวลาใส่ใจ เอาจริงเอาจังกับมัน เรากำลังพูดถึงความบาป หรือความรักไม่เป็น หรือความไม่ได้สำแดงความรักของเรา ที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ นี่พูดถึงคริสเตียนแล้วนะ มีต้นทุนแล้วนะ

ลักษณะเดียวกันกับการรักษาโรคขี้อิจฉา อยากจะมาเทียบเลยว่าเมื่อกี้เราบอกว่า “ไม่อิจฉา” เอา “ไม่” ออกไป ก็คืออิจฉา … อิจฉาไม่ดี เราเลยใช่ขี้เข้าไป  เราเรียกกันว่า “ขี้อิจฉา” และขี้อื่นๆ อีกหลายขี้ที่เราพูดถึง มันไม่ดีทั้งนั้น ขี้อิจฉา ขี้โกรธ ขี้งอน ขี้อะไรอีกล่ะ ขี้เหนียว ลักษณะเดียวกัน การรักษาโรคขี้อิจฉา โรคเห็นแก่ตัว โรคเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดต่อรักแท้ของพระเจ้าที่สำแดงออกไป ศัตรูตัวร้ายเลย  เราก็ต้องรักษาที่ต้นเหตุของมัน ไม่ใช่อยู่ๆ แล้วก็บอกว่าต้องเลิกอิจฉา ต้องหยุดการเห็นแก่ตัว หยุดความเย่อหยิ่ง ทำไม่ได้หรอกครับ ทำได้อย่างมาก ก็แค่ยับยั้งอาการชั่วคราวเท่านั้นเอง เหมือนกินพาราฯ เดี๋ยวมันก็เป็นอีก แล้วสุดท้ายมันก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะยาก็เอาไม่อยู่

การรักษาที่ถูกต้อง เราต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ เราต้องค่อยๆ ควนหาหรือค้นหาเหตุผล ให้เห็นว่าที่เรายังอิจฉาคนอื่นอยู่ เรายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เรายังขี้ๆ อะไรอยู่ มันเกิดจากอะไร? ที่แท้จริงบ้าง ไม่ใช่ไปหยุดอยู่ตรงนั้น ต้องหาให้เจอ มันเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น ปรับความคิดของเรา ทำไมมันถึงคิดอย่างนี้  เพราะอะไรต่างๆ เหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความอดทนและต้องเอาใจใส่ ถ้าเราอยากมีชีวิตที่หายจากโรคเหล่านี้ เราต้องใส่ใจ ใช้เวลา ถ้าอยู่ดีๆ บอกว่าให้ไปรักษาโรคอิจฉาริษยา ไปรักษาความเห็นแก่ตัวให้หาย มันจะยาก มันจะยากมาก เพราะเป็นการไปรักษาแก้ที่ปลายเหตุ เราต้องใช้ตรรกะและหลักเหตุผลเข้ามาช่วย

หาให้เจอว่าต้นเหตุ ตัวการที่แท้จริง มันคืออะไร? ทำไมเราจึงอิจฉาเขา ทำไมเราจึงเห็นแก่ตัว เพราะอะไร? แล้วก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิด พัฒนา  ก็คือฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เขาเรียกพัฒนา ฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เขาเรียกว่าพัฒนา … พัฒนาตัวเองได้ การทำแบบนี้ ก็เปรียบได้กับการออกกำลังกายทางวิญญาณนั่นเอง ไม่มีกล้าม ค่อยๆ ฝึก เดี๋ยวมันก็มีกล้ามขึ้นมาเอง ค่อยๆ ยืดเส้นมาเรื่อยๆ เส้นสายมันก็ยืดขึ้น เคยก้มลงไป มือแตะพื้นไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็แตะได้เอง จะเอาวันนี้ให้มันแตะได้ เคล็ดตายพอดี ถูกไหม? ขึ้นอยู่ที่จะทำไหม?  เหมือนกับการออกกำลังกายไม่มีผิด ถ้าเราได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ร่างกายก็แข็งแรง ทางวิญญาณก็เหมือนกันนั่นแหละ วิญญาณก็ต้องการการออกกำลังกาย นี่คือการออกกำลังกายทางวิญญาณ

การฝึกฝนหรือการออกกำลังกายในการสำแดงความรักของพระเจ้า อย่างที่ได้บอกครั้งที่แล้ว คำคมที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ เคยพูดตั้งนานแล้ว การสำแดงความรักของพระเจ้า คำคม ก็คือ …

ท่านสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้

รวมความ ก็คือความรักที่แท้จริง ต้องมีการให้เกิดขึ้นเสมอ เอเมน ไม่ใช่ปากบอกว่ารักๆๆ ไม่ได้ให้อะไรเลยสักอย่าง แต่ในการให้นั้นอาจจะเป็นการให้ด้วยการรักหรือไม่? ตรงนี้แหละ ที่เราจะมาฝึกฝนกันในวันนี้ ผมจะพาท่านชี้ให้เห็นว่าท่านคิดอย่างไร? ท่านทำอะไร?

การให้นั้น อาจจะเป็นการให้ด้วยการรัก หรือให้โดยปราศจากความรักก็ได้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ อาการของการให้ออกไป อาจให้ด้วยความรักก็ได้ หรือให้ด้วยความไม่รักก็ได้ ถูกหรือไม่ถูก? แล้วถามว่าดูอย่างไรว่าการให้ เป็นการให้ด้วยความรักหรือเปล่า? จำได้ไหม? สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้แล้วว่าการสำแดงความรัก ด้วยการให้ ต้องดูที่ไหน? ใครจำได้บ้าง? ยกมือขึ้น? การสำแดงความรักด้วยการให้นั้น ดูที่ไหน? ง่ายนิดเดียว จำได้ไหม? ดูที่ว่าการให้นั้น มีการเอา แอบแฝงอยู่ไหม?

“ให้” มันตรงกันข้ามกับคำว่า “เอา” แค่นั้นเอง ท่านจะเห็นภาพเลยว่าให้จริงหรือไม่? ให้ไปเพื่อหวังอะไรหรือเปล่า? ให้ไปเพื่อต้องการเอาอะไรไหม? มันชัดมาก

ถ้ามีการเอาแอบแฝงอยู่ ก็จบกัน ถ้าการให้มีความต้องการ หรือคำว่า “เอา” อะไรบางอย่าง เป็นสิ่งตอบแทน เคลือบแฝงอยู่ด้วย ก็ไม่เข้าข่ายสำแดงความรักด้วยการให้ (นะจ๊ะ) นี่ให้ท่านพิจารณาดู

เริ่มมองเห็นตรรกะ ความคิด เหตุผลที่ผมกำลังมานำให้ท่านดูในวันนี้ ใช่ไหมครับ? เริ่มจากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าที่ทรงคุณค่ามากมายของพระองค์ และเมื่อเราทราบความจริงตอนนี้ เราก็จะมีความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา และเราก็จะให้สิ่งเหล่านี้ เป็นแรงผลักดัน ที่จะทำให้เราสำแดงความรักแท้นี้ ส่งต่อไปยังผู้อื่น ไปยังคนรอบข้างอีกมากมาย และการสำแดงความรักตรงนี้ ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ความรักตามแบบอย่างของพระเจ้านี้ ที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ ที่พระองค์ทรงมอบให้กับเราแล้ว คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตามลักษณะของ 1 โครินธ์ 13:4 ที่บอกว่าความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว มีเมตตา อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันต้องอาศัยการฝึกฝน ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมีความตั้งใจจริง ที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้านี้ มีใจปรารถนาที่จะสำแดงความรักอย่างนี้ แต่ความจริง ก็คือเนื้อหนังของเรา ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ยังคงมีกิเลสอยู่

เพราะฉะนั้น การที่เราจะสำแดงความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ตะกี้เราบอก เรารู้ว่ามันยากที่จะเกิดขึ้นได้เองในชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งที่อยากจะทำ มันต้องมีการฝึกฝน มีวินัย และเริ่มค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมา พัฒนาทั้งความคิด พัฒนาทั้งจิตใจ พัฒนา ต้องเอาใส่ใจ ต้องคิดตลอดเวลาๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ สังเกตตลอดเวลา คือภาคทฤษฎี เรารับรู้แล้ว และเราก็เชื่อแล้วว่าเรามีความตั้งใจที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า แต่ในทางภาคปฏิบัติ ยังต้องใช้เวลา และใช้การฝึกฝน หรือการออกกำลังกายทางฝ่ายวิญญาณ

ส่วนการฝึกฝน ก็คือเรารู้ว่าความรักแท้ของพระเจ้า ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการให้เสมอ ใช่ไหม? นี่คือเคล็ดลับนะ และการให้ ต้องไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต้องการจะเอาอะไรกลับคืน ไม่หวังสิ่งตอบแทน

เพราะฉะนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่าการฝึกฝนในการสำแดงความรัก ตามแบบอย่างของพระเจ้า ก็คือการฝึกฝนในเรื่องของการให้ออกไป โดยไม่มีการเอา ทุกอย่างในชีวิตเลย นี่คือฝึกฝนตรงนี้ วันนี้จะมาคุยตรงนี้แหละ ชัดๆ เลย เรื่องเดียวเลย การฝึกฝนในการให้แบบพระเจ้า โดยไม่ต้องการที่จะเอา ได้ไหม? ง่ายไหม?

พูดพร้อมกันนะครับ “การฝึกฝน การให้ โดยไม่มีการเอา”

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นเรื่องยาก ก็เพราะว่าการเอานั้น มันมีสาเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวนั้นเอง การที่เราต้องการจะเอาทุกอย่างในโลกนี้ มันมาจากการเห็นแก่ตัว และมนุษย์ทุกคนก็เป็นคนเห็นแก่ตัว พระคัมภีร์บอกไว้ ไม่ใช่ผมพูดนะครับ

เพราะมนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  เมื่อเป็นคนบาป ก็คือเห็นแก่ตัว เป็นอาการหนึ่งของคนที่บาป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถควบคุมอาการเห็นแก่ตัวนั้น ให้อยู่ภายในตัวเอง และไม่ออกมาภายนอกได้มากน้อยเท่าไร?  แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับฝึกหรือไม่ฝึก? ถ้าไม่ฝึกเลย ปล่อยมันธรรมชาติเลย มันก็เหมือนเด็กที่ไร้การศึกษา ไร้การอบรม ไม่มีใครอบรม นึกออกใช่ไหมครับ? พ่อแม่ไม่สั่งสอน อะไรอย่างนี้

แล้วเราจะฝึกในการที่จะควบคุมตรงนี้ให้ความเห็นแก่ตัว ความบาปตรงนี้ มันออกมาน้อยในชีวิตของเราได้อย่างไร?  วิธีที่จะควบคุมไม่ให้ออกอาการมากๆ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? ฝึกให้อาการเห็นแก่ตัวไม่ออกมามากๆ ก็คืออะไรรู้ไหม? ก็คือการฝึกฝนในการให้ออกไปด้วยความรัก ฝึกในการให้ออกไปด้วยความรัก ให้มันออกมาเยอะๆ ถ้าเราฝึกฝนในการให้ออกไปได้มากเท่าไร? อาการของการเห็นแก่ตัว ก็จะน้อยลงไปเท่านั้น มันแทนที่กัน

จำไว้นะครับ พูดถึง “ให้” ตรงนี้เมื่อไร? ท่านคิดในใจให้แบบไม่มีการเอาเด็ดขาด ให้ออกไปเลย  การให้อย่างนี้  จะทำให้การเห็นแก่ตัวมันลดน้อยลงไป ท่านรู้เคล็ดลับแล้ว ตอนนี้ แต่อย่าลืมหัวใจที่สำคัญที่สุด ในการให้ด้วยความรัก ก็คือการไม่เอา  เน้นตรงนี้เลยนะครับ เราเคยเห็นตัวอย่างมากมาย ที่บางคนก็ดูเหมือนเป็นคนที่ให้ออกไปเยอะแยะ แต่ทำไมยังเป็นคน เห็นแก่ตัว ยังอิจฉาริษยาคนอื่นอยู่ ยังโลภอยู่ มันแปลกไหม?  แปลกไหมครับ?  ไม่แปลก พอเราเรียนมาตะกี้ ไม่แปลก เพราะการให้ ไม่ได้ให้ด้วยความรักก็มี ถูกไหม?

สาเหตุ ก็เพราะการให้ของเขานั้น เมื่อลงไปดูลึกๆ พิจารณาดูแล้ว ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐาน หรือพื้นฐาน วัตถุประสงค์ของความรักแท้ ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเสียสละ มันไม่ใช่การให้จริงๆ นั้นเอง แต่มันเป็นการลงทุน เป็นการเห็นแก่ตัวนั่นแหละ แต่แอบแฝงมาในรูปแบบของการให้  เป็นการให้ โดยยังมีการ เขาเรียกว่าไม่บริสุทธิ์แท้จริง เป็นการให้ที่ยังแอบแฝงอยู่ข้างในใจ ตีอ้อมเข้าไป เพื่อที่จะได้เอากลับคืนมามากกว่านั้นอีก นี่มองข้างนอก เหมือนให้ แต่ข้างในใจเขาวางแผนไว้แล้ว สลับซับซ้อนหลายตอน จนกระทั่งบางคนไม่รู้ แม้กระทั่งตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ คนมองก็ไม่รู้ ไอ้นี่วางแผนเยอะแยะเลย สรุปแล้ว คือจะเอากลับคืน

 

ยกตัวอย่างอะไรดี ว่าอะไรที่มันซ่อนอยู่ในใจ ขณะที่เราให้ออกไปบ้าง? ยกตัวอย่างนะ ถวายทรัพย์ ถวายเงิน เพื่อเราจะได้ไปสวรรค์ อย่างนี้ มีไหม? ถวายเงิน เพื่อเราจะได้พระพรพระเจ้า … พระเจ้าจะได้อวยพรเรามั่งคั่งขึ้น  มีไหม? ค่อยๆ ก้มหน้าทีละนิด ตอนแรกก็เงยหน้า แต่ตอนนี้ก้มนิดๆ แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ก็ยิ่งปลูกฝังความเห็นแก่ตัวมากขึ้น โลภมากขึ้นอีก

พระเจ้าประทานสวรรค์ให้เราฟรีๆ แล้ว เราไม่เข้าใจเหรอ พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระเราพ้นจากบาป เอาความบาปผิดของเราออกไปเรียบร้อยแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว เมื่อเราสะอาดหมดจด เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราสามารถกลับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ เราคิดว่าเผื่อจะติดสินบนพระเจ้าได้ ใส่เข้าไปเยอะๆ เผื่อว่าพระเจ้าจะให้เราเข้าสวรรค์ได้ มันไม่ใช่ เราต้องเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปเราแล้วจริงๆ ตรงนี้คือหัวใจ แล้วเราก็ได้ไปสวรรค์

นี่คือพระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ฟรีๆ นี่คือความรักแท้ ใช่ไหม? นี่คือความรักแท้ พระเจ้าให้เราฟรีๆ เลย

หรือตะกี้ที่บอก ที่ก้มหน้าเยอะที่สุด ก็คือให้ไป เพื่อพระเจ้าจะอวยพรเราให้มันทำไม? จนขึ้น มีใครกล้าอธิษฐานอย่างนี้บ้าง?  ไม่มี ก็ขออย่าให้มีเลยอย่างนั้น เอาแค่ …

“ขอให้เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้ไหม?”  ไม่ต้องต่อด้วยคำว่า … “พระเจ้าอวยพรลูกรวยๆ”

ไม่เอา ไม่พูดอย่างนั้นได้ไหมล่ะ พอพูดอย่างนั้นปุ๊บ การให้ มันทำไม? มันเสียไปเลย มันเป็นศูนย์เลย  พอเข้าใจใช่ไหม? นี่คือการฝึกฝน พัฒนา มันต้องอาศัยความคิด เข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ เอ้อ! ใช่ๆ แล้วค่อยๆ ฝึกฝนไป

คนเหล่านี้ ที่ทำแบบตะกี้นี้ ทำไมถึงเห็นแก่ตัวอยู่ ทั้งๆ ที่ให้ออกไปตั้งเยอะ บริจาค ทรัพย์ สิ่งของมากมาย เพราะว่ามันเป็นการบริจาค ไม่ใช่มาจากความรักแท้ แต่บริจาค เพราะอยากไปสวรรค์ เห็นหรือยัง?  บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง บริจาค เพราะอยากได้คำยกย่องสรรเสริญ แบบนี้ไม่ใช่ การให้ โดยการสำแดงความรักในแบบของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นการสำแดงความรักโดยการให้ออกไป อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องการอะไรกลับมาเลย โดยการไม่เอาอะไรทั้งสิ้น เห็นไหมมันต่างกันใช่ไหม? มันก็คืออะไร? มันก็คือการขาดการออกกำลังกายทางวิญญาณ การฝึกฝนในการให้ออกไปของเรา ถ้ามันไม่มี มันก็จะเป็นอย่างที่ตะกี้นี้พูด มันน้อยไป มันไม่ได้ฝึกฝนที่จะสู้กับกิเลสตัณหาและเชื้อบาปที่อยู่ในตัวของเรา ในร่างกายของเรา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ถ้าเราไม่ฝึกฝนสิ่งนี้ มันก็จะพรั่งพรูออกไปน่าเกลียดๆ โดยที่เราไม่ได้สังเกตเห็น แต่จริงๆ แล้วถ้าเราสังเกตตามนี้  ตามที่ผมพาท่านมาฟังในวันนี้  มาชี้ให้ท่านเห็น ท่านคิดว่า …

“โอโห้! ในใจฉันสกปรกเหลือเกิน ควรจะเปลี่ยนท่าทีใหม่จากนี้ต่อไป น่าเกลียด อายเขาเหลือเกิน ไม่เคยเห็น วันนี้เปิด น่าเกลียดมาก”

ทุกคนพูดพร้อมกัน “สกปรกมากเลย ในใจสกปรกมาก”

ใครสกปรก? ชี้ไปคนข้างๆ แล้วบอกว่า “ฉันสกปรก” รอดไป

ใช่ไหม? ที่แล้วมา พอเวลาบริจาค ก็อธิษฐานว่า …

“พระเจ้าอวยพรลูก ใส่ไป ได้รับมาร้อยเท่า”

นี่มันไม่ใช่สกปรกธรรมดา แถมโลภมากอีกนะ 30 เท่ายังดี นี่ 100 เท่าเลยนะ 1 เท่าก็ยังดี ให้ไปร้อยหนึ่ง ได้มาสองร้อยก็ยังดี นี่กะให้ไปร้อยหนึ่ง คูณ 100 เป็นแสน โอโห้! ให้ไป 10 ที ก็เป็นมหาเศรษฐีแล้ว  คูณไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปทำมาหากินแล้ว แต่ถ้าเราฝึกฝนในออกไปเปล่าๆ โดยไม่เอา โดยไม่คิดอะไรเลย เพียงแต่อยากให้คนที่เขารับ มีความสุข พ้นจากความทุกข์ เหมือนที่พระเจ้าให้เรา ไม่ได้ตั้งใจจะเอาอะไรกับเราเลย ต้องการให้เรามีความสุข พ้นจากบาป กลับไปหาพระองค์ในสวรรค์ อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล จากโลกนี้ไปแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์กาล นั่นเปล่าๆ แค่นั้น ต้องการแค่นั้นเอง ไม่ได้ต้องการเรียกเรามาเชื่อพระเจ้า เพื่อจะรับใช้พระเจ้า เพื่อจะใช้เรา อันนั้น พระองค์วางแผนให้กับเรา ด้วยจิตใจที่เราเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ คนละเรื่องกัน เพียงแต่อยากให้คนอื่นเขามีความสุข เท่านั้นเอง

แบบนี้ จึงเรียกว่าการสำแดงความรัก โดยการให้ที่แท้จริง ซึ่งมันต่างกันตั้งเยอะนะครับ การให้เพื่อฝึกฝนการสำแดงความรัก กับการให้ เพราะอยากได้กลับคืน มันต่างกันเยอะมากเลย

อีกครั้งหนึ่ง การให้ เพื่อฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า กับการให้ เพราะอยากได้กลับคืนมันแตกต่างกันมากเลย ฟ้ากับเหวเลย

ตัวอย่างเช่น อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เลยนะ อธิบายบางทีไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่อันนี้มันจะเชือดเข้าไปในหัวใจ มันจะผ่าหัวใจเราออกเป็น 2 ข้าง อย่างเช่น การที่เรานำของที่เหลือใช้ คือของที่มีอยู่ แต่เราไม่ได้ใช้แล้ว แล้วเราก็เอามาให้คนอื่น ถามว่าดีไหม? ดีอยู่ ตกใจ นึกว่าไม่ดี ทุกคริสตมาสเอาไปให้ตั้งเยอะ ตายแล้ว ตอนนี้โดนฉันแล้วเนี้ย ดีอยู่ แต่ถ้าเราสามารถฝึกฝนนะ อย่างที่ผมบอก ฝึกฝน พัฒนา และคิดตามเหตุผล แต่ถ้าเราสามารถฝึกฝน ถึงขนาดที่สามารถเอาของที่เราใช้อยู่ และเรากำลังใช้อยู่ และเราก็รักของสิ่งนั้นด้วย แต่เราสามารถเอาไปให้คนอื่นได้ ทั้งๆ ที่เรากำลังใช้อยู่นั่นแหละ เราสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้ อย่างนี้ ก็เป็นการปฏิบัติของความรักแท้ที่แข็งแรงขึ้นอีกนิดหนึ่งมากขึ้นกว่าการให้ของที่เหลือใช้ ถูกหรือไม่ถูก? เอเมนไหม? ท่านเห็นภาพไหม? ผมพาท่านไปทีละนิดๆ

นี่คือชีวิตประจำวันของเราเลยนะ แต่ยังมีขั้นตอนต่อไปอีก ฝึกฝนการให้ที่ไม่ใช่แค่ของที่กำลังใช้อยู่อย่างเดียว แต่เป็นของที่เรารักมาก ห่วงแหนมาก และเราก็สามารถให้ออกไปได้

ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าคู่นี้ หรือเสื้อตัวนี้ ของใช้ชิ้นนี้ เรารักมากจริงๆ เลย รักมากขนาดไหน? เพราะกว่าเราจะได้มา เราเก็บเงินตั้งนานกว่าจะซื้อได้ หามาตั้งนานกว่าจะได้ แต่เราก็รู้ว่ามีคนอื่นเขาอยากได้เหมือนกัน หรือมันสามารถใช้สิ่งนี้ ทำให้คนอื่นมีกำลังใจขึ้นมา หรือสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากสำหรับคนอื่นที่เราได้ให้เขาออกไป ด้วยความรัก เราสามารถตัดใจให้สิ่งนี้ออกไปได้ เอเมน เท่ห์ไหมอย่างนี้? ไม่กล้าพูดแล้วเหรอ? อยากทำได้ไหม?  อยาก มันทำได้ทุกคน เพียงแต่คิดเท่านั้น ไม่อยาก ฝึกไง ทีละนิดๆ นี่แหละ สิ่งที่จะทำให้การออกกำลังกายความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรามันแข็งแรงมากยิ่งขึ้น  อย่างที่บอกออกกำลังกาย ก็คือทีละนิดทีละหน่อย ทำให้กล้ามเนื้อทางฝ่ายวิญญาณเราแข็งแรงขึ้น  ทำให้เราไม่เป็นโรคเห็นแก่ตัว เป็นโรคโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด ดีใจไหมที่หายจากโรคนี้

เราก็เริ่มต้นฝึกฝนการที่จะให้ออกไป ฝึกในการที่จะให้ ฝึกในการที่จะรักแบบพระเจ้า ทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็เริ่มขึ้นไปเรื่อยๆ พอทำได้มากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ยิ่งแข็งแรงขึ้น ก็ยิ่งทำการให้ออกไปมากขึ้น ก็จะอิจฉาน้อยลง เห็นแก่ตัวน้อยลง ทำร้ายผู้อื่นน้อยลง ชัดเลย ยิ่งทำ ยิ่งได้ใหญ่เลย นี่มันกลับกันตรงนี้  พระเยซูจึงบอกว่าให้เราให้ออกไป คนให้มีสุขมากกว่าคนรับ นี่ก็เพราะอย่างนี้ไง ถ้าเรารับไปเรื่อยๆ เราอาจจะถูกทดลอง จนกระทั่งเป็นคนจะเอาอย่างเดียว เห็นแก่ตัวใหญ่เลย พระเยซูจึงบอกให้ออกไปสิ นี่แหละคือความลับ ให้ออกไป คนให้จะได้ คนรับไม่ได้ เพราะเขาจะต้องให้ต่อออกไป เขาจึงจะได้รับด้วย เพราะว่าพรนี้อยู่ที่ให้ ให้แล้วเขาจึงจะได้รับ แต่รับอย่างที่บอกนะ

ปฏิบัติการเช่นนี้ ผมใช้ชื่อว่าอะไรรู้ไหมครับ? ปฏิบัติการเช่นนี้ ผมใช้ชื่อว่า “ปฏิบัติการเอาหนามยอก เอาหนามบ่ง” ให้มันสะใจไปเลย เขาเรียกว่าอะไรล่ะ หักด้ามพร้าด้วยเข่า ปฏิบัติการหนามยอก เอาหนามบ่ง การให้ทรัพย์สินเงินทองออกไป ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งไม่มี ยิ่งต้องให้ ฟังให้ดีๆ ยิ่งไม่มี ยิ่งต้องให้ หมายถึงสิ่งที่เราให้ออกไป มันต้องมีการเสียสละ เหมือนกับมีการเชือดเนื้อเราออกไป อะไรประมาณนี้ เหมือนพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์ที่รัก ให้กับเราทั้งหลาย พระเยซูต้องลงมา ไม่ใช่สุขสบาย ต้องทุกข์ทรมาน ให้คนเขาตอกตรึงบนไม้กางเขน  ตายด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อรับเอาบาปของพวกเราไป ทุกข์ทรมานมาก นี่คือความรักที่สำแดงออก โดยการให้

ถ้าเราเอาเศษ หรือของเหลือใช้ไปให้คนอื่น เราก็ไม่ได้ฝึกฝนการให้ด้วยความเสียสละ ถูกไหม?  หรือไม่ได้ฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า ด้วยการให้ แต่ถ้าเราให้ในขณะที่เราเอง ก็ไม่มี เราเองกำลังขัดสนอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น  ที่ต้องระวัง ก็คือไม่ใช่ซาดิสต์นะครับ มีเหตุผลนะครับ ต้องไม่ให้เกินกำลังไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ การฝึกฝนหรือการออกกำลังกายทางวิญญาณ มันต้องคิดอย่างไรครับ มันต้องทำให้มันเข้ม เอาใจใส่ ต้องมีวินัยอย่างจริงจัง มันถึงจะได้ผล ไม่ใช่ออกกำลังกายวันหนึ่ง หายไป 4 วัน ออกอีก 2 วันหายไป 3 วัน

“ไม่เห็นได้ผลเลย จะลดน้ำหนักไม่ได้เลย”

มันจะได้อย่างไร? วันนี้ออกไปวันหนึ่ง พรุ่งนี้กิน 3 วัน วันนี้มากิน พรุ่งนี้กิน 4 วัน พิเศษทุกวันเลย จิ๊บไปจิ๊บมานิดหนึ่ง อันนี้นิด อันนี้หน่อย

“ทำไมน้ำหนักไม่ลด”

“ก็ฉันเห็นเธอกินอยู่ตลอด”

แต่ความรู้สึกว่าไม่ได้กิน เพราะว่าเขาเรียกว่าอะไรนะ แจมทุกๆ จาน รู้จักไหมแจมทุกๆ จาน ขอแจมนิดหนึ่ง ปรากฏว่ากินเยอะกว่าคนที่เขากินจานหนึ่งอีก สู้อย่างนี้ เธอกินจานหนึ่ง ไปหมดเลยดีกว่าไหม?

ตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เห็นชัด ถ้าเราเป็นคนทานข้าว 2 จาน แล้วถึงจะอิ่ม แต่ละคนไม่เหมือนกัน สมมติว่าเรากิน 2 จานจึงจะกิน แต่พอดีเรามีอยู่ 3 จานพอดี เราก็เลยแบ่งให้คนอื่น 1 จาน อย่างนี้ผมก็จะบอกว่าเป็นการเอาของเหลือ ที่เราทานไม่หมดแล้วไปให้คนอื่น เพื่อไม่ให้เสียของเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเป็นคนที่ทานข้าว 2 จานอิ่ม แล้วเราก็มีอยู่ 2 จานพอดี แต่เราเห็นคนอื่นกำลังหิว และต้องการกินข้าว เราก็เลยแบ่งให้เขา 1 จาน ทั้งๆ ที่เรายังไม่อิ่มนะ แต่เรายอมเสียสละแบ่งให้เขา 1 จาน อันนี้เป็นการให้ที่มีการเชือดเนื้อตัวเองเกิดขึ้น เห็นไหมครับ? อย่างนี้เรียกว่าสำแดงความรักของพระเจ้าด้วยการให้ ได้ไหม? ได้ ชัดเลย ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย ไม่ได้เอาอะไรเลย แค่อยากให้คนอื่นหายหิว ตัวเราเองยอมเสียสละอิ่มน้อยลงนิดหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกก็ได้ ฝึกฝนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ตะกี้เรากินจานหนึ่งอิ่ม ไม่อิ่ม แต่เรากินจานหนึ่ง แบ่งให้เขาจานหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง เรากินแค่ครึ่งจาน อีกจานครึ่งเราแบ่งให้คนอื่นไปเลย เราอดทนได้ เพราะเราเห็นคนอื่นเขาลำบาก เราอยากให้เขามีความสุข เท่านั้นเอง เราไม่คิดว่าเราจะให้เขาไปจานครึ่ง แล้วพระเจ้าจะอวยพรมา 30 จาน คุ้นๆ นะ บางคนคุ้นๆ อย่างนี้  ไม่ใช่เลย  เห็นไหม? ความปลอดโปร่งจิตวิญญาณ

พระเจ้าสัญญากับเราแล้ว ไม่ใช่แค่ขึ้นสวรรค์อย่างเดียวฟรีๆ  พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงจัดเตรียม ทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา ไม่ขัดสนเลยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านเข้าใจไหม?  ท่านไม่ขาดอยู่แล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้ จะงกไปทำไม รวยๆ ไม่เอา ทำไป วุ่นไปหมดเลย  พอเข้าใจไหม? สวรรค์ก็ให้ฟรี สวรรค์ให้ฟรีไม่พอ มาเชื่อพระเยซูแล้ว สวรรค์ได้ไปฟรีแล้วไม่พอ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ไปสวรรค์ แถมพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังนำพาชีวิตเราในแต่ละวัน แต่ละวินาที ตลอดเวลา เพื่ออวยพรเรา อะไรจำเป็นให้ จัดให้หมด พ่อจัดเตรียมให้หมด ที่จำเป็น ไม่ใช่เฉพาะแค่เงินทองทรัพย์สินเท่านั้น รวมทั้งอย่างอื่น ทุกอย่าง ทั้งสถานการณ์ ผู้คนรอบข้างทุกอย่าง เราจะทำเป็นคนอดยากทำไม?  เราควรจะยิ่งให้ใหญ่ ยิ่งให้เราก็ยิ่งได้ ได้อะไรมา? ได้ความสงบ สันติสุข นี่คือรวยแท้จริงเลย รวยทางวิญญาณนั่นเอง เอเมน นี่คือเคล็ดลับเอามาบอกท่าน

หรือแม้บางครั้งท่านอาจจะบอกวันนี้ทำได้แล้ว ฝึกมานานแล้ว ไม่ใช่ซาดิสต์อีกแล้ว ไม่ใช่ทรมานเกินกำลัง วันนี้ฝึกมาได้แล้ว เขาลำบากมากกว่าเราเยอะ ให้หมดไปเลยวันนี้ อดอาหารหนึ่งวัน ได้ไหม? อย่างนี้พอทำได้ ยกตัวอย่างให้ดู ไม่ได้มากเกินไป

เหล่านี้เป็นการฝึกฝน เป็นการออกกำลังในเรื่องการสำแดงความรัก ตามแบบอย่างพระเจ้า  โดยการให้ออกไป  ทำให้จิตวิญญาณเราเข้มแข็งขึ้น ต้องใช้ความเข้าใจมากขึ้น  และความใส่ใจในสิ่งนี้  ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิด ทีละหน่อย แต่ละวันๆ แล้วมันจะพัฒนาดีขึ้นเอง

พัฒนา แปลว่าค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ ดีขึ้น พัฒนา แปลว่าอย่างนี้

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ของการให้ ตัวนี้ยิ่งแสบใหญ่เลย  เพื่อเราจะได้เห็นภาพต่างๆ ว่าอดีตเราเป็นอย่างไร? บนโลกเราเป็นอย่างไร?

อีกตัวอย่างของการให้โดยไม่มีการเอา 100% เลยนะครับ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเลยจริงๆ ก็คือการเก็บความลับของการให้ โดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ นี่ก็คืออีกอันหนึ่งที่ฝึกได้ แล้วก็พยายามจำให้ได้เสมอว่าเป็นอย่างนี้ มันนิดๆ หน่อยๆ ท่านจะเห็น เดี๋ยวผมจะพาท่านไปดู

การให้ของที่เล็กๆ น้อยๆ อาจยังดูไม่สำคัญเท่าไรนัก ในการที่จะเก็บความลับ แต่ถ้าเป็นการให้ของที่มีมูลค่ามากๆ ตามสายตามนุษย์ทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้นั้น ยิ่งต้องเก็บความลับไว้อย่างมากเลยทีเดียว ท่านรู้ไหม? เพราะอะไร? ยกตัวอย่างเช่น ท่านเอากล้วยน้ำว้าไปให้ใครสักคนหนึ่ง อาจจะบอกคนอื่นได้ว่าเอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์นคร เอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์นำ ท่านอาจจะพูดได้

“วันนี้จะไปไหนน่ะ”

“อ้อ! เอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์”

แต่ถ้าท่านเอาเงิน 1 ล้านบาทไปบริจาคโรงพยาบาล เพื่อรักษาคนป่วยอนาถา อย่างนี้ ควรฝึกที่จะเก็บความลับไว้ไม่ต้องประกาศให้โลกได้รู้เลยแม้แต่นิดเดียว ทำได้ไหม?

ล้านบาทบริจาคโรงพยาบาล โดยที่ไม่มีใครรู้เลย เงียบหมด (สามีภรรยาในครอบครัวรู้ได้นะ) แต่ไม่ไปพูดกับใครเลย ไม่ต้องบอก ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น  เขาบอกจะเขียนลงไปในหน้าประตูห้อง ท่านบอกไม่ต้องเขียนเลยนะ เขาบอกจะลงหนังสือพิมพ์ ท่านบอกไม่ต้องลง เห็นไหม? ท่านพอมองเห็นอะไรบ้างไหม?

นี่คือสิ่งที่เราต้องคิด วันๆ เราต้องคิดอย่างนี้ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวให้เราสามารถไปอยู่ในแนวทางของพระเจ้าได้  เหล่านี้คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการสังเกต การสำแดงความรักด้วยการให้ของเราว่าจริงแล้วมันใช่หรือไม่?  มันมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า? และเทคนิควิธีการทั้งหมดนี้

เอาไว้สำหรับพิจารณาคนข้างๆ เท่านั้น ไม่ใช่พิจารณาตัวเอง ถูกไหม? ไม่ถูก

 

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เอาไว้พิจารณาตัวเราเอง ตัวฉันเอง ไม่ใช่คนอื่นเลย อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา เพราะไม่มีใครรู้เขาคิดอะไรในใจ แต่มีเรารู้ ทำอะไรเรารู้ คิดอะไร? ใช่ไหม? ไม่ได้มีไว้เพื่อพิจารณาหรือตัดสินผู้อื่นนะครับ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าทั้งหมดมันอยู่ข้างในใจเรา ข้างในใจเขา ไม่มีใครรู้หรอก เราฝึกของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างของการสำแดงความรักชนิดที่เป็นแบบของพระเจ้า คือความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นก่อนตัวเอง สังคมทุกวันนี้กำลังรอความรักอย่างนี้ เป็นความรักที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ทุกอย่าง และความรักชนิดอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างให้กับเราแล้ว แล้วพระองค์ต้องการที่จะช่วยเราให้สามารถพัฒนาความรักแบบนี้ มากขึ้นทุกวันๆได้ ถ้าเราต้องการให้พระองค์ช่วย

ให้เราอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยเรา ให้เรามีกำลัง ให้เราสามารถที่จะมีความรักอย่างนี้ มากขึ้นทุกวันและทุกวัน และตัวเราเอง ก็ค่อยหมั่นทำอะไร? สังเกต หมั่นสังเกตคืออะไรรู้ไหม? เราทำสิ่งนี้มันถูกหรือไม่นะ? เราทำสิ่งนั้นถูกไหม? เป็นความรักของพระเจ้าหรือยัง?  มันถูกตามข้อพระคัมภีร์หรือยัง? มันถูกตามที่เราได้ยินได้ฟังมาตามข้อพระคัมภีร์ใช่ไหม? มีอะไรแอบแฝงอยู่ในนี้ไหม? แล้วถ้ามีตัดมันเลย ตัดความคิดนั้น เลิก ทำอันใหม่ บางครั้งมันเล็กๆ น้อยๆ ตัดง่ายนะ ถ้าปล่อยมันลงมากองใหญ่ขึ้นๆ ไม่มีแรงสู้มันแล้ว มันโลภไปแล้ว ก่อนที่มันจะโลภใหญ่ๆ มันโลภไปนิดหนึ่ง ตัดมันก่อน ก่อนที่จะเห็นแก่ตัวมากๆ พอเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง จัดการมันก่อน อย่างนี้ถามว่ามันใช้อะไร? มันใช้ความใส่ใจไง ไม่ใช่มันโลภมานิดหนึ่ง ปล่อยไปนิดหนึ่ง มันโลภมานิดหนึ่ง ปล่อยมาอีกนิดหนึ่ง โลภครั้งที่สิบ ไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงที่จะสู้แล้ว มันเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง ช่างมันๆ มันเห็นแก่ตัวอีกนิดหนึ่ง ช่างมัน ช่างมันมากๆ คราวนี้ออกมาน่าเกลียด มีอาการออกมาน่าเกลียดเลย ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ  เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ 100% ท่านจะเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น มันต้องการฝึกฝน ค่อยๆ ทีละนิดๆ อยากจะหมั่น อยากจะพูดตรงนี้ซ้ำมากๆ เลยว่าค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาไป ค่อยๆ คิดไป มันไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าหนักๆ ไม่ไหวหรอก แต่พระเจ้าต้องการพาเราไปทีละนิดหนึ่ง สังเกต แล้วก็ฝึกฝนทีละนิดๆ ทีละหน่อย

ถามว่าทำสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร? เพื่อสำแดงความรักของพระเจ้าที่ทรงให้กับเราทั้งหลายว่าความรักนี้อยู่ในเรา สำแดงความรักให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น เพื่อที่ว่าคนที่อยู่รอบข้างเรา จะได้เห็นพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตของเราด้วยความรักแท้อย่างนี้ ที่ให้โดยไม่ต้องการเอาอะไรกลับคืนเลย  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กุมภาพันธ์  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

          และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

          ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************